xs
xsm
sm
md
lg

แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 1

บรรยากาศภายในห้องนั้นดูร้อนเร่าขึ้นมาทันตา ด้วยรองเท้าส้นสูงสีสดดีไซน์เปรี้ยวเฉี่ยวของสาวนางหนึ่ง ซึ่งสวยเด่นรับกับเรียวขาเนียนงามที่พาดไขว่ห้างบนโซฟายาวเดย์เบดกลางห้อง

หญิงสาวหน้าตาสวยเฉี่ยวสไตล์ลูกครึ่ง รูปร่างระหงคนนี้เธอคือ เขมมิก และกำลังหัวเราะด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ขณะนั่งไขว่ห้างอยู่ที่มุมซ้ายบนโซฟายาวหรูหรา
“รักแท้น่ะเหรอ...บอกหน่อยเหอะ จะหาได้จากใครบนโลกใบนี้”
เขมมิกหันไปมองซ้ายมือของตัวเองด้วยท่าทีเยาะหยัน
“เกิดมาจนจะยี่สิบห้า...ยังไม่เคยเจอจากผู้ชายสักคน”
พิแสง ชายหนุ่มหน้าตาดีนั่งอยู่ที่มุมขวาของโซฟายาว เขามองผู้หญิงตรงด้วยสีหน้าเงียบขรึม
“คิดว่ามีแต่ผู้หญิงเท่านั้นหรือไง ที่รักใคร รักจริง” พิแสงบอก
จากนั้นวิวาทะของเขาและเธอก็ดำเนินไปอย่างเผ็ดร้อน เชือดเฉือนทุกวลี ไม่มีใครยอมใคร
“ก็เห็นมีแต่ผู้ชายที่หลายใจ ไม่ซื่อสัตย์”
“เปอร์เซ็นต์ชายหญิงที่ไม่ซื่อสัตย์ หรือรักมั่นคง...มันก็เท่าๆ กัน อยู่ที่หวยจะไปออกที่ใคร” พิแสงบอก
“แน่ใจ?”
“ใช่...ผมยังคงเชื่อมั่นว่าสักวัน ผมต้องเจอ”
“ถ้าเจอแล้วไง?”
“ผมจะไม่ยอมให้หลุดมือไป....อีก”
“เหรอ...งั้นถามคำเดียว สั้นๆ”
พิแสงหันหน้ามามองเขมมิกด้วยความแปลกใจ
“จะรักกันนานแค่ไหนเชี้ยว!” เขมมิกเอ่ยถาม

กรุงเทพฯ ยามราตรี เสียงเพลงจังหวะเร้าใจจากด้านในผับอันเร่าร้อน ซึ่งพอเดินเข้าไปก็เห็นว่าคราคร่ำเต็มไปด้วยนักเที่ยวทั้งหญิงและชาย บรรดาโคโยตี้สาว เต้นยั่วยวนชวนมองบนเคาน์เตอร์ที่เตรียมไว้โดยเฉพาะ เขมมิกวาดลีลาเต้นอย่างเร่าร้อนตามจังหวะเสียงดนตรีอยู่ที่มุมหนึ่งกับเนตรนิภา เพื่อนสาวของเขมมิกที่กำลังขยับเต้นเบาๆ ราวกับกลัวฟลอร์จะแตก

ณ หน้าคอกหมูในฟาร์มเพื่อนเกษตร พิแสงตวาดลั่น
“ไม่สะอาด ไม่ต้องนอน!”
หลอดสะดุ้งเฮือกและหน้าจ๋อยทั้งๆ ที่ถืออุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่คามือ เขาค่อยๆ ยิ้มหวานสุดๆ ประจบพิแสง
แต่ถูกพิแสงตะคอก “ไม่ต้องมายิ้ม!”
หลอดเบะหน้าจะร้องไห้
“ไม่ต้องร้องไห้!”
“งั้นหัวเราะได้มั้ยครับ นายหั้ว”
“หลังจากฉันไล่แกออก”
หลอดหัวเราะเหมือนบ้าไปแล้ว “วะฮ่ะๆๆๆๆ” แล้วหลอดก็สลับมาร้องไห้ “ฮื้อ...”
“แต่ถ้าไม่อยากถูกไล่ออก ฟัง!”
“ครับผ้ม”
“แหกตามองผลงานตัวเองซิ ไอ้หลอด”
หลอดมองไปรอบๆ คอกหมูที่เต็มไปด้วยมูลหมูทั้งเก่าและใหม่
“ของเก่าก็ล้างไม่หมด นี่ล่อของใหม่เข้าไปอีก ถ้ายังทำงานชุ่ยๆอีก ฉันจะเอาขี้หมูละเลงหัวแกสักวัน”
หลอดปาดเหงื่อ พิแสงตวาดต่อ
“พอคอกสกปรก มีของเสียหมักหมม มันก็มีกลิ่นเหม็น น้ำเน่าเสีย แมลงวันก็เยอะ กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค ความสะอาดเป็นเรื่องสำคัญพื้นฐานของฟาร์ม สอนไม่จำ” ท้ายประโยคพิแสงเผลอพูดสำเนียงใต้เวลาโกรธ “พั่นปรื๊อถี่ส้อนมั้ยจ๋ำหะ พวกมึ้งนี้!”
“อั๊ยย่ะ แหลงใต้พันนี้ รู้เลยว่าโกรธอย่างแรง”
“รู้แล้วก็ทำสิวะ”
หลอดรีบทำความสะอาดคอกหมู เสริมวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“นายหัวครับ นายหัว...”
“อะไร”
“แม่หมูตัวใหม่ที่สั่งจากเดนมาร์ก มันล้มแล้วครับ” เสริมบอก
“ล้ม!”
พิแสงตกใจ รีบวิ่งนำหน้าออกไปเร็วรี่ หลอดกับเสริมรีบวิ่งตามไป

เขมมิกเปลี่ยนท่าเต้นที่เร่าร้อนกว่าเดิม เนตรนิภายืนมองเพื่อนแล้วก็อ้าปากหวอเพราะรู้สึกว่าเขมมิกเต้นแรงมากพร้อมส่งสายตามองหาใครบางคน
พิศา สาวิกา และเพทายแฟนหนุ่มของพิศาเดินเข้ามานั่งที่มุมหนึ่งในผับ เขมมิกหันไปเห็นพอดีจึงกระทุ้งสีข้างของเนตรนิภาที่กำลังดูดเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์อย่างเพลิดเพลินอยู่
“เนตร!”
“อะไร!”
“ที่สามนาฬิกา” เขมิกทำสายตาชำเลืองไปทางขวามือ
เนตรนิภาหันไปทางซ้ายมือ “ไหน”
“ทางนี้!”
เขมมิกจับตัวเนตรนิภาหันไปทางขวา
“โอย...ฝึกผ่านมาได้ไงเนี่ย”
“ฉันฝึกมาเพื่อใช้ในสถานการณ์อื่น ไม่ใช่มาอ่อยผู้ชายแบบแก!” เนตรนิภาว่า
“ก็น่าอ่อยนะเว้ย...” เขมมิกบอก
เขมมิกมองไปที่เพทาย หนุ่มหล่อไฮโซที่อยู่ข้างพิศาและแสดงความหวานด้วยการจับมือพิศาและหอมตลอดเวลา
“เอายัง..จะได้รีบกลับ” เนตรนิภาถาม
“เฮ้ย...บิวท์หน่อยสิ...” เขมมิกบอก
“อย่างแก ยังต้องบิวท์อีกเหรอ”
“เฮ้ย..แต่ฉันก็อายเป็นนะแก”
เขมมิกยกแก้วน้ำส้มขึ้นซดรวดเดียวหมด ก่อนจะวางแก้วอย่างแรงด้วยท่าทางกึ่มๆ
“เคลิ้ม...” เขมมิกลากเสียงยาว “ได้ไม่ต้องพึ่งแอลกอฮอล์...ทีนี้..ก็พร้อม..ออกตัวเบาๆ”
เขมมิกเต้นแรงเลื้อยเข้าไปหาฝูงชนเพื่อจะเลื้อยต่อไปให้ไปเต้นอยู่หน้าเพทายให้ได้
เนตรนิภาหันไปดูดน้ำหวานต่อ แต่แล้วก็ถูกเขมมิกดึงแขนออกไปอย่างแรงโดยไม่ทันตั้งตัว

“ว้าย!!”

ทางด้านพิแสงกำลังขบกราม ขณะคลุมผ้าให้กับแม่หมูที่เพิ่งล้ม โดยมีหลอดกับเสริมยืนอยู่ข้างๆ

“หมอปิ๊นมาหรือยัง” พิแสงถาม
“อีกสักพักก็คงถึงครับ” หลอดบอก
“หมอปิ๊นสรุปผลยังไง ทำรายงานส่งด้วย ไปเตรียมลังน้ำแข็งให้พร้อม รอหมอตรวจแล้วก็ส่งศูนย์วิจัย อ้อ เอารายงานของหมอแนบตอนแจ้งปศุสัตว์อำเภอด้วย อย่าลืมเหมือนคราวที่แล้ว พวกแกช่วยจัดการที”
พิแสงพูดจบก็ลุกขึ้นอย่างอ่อนแรงแล้วเดินออกไป เหมือนไม่อยากจะรับรู้อะไรอีก หลอดกับเสริมมองตามพิแสงอย่างเห็นใจ

เขมมิกจงใจเต้นและส่งยิ้มให้เพทาย เพทายตัวแข็งเพราะอึ้งกับความเจ้าเสน่ห์ของเขมมิก เขมมิกทำไม่รู้ไม่ชี้ ยังคงเต้นต่อไป แต่ส่งสายตาให้เพทายเป็นระยะๆ เพทายเริ่มนั่งไม่ติด เขายกเครื่องดื่มขึ้นดื่ม พิศาสังเกตเห็นเพทายมีอาการผิดปกติก็ถาม
“เป็นอะไรคะเพทาย”
“เอ่อ..ร้อนจ๊ะ” เพทายตอบ
“ร้อนแบบนี้...ร้อนอะไรคะแฟนคุณเพื่อน” สาวิกาถาม
“ร้อนเพราะได้อยู่ใกล้พิศาแฟนคนสวยไง”
“ให้มันจริงเหอะ อย่าร้อนเพราะชะนีแถวนี้ก็แล้วกัน”
“ไม่มีทาง ผมรักคุณคนเดียว ไม่เคยหวั่นไหว” เพทายบอก
“แล้วถ้าหวั่นไหวล่ะ” พิศาลองใจ
“ให้เชือดเลยอ่ะ”
ทันใดนั้น เขมมิกก็ขึ้นไปเต้นบนโต๊ะด้วยความเมามันแข่งกับโคโยตี้ในร้าน
ทุกคนครางฮือ พิศา สาวิกา และเพทายมองเป็นตาเดียว เนตรนิภาเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง...
“แรงได้อีก เพื่อนฉัน”
เขมมิกเต้นเมามัน เธอเอาผ้าพันคอมาเป็นอุปกรณ์ประกบการเต้น ก่อนจะโยนไปคล้องคอเพทายแล้วดึงเข้ามา หน้าประชิดหน้า ทุกคนร้องฮือ พิศามองตาเขม็ง เขมมิกปรายตามองพิศาอย่างท้าทาย พิศาสะบัดหน้าใส่แล้วหันไปมองเพทาย
“ขอโทษนะครับ ผมมากับแฟนครับ ดุด้วย” เพทายบอก
“อุ๊ย...มีแฟนแล้ว...เสียดายอ่ะค่ะ!!” เขมมิกบอก
พิศานิ้มเยาะให้กับเขมมิก เขมมิกไม่ยอมแพ้ดึงคอเพทายเข้ามาแล้วพูด
“งั้น..ไว้แฟนเผลอแล้วเจอกันนะคะ” เขมมิกจูบแก้มเพทายหนึ่งที
ทุกคนร้องกรี๊ด พิศาเนื้อเต้น เขมมิกยิ้มเย้ยให้พิศาอีกครั้ง พิศาหึงจัดจึงกระชากเพทายที่เคลิ้มมากกลับมา เขมมิกเต้นอย่างร้อนแรงและยิ่งเพิ่มดีกรีมากขึ้นไปอีก เสียงเพลงยิ่งเร่ง beat เพทายมองแล้วก็ยิ่งหวั่นไหว ส่วนพิศาทั้งโกรธทั้งหึง เขมมิกยั่วยวนเต็มที่

เครื่องเล่นเพลงกำลังเล่นเพลงเบาๆ พิแสงเดินเข้ามาจะปิดเพลงแต่แล้วก็ชะงักหันไปด้านหนึ่ง ลูกหมูกำลังเคลิ้มจะหลับบนที่นอนที่น่ารัก
“แหม เคลิ้ม...” พิแสงลากเสียงยาว “เชียวนะ ปุ๊กลุ๊ก ปิดดีกว่า”
ปุ๊กลุ๊กลุกขึ้นทันที
“ไม่ปิดก็ได้” พิแสงบอก
ปุ๊กลุ๊กลงนอนต่อ
“ปิดดีกว่า”
ปุ๊กลุ๊กลุกขึ้นอีก
“ไม่ปิดก็ได้”
คราวนี้ปุ๊กลุกไม่ลงไปนอนแต่กลับยืนจ้องพิแสงเขม็ง
“โกรธแล้วเหรอ...ตะเอง...อย่าโกรธสิ เป็นหมูของนายหัวพิแสงต้องอดทน เข้าใจมั้ย”
พิแสงเข้าไปอุ้มปุ๊กลุก
“อย่างอนสิ..แต่ๆๆๆๆ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ไม่ได้ล็อก!!” พิแสงบอก
วาศิณีในชุดสวยหวานเปิดประตูเข้ามา
“นายหัวคะ”
พิแสงแปลกใจจึงวางหมูลงแล้วพูดเสียงเข้มทันที “น้ำหวาน...มาทำไม ดึกๆ ดื่นๆ”
วาศิณีทำท่าขวยเขิน “คือว่า...”
ทันใดนั้นกนธีก็พรวดเข้ามาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้ามากมายทำเอาวาศิณีกระเด็น แต่วาศิณีก็ยังรักษาฟอร์ม
“มาค้างกับแกคืนนี้เลยละกันวะ พิแสง” กนธีบอก
“ไอ้ธี!”
“ขอบคุณมากครับ คุณน้ำหวาน เสร็จธุระของเลขาสาวสวยผู้ช่วยนายหัวพิแสงแล้ว ตอนนี้ได้เวลาผู้ชายๆจะฟิชเจอริ่งกันแล้วครับ ราตรีสวัสดิ์ ไม่ต้องกวนนะ” กนธีพูด
กนธีปปิดประตูใส่หน้าวาศิณีทันที

วาศิณียืนงงอยู่หน้าห้องพิแสง
“ผู้ชายจะฟิชเจอริ่งกัน..แปลว่าอะไรอ่ะ...” วาศิณีหน้าเหวอแล้วก็ร้องลั่น “แม่!”

วาศิณีรีบวิ่งออกไป

เขมมิกเปิดประตูผับออกมากับเนตรนิภาด้วยความโล่งอก ทั้งสองหันมาหัวเราะสะใจก่อนจะตบมือกัน

“ฮิ้ว!!!”
“แกเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นป่ะ” เขมมิกถาม
“ตางี้แทบถลนออกมานอกเบ้า จะกินแกให้ได้..” เนตรนิภาบอก
“ก็คนมันน่ากิน”
เนตรนิภากับเขมมิกร้องพร้อมกัน “ฮิ้วววววว!!!”
“แต่.....ทำไม...เงียบไป ไม่มีสัญญาณตอบรับจากผู้ชายที่แกอ่อย”
“รอสักครู่ ไม่มีคำว่าพลาดในอาเจนด้าของเขมมิก...”
เขมมิกดีดนิ้ว
“หนึ่ง..สอง...สาม..โอเค!”
ทันใดนั้นเพทายก็เปิดประตูผลัวะตามออกมาอย่างกลัวพิศาตามออกมาเห็น เขมมิกและเนตรนิภาหันมาสบตากัน เนตรนิภาเดินเลี่ยงหายออกไปทันที
เขมมิกแกล้งทำเป็นแต่งหน้าเหมือนมองไม่เห็นเพทาย แล้วค่อยหันมาชนเพทาย “ว้าย!!!”
“ระวังครับคุณ...”
“โอ๊ย..ล้มค่ะล้ม”
เนตรนิภาแอบดูอยู่ใกล้ๆ ทำท่าแหวะ “สตรอเบอรรี่ชีสเค็กได้อีก...”
เพทายเข้าไปประคองเขมมิกได้ทันเวลาก่อนที่เขมมิกจะล้มลงไปจริงๆ เขมมิกแอบโล่งอกแล้วจงใจหันหน้าไปแนบชิดหน้าของเพทาย “อุ๊ย...”
ทั้งสองตาต่อตามองจ้องกัน เขมมิกกะพริบตาถี่ๆ แล้วหายใจเต้นแรง เพทายจ้องหน้าเขมมิกแบบหายใจไม่ทั่วท้อง

เขมมิกแกล้งเดินกะเผลกมาโดยมีเพทายเดินประคอง เนตรนิภาทำเป็นโทรศัพท์แอบดูอยู่ใกล้ๆ
“ปล่อยได้แล้วนะคะ เดี๋ยวแฟนที่ดุมากของคุณจะไม่พอใจถ้ามาเห็นเข้า” เขมมิกบอก
“เขาไม่รู้หรอก...ตอนนี้กำลังสนุกอยู่กับเพื่อนอยู่ข้างใน”
“อย่าบอกนะคะ ว่าแฟนเผลอแล้วออกมาเจอดาว”
“คุณดาว...ชื่อเพราะดีนะครับ เข้ากับหน้าตา เจิดจรัส เหมือนดาวที่ส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้า”
เขมมิกทำเป็นเขินแต่แอบทำท่าอ้วก

พิแสงและกนธีนอนดูดาวด้วยกันอยู่
“ดาวสวยดีนะ...” พิแสงบอก
“อืม...แต่สวยน้อยกว่าน้องน้ำหวานเมื่อกี้” กนธีว่า
พิแสงเปลี่ยนเรื่อง “แล้วรีสอร์ทแก ใครดูแล”
“มีลูกจ้างไว้ทำไมวะ ถ้าฉันไปไหนบ้างไม่ได้เลย”
“แต่แกเป็นเจ้าของ ควรดูแลธุรกิจอย่างใกล้ชิด”
“แบบแกน่ะเหรอ”
“เออ”
“อย่างแก เขาเรียกว่า...ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ลืมหูลืมตา ไม่มองว่าใครที่อยู่ใกล้ๆและพร้อมจะเป็นแฟน”
“อย่านอกเรื่อง และอย่าหลอกด่า”
“ไม่ได้หลอก ด่าเลย..เฮ้ย..พิแสง แกเคยสนุกสนานกับชีวิตติดจะเป็นเพลย์บอยด้วยซ้ำ แล้วเกิดอะไรขึ้น กลับมาจากเมืองนอกก็กลายเป็นฤาษีปลีกวิเวกแบบนี้..เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลัง..” กนธีจะพูดว่าตีน
พิแสงรีบตัดบท “พอ!”
“สงสารน้องน้ำหวาน”
“เลขาฉันเกี่ยวอะไร”
“เค้าอยากเกี่ยวกับแกเต็มแก่ ดูไม่ออกหรือไง”
“ดูออก แต่ไม่สน”
“บ๊ะ!”
“เลิกพูดเรื่องนี้ ไม่งั้น จะให้ไปนอนกับไอ้ทีเด็ด”
เสริมกับหลอดวิ่งหอบหน้าตาตื่นเข้ามา
“นายหัวครับนายหัว”
“เรื่องใหญ่หลาวครับนายหัว” เสริมว่า
“อะไรของพวกแกอีกวะ ไม่มีเรื่องสักวัน จะได้มั้ยเนี่ย อย่าบอกนะว่ามีตัวไหนตายอีก”
“ไม่มีตัวไหนตายหรอกครับ” หลอดบอก
“แล้วไป”
“แต่หายตัวไปครับ” เสริมบอก
“โอยยย โอ๊ย!!!” พิแสงกลุ้มใจ

เขมมิกเอียงอาย เธอมองมือที่ถูกเพทายกุมเอาไว้ไม่ปล่อย
“ดาวเป็นผู้หญิงนะคะ ทำแบบนี้ อายเค้า”
“อายแล้วจะได้เหรอครับ” เพทายถาม
“อุ๊ย ได้อะไรคะ”
“ได้เบอร์มือถือคุณไง เบอร์อะไร บอกผมหน่อยได้มั้ย ผมอยากคุยกับคุณ”
เสียงพิศาดังขึ้น “เอาเบอร์หกไปก่อนมั้ย ไอ้แฟนชั่ว!”
พิศาเงื้อรองเท้าส้นสูงของตัวเองสุดแขน สาวิกายืนตะลึงเพื่อนอยู่ข้างๆ
“ดาร์ลิ้ง!!” เพทายตกใจ
สาวิการีบห้าม “อย่านะ คุณเพื่อน!!”
เขมมิกเองก็ตกใจที่พิศามาแรงมาก พิศาไม่ฟังฟาดรองเท้าเปรี้ยงใส่เพทาย
เพทายลงไปทรุด “โอ๊ยยยยย!!!”
พิศาหันไปอาละวาดเขมมิกต่อ
“แก...จะเอาให้ได้ใช่มั้ย!!” พิศาตบเขมมิกดังเปรี้ยง!
เขมมิกกระเด็นออกไป “โอ๊ยยย”
“เฮ้ย ไอ้เขม!!!” เนตรนิภาตกใจ
พิศาเดินตาม สาวิกาก็ตาม เนตรนิภาเดินตามไป ทิ้งเพทายที่งงๆ ท่ามกลางนักเที่ยวที่พากันมุงดู พลางหัวเราะ และเม้ามอย เพทายรู้สึกอายมาก สาวิกาวิ่งกลับเข้ามา
“ยังไปไหนไม่ได้นะคะคุณเพทาย คุณเพื่อนพิศาให้วิกามาคุมตัวคุณรอสำเร็จโทษค่ะ ขอโทษนะคะ”
สาวิกาล็อคคอเพทายด้วยความจำใจแต่ก็เต็มที่มาก
“ฮึบ!”

“โอ๊ย...หาย..ใจ...ไม่...ออก” เพทายบ่น

พิศาวิ่งตามเขมมิกที่วิ่งออกมาหน้าผับ เนตรนิภาวิ่งตามมา

“แกอย่าหนีนะ!!”
เนตรนิภาบอกพิศา “หยุดเถอะค่ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
เขมมิกวิ่งออกมาหน้าผับได้ก็หันไป จากสายตาของแมวเชื่องกลายเป็นเสือสาวพร้อมเอาเรื่องพิศา
“ไม่ได้หนี แต่เปลี่ยนที่!!!” เขมมิกบอก
“ดี ฉันจะได้ตบแกถนัดๆ”
พิศาเงื้อมือเข้าหาเขมมิก เขมมิกยกขาถีบสวนออกไปก่อนจนพิศากระเด็น
“โอ๊ยยย แกถีบฉัน!!!”
“ก็เออสิ..มาตบฉันก่อนทำไม”
เนตรนิภาเข้าไปช่วยพยุงพิศา “ก็เตือนแล้วนะคะ แต่ฟังเอง ว่าให้หยุดๆ”
“ไม่ต้องมาช่วย!” พิศาตวาด
“ก็ได้....” เนตรนิภาปล่อยทันที
พิศาร่วงลงไปอีก “โอ๊ย...ปล่อยฉันทำไม! เจ็บก้นนะ!”
“เอ๊า ก็บอกว่าให้ปล่อย ก็ปล่อยสิคะ”
“แก กวนประสาทฉัน!”
เขมมิกเสียงเขียว “นี่! หยุดพล่านซะทีเหอะ ยัยคุณหนูเอาแต่ใจ คนที่เธอควรจะเหวี่ยงคือแฟนตัวดีของเธอโน่น ไม่ใช่พวกฉัน ฉันแค่ทำงานของฉัน และก็ถือว่าประสบความสำเร็จด้วย เพราะฉะนั้น จ่ายมาหมื่นห้า ค่าจ้างทดสอบ
ความมั่นคงของแฟนเธอ”
เพทายที่ถูกสาวิกาล็อคคอออกมาถึงกับตกใจ
“อะไรนะ...”
“ใช่! แฟนคุณจ้างฉันให้มาอ่อยคุณ...เพื่อพิสูจน์ว่าระหว่างคุณกับเขาจะรักกันมากแค่ไหนเชี้ยว...!! และผลก็ออกมาอย่างที่เห็น”
“คุณมัน....ไอ้ผู้ชายหลายใจ ไม่รักจริง เห็นสาวๆสวยๆ ซึ่งอาจจะน้อยกว่าฉัน” เนตรนิภาว่า
เขมมิกขัดจังหวะเนตรนิภาแบบไม่พอใจที่เนตรนิภาข่ม “เฮ้ย....”
“ขอโทษ สวยเท่ากัน...” เนตรนิภาด่าต่อ “เห็นสาวๆสวยๆเป็นไม่ได้ ระริกระรี้”
“หางกระดิก นิ้วกระดกเตรียมกดเบอร์โทรหา สารเลว!!!” เขมมิกว่า
“กรี๊ดดด พอแล้ว ไม่ต้องด่า ฉันด่าได้คนเดียว!” พิศาปรี๊ดแตก
“ผมไม่ได้....”
สาวิกากระตุกแขน ทำให้รัดคอเพทายแน่นขึ้น “ไม่มีใครถามค่ะคุณเพทาย คนผิดไม่มีสิทธิ์แก้ตัวค่ะ เพราะคาหนังคาเขา”
“บอกว่าไม่ต้องด่าเพทายไง ฉันด่าได้คนเดียว”
“เออ งั้นก็ไปให้โอวาทกันทีหลัง จ่ายมาก่อน !” เขมมิกบอก
“ฉันไม่จ่าย!” พิศาว่า
“อ้าว!!!!”
เขมมิกเตรียมเอาเรื่องพิศาทันที แต่พิศาไม่ครั่นคร้าม ท่ามกลางความหวาดวิตกของเนตรนิภาและสาวิกาที่มองตาปริบๆ ด้วยความเสียวไส้ แล้วเขมมิกก็ย่างเข้าหาพิศา จากนั้นเธอก็ปล่อยหมัดตรงเข้าใส่หน้าของพิศาดังเปรี้ยง!!!!

เขมมิกเดินหงุดหงิดมาที่รถที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ เนตรนิภาเดินหน้าซีดตามมาติดๆ
“เฮ้ย...จะดีเหรอ เขม นั่นมัน...ลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าของบริษัทเรานะเว้ย”
“แคร์ที่ไหน...ต่อให้เป็นเทวดาฉันก็ไม่สน ฉันไม่ชอบคนผิดคำพูด!” เขมมิกว่า
เขมมิกนึกถึงพิศาแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด

พิศาร้องกรี๊ดในสภาพทรงผมยับเยิน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยลิปสติก
“กรี๊ดดดด!! นังเขมมิก ฉันเกลียดแก!!!”
เพทายเดินเข้ามา “ผมก็เกลียดคุณ พิศา”
“อะไรนะ...”
“คุณร้ายกว่าที่ผมคิด แถมตอนนี้...ยังดูน่าเกลียด ไม่ใช่สิ ดูไม่ได้ต่างหาก”
“นี่! ตัวเองเป็นคนผิด ไม่ต้องมาโบ้ย!” พิศาว่า
“ถึงจะไม่มีเรื่องคืนนี้เกิดขึ้น ผมก็ตั้งใจจะบอกเลิกคุณอยู่แล้ว”
พิศาช็อก “หา!!!”
สาวิกาเข้ามาได้ยินพอดีก็ตกใจ “อุ๊ย....”
“ผมเบื่อที่คุณคุมผมแจ ไม่มีที่ว่างให้ผมได้หายใจ”
สาวิกาเสริม “โอ๊ย อย่าหวังค่ะ ให้ว่างก็ตอนเข้าไปทำธุระหนักในห้องน้ำเท่านั้นค่ะ”
“ชอบออกคำสั่ง ทำเหมือนผมไม่มีสมอง” เพทายพูดต่อ
สาวิกาเสริม “ไม่มีใครฉลาดเท่าคุณเพื่อนเค้าหรอกค่ะ คนอื่นต้องโง่ไม่งั้นไม่คบ”
“ผมเป็นแฟนนะ ไม่ใช่ทาส”
“ทาสรักไงคะ” สาวิกาเสริม
เพทายตะคอกใส่สาวิกา “เสร่อ! ไปให้พ้นเลย !”
สาวิกาตกใจจึงรีบวิ่งออกไป “ค่ะ ไปค่ะ”
“ผมขอเลิกกับคุณ ต่อไปนี้ ต่างคนต่างเดิน ผมจะไม่ขอเกี่ยวข้องกับผู้หญิงที่มีแต่ความสวยแต่ไม่อร่อยอย่างคุณอีก!”
เพทายเดินออกไปโดยทิ้งให้พิศายืนช็อกก่อนจะแหกปากลั่น

“นังเขมมิก ฉันจะฆ่าแก แกทำให้เพทายบอกเลิกกับฉัน นังเขมมิก!”

แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)

เขมมิกยังหงุดหงิด

“โอ้ย!!! ดูสิ เสียเวลา เสียเหงื่อ แถมยังถูกเบี้ยวเงินอีก ครั้งแรกที่ฉันโดนเบี้ยวนะเนี่ย โอ๊ยยยย เสียประวัติชิบเป๋ง”
“เฮ้ย..แต่นั่น ลูกสาวเจ้าของบริษัทเรานะ..เฮ้ย”
“ยังจะพูดประโยคนี้อีกนานมั้ย”
“เฮ้ย...ไม่คิดไม่ได้นะ...ถูกไล่ออกนะ...เฮ้ย”
“ไม่มีทาง...ไม่ได้บกพรองในหน้าที่ ถ้าไล่ฉันออก ฉันฟ้องกรมแรงงาน”
“เฮ้ย.....”
เขมมิกตัดบท “ไม่ต้องเฮ้ยแล้ว ขึ้นรถ”
เนตรนิภาขึ้นรถไปทันที เขมมิกขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างสวิงสวายมาก
“เฮ้ย...ช้าๆสิ ฉันยังไม่อยากตายก่อนเจอเนื้อคู่นะเฮ้ย....” เนตรนิภาว่า
“แกหาแฟนผู้หญิงเหอะ ตอนนี้เหลือตกถึงท้อง มีแต่ผู้ชายเลวๆ หรือไม่ก็พวกเก้งกวาง ฟังเพลงดีกว่า”
เสียงเพลงจากวิทยุดังกระหึ่มขึ้น พระจันทร์ลอยเด่นท่ามกลางดวงดาวระยิบระยับ

พิแสงยืนเคร่งเครียดเพราะไม่พอใจ
“ไอ้ทีเด็ด!”
“นายอย่าโกรธมันเลยครับ” หลอดบอก
“ไอ้ทีเด็ดมันน่าสงสาร” เสริมว่า
“น่าสงสาร สงสารมันทำไม มันหนีออกไปกี่ครั้งแล้ว หา!!!” พิแสงโมโห
พิแสงมองไปยังคอกหมูที่ว่างเปล่า
“ไอ้หมูตัวดี เลี้ยงไม่เชื่อง! จะจัดการกับมันยังไงดี”
ปริญญ์ สัตว์แพทย์หนุ่มสมาร์ทและสุภาพอ่อนโยนขับรถจิ๊ปเข้ามาจอดก่อนจะก้าวลงมาอย่างเท่ห์
“ก็ออกไปตามหาสิครับ คุณพิแสง” ปริญญ์บอก
“ก็คงงั้น....ไอ้หลอด ไอ้เสริม ไปตามตัวมันมา บอกมันนะ ถ้าไม่กลับ พรุ่งนี้เช้ามันได้อยู่ในหม้อรวมกับใบมะกรูด ข่าตะไคร้ และใบมะขามแน่!”
“อั๊ยยะ นายหัวใจดำ” หลอดแซว
“หมูตาดำๆ ทำได้ลงคอ” เสริมว่า
“แล้วฉันเคยทำได้หรือเปล่า ไปเร็วๆ! ไป!”
“เดี๋ยวฉันช่วยหา” กนธีบอก
หลอดและเสริมรีบวิ่งไปกับกนธี พิแสงรู้สึกหงุดหงิดจึงจะกลับบ้าน พอหันมาก็เจอปริญญ์ที่กำลังมองหน้าพิแสง อย่างเข้มและเครียด
“ผมมีเรื่องทีเด็ดจะต้องคุยกับคุณ” ปริญญ์บอก
“ทีเด็ดอะไร ใช่เวลามั้ย” พิแสงย้อนถาม
“ผมหมายถึงหมูพ่อพันธุ์ของคุณ”
“แล้วไป”

พิแสงคุยกับปริญญ์ที่มุมหนึ่งของฟาร์ม
“ว่ามา หมอหมู”
“ปริญญ์ครับ”
“ว่ามา หมอปิ๊น”
ปริญญ์ส่ายหัวเอือมๆ “ไม่มีใครต้อนคุณให้ทำตามคำพูดของคนอื่นง่ายๆได้เลยใช่มั้ย”
“ผมเป็นคนไม่ใช่หมูไก่เป็ด จะมาต้อนอะไร”
“โอเค เข้าเรื่อง”
“ก็ว่ามา”
“คุณกำลังทำให้ทีเด็ดน้อยใจ เพราะคุณหมางเมิน ไม่สนใจ หลังจากที่คุณได้ปุ๊กลุกมาเลี้ยง” ปริญญ์บอก
“ไอ้หมูนั่นอิจฉาหมูเด็กเหรอ” พิแสงถาม
“หมูก็มีหัวใจเหมือนคนนะครับ คนที่มาทีหลังมักจะได้รับความสนใจมากกว่าคนที่มาก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่ทำให้ทีเด็ดเห็นว่า คุณไม่ได้ลืมมันหรือรักมันน้อยลง ปัญหาที่ทีเด็ดหนีออกจากคอกบ่อยๆเพื่อเรียกร้องความสนใจก็
จะไม่เกิดขึ้น”
“เหรอ”
“ใช่เมื่อจิตใจของทีเด็ดเป็นปกติ คราวนี้ คุณก็จะได้น้ำเชื้อที่แข็งแรงจากมันไปผสมพันธุ์กับแม่พันธุ์ตัวอื่นๆได้”
“ทำไมพ่อพันธุ์ตัวอื่นไม่เห็นมีปัญหาเยอะเหมือนมันเลยล่ะหมอ”
“หมูแต่ล่ะตัวก็มีลักษณะเฉพาะตัวครับ จะให้ผมอธิบายมั้ย ว่ามีลักษณะกี่ประเภท ยังไงบ้าง”
พิแสงรีบยกมือห้าม “เฮ้อ...เวรกรรม”
“ไม่ใช่เรื่องของเวรของกรรมครับ เป็นเรื่องที่คุณควบคุมได้”
“แล้วผมต้องทำไง”

ปริญญ์ยิ้มพอใจที่พิแสงยอมอ่อนลงและมีท่าทีเชื่อฟัง

เวลาผ่านไป ทีเด็ดเข้าไปอยู่ในคอกแล้ว หลอดและเสริมช่วยกันล็อกประตูอย่างแน่นหนา

“ซนใช่เล่นนะเนี่ย ทีเด็ด” กนธีว่า
“พรุ่งนี้จะมาเปลี่ยนกลอนใหม่ รับรอง เอ็งเปิดเองไม่ได้แน่ ไอ้ทีเด็ด” หลอดบอก
พิแสงเดินเข้ามาพูดเสียงเข้มกับหลอด “เฮ้ย! พูดกับมัน..เอ่อ..เขาดีๆหน่อย”
กนธี หลอด และเสริมมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ พิแสงเดินเข้ามากับปริญญ์ พิแสงมองหน้าปริญญ์ ปริญญ์พยักหน้าให้ พิแสงสูดลมหายใจก่อนจะค่อยๆเดินไปที่ทีเด็ดซึ่งยืนนิ่งอยู่
พิแสงเสียงดุ “ไอ้ทีเด็ด!”
ปริญญ์เตือน “คุณพิแสง...”
พิแสงมีเสียงอ่อนลงทันที “คุณทีเด็ดครับ ผมขอโทษ ที่ผมเคยทำไม่ดีกับคุณ”
ทีเด็ดเดินหนี
พิแสงหลุด “เล่นตัวเหรอแก!”
ทีเด็ดหันมาส่งเสียงคร่อกใส่
“หมอปิ๊น..ได้ยินมั้ย มันด่าผม” พิแสงฟ้อง
“ด่าแรงด้วยนะ ด่าดังคร่อก!!!” กนธีเสริม
“ใครอยากจะง้อก็ง้อมันเหอะ ผมคนหนึ่งล่ะ ไม่ง้อ” พิแสงพูดกับทีเด็ด “ถ้ายังหนีออกไปแว้นข้างนอกอีกนะ ฉันจะจับแกลงหม้อต้มยำใบมะขามจริงๆ ไป ไอ้ธี”
พิแสงเดินหัวเสียออกไปกับกนธี ปริญญ์ หลอด เสริม มองตามพิแสงแล้วส่ายหัว
“สอนไม่เคยจำ” ปริญญ์ว่า

เปี่ยมพงษ์ สามีใหม่จอมกะล่อนของขนิษฐา แม่ของเขมมิกเปิดประตูออกมาด้วยความดีใจ เขมมิกมองเปี่ยมพงษ์อย่างไม่เป็นมิตร
“มองอะไร!” เขมมิกเสียงแข็ง
เปี่ยมพงษ์ทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ย “มองลูกสาวคนสวย...แหม แต่งตัวซะเปรี้ยว...เห็นแล้ว...”
เขมมิกผลักเปี่ยมพงษ์ออกไปแล้วตะโกนเรียกแม่ “แม่ เขมมาหา! เมื่อไหร่จะล้างบ้านเนี่ย เห็บ หมัดมาเกาะอยู่ไม่รู้สึกบ้างหรือไง”
เปี่ยมพงษ์สะอึก เนตรนิภาเดินมามองหน้าเปี่ยมพงษ์
“แรงนะคะ” เนตรนิภาว่า
“ใช่! ทำไมว่าลุงอย่างนี้ล่ะ ลุงมีแต่ความหวังดีคำน้อยก็ไม่เคย...”
เนตรนิภาตัดบท “ลุงจะไปไหนก็ไปเถอะค่ะ อยู่ต่อ อาจจะเจอแรงกว่านี้นะคะ”
เนตรนิภารีบวิ่งตามเขมมิกไป เปี่ยมพงษ์มองตามด้วยสายตากร้าว
“เรื่องอะไรจะไป”
เปี่ยมพงษ์เดินเข้าไปในบ้านอย่างสบายอารมณ์

เขมมิกเดินมาเห็นขนิษฐากำลังนั่งหันหลังรีดผ้าอยู่
“แม่....หนูเอาเงินเดือนมาให้” เขมมิกบอก
ขนิษฐาพูดโดยไม่หันมา “เงินเดือนออกแล้วเหรอ”
“อืม...อ่ะ เอาไว้เป็นค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ไฟ กินอยู่ของแม่นะ หนูไม่ได้ให้คนอื่น”
“วางไว้บนโต๊ะแหละ แล้วก็รีบกลับไปซะ ไม่ทำงานเรอะ”
เขมมิกสังเกตเห็นว่าเตารีดของแม่ไม่ได้เสียบปลั๊ก แต่ขนิษฐายังคงรีดผ้าอย่างตั้งใจ เขมมิกรู้ได้ทันทีว่ามีเหตุผิดปกติเกิดขึ้นกับแม่อีกแล้ว เขมมิกจึงรีบเดินไปจับไหล่แม่ให้หันมา
“แม่...”
ขนิษฐาปัดออก “อะไร อย่ามาจับ แม่ตัวเหนียว”
เขมมิกออกแรง “แม่ หันมา!!”
ขนิษฐาหันมาตามแรงดึงของเขมมิก เขมมิกตกใจที่เห็นใบหน้าของแม่มีรอยฟกช้ำที่เบ้าตาจากการถูกซ้อมขนิษฐาน้ำตาซึมแล้วพยายามเบือนหน้า
เขมมิกโกรธ “ไอ้เปี่ยมพงษ์มันทำแม่อีกแล้วใช่มั้ย!”
เขมมิกโกรธมากจึงเดินออกไป
“เขม ลูก อย่า อย่า เขม!!”
ขนิษฐารีบวิ่งตามเขมมิกออกไป

เนตรนิภากำลังกินน้ำ เขมมิกเดินลิ่วเข้ามาในครัวโดยผ่านหน้าเนตรนิภาไป เขมมิกพุ่งไปหยิบมีดขึ้นมาถือ เนตรนิภาถึงกับสำลักน้ำพรวดรีบวางแก้ว
“เขม!!”
เขมมิกจะเดินออกไป ขนิษฐาเข้ามาขวางเอาไว้
“ใจเย็นก่อนนะลูก เขม!”
“ไม่เย็นแล้วแม่! วันนี้ ต้องเคลียร์”

เขมมิกพุ่งออกไป เนตรนิภาและขนิษฐาเดินตามไปอย่างรวดเร็ว

เปี่ยมพงษ์กำลังนั่งดูทีวีอย่างสบายใจ เขมมิกถือมีดเดินเข้ามา

“ไอ้เปี่ยมพงษ์! แกทำแม่ฉัน แกตาย!”
เปี่ยมพงษ์กระโดดหนี “เฮ้ย!! หนูเขม!”
เนตรนิภาเข้าไปห้าม “อย่า เขม อย่า!!”
ขนิษฐายืนร้องไห้อยู่ใกล้ๆ
“แกมองหน้าแม่ฉันให้ชัดๆ เดี๋ยวนี้เลยนะ!” เขมมิกสั่ง
“หนูเขม ใจเย็นๆ ค่อยๆพูดค่อยๆจากันนะ” ขนิษฐาปราม
“ฉันบอกให้แกมองหน้าแม่ฉัน มอง!”
“จ๊ะ มองจ๊ะ แม่หนูสวย ซึ้ง น่าสงสาร” เปี่ยมพงษ์ประชด
“แล้วทำไมต้องตบตีแม่ ที่เป็นอยู่ แม่ฉันยังเลี้ยงแกไม่ดีพออีกเหรอ หา ไอ้แมงดา!”
“อย่า เขม ลูก อย่าว่าเค้า”
“ฉันจะว่า เผื่อมันจะได้สติ สำนึกในบุญคุณของแม่ ที่เป็นเมียมัน ไม่ใช่ทาสในเรือนเบี้ย นึกจะทำทารุณยังไงก็ได้ ทั้งๆที่หาให้มันกินมันใช้จนแทบไม่ต้องกระดิกนิ้วไปทำอะไร”
“ลุงรักแม่หนูนะ ที่ลุงทำ เพราะว่าแม่หนูดื้อเองต่างหาก” เปี่ยมพงษ์อ้าง
“เพราะแกมันโรคจิต ชอบข่มผู้หญิงให้อยู่ใต้เท้าแกต่างหาก ไอ้แมงดา!” เขมมิกด่า
“อ้าวเฮ้ย ด่ากันขนาดนี้ ไม่ให้เกียรติกันเลย...ดูลูกเธอนะ ขนิษฐา เพราะมีลูกแบบนี้ไง ฉันถึงได้กลายเป็นผัวมีปัญหาทางบ้าน จะให้อยู่อย่างสบายใจได้ไง”
เปี่ยมพงษ์เดินหนี
“เออ ดี ออกไปเลยนะ แล้วอย่ากลับมา กลับมาอีก ฉันปาดคอแกแน่ ไอ้เห็บหมา!”
ขนิษฐาตบหน้าเขมมิก “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!”
เขมมิกอึ้ง เนตรนิภาเองก็อึ้งทั้งตกใจและสงสารเขมมิก
“แม่...แม่ตบเขมได้ยังไง เขมเป้นลูกแม่นะ แต่ไอ้นั่นมันคนอื่น มันซ้อมแม่มากี่ครั้งแล้วตั้งแต่แม่ยอมให้มันเข้ามาอยู่ด้วย แม่ให้เขมอดทน ยกโทษให้มันอยู่ได้ เพื่อ เพื่อ เพื่อ!!!”
“เพื่อให้มีสักคนที่ยังอยู่กับแม่ ไม่ทิ้งแม่ไปเหมือนกับพ่อ แล้วก็แกไง!”
เขมมิกอึ้ง ขนิษฐามองหน้าเขมมิกแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ เขมมิกปล่อยมีดที่ถือทิ้งลงบนพื้นแล้วเดินหนีไป เนตรนิภารีบเดินตามเขมมิกไป ขนิษฐาร้องไห้ด้วยความเสียใจ

เขมมิกเดินมาลงนั่งด้วยความเสียใจ เธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา เนตรนิภาเดินมานั่งข้างๆเขมมิก เขมมิกเบือนหน้าหนี
“แกไม่ต้องปิดฉันหรอก สำหรับแก ยิ่งกว่าน้ำตาของความอ่อนแอฉันก็เห็นมาแล้ว ร้องออกมาเหอะ”
เขมมิกยังกลั้นน้ำตาเอาไว้อยู่
“ฉันทำเป็นมองไม่เห็นก็ได้ อ่ะ” เนตรนิภาบอก
เนตรนิภานั่งหันหลังให้เขมมิก ทั้งสองนั่งหันหลังชนกัน เขมมิกน้ำตาร่วงกราว เนตรนิภาถอนใจด้วยความสงสารเพื่อนแล้วก็ปล่อยให้เขมมิกนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น

ขนิษฐาหยุดร้องไห้ เธอลุกขึ้นมาแล้วเดินไปค้นที่หลังตู้กับข้าวก่อนจะหยิบขวดเหล้ามาเปิดฝาดม ขนิษฐารู้สึกดีแล้วยกขวดจะดื่ม

เขมมิกหยุดร้องไห้ เธอปาดน้ำตา
“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย” เนตรนิภาถาม
“ยัง”
“โอเค”
เขมมิกน้ำตาซึมอีกรอบ
“แกคงยังไม่เบื่อที่ฉันร้องไห้เพราะเรื่องของแม่ใช่มั้ย” เขมมิกถาม
“เบื่อ” เนตรนิภาตอบ
“เอ๊า ไม่เคยเห็นแกบ่น”
“เบื่อแต่เข้าใจ ว่าแก...คงอึดอัดและทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้”
“ฉันอยากจะทำนะ ไอเดียดีด้วย”
“งั้นก็ทำเลย”
“เอามีดไปกระซวกไอ้เปี่ยมเห็บหมา ให้มันหลุดออกไปจากชีวิตของแม่สักทีนะเหรอ” เขมมิกถาม
เนตรนิภาตกใจแล้วก็เปลี่ยนใจ “โอเค! แค่คิดเป็นไอเดียเฉยๆดีแล้ว ไม่ต้องลงมือทำ”
“จู่ๆ...อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วเหลือเกิน”
“ชีวิตก็เงี้ยแหละ ขึ้นๆลงๆ”
“จู่ๆ พ่อก็ทิ้งแม่ไปมีเมียน้อย ทำให้จู่ๆฉันก็ถูกเรียกตัวกลับจากเมืองนอกทั้งๆที่กำลังจะเรียนจบ เพราะพ่อไม่ส่งเสียต่อ แล้วจู่ๆ พ่อก็ตาย แล้วจู่ๆหนี้ที่พ่อกับนังเมียน้อยนั่นร่วมกันสร้างก็กลายมาเป็นของแม่ฉัน เพราะดันเป็นภรรยาที่จดทะเบียนถูกต้องกับพ่อ”
“ไม่มีอะไรจู่ๆแล้วก็เกิดขึ้นเองได้หรอกแก ทุกอย่างมีเหตุและปัจจัย” เนตรนิภาว่า
ขนิษฐาเสียงแข็ง “สาธุ!!”
เขมมิกและเนตรนิภาตกใจจึงหันไปเห็นขนิษฐาที่เมาแอ๋ไปแล้ว ในมือของขนิษฐาถือเอกสารใบหนึ่งมายื่นให้
เขมมิก
“เพื่อนแม่ชีของแกพูดถูก” ขนิษฐาบอก
“หนูชื่อเนตรค่ะ แม่...”
“รู้..แต่จะเรียกแม่ชี เพราะป่านนี้ยังเป็นโสด ไม่มีผัวสักที...จบป่ะ”
“แรงแต่จบค่ะ”
เขมมิกเห็นแม่เมาแล้วก็เบื่อ “กินเหล้าอีกเหรอแม่”
“กินนมมั้ง” ขนิษฐาย้อน
“จบ! อะไรในมือน่ะ” เขมมิกถาม
“ใบทวงหนี้จากทนายที่พ่อแกกับเมียน้อยมันโยนให้ฉันรับผิดชอบไง...”
เขมมิกอึ้ง
“ถ้าแกยังเป็นลูกของฉัน ก็เอาไปจัดการ แล้วต่อไปนี้ ถ้าแกยังคิดร้ายกับผัวฉันก็ไม่ต้องมาเหยียบบ้านนี้อีก ฉันไม่ต้อนรับ”
“แม่....”
“จบป่ะ จะไปไหนก็ไปไป๊!”
“หนูหนีไปต่างประเทศดีกว่า”
“แกก็ดีแต่หนี เหมือนพ่อแก”
“อืม...งั้นหนีไปคอนโดหนูแล้วกัน สวัสดีนะแม่ ไป เนตร!”
เขมมิกดึงจดหมายจากขนิษฐามาแล้วรีบจูงมือเนตรนภาเดินออกไป
เขมมิกตะโกนบอกแม่แต่ไม่หันมา “เงินวางไว้บนโต๊ะแล้วนะ”
“สวัสดีค่ะแม่”
“เออ เจริญพร!”
เนตรนิภายิ้มแหยกับอาการเมาที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนของขนิษฐา แล้วก็รีบเดินตามเขมมิกไป ขนิษฐายืนแอ่นไปแอ่นมาแบบปวดร้าวอยู่ลึกๆ เธอมองมือตัวเองที่เพิ่งตบหน้าเขมมิกด้วยความรู้สึกผิดก่อนจะไล่ความรู้สึกผิดออกไปพร้อมกับความรู้สึกเจ็บที่หลังใบหู

“เป็นไรวะ...”

เขมมิกเดินมาหยุดที่ริมระเบียงคอนโด เธอมองเอกสารทางกฏหมายในมือแล้วถอนใจ เขมมิกปวดหัวกลุ้มใจ

“สิบล้านเนี่ยนะ...แค่แสนเดียวยังไม่มีติดบัญชีเล้ย เขมมิกเอ้ย”
เขมมิกเหม่อมองออกไปไกลบนฟ้า เธอเห็นท้องฟ้ากรุงเทพยามราตรีที่เต็มไปด้วยแสงสี

พิแสงนั่งมองท้องฟ้าเหนือฟาร์มที่เต็มไปด้วยดาวดารดาษ เขาก้มลงมองปุ๊กลุกที่นอนหลับอยู่บนตัก
“ขี้อ้อนนะเรา....เอาน่า ฉันไปกรุงเทพแค่ไม่กี่วัน แล้วจะรีบกลับ..” พิแสงมองไปบนท้องฟ้าเพราะคิดถึงใครบางคน “ฉันสัญญาว่าจะคิดถึง...ไม่ลืมหรอก...ปุ๊กลุก.....”

เครื่องบินของสายการบิน “P บูติกแอร์ไลน์” แล่นบนรันเวย์ เขมมิกในรองเท้าคัทชูและสวมเครื่องแบบแอร์โฮสเตสสายการบิน P บูติกแอร์ไลน์สุดเก๋ไก๋ เธอลากกระเป๋าเดินเร่งฝีเท้าเข้ามา เนตรนิภาที่ใส่เครื่องแบบเหมือนกันเดินตามมา ทั้งคู่เดินผ่านเคาน์เตอร์ขายตั๋วเครื่องบินของสายการบิน P บูติกแอร์ไลน์ และเดินผ่านป้ายสิ่งพิมพ์ที่เป็นภาพเขมมิกยืนสวัสดีเป็นพรีเซ็นเตอร์ของสายการบินตั้งอยู่ พร้อมสโลแกนของสายการบิน “เหนือฟ้ามีดาว เหนือระดับมี P Boutique Airline...ดูแลคุณดุจดั่งครอบครัว”

แสงสุดาเดินลงบันไดของโถงบ้านลงมาดุจดั่งนางพญา มือของเธอสะพายกระเป๋าและอยู่ในชุดอลังการเนี้ยบ
แสงสุดาพูดน้ำเสียงเฉียบขาด “ครอบครัวจะเป็นครอบครัวไม่ได้ ถ้าผัวไปทางเมียไปทาง”
พิสุทธิ์ในชุดสูท ตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของสายการบินยืนกุมมือต่อหน้าแสงสุดา
“แต่ผัวไปทำงาน เมียไม่ต้องไปทางเดียวกับผัวก็ได้” พิสุทธิ์บอก
“ได้ยังไง คุณตัดสินใจอะไรไม่เคยเด็ดขาด จนพนักงานที่สายการบินมันจะขึ้นมาขี่คออยู่แล้ว รู้ตัวหรือเปล่า” แสงสุดาว่า
“คุณก็อย่าขี่คอผมให้เป็นตัวอย่างกับพวกนั้นสิ”
“คุณพิสุทธิ์ ฉันเป็นเพื่อนเล่นคุณหรือไง”
“ไม่ใช่ครับ เป็นแม่ เอ๊ย เมีย”
“งั้น ฉันไปกับคุณได้หรือยัง”
“ได้ครับได้”
เสียงพิศาดังขึ้น “ยังไปไม่ได้ค่ะ”
แสงสุดากับพิสุทธิ์ตกใจจึงหันไป พิศาที่ร้องไห้จนตาบวมเดินเข้ามา
“มีอะไรลูก พิศา” แสงสุดาถาม
“ทะเลาะกับแฟนมาอีกล่ะสิ ถึงได้ร้องไห้วิ่งมาให้พ่อกับแม่ปลอบอีก” พิสุทธิ์เดา
“พิศากลายเป็นคนไม่มีแฟนแล้ว!”
แสงสุดากับพิสุทธิ์ตกใจ
“อะไร ยังไง เมื่อไหร่” แสงสุดาถาม
“เมื่อคืนก่อนค่ะ เพทายบอกเลิกกับหนู เพราะใครรู้มั้ยคะ เพราะนังเขมมิก แอร์โฮสเตสของคุณพ่อ !!”
แสงสุดากับพิสุทธิ์พูดพร้อมกัน “อะไรนะ!!”

เขมมิกที่เปลี่ยนเป็นชุดทำงานในเครื่องบินกำลังช่วยผู้โดยสารเก็บสัมภาระอย่างแข็งขัน เนตรนิภา เพื่อนแอร์ โฮสเตรสและสจ๊วตสองสามคนช่วยนำผู้โดยสารมานั่งที่เก้าอี้ตามหมายเลขบนตั๋วและดูแลผู้โดยสารอย่างใกล้ชิด

แสงสุดาจับมือพิศาให้นั่งลงที่โซฟาในบ้าน
“เล่าให้แม่ฟังอย่างละเอียด ว่านังคนนั้นมันไปสร้างความร้าวฉานให้ลูกกับตาเพทายได้ยังไง”
“ผมขอตัวไปทำงานก่อนดีกว่านะ ท่าทางจะยาว” พิสุทธิ์บอก
แสงสุดารีบบอก “นั่งค่ะ”
พิสุทธิ์นั่งทันที “ครับ”
“ว่ามาพิศา อย่าให้แม่รอนาน”
“มันชื่อเขมมิก แอร์โฮสเตสสายการบินของเรา แต่มันรับจ๊อบ ช่วยทดสอบรักแท้ของแฟนชาวบ้านค่ะ มันจะไปอ่อย ยั่วทำสารพัดวิธีให้ตกหลุมเสน่ห์มัน”
“มีจ๊อบแบบนี้ในโลกด้วยเหรอ” พิสุทธิ์งง
“ตราบใดที่ยังมีผู้ชายเจ้าชู้อยู่ในโลก จ๊อบแบบนี้มันก็มีค่ะ”
พิสุทธิ์จ๋อยแล้วคิดว่าเงียบดีกว่า แสงสุดาค้อนให้พิสุทธิ์วงใหญ่ก่อนจะหันไปซักพิศาต่อ
“แสดงว่าเราไปใช้บริการนังนั่น แล้วตาเพทายดันไปหลงมันจริงๆแล้วบอกเลิกลูกงั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะแม่ เพทายหลงมันไม่ลืมหูลืมตา เพราะนังเขมมิกมันบุกไปเอาตัวเสนอให้ถึงที่บ้าน เพราะมันเห็นเพทายรวย เลยอยากเกาะ ไม่อยากเหนื่อยทำงานหาเงินเอง” พิศาบอก
“ผู้หญิงคนนี้มันร้าย” แสงสุดาว่า
“คุณพ่อต้องจัดการมันให้หนูนะ”
“จะให้พ่อทำยังไงล่ะ”
“ไล่มันออกค่ะ!”
“โอ๊ย...มันเรื่องส่วนตัวของพนักงาน พ่อ...”
แสงสุดาตัดบท “เรื่องนี้ ปล่อยให้แม่จัดการเอง ไปทำงานเถอะคุณ แล้วนี่...ยัยพิศิณีไปไหน จะแต่งงานพรุ่งนี้อยู่แล้ว ยังจะออกไปไหนอีก”
แสงสุดากับพิสุทธิ์ลุกไปทันทีโดยทิ้งให้พิศานั่งงงที่จู่ๆแสงสุดาก็อารมณ์เปลี่ยน
“คุณแม่!!! แค่เนี้ยะ...”
“ยังไม่ชินอีกเหรอลูก” พิสุทธิ์ย้อนถาม
พิสุทธิ์วิ่งตามแสงสุดาไป

เขมมิกกำลังเตรียมอาหารกับเนตรนิภา สจ๊วตคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบกับเขมมิก
“ตัว....ว่างรับจ๊อบอีกมั้ย”
“ขึ้นค่าดำเนินการนะ ช่วงนี้ของแพง” เขมมิกว่า
“แรงอ่ะ ทำไมงกจังยะ”
“มันกำลังหาเงินไปใช้หนี้” เนตรนิภาบอก
“เหรอ...ก็ได้...อ่ะ เบอร์แฟนฉัน...ช่วยเทสต์หน่อยว่าไปกระร่อยกะหริบกับกะเทยหัวโปกที่ไหนหรือเปล่า”
เขมมิกรับเบอร์มา “จัดไป”
สจ๊วตเดินออกไป แอร์โฮสเตรสคนหนึ่งเดินเข้ามาในสภาพน้ำตาร่วง
“โหย..เจ๊ ยังทำใจไม่ได้อีกหรือไง เลิกกับผู้ชายเจ้าชู้หัวงูแบบนั้นได้เป็นบุญเจ๊แล้วนะ” เขมมิกถาม
“ขอบใจเขมที่ทำให้เจ๊เห็นสันดานขอมัน...แต่เจ๊เสียดาย....ผู้ชายหายากที่สำคัญ เจ๊ยังไม่อิ่มเลย”
“โอย! หายากก็ไม่ต้องหา สวย รวย โสดแบบนี้น่ะดีจะตาย”
เนตรนิภามองเขมมิกสายตาเศร้า “ดีจริงเหรอ...ไม่นะ อยากมีแฟนอยู่”
เขมมิกเซ็ง “น่าเบื่อ ชะนีอารมณ์เปลี่ยว”
เขมมิกเดินออกไปแล้วก็ตะลึงค้างจนถอยหลังกรูดมาติดผนัง เนตรนิภาและเพื่อนแอร์โฮสเตสตกใจ
“เป็นอะไรเขม เห็นผีเหรอ”
“แกรู้มาก่อนหรือเปล่าว่า...ไฟลท์นี้...จะมีสองคนนั่นมาด้วย” เขมมิกถาม

เนตรนิภางง เขมมิกกังวลใจมาก

แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)

พิทยาและพิศิณียืนคุยกับแอร์โฮสเตสและสจ๊วต

“แหม...กัปตันยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะคะ” แอร์โฮสเตสชม
“ผมไม่ได้เป็นกัปตันแล้ว อย่าเรียกผมแบบนี้เลย เรียกพีทเฉยๆก็พอ” พิทยาบอก
สจ๊วตพูดออกสาว “นั่นสิ ตอนนี้คุณพีทกำลังจะเป็นถึงลูกเขยของท่านประธาน ต่อไปก็ต้องนั่งเก้าอี้ผู้บริหารไม่ใช่เก้าอี้กัปตันหน้าปุ่มบังคับเครื่องบิน”
“แต่ผมก็ยังคิดถึงพวกคุณเหมือนเดิมนะ คิดถึงสมัยที่เรายังบินด้วยกัน”
พิทยาเหลือบมองเข้าไปด้านในของเครื่องก็เห็นแอร์โฮสเตสกับสจ๊วตคนอื่นๆ กับผู้โดยสาร พิศิณีรู้ว่าพิทยาคิดถึงใครจึงได้แต่ยิ้มๆ ไม่พูดอะไร แอร์โฮสเตสและสจ๊วตมองหน้ากันเพราะรู้เป็นนัย ทั้งหมดได้แต่ยิ้มสู้แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“ไปหาดใหญ่ทำไมคะ คุณพิศิณี หรือว่าต้องไปเชิญแขกมาร่วมงานแต่ง” แอร์โฮสเตสถาม
“ไปเรื่องงานน่ะค่ะ พีทเขาอยากไปเซอร์เวย์ ฉันก็เลยขอตามไปด้วย”
“ว้าย...รักกันขนาดนี้ ลูกหัวปีท้ายปีแน่นอน” สจ๊วตชม
พิศิณียิ้มเขิน พิทยาโอบพิศิณีกระชับเข้ามาด้วยความรัก
“เชิญ...ห้องวีไอพีดีกว่านะคะ เชิญค่ะคุณพิศิณี คุณพีท” แอร์โฮสเตสบอก
พิทยาประคองพิศิณีเดินตามแอร์โฮสเตสเข้าไป สจ๊วตมองอย่างอิจฉาและปลาบปลื้ม สจ๊วตหันหลับมาก็ตกใจจนช็อกที่เห็นเขมมิกยืนหน้าเครียด ตาขวางอยู่ข้างหลัง ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ว้าย !!!” สจ๊วตตกใจ
เนตรนิภาเข้ามาปรามสจ๊วต
“ชู่ว์..อย่าสาวแตก!”
สจ๊วตชี้ไปที่เขมมิกอย่างกลัวๆ “มันเป็นอะไร”
“แกคิดว่ามันจะเป็นอะไรได้ล่ะ ถูกกัปตันพีททิ้งไปแต่งงานกับลูกสาวเจ้าของบริษัทน่ะ” เนตรนิภาบอก
เพื่อนๆหันไปมองหน้าเขมมิกที่ยังคงตาขวางยืนไร้วิญญาณอยู่
สจ๊วตตอบทันที “เป็นบ้า......”
เขมมิกพูดอย่างไร้วิญญาณมาก “ฉันอยู่ชั้นประหยัดนะ ใครลากฉันไปวีไอพี ฉันจะฆ่ามัน”
เขมมิกเดินเลื่อยลอยกลับเข้าไปข้างใน เนตรนิภาและเพื่อนๆมองตามอย่างสยอง

เขมมิกนั่งซึมที่เก้าอี้ผู้โดยสารริมหน้าต่าง เธอเหม่อมองเห็นพิทยาเดินกุมมือพิศิณีอยู่ที่ข้างล่างด้วยสายตาปวดร้าว เขมมิกคิดถึงภาพอดีตขึ้นมาทันที

ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา เขมมิกกำลังสำรวจความเรียบร้อยภายในห้องโดยสารที่ไม่มีใครอยู่แล้ว พิทยาย่องมาทางด้านหลังเขมมิกแล้วสวมกอดที่เอวของเขมมิก
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์จ๊ะ”
“ว้าย...กัปตัน” เขมมิกตกใจ
พิทยาให้กุหลาบงามหนึ่งดอก “มีความสุขมากๆนะ เขมคนสวยของผม”
“ขอบคุณมากค่ะ”
พิทยามองตาเชื่อม เขมมิกรีรอเพราะคิดว่าพิทยาจะให้อะไรอีก แต่พิทยายังคงเงียบ
“แค่เนี้ยะ...?” เขมมิกถาม
พิทยาพยักหน้า
“กุหลาบ?”
พิทยาพยักหน้า
เขมมิกทำใจ “โอเค กุหลาบดอกเดียวก็ได้”
จู่ๆพิทยาก็ลงคุกเข่าต่อหน้าเขมมิก
“เขม......”
“น่านไง...” เขมมิกรีบตอบด้วยความดีใจมาก “เยสค่ะ!”
“คุณรู้ได้ไง”
“ไม่รู้ รู้แต่ว่ารู้ ว่าคุณจะขออะไรเขม”
พิทยาลุกขึ้น “ผมไม่เคยเซอร์ไพรส์คนอย่างคุณได้เลยจริงๆ”
พิทยาเปิดกล่องแหวนที่หยิบออกมาจากเสื้อนอก ข้างในเป็นแหวนเพชรเม็ดเล็กๆ น้ำงาม พิทยายื่นให้เขมมิก
“ขอผมคุกเข่าหน่อยเถอะนะ ไม่งั้น..มันดูเป็นการขอแต่งงานที่ไม่สมบูรณ์ไงไม่รู้”
“ตามใจสิคะ....”
พิทยาลงคุกเข่าแล้วยืนกล่องแหวนให้เขมมิก
“แต่งงานกับผมนะ เขม...”
“ค่ะ”
ทันใดนั้นเนตรนิภา เพื่อนแอร์โฮสเตส และสจ๊วตหลายคนก็โผล่ขึ้นมาจากมุมต่างๆ ทุกคนพากันปรบมือแสดงความยินดี

เขมมิกเขินมากก่อนจะโผเข้ากอดพิทยา

เขมมิกนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วก็น้ำตาซึม

“ใครบอกว่าคุณไม่เคยเซอร์ไพรส์ฉันได้ คุณทำได้ และทำได้ดีซะด้วย”
เขมมิกคิดถึงเหตุการณ์อันเจ็บปวดจากพิทยาในอดีตอีกครั้ง

พิทยากุมมือที่สวมแหวนของเขมมิกเอาไว้
“ไหน มีอะไรจะมาบอกให้ฉันเซอร์ไพรส์ ดูซิ...ว่าจะทำได้หรือเปล่า” เขมมิกถาม
“เขม....เราเลิกกันเถอะ” พิทยาบอก
“โอ๊ย เฉยๆ สิวๆ ไม่รู้สึก”
พิทยาพูดจริงจังมาก “ผมพูดจริง”
เขมมิกอึ้งจนค้าง
“ผม...ขอโทษ...ผม...แต่งงานกับคุณไม่ได้แล้ว”
เขมมิกยังคงช็อก
“ผม...รักผู้หญิงอีกคน...ผมพยายามตัดใจจากเขาแล้ว แต่ผมทำไม่ได้”
“แต่ตัดฉันออกไป ทำได้ใช่มั้ย”
พิทยาอึ้งแล้วก้มหน้านิ่ง เขมมิกค่อยๆปล่อยมือจากพิทยาก่อนจะค่อยๆถอดแหวนออกแล้วทิ้งลงพื้น
“เขม...ทำไมไม่เก็บเอาไว้”
พิทยาจะก้มลงเก็บ
“อย่าเก็บ!” เขมมิกเสียงแข็ง
พิทยาชะงัก เขมมิกมองแหวนด้วยความแค้นใจ เธอตัดสินใจใช้เท้าเหยียบแล้วบี้ๆๆๆ ก่อนจะกระทืบๆๆ อย่างโกรธแค้น พิทยายืนมองอย่างปวดร้าว
“ตัดฉันได้ง่ายๆ ฉันก็ตัดคุณได้ไม่ยากเหมือนกัน ขอให้คุณโชคดี”
เขมมิกหันเดินออกไปอย่างไม่แคร์ แต่เมื่อลับหลังพิทยา น้ำตาของเขมมิกก็ไหลออกมา โดยไม่เห็นว่าสายตาของพิทยาที่มองตามเขมมิกนั้นปวดร้าวสักเพียงไหน

เขมมิกนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วก็น้ำตาซึมก่อนจะหัวเราะขำตัวเอง
“ฮ่ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สะใจจริงๆ ฮ่ะๆๆๆ”
เนตรนิภาเดินเข้ามาเห็นเขมมิกทั้งหัวเราะทั้งมีน้ำตาก็เริ่มเป็นห่วงเขมมิก
“เขม..แกโอเคป่ะ”
“เฮ้ย โอเค โอเคมาก”
“แต่ฉันว่าไม่...ใจเย็นนะ เดี๋ยวก็กลับกรุงเทพแล้ว ฉันจะพาแกไปปล่อยผี ไปทำงานเหอะ ผู้โดยสารขึ้นเครื่องแล้ว”
เขมมิกพยักหน้าช้าๆ แล้วกลับเข้าสู่โหมดเซื่องซึมอีกครั้ง ในขณะที่เดินตามเนตรนิภาไป

ผู้โดยสารทะยอยเข้ามาในเครื่อง แอร์โฮสเตสกับสจ๊วตช่วยพามานั่ง บ้างช่วยเก็บสัมภาระ เขมมิกเดินเซื่องมาแล้วก็หยุดสลับกับเดิน แล้วเธอก็มาหยุดที่พิแสงซึ่งกำลังเก็บสัมภาระด้วยตัวเองอยู่ จู่ๆ เขมมิกก็ตะโกนลั่นใส่หูพิแสง
“ฉันเกลียดผู้ชาย!”
พิแสงหูอื้อและตกใจ “เฮ้ยย! คุณ! มาด่าใส่หูผมทำไม!”
พิแสงหันมามองหน้าเขมมิก เขมมิกเห็นหน้าพิแสงแล้วก็อึ้ง นิ่งงันกันไปทั้งสองคน

เขมมิกและพิแสงยังจ้องมองกันเหมือนคุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อน โดยเฉพาะเขมมิกรู้สึกคุ้นมาก จนต้องถาม

“เรา...เคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า...คะ”
พิแสงอึ้ง “ไม่....”
เขมมิกยังคุ้น “คุณ....เหมือน....”
พิแสงดึงตัวเองกลับมาเสียงเข้มเหมือนเดิม “อย่ามาใช้มุกนี้จีบผม”
เขมมิกสะอึกแล้วก็รู้สึกเคืองขึ้นมาทันที
“ใครจีบคุณ!”
“มีแต่ผู้ชายที่กล้าทำ นี่เป็นผู้หญิงแท้ๆ หน้าไม่อาย”
เขมมิกฉุน “นี่!”
“ชื่ออะไร”
พิแสงมองที่ป้ายชื่อเขมมิกซึ่งติดอยู่ที่หน้าอก
“เล็กจัง”
เขมมิกเข้าใจผิดคิดว่าถูกวิจารณ์หน้าอกจึงเอามือปิด “ว้าย!”
พิแสงดึงมือเขมมิกออก “ปิดทำไม ขอดูให้ถนัดๆหน่อย..” พิแสงเอื้อมไปจะจับป้ายชื่อ
เขมมิกเข้าใจผิดคิดว่ากำลังจะถูกจับหน้าอกจึงโมโหมาก เธอยกมือไหว้ “ขอโทษด้วยนะคะผู้โดยสาร”
พิแสงแปลกใจจึงยั้งมือเอาไว้ เขมมิกต่อยสวนเปรี้ยงเข้าเบ้าตาพิแสงทันที
พิแสงร้องลั่น “โอ๊ย!!”
เนตรนิภา เพื่อนแอร์โฮสเตสและสจ๊วตเข้ามาเห็นก็ตกใจ “เขม”
กนธีเดินเข้ามาจากอีกทางหนึ่งก็ตกใจ “พิแสง”
เนตรนิภาและเพื่อนแอร์โฮสเตสกับสจ๊วตมองหน้าเขมมิก “ซวยแล้ว!!”
เขมมิกเดือดมากเกินกว่าจะคิดว่าตัวเองซวย

ผู้จัดการหญิงตบโต๊ะด้วยความไม่พอใจจนเขมมิกที่นั่งตัวลีบอยู่ตรงหน้าสะดุ้ง
“รู้มั้ยว่าคนที่เธอต่อยเค้าน่ะ เป็นใคร”
เขมมิกตอบทันที “ผู้โดยสารค่ะ”
“ไม่ใช่ผู้โดยสารธรรมดา”
“พิเศษเพิ่มลูกชิ้นเหรอคะ”
“เขมมิก!”
“ขอโทษค่ะ หนูไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใคร รู้อย่างเดียว มันมองนมหนู”
“พูดใหม่”
“เค้ามองหน้าอกหนู แถมยังมาดูถูกอีกว่าของหนูเล็ก”
ผู้จัดการถอนใจแล้วแอบมองหน้าอกของเขมมิกแวบหนึ่ง เขมมิกเบี่ยงตัวหลบแล้วแอบดันทรงให้อัพขึ้นมาก่อนจะเบี่ยงกลับมาใหม่อย่างมั่นใจ
“โอเคยัง...” ผู้จัดการถาม
“เรียบร้อยค่ะ เห็นมั้ยคะ ว่าไม่เล็ก”

ผู้จัดการเอือมระอา “เขมเอ๊ย....”

พิแสงนั่งเอาผ้าประคบเบ้าตาตัวเองที่มีรอยช้ำเล็กน้อย

“ยัยนั่นของแกคือคุณเขมมิก เป็นนางฟ้าที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา...และเป็นอนาคตแม่ของลูกฉันด้วย” กนธีบอก
“ทำงานไม่ได้เรื่อง ไม่หัดควบคุมอารมณ์ตัวเอง สายการบินไม่น่าปล่อยให้คนแบบนี้ทำให้องค์กรตัวเองเสียชื่อเสียง”
“เฮ้ย แล้วแกไปมองหน้าอกเค้าทำไมวะ สมควรแล้วที่ถูกต่อย นี่ถ้าไม่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนรัก ฉันจะต่อยซ้ำให้ช้ำเท่ากันอีกข้าง โทษฐานตัดหน้า”
“ฉันไม่ได้มองหน้าอกยัยนั่น ฉันจะดูว่าชื่ออะไร แต่ยัยนั่นเข้าใจผิดไปเอง”
“จริงอ่ะ ฉันไม่เชื่อ เสืออย่างแก ไม่สิ้นลายง่ายๆหรอก ฉันได้กลิ่น”
“ไอ้ธี!”
“ก็ได้...”
“ไปเหอะ คุณแม่ส่งรถมารับ ป่านนี้รอนานแล้ว”
พิแสงกับกนธีรีบลุกเดินออกไป

เขมมิกเปลี่ยนท่าทีเป็นสงบลงแลดูน่าสงสารมาก
“หนูรู้ค่ะ ว่าหนูทำผิดจรรยาบรรณ ไม่น่าให้อภัย แต่ในฐานะความเป็นมนุษย์ และเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ หนูถูกย่ำยีศักดิ์ศรีอย่างรุนแรงนะคะพี่ ใครจะทนไหว”
“คุณพิแสง...บอกว่าไม่ได้มองหน้าอกแก” ผู้จัดการบอก
“มองค่ะ”
“เค้าจะดูป้ายชื่อ”
“เค้าบอกว่าเล็ก”
“เค้าหมายถึงตัวอักษรที่ป้าย”
เขมมิกอึ้งและเริ่มหน้าเสีย
“จริงเหรอคะ ว้า...แย่จัง ทำไปได้ เข้าเบ้าตาตรงๆเลยนะเนี่ย แม่นมาก....”
“การไปต่อยคุณพิแสงไม่ได้แย่เท่าไหร่หรอก” ผู้จัดการบอก
“พี่เข้าใจหนูใช่มั้ยคะ ถ้าพี่เข้าใจ หนูยอมให้พี่หักเงินเดือนชดใช้ความผิดโดยไม่อิดออดเลยค่ะ แต่หักปีหน้าได้มั้ยคะ ปีนี้หนูใช้เงินเยอะ ไม่สะดวก”
“การหักเงินเดือนแก ก็ไม่ใช่เรื่องแย่เหมือนกัน”
“อย่าบอกนะคะว่าพี่จะไล่หนูออก หนูเป็นพนักงานดีเด่นสามปีซ้อน แล้วนี่ก็เพิ่งเป็นความผิดครั้งแรกของหนูนะคะ อย่าทำแบบนี้ มันไม่ยุติธรรม”
“เลิกฟูมฟายก่อนได้มั้ย ฉันไม่ได้ไล่แกออก แต่ถ้าคนอื่นรู้ล่ะก็ไม่แน่”
“ใครคะ ใครจะมีอำนาจไล่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินออกได้ถ้าไม่ใช่พี่”
แสงสุดาก้าวฉับๆเข้ามา “ฉันเอง!”
ผู้จัดการสะดุ้งแล้วลุกขึ้น เขมมิกมองแสงสุดาอย่างงงๆ
“ป้าคนนี้ใครคะ”
แสงสุดามองเขมมิกอย่างไม่พอใจ
“ป้าแกสิ...คุณแสงสุดา ภรรยาท่านประธานสายการบินของเรา คุณแม่ของคุณพิแสง คนที่แกต่อยเบ้าตาเค้าน่ะ” ผู้จัดการบอก
“อ๋อ..คนกันเอง..นึกว่าใคร...” เขมมิกเพิ่งจะรู้ตัวว่าชะตาขาด “หา!!”
เขมมิกรีบลุกขึ้นไหว้แสงสุดาอย่างชดช้อย แล้วก็โพสท์วางมือในท่าที่ถูกต้อง
“สวัสดีค่ะ....โลกกลมนะคะ”
เขมมิกหันไปแอบกระซิบถามผู้จัดการ
“เรื่องนี้ถึงหูครูแสงสุดาได้ไงคะ”
“ใช่เวลาพูดเล่นสนุกปากมั้ย” ผู้จัดการย้อนถาม
“ก็หนูเครียด!!!..ตกลง ป้าเค้ารู้ได้ไง”
“ฉันไม่รู้”
แสงสุดดาโผล่มาแทรกกลาง “ไม่มีอะไรที่ฉันไม่รู้!”
เขมมิกกับผู้จัดการตกใจจนวงแตก “ว้าย!”
แสงสุดามองเขมมิกหน้าเข้ม เขมมิกจ๋อย

พิแสงกับกนธีเดินลากกระเป๋ามาที่หน้าออฟฟิศสายการบิน จู่ๆกนธีก็หยุดเดินแล้วมองไปข้างหน้าตาเชื่อม
“สวัสดีอีกครั้งครับ...คุณเขมมิก”
กนธียิ้มให้กับ die cut รูปถ่ายเขมมิกที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ยืนไหว้อยู่ พิแสงเดินกลับมา พอเห็นรูปเขมมิกแล้วเขาก็สะดุ้งตกใจ
“เฮ้ย!!!”
“เนื้อคู่ชัดๆ เดินไปไหนก็เจอ” กนธีบอก
ทันใดนั้น กนธีก็ปรี่เข้าไปอุ้มรูป die cut เขมมิกขึ้นมา
“เฮ้ย ไอ้ธี ทำบ้าอะไรวะ” พิแสงถาม
“พาหนี”
“ไอ้บ้า วางลง!”
“อย่ามาขัดขวางความรักของฉัน อย่าทำร้ายจิตใจเพื่อนอย่างนี้!”
“หรือจะให้ทำร้ายร่างกายแทน ฐานขโมยทรัพย์สินบริษัทแม่ฉัน”
“วางก็ได้”
กนธีวางรูปเขมมิกลง
“ยิ่งมีอุปสรรค ความรักของเราจะยิ่งแข็งแรงขึ้น รักแล้วรอหน่อยนะครับ นางฟ้าของผม”
เนตรนิภาเดินมากับเพื่อนแอร์โฮสเตสและสจ๊วตด้วยความเป็นห่วงเขมมิก
“เจ๊มีธุระ ฝากบอกเขมด้วยนะ...สู้ๆ พวกเจ๊เป็นกำลังใจให้” เพื่อนแอร์โฮสเตสคนหนึ่งบอก
“เดี๋ยวจะพาไปเลี้ยงปลอบขวัญ โอเค้” สจ๊วตพูด
“จ๊ะ ขอบใจพวกเจ๊มากนะ” เนตรนิภาบอก
แอร์โฮสเตสและสจ๊วตเดินลากกระเป๋าออกไป เนตรนิภาหันกลับมาเห็นพิแสงและกนธียืนอยู่ เนตรนิภามองกนธีด้วยสายตามีความหมายบางอย่างก่อนจะค่อยๆลากกระเป๋าเดินเข้าไปหา
พิแสงพูดกับกนธี “อ้อยอิ่งอาลัยอยู่นั่น ไปได้หรือยัง”
เนตรนิภาทักขึ้น “ขอโทษนะคะ...”
พิแสงกับกนธีหันมาเห็นเนตรนิภากำลังยืนเอาผมเหน็บหูอยู่ ทั้งคู่แปลกใจ
“ขอโทษแทนเพื่อนดิฉันน่ะค่ะ ที่ต่อยคุณ....” เนตรนิภาพูด
“ผมรอคำขอโทษจากปากของเพื่อนคุณมากกว่า” พิแสงบอก
พิแสงเดินหงุดหงิดออกไป
กนธีถามเนตรนิภา “แล้วคุณเขมมิก เป็นไงบ้าง ออกมาจากห้องเชือดหรือยังครับ”
กนธีเพ่งมองเนตรนิภา เนตรนิภาหลบตาด้วยความขวยเขิน
“เป็นอะไร....ปวดท้องหรือไง บิดไปบิดมาอยู่ได้ ผมถามเรื่องคุณเขมมิก เป็นไงบ้าง”
เนตรนิภาเซ็ง “นี่คุณ....จำฉันไม่ได้จริงๆเหรอคะ”
กนธีพูดกับตัวเอง “น่านไง...มามุกนี้อีกแล้ว...เฮ้อ ผู้หญิงนะผู้หญิง....”
“เราเคยเจอกันมาก่อน ที่ฮัมบูร์กไงคะ จำได้มั้ยคะ”

กนธีอึ้งมองมา เนตรนิภาสบตากนธีแล้วกระพริบตาถี่พร้อมทั้งยิ้มหวานแบบแบ๊วที่สุดเพื่อให้กนธีจำได้

เขมมิกยืนยิ้มแหย ในขณะที่แสงสุดาเดินสำรวจเขมมิกชนิดหัวจรดเท้า

“เนี่ยเหรอ...พนักงานดีเด่นของสายการบิน แต่ต่อยเบ้าตาผู้โดยสารซึ่งเป็นลูกชายคนโตของเจ้าของสายการบิน นายจ้างตัวเอง”
“ค่ะ...พอดีไม่มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจตอนต่อยค่ะ เลยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ถ้ารู้ จะกราบเท้าแทนค่ะ ไม่ต่อย”
ผู้จัดการหยิกเขมมิก “อย่าประชด!”
“เก่งดีนี่....” แสงสุดาเดินสำรวจอีก “เนี่ยเหรอ...อดีตแฟนเก่าของพิทยา ว่าที่ลูกเขยฉัน”
เขมมิกและผู้จัดการอึ้ง
“คุณแสงสุดารู้ได้ยังไงคะ...ปิดกันให้แซ่ดเลยนะคะ กลัวกระทบกระเทือนจิตใจคุณพิศิณี” ผู้จัดการบอก
“ไม่มีอะไรที่ฉันไม่รู้”
เขมมิกอึ้งและเครียดทันที “ค่ะ ดิฉันเอง... แต่...เรื่องส่วนตัวของดิฉัน ไม่น่าจะถูกยกขึ้นมาพูดตอนนี้”
“เพราะจะเป็นข้อมูลใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะไล่เธอออกดีหรือเปล่า” แสงสุดาบอก
เขมมิกอึดอัดมากจนอยากจะเถียง
ผู้จัดการหยิกเขมมิก “ไม่ต้องพูด!”
แสงสุดาสำรวจอีก “เนี่ยเหรอ ผู้หญิงที่มาแย่งแฟนยัยพิศาลูกสาวคนเล็กของฉัน”
เขมมิกพูดเสียงตึง “ไม่ได้แย่งค่ะ เค้ามาเอง”
“อ๊อออออ เหรออ” แสงสุดาเสียงสูง
ผู้จัดการหยิกเขมมิกอีก “รูดซิปปาก”
เขมมิกทนไม่ไหว “อยากจะไล่ออกก็ไล่เลยค่ะ แต่อย่าเล่นสงครามเย็นกดดันแบบนี้”
แสงสุดาสวนขึ้นมา “อยากตกงานนักหรือไง”
“ไม่ได้อยากค่ะ แต่ถ้าตก ก็ต้องตก ช่วยไม่ได้นี่คะ ฉันทำผิดกฏบริษัทเอง”
“แน่ใจนะ” แสงสุดาถามย้ำ
“แต่ถ้าไม่ตกก็จะดีกว่าค่ะ” เขมมิกบอก
“เขมมิกไม่ใช่คนเหลวไหลเลยนะคะ เป็นคนดี กตัญญูรู้คุณ ขยันทำงานเลี้ยงแม่เลี้ยงตัวมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ไม่เคยเกี่ยงงานหนัก โอ๊ย...คนแบบนี้ร้อยปีถึงจะโคจรเกิดมาสักทีค่ะ ควรรักษาเอาไว้”
“คนดีแบบไหน...รับจ๊อบทดสอบผู้ชาย ผู้หญิงดีๆเขาไม่ทำกันหรอก”
“แต่คนแบบฉันนี่แหละค่ะ ที่ป้องกันไม่ให้ผู้หญิงดีๆหลายคนต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าเพราะผู้ชายเจ้าชู้ และไม่ซื่อสัตย์”
ผู้จัดการอ่อนใจและเริ่มกลัวแทนเขมมิก “ไอ้เขมมมมม....บอกว่าอย่าเถียง”
“ตกลง...จะไล่ฉันออกด้วยเหตุผลข้อไหนคะ หรือถูกทุกข้อ”
พูดจบเขมมิกก็มองแสงสุดาอย่างไม่เกรงกลัว แสงสุดามองตอบเขมมิกแล้วยิ้มอย่างเหนือกว่า ทั้งสองดูเชิงกันสุดฤทธิ์

เขมมิกเดินหน้าบูดมาตามทางด้วยอาการซึมเศร้า ก่อนจะดีใจสุดตัว
“เยส!!! ดวงยังแข็งนะจ๊ะ เขมมิก หึๆๆๆ โหะๆๆๆๆ หะๆๆๆๆๆ”
เขมมิกเดินลั้ลลาด้วยความสบายใจออกไป

ผู้จัดการเดินนอบน้อมมาส่งแสงสุดา
“ขอบพระคุณมากนะคะ ที่ยังเมตตาเขมมิก ดิฉันรับรองค่ะว่าจะดูแลไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
แสงสุดาถามย้ำ “แน่ใจนะ”
“แอบโซลูทลี่ชัวร์ แน่ใจที่สุดค่ะ”
“เพราะไม่อย่างนั้น แม่นั่นได้กระเด็นออกไปจากที่นี่ และจะไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิดที่สายการบินไหนได้อีก เพราะฉันจะแทงบัญชีดำ”
แสงสุดาหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์โทรออกอย่างไม่สนใจผู้จัดการอีกต่อไป
ผู้จัดการปาดเหงื่อ “แรง....”
แสงสุดาก้าวฉับๆออกไปพลางคุยมือถือ
“สมชาย....เจอตาใหญ่หรือยัง” แสงสุดาพูดโทรศัพท์

พิแสงเดินลากกระเป๋าคุยมือถือเข้ามาโดยไม่ได้ดูทาง
“ไอ้ธี! แกหายไปไหนของแกวะ ฉันรออยู่ที่....”
พิแสงเดินไปชนเข้ากับเขมมิกอย่างจัง
พิแสงกับเขมมิกร้องพร้อมกัน “โอ๊ย!!”
ทั้งสองคนเซถลา ก่อนจะตั้งสติได้จึงหันมามามองหน้ากัน
พิแสงฉุน “อีกแล้วเหรอ”
“อีกแล้วไรยะ”
“ยัยผีกระเป๋า...จะตามหลอกหลอนฉันอีกนานมั้ย”
“สบายใจได้เลย ว่าอีกนานแน่...ไอ้ลูกแหง่ขี้แยชอบฟ้องแม่! ฝีมือนายสินะที่ไปฟ้องแม่ให้มาเล่นงานฉัน แต่เสียใจ คนอย่างเขมมิก ตายยาก เหนียวมาก รู้ไว้ซะ!”
เขมมิกลากกระเป๋าเดินหนี
“เดี๋ยวๆ ฉันไม่รู้เรื่อง อย่ามาหลอกด่าแล้วเดินหนี”
พิแสงเดินเข้าไปขวาง
“ถอยไป!”
“ให้ความเคารพกันบ้างไม่ได้เลยใช่มั้ย” พิแสงโมโห
“ไม่ให้! เท้าเหยียบอยู่บนพื้นดินแบบนี้ ฉันกับนายมีฐานะที่เท่าเทียมกัน แค่ความเป็นลูกชายขี้ฟ้องของเจ้านายฉัน ไม่ได้ทำให้นายดูน่าเคารพ จะถอยไม่ถอย”
พิแสงเสียงแข็ง “ไม่ถอย”
“ไม่ถอยเหรอ...ได้....”
เขมมิกแกล้งเป็นลม “โอ๊ย”
พิแสงตกใจจริงจึงเข้าไปพยุง “เธอ เป็นอะไร...”
“เป็นลม” เขมมิกอยู่ในอ้อมกอดของพิแสงแล้วอึ้ง ยิ่งได้ดมเสื้อ กลิ่นตัวแล้วยิ่งอึ้งจนมองหน้าพิแสง “นาย...”
พิแสงสบตาเขมมิกแล้วพูดเสียงอ่อน “ไปนั่งพักก่อนมั้ย”
เขมมิกเสียงอ่อน “ไม่เป็นไร....เพราะหายแล้ว”
เขมมิกดึงขนจมูกพิแสงอย่างแรง
“โอ๊ยย” พิแสงเจ็บจนน้ำตาเล็ด
เขมมิกผลักพิแสงออกไป แล้วเอากระเป๋าฟาดหลังอย่างแรง
“นี่แน่ะ!!”
“โอ๊ย!!”
“พูดดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลัง ถอยไป!”
เขมมิกกระแทกพิแสงแล้วเดินออกไป พิแสงทรงตัวได้มองตามหงุดหงิด
“ยัยผีกระเป๋าลาก! โรคจิต!!” พิแสงเจ็บจมูกที่ถูกดึงขนบวกกับเจ็บหลัง
แสงสุดาเดินเข้ามาหาพิแสง
“ตาใหญ่...”
พิแสงชะงักแล้วสำรวมขึ้นมาทันที “ครับ...คุณแม่”
“มาจนได้นะเรา”

พิแสงยิ้มๆ น้อยๆ แล้วมองหน้าแสงสุดาอย่างไม่เต็มตานัก เพราะทั้งสองมีเรื่องผิดใจกันมาก่อนหน้านี้

แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)

กนธีนั่งดื่มเครื่องดื่มไปมองหน้าเนตรนิภาที่นั่งเขินจิ้มหลอดน้ำส้มคั้นไป

“ตกลง...จำได้หรือยังคะ ว่าเราเคยพบกันที่ไหน...” เนตรนิภาถาม
กนธีตอบทันที “ยัง”
“ผ่านมาก็ตั้ง..เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะคะ ยังจำไม่ได้อีกเหรอ ทานปลามั่งมั้ยคะเนี่ย มีโอเมก้าสาม ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ฝากฉันซื้อก็ได้นะ ที่ดิวตี้ฟรี”
กนธีขัดจังหวะ “จำได้แล้ว!!”
เนตรนิภาดีใจ “จริงเหรอคะ”
“จริง”
กนธีมองหน้าเนตรนิภาแล้วจับมือขึ้นมามองซึ้ง เนตรนิภาใจเต้นแรง
“คุณนั่นเอง...เป็นคนที่อยู่ตรงนั้น”
“อือหื้อ ฉันเอง”
“คุณนั่นเอง...เป็นคนที่ผมจำได้ติดตา ตรึงใจ”
“อือหื้อ ฉันเอง”
“คุณนั่นเองที่ผม...บอกว่า...”
“เป็นรักครั้งแรกของคุณ...เยส คุณจำได้แล้ว คุณกิ๊บปี้! ฉันเนตรนิภาค่ะ”
“ซอรี่นะ...ผมไม่ได้ชื่อกิ๊ปปี้ และผมก็จำได้ว่า...ไม่เคยรู้จักคุณ! สรุปจำไม่ได้”
เนตรนิภาอึ้งและเหวอไป
“อย่ามาตู่ เห็นผมหน้าตาหล่อ ดูดี มีฐานะหน่อยไม่ได้ ใช้แผนตื้นๆจับเลยหรือไง ผู้หญิงสมัยนี้เป็นไงวะ ให้ผู้ชายจีบก่อนไม่ได้หรือไงออกตัวแรงแซงทางโค้ง น่ากลัว”
เนตรนิภาเสียใจมาก “แรงอ่ะ”
“ต้องแรง กับผู้หญิงแรงๆ ถูกแล้ว!”
“แต่คุณทำเหมือนจำได้...คุณมาเสียเวลาดื่มกาแฟกับฉัน แล้วก็มองหน้าฉัน”
“ก็จะดูไง ว่าผู้หญิงอย่างเธอ จะแถไปได้ถึงไหน...อีกอย่าง หิวกาแฟพอดี มีอะไรป๊ะ”
“งั้นก็กินให้อร่อยเลยนะ!” เนตรนิภายกกาแฟสาดใส่กนธี
“เฮ้ย!!”
“แถมด้วยน้ำนางเอก ฉันไม่กินแล้ว”
เนตรนิภาสาดน้ำส้มที่เหลืออยู่ใส่กนธีอีกแก้ว
กนธีตกใจ “เฮ้ย!!”
“เพราะต่อไปนี้ ฉันจะเป็นนางมารร้าย!! !! ไอ้ผู้ชายหลอกลวง ไม่มีความรับผิดชอบ รู้มั้ย ว่าฉันต้องแบกความรู้สึกคิดถึงนายมานานกี่ปี จนทำให้เดินไปข้างหน้าไม่ได้ ไม่ยอมรับรักใครเพราะรอนาย” เนตรนิภาปรี๊ดใส่หน้ากนธี “อ๊าย อ๊าย!”
กนธีตกใจจนสะดุ้งแล้วถอยกรูดไป “อ๊าย!!”
เนตรนิภาลุกหนีไป
“น่ากลัวอ่ะ...อ๊าย!” กนธีตกใจ

เขมมิกลากกระเป๋าเดินลิ่วๆ ตามหาเนตรนิภา
“ยัยเนตร....” เขมมิกหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเนตรนิภา
เขมมิกอึ้งที่เห็นพิทยากำลังเดินประคองกอดพิสิณีผ่านสายตาไป เขมมิกมองตามอย่างไม่คลาดสายตา พิทยาหันมาเห็นเขมมิกก็อึ้ง ในขณะที่พิสิณีกำลังง่วนอยู่กับการโทรศัพท์จึงไม่สังเกตเห็น เขมมิกชะงักแล้วรีบเดินหลบออกไปทันที พิทยาอยากเดินตามเขมมิก เขาจึงกระซิบพิสิณี
“ผมเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ ที่รัก”
“ค่ะ พีท สิณีรอตรงนี้นะคะ”
“ครับ”
พิทยารีบเดินฉีกออกมา พิสิณีโทรศัพท์ต่อโดยไม่รู้สึกผิดสังเกต

เขมมิกเดินหนีมาแล้วหันไปดูข้างหลังก็เห็นพิทยาเดินไล่ตามมา
“เขม เดี๋ยวก่อนเขม”
เขมมิกสะดุ้งแล้วรีบเดินหนีหายไปในกลุ่มคน พิทยาเดินตามอย่างไม่ลดละ

เขมมิกหนีเข้ามาหลบในมุมหนึ่ง พิทยาเดินตามมาหยุดมองหาเขมมิกโดยไม่เห็นว่าเขมมิกหลบอยู่ในมุมใกล้ๆ พิทยาเดินออกไป เขมมิกถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ...วันนี้มันไม่ใช่วันของฉันจริงๆ”
พิทยาก้าวเข้ามา “เขม...”
เขมมิกสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นพิทยายืนอยู่ข้างหน้าพร้อมกับมองมาด้วยสายตาที่ยังมีเยื่อใย
“คุณหนีผมไปไหนไม่พ้นหรอก”
“คุณจะอยากเจอฉันอีกทำไม” เขมมิกถาม
“เพราะผมยังคิดถึงคุณ”
“พูดมาได้หน้าไม่อาย...ทั้งๆที่พรุ่งนี้คุณกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับคุณพิสิณีเนี่ยนะ”
“ใช่...แต่ผมยังไม่ลืมคุณจริงๆนะ ยิ่งคุณหลบหน้าผมมากเท่าไหร่ ผมยิ่งคิดถึงคุณ ทำไมเราจะคุยกันดีๆเหมือนเมื่อก่อนอีกไม่ได้”
เขมมิกบอกทันที “ไม่ได้!”
พิสิณีเดินเข้ามาเห็นและได้ยินเข้าพอดีก็อึ้ง เธอหยุดแล้วแอบฟัง
“แล้วก็หยุดพูดถึงแต่ความรู้สึกและความต้องการของตัวเองสักทีเถอะ ฟังของฉันบ้าง ถ้าคุณยังไม่เลิกหาเรื่องมาคุยกับฉันอยู่แบบนี้ ความฝันที่คุณจะไต่เต้าเป็นลูกเขยเจ้าของสายการบินได้พังยับแน่ๆ” เขมมิกว่า
“คุณจะทำอะไร” พิทยาถาม
“ไม่มีใครบอกแผนร้ายให้ฝ่ายตรงข้ามรู้หรอกนะ !”
“อย่าบอกนะว่าคุณจะทำลายงานแต่งงานของผม”
“ก็บอกว่าไม่บอกไง เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์ !”
เขมมิกเดินหนีทันที พิทยาถอนใจด้วยความกังวล พอหันไปเพื่อจะเดินกลับเขาก็ต้องอึ้งเมื่อเห็นพิสิณียืนอยู่ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ที่รัก....คุณ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” พิทยาถาม
“เมื่อกี้เองคะ เห็นคุณหายไปนาน ทำไมต้องทำหน้าตื่นตกใจขนาดนั้นคะ พีท”
“ไม่มีอะไรจ๊ะ ผมคงเหนื่อย”
“งั้นรีบกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”

พิทยาโอบเอวพิสิณีเดินไป พิสิณีเก็บซ่อนอารมณ์ความเจ็บปวดเอาไว้แล้วเดินยิ้มไปกับพิทยา

เขมมิกลากกระเป๋าก้าวฉับๆมาจากทางหนึ่ง เนตรนิภาลากกระเป๋าก้าวฉับๆ ด้วยอาการเดียวกันกับเขมมิก มาจากอีกทางหนึ่ง เขมมิกและเนตรนิภามาเจอกันตรงกลาง

ทั้งสองคนอยู่ในอารมณ์บูดบึ้งเหมือนกัน จึงพากันเดินตีคู่มาพร้อมบ่น
“ผู้ชาย มีแต่ความเห็นแก่ตัว!” เขมมิกบ่นออกมา
เนตรนิภาเสริม “ปลวกที่สุด!”
เขมมิกกับเนตรนิภาหยุดเดิน แล้วหันมามองหน้ากัน ทั้งสองต่างเข้าใจความรู้สึกที่ถูกกระทำ
“วันนี้ มันไม่ใช่วันของฉันเลยอ่ะแก...!” เขมมิกบอก
“อยากลืมโลกอ่ะแก!” เนตรนิภาว่า
“งั้นไปกัน”
สองสาวลากกระเป๋าเดินคู่กันไปตามทางในสนามบิน

พิแสงนั่งนิ่งคนละฝั่งกับแสงสุดาภายในเบาะหลังของรถลีมูซีนหรู พิแสงมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา ส่วนกนธีนั่งข้างคนขับ
“นั่งสบายดีนะครับ...” กนธีพูดขึ้น
แสงสุดาไม่สนใจกนธี “จะมาอยู่กี่วัน”
กนธีจ๋อยจึงหันกลับไปยิ้มให้คนขับที่ตีหน้าเรียบเฉย กนธีเลยหันไปยิ้มกับกระจกข้างแทน
“เสร็จงานน้อง ก็ว่าจะกลับเลย” พิแสงบอก
“ไม่กลับมาบ้านซะนาน น่าจะอยู่นานๆหน่อย” แสงสุดาว่า
“ผมเป็นห่วงงานที่ฟาร์ม”
“แล้วงานทางนี้ล่ะ”
“ก็มีทั้งคุณพ่อ ยัยสิณี ไหนจะยัยเล็กที่เพิ่งเรียนจบ...”
“แต่ก็ไม่มีใครทำงานได้ถูกใจฉันเหมือนแก”
“คุณแม่ครับ ผมขอร้อง เราเคยคุยกันรู้เรื่องแล้วนะครับ ว่าผมจะดูแลฟาร์มเพื่อนเกษตรของคุณปู่ตามสัญญา”
“หรือที่ไม่ยอมกลับมาอยู่กรุงเทพ เพราะแกกำลังติดใจยัยน้ำหวานนั่น” แสงสุดาย้อนถาม
“น้ำหวานเป็นเลขาผม”
“แต่คงอยากจะใช้เต้าไต่ขึ้นมาเป็นเมียนายหัวให้ได้ เหมือนแม่มัน”
“ก็ไม่แน่นะครับ ยิ่งคุณแม่ตั้งแง่รังเกียจน้ำหวานมากเท่าไหร่ ผมอาจจะยิ่งสงสารเธอ และขอเธอแต่งงาน”
แสงสุดาฉุน “ตาใหญ่!!”
พิแสงถอนใจก่อนจะสั่งคนขับรถ
“จอดรถด้วย ฉันจะลง เจอกันที่บ้านครับ คุณแม่”
รถจอดเทียบข้างทาง
“ไป ไอ้ธี ลง!” พิแสงบอกเพื่อน
กนธีทำหน้าเหรอหรา “กำลังสบายเลย”
“งั้นก็นั่งไปกับแม่ฉันสองคน”
กนธีรีบลง “ไม่ดีหรอก เกรงใจ”
แสงสุดานั่งหน้าตึงไม่พูดไม่จา พิแสงและกนธีลงจากรถแล้วปิดประตูอย่างเรียบร้อย รถลีมูซีนออกตัวไป
“จะไปไหนเนี่ย...” กนธีถาม
พิแสงไม่พูด เขาโบกแท็กซี่ กนธีงงกับพิแสง

แสงสุดาหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์
“คุณธรรมศักดิ์...”

ธรรมศักดิ์คุยมือถืออยู่ในห้องของพิสุทธิ์
“ได้ครับ คุณแสงสุดา ได้เรื่องยังไง ผมจะรีบทำรายงานส่ง สวัสดีครับ”
ธรรมศักดิ์วางสาย พิสุทธิ์วางปากกาจากการเซ็นเอกสารแล้วคุยกับธรรมศักดิ์
“ฮองเฮาให้คุณไปทำอะไรอีก” พิสุทธิ์พูดล้อๆ
“สืบประวัติของคนบางคนครับ” ธรรมศักดิ์บอก
“มีแผนจะทำอะไรอีก”
“ไม่ทราบได้ครับ”
“คงจะกำชับกับคุณใช่มั้ย ว่าห้ามบอกใคร แม้กระทั่งผม”
“ครับ”
“คุณนี่ เป็นทนายความประจำครอบครัวที่เก็บความลับได้ดี เพราะอย่างนี้ไง ผมถึงได้ไว้วางใจให้คุณจัดการเรื่องตามหาคนให้ผม”
“โดยที่ไม่ให้ฮองเฮา เอ้ย คุณแสงสุดารู้เรื่อง ผมรับรองครับ”
“แล้วตามหาไปถึงไหนแล้ว”
“บ้านหลังนั้นถูกขายทอดตลอดไปแล้ว ไม่มีใครทราบว่า ลูกชายของคุณประมาณเพื่อนของท่าน ไปอยู่กับใครหลังจากที่คุณประมาณและคุณสดศรีเสียชีวิต” ธรรมศักดิ์รายงาน
“รีบตามหาเค้าให้เจอ ผมไม่อยากให้เค้าเข้าใจผมผิด ไม่อย่างนั้น ผมคงตายตาไม่หลับ”
“ครับ ท่าน เสร็จธุระแล้วผมขอตัวนะครับ”
“เชิญ”
ธรรมศักดิ์โค้งให้พิสุทธิ์แล้วเดินออกไป พิสุทธิ์นั่งเครียดเรื่องการตามหาลูกชายของเพื่อนที่ตรอมใจตายเพราะล้มละลายจากการทำธุรกิจสายการบิน

ก่อนที่พิสุทธิ์จะเทคโอเวอร์มารวมตัวกับ P บูติกแอร์ไลน์ในปัจจุบันนี้

อนงค์ลากตัววาศิณีมาที่หน้าบ้านพักของพิแสง

“โธ่ แม่...นายหัวเค้าไปกรุงเทพกับคุณกนธีแล้ว...จะพาหนูมาหาใคร” วาศิณีถาม
“ไม่ได้พามาหา แต่พามาให้แสดงตัว” อนงค์บอก
“แสดงตัวอะไร” วาศิณีงง
“แสดงตัวว่าแกเป็นคนสำคัญของนายหัว เพราะฉะนั้น แกต้องแสดงบทบาทที่ถูกต้อง”
“แล้วหนูทำอะไรไม่ถูกต้องตรงไหนล่ะ”
“จะไปถูกได้ยังไง...นายหัวกลับวันไหน แกก็ไม่รู้ แล้วทำไมไม่ให้นายหัวเชิญแกไปออกงานด้วย แกควรจะได้ออกสังคมเคียงบ่าเคียงไหล่ในฐานะอนาคตนายแม่ของที่นี่ ไม่ใช่หมกอยู่แต่ในคอกหมู”
ชมพู่ถือถังน้ำกับไม้ม็อบเดินออกมา
“โอย เอะอะๆอะไรกันแต่เช้านะ ป้าอนงค์ น้องน้ำหวาน”
“พวกฉันไม่ได้เป็นญาติแก อย่ามานับญาติ” อนงค์ว่า
ชมพู่ไม่พอใจ “อ่อ โทษที ลืมไปว่าเป็นขี้ข้าเหมือนกันเนาะ แม่เป็นแม่บ้านใหญ่คอยดูแลคนงาน ส่วนลูกเป็นเลขา...ทำงานแลกเงินเดือนเหมือนกัน เออ ขี้ข้าชัดๆนิ”
“นังชมพู่ อย่ามาปากดี”
“เสียเวลาคุยน่ะแม่...”
“นายหัวกลับวันไหน บอกไว้หรือเปล่า” อนงค์ถาม
“กลับมาก็เห็นเองแหละ” ชมพู่บอก
“นังชมพู่ อย่ามากวนประสาท” อนงค์ว่า
“คนเขาพูดความจริง ก็ไม่เชื่อ ป้าจะเอาไง”
“เอาความจริง”
“ก็นายหัวไม่ได้บอก แล้วฉันจะเอาความจริงที่ไหนบอกป้า กับเลขานายหัวยังไม่บอก แสดงว่าไม่อยากให้ใครรู้ แล้วจะเจือกกกกก รู้ไปทำไม”
“นังชมพู่! แกด่าฉันเหรอ!”
อนงค์ถีบชมพู่ดังโครมจนชมพู่กระเด็น
“ไอ้หยา!!”
ปริญญ์เดินเข้ามาเห็นพอดีก็ตกใจ
“มีเรื่องอะไรกันครับ...ป้าอนงค์ คุณน้ำหวาน”
“ชมพู่ถูกถีบอยู่นิ รู้ว่าไม่รัก แต่ก็น่าจะห่วงกันมั่งแหล้ะ หมอปิ๊น” ชมพู่โอด
ปริญญ์รีบประคองชมพู่ “ก็กำลังจะถามอยู่นี่ไง ชมพู่...เจ็บมั้ย”
“โอ๊ยยยยๆๆ” ชมพู่ออเซาะปริญญ์ “โอ๊ยๆๆๆ เจ็บจังเลย”
อนงค์กับวาศิณีมองชมพู่ด้วยความหมั่นไส้ ปริญญ์เห็นวิศิณีมองมาก็กลัวถูกเข้าใจผิดเลยปล่อยชมพู่ทันที ชมพู่ร่วงลงไปอีก
“ว้าย!!!”
ปริญญ์ตกใจ “ขอโทษครับ ชมพู่” ปริญญ์เข้าไปประคองใหม่
“ดูแลกันไปก็แล้วกัน..ฉีดยาอะไรก็ได้ให้มันสักเข็มนะหมอปิ๊น จะได้เลิกทำตัวกร่าง ไม่ไว้หน้าผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ ไป น้ำหวาน!” อนงค์ชวนลูกกลับ
อนงค์ลากตัววาศิณีไป ปริญญ์มองตามวาศิณีไม่ละสายตาโดยไม่สนใจชมพู่ที่ร้องโอดโอยเพราะเจ็บก้น

“หมอคะ!! ชมพู่จะตายมั้ยคะ...โอย!!”

เขมมิกประคองขนิษฐาเข้ามาในวัด เนตรนิภาเดินตามมาโดยถือถังสังฆทานมาด้วย

“จะพาแม่มาทำไม แม่อยากนอน เพลีย” ขนิษฐาบอก
“หนูไม่อยากได้บุญคนเดียว อยากให้แม่มาด้วย เผื่อเจ้ากรรมนายเวรจะได้อโหสิ แล้วก็ไปผุดไปเกิดซะที”
“แกว่าเปี่ยมพงษ์อีกแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ มันเป็นเจ้ากรรมนายเวรของแม่ รู้รึเปล่า มันถึงได้ขี่คอเกาะติดแม่ไม่ยอมไปไหน เขมทำได้ทุกอย่างเลยนะ เพื่อปลดปล่อยแม่ให้เป็นอิสระ ไปทำบุญที่อินเดียมั้ย...อานิสงส์แรง จะได้หลุดเร็วๆ”
ขนิษฐาเสียงเข้ม “เขม...ขอแม่สบายใจสักวันไม่ได้เลยใช่มั้ย”
เนตรนิภากระซิบเขมมิก “เขม...พอเถอะ ปากเสียใส่แม่ตั้งแต่เพิ่งเดินเข้าวัด มันจะได้บุญตรงไหนเนี่ย เดี๋ยวชีวิตก็ซวยกว่าเดิมหรอก”
“ก็ได้...แม่..เขมขอโทษ...ไป..ทำบุญกันนะ ยกระดับจิตใจให้ไม่ขุ่นมัว สิ่งเลวร้ายชั่วๆจะได้หมดไปจากชีวิต”
“ไอ้เขม...” เนตรนิภาปราม
“ช่างมันเถอะลูก เนตร...แม่ว่าแม่จะทำใจให้ชินกับมันแล้วล่ะ ไปๆ”
ขนิษฐาเดินไปทำบุญกับเขมมิกและเนตรนิภา

อนงค์เก็บเสื้อผ้าของวาศิณีลงกระเป๋า วาศิณีมองอย่างงงๆ
“ทำอะไรน่ะแม่ เอาเสื้อผ้าหนูลงกระเป๋าทำไม”
“นี่ต้องให้บอกทุกอย่างเลยเหรอว่าแกควรจะทำอะไรบ้าง”
“ก็หนูไม่รู้จริงๆนี่นา”
“ไปงานแต่งงานคุณพิศิณี น้องสาวของนายหัวไง!” อนงค์บอก
“แต่นายหัวไม่ได้ชวน”
“เราก็ไปเอง”
“เดี๋ยวก็ถูกคุณนายแสงสุดาเขวะให้อีกหรอก หนูไม่ชอบเวลาที่ต้องเจอแกเลย อึดอัด เต็มไปด้วยรังสีอำมะหิต”
“อยากได้ลูกเสือ แกก็ต้องเข้าถ้ำเสือ”
“แต่หนู...”
“อย่าบอกนะว่าแกไม่อยากเป็นนายแม่ที่นี่ แล้วอยากเป็นแค่เมียหมอหมู”
“บ้า!! ใครจะอยากเป็นแค่เมียหมอหมูล่ะแม่ก็...แต่หนู...ไม่มั่นใจ ว่านายหัวจะชอบหนูมั้ย ยิ่งคุณนายแสงสุดา ยิ่งแล้วใหญ่”
“มีแม่อยู่ทั้งคน แกจะกลัวอะไร...แม่พลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ รับรอง..ไม่มีพลาด แกต้องได้เป็นเมียนายหัว! ใครหน้าไหนก็มาขวางเราไม่ได้!”
อนงค์ลูบหัววาศิณีด้วยความรักและความมุ่งมั่นเต็มที่

พิแสงกราบพระประธาน กนธีนั่งมองอยู่ข้างๆ
“เครียด ไม่สบายใจอะไรนักหนาวะ พิแสง” กนธีถาม
“ไม่รู้...บอกไม่ถูก”
“ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาทางบ้านไปได้”
“แล้วมันมีจริงๆหรือเปล่าล่ะ”
“อย่าเก็บมาคิดก็สิ้นเรื่อง”
“ฉันน่ะไม่คิด แต่แม่ฉันน่ะสิ กัดไม่ปล่อยแน่”
“แม่นะเว้ย ไม่ใช่หมา”
“ไอ้บ้า ว่าแม่ได้ไง..บาป ฉันเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าเวลาที่คุณแสงสุดาอยากได้อะไรแล้ว..ต้องได้เสมอ ใครก็ขวางทางไม่ได้ กลัวว่ะ”
“ก็ดี ที่กลัวแม่ ดีกว่ากลัวเมีย เสียเชิงชาย”
“หึ....เมียเหรอ....คงยากว่ะ ฉันยังไม่อยากมีเมีย..จนกว่า”
พิแสงไม่พูดต่อเพราะคิดถึงใครบางคน
“จนกว่าอะไรวะ อย่าบอกนะว่าเพราะ...ไอ้พิแสง เรื่องมันก็นานมาแล้ว”
พิแสงตัดบท “ช่างเถอะ....แกไม่เข้าใจหรอก”
พิแสงนั่งนิ่ง กนธีนิ่งเงียบโดยปล่อยให้พิแสงอยู่กับความคิดของตัวเองเพียงลำพัง

เขมมิก เนตรนิภา และขนิษฐากราบลาหลวงตาที่รับสังฆทานเรียบร้อยแล้ว แล้วทั้งสามก็พากันเดินออกมา

เขมมิก เนตรนิภาและขนิษฐาเดินออกมาด้วยความสบายใจ
“รู้สึกดีขึ้นมั้ยแม่” เขมมิกถาม
“ใจน่ะรู้สึกดี แต่ไม่ค่อยสบายตัวเลย เหมือนจะเป็นไข้” ขนิษฐาบอก
“แม่ไปพักที่คอนโดเขมนะ เขมไม่มีบิน ได้พักสองสามวันแน่ะ เขมจะได้ดูแลแม่ได้”
“นั่นสิคะป้า” เนตรนิภาสนับสนุน
ขนิษฐามองเขมมิกด้วยความรัก “ขอบใจนะลูก แต่อย่าเลย”
“ทำไมล่ะแม่”
“เป็นห่วงบ้าน”
“นั่นไม่ใช่บ้านหรอก แต่เป็นนรก” เขมมิกแย้ง
“ไอ้เขม...อย่าเริ่ม” เนตรนิภาปรามเพื่อน
“เขม ไว้เขมมีครอบครัวแล้วเขมจะเข้าใจ” ขนิษฐาบอก
“เขมไม่เข้าใจได้มั้ย แม่มีเขมที่ดูแลแม่ได้ไม่ลำบาก ทำไมแม่ต้องไปอยู่กับมัน ทั้งๆที่มันปฏิบัติกับแม่เยี่ยงทาสไม่ใช่เมีย”
“แม่บอกเขมไปแล้วว่าทำไม”
เขมมิกอึ้งแล้วก็น้ำตาซึม แต่ก็รีบเบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้แม่เห็นน้ำตา
“จะว่าแม่โง่ก็ได้ แต่แม่ยอม ถึงจะรู้ว่าเขาไม่ได้รักแม่เท่าที่แม่รักเขา”
ขนิษฐาค่อยๆเดินออกไป เขมมิกมองตามอย่างอึดอัดใจ
“เมื่อไหร่นะเนตร เมื่อไหร่ แม่จะเลิกคิดแบบนี้สักที”
“เอาน่ะ...เดี๋ยวก็วันนั้น ไป ไปส่งแม่แกกัน” เนตรนิภาปลอบเพื่อน
“ฉัน...ไม่ไป แกไปส่งแม่แทนฉันที”
“เขม”
เขมมิกไม่ฟังแล้วเดินหนีไป เนตรนิภาเหนื่อยใจแต่ก็รีบเดินตามขนิษฐาไป

เนตรนิภารีบเดินตามขนิษฐา
“ป้าจ๋า...ป้ารอเนตรด้วย”
“เขมล่ะ” ขนิษฐาถาม
เนตรนิภาอึ้ง ขนิษฐารู้ดี
“ป้าอย่าโกรธเขมนะ” เนตรนิภาบอก
“ป้าเข้าใจ ช่างเถอะ ไม่ต้องให้เขาไปที่บ้านป้าบ่อยหรอก ดีแล้ว”
“ป้ากลัวเขมจะไปทะเลาะกับนายเปี่ยมพงษ์เหรอคะ”
ขนิษฐามีเหตุผลมากกว่านั้น แต่ก็พยักหน้ารับไป “อืม....ไม่อยากเครียด”
“หนูไปเอารถมารับป้าตรงนี้นะ ป้าจะได้ไม่ต้องเดินไกล”
เนตรนิภาวิ่งออกไป ขนิษฐามองเข้าไปในวัดแล้วยกมือไหว้ท่วมหัว
“หวังว่าลูกคงทำถูกแล้วนะคะ...เปี่ยมพงษ์มันไม่ยอมปล่อยลูกไปง่ายๆแน่ ลูกไม่อยากให้เขมมิกต้องลำบากเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของลูก....ขอลูกชดใช้มันคนเดียวจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรม”

ขนิษฐาลงนั่งพักเหนื่อยเพราะรู้สึกอ่อนแรงลงทุกที

โปรดติดตาม "แผนร้ายพ่ายรัก" ตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น