แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 7
ในกล่องปฐมพยาบาลมีอุปกรณ์เบื้องต้นในการทำแผล และยาต่างๆ เขมมิกหยิบสำลีและแอลกอฮอล์ขึ้นมา พิแสงเห็นแอลกอฮอล์แล้วผงะ
“แสบป่ะเนี่ย” พิแสงถาม
“กลัวเหรอ” เขมมิกถามกลับ
“ไม่ได้กลัว แค่ถาม”
“แสบ! มา จะล้างแผลให้”
“ทำเอง”
“อยู่เฉยๆ!”
พิแสงจะแย่งมา “บอกว่าจะทำเอง”
“บอกว่าอยู่เฉยๆ!”
พิแสงอึ้งและยอมอยู่เฉยๆ
“เบาๆนะ”
“แล้วก็ไม่ต้องพูด”
“ฉันมีปาก ฉันจะพูด........”
เขมมิกป้ายแอลกอฮอล์ที่แผลของพิแสงทันที
“โอ๊ยย!!! แสบ!!! เบาๆสิเธอ”
“ก็อยู่นิ่งๆสิ!” เขมมิกจับหัวพิแสงให้อยู่นิ่งๆ “จะนิ่งได้ยัง ไม่นิ่งอีก ฉันก็ทำแรงๆอีก”
พิแสงยอมอยู่นิ่งๆ เขมมิกบรรจงเช็ดแผลให้อย่างเบามือแล้วค่อยๆเป่าให้เพื่อไม่ให้แสบ
“ไม่แสบแล้วนะ”
“อืม...”
พิแสงรู้สึกใจสั่นที่อยู่ใกล้เขมมิกและได้รับการทำแผลให้อย่างอ่อนโยน เขมมิกเหลือบมองพิแสง แล้วก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาเหมือนกัน ทั้งสองคนสบตากัน เขมมิกรู้สึกตัวจึงรีบดึงตัวเองกลับมาแล้วหันไปเทยาเหลืองลงสำลีเพื่อเบี่ยงเบน
“ทายา แล้วปิดแผลด้วยผ้าก็อซ...แค่นี้ก็เรียบร้อย” เขมมิกบอก
“ไม่ต้องทาหรอก” พิแสงไม่อยากหวั่นไหวอีก
“ทำอะไรก็ต้องทำให้เสร็จ อย่ามาครึ่งๆกลางๆ เร็ว! หันมา”
“เอ๊ะ!”
“อย่ามาเอ๊ะ!” เขมมิกจับหัวพิแสงหันมาแล้วปาดยาทันที
“โอ๊ยย!!”
“คนอะไร ตัวก็ใหญ่ แต่ใจมด มา ปิดแผล”
“ปิดเอง!” พิแสงบอก
“ฉันเหนื่อยกับคุณแล้วนะ ก็ได้ ตามใจ”
เขมมิกส่งผ้าก็อซแผ่นและพลาสเตอร์ให้ พิแสงรับมาแต่กะตำแหน่งแผลผิดๆถูกๆ เก้ๆกังเขมมิกมองแล้วสมเพชจึงแย่งผ้าก็อซคืนมา
“เรื่องบางเรื่อง ก็ควรจะวางใจให้มืออาชีพเป็นคนลงมือ นี่ไม่ใช่การเลี้ยงหมู ฉันได้รับการฝึกการปฐมพยาบาลผู้โดยสารมาเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้น คุณก็ควรจะวางใจให้มืออาชีพอย่างฉันทำ อยู่เฉยๆ”
พิแสงยอมอยู่เฉยๆ เพื่อให้เขมมิกปิดแผลให้ เขมมิกทำแผลให้พิแสงแต่อยู่ห่างเป็นคืบเพราะไม่กล้าอยู่ใกล้
“ทำไมนั่งซะห่าง ถนัดเหรอ” พิแสงถาม
“ถนัด! นี่เป็นระยะห่างที่ถูกต้อง” แต่เขมมิกทำลำบากมาก
“จริงอ่ะ”
“จริงไม่จริง ก็เสร็จแล้วล่ะ”
เขมมิกรีบเก็บอุปกรณ์ พิแสงจับแผลตัวเองที่ปิดปากแผลเรียบร้อยและสวยงาม เขายิ้มอย่างพอใจ พิแสงมองเขมมิกยิ้มๆ
เขมมิกเก็บของไปโดยไม่มอง “อย่ามัวแต่ยิ้ม พูดด้วยว่าขอบคุณ”
พิแสงขำ แต่ก็วางฟอร์ม “เออ! ขอบคุณ..มีตาหลังด้วยหรือไงเนี่ย ถึงได้รู้ว่าฉันยิ้ม”
“เรื่องบางเรื่อง ไม่ต้องมีตาเห็น ก็รู้สึกได้”
เขมมิกเก็บของไป พิแสงอมยิ้มมองเขมมิกแต่ก็รีบตัดอารมณ์ด้วยการรีบหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“ฉันจะโทรให้คนที่ฟาร์มมารับ”
พิแสงเลี่ยงไปโทรศัพท์ เขมมิกมองตามแล้วอมยิ้ม
“หึหึ..เริ่มใจอ่อนกับนางฟ้าผู้อารีย์แล้วล่ะซี่”
พิแสงหันมา เขมมิกรีบหลบแล้วเก็บของต่อ
พิแสงเดินเข้ามาในบ้านพักกับเขมมิก หลอดกับเสริมที่ทำหน้าจ๋อยๆ เดินตามมา
“หลอด เสริม ไม่ต้องตามไปส่งฉันถึงในห้องหรอก ฉันไม่หลงแน่นอน” เขมมิกบอก
“แหะๆ!...คุณเขมไม่โกรธพวกผมใช่มั้ยครับ ที่ลืมคุณเขมได้ทั้งคน” หลอดถาม
เขมมิกตอบทันที “โกรธ”
หลอดกับเสริมจ๋อย
“แต่หายแล้ว...ทีหลังห้ามลืมกันอีก จำไว้นะ”
หลอดกับเสริมพูดพร้อมกัน “ขอบคุณครับ”
“งั้นลานะครับ นายหัว คุณเขม”
“ลาเหมือนกันครับ”
“ไปเถอะ” พิแสงบอก
“แล้วเจอกันจ๊ะ” เขมมิกว่า
เขมมิกยังยืนมองพิแสงด้วยความประหลาดใจ พิแสงหลุดยิ้ม
“ฉันถามว่าแม่เธอเป็นไงบ้าง”
“อ้อ..เอ่อ...ก็....” เขมมิกอ้ำอึ้ง
“ถ้าเป็นฉัน แม่กำลังป่วยหนัก ฉันคงไปอยู่ใกล้ๆท่านแล้ว”
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากไป”
“แล้วทำไมไม่ไป งานควรจะมาทีหลังการไปให้กำลังใจคนที่เธอรัก”
เขมมิกอึ้งเพราะคิดถึงแม่ เธอสะเทือนใจกับสิ่งที่ตัวเองต้องเลือกทำแล้วก็ตอบพิแสงไม่ได้
“ฉัน....เอ่อ...”
“ฉันอนุญาตให้เธอลางานไปอยู่กับแม่ก่อนนะ อย่างเต็มใจ” พิแสงบอก
เขมมิกอึ้งกับความเห็นอกเห็นใจของพิแสง
“อย่าหาว่าแช่งนะ...ไม่มีใครรู้ว่าแม่จะอยู่กับเธอได้อีกนานแค่ไหน”
“ก็คล้ายๆแช่งแหละ”
“แต่มันก็คือความจริง”
“ก็จริง”
“การไปอยู่เคียงข้างให้กำลังใจท่านในตอนนี้ สำคัญกว่าการอยู่ที่นี่ แม่เธอต้องการเธอด้วยอีกคน นอกจากพ่อของเธอ”
“พ่อฉัน...เสียแล้ว”
พิแสงอึ้ง “ฉัน...เสียใจด้วย....ถ้าอยากไปเมื่อไหร่ก็ไปได้เลย ขาดเหลืออะไรก็บอกฉัน”
“บอกคุณ? บอกทำไม?”
“เธอไม่ได้ทำงาน ไม่มีรายได้ ฝึกงานที่นี่ก็ไม่มีค่าจ้าง แล้วเอาเงินมาจากไหนมารักษาแม่”
“ก็จากแม่...” เขมมิกรีบแก้ตัว “แม่ฉันรวย เพราะพ่อทิ้งสมบัติไว้ให้เยอะมาก ไม่ต้องห่วงหรอก”
พิแสงพยักหน้ารับรู้ เขาหันไปมองดวงจันทร์อย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรอีก เขมมิกรู้สึกอึดอัดที่ต้องโกหกพิแสงอีกในช่วงเวลาที่พิแสงยอมเปิดใจคุยด้วยดีๆเป็นครั้งแรก
เขมมิกมองดวงจันทร์ตามพิแสงแล้วก็ไม่พูดอะไร เธอรู้สึกสบายใจขึ้นแล้วจึงแอบมองเสี้ยวหน้าของพิแสง เขมมิกประทับใจกับน้ำใจที่เพิ่งได้รับจากพิแสง แล้วจู่ๆพิแสงก็ถามทะลุกลางปล้องขึ้นมา
“ทำไมถึงไปรับจ็อบประหลาดๆ ทดสอบความซื่อสัตย์ของแฟนชาวบ้าน”
เขมมิกสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าพิแสงจะรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เขมมิกนึกโกรธ แต่เห็นแววตาที่ไม่ได้แสดงท่าทีกราดเกรี้ยวอย่างเคยแต่กลับเป็นแววตาที่มีความเป็นมิตรมากขึ้นก็ทำให้เขมมิกอ่อนลง
พิสินีย์นอนลืมตาอยู่บนเตียงในความมืด เสียงเปิดประตูดังขึ้นค่อยๆ พิสินีย์รีบหลับตาลง พิทยาเดินเข้ามาแล้วปิดประตู เขาเดินมามองดูพิสินีย์ที่นอนหลับอยู่บนเตียง พิทยานึกถึงภาพตอนที่เขากับพิสินีย์ทะเลาะกันก่อนหน้านี้
พิสินีย์ว่า “คุณเป็นสามีฉัน ไม่ให้ฉันทำดีกับคุณ แล้วจะให้ฉันทำอะไร........”
“คุณต้องตอบผมมาก่อน! ว่าคุณรักผมมากแค่ไหน” พิทยาถาม
“ฉันรักคุณ ฉันทำทุกอย่างได้เพื่อให้คุณมีความสุข”
“จริงเหรอ....”
“จริงสิคะ จำได้มั้ยคะ เราสองคนมีชีวิตเดียวกัน”
พิทยามองพิสินีย์ด้วยความเห็นใจแล้วค่อยๆทรุดตัวลงไปนอนกอดพิสินีย์เอาไว้ก่อนจะกระซิบข้างหู
“ผมขอโทษ”
“แค่เพียงคุณบอกว่าคุณไม่อยากไป ฉันก็จะไม่ฝืนใจ และถ้าคุณจะอยากไปจากฉัน....ฉันก็จะไม่ฝืนใจคุณด้วยเหมือนกัน....ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
พูดจบพิสินีย์ก็ข่มตาลงแล้วไม่ขยับตัวใดๆทั้งสิ้น พิทยาอึ้งเมื่อเจอความเย็นชาของพิสินีย์ก็รู้ว่าพิสินีย์โกรธจริง
พิแสงรอคำตอบจากเขมมิก แต่เขมมิกยังไม่ยอมตอบ
“ให้วิเคราะห์ เธอมันเด็กมีปัญหา ถ้าเป็นคนธรรมดาที่ชีวิตไม่มีปม ไม่มีใครกล้าทำ”
เขมมิกของขึ้นจึงหลุดออกมา “ไม่ใช่ฉันที่เป็นปัญหา แต่ปัญหาคือผู้ชายต่างหากมีแต่คนเจ้าชู้ ไม่ซื่อสัตย์และหาดีไม่ได้ต่างหาก!”
“เธอก็เลย....แก้แค้น”
“ฉันทำเพื่อกู้เอกราชทางหัวใจให้กับลูกผู้หญิงด้วยกัน”
“ไม่มีใครมองเธอเป็นซุปเปอร์ฮีโร่หรอก มีแต่จะมองเธอเป็นนางมารร้าย”
“เฉพาะผู้ชายเลวๆที่ถูกฉันกระชากหน้ากากเท่านั้นแหละที่มองฉันแบบนั้น”
“ถ้าเธอคิดว่าผู้ชายเลว แล้วยอมมีคนรักอีกทำไม หรือคู่หมั้นเธอเป็นผู้หญิง”
“ผู้ชาย! เพราะคู่หมั้นของฉันพิสูจน์ให้ฉันเห็นแล้วว่า...รักแท้มีอยู่จริง”
“แสดงว่าคู่หมั้นเธอเป็นคนดีมาก เธอเลยใจอ่อน”
“ลุทซ์เป็นผู้ชายคนเดียวในชีวิตของฉันที่เป็นคนดีจริงๆ”
“และความรักของเขาก็ทำให้เธอเลิกรับจ็อบบ้าๆนั่น”
“ถูกต้องที่สุด”
“นั่นสินะ ถ้าไม่ดีจริง เธอจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองทำไม ยินดีด้วยกับการตามหากันจนเจอ”
พิแสงหน้าหมองลงเพราะรู้สึกหวิวโหวงแปลกๆ เมื่อเขมมิกพูดถึงคู่หมั้นของเธอ
“มีแฟนน่ะดีนะ...เห็นแววตาของฉันมั้ย ว่ามันมีความสุขมาก ดูสิ”
พิแสงมองตาเขมมิก เขมมิกส่งอารมณ์แห่งความสุขให้พิแสงเห็นอย่างเต็มที่จนพิแสงอดขำไม่ได้
“ยัยบ๊อง”
“ฉันยอมให้คุณด่าแล้ว...ขอถามคำถามหนึ่งข้อได้มั้ย” เขมมิกถาม
“ตอบได้ก็จะตอบ”
“คุณ...ชอบคุณน้ำหวานจริงๆเหรอ”
พิแสงตอบ “ชอบสิ”
เขมมิกรีบเปิดประตู เธอเห็นพิแสงยืนหน้าบึ้งอยู่ พิแสงมองเขมมิกหัวจรดเท้า เขมมิกมองตาม จนเห็นว่าตัวเองใส่ชุดนอนเยินมาก เขมมิกยิ้มอาย...
“เธอคุยอะไรกับแม่ฉัน”
เขมมิกตกใจ “คุณ!!! แอบฟังฉันคุยโทรศัพท์อีกแล้ว!”
“ฉันไม่ได้แอบ เสียงเธอดังไปถึงหน้าบ้าน”
เขมมิกจ๋อยแล้วหาทางแก้ตัว
พิทยาแต่งตัวอยู่หน้ากระจกในชุดสูทไปทำงาน พิสินีย์รู้สึกตัวตื่นขึ้นจึงค่อยๆลุกขึ้นพอเห็นพิทยาก็อึ้งและหน้าเสีย
“ตกลง...คุณตัดสินใจที่จะไม่ไป”
“ผมจะไปฮันนีมูนกับภรรยาที่ไม่ไว้ใจและคิดว่าผมไม่ซื่อสัตย์ได้ยังไง”
พิสินีย์อึ้ง
พิทยาพูดต่อ “เรื่องงาน ถึงคุณไม่ช่วย ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมต้องใช้ความสามารถพิสูจน์ตัวเอง ผมพร้อมจะอดทน แต่เรื่องเขม...ผมไม่อดทน เพราะเรื่องนี้ ผมและคุณได้คุยกันรู้เรื่องไปแล้วว่า...มันไม่เคยมีอะไร!”
พิสินีย์สะดุ้งตกใจแต่ยังคงเงียบกริบ
“แต่คุณก็ทำให้มันมี คุณเลือกที่จะเชื่อคำพูดพล่อยๆของยัยน้องเล็กแทนที่จะเชื่อคำพูดของผัวคุณ...มันแปลว่าอะไรรู้มั้ย มันแปลว่าลึกๆแล้วคุณยังเห็นว่าผมต่ำต้อย และไม่มีคุณค่าทัดเทียมกับพวกของคุณ”
“พีท มันไม่เกี่ยวกันเลย”
“แต่คุณทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น”
พิทยาเดินออกไปแล้วปิดประตู พิสินีย์น้ำตาร่วงด้วยความเสียใจและอึดอัดใจ
พิทยาขับรถออกจากบ้านไป แสงสุดา พิสุทธิ์และพิสาที่เดินออกมาจากบ้านมองตาค้าง ก่อนจะหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
เขมมิกแก้ตัวกับพิแสงแต่ไม่กล้าสบตา
“คุณแม่คุณเพิ่งรู้ว่าหลานคุณลุงธรรมศักดิ์คือฉัน...เลยโทรมาด้วยความเป็นห่วงในสวัสดิภาพ”
“เวลาพูดมองตาด้วย” พิแสงบอก
เขมมิกมองตาพิแสง “ท่านไม่อยากให้คุณพิสินีย์กับกัปตัน เอ่อ คุณพิทยามีปัญหากัน หรือมีเรื่องกับคุณพิสา เลยให้ฉัน...หายตัวไปก่อน”
“ดูท่านหวังดี แต่ทำไมต้องว่าแม่ฉันเป็นฮองเฮา”
เขมมิกลืมตัว “ก็นึกจะสั่งก็สะ..” เขมมิกนึกได้รีบแก้ตัว “คือ...ท่านมีเสียงที่เหมือนออกคำสั่ง แต่จริงๆแล้วท่านเป็นคนใจดีมีเมตตา แหม...มันเรื่องปกติที่เราจะตั้งฉายาให้เจ้านายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือคุณเองคงเคยตั้งฉายาให้คุณครูสมัยเรียนหนังสือบ้างแหละ”
“จิ้งเขียว” พิแสงบอก
เขมมิกหัวเราะชอบใจ
“อย่าเอาแต่ขำ..ตกลงเอาไง จะอยู่หรือจะไป”
ชมพู่วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางดีใจมาก
“นายหัวขา แคนเซิลโล่ดค่า”
“แคนเซิลอะไร” พิแสงถาม
“นายแม่ใหญ่และชาวคณะยกเลิกการทัวร์ฟาร์มค่า!”
พิแสงกับเขมมิกแปลกใจ
แสงสุดาคุยโทรศัพท์กับพิแสง
“เพิ่งจะแต่งกันไม่กี่วัน ทะเลาะกันซะแล้ว ผัวไปทางเมียไปทาง จะซักจะถามอะไรก็ไม่ได้ ยัยสินีย์เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง” แสงสุดาบอก
“พอจะรู้มั้ยครับ ว่าเรื่องอะไร”
“จะอะไร ก็เรื่องยัยเขมมิกนั่นแหละ ตาพีทคงยังลืมแฟนเก่าไม่ได้ ยัยสินีย์เลยน้อยใจมั้ง”
“เขมมิก....”
“แต่แม่รู้ว่าไม่มีทาง...ยัยนั่นก็มีแฟนไปแล้ว ตาพีทก็ไม่เคยนอกลู่นอกทางให้เห็น เพราะปากยัยน้องเล็กจริงๆ พูดจนเป็นเรื่อง เซ็งกันทั้งบ้านเลยเนี่ย อดไปเที่ยวเลย”
แสงสุดาพูดทั้งๆ ที่ยิ้มแป้น
“แล้วผมจะคุยกับน้องเองครับคุณแม่”
แสงสุดาอ้อน “เห็นมั้ย พอลูกไม่อยู่ น้องก็ไม่รู้จะคุยกับใคร ไม่คิดถึงกันเลยหรือไง”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น วาสินีเปิดเข้ามา
“นายหัวคะ....คุณกนธีมาแล้วค่ะ” วาสินีบอก พิแสงพยักหน้ารับรู้
แสงสุดาได้ยิน “เสียงยัยน้ำหวาน!”
“แค่นี้ก่อนนะครับคุณแม่”
พิแสงวางสายแล้วรีบเดินไปเปิดประตู
แสงสุดาเจ็บใจ “ตาใหญ่!” แสงสุดาวางสาย “พอยัยนั่นเรียกก็ลืมแม่เลยนะ”
ทันใดนั้น แสงสุดาก็เกิดความคิดบางอย่างว่าต้องไปช่วยเขมมิกจัดการวาสินี
กนธีนั่งหงอย วาสินีเอาน้ำมารับรองแล้วเดินออกไปนั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ เพื่อแอบฟัง พิแสงเข้ามาคุย
“แคนเซิลนะ” พิแสงบอก
“อืม”
“เฮ้ย..ไม่เดือดร้อนอะไรบ้างเลยหรือไง ที่ลูกค้าหายไปตั้งหลายห้อง”
“ไม่”
“ไอ้ธี....ซึมเป็นหมาเหงาอย่างนี้หลายวันแล้วนะ จะทำอะไรก็ทำซะทีเถอะ จะได้กลับมาเป็นคนปกติธรรมดาสักที”
“ทำยังไง”
“ต้นเหตุอยู่ที่ไหน ก็ไปแก้ที่ตรงนั้น”
กนธีอึ้งแล้วก็รีบวิ่งออกไป พิแสงมองตามอย่างพอใจ วาสินีรู้เรื่องที่พวกของแสงสุดาไม่มาแล้วก็ยิ้มชอบใจ
เขมมิกก้าวออกมายืนหน้าบ้านอย่างเบิกบานกับแสงแดด แล้วเธอก็ค่อยๆหัวเราะออกมาอย่างชอบใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“ฮ่ะๆๆ!! และแล้วโชคก็เข้าข้างเขมมิก ฮ่ะๆๆ!!!! ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความสยอง ฮ่ะๆๆ”
ปริญญ์เดินเข้ามาเห็นเขมมิกหัวเราะชอบใจจึงเข้าไปคุย
“โชคดีเรื่องอะไรครับ”
“ก็เรื่อง....” เขมมิกชะงัก พอหันมาก็ตกใจ “หมอปิ๊น!!”
“ครับ...เห็นคุณดีใจขนาดนี้ สงสัยต้องเป็นเรื่องดีมาก”
“ค่ะ เรื่องดีมากๆ...ที่....ได้มาฝึกงานที่นี่....แล้วหมอมาหาใครคะ”
“หาคุณ”
“ฉัน??”
เขมมิกแปลกใจ
อนงค์สับหมูด้วยความสะใจ ขณะที่วาสินีรายงานสถานการณ์อยู่ข้างๆ
“ดีแล้วที่พวกนั้นไม่มา!! หึหึหึหึ ฉันจะได้ไม่ต้องคอยปั้นหน้า! หึหึ” อนงค์สะใจ
“แม่...เย็นนี้ หนูเข้าเมืองนะ”
“ไปทำไม”
“จะไปซื้อของใช้ส่วนตัว แล้วก็จ่ายค่าโน่นค่านี้ด้วย”
เขมมิกและปริญญ์ชะโงกหน้าเข้ามาแอบมอง
“ได้โอกาสแล้ว ก็ตามคุณน้ำหวานไปเลย หมอ” เขมมิกเชียร์
ปริญญ์หันมาถาม “ตามไปแล้วไงต่อครับ”
“ชวนกินข้าว”
“คุณน้ำหวานไม่ทานข้าวเย็น”
“งั้นก็ชวนกินไอติม”
“คุณน้ำหวานไม่ชอบไอติม กลัวอ้วน”
“กระแดะ!”
อนงค์และวาสินีหันมา เขมมิกรีบกระชากปริญญ์มาบังแล้วไปแอบตื่นเต้นอยู่หลังผนัง เขมมิกรีบจับมือปริญญ์แล้ววิ่งออกไป
เขมมิกจับมือปริญญ์วิ่งออกมาแล้วก็หอบเหนื่อย ปริญญ์มองมือของเขมมิกที่จับมือของตัวเองแล้วก็อึ้งเพราะรู้สึกแปลกๆ และใจสั่น เขมมิกปล่อยมือจากปริญญ์แล้วขำกับสถานการณ์ เธอหันมาหัวเราะกับปริญญ์ ปริญญ์หัวเราะด้วยอย่างรู้สึกประทับใจกับความเปิดเผยจริงใจของเขมมิก พิแสงเดินเข้ามาอยู่ข้างหลังเมื่อเห็นความสนิทสนมระหว่างเขมมิกกับปริญญ์แล้วก็ไม่พอใจจึงเข้าไปขวาง
“ขำอะไร!” พิแสงถาม
เขมมิกกับปริญญ์อึ้งแล้วหยุดหัวเราะ เขมมิกเซ็งมากที่เห็นพิแสง
“งานการไม่ทำหรือไง เขมมิก ไอ้หมอ!” พิแสงถาม
“กำลังจะไป ไปค่ะหมอ”
เขมมิกหันไปจูงมือปริญญ์อีก ปริญญ์เขิน
“ไอ้หมอน่ะไปได้ แต่เธอ มานี่!”
พิแสงจับมือเขมมิกเดินไปทางหนึ่ง
“จะพาฉันไปไหน!” เขมมิกถาม
ปริญญ์มองตามพิแสงและเขมมิกก็เห็นเขมมิกเถียงพิแสงฉอดๆ
“พูดดีๆก็ได้” เขมมิกว่า
“พูดไม่เป็น” พิแสงบอก
“พูดตามสิ...เขมมิก ไปกับฉันนะ ได้โปรด เอ๊า พูด!”
“ไม่พูด!”
พิแสงและเขมมิกเดินหายไป ปริญญ์ยิ้มประทับใจเขมมิก
พิแสงเดินนำเขมมิกไปโดยยังคงจูงมืออยู่
“ตกลงจะพาฉันไปไหนคะ”
“ไปถึงแล้วจะบอก”
“จริงๆก็ไม่อยากคิดมากนะที่คุณทำแบบนี้ แต่ก็อดคิดไม่ได้อ่ะ”
“คิดอะไร” พิแสงถาม
“คุณหวงฉันแหงๆ ไม่อยากให้ฉันคุยกับหมอปิ๊น แล้วดูสิ...จับมือไม่ปล่อยเลย”
“ใช่ ฉันหวงเธอ”
“อุ๊ย!”
“หวงเธอเอาไว้ทำพันธุ์”
“หา!”
เขมมิกมองมือของพิแสงที่บีบมือของเธอแน่นไม่ปล่อย เขมมิกพยายามจะแกะออก
“ไม่น่อ กลางวันแสกๆอย่างนี้เหรอ นะ โนๆๆๆๆ!”
“มันก็ต้องทำกันกลางวันๆแบบนี้สิ ฉันจะพาเธอไปติวเรื่องอย่างว่าอย่างเข้มข้น เพื่อให้เราเข้าขากัน ก่อนจะลงมือผสมพันธุ์กันจริงๆ”
เขมมิกหน้าซีด เธอเอาเท้ายันพื้นและไม่ยอมง่ายๆ “ไม่นะ ไม่ใช่แบบนี้..ไม่อ่ะ ไม่เอา”
“ไป!”
พิแสงใช้แรงลากเขมมิกที่ไม่ยอมไปง่ายๆ แล้วก็แอบยิ้มพอใจที่ได้แกล้งเขมมิก
“ไม่ อย่า ไม่ ฉันไม่เอา”
“แต่ฉันจะเอา!”
เขมมิกร้องลั่น “กรี๊ด!!”
วาสินีเข้ามาในออฟฟิศก็เห็นปริญญ์นั่งอยู่
วาสินีเรียก “หมอปิ๊น”
“ครับ”
“วันนี้มาถึงที่ออฟฟิศได้นะคะ ปกติเห็นขลุกอยู่แต่กับคุณเขมมิก มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมมา เอ่อ...”
“น้ำหวานยุ่งอยู่นะคะ ขอตัวก่อนแล้วกัน”
วาสินีจะเดินไป ปริญญ์เรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนครับ”
วาสินีชะงักแล้วหันมา “คะ”
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 7 (ต่อ)
“คือ...เอ่อ...คือว่า...คือ” ปริญญ์ปาดเหงื่อเพราะไม่กล้า
“หมอมีเรื่องอะไรจะพูด ก็รีบพูดมาเถอะค่ะ”
“ผม” ปริญญ์อึดอัดเพราะรู้สึกว่ายากที่จะพูดออกมา
วาสินีเซ็งจึงจะเดินหนี
ปริญญ์คว้ามือวาสินีเอาไว้
วาสินีมองมือปริญญ์แล้วก็แปลกใจที่ปริญญ์กล้าทำแบบนี้
ปริญญ์ตกใจตัวเองจึงรีบปล่อยมือวาสินี “ขอโทษครับ”
“กล้าจับมือน้ำหวานแล้ว ก็น่าจะกล้าพูดนะคะ”
“ผม...”
“ไม่อยากได้ยินคำตอบเหรอคะ” วาสินียิ้มให้ความหวัง
ปริญญ์รีบพูด “เย็นนี้ ผมจะเข้าเมือง ไม่ทราบว่าคุณน้ำหวานมีธุระอะไรในเมืองหรือเปล่า ไปกับผมได้นะครับ”
วาสินีอึ้งแล้วยิ้มกริ่ม ปริญญ์รอลุ้น
พิแสงลากเขมมิกออกมา
“ฉันไม่ไป ฉันคิดถึงทีเด็ด!”
“หลอดกับเสริมมันดูอยู่ ไม่ต้องห่วงมันหรอก”
เขมมิกตัดสินใจกดมือของพิแสงเพื่อเอาตัวรอด
พิแสงร้องลั่น “โอ๊ย!”
“คุณมันป่าเถื่อนที่สุด ทุเรศ นึกจะชวนก็ชวนเหมือนชวนไปกินข้าว โรคจิต! บอกแล้วไง ว่าฉันมีแฟนแล้ว”
“มีแฟนแล้ว ใช่ว่าจะไปผสมพันธุ์กับฉันไม่ได้”
“อ๊าย!!! คนไม่มีศีลธรรม!”
เขมมิกผลักพิแสงออกไปแล้วรีบวิ่งหนี พิแสงมองตามยิ้มเยาะอย่างสะใจ
“เฮอะ!”
เขมมิกวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในบ้าน ชมพู่ที่กำลังถูบ้านอยู่หันไปเห็นเขมมิก
“คุณเขม...เป็นอะไรคะ หน้าซีดเหมือนคนโดนโกงแชร์เลยนิ” ชมพู่ทัก
“ฉันถูกนายหัวชวนไปผสมพันธุ์” เขมมิกบอก
“ต๊าย น่าสนุก ทำไมไม่ไปล่ะคะ”
“ชมพู่! ฉันเป็นสาวบริสุทธิ์นะ จู่ๆก็ถูกชวนไปอะไรอย่างว่าในฟาร์มหมูเนี่ยะ มันน่าสนุกตรงไหน”
“ยัยคุณน้ำหวานยังไม่เคยได้รับสิทธิ์พิเศษนี้เลยนะคะ คุณน่าจะภูมิใจ”
“เฮ้ย จะบ้าเหรอ ฉันมาปฏิบัติภารกิจใช้มารยาแลกเงิน ไม่ได้ใช้พรหมจรรย์!”
“พรหมจรรย์!?”
“ใช่!”
“ผสมพันธุ์หมู ทำไมต้องใช้พรหมจรรย์คุณเขม”
“หือ????ผสมพันธุ์หมู??”
“นายหัวตามหาคุณเขม ว่าจะชวนไปผสมพันธุ์เทียมให้หมูแม่พันธุ์ คุณเขมเข้าใจไปว่าอะไรคะ”
เขมมิกจ๋อยเมื่อรู้ว่าเข้าใจผิด “ฉัน...เข้าใจผิดคิดว่า...เขาจะ...ฟิทเจอริ่ง ดิ่งๆ กับฉัน”
“บร้า!! ลามก คิดไม่ซื่อ ผู้หญิงอะไร ใช้ไม่ได้!”
“ชมพู่ ยาวไป ยาวไป”
ปุ๊กลุ้กวิ่งมา เขมมิกและชมพู่เห็น
“จับไว้ค่ะ อย่าให้มันออกไป ออกมาได้ยังไง ใครเปิดประตูห้องไว้ฟระ! เออ เราเองนี่หว่า”
เขมมิกกับชมพู่ช่วยกันต้อนปุ๊กลุ้กจนเขมมิกจับปุ๊กลุ้กได้ เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น
“แล้วไงต่อล่ะชมพู่”
“ช่วยเอาไปไว้ที่ห้องนอนนายหัวหน่อยนะคะ ชมพู่ไปรับโทรศัพท์ก่อน”
“จะดีเหรอ ฉันไม่เข้าห้องเค้าหรอก เดี๋ยวถูกด่า”
“เข้าไปเถอะค่ะ ชมพู่ไม่บอกนายหัวหรอก”
ชมพู่วิ่งออกไป เขมมิกหน้าเบ้แล้วมองปุ๊กลุ้ก
“ซนจริงๆนะเรา ไปเลย”
เขมมิกอุ้มปุ๊กลุ้กออกไปทันที
เขมมิกเข้ามาในห้องของพิแสงแล้วมองหาที่นอนของปุ๊กลุ้กซึ่งอยู่ในคอกไม้เล็กๆ น่าเอ็นดู เขมมิกเอาปุ๊กลุ้กไปอยู่ในคอก
“อย่าซนนะ...นอนซะ เดี๋ยวเจ้านายเธอก็มา”
เขมมิกหันออกไปแล้วก็นึกสนุกจึงชะงักก่อนจะมองสำรวจห้องพิแสง
“ตกแต่งห้อง ก็โออ่ะ....”
เขมมิกเดินไปดูที่ชั้นวางของซึ่งตั้งโชว์บัตรเกียรติคุณและถ้วยรางวัลที่ได้จากกีฬาต่างๆ
“เรียนเก่งซะด้วย เก่งกีฬาอีกต่างหาก อุ๊ย! เหมือนจะเพอร์เฟ็กต์ นี่ถ้าแฟนเยอะ ก็คงจะครบสูตร...หล่อ รวย เสน่ห์แรง...”
พลันสายตาของเขมมิกก็ไปเห็นปริญญาบัตรจาก University of Basel ระดับ Master DegreeสาขาBusiness and Economics เขมมิกก็ทั้งอึ้งทั้งทึ่ง
“โอ้โห...จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ซะด้วย” เขมมิกฉุกใจ “Basel….สวิต?”
เขมมิกมองต่อไปก็เห็นรูปของพิแสงถ่ายกับเพื่อนในลุคของพี่เสือขณะที่เป็นนักศึกษา เขมมิกอึ้ง และตาเบิกโพลง
เขมมิกช็อกแล้วหยิบรูปมาดู “พี่เสือ....”
กรอบรูปร่วงลงพื้นจนแตกเกลื่อนกระจาย
เขมมิกปิดประตูห้องพิแสงแล้วเดินออกมาในอาการของคนช็อก ชมพู่เดินเข้ามา
“ได้ยินเหมือนอะไรตกแตกอ่ะค่ะ”
เขมมิกส่ายหน้า
“ปุ๊กลุ้กเข้ากรงเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะคุณเขม” ชมพู่ถาม
“ปุ๊กลุ้ก?” เขมมิกทวน
“ค่ะ ปุ๊กลุ้ก”
“ปุ๊กลุ้ก...”
เขมมิกเดินลิ่วออกไปทันที ชมพู่มองตามอย่างงงๆ
เขมมิกลงนั่งบนเตียง แล้วภาพแห่งความหลังก็เข้ามาในความคิดทันที
เหตุการณ์ในอดีต เขมมิกเหลือบไปมองพิแสงซึ่งนั่งพิงต้นไม้อ่านหนังสืออยู่
พิแสงก้มลงอ่านหนังสือโดยไม่มองมา เขมมิกหน้าเสีย
“เป็นอะไร เขม” เนตรนิภาถาม
“ฉันเจอพี่เสือ...อยู่ตรงโน้น” เขมมิกมองไป
“ยังจะไปมอง อย่าไปยุ่ง”
“ก็คนมันกรี๊ด พี่เค้าฮ็อตจะตาย ถ้าได้เป็นหนึ่งในจำนวนแฟนสาวหลายๆ คนของเค้านะ ฉันคงตายตาหลับ ทำไมฉันไม่เรียนที่นี่เหมือนเค้านะ จะได้ใกล้ชิดกันมากกว่านี้”
“ไม่ได้จะขัดเพื่อนนะ ตื่น! ฝันกลางวันจริงๆ แกอย่าได้แหยมเข้าไปให้เค้าหัวเราะเยาะเลย รีบไปหารุ่นพี่ให้เค้าติวหนังสือให้ดีกว่า”
“ฉันน่าเกลียดมากเลยเหรอแก”
เนตรนิภาและเพื่อนๆ คนอื่นๆ ตอบพร้อมกัน “ใช่!”
“ก็ได้”
เขมมิกเดินเซื่องไปกับเนตรนิภาเพราะจะตัดใจ
ภาพเหตุการณ์ในอดีตต่อเนื่องผุดขึ้นมา เขมมิกยืนตัวอ้วนอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างรู้สึกตื่นๆท่ามกลางคนแปลกหน้าที่มีทั้งไทยและฝรั่ง เนตรนิภาเข้ามาพร้อมเครื่องดื่มโซดาในมือส่งให้เขมมิก
“อ่ะ โซดา ของแก”
“ไม่มีแอลกอฮอล์นะแก” เขมมิกบอก
“รู้แล้วน่า ว่าแกแพ้แอลกอฮอล์ นิดนึงก็เมาปลิ้นเหมือนกินเป็นลัง เดี๋ยวฉันมา”
“ไปไหน”
“เจอลูกเพื่อนแม่ข้างนอก เค้าอยู่ฮัมบูร์กนี่แหละ ไปคุยสร้างคอนเน็กชั่นหน่อย เดี๋ยวมา”
เนตรนิภาเดินออกไป เขมมิกดื่มน้ำให้พอใจชื้น เธอวางแก้วน้ำลงแล้วหันไปเต้นเพื่อย้อมใจให้คึก ฝรั่งคนหนึ่งเดินมาคุยกับเพื่อนที่อยู่ข้างๆ เขมมิก ฝรั่งวางแก้วเหล้าข้างแก้วของเขมมิก พอคุยเสร็จเขาก็หยิบแก้วออกไปโดยไม่ดูว่าหยิบแก้วผิด
เขมมิกเอื้อมมาคว้าแก้วโดยไม่ดูว่าเป็นเหล้า พอดื่มเข้าไปก็ขาอ่อน เมา และเกิดอาการโลกหมุน พิแสงเดินเข้ามากับแฟนฝรั่ง เขมมิกเห็นเข้าก็รีบหลบเพราะอายแต่ปิดอาการเมาไม่มิด พิแสงคุยกับแฟนฝรั่ง จากนั้นพิแสงก็กระซิบบางอย่างกับแฟน แล้วแฟนฝรั่งก็ปลีกตัวไป เขมมิกเขินจนใจเต้นแรง เธอลืมตัวจึงดื่มเหล้าเข้าไปอีก
“ว้าย!!”
เขมมิกเซจนร่วง เธอพยายามลุกขึ้นแต่ก็เซไปชนคนข้างๆ ที่พากันหลบ ไม่มีใครสนใจจะช่วยเขมมิก เขมมิกเดินตุปัดตุเป๋หาที่เกาะ พิแสงเดินเข้ามาหาเขมมิก เขมมิกยืนยักแย่ยักยันอยู่คนเดียว เดี๋ยวลื่น เดี๋ยวลื่นเพราะเกาะไม่อยู่ เธอยิ้มแหยสู้คนข้างๆ แล้วพยายามทำตัวปกติ พิแสงเดินเข้ามาถาม
“น้อง....ไหวมั้ยเนี่ย”
เขมมิกเงยหน้าขึ้นเห็นพิแสงก็ทั้งตกใจ ตื่นเต้น และอาย “พี่เสือ!”
“รู้จักชื่อผมด้วยเหรอ”
“ใครๆก็รู้ค่ะ”
“มาคนเดียวเหรอ”
“มากับเพื่อน...แต่เพื่อนไม่อยู่” เขมมิกเขินจนลื่นร่วง เธอหัวเราะกลบเกลื่อน “ฮ่ะๆๆๆ”
พิแสงเข้าไปพยุงเอาไว้แต่ตัวเองก็แทบเซ “ไปพักก่อนมั้ย”
เขมมิกอึ้งแล้วไม่พอใจ เธอรีบผละออก “พี่คะ...ถึงหนูจะไม่สวย แต่หนูก็ไม่โง่...พี่ต้องการอะไร”
“ต้องการอะไร หมายความว่าไง”
“พนันกับเพื่อนไว้ใช่มั้ย ว่าจะจีบหนูให้ติด จากนั้นพี่ก็จะชิ่ง หนูรู้ทัน”
“ทำไมคิดอย่างนี้”
“เพราะไม่มีทางที่คนอย่างพี่จะมาสนใจคนอย่างหนู เห็นป่ะ” เขมมิกมองไปรอบๆ “ปกติ ไม่มีใครคิดจะคุยกับหนูสักคน เพราะฉะนั้น...พี่ไม่ปกติ”
“อย่ามองคนในแง่ร้ายไปซะหมดสิ เรา..เอ่อ..ชื่ออะไร”
“น่านไง!!! เริ่มจากหลอกถามชื่อ หนูไม่บอกหร้อก...”
“ฟังผมนะน้องปุ๊กลุ้ก”
“พี่เรียกหนูปุ๊กลุ้กเนี่ยนะ!”
“ผมมาดี อยากจะช่วยพาไปพัก เพราะคุณไม่ไหวแล้ว”
“ไหว!!” แล้วเขมมิกก็ร่วงไป
พิแสงรับเอาไว้แล้วก็รู้สึกว่าหนักมาก “ปุ๊กลุ้ก!”
พิแสงพยุงเขมมิกให้เดิน
“หนูเดินเองได้”
เขมมิกผลักพิแสงออกไปแล้วพยายามจะเดินเอง แต่ก็ล้มลงไป พิแสงยื่นมือมาคว้ามือเขมมิกเอาไว้ได้ เขมมิกมองพิแสงอย่างขอความช่วยเหลือ
“อย่าปล่อยมือหนูนะ”
“ฉันไม่ปล่อยมือเธอหรอก....ค่อยๆลุกขึ้นนะ ยัยเบ๊อะเอ๊ย...เดินยังไง ลุกขึ้น”
พิแสงออกแรงดึงมือเขมมิกขึ้นมาอย่างยากลำบาก
พิแสงพาเขมมิกที่เมาไม่รู้เรื่องลงไปนอน น้ำหนักตัวทำให้เขมมิกพาเอาพิแสงลงไปนอนทับด้วย
“เฮ้ย!”
เขมมิกรีบผลักออก “ออกไป!”
เขมมิกออกแรงผลักพิแสง พิแสงกระเด็นตกเตียง
“โอ๊ย!”
เขมมิกเด้งตัวขึ้นมาจะโวยวาย แต่แล้วก็สลบกลางอากาศ
“คร่อกก”
“อ้าว....”
พิแสงยกแขนเขมมิกขึ้นจนเห็นท้องแขนย้อย พิแสงขำแล้วก็ปล่อยแขน แขนเขมมิกตกทำให้รู้ว่าเขมมิกหมดสติไปแล้วจริงๆ พิแสงมองเขมมิกแต่แต่หัวจรดเท้าจนเห็นความล่ำและความหนาของเธอ พิแสงตัดสินใจลงนอนข้างๆเขมมิกพลางเหลือบมองเป็นระยะๆ เขมมิกกรน
พิแสงสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
เช้าวันใหม่ เขมมิกค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาในสภาพไม่มีเสื้อผ้า เขมมิกตกใจเมื่อเห็นเสื้อผ้าตัวเองกองอยู่ที่ปลายเท้ารวมกับเสื้อผ้าของพิแสง
เขมมิกตาเบิกโพลง เขมมิกหันมองไปรอบๆ ก็เห็นพิแสงนอนหลับอยู่ข้างๆ ในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า เขมมิกช็อก
“พี่เสือ!”
พิแสงสะดุ้งตื่น เขาหันมองเขมมิกแล้วยิ้ม “ตื่นแล้วเหรอ ปุ๊กลุ้ก”
“พี่ทำอะไรหนู!”
“ทำ?” พิแสงงง
เขมมิกชี้ไปที่เสื้อผ้าที่กองอยู่ แล้วชี้ไปที่สภาพเปลือยเปล่าของตัวเองและของพิแสง
“แล้วทำไมต้องตกใจขนาดนั้น ก็แค่...” พิแสงยักไหล่
“ก็แค่? ก็แค่?! เหรอ!!”
เขมมิกตบหน้าพิแสงฉาดใหญ่เล่นเอาพิแสงมึน แล้วเขมมิกก็เอาผ้าห่มพันตัวก่อนจะรีบลุกออกไป
“เดี๋ยวก่อน ปุ๊กลุ้ก!”
พิแสงรีบคว้าเสื้อผ้าของตัวเองแล้วลุกตามไป
เขมมิกวิ่งออกมา เพื่อนๆที่นั่งดื่มกาแฟกันอยู่หันมามองเขมมิกเป็นตาเดียว เขมมิกอาย ทุกคนยิ้มบ้างหัวเราะบ้าง พิแสงวิ่งตามออกมา
“ปุ๊กลุ้ก ฟังผมก่อน”
“โห...ไอ้เสือ คราวนี้เล่นของใหญ่เว้ยเฮ้ย” เพื่อนแซว
ทุกคนพากันหัวเราะ เขมมิกยิ่งอับอาย พิแสงเข้ามาจับมือเขมมิก เขมมิกสะบัดออก เนตรนิภาเดินเข้ามา
“แกอยู่นี่เอง ฉันตามหาแกแทบแย่ ไม่มีใครรู้ว่าแกไปไหน”
“เนตร!” เขมมิกร้องไห้แล้ววิ่งออกไปนอกบ้านทันที
“รอก่อนสิแก เป็นอะไร!!”
เนตรนิภาวิ่งตามเขมมิกไป ทิ้งให้พิแสงยืนเซ็ง
เขมมิกนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในบ้านที่สวิตเซอร์แลนต์ด้วยความเสียใจ
“แม่ขา พ่อขา เขมขอโทษ....เขมเสียมันไปแล้ว...เขมไม่ใช่เด็กดีของแม่กับพ่ออีกแล้ว”
เหตุการณ์ปัจจุบัน เขมมิกเดินร้องไห้ออกมา
“เป็นคุณเองเหรอ อยู่ใกล้ฉันแค่นี้เองเหรอ....”
เขมมิกร้องไห้เมื่อแผลในใจถูกสะกิดให้เปิดออกมาอีก
เขมมิกเดินอย่างเร่งรีบในขณะที่น้ำตาของเธอเหือดแห้งไปแล้ว ชมพู่เดินเข้ามาเรียก
“คุณเขมคะ คุณเนตรนิภาโทรมาค่ะ ทำไมไม่รับมือถือ”
เขมมิกไม่ฟัง เธอวิ่งพ้นออกไป
ชมพู่งง “อ้าว....”
ปริญญ์กำลังคุยอยู่กับหมูตัวหนึ่ง
“กิ๊ฟซี่ ฉันถูกคุณน้ำหวานปฏิเสธ...ไม่ต้องเศร้า...เพราะฉันไม่ได้เสียใจ กลับโล่งใจที่...ในที่สุด ฉันก็กล้าพูดเสียที แม้จะถูกปฏิเสธก็ตาม ต้องขอบคุณคุณเขม...ที่ช่วยทำให้ฉันไม่รู้สึกติดค้าง”
เขมมิกเข้ามามองหาหลอดกับเสริมด้วยความร้อนใจ
“อ้าว คุณเขม”
“หลอดกับเสริมอยู่ไหน ! ฉันไปตามหาที่คอกของทีเด็ดไม่เจอ” เขมมิกถาม
“สองคนนั่นเอาหมูไปส่งให้ลูกค้า มีอะไรเหรอครับ”
“ฉันต้องกลับกรุงเทพ เดี๋ยวนี้!”
ปริญญ์แปลกใจกับท่าทีของเขมมิกที่เหมือนต้องการหนีอะไรสักอย่าง
พิแสงเดินเข้ามาในบ้าน
“ชมพู่!”
ชมพู่เดินเข้ามา
“คะ นายหัว”
“เขมมิกอยู่ไหน”
“เห็นวิ่งออกไปเมื่อกี้ค่ะ”
“ไปไหน”
“ไม่ทราบค่ะ ถามก็ไม่พูด แต่เหมือนแกตกใจอะไรสักอย่างนะคะ หลังจากที่เอาปุ๊กลุ้กเข้าไปเก็บในห้องนายหัว”
“ยัยนั่นเข้าห้องฉันเหรอ!”
ชมพู่จ๋อย “หวาย...ว่าจะไม่บอก”
พิแสงเดินเข้าบ้านแล้วตรงเข้าไปในห้องของตัวเอง
พิแสงเข้ามาเห็นกรอบรูปของตัวเองตกแตก เขาเข้ามาหยิบเศษกระจกและรูปขึ้นมาอย่างช้าๆ พิแสงมองด้วยความสงสัยและแปลกใจ
เขมมิกเดินอย่างเลื่อนลอย ปริญญ์เดินตามมาอย่างช้าๆ เพราะเป็นห่วงเขมมิก
“คุณเขม”
เขมมิกเหม่อลอยจึงไม่ได้ยิน
“คุณเขม”
“คะ?”
“ให้ผมไปจัดการเรื่องตั๋วให้มั้ยครับ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“คุณไปรอผมที่ร้านกาแฟนะ”
“ค่ะ”
เขมมิกเดินอย่างเลื่อนลอยออกไป ปริญญ์มองตามเขมมิกอย่างเป็นห่วง
เขมมิกนั่งซึมอยู่ในร้านกาแฟ ปริญญ์เดินเข้ามาพร้อมตั๋วเครื่องบิน
“นี่ครับ”
เขมมิกมองตั๋วก็เห็นว่าเป็นของสายการบิน P บูติกแอร์ไลน์ เขมมิกจ้องนาน
“คุณพิแสงโทรถามผม ว่าเห็นคุณบ้างมั้ย”
เขมมิกดื่มกาแฟนิ่งๆ
“ผมบอกอย่างที่คุณให้บอกว่า...ไม่เห็นคุณเลย น้ำเสียงคุณพิแสงเป็นห่วงคุณมากที่คุณหายไป”
เขมมิกดื่มกาแฟเงียบๆ
“อยากเล่ามั้ยครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ”
เขมมิกยังดื่มกาแฟโดยไม่ตอบอะไร
“งั้น...ผมเล่าของผมให้ฟัง...คุณน้ำหวานปฏิเสธผมอีกแล้ว”
เขมมิกหันมามองหน้าปริญญ์ด้วยแววตาเห็นใจ
“แต่ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรเลยครับ และครั้งนี้ก็คงเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของผม คุณน้ำหวานก็จะเป็นอดีตนับตั้งแต่วินาทีนี้”
“หมอจะลืมอดีตของตัวเองได้เหรอคะ” เขมมิกถาม
“คุณเขมวิ่งหนีเงาของตัวเองพ้นมั้ยล่ะครับ” ปริญญ์ถามกลับ
เขมมิกส่ายหน้า
“ก็เหมือนอดีต มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต ที่เราไม่มีทางลืมได้ แต่เราสามารถยอมรับและไม่ปล่อยให้มันกลับมาทำร้ายเราในปัจจุบันได้”
“อดีตบางอย่างก็ทำอะไรฉันไม่ได้ แต่บางอย่าง...ยิ่งพยายามจะลืมมันจะยิ่งกลับมาหลอกหลอน”
เขมมิกดื่มกาแฟต่อไปอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรอีก ปริญญ์มองเขมมิกด้วยความเห็นใจและสงสัยว่าเขมมิกเป็นอะไรถึงได้เศร้าได้ขนาดนี้
พิแสงนั่งไม่ติดเพราะเป็นห่วงเขมมิก อนงค์กับวาสินีที่อยู่ใกล้ๆ รู้สึกสะใจที่เขมมิกหายไป
“ยัยนั่นไม่ได้บอกใครเลยเหรอ ว่าจะไปไหน มือถือก็ปิดติดต่อไม่ได้ สร้างเรื่องให้ปวดหัวได้ทุกวัน” พิแสงว่า
“แหม นายหัวคะ คุณเขมเป็นสาวสมัยใหม่ ความมั่นใจสูง ขนาดกล้าถอนหงอกดิฉันมาแล้ว...ทำอะไรคงไม่แคร์ใครหรอกค่ะ” อนงค์บอก
พิแสงอึ้ง
“คุณเขมเป็นคนเก่ง คงไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอะไรกับเธอหรอกค่ะนายหัว อย่าห่วงเลยนะคะ” วาสินีพูด
“ไม่ห่วงได้ไง!”
อนงค์กับวาสินีอึ้ง
“คนในปกครองของผม เป็นอะไรไป ผมคือคนที่ต้องรับผิดชอบ”
ชมพู่วิ่งมารายงาน
“เสื้อผ้ายังอยู่เต็มตู้ ข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ครบ ไปแต่ตัว ชัวร์ค่ะ”
หลอดกับเสริมวิ่งเข้ามา
“คนงานเห็นคุณเขมไปกับหมอปิ๊นครับ นายหัว” หลอดบอก
“อ้าว แล้วทำไมไอ้หมอบอกว่าไม่เห็น” พิแสงงง
“ก็แปลว่าหมอปิ๊นโกหกเหรอคะเนี่ย” วาสินีพูด
“ฮ่ะๆ! แสดงว่าสองคนนี้แอบไป...อีลุ้กกุ๊กกิ๊กกันแน่ๆ!” อนงค์รีบพูด
พิแสงหน้าตึง
“อุ๊ย! ในเวลางานแบบนี้เหรอคะ แม่ ไม่หรอกค่ะ สองคนนั่นไม่น่าจะเป็นคนขาดความรับผิดชอบ”
“โอย! เลิกเดามั่วๆ ทำให้คนอื่นเสียหายทีเถอะ” ชมพู่ว่า
“ผีเจาะปากมาพูดหรือไงป้า” หลอดพูด
“พูดเพ้อเจ้อ ว่าร้าย ส่อเสียด พระว่าบาปนะป้า” เสริมบอก
“สองคนนั่นต่างหากที่บาป! เพราะสร้างความวุ่นวายให้คนทั้งฟาร์ม แถมยังโกหกนายหัวอีก อย่ามาว่าฉัน!” อนงค์ต่อว่า
พิแสงตัดบท “รอให้กลับมาแล้วค่อยดูกัน!”
พิแสงเดินออกไปอย่างหัวเสีย อนงค์และน้ำหวานสบตากันด้วยความชอบใจ พอหันไปอีกทีก็เห็นชมพู่ หลอด และเสริมกำลังมองมาอย่างคุกคาม อนงค์กับวาสินีผงะแล้วรีบพากันเดินออกไปเพราะกลัวถูกรุม
พิแสงเดินมาอย่างหัวเสีย ที่รู้ว่าปริญญ์โกหกเรื่องเขมมิก
“เขมมิก ไอ้หมอปิ๊น!!”
เขมมิกกำลังจะเข้าไปด้านในทางผู้โดยสารขาออก ปริญญ์ยืนส่งอยู่
“ผมอาจจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับคุณพิแสง จะให้บอกว่าไงครับ”
“บอกเค้าว่าไปตายซะ”
“อะไรนะครับ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ บอกว่า...ฉันไปเยี่ยมแม่ค่ะ เค้ารู้ดีว่าแม่ฉันป่วยมาก”
“แล้วทำไมไม่บอกเค้าดีๆ ทำไมต้องหนีมาแบบนี้”
เขมมิกตัดบท “ฉันไปล่ะ ขอบคุณมากนะคะ สำหรับทุกอย่างเพื่อทำให้ฉันสบายใจ”
“เดินทางปลอดภัยนะครับ”
“ค่ะ”
เขมมิกเดินไปสองสามก้าว ก็กลับมาอีก
“คุณน้ำหวานเนี่ย...โง่จัง...ที่ไม่ชอบหมอปิ๊น”
ปริญญ์สะดุ้งแล้วขำกับคำพูดของเขมมิก
“บายค่ะ”
เขมมิกก้าวฉับๆเข้าไป ปริญญ์มองตามเขมมิกด้วยสายตาอ่อนโยน
เนตรนิภากำลังจะออกจากบ้าน ทันใดนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น เนตรนิภาหยิบมาแล้วเห็นเบอร์ไม่คุ้น
“ใคร...” เนตรนิภารับสาย “ฮัลโหล....เนตรนิภารับสายค่ะ”
เสียงกนธีดังจากปลายสาย “ผมกนธี”
เนตรนิภาตกใจรีบกดสายทิ้งทันที “ไอ้ผู้ชายห่วยแตก!”
กนธีเดินเข้ามาหยุดที่ประตูหน้าบ้านเนตรนิภาแล้วตะโกนเข้ามา
“ไม่รับสายผม งั้นก็ออกมาคุยกันตัวต่อตัว”
เนตรนิภาเคืองแล้วพูดใส่มือถือ “ฉันกดสายทิ้งแล้ว ยังจะดื้อด้านพูดอยู่อีกเหรอ เป็นผีหรือไง!” เนตรนิภาอึ้ง “แต่เสียงอยู่ข้างหลัง”
“ก็อยู่ข้างหลังเธอนี่ไง ยัยเพี้ยน! หันมา!”
เนตรนิภาหันหลังมาก็เห็นกนธียืนอยู่ เนตรนิภาโกรธ
เนตรนิภาเอ่ยไล่ “ออกไป!”
“ยังไม่ได้เข้าบ้านคุณ ไม่ต้องมาไล่ !”
“มาทำไม!”
“ดูนี่!”
พูโจบกนธีก็คุกเข่าลง เนตรนิภาตกใจ
“ฉัน...ขอโทษ!” กนธีบอก
เนตรนิภาอึ้ง
กนธียังคุกเข่าอยู่ที่เดิม เนตรนิภามองอย่างตกใจแล้วจึงคุยผ่านประตูบ้าน
“รู้ได้ไงว่าบ้านฉันอยู่ที่ไหน”
“ฉันให้น้องสินีย์ช่วยถามจากฝ่ายบุคคลบริษัทเธอ”
“ทำแบบนี้ทำไม”
“ฉันต้องการให้เธอรู้ว่าฉันเสียใจที่ทำไม่ดีกับเธอ และฉันต้องการขอโทษ”
กนธีสบตาเนตรนิภาเพื่อแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เนตรนิภามองอย่างไตร่ตรอง ชาวบ้านที่เดินผ่านมามองกนธีเหมือนเป็นตัวประหลาด กนธีฝืนคุกเข่าต่อไปทั้งๆ ที่รู้สึกอาย
“นายรู้สึกผิด?” เนตรนิภาถาม
“ใช่”
“ดี”
กนธีดีใจจึงรีบลุกขึ้น “เธอให้อภัยและไม่โกรธฉันแล้วใช่มั้ย”
เนตรนิภาตอบทันที “ไม่”
“อ้าว....”
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 7 (ต่อ)
“เพราะฉันไม่เชื่อ ว่านายจะรู้สึกผิดจริงๆ และแสดงออกอย่างจริงใจ”
“ทำถึงขนาดนี้ ยังหาว่าฉันไม่จริงใจ แล้วจะให้ทำยังไงอีก ถึงจะพอใจ”
“อย่ามาถามฉันว่าต้องทำยังไง เป็นหน้าที่นายที่ต้องใช้สมองและสามัญสำนึกคิดเอาเอง”
“ทำไมเรื่องเยอะอย่างนี้วะ”
“นี่ไง! ความหงุดหงิดเมื่อไม่ได้อย่างใจของนาย มันแสดงให้ฉันเห็นว่านายไม่จริงใจ แค่ขอโทษพล่อยๆ กับยอมคุกเข่าไปงั้นๆ ทำอะไรก็ได้ให้มันผ่านๆไป....มักง่าย!”
กนธีพูดไม่ออก
“สรุป! ฉันไม่ให้อภัย! และกลับไปซะ!”
“ไม่ไป!”
เนตรนิภามองกนธีด้วยความเจ็บใจ
พิแสงนั่งรอคอยด้วยความเครียด อนงค์กับวาสินีหงุดหงิด ในขณะที่หลอด เสริม และชมพู่กระวนกระวายใจ
“นายหัวคะ อนงค์ว่านายหัวเอาเวลารอแม่นั่นไปทำอย่างอื่นเถอะค่ะ เสียเวลา”
“คุณเขมน่าจะบอกเราสักนิดนะคะว่าจะไปไหน ดูสิ...ทำให้นายหัวเครียด ไม่ดีเลย” วาสินีเสริม
“เครียดเพราะปากแม่กับปากลูกนี่แหละ” ชมพู่บอก
“นังชมพู่! เก็บปากแกไว้กินข้าวเหอะ!” อนงค์ว่า
พิแสงลุกพรวด
“นายหัวจะไปไหนครับ” เสริมถาม
“ฉันจะไปแจ้งความ” พิแสงบอก
“จะไปแจ้งทำไมคะ นายหัว ไปเองได้ เดี๋ยวก็กลับมาเองได้ ออกจะทำตัวเก่งกาจอย่างนั้น” อนงค์ว่า
“ให้เก่งยังไง ฉันก็เป็นห่วง”
ทุกคนอึ้งกันไป วาสินีหน้าเสีย อนงค์ไม่พอใจมาก ชมพู่ หลอด และเสริมหันมาสบตากันยิ้มๆ
พิแสงรีบแก้ตัว “บอกแล้วไง....เขมมิกเป็นคนในการปกครองของฉัน เป็นอะไรไป ฉันคือคนที่ต้องรับผิดชอบ ไม่อยากให้แม่เค้า...ต้องเสียใจ”
“แต่มีคนเห็นคุณเขมไปกับหมอปิ๊น...หมอปิ๊นก็น่าจะดูแลคุณเขมได้” วาสินีบอก
“ไอ้หยา ถ้าคุณเขมเป็นหมูก็ว่าไปอย่าง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คุณเขมต่างหากที่จะเป็นคนดูแลหมอปิ๊น” หลอดว่า
ทันใดนั้นปริญญ์ก็เดินเข้ามา
“ไอ้หมอ!!”
ปริญญ์ยิ้มให้พิแสงและทุกๆ คน
พิแสงถามปริญญ์
“ทำไมแกต้องโกหกฉัน ไอ้หมอ แกไม่เคยโกหกฉัน!”
“ผมขอโทษ แต่มันจำเป็น” ปริญญ์ตอบ
พิแสงงง “จำเป็น?”
ปริญญ์มองหน้าทุกคนที่รอฟังอย่างใคร่รู้แล้วลำบากใจที่จะพูด
“ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวได้มั้ยครับ คุณพิแสง”
พิแสงอึ้งและประหลาดใจ อนงค์กับวาสินีอยากรู้มากและไม่พอใจที่ปริญญ์ปกปิด ชมพู่ หลอด และเสริมก็ยิ่งอยากรู้
เนตรนิภาถือถังใส่น้ำเดินออกมาจากบ้าน กนธีเห็นเข้าก็ตกใจ
“ทำอะไร!” กนธีถาม
เนตรนิภาสาดน้ำโครมใส่กนธี “กลับไป!”
กนธีหลบได้ “อุ๊ย! ไม่โดน ว้า!!! ไม่แม่นเลย”
“ไม่แม่นเหรอ! นี่แน่ะ!” เนตรนิภาเขวี้ยงถังใส่หัวกนธีพอดี
กนธีร้องลั่น “โอ๊ย!”
“แม่นมะ?!”
เนตรนิภาวิ่งไปคว้าถังที่หล่นพื้นมาไล่ตีกนธี
“จะไปไม่ไป!”
“ป่าเถื่อน ชอบใช้ความรุนแรง”
“อ๋อ อยากให้เพิ่มความแรง ได้!”
เนตรนิภาไล่ตีกนธีไม่ยั้ง กนธีร้องลั่นแล้ววิ่งหนีไป เนตรนิภาหอบเหนื่อย
“อย่าให้ฉันเห็นหน้านายอีกนะ คราวหน้าไม่ใช่แค่ถัง แต่จะเป็นของแข็งกว่านี้! ฮื่ย!”
ปริญญ์คุยกับพิแสง
“ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณเขม เลยอยากคุยกับคุณสองคน” ปริญญ์บอก
“ยัยนั่นเป็นอะไร” พิแสงถาม
“คุณทำอะไรคุณเขมหรือเปล่า”
“ฉันจะไปทำอะไร!” พิแสงนึกขึ้นได้ก็เสียงอ่อย “ฉันชวนเค้าไปผสมพันธุ์”
“อะไรนะ?”
“ผสมพันธุ์หมูเว้ย!!! แกอย่าเข้าใจผิด”
ปริญญ์โล่งอก
“ยัยนั่นคงเข้าใจผิด คิดว่าฉันทะลึ่งใช่มั้ย แค่เนี่ยะถึงกับต้องหนีไปเลยเหรอ ตกลงยัยนั่นไปไหน ทำไมไม่กลับมาด้วยกัน”
“คุณเขมไปกรุงเทพ ให้บอกคุณว่าไปเยี่ยมคุณแม่ที่กำลังป่วย”
พิแสงอึ้ง
“แล้วทำไมไม่บอกกันดีๆ ทำไมให้แกไปส่ง แล้วทำไมต้องให้แกโกหก รู้มั้ยว่าทำคนอื่นวุ่นวายไปทั้งฟาร์ม”
หลอด เสริม และชมพู่แอบเอาหูแนบประตูฟังอยู่
“กูว่าวุ่นวายเพราะนายหัวแหละ เที่ยวสั่งคนโน้นคนนี้ให้ไปหาคุณเขม วุ่นไปหมด....” หลอดว่า
พิแสงเปิดประตูผลัวะออกมา ชมพู หลอด และเสริมผงะก่อนจะทำไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งสามหากิจกรรมใกล้ๆทำไปซึ่งดูก็รู้ว่าไม่เนียน
พิแสงเป็นห่วง “เขมมิก....เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
ปริญญ์เห็นความเป็นห่วงใยในแววตาของพิแสงก็ถึงกับอึ้งไป
เขมมิกกดกริ่งหน้าบ้านเนตรนิภา เนตรนิภาเดินออกมาพร้อมไม้กวาดแล้วโวยวายเพราะคิดว่ากนธีมาตอแยอีก
“ยังจะมาอีก คราวนี้จะเล่นให้หัวแตกเลย มา!”
เนตรนิภาอึ้งเมื่อหันไปเจอเขมมิก เขมมิกตื่นๆ และมีน้ำตาซึม เนตรนิภาตกใจ
“เขม มาได้ยังไง”
“เนตร....เป็นเค้า”
“เค้า เค้าไหน?”
เขมมิกนั่งอึ้งเหมือนสติยังมาไม่หมดอยู่บนเก้าอี้ เนตรนิภาตกใจมาก
“คุณพิแสง คือพี่เสือ!!”
เขมมิกตอบรับ “ใช่....”
“เวรกรรม!”
“ฉันควรทำยังไงดี”
“ตั้งสติก่อน”
“เป็นสิ่งที่ฉันทำไม่ได้”
เขมมิกเจ็บปวดกับสิ่งที่ตัวเองเข้าใจว่าเกิดขึ้นในอดีต
“ให้ฉันเจอหลุมอากาศ ไฮแจ็ค ผู้ก่อการร้ายวางระเบิดเครื่องบิน เครื่องตกทะเล ต้องช่วยเหลือผู้โดยสารให้รอดชีวิตเป็นร้อยๆคน...ฉันตั้งสติได้ แต่กับเรื่องนี้...ฉันทำไม่ได้...เนตร”
เนตรนิภาเห็นความตื่นกลัวของเขมมิกแล้วก็เห็นใจจึงเข้าไปกอดเพื่อปลอบขวัญ
“ใจเย็นๆก่อนนะเขม....ใจเย็น...ค่อยๆ....ไม่ต้องรีบ....”
เขมมิกกอดเนตรนิภาเอาไว้โดยยังคงอยู่ในอาการคุมสติตัวเองไม่ได้อยู่
ชมพู่ หลอด และเสริมนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน ทั้งสามเม้าเรื่องที่เขมมิกหนีไป
“แต่คุณเขมรู้แล้วนะ ว่าที่นายหัวชวนไปผสมพันธุ์น่ะ ไปผสมพันธุ์หมู” ชมพู่บอก
“เพราะฉะนั้นตัดเรื่องงอนนายหัวออกไปได้” หลอดว่า
“คุณเขมไปเยี่ยมแม่ที่ไม่สบาย แต่ทำไมไปแบบกะทันหัน ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย” เสริมพูด
“แต่ตอนก่อนแกจะไป แกเข้าไปในห้องนายหัว แล้วก็ทำกรอบรูปนายหัวตกแตก” ชมพู่บอก
“แสดงว่าต้องย้อนกลับมาที่นายหัว...อาจจะเป็นตัวต้นเหตุ” หลอดว่า
เสริมเดา “หรือกลัวนายหัวโกรธที่ทำรูปตกแตก”
อนงค์เข้ามาแทรกกลางวง
“สะดีดสะดิ้งเรียกร้องความสนใจล่ะไม่ว่า”
“แล้วทำไมคุณเขมจะต้องเรียกร้องความสนใจจากนายหัว” หลอดถาม
“เพราะยัยนั่น...อยากให้นายหัวตามไปง้อ เพราะอยากได้นายหัวไง ไอ้เซ่อ”
“โห...ป้าก็คิดได้เนอะ เรื่องเลวๆพรรค์เนี่ย” หลอดว่า
“ไอ้หลอด!”
วาสินีเดินเข้ามา
“แม่ก็...อย่าพูดถึงคุณเขมในแง่ร้ายอย่างนี้สิ เรื่องจริงเป็นยังไง เรายังไม่รู้”
“น้องน้ำหวานช่างเป็นคนดีจริงๆเลยจ๊ะ” เสริมบอก
“เป็นลูกไม้หล่นไกลต้นน่ะดีแล้ว จะได้ไม่เหมือนแม่” ชมพู่ว่า
“งั้นก็ไม่ต้องกินข้าวฝีมือแม่มัน! เก็บ!”
อนงค์กระชากจานข้าวของชมพู่ออกมา
“อ้าว” ชมพู่เซ็ง
“ของพวกแกด้วย! จะเก็บครัว ไปอาบน้ำ นอนแล้ว”
อนงค์เก็บจานของหลอดและเสริมมาแล้วเดินไป วาสินีเดินตามโดยปล่อยให้หลอด เสริม และชมพู่มองตามตาค้าง ทั้งสามถือช้อนค้าง อนงค์เดินกลับมาเก็บช้อนของทุกคนออกไปอีก
“ชมพู่! พูดทำไม!” หลอดว่า
“มีปาก ก็พูดสิ” ชมพู่บอก
“เอาเสียงปรบมือไป เฮ!! ถูกใจอย่างแรง”
หลอด เสริม ชมพู่แปะมือกันแล้วเฮลั่นด้วยความสะใจ อนงค์และวาสินีมองมาที่ชมพู่ หลอด และเสริมอย่างไม่พอใจ
อนงค์โยนจานลงกาละมังด้วยความไม่พอใจ
“แม่ก็....ใจเย็นๆหน่อยสิ ไม่รู้หรือไงว่าพวกนั้นมันเป็นองครักษ์พิทักษ์ยัยเขมมิก” เขมมิกเตือน
“ไม่สน! หมั่นไส้! แกจะใจเย็นอยู่อีกนานมั้ย ไม่เห็นหรือไง ตอนนี้ใครๆก็หันไปให้ความสนใจนังนั่น แม้แต่นายหัว ส่วนแก กำลังจะตกกระป๋อง” อนงค์ว่า
“แม่ก็ ตื่นตูม”
“กันไว้ดีกว่าแก้ แกอย่าชะล่าใจ ยัยนั่นมันหวังจะตะครุบนายหัวเป็นของมัน ฉันมั่นใจ”
“คงไม่ง่ายนักหรอก” วาสินีบอก
“ระหว่างนี้ มันไม่อยู่ แกต้องทำคะแนนกับนายหัว เข้าใจมั้ย”
“รู้แล้วน่ะ”
วาสินีจะเดินออกไป
“จะไปไหน”
“เข้าเมือง หนูบอกแม่แล้วนี่ ไปล่ะ”
วาสินีรีบเดินออกไป
“รีบกลับเร็วๆล่ะ นังน้ำหวาน”
อนงค์หันไปล้างจานด้วยความเซ็ง
“เบื่อจะเป็นขี้ข้าเต็มทน! เมื่อไหร่จะได้เป็นแม่ยายนายหัวสักทีวะเนี่ย!”
พิแสงนั่งมองกรอบรูปที่กระจกแตกอย่างครุ่นคิด
“เขมมิก....มันมีอะไรมากกว่าที่เรื่องที่เธอเป็นห่วงแม่หรือเปล่า”
ฟ้าร้องครืนลั่น ฝนเริ่มโปรยปราย พิแสงนั่งมองสายฝนแล้วก็คิดถึงเขมมิก
เขมมิกนั่งซึมมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นฝนเริ่มตก เนตรนิภายืนมองเขมมิกด้วยความเป็นห่วง เขมมิกยังนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว
พิสินีย์นั่งซึมรอคอยการกลับมาของพิทยา พิสาเดินเข้ามาเห็น แม่บ้านเดินผ่านมา พิสารีบรั้งไว้
“พี่พีทกลับมาหรือยัง” พิสาถาม
“ยังค่ะ” แม่บ้านตอบ
“ไปไหนก็ไป”
แม่บ้านเดินออกไป พิสานึกไม่พอใจแทนพิสินีย์
“ทำเมียเศร้าขนาดนี้ ไม่รู้จักรีบมาง้อ นิสัยไม่ดี!”
พิสาจะเข้าไปหาพิสินีย์ แต่ถูกมือของพิสุทธิ์เข้ามาดึงตัวเอาไว้
พิสาหันไปจะวีน “นี่....” พิสาอึ้งเมื่อเห็นพิสุทธิ์ “คุณพ่อ...”
“จะไปคุยอะไรกับพี่เค้าอีก”
“จะไปถาม ว่าพี่พีทมาง้อหรือยัง คุณพ่ออย่ามาห้ามหนูน่ะ”
“ต้องห้าม...เพราะเรามันชอบปล่อยคำพูดเลื่อยขาเตียงพี่เขา”
“หนูหวังดี อย่ามาว่าหนูนะ ถ้าพี่พีทไม่ทำตัวให้น่าสงสัย หนูก็ไม่พูดหรอก”
“ต่อให้น่าสงสัยกว่านี้ก็ไม่ควรพูด ไป เข้าข้างในไปเลย เรื่องผัวเมีย ให้เขาจัดการกันเอง ไป!”
พิสาหน้าม่อยแล้วเดินออกไปกับพิสุทธิ์
พิสินีย์ยังนั่งซึม พิทยาเดินเข้ามา ทั้งสองคนสบตากันแล้วก็อึ้งกันไป พิทยาเดินเลยเข้าไปข้างใน
พิสินีย์ลังเลว่าจะเข้าไปพูดก่อนดีหรือไม่
ปริญญ์เดินแกร่วอยู่คนเดียวอย่างรู้สึกเหงาใจในห้างสรรพสินค้า เขาหันไปมองรอบๆ ก็เห็นคู่รักเดินผ่านไป มองไปอีกมุมก็เห็นคู่รักอีกคู่กำลังนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิง ปริญญ์ยิ้มอย่างรู้สึกดี แต่พอนึกถึงตัวเองแล้วก็เศร้า
ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ย้อนกลับมา ปริญญ์รอลุ้นคำตอบจากวาสินี วาสินียิ้มให้ปริญญ์อย่างอ่อนหวาน
“หมอปิ๊นมีน้ำใจกับน้ำหวานมากเลย ขอบคุณมากนะคะ”
ปริญญ์เขินหน้าแดงและเหงื่อแตก
“น้ำหวานโชคดีที่มีคนดีๆอย่างหมอปิ๊นมาคอยดูแล หมอปิ๊นคะ....”
วาสินีมองปริญญ์ด้วยสายตาซาบซึ้ง ปริญญ์หัวใจเต้นโครมครามแทบทะลุออกมาข้างนอก
“แต่....น้ำหวานไปกับหมอปิ๊นไม่ได้หรอกค่ะ”
ปริญญ์จ๋อยและผิดหวัง เขาไม่เข้าใจเพราะคำตอบของวาสินีช่างตรงข้ามกับท่าทีเมื่อสักครู่
“ผู้ชายกับผู้หญิงไปไหนมาไหนกันสองต่อสอง...ไม่มีใครมองในทางที่ดีหรอกค่ะ...หมอปิ๊นไม่กลัวคนนินทาเราสองคนในทางที่เสียหายเหรอคะ”
วาสินีมองตาปริญญ์อย่างขอความเห็นใจ
ปริญญ์ยิ้มเศร้า
“เป็นคนดี แต่ไม่มีใครรัก” ปริญญ์รู้สึกตัวจึงไล่ความรู้สึกออกไป “จะไปคิดถึงอีกทำไม....”
ปริญญ์ฉีกยิ้ม คู่รักเดินจับมือคุยกันหวานผ่านหน้าปริญญ์ไป ปริญญ์คอตกแล้วก็ง่อยลงไปอีก
พิสินีย์นั่งแล้วหยิบกระปุกยาแก้ปวดขึ้นมากิน แล้วดื่มน้ำ พิทยาออกมาจากห้องน้ำในชุดนอนพอดี เขาเห็นพิสินีย์กินยาก็อึ้งเพราะเป็นห่วงแต่ก็ยังวางฟอร์มลงไปนั่งฝั่งตรงข้ามของเตียงโดยไม่หันไปมอง
“คุณไม่สบายเหรอ” พิทยาถาม
“ปวดหัวค่ะ...”
พิทยาอึ้ง “มากมั้ย”
“ค่ะ”
พิสินีย์เอนตัวลงนอนโดยไม่พูดอะไรอีก พิทยาเหลียวมามองพิสินีย์นิ่งๆ ไม่พูดอะไร เขาลุกเดินออกไปจากห้อง พิสินีย์ใจหายก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจ
พิทยาปิดประตูมายืนอยู่ที่ประตูห้อง แล้วเขาก็ยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์เพราะพอใจกับสงครามประสาทที่ตัวเองกำลังเล่นอยู่
ปริญญ์นั่งกินข้าวคนเดียวอย่างเหงาหงอย ฝนเริ่มตก ปริญญ์รีบเร่งมือกินแต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อมองออกไปนอกร้านเห็นต่อลาภเอาเสื้อคลุมมาคลุมหัวให้วาสินีแล้วพากันวิ่งมาที่รถซึ่งจอดเอาไว้เยื้องหน้าร้านอาหารที่ปริญญ์กำลังกินข้าวอยู่ อีกมือหนึ่งของต่อลาภถือถุงช็อปปิ้งหลายถุง
ปริญญ์อึ้งและแปลกใจที่เห็นวาสินีคุยกับต่อลาภอย่างสนิทสนม เขาลุกพรวดมายืนแอบดูใกล้มากขึ้น ต่อลาภเปิดประตูรถให้วาสินี วาสินีขึ้นไปนั่งแล้วต่อลาภก็ปิดประตู ปริญญ์เห็นต่อลาภแอบยิ้มเจ้าเล่ห์เขาก็ใจหาย ต่อลาภวิ่งมาขึ้นรถฝั่งคนขับแล้วขับออกไป ปริญญ์แปลกใจ
เขมมิกน้ำตาซึม เนตรนิภาเดินเข้ามายื่นชามข้าวต้มให้
“กินอะไรซะหน่อยนะเขม”
เขมมิกส่ายหน้า
“เขม....”
“แกจำได้มั้ยที่ฉันบอกว่าฉันคุ้นหน้าเค้า....เค้ามีบางอย่างเหมือนพี่เสือ”
“จำได้ แต่ใครจะคิดว่าโลกมันจะกลมได้ขนาดนี้ ที่นั่นมีแต่คนเรียกเค้าเสือๆ ไม่มีใครเรียกชื่อจริงอีกต่างหาก”
“แล้วเค้าจะจำฉันได้มั้ย ว่าฉันคือยัยปุ๊กลุ้กคนนั้น”
“ไม่มีทาง เขมมิกกับยัยปุ๊กลุ้กเมื่อห้าปีที่แล้วน่ะ ฟ้ากะเหวเลยนะ”
“แกแน่ใจได้ยังไง ว่าเค้าจะจำฉันไม่ได้”
“แกเคยพูดเองไม่ใช่เหรอ ผู้ชายน่ะลองได้ไปปลดปล่อยอะไรที่ไหนไว้ มันจำได้ไม่หมดหรอก อีกอย่างถ้าเค้าจำแกได้ ก็น่าจะพูดอะไรมาก่อนหน้านี้สิ”
“ใช่....เค้าจำปุ๊กลุ้กไม่ได้แล้ว....แค่คืนหนึ่งในฮัมบูร์ก คืนหนึ่งที่คงเหมือนกับหลายๆคืน กับผู้หญิงหลายๆคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเค้าแล้วก็ผ่านไป...แต่ฉันคงพิเศษหน่อย..ตรงที่...เป็นของแปลกให้เค้าพูดเล่นได้สนุกปาก”
เขมมิกเสียใจและเจ็บใจขึ้นมาอีก เธอพยายามจะกลั้นน้ำตาไม่ให้เพื่อนเห็นจึงเบือนหน้าออกไปมองสายฝนที่หล่นกระหน่ำ ผ้าแลบแปลบปลาบ แล้วเขมมิกก็รู้สึกเสียดแทงใจ
พิแสงมองสายฝน ฟ้าแล่บจนแสงกระทบหน้าด้วยความเป็นห่วงเขมมิก
“จะไปทำไมไม่บอกกันสักคำ” พิแสงว่า
เขมมิกยังนั่งมองสายฝน
“เพราะฉันไม่อยากเห็นหน้าเค้าอีก ฉันทนสู้หน้าเค้าไม่ได้”
“แต่แกยังทำงานให้คุณแสงสุดาไม่สำเร็จ เงินงวดแรกแกก็รับมาแล้ว” เนตรนิภาบอก
“เงินเหรอ”
“ใช่ เงิน ปัจจัยสำคัญมากสำหรับแกในตอนนี้”
“สำคัญเหรอ.....”
“คิดให้ดีก่อนนะเขม...แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะเคารพการตัดสินใจของแกเพราะฉันเข้าใจดีว่าแกเจ็บปวดมามากแค่ไหน จะให้กลับไปเผชิญหน้ากับอดีตที่เจ็บปวด มันคงยาก”
เขมมิกครุ่นคิดหาทางออกด้วยความเครียด
เช้าวันใหม่ พิทยาเดินมาที่รถเพราะกำลังจะไปทำงาน พิสินีย์ในชุดทำงานเดินออกมา พิทยาอึ้ง แล้วถามอย่างมึนตึง
“อาการปวดหัวหายแล้วหรือไง ถึงจะไปทำงาน”
พิสินีย์ถามกลับ “เป็นห่วงเหมือนกันเหรอคะ”
พิสินีย์พูดจบก็เปิดประตูข้างคนขับแล้วเข้าไปนั่งด้วยอาการงอน พิทยาถอนใจแล้วยิ้มชอบใจ เขานึกเอ็นดูกับท่าทีของพิสินีย์แล้วเปิดประตูขึ้นรถ ก่อนจะสตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไป
แสงสุดากับพิสุทธิ์เดินมาที่หน้าลิฟท์ของบริษัท พนักงานที่ผ่านไปผ่านมาทำความเคารพ แสงสุดารับไหว้อย่างไว้ตัว ในขณะที่พิสุทธิ์ยิ้มเป็นมิตรกับลูกน้อง ระหว่างรอลิฟท์ เสียงมือถือของแสงสุดาดังขึ้น แต่แสงสุดาไม่ได้ยิน
พิสุทธิ์รีบบอก “มือถือคุณดังแน่ะ”
แสงสุดารีบเปิดประเป๋าหยิบมือถือขึ้นมามองดูหน้าจอโทรศัพท์ก็เห็นว่าที่หน้าจอขึ้นว่า ”เขมมิก”
แสงสุดาตกใจจนลืมตัว “เขมมิก!”
“เขมมิก??? เขมมิกทำไม??? โทรหาคุณเหรอ”
“อ้อ....เปล่าค่ะ คือ...อ่านชื่อผิด...ธรรมศักดิ์ค่ะ คุณธรรมศักดิ์โทรมา คุณขึ้นไปก่อนนะ ฉันจะคุยธุระก่อน ในลิฟท์ไม่มีสัญญาณ”
แสงสุดาปลีกตัวไปแล้วกดรับสายก่อนจะพูดเสียงดังแบบจงใจให้พิสุทธิ์ได้ยิน
“ว่าไง คุณธรรมศักดิ์”
พิสุทธิ์มองตามแสงสุดาแล้วก็นึกสงสัย ประตูลิฟท์เปิดพิสุทธิ์ตัดสินใจเดินเข้าลิฟท์ไป
แสงสุดาเดินมาหยุดคุยโทรศัพท์
“โทรหาฉันทำไม ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ต้องโทรมา มีอะไรให้ติดต่อผ่านคุณธรรมศักดิ์”
เขมมิกเดินมาอยู่ที่มุมหนึ่งของล็อบบี้แล้วมองมาที่แสงสุดา
“เรื่องนี้บอกผ่านไม่ได้ ต้องต่อสายตรงถึงท่านรองค่ะ”
“เรื่องคอขาดบาดตายนักหรือไง”
“ไม่ตาย แต่ขาดค่ะ”
“มีอะไรก็รีบๆพูดมา”
“ฉันขอลาออกจากภารกิจแผนร้ายทำลายความรักของคุณพิแสงค่ะ”
“อะไรนะ!” แสงสุดาตกใจ
“ฉันมีความจำเป็นที่ทำให้ทำงานให้คุณต่อไปไม่ได้”
“ความจำเป็นอะไร!”
“เรื่องส่วนตัวค่ะ”
“ฉันต้องการคุยกับเธอ แบบเจอตัวเป็นๆ เดี๋ยวนี้!”
“คุยทำไมอีกคะ”
“เพื่อจะตกลงกันว่า....เธอจะคืนเงินทั้งหมดที่ฉันโอนให้ไปแล้ว รวมกับดอกเบี้ย ให้ฉันได้เมื่อไหร่”
“ฉันคิดไว้อยู่แล้ว...ว่าคุยโทรศัพท์กับคุณมันคงไม่จบ”
เขมมิกกดวางสายแล้วเดินฉับๆมาหาแสงสุดาทางด้านหลัง โดยที่แสงสุดายังไม่รู้ตัว แสงสุดายืนไม่พอใจเขมมิกอยู่
“ฉันมาแล้ว” เขมมิกบอก
แสงสุดาสะดุ้ง “ว้าย!!! นึกจะมาก็มา”
“จะได้จบเร็วๆไงคะ”
พิสุทธิ์เดินมามองหาแสงสุดา แสงสุดามองเห็นพิสุทธิ์ก็ตกใจจึงรีบลากเขมมิกหลบหลังเสาทันที พิสุทธิ์หยุดยืนหน้าเสา เขมมิกพยายามตะกายออกมา พิสุทธิ์หันมาแต่แสงสุดาดึงตัวเขมมิกกลับเข้าไปไว้ได้ทัน
พิสุทธิ์หันกลับไป เขมมิกตะกายออกมาอีก พอพิสุทธิ์หันกลับมาแสงสุดาคว้าตัวเขมมิกกลับเข้าไปได้ทันอีก พิสุทธิ์เดินหาแสงสุดาออกไปทางหนึ่ง แสงสุดาบล็อกเขมมิกเอาไว้อย่างแน่นหนา เธอมองเขมมิกตาเขียวอย่างเอาเรื่อง
“ไปคุยกับฉันที่อื่น!”
เนตรนิภาคุยมือถือพร้อมกับเปิดประตูบ้านเพื่อจะออกไปข้างนอก เธอคุยไปคุ้ยหากุญแจรถไปด้วยท่าทางเงอะงะมาก
“ที่ไหนพี่ เดี๋ยวหนูไปหาเลย...อะไรนะ....”
กนธีเดินเข้ามาข้างหลังแต่เนตรนิภายังไม่เห็น
“ช่วยถือมือถือให้เอามั้ย จะได้หาของสะดวก” กนธีบอก
เนตรนิภาพยักหน้า
กนธีถือมือถือให้เนตรนิภา เนตรนิภาเอามือคุ้ยหากุญแจรถในกระเป๋าต่อโดยยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป
“เพื่อนหนูกำลังหางานใหม่ค่ะ...มันก็อยากไปเอง แต่ตอนนี้ติดพาแม่ไปหาหมอ หนูไปคุยก่อนก็ได้..กุญแจรถอยู่ไหนอ่ะ...อ๋อ หนูหากุญเจรถในกระเป๋าไม่เจอค่ะพี่แต๋ว”
“ช่วยหามั้ย” กนธีถาม
เนตรนิภาพยักหน้าพลางคุยมือถือไปด้วย “พี่บอกทางหนูหน่อยสิ หนูไปไม่ถูก”
“งั้นถือมือถือเองนะ”
เนตรนิภาพยักหน้า “อะไรนะ...เจอห้าแยกไฟแดง แล้วเลี้ยวซ้าย...”
กนธียื่นมือถือให้เนตรนิภา เนตรนิภารับมือถือมาคุยต่อโดยยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป กนธีคุ้ยหากุญแจรถในกระเป๋าเนตรนิภาจนเจอ
“ตรงไปสองกิโล เห็นป้ายบริษัท....โอเค จำได้แล้ว เจอกันค่ะ ไม่เกินครึ่งชั่วโมง”
เนตรนิภากดวางสายมือถือแล้วนึกถึงกุญแจรถ
“กุญแจรถ....”
“อยู่นี่ไง” กนธียื่นให้
เนตรนิภาตกใจ “นายกนธี! เอากุญแจรถฉันไปได้ยังไง!”
“ก็เธอให้ฉันช่วยหา”
“เอามานี่” เนตรนิภาแย่ง
กนธีหลบ “ไม่ให้!”
เนตรนิภาแย่ง
กนธีหลบ
“จะเอาไง” เนตรนิภาถาม
“จะเอาคำว่า ยกโทษ”
“ไม่ให้”
“ก็ไม่คืน”
เนตรนิภาทำเป็นตกใจ เธอชี้ไปข้างหลังกนธีด้วยท่าทางตื่นเต้นมาก “ว้าย! ช้างเตะฟุตบอล”
“เว่อร์! ช้างที่ไหน มาเตะฟุตบอลแถวนี้”
“ไม่เชื่อก็หันไปดูเด่ะ”
กนธีหันไปแต่ก็ไม่มีอะไร เนตรนิภากระโจนเข้าไปแย่งกุญแจคืนมาจากกนธีได้สำเร็จ
“เฮ้ย! หลอกกันนี่หว่า”
“เออสิ! อยากเจอของจริงป่ะ ได้ รอเดี๋ยว”
“ของจริงอะไร”
“ไม้หน้าสาม เตรียมไว้แล้ว อย่าหนีนะ”
เนตรนิภาหันหน้าแล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน
“อยู่รอให้โง่เหรอ เย้ย!!”
กนธีวิ่งหนีไป เนตรนิภาหันมาเห็นก็ตะโกนไล่หลัง
“เสนอหน้ามาให้เห็นอีกเมื่อไหร่ จำไว้ ว่าฉันจะมองไม่เห็นหัวนายอีก”
เนตรนิภาเหนื่อยใจกับกนธีมาก
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 7 (ต่อ)
เขมมิกนั่งตรงข้ามกับแสงสุดา ทั้งสองมองหน้ากันด้วยสายตาแข็งกร้าวทั้งคู่ ธรรมศักดิ์ลงนั่งตรงกลางพร้อมยื่นแฟ้มเอกสารสัญญาการว่าจ้างงานให้เขมมิก
“นี่คือสัญญาการจ้างงาน....รบกวนคุณเขมมิกอ่าน” ธรรมศักดิ์บอก
“ฉันรู้แล้ว! สาเหตุที่เธอลาออกกลางคันเพราะเธอไม่มีปัญญาจัดการแยกนังน้ำหวานกับตาใหญ่” แสงสุดาว่า
“ไม่ใช่ค่ะ!”
“แล้วอะไร! อ้อ...หรือว่า เธอกลัวใจตัวเอง”
เขมมิกชะงักเพราะใจสั่น
“ฉันเตือนเธอแล้วนะ ว่าตาใหญ่เป็นคนมีเสน่ห์ ใครได้อยู่ใกล้ ยากที่จะห้ามใจไม่ให้ตกหลุมรักได้”
“ฉันไม่ได้ตกหลุมรัก” เขมมิกปฏิเสธ
“แต่ตาเธอมันฟ้อง”
“ฉันไม่...”
“เธอมันก็ดีแต่ปาก”
“คุณแสงสุดาครับ เราฟังเหตุผลของคุณเขมมิกก่อนดีกว่ามั้ยครับ” ธรรมศักดิ์บอก “เผื่อเธอมีปัญหาอะไร เราจะได้ช่วยกันหาทางแก้ไขให้”
“เหตุผลของฉันก็อย่างที่พูดไปแล้ว....ฉันมีความจำเป็น” เขมมิกบอก
“คุณเขมครับ”
“ความจำเป็นที่พวกคุณไม่มีทางเข้าใจ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เพราะฉันไม่มีปัญญาหรือเพราะฉันไปตกหลุมรักเป้าหมาย...จบค่ะ”
“งั้นเธอก็คงไม่ลืมว่า เธอไม่มีทางสะบัดก้นเดินออกจากเรื่องนี้ไปได้ง่ายๆ” แสงสุดาว่า
“ฉันทราบ....ฉันจะหาเงินมาคืนคุณทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา” เขมมิกบอก
“เมื่อไหร่”
“ฉันขอเวลา....”
“พรุ่งนี้!”
เขมมิกตกใจ “อะไรนะ!”
“ถ้าพรุ่งนี้เธอหาเงินมาคืนฉันไม่ได้ทุกบาททุกสตางค์ ฉันจะฟ้องร้องเธอ”
“เรื่องนี้ก็ต้องถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชนนะคะ” เขมมิกบอก
“ฉันไม่มีอะไรจะเสีย ส่วนเธอมีแต่เสียกับเสีย และอย่าหวังว่าฉันจะยกเลิกแทงบัญชีดำเธอ ประเทศนี้จะไม่มีพื้นที่ให้เธอได้เหยียบ เธอจะไม่มีที่ไป เขมมิก”
เขมมิกเหวอ แสงสุดาลุกขึ้นแล้วสั่งธรรมศักดิ์
“แจ้งยอดเงินทั้งหมดให้เค้าด้วย คุณธรรมศักดิ์”
พูดจบแสงสุดาก็สะบัดหน้าเดินออกไป ธรรมศักดิ์มองเขมมิกที่ช็อกอยู่ด้วยความเห็นใจ
เขมมิกเดินทอดน่องอย่างหมดอาลัยตายอยาก ธรรมศักดิ์เดินตามมาอย่างเงียบๆและอดทน เขมมิกลงนั่งบนเก้าอี้
“นั่งเถอะลุง” เขมมิกบอก
ธรรมศักดิ์ตอบรับ “ขอบคุณครับ”
ธรรมศักดิ์นั่งลงเพราะแอบเมื่อย เขารู้สึกดีที่ได้นั่ง เขมมิกยังคิดไม่ตกเพราะหนักใจมาก
“ทำไงดีล่ะลุง”
“ทำในสิ่งที่ดีที่สุดครับ”
“ยืมเงินหน่อยสิ”
ธรรมศักดิ์อึ้ง
“หนูล้อเล่น”
“ถ้าผมมีเงินมากพอให้คุณเขมยืมได้ ผมคงไม่ลังเล”
“โหย....หนูไม่กล้าทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะหนูหรอก”
“ทำไมถึงยกเลิกภารกิจครับ”
“อย่าให้หนูบอกเลย....หนูควรจะทำไงดี....ทำไงดี”
เขมมิกกลัดกลุ้มและเครียดมาก ธรรมศักดิ์นั่งเป็นเพื่อนเขมมิกอย่างเงียบๆ
แสงสุดานั่งลงอย่างอารมณ์เสีย พิสุทธิ์เดินเข้ามา
“คุณจ๋า....”
“คะ!”
“อารมณ์เสียมาจากไหนกันเนี่ย คุณธรรมศักดิ์ทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า”
แสงสุดาปรับอารมณ์ใหม่ “เปล่าค่ะ ไม่ใช่คุณธรรมศักดิ์หรอกที่ทำให้ฉันหงุดหงิดคนอื่น ช่างมันเถอะ ว่าแต่ คุณมีเรื่องอะไร”
“ผมว่าผมเห็นเขมมิกข้างล่างนะ” พิสุทธิ์บอก
แสงสุดาอารมณ์เสียขึ้นมาอีก “ฉันบอกให้คุณขึ้นมาข้างบน แล้วลงไปทำไมข้างล่าง หา!!”
พิสุทธิ์งง “อ้าว.....”
พิสินีย์นั่งทำงานอยู่ในห้องทำงาน พิทยาเดินเข้ามาเห็นพนักงานกำลังย้ายโต๊ะทำงานของเขา
“คุณให้เด็กย้ายโต๊ะทำงานผมทำไม” พิทยาถาม
“ค่ะ คุณควรจะมีห้องทำงานส่วนตัว การมานั่งทำงานกับฉัน อาจจะทำให้คุณอึดอัด”
“โธ่เอ้ย...” พิทยายิ้มขำ “สินีย์..” พิทยาสั่งพนักงาน “เอาไว้ที่เดิม”
พนักงานอึ้งแล้วจะเอาไปไว้ที่เดิม
พิสินีย์สั่งพนักงาน “เอาไปไว้ในห้องใหม่”
พนักงานจะเดินออกไป พิทยาพูดขึ้น
“เอาไว้ที่เดิม”
พนักงานอึ้งและเริ่มเหนื่อย
“แล้วออกไป ฉันจะคุยกับเมียฉัน” พิทยาสั่ง
พนักงานมองหน้าพิสินีย์
พิทยาสั่งด้วยเสียงเด็ดขาด “เร็ว!”
พนักงานรีบวางโต๊ะลงแล้วเดินออกไป พิสินีย์นั่งลงอย่างไม่พอใจ พิทยาเข้าไปหาพิสินีย์
“ผมทำให้คุณโกรธมากใช่มั้ย”
“ฉันต่างหากที่ทำให้คุณโกรธมาก”
“ถ้าผมโกรธคุณมาก ผมจะทำแบบนี้เหรอ”
พิทยาจับมือของพิสินีย์ขึ้นมาจูบเบาๆ พิสินีย์อึ้งแล้วรีบชักมือกลับ
“ไม่รู้สิคะ คุณคิดอะไร ฉันไม่รู้”
“งั้นผมจะบอกให้ ว่าผมคิดอะไร...ผมขอโทษ”
พิสินีย์อึ้งและเริ่มใจอ่อน เมื่อเห็นสายตาขอโทษของพิทยา
“ผม...ทำกับคุณเกินไป ยกโทษให้ผมนะ คนดี”
พิทยายกมือของพิสินีย์ขึ้นมาจุมพิตเบาๆ อีกครั้ง
พิสินีย์ค่อยๆใจอ่อนในที่สุด “ฉัน...ก็ขอโทษ ฉันผิดเองที่....หวั่นไหวกับคำพูดของคนอื่น”
“เราอย่าทะเลาะกันอีกได้มั้ย มันทรมานใจมาก..ผมอยากให้เราเชื่อใจกัน”
“ค่ะ เราจะเชื่อใจกัน”
พิทยาและพิสินีย์ยิ้มให้กันเมื่อปรับความเข้าใจกันได้ พิทยารู้สึกโล่งอก
โดยที่เขาไม่สังเกตเห็นแววตาของพิสินีย์ที่ยังคงไม่เชื่อใจพิทยาอย่างที่พูดเพราะพิสินีย์ต้องการพิสูจน์ความจริงบางอย่าง
ทันใดนั้นพิสุทธิ์ก็เดินหน้าตาตื่นเข้ามา
“สินีย์ ตาพีท!”
“มีอะไรคะคุณพ่อ”
พิสุทธิ์นั่งลงด้วยความกลุ้มใจ
“พ่อแค่พูดว่าเห็นเขมมิกแวบๆข้างล่าง แม่เราเอะอะเอ็ดตะโรใหญ่”
พิทยาอึ้ง พิสินีย์แอบสังเกตพิทยาอยู่เงียบๆ
“ไม่เห็นก็ไม่เห็นสิ เออ!!! ทำไมต้องของขึ้น” พิสุทธิ์ว่า
“คุณแม่คง....ไม่พอใจเขมมิกมาก แม้แต่ชื่อคงไม่อยากได้ยิน” พิสินีย์บอก
“มั้ง แต่จะว่าไป ก็สงสารเด็กคนนั้นเหมือนกันนะ ไม่รู้ตอนนี้จะไปทำมาหากินที่ไหนได้ เราได้ข่าวบ้างหรือเปล่า ตาพีท”
“เอ่อ...ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมไม่ได้ติดต่อเธอเลย” พิทยาตอบ
“อืม...เออ ลืม พ่อมีเรื่องจะบอกอีกเรื่อง ตกลงโปรเจ็คของตาพีท...พ่อไฟเขียวแล้วนะ”
“จริงเหรอครับคุณพ่อ”
“รายละเอียดที่เราส่งมาให้พิจารณา...พ่อเห็นความเป็นไปได้ ลงมือได้เลย เก่งมาก แบบนี้สิค่อยเบาใจหน่อย ถ้าต่อไปพ่อจะต้องวางมือให้เราสองคนบริหาร”
“แต่คุณแม่อยากให้พี่ใหญ่เป็นคนรับช่วงต่อนะคะ” พิสินีย์บอก
พิทยาคิดถึงพิแสงเพราะรู้ว่านั่นคืออุปสรรคสำคัญ
“เอาน่า....ถ้าเราสองคนเอาอยู่ เดี๋ยวแม่เราก็เปลี่ยนใจ ทำให้แม่เค้าเห็นว่าเราสองคนทำได้ เข้าใจมั้ย ตาพีท”
“ครับ คุณพ่อ ขอบคุณครับที่ให้โอกาสผม” พิทยาบอก
“พ่อไปก่อนนะ ระวังพายุอารมณ์คุณนายแสงสุดาให้ดี ตอนนี้ความรุนแรงยังอยู่ในระดับเอฟห้า หลบได้ หลบ”
พิสุทธิ์เดินออกไป พิสินีย์หันมาแสดงความยินดีกับพิทยา
“ดีใจด้วยนะคะพีท”
“ขอบใจจ๊ะ”
พิทยากอดพิสินีย์เอาไว้ โดยในใจของเขาเต็มไปด้วยแผนการฮุบตำแหน่งบริหารสูงสุด และการได้เขมมิกคืนมา
ขนิษฐาเดินมากับธรรมศักดิ์ที่โรงพยาบาล ขนิษฐามีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ
“ฉันกลับได้มั้ย”
ขนิษฐาจะเดินกลับ แต่ธรรมศักดิ์รีบมาขวางเอาไว้
“วันนี้แค่ตรวจเลือดกับความดันแล้วก็สภาพร่างกายทั่วๆไป ก่อนจะเข้ารับคีโม ไม่มีอะไรหรอกครับ ไม่ต้องกลัว”
“ฉันไม่ได้กลัวแค่วันนี้ แต่กลัวทุกวัน ฉัน....”
เขมมิกเดินเข้ามา
“บอกแล้วไง กลัวก็แพ้เด็กนะแม่”
ขนิษฐาดีใจ “เขม!”
“แม่ เขมมาแล้ว!”
เขมมิกวิ่งเข้ามากอดขนิษฐาเอาไว้ สองแม่ลูกกอดกันอย่างดีใจ ธรรมศักดิ์เห็นแล้วก็อดปลื้มไม่ได้
ชมพู่กำลังทำความสะอาด วาสินีก้าวฉับๆ เข้ามาหาชมพู่
“ชมพู่จ๊ะ....นายหัวล่ะจ๊ะ”
“โอ๊ย ไปตั้งแต่เช้ามืดแล้ว ป่านนี้ถึงแล้วมั้ง” ชมพู่บอก
“นายหัวไปไหน”
วาสินีรอฟังด้วยความประหลาดใจ
เขมมิกประคองขนิษฐาเดินมา โดยมีธรรมศักดิ์เดินตามมาข้างหลัง
“เปี่ยมพงษ์ไม่มาด้วยเหรอแม่” เขมมิกถาม
ขนิษฐาอึ้งแล้วสบตาธรรมศักดิ์
“ให้หนูเดา มันทิ้งแม่ไปแล้วใช่มั้ย”
“เปล่านะลูก เค้าแค่..เอ่อ..ติดธุระ...เลยมากับแม่ไม่ได้”
“แม่ อย่าโกหกเขม”
ขนิษฐาหน้าเสีย เธอสบตากับธรรมศักดิ์
ธรรมศักดิ์ช่วยแก้สถานการณ์ “พาคุณแม่เข้าไปหาหมอก่อนเถอะครับ ใกล้เวลานัดแล้ว”
“อ๋อ..ค่ะ ไป แม่...ค่อยๆเดินนะ”
เขมมิกพาขนิษฐาเดินไป แต่ก็ต้องชะงักด้วยความตกใจเมื่อเห็นพิแสงยืนอยู่
“คุณพิแสง! มาได้ไง”
พิแสงยิ้มให้เขมมิก
ขนิษฐาหันมาถาม “ใครลูก....”
เขมมิกหันไปมองหน้าคุณธรรมศักดิ์ทันที ธรรมศักดิ์ยิ้มให้เขมมิก เขมมิกปวดหัวแต่ก็ฝืนยิ้มให้กับขนิษฐาอย่างหน้าเสียเพราะเธอพยายามหาทางปกปิดไม่อยากให้ขนิษฐารู้เรื่องพิแสง และก็ไม่อยากให้พิแสงรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเองมากไปกว่านี้ด้วย
วาสินีนั่งหน้ามุ่ย อนงค์โวยวาย
“นายหัวไปตามยัยเขมมิกที่กรุงเทพ” อนงค์ฉุน
“เออ สิ!”
“โอ๊ย! อย่าบอกนะว่านายหัวหลงเสน่ห์ยัยนั่นเข้าแล้วจริงๆ”
“ฉันไม่ได้บอก และฉันก็ไม่คิดว่าจะใช่”
“ไม่ใช่ แล้วนายหัวจะตามมันไปทำไม โอ๊ย! ไปกับฉัน”
“ไปไหนล่ะแม่”
“ไปกรุงเทพ”
“ไปทำไม”
“ไหนบอกฉันว่าแกไม่ได้โง่ แค่นี้ก็ตามฉันไม่ทัน ไปตามทวงของๆแกคืนมาจากยัยนั่นน่ะสิ”
อนงค์ลากวาสินีออกไปทันที
เขมมิกประคองขนิษฐาเดินลิ่วมาตามทางเดิน พิแสงเดินมากับธรรมศักดิ์ที่แอบปาดเหงื่ออยู่บ่อยครั้ง
“เขม....ยังไม่บอกแม่เลย ว่าผู้ชายคนนั้นใคร”
พิแสงเดินมาประกบขนิษฐาอีกข้าง
“ผมช่วยนะครับ ค่อยๆเดินครับ”
เขมมิกเหวอ เธอหันมองธรรมศักดิ์ตาเขียว ธรรมศักดิ์ทำเป็นหันไปชมนกชมไม้
ขนิษฐาถามพิแสง
“คุณเป็นใครคะ...แฟนเขมมันเหรอ
พิแสงกับเขมมิกตกใจ “ไม่ใช่ครับ /ว้าย !! แม่!”
“ผมเป็นเจ้านายของเค้าครับ” พิแสงบอก
“เหรอลูก!”
“ค่ะ เจ้านายหนูเอง” เขมมิกพูดกับพิแสงห้วนๆ “ปล่อยแม่ฉันได้แล้ว ฉันดูแลแม่ตัวเองได้”
“ทำไมพูดกับเจ้านายอย่างนั้นล่ะลูก เขาอุตส่าห์มาเยี่ยมแม่ เขามีน้ำใจ” ขนิษฐาพูดกับพิแสง “ขอโทษแทนเขมด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเอง...ก็มีเรื่องต้องมาขอโทษเค้า”
“ขอโทษอะไร!” เขมมิกพูดโดยไม่สนใจพิแสง “ถึงหน้าห้องตรวจแล้วแม่ ใครไม่เกี่ยวก็ไม่ต้องตามไป ลุงคะ ช่วยดูแลเจ้านายหนูด้วย อย่าปล่อยให้เพ่นพ่าน”
พิแสง ธรรมศักดิ์ และขนิษฐาสะดุ้ง ขนิษฐาลากเขมมิกไปคุยส่วนตัวที่มุมหนึ่ง
“โกรธอะไรกันนักหนา ทะเลาะอะไรกันก่อนมาหาแม่” ขนิษฐาถาม
“เขา...ลวนลามหนูค่ะ” เขมมิกบอก
“หา!!! จริงเหรอ!”
ขนิษฐาหันมองพิแสงอย่างไม่พอใจ พิแสงที่กำลังยิ้มอย่างนอบน้อมถึงกับสะดุ้งและหลบตา
“เห็นมั้ยแม่ ไม่กล้าสบตา เพราะว่าเขาเป็นโรคจิตวิตถาร แม่อย่าเข้าใกล้เค้านะ ไปห้องตรวจเถอะแม่...เรื่องนี้ ปล่อยให้หนูจัดการเอง” เขมมิกใส่ไฟ
เขมมิกพาขนิษฐาเดินออกไปแต่หันมามองธรรมศักดิ์ตาเขียว ธรรมศักดิ์หลบวูบแล้วหันมาเจอพิแสงมองอยู่ ธรรมศักดิ์สะดุ้ง
“ขอบคุณนะครับ ที่บอกผมว่าเขมมิกอยู่กับแม่ที่ไหน” พิแสงพูดกับธรรมศักดิ์
“ไม่เป็นไรครับ ขืนไม่บอกก็คงแปลก”
ธรรมศักดิ์หายใจไม่ทั่วท้อง
เขมมิกพาขนิษฐามานั่งรอหน้าห้อง เธอหยิบมือถือขึ้นมาแล้วปลีกตัวเดินห่างออกมากดเบอร์
“เนตร...แกมาถึงโรงพยาบาลหรือยัง แย่แล้ว พี่เสือตามฉันมาเจอแม่เจอลุงธรรมศักดิ์”
อนงค์ลากวาสินีออกมาที่หน้าออฟฟิศ วาสินีไม่เต็มใจนัก ปริญญ์เดินเข้ามา อนงค์ชะงัก วาสินีได้ทีจึงสะบัดมือหลุดจากอนงค์
“มีอะไรค่ะหมอปิ๊น นายหัวไม่อยู่ค่ะ” วาสินีบอก
“ผมไม่ได้มาหาคุณพิแสงครับ แต่มาหาคุณ” ปริญญ์บอก
“จะอะไรกับลูกสาวฉันอีกนักหนา หา หมอปิ๊น!” อนงค์ไม่พอใจ
“ผมมีคำถามอยากจะถามคุณน้ำหวานแค่คำถามเดียวครับ เอ่อ....”
วาสินีเซ็ง “จะถามอะไรก็ถามมาสิคะ”
“แต่ เอ่อ ขอถามเป็นการส่วนตัวได้มั้ยครับ”
“ส่วนตง ส่วนตัวอะไร นี่หมอ เลิกตื้อยัยน้ำหวานซะทีเหอะ จะได้เหลือความน่าเอ็นดูไว้บ้าง อย่าให้น่ารำคาญ จะถามอะไรก็ถามมันตรงนี้เลย”
“ก็ได้ครับ เมื่อคืนคุณน้ำหวานนัดเจอกับคุณต่อลาภ คนของยูเอฟทำไมครับ”
วาสินีอึ้งและหน้าเสีย อนงค์หันมองวาสินีตาเขียวเพราะไม่พอใจมาก
“นังน้ำหวาน!!”
ธรรมศักดิ์นั่งเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อ
“คุณธรรมศักดิ์ดูตื่นเต้นนะครับ” พิแสงบอก
“ผมลุ้นให้น้องสาวผมร่างกายแข็งแรงพร้อมรับการรักษาด้วยคีโมครับ”
“แม่เขมมิกจะมีโอกาสหายมั้ยครับ”
“มีโอกาสหายครับ ว่าแต่คุณพิแสง...มีธุระอะไรที่กรุงเทพเหรอครับ หรือว่าจะมาเยี่ยมแม่คุณเขม เอ้ย หลานเขมเพียงอย่างเดียว”
“เขมมิกมาโดยไม่บอกอะไรผมสักคำ ผมไม่พอใจมาก”
“หลานเขมอาจจะ...มีเรื่องอะไรไม่สบายใจมาก ถึงได้ไม่บอกคุณพิแสง”
“เค้าอาจจะโกรธผม เรื่องที่ผมชวนเค้าไปผสมพันธุ์”
ธรรมศักดิ์งง “หือ?”
“ผสมพันธุ์หมูครับ แต่ผมพูดไม่หมด”
ธรรมศักดิ์สังเกตเห็นความอาทรและแคร์เขมมิกในแววตาของพิแสง “อ่อ.....”
พิแสงนั่งรอต่อไป แต่ธรรมศักดิ์ยิ้มๆ
อนงค์ตีแขนวาสินีด้วยความโกรธ
“แกแอบไปเจอเค้าทำไม นี่แน่ะๆๆๆ ห้ามไม่ฟัง นี่แน่ะๆ!”
“โอ๊ย แม่ หนูเจ็บนะ!!”
ปริญญ์เข้ามาห้าม “ป้าครับ ใจเย็นๆก่อนนะครับ”
“ไม่เย็น ถอยไป ฉันจะตีลูกฉัน หมอไม่เกี่ยว คอยหายาแก้ช้ำในให้มันกินก็แล้วกัน”
วาสินีวิ่งไปหลบหลังปริญญ์
“อย่าหนีฉันนะ นังน้ำหวาน! ออกมา! ทำไมไม่ฟังแม่แก หา! นังลูกไม่รักดี ชอบของต่ำหรือไง!”
“หนูไม่ได้นัดเค้านะ แต่บังเอิญไปเจอเค้าพอดีตอนฝนตก เขาก็เลยมาส่ง แม่อย่าเข้าใจหนูผิดสิ”
วาสินีวิ่งหนีอนงค์ออกไป อนงค์วิ่งตาม
“มานี่เลย มานี่!”
ปริญญ์ยังสงสัยและยังติดใจ
วาสินีหนีอนงค์มา อนงค์วิ่งไล่จนทันจึงจับตัวเอาไว้
“แกคิดว่าฉันจะเชื่อแกเหรอ โกหก!”
“จะให้หนูพูดความจริงต่อหน้าหมอปิ๊นได้ไง”
อนงค์ชะงัก “ความจริง ความจริงอะไร?!”
“คุณต่อลาภชอบหนู หนูก็ต้องเลี้ยงๆไว้สิ”
“หน้าไม่อาย พูดออกมาได้!”
“ตอนนี้ขืนอายก็อดสิแม่ นายหัวก็ลูกผีลูกคน ถ้าหนูพลาดจากนายหัว ยังไงหนูก็ยังมีคุณต่อลาภเป็นเบาะคอยรับไม่ให้ตกลงมาเจ็บ”
“แกไม่มีทางพลาดจากนายหัว”
“แม่แน่ใจได้ยังไง!”
อนงค์อึ้ง
วาสินีพูดต่อ “เห็นมั้ย แม่ก็ไม่แน่ใจ น่าแม่...คุณต่อลาภเป็นถึงระดับผู้จัดการภาค เงินเดือนก็ตั้งเยอะ ดีกว่าหมอปิ๊นด้วย”
อนงค์เริ่มลังเล “แต่ฉันก็ยังอยากเป็นแม่ยายนายหัว”
“ใช่ว่าฉันไม่อยากเป็น แต่ชีวิตมันก็ควรมีแผนสำรองสิ”
อนงค์เริ่มครุ่นคิด วาสินีลุ้นให้อนงค์เห็นด้วย
“ก็ได้! แต่!...แค่เลี้ยงๆไว้เป็นหมายเลขสองนะ ยังไงนายหัวก็ต้องมาที่หนึ่ง”
“รู้แล้วน่า ตกลง...จะให้หนูไปกรุงเทพอยู่หรือเปล่า”
“ไม่ต้อง..ระหว่างหมายเลขหนึ่งแกไม่อยู่ ก็ไปทำคะแนนกับหมายเลขสอง”
“งั้น...หนูขอให้หมอปิ๊นเป็นหมายเลขสามได้ป่ะ”
“นังน้ำหวาน ได้คืบจะเอาศอกนะ”
“อ้าว...ไม่ดีหรือไง มีเบาะคอยรับเวลาตกลงมาหลายๆชั้น ยังไงก็ไม่เจ็บ”
“ก็โออ่ะ...ต๊าย ฉลาดกว่าที่ฉันคิดอีกนะแกเนี่ย”
แล้วสองแม่ลูกก็หัวเราะคิกคักกันพร้อมกับเดินออกไป
กนธีเดินคุยมือถือมา
“แกอยู่ตรงไหนวะ ฉันมาถึงแล้ว.....”
กนธีเห็นเนตรนิภาเดินคุยมือถือมา เนตรนิภาเห็นกนธีก็อึ้ง กนธีก็อึ้ง เนตรนิภามองข้ามหัวกนธีทำเหมือนกนธีเป็นอากาศไม่มีตัวตนแล้วคุยมือถือต่อพร้อมกับเดินผ่านไป
“ฉันกำลังเข้าไป แค่นี้ก่อนนะ” เนตรนิภาคุยมือถือ
เนตรนิภาเดินฉับๆไปโดยไม่เหลียวหลัง กนธียืนเหวอ
พิแสงนั่งอยู่กับธรรมศักดิ์ กนธีเดินเข้ามา
“ว่าไง พิแสง....” กนธีทัก
“โอ้ว...มากันให้พรึ่บ” ธรรมศักดิ์ว่า
“เพื่อนผมมาจากพัทลุง ยังไม่กลับ เลยนัดเจอกันครับ ไอ้ธี นี่คุณธรรมศักดิ์ ลุงของเขมมิก” พิแสงแนะนำ
“สวัสดีครับ แหม ลุงคุณเขมเหรอครับ ฝากเนื้อฝากตัว” กนธีอึ้งแล้วรีบสำรวม “เอ่อ ไม่มีอะไรครับ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“อีกนานมั้ยครับ กว่าจะตรวจเสร็จ” พิแสงถาม
“ไม่แน่ใจ ขอไปเช็กดูหน่อยนะครับ”
ธรรมศักดิ์รีบลุกออกไป กนธีนั่งลงข้างๆ พิแสง
“เป็นไง....แก้ปัญหาได้หรือยัง” พิแสงถาม
“ยัง...ไม่คิดเลยว่าจะเจอของแข็ง แถมตอนนี้เป็นเหมือนอากาศ ไร้ตัวตนไปซะแล้ว” กนธีบอก
“หึหึหึหึ....” พิแสงหัวเราะ
“ขอบใจ”
กนธีนั่งเซ็ง
เขมมิกพาขนิษฐาเดินมา เนตรนิภาเดินเข้ามา
“ป้า สวัสดีค่ะ” เนตรนิภายกมือไหว้
“หวัดดีลูก”
“เขม....ฉันเจอนายกนธีที่นี่” เนตรนิภาบอก
เขมมิกเซ็ง “เวร”
“กนธี...ใครลูก” ขนิษฐาถาม
“เพื่อนของเจ้านายโรคจิตหนูค่ะ”
เนตรนิภางง “เจ้านายโรคจิต?”
“คุณพิแสงจับก้นฉัน ฉันเลยหนีขึ้นมากรุงเทพไง เล่าให้แกฟังแล้วนะ”
เนตรนิภารับลูก “อ้อ ใช่...แกเล่าแล้ว” เนตรนิภาขำ
“หนูเนตร ไม่ใช่เรื่องขำ เราต้องแจ้งตำรวจนะเขม แม่ไม่ยอม” ขนิษฐาบอก
เขมมิกกับเนตรนิภาตกใจ
“อย่าเลยแม่ เขมอายคน...ช่างมันเถอะ ถือว่าทำบุญ แค่อย่าให้เค้ามายุ่งกับเขมอีกก็พอ”
“แล้วจะทำยังไงล่ะ โอ๊ย! ทำไมเรื่องนี้ต้องมาเกิดกับลูกฉันด้วยนะ”
ธรรมศักดิ์เดินมา
“ให้คนที่พามาจัดการแล้วกัน” เขมมิกบอก
ทุกคนหันไปมองธรรมศักดิ์ ธรรมศักดิ์เดินมามองหน้าทุกคนเหรอหรา
พิแสงกับกนธียืนงง ธรรมศักดิ์ยืนหน้าเฉยอยู่ต่อหน้าทั้งสอง พิแสงโวย
“นี่เค้าเห็นพวกผมเป็นอากาศหรือไง ถึงได้ไม่แคร์ ไม่สนใจ นึกจะไปก็ไม่บอก ปล่อยให้รออยู่ได้”
“โดนมองเป็นอากาศ...มันเจ็บนะครับ” กนธีเสริม
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” ธรรมศักดิ์บอก
“ไม่เข้าใจอ่ะคุณธรรมศักดิ์ ผมมาดีนะ ไม่ได้มาร้าย เขาทำเหมือนผมเป็นอาชญากร น่ารังเกียจ ผมเป็นเจ้านายเค้านะ”
ธรรมศักดิ์ยกมือห้ามก่อนจะถูกด่าใส่หน้ามากไปกว่านี้ “ครับ ผมทราบ....กำลังจะบอกคุณพิแสงอยู่ครับว่า...คุณเขมจะโทรหาเมื่อเธอสะดวก”
“นี่ผมต้องรอให้เค้าโทรมาตอนสะดวกเหรอ เฮ้ย”
พิแสงนึกไม่พอใจเขมมิก