แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 9
แสงสุดาและอนงค์ยังยืนจ้องหน้าท้าทายกันแบบไม่มีใครยอมใคร พิสุทธิ์ที่ยืนแอบอยู่ถึงกับปาดเหงื่อเพราะไม่ชอบสภาวะเผชิญหน้า
เขาค่อยๆย่องจะหนีออกไปแต่ดันไปเตะของที่วางอยู่แถวนั้นล้มดังโครม ทั้งแสงสุดาและอนงค์หันขวับ พิสุทธิ์ยืนตัวแข็งเพราะเป็นเป้าสายตาของทั้งคู่ พิสุทธิ์ยิ้มให้ทั้งคู่แบบเจื่อนๆ อนงค์เริ่มแผนทันที
“โฮ!” อนงค์มาออดอ้อนพิสุทธิ์ “คุณนายใจร้าย มาว่าอนงค์สาดเสียเทเสีย ทั้งที่อนงค์ไม่ได้ทำอะไรผิด”
แสงสุดาโกรธมากที่อนงค์ทำมารยา พิสุทธิ์รีบแยกออกห่างเพราะกลัวแสงสุดา
“อนงค์แค่จะมาดูความเรียบร้อยเรื่องอาหารเช้า อนงค์มาทำตามหน้าที พอคุณนายเห็นปุ๊บ ด่าอนงค์ปั๊บเลย”
“คุณ จะไปโกรธอนงค์ทำไม ผมบอกแล้วไง....ว่ามันไม่มีอะไร ทำไมไม่ฟังกันบ้างเลย” พิสุทธิ์บอก
แสงสุดาเหลือบเห็นอนงค์ยิ้มเยาะใส่ก็อารมณ์ปี๊ดขึ้นมาอีกร้อยเท่าแล้วทำท่าจะระเบิด พิสุทธิ์และอนงค์เห็นก็ผงะ
เขมมิกมองพิแสงด้วยความเสียใจ
“เขมมิก ฉัน...ไม่ได้เป็นผู้ชายแบบนั้น เธอเข้าใจฉันผิด”
“ไม่ผิดหรอก!!!! คุณเป็นผู้ชายสกปรก เลยคิดสกปรก และคิดว่าคนอื่นก็คงจะสกปรกเหมือนคุณ”
พิแสงอึ้ง วาสินีกำลังเดินออกมาเห็นพิแสงและเขมมิกจึงหยุดยืนดูโดยไม่ให้ทั้งคู่เห็น
พิแสงพูดต่อ “ถ้าฉันคิดสกปรก ฉันจะมาเตือนเธอด้วยความปรารถนาดีหรือไง”
“ปรารถนาดี?” เขมมิกงง
“ถ้าไม่อยากให้ทุกคนคิดว่าเธอเป็นเหมือนที่ยัยน้องเล็กพูด ก็อยู่ให้ห่างๆ หมอปิ๊น! ฉันพูดเพื่อเตือนสติเธอ”
“ทำไมฉันต้องอยู่ห่างหมอปิ๊น ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกัน”
“เพื่อน? หัวร่อต่อกระซิก จับมือถือแขน คุยกันกระหนุงกระหนิงแบบนั้นเนี่ยนะ เพื่อน?”
“ใช่ เพื่อน! ทำไม หึงหรือไง!”
พิแสงอึ้ง เขมมิกพูดออกไปเองแล้วก็อึ้ง ทำให้อึ้งกันไปทั้งคู่
วาสินีตาวาวด้วยความร้อนใจและไม่พอใจ
พิแสงเดินเลี่ยงไปทันที วาสินีเจ็บแปลบ
เขมมิกหน้าร้อนวูบ... “เขาหึงหมอปิ๊นเหรอ?”
วาสินีมองเขมมิกด้วยความไม่พอใจ
พิสุทธิ์กับอนงค์กำลังกลัวแรงระเบิดจากแสงสุดา แสงสุดามองอนงค์เหมือนจะฉีกเธอออกเป็นชิ้นๆ แต่แล้วก็นึกถึงคำแนะนำของเขมมิกที่เคยแนะนำเธอในอดีต
เขมมิกมองแสงสุดาพร้อมให้คำแนะนำอย่างหนักแน่น
“ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบนางมารร้ายค่ะ ต้องสวมบทบาทแม่พระ เข้าใจโลก เข้าใจมนุษย์ รับรองผู้ชายสยบแทบเท้า ถึงตอนนั้นนางฟ้าอย่างท่านรองพูดอะไร ใครๆก็ฟังและทำตาม! เชื่อฉันค่ะ....หึหึ”
เมื่อนึกถึงคำแนะนำของเขมมิกแสงสุดาก็ค่อยๆอ่อนลง เธอมองอนงค์อย่างมีเมตตาจนพิสุทธิ์และอนงค์อึ้งไป
“อนงค์จ๊ะ....” แสงสุดาเรียก
“คะ....”
“ฉันขอโทษถ้าทำอะไรให้เธอเข้าใจผิดคิดว่าฉันด่า”
“หือ?”
“แต่ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรกับเธอเลย จริงๆนะคะคุณพิสุทธิ์”
“หือ?” พิสุทธิ์งง
“ฉันเชื่อใจคุณแล้วค่ะ ว่าคุณรักฉันคนเดียว”
“เอ่อ...ทำไม...จู่ๆ..คุณก็....”
แสงสุดาพูดต่อ “เพราะเมื่อฉันนอนคิดยู่ทั้งคืน...เราอยู่กันมาตั้งนาน ไม่เคยมีสักครั้งที่คุณจะนอกใจ ต่อให้ใกล้ชิดคนสวย รวย เก่งกว่าอนงค์เป็นร้อยเท่าพันเท่า คุณก็ไม่เคยหวั่นไหว”
อนงค์เจ็บจี๊ด
“แล้วฉันจะทำตัวงี่เง่าไปทำไม ฉันรักคุณมากนะคะ ฉันไม่อยากทำให้คุณเบื่อฉัน”
พิสุทธิ์โอบแสงสุดาเข้ามากอดด้วยความปลื้มใจที่เธอคิดได้ แสงสุดาแอบยิ้มเยาะอนงค์ อนงค์เห็นก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอกจะระเบิด
“คุณหิวแล้วหรือยังคะ” แสงสุดาถาม
“พูดปุ๊บ หิวปั๊บเลย ท่าทางจะกินได้เยอะ เพราะวันนี้ฟ้าโปร่งแต่เช้า” พิสุทธิ์บอก
“งั้นไปทานของเช้ากันดีกว่า ไปจ๊ะอนงค์ เธอบอกจะมาดูแลพวกเราไม่ใช่เหรอ มาสิ มาทำหน้าที่แม่บ้านที่ดี ก่อนที่พวกเราจะกลับ”
แสงสุดาโอบเอวพิสุทธิ์เดินเข้าบ้านไป อนงค์มองตามแสงสุดาด้วยความแค้นที่ถูกแสงสุดาข่ม
เขมมิกเดินมาที่มุมหนึ่งของฟาร์มโดยที่หน้ายังร้อนวูบ ปริญญ์เดินเข้ามาคุยด้วย
“คุณเขมครับ”
“เอ่อ คะ?”
“คุณพิแสงโกรธอะไรคุณหรือเปล่าครับ”
“เขาโกรธเพราะคิดว่าเขมอ่อยหมอ ทั้งๆที่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว คิดไปได้”
“จริงเหรอครับ?”
“ค่ะ ตอนนี้เป็นเขมแล้วค่ะที่โกรธเค้า”
“ผมก็โกรธ โกรธมาก!!” ปริญญ์บอก
พูดจบปริญญ์ก็ผลุนผลันออกไป
“หมอปิ๊น จะไปไหนคะ”
ลิเดีย หมูแม่พันธุ์ตัวใหม่ยืนอยู่ในคอก หลอดและเสริมยืนคุมอยู่ พิแสงยืนคุยกับคนที่เอาลิเดียมาส่งพลางเซ็นเอกสารไปด้วย
“ฝากบอกเฮียด้วย ขอบคุณมาก” พิแสงบอก
คนที่เอาลิเดียมาส่งรับคำ “ครับ”
คนเอาลิเดียมาส่งรับเอกสารที่พิแสงเซ็นเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกไป พิแสงยืนนิ่งพลางคิดถึงเรื่องหึงปริญญ์จึงเหม่อลอยพอหันหน้ามาอีกทีก็เจอหน้าหลอดกับเสริมมาจ้องอยู่ใกล้ๆ
“อะไร!” พิแสงถาม
“นายหัวเหม่อลอย” หลอดบอก
“เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว” เสริมว่า
พิแสงเปลี่ยนเรื่อง “หมอปิ๊นอยู่ไหน จะให้มาตรวจแม่พันธุ์ตัวใหม่”
ปริญญ์เดินหน้าบึ้งเข้ามา “คุณพิแสง!”
“พูดถึงก็มาพอดี ฉันกำลังจะ....”
“ฟังผมพูดก่อน!”
พิแสงแปลกใจกับท่าทางขึงขังของปริญญ์ รวมทั้งหลอดและเสริมก็แปลกใจด้วย
“อะไรของแก....” พิแสงงง
ปริญญ์ขัด “บอกให้ฟัง! แล้วใช้วิจารณญาณ”
หลอดกับเสริมร้องพร้อมกัน “อั๊ยย่ะ!!”
“คุณเขมไม่เคยอ่อยผม!” ปริญญ์บอก
“เหรอ...แกแน่ใจได้ไง ยัยนั่นร้อยเล่ห์เจ้ามารยา อย่างแก ไม่ทันยัยนั่นหรอก” พิแสงว่า
“ผมแค่ขี้อาย แต่ไม่ได้ตาบอด หรือเซ้นส์บกพร่อง”
หลอดกับเสริมร้องพร้อมกัน “อั๊ยย่ะ”
“แกว่าฉันเซ้นส์บกพร่องเหรอวะ ไอ้หมอ!” พิแสงถามกลับ
“ผมบอกให้ฟัง! ไม่ได้ให้ถาม”
พิแสงอึ้งแล้วยอมหุบปาก
“กรุณามองคุณเขมซะใหม่ อย่าดูถูกเธอและผมอีก ไม่งั้น ผมก็พร้อมจะต่อยหน้าคุณได้ ต่อให้คุณเป็นเจ้านาย และเพื่อนผมก็ตาม”
พิแสง หลอด และเสริมอึ้ง....
ปริญญ์พูดต่อ “ผมขอเวลาทำใจให้เย็นสักครู่ แล้วผมจะกลับมาทำงาน” ปริญญ์หันไปมองลิเดีย “เดี๋ยวเจอกันนะ...ลิเดีย” ปริญญ์หันมาพูดกับพิแสง “หน้าเค้าเหมือนฝรั่ง ชื่อลิเดีย เหมาะ”
พิแสง หลอด และเสริมหันมองหน้าลิเดียแล้วก็งงว่าหน้าฝรั่งตรงไหน ปริญญ์เดินออกไปแบบหล่อมาก พิแสงรู้สึกหน้าแตก หลอดกับเสริมมองหน้าพิแสง
“นายหัวเป็นอย่างที่หมอปิ๊นพูดจริงมั้ยครับ ทึกทัก ดูถูกคนอื่น” หลอดถาม
“ถ้าจริง พวกเราขอโทษด้วย...เราไม่สนับสนุนคนทำผิดคิดเลว” เสริมบอก
พิแสงร้องออกมา “เฮ้ย!!”
เนตรนิภานั่งหน้าเป็นตูดอยู่ที่มุมหนึ่งในสนามบิน
“แม้แต่ความเป็นเพื่อน ฉันก็จะไม่เหลือให้นาย”
เนตรนิภาตัดสินใจจะเดินออกไปแต่แล้วก็ชะงักเพราะเปลี่ยนใจ
“ฉันให้เวลานายได้แก้ตัวอีกครึ่งชั่วโมง..ไม่โทร ไม่ตาม!”
แล้วเนตรนิภาก็นั่งรออยู่ที่เดิมด้วยความหงุดหงิดมาก
กนธีอยู่ในสภาพพันผ้ารอบหัวเร่งรีบเดินมา โดยมีพิสารีบตามมาด้วย
“แค่ถลอกทำไมต้องพันหัวซะเว่อร์ด้วยคะ”
“ก็พี่กลัวติดเชื้อ เลยพันกันเอาไว้ก่อน” กนธีรีบเดินต่อ
พิสาเดินตาม “พี่ธี น้องเล็กขออยู่ต่อได้ป่ะ”
“ก็อยู่สิ จะอยู่กี่วันก็ได้” กนธีรีบเดินต่อ
พิสาเดินตาม “แล้วถ้าแบบว่า...มันจำเป็นต้องอยู่เป็นเดือนล่ะ”
กนธีประชด “ก็อยู่ทำงานมันที่นี่ซะเลย ถ้าจะอยู่นานขนาดนั้น” กนธีเดินต่อ
“งั้นขอทำงานด้วยได้ป่ะ” พิสาถาม
“เฮ้ย..ล้อเล่น”
“แต่เอาจริง!”
“พี่ล้มหัวฟาด ไหงไซต์เอฟเฟ็กไปตกที่เรา...น้องเล็กขอทำงาน? สติดีอยู่มั้ย”
พิสาตอบทันที “ดี”
“พ่อแม่รู้เรื่องหรือยัง”
“ไม่รู้”
“ไปถามท่านก่อนนะ”
“ไม่ต้องถามหรอก ทำเลยนะ”
“ไม่ด้ายยยยย กลับไปกรุงเทพไปคุยกับท่านให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน ตอนนี้พี่มีธุระด่วนมาก ไปนะ”
“แต่....”
กนธีไม่ฟัง เขารีบวิ่งออกไปทันที พิสาฮึดฮัด
“ตัดใจเหอะป้า รักเขาข้างเดียวมาตั้งแต่สาวยันแก่ !ยังไงก็ไม่ได้หรอก!”
อนงค์มองหน้าชมพู่ด้วยความเจ็บใจจึงแกล้งทิ้งกระเป๋าลงกระแทกเท้าชมพู่อย่างแรง
ชมพู่ร้องลั่น “โอ๊ย!!”
“อุ๊ย ขอโทษ หลุดมือ!” อนงค์หยิบกระเป๋าขึ้นมาถือใหม่
“ขอบใจนะอนงค์ เออ ยัยน้ำหวานเป็นไงบ้าง” พิสุทธิ์ถาม
“สบายดีค่ะ ขอบคุณนะคะที่มีน้ำใจถามถึง ผิดกับคนที่อนงค์รู้จักบางคนนะคะ นอกจากไม่ถามถึงแล้ว ยังคิดร้าย หาเรื่องกลั่นแกล้งกำจัด!” อนงค์ว่า
แสงสุดาสะดุ้ง
“คิดไม่ดีกับผู้หญิงตัวเล็กๆซื่อๆแบบน้ำหวานเนี่ยนะ เลว!” พิสุทธิ์ว่า
แสงสุดาสะอึก อนงค์ยิ้มเยาะ แสงสุดารีบกัดคืน
“นั่นสินะคะ น้ำหวานเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆใสซื่อ ดูช่วยตัวเองไม่ได้ มิน่าถึงได้ข่าวว่าอยากมีแฟนจนตัวสั่น อนงค์เตือนลูกบ้างนะจ๊ะ เป็นผู้หญิง อย่าเที่ยวเอาตัวเองใส่พานให้ใคร ไม่งาม”
พิสุทธิ์ถามทันที “จริงเหรอ”
“แหม ข่าวก็คือข่าวค่ะ ไปเชื่ออะไรกับน้ำลายพวกปากสกปรก!” อนงค์บอก
แสงสุดารีบสวน “ใช่จ๊ะ แต่ยังไงก็สอนลูกนะอนงค์ เอาชีวิตตัวเองมาเป็นบทเรียน ได้ผัวผิดคิดจนตัวตาย คว้าขี้เมามาเป็นผัว ในที่สุดก็เลิกกัน เป็นหม้ายไม่ใช่เรื่องสนุก ใครจะอยากได้ของมีตำหนิ ใช่มั้ยคุณ”
พิสุทธิ์อึกอัก “ก็....”
แสงสุดาตัดบท “เห็นมั้ย คุณพิสุทธิ์เห็นด้วย”
อนงค์เจ็บจี๊ด ชมพู่รีบชักเท้าหนีออกมาเพราะกลัวถูกกระแทกด้วยกระเป๋าอีก
อนงค์เชิดหน้า “ไม่ต้องห่วงค่ะ รับรองว่ายัยน้ำหวานได้ผัวดีแน่ ถึงวันนั้น ฉันคงไม่ต้องมายกกระเป๋าอย่างนี้อีก”
“ก็ดีจ๊ะ แต่ฉันว่ากว่าจะถึงวันนั้น เธอคงเหนื่อยมากเกินไป.....เออรี่มั้ย” แสงสุดาย้อนถาม
“เออรี่!!!!??” อนงค์ถามชมพู่ “แปลว่าอะไรวะ”
“อ๋อ....แปลว่า...ไม่รู้” ชมพู่บอก
“แปลว่า....ไม่ต้องทำงานแล้ว ออกจากงานไปเลย” แสงสุดาบอก
“ออกจากงาน!” อนงค์ตกใจ
“พร้อมเงินเกษียณก้อนหนึ่งไปพักผ่อนรอเลี้ยงหลานในบั้นปลายของชีวิต ก้อนใหญ่ด้วยนะ ดีมั้ยคะคุณ”
“เออ ก็ดีนะ เห็นเราทำงานงกๆแบบนี้ เห็นใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องคุยกับตาใหญ่ เพราะปู่เค้าฝากฝังกันมา” พิสุทธิ์บอก
“แต่ถ้าอนงค์โอเค แล้วคุณสนับสนุน ตาใหญ่รึจะกล้าขัด”
พิสุทธิ์เห็นด้วย “ก็จริงนะ”
แสงสุดายิ้มหวานให้อนงค์ อนงค์ยิ้มตอบ ทั้งสองส่งสายตาที่รู้ทันกันว่าไม่มีใครจริงใจให้กัน
เขมมิกตักอาหารใส่รางให้ทีเด็ดแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บิดไปบิดมา
“ลูก....ลูกว่า...เขาหึงแม่ป่ะ”
ทีเด็ดเดินมากินข้าวแบบไม่สนใจเขมมิก
“ลูก ลูกว่า...เขากำลังมีใจให้แม่ป่ะ”
ทีเด็ดยังคงกินข้าวต่อไป
“ลูก ลูกจะตะกละเหมือนหมูมากไปแล้วนะลูก กินไม่เงยหน้าเงยตามาคุยกันบ้างเลย”
พิแสงเดินเข้ามาจะง้อแต่ยังวางฟอร์ม
“ฉันเคยบอกแล้วไง อารมณ์ไม่ดี อย่ามาลงกับหมูฉัน!”
เขมมิกเซ็ง “ว่าจะไม่เซ็งแล้วนะ หาเรื่องด่าตลอด” เขมมิกวางอุปกรณ์แล้วเดินหนี
พิแสงเดินตาม
เขมมิกเดินหนี พิแสงเดินตาม เขมมิกเดินไปทางซ้าย พิแสงก็เดินตามไปทางซ้าย เขมมิกเดินไปทางขวา พิแสงก็เดินตามไปทางขวา เขมมิกทนไม่ไหวจึงหันมาเหวี่ยง
“ถ้าฉันเดินลงรู จะตามลงไปด้วยมะ”
“ตาม” พิแสงตอบ
เขมมิกยกมือไหว้ “ฉันไหว้ล่ะ ทั้งเมื่อวาน วันนี้ โดนมาเยอะแล้ว อย่าหาเรื่องด่าอะไรกันอีกเลยนะ”
“ไม่ได้มาด่า” พิแสงบอก
“แล้วมาทำไม”
“ห่างจากนี้ไปประมาณ 10 กิโล....มีร้านอาหารอร่อยขึ้นชื่อของที่นี่”
เขมมิกอึ้ง “แล้วไงคะ”
“อีกไม่นานก็เที่ยง”
“แล้ว?”
“ฉันกำลังชวนเธอไปกินข้าว”
เขมมิกอึ้งเพราะแทบไม่อยากจะเชื่อ
“จะไปไม่ไป” พิแสงถาม
“เนื่องในโอกาสอะไรไม่ทราบ”
“ต้องให้พูดอีกเหรอ”
“ไม่พูด ก็ไม่ไป”
“แค่นี้ ยังแสดงออกไม่พออีกเหรอ”
“แค่นี้???!!! แสดงออกอะไร ไม่เห็นจะเห็นอะไร”
“เพื่อขอโทษที่....เข้าใจเธอกับไอ้หมอผิดไป และก็ขอโทษแทนยัยน้องเล็กที่ทำร้ายเธอ”
“อะไรนะ ไม่ได้ยิน พูดดังๆสิ”
“ได้คืบจะเอาศอก งั้นก็ไม่ต้องไป”
พิแสงเดินหนี เขมมิกรีบตะโกนไล่หลัง
“มันพูดยากพูดเย็นมากนักหรือไง พูดให้ดังขึ้นมาอีกนิดเนี่ย”
“เออ ยาก” พิแสงบอก
“เถื่อนที่สุด! พูดไม่เคยเพราะ” เขมมิกเดินผ่านพิแสงไป
“ตกลงไม่ไป?” พิแสงถาม
“จะไปรอที่รถ”
พิแสงอมยิ้มด้วยใจพองโต เขมมิกรีบหันกลับเพราะไม่อยากให้พิแสงเห็นว่าตัวเองก็ยิ้ม เขมมิกรีบเดินไป พิแสงรู้สึกสดชื่นเหมือนโลกทั้งใบสดใสขึ้นมาทันที แล้วเขาก็เดินตามไป
พิสุทธิ์กับแสงสุดากำลังคุยกับคนขับรถระหว่างรอชมพู่จัดกระเป๋าในรถ
“คุณคะ...ฉันเข้าห้องน้ำก่อนนะ กลัวจะปวดระหว่างทาง” แสงสุดาบอก
“จ๊ะ”
แล้วแสงสุดาก็เดินออกไปอย่างมีแผน
เขมมิกเดินอมยิ้มออกมา จู่ๆแสงสุดาก็โผล่มาจากข้างทางแล้วลากเขมมิกไปแอบคุย
เขมมิกตกใจ “ว้าย!!!”
แสงสุดารีบเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเอง “ชู่ว์!!”
แสงสุดาพาเขมมิกเดินเข้ามาในที่ลับตาคน
“ทำไมต้องพามาตรงนี้ด้วยคะ” เขมมิกถาม
“ฉันมีเรื่องต้องสั่งเสียเธอ” แสงสุดาบอก
“พูดเหมือนจะไปตายนะคะ”
“เขมมิก! ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น”
“ขอโทษค่ะ ก็เห็นคุณหน้าเครียด”
“เครียดเพราะหล่อนนั่นแหละ เมื่อไหร่ตาใหญ่จะตกหลุมรักเธอสักที”
“ก็....ใกล้แล้วมั้งคะ เขา...เพิ่งชวนฉันไปทานข้าวข้างนอก”
พูดจบเขมมิกก็หน้าแดง
“หา!!! จริงเหรอ!!”
“ค่ะ”
“ดีมาก รีบๆเผด็จศึกเลยนะ เอาใจของเขาให้ออกห่างมาจากยัยน้ำหวานนั่นให้มากที่สุด เร็วที่สุด ระหว่างนี้...ก็ถือเป็นโอกาสเหมาะ”
“อะไรเหมาะคะ” เขมมิกถาม
“หลังจากที่ตาใหญ่ถูกเธอสลัดรัก เค้าต้องอ่อนแอและเปิดรับหนูสาวิกาว่าที่คู่หมั้นมารักษาแผลใจ โป๊ะเช้ะ ช่างพอเหมาะพอเจาะอะไรอย่างนี้”
เขมมิกงง “คู่หมั้น?”
“เออสิยะ ตาใหญ่จะต้องแต่งงานกับหนูสาวิกา ผู้หญิงที่ฉันอนุมัติให้มาเป็นลูกสะใภ้เท่านั้น”
เขมมิกอึ้งไปทันทีเพราะรู้สึกเจ็บแปลบในใจ
“ถ้างั้น...ทำไมคุณไม่ให้คุณว่าที่คู่หมั้นเข้ามาทำหน้าที่แทนฉันตั้งแต่แรกซะเลยล่ะคะ”
“ก็ตาใหญ่ไม่เล่นด้วยไง ฉันถึงต้องใช้เธอเป็นสะพานนำตาใหญ่ไปสู่ความเจ็บปวดซะก่อน ตอนนั้นหนูสาวิกาจะกลายเป็นนางฟ้าในสายตาของตาใหญ่ทันที เข้าใจหรือยัง”
“ค่ะ”
“รีบๆทำงานให้เสร็จ จะได้จบๆ ก่อนที่ความมันจะแตกมากไปกว่านี้ ตามแก้กันไม่หวาดไม่ไหว ไปนะ ระวังตัวด้วย”
แสงสุดารีบแวบออกไป ทิ้งเขมมิกให้ยืนอึ้งเหมือนถูกตีหัว จากที่ร่าเริงเมื่อครู่เขมมิกก็รู้สึกเหมือนตกเก้าอี้ทันที
“คู่หมั้น?”
แสงสุดารีบเดินจะไปที่รถ พิสุทธิ์เดินมาทางข้างหลัง
“คุณแสงสุดา”
แสงสุดาสะดุ้งเฮือก “คุณพิสุทธิ์”
“ไหนบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ผมเห็นคุณคุยอยู่กับเขมมิก”
แสงสุดาตกใจมาก “คุณได้ยิน?”
พิสุทธิ์ส่ายหน้า “หึ....เห็นปุ๊บ คุณก็ผละออกมา”
แสงสุดาโล่งใจ
“ให้โอวาทเด็กคนนั้นใช่มั้ย” พิสุทธิ์ถาม
แสงสุดารีบสมอ้าง “ใช่ค่ะ ฉันเข้าห้องน้ำเรียบร้อยก็เลยถือโอกาสไปคุยกับเขมมิก”
“ดีแล้ว ให้เขาตั้งใจทำงานไป ไม่นานก็ไปแล้วนี่ ใช่มั้ย”
“ค่ะ ฉันบอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องยัยน้องเล็ก เราจะดูแลไม่ให้มาวุ่นวาย”
“นี่ผมเพิ่งรู้นะ ว่าผมแต่งงานกับนางฟ้า ตัวแม่ซะด้วย”
“อุ๊ย...เซี้ยวซนอีกแล้วอ่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว”
แสงสุดาแกล้งเขินทำเป็นเดินหนีแต่แอบโล่งอก พิสุทธิ์ยิ้มๆ แล้วเดินตาม
กนธีวิ่งมาที่จุดนัดพบแต่มองไม่เห็นเนตรนิภา กนธีผิดหวัง
“สายเป็นชั่วโมง...แล้วใครมันจะรอวะ เฮ้อ....”
กนธีหน้าเศร้า เขาเดินคอตกกลับไป เนตรนิภาเดินเข้ามาขวางด้วยสีหน้าเข้ม แล้วพูดเสียงเขียว
“ทำไมมาเอาป่านนี้!” เนตรนิภาโยนกระเป๋าเดินทางให้กนธี
กนธีรับกระเป๋าไว้ด้วยความดีใจ “ยัยเพี้ยน!”
เนตรนิภาเห็นที่หัวกนธีมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ก็ตกใจ “ไปโดนอะไรมา”
กนธีสำออยทันที “โอ๊ย เก๊าหัวแตกอ่ะ”
“หัวแตก!!! ตายจริง แตกได้ยังไง ตั้งแต่เมื่อไหร่”
กนธีแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เนตรนิภาดูตกใจและเป็นห่วงอาการของเขามาก
เนตรนิภาลากกระเป๋าเดินฟังกนธีอธิบายเรื่องสาเหตุการหัวแตก ในขณะที่กนธีโม้ไปเรื่อย
“ลูกน้องผมมันสะเพร่า ไม่ยอมเก็บบันไดลิง หล่นลงมาฟาดใส่หัวผม โครม! แตก เย็บเป็นสิบเข็มเลย”
“แล้วทำไมไม่บอกฉันว่าเกิดอุบัติเหตุ ฉันจะได้ไม่ต้องรอ หารถไปเองก็ได้”
“ไม่ได้หรอก ผมไม่อยากผิดคำพูดกับคุณ ผมยอมให้คุณด่า ดีกว่ายอมให้เดินทางไปคนเดียว”
“โรคจิต” เนตรนิภาว่า
“แต่คุณก็ไม่ได้โกรธผม”
“รู้ได้ไง”
“ถ้าโกรธ จะยอมรอผมเหรอ...”
เนตรนิภาเขิน
“เขินทำไมอ่ะ ไม่ได้จีบซะหน่อย” กนธีแซว
“ไม่ได้เขิน! จะไปได้หรือยัง”
“โอ๊ย เก๊าปวดหัว ขับรถไม่ไหว”
“มา ขับเอง”
“โอเค!”
กนธีรีบยื่นกุญแจรถให้เนตรนิภา
“มา ผมเอากระเป๋าขึ้นรถให้ โอ๊ย ปวดหัวอีกแล้ว”
“เดี๋ยวฉันทำเอง นายขึ้นไปรอบนรถเหอะ ไม่อยากใช้งานคนหัวเดี้ยง!”
“ขอบใจนะที่เข้าใจ”
กนธีรีบเดินไปนั่งรอข้างคนขับทันทีแล้วก็หัวเราะก๊ากเพราะสะใจที่ได้แกล้งเนตรนิภา โดยที่ไม่รู้ว่าเนตรนิภามองอยู่ กนธียังหัวเราะต่อเนื่อง เนตรนิภาเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง
“หัวเราะอะไร!”
“โดนหลอก!!! ฮ่ะๆๆๆ” กนธีหันไปเจอเนตรนิภาก็ตกใจ “เอิ๊ก!”
เนตรนิภากระชากผ้าพันแผลของกนธีออกจนเห็นแผลถลอกนิดเดียว “อ้อ..หัวแตกเย็บสิบเข็มเหรอ”
กนธีจ๋อยจนหน้าซีด “ฮ่าๆๆๆ เหอะๆๆ”
“แตกจริงๆเลยละกัน แต่ไม่ใช่หัวนะที่แตก ตาแตก!”
เนตรนิภาเงื้อหมัดตรงทิ่มเข้ามาหากนธี
กนธีร้องลั่น “ว้ากส์!”
พิสาดื้อดึงกับพิสุทธิ์และแสงสุดา
“หนูยังไม่กลับ” พิสายืนกราน
“ทำไม” พิสุทธิ์ถาม
“หนูจะอยู่เที่ยวต่อ”
“คนเดียวเนี่ยนะ” แสงสุดาถาม
“ค่ะ”
“แม่ไม่เชื่อ”
“พ่อก็ไม่เชื่อ”
“เราจะอยู่เพื่อหาทางกำจัดเขมมิกไปให้พ้นๆใช่มั้ย” แสงสุดาถาม
“เปล่านะคะ น้องเล็กจะอยู่เที่ยวต่อจริงๆ มาตั้งไกล อยู่เที่ยวให้คุ้มก่อนดีกว่าค่ะ!”
พิสุทธิ์กับแสงสุดาสบตากัน
“น้องเล็กสำนึกแล้วนะคะว่าน้องเล็กไม่มีเหตุผล เอาแต่อารมณ์ และก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไป น้องเล็กอโหสิกรรมให้เขมมิกแล้วค่ะ และสัญญาค่ะว่าจะไม่ทำเรื่องเดือดร้อนอีก” พิสาบอก
พิสุทธิ์ไม่ค่อยเชื่อ “จริงอ่ะ”
“ถ้าไม่จริง ยอมให้ลงโทษ ยอมให้ตัดเงินเดือน และยอมออกไปหางานทำค่ะ”
“แม่ไม่เชื่อ!!” แสงสุดาบอก
“คุณแม่อ่ะ!!”
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 9 (ต่อ)
แสงสุดาและพิสุทธิ์เดินเถียงกันมาตลอดทาง
“คุณอ่ะ ยอมยัยน้องเล็กทำไม ไหนบอกไม่ให้ฉันตามใจลูกในทางที่ผิด” แสงสุดาว่า
“ไม่ได้ยินหรือไง ยัยน้องเล็กสัญญากับเราว่าอะไร” พิสุทธิ์ย้อนถาม
“หูไม่หนวก ได้ยินทุกคำพูด”
“ถ้ายัยน้องเล็กทำตามคำพูด ทุกอย่างก็ปกติ สงบสุข แต่ถ้าไม่...ลูกจะไปทำงาน!! เป็นสิ่งที่เราอยากให้เกิดขึ้นมาตั้งนานแล้วนะคุณ”
“ก็ใช่...แต่ฉัน...ไม่ค่อยไว้ใจ”
“วัดใจกันสักครั้ง”
“ก็ได้...เออ...คุณว่ายัยน้องเล็กจะพูดเรื่องเขมมิกกับตาพีทมั้ย”
“ผมสั่งแล้วว่าห้ามพูดอะไรให้พี่เขยพี่สาวไม่สบายใจอีก ไม่งั้นผมเอาเรื่องจริงๆ”
“แล้วคุณว่า...ยัยสินีย์จะบอกตาพีทเรื่องเขมมิกมั้ย” แสงสุดาถามอีก
“อันนี้ไม่รู้...ดูกันเอาเองดีกว่า”
พิทยาและพิสินีย์เข้ามาสวัสดีพิสุทธิ์และแสงสุดา
“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่”
“ว่าไง เราสองคน ทำงานไปจู๋จี๋กันไป สนุกสนานดีมั้ย” พิสุทธิ์ถาม
“ดีครับ” พิทยาตอบ
พิสินีย์ตอบนิ่งๆ “ค่ะ....”
พิสุทธิ์และแสงสุดาสังเกตพิทยาและพิสินีย์แล้วก็เห็นความสดชื่นรื่นเริงเป็นปกติแต่ก็ยังไม่วางใจนัก
“ไปกันดีกว่าค่ะ ได้เวลาต้องขึ้นเครื่องแล้ว” พิสินีย์บอก
แสงสุดาตอบรับ “จ๊ะ”
พิทยาและพิสินีย์เดินจับมือกันและคุยกันเป็นปกติ พิสุทธิ์และแสงสุดาหันมามองหน้ากัน
“โอเคมั้ย” พิสุทธิ์ถาม
“โอเคอยู่” แสงสุดาตอบ
ที่ร้านอาหาร เขมมิกเขี่ยข้าวในจานไปมาเพราะกินไม่ค่อยลง พิแสงที่กำลังกินอย่างอร่อยเป็นพิเศษเห็นเข้าก็ชะงัก
“ทำไม ไม่อร่อยเหรอ” พิแสงถาม
“เปล่าค่ะ” เขมมิกตอบ
“แล้วทำไม...ไม่กิน”
“กินแล้ว แต่กินไม่ลง”
“เป็นอะไรอีก”
เขมมิกทำกลบเกลื่อน “ตื้นตัน คุณเลี้ยงข้าว น้ำตาจะไหล”
“จริงหรือเล่นเนี่ย”
“ล้อเล่น”
“งั้นเอาความจริง ทำไมกินไม่ลง”
“คิดถึงบ้าน คิดถึงเพื่อน คิดถึงแฟน” เขมมิกตอบ
พิแสงอึ้ง “เดี๋ยวก็ได้กลับไปแล้ว อดทนหน่อยสิ”
เขมมิกพยักหน้าช้าๆ แล้วเหลือบมองหน้าพิแสง เธอเห็นหน้าพิแสงในมุมต่างๆ แล้วรู้สึกว่ายิ่งดูยิ่งหล่อ เขมมิกมองจนตาค้างแล้วก็ปวดใจจี๊ดอย่างบอกไม่ถูก เขมมิกเริ่มไม่อยากมองเพราะไม่อยากรู้สึก พิแสงเห็นหน้าเขมมิกเบี้ยวไปเบี้ยวมาแล้วก็ยิ้มขำ
“อยากเข้าห้องน้ำหรือเปล่า” พิแสงถาม
เขมมิกสะดุ้งแล้วยิ้มแหย “ค่ะ”
“หนักหรือเบา”
“ท่าทางจะหนัก ขอตัวก่อนนะคะ”
เขมมิกรีบวิ่งออกไป พิแสงมองตามยิ้มๆ อย่างอารมณ์ดี เสียงมือถือดังขึ้น พิแสงเห็นเป็นเบอร์กนธีก็รีบรับ
“ว่าไงวะ ไอ้ธี”
กนธีที่เบ้าตาเขียวจ้ำกำลังนั่งให้พยาบาลเอาผ้าพันแผลปิดตาอยู่ที่โรงพยาบาล
กนธีรู้สึกเจ็บมาก “แกอยู่ไหนว้า....ฉันคิดถึงงแก....”
เขมมิกคุยมือถืออยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ
“ฉันอยู่กับคุณพิแสง...เขาเลี้ยงข้าวขอโทษฉัน”
เนตรนิภาคุยมือถือกับเขมมิกอยู่ที่หน้าห้องพยาบาล
“หา!!! เหรอ...ว้าว...แผนแกคืบหน้าแล้ว ใช่มั้ย”
“ก็ดูเหมือนจะ”
“เยี่ยมไปเลย”
“แต่ฉันกำลังจะแย่”
“ทำไมอ่ะ”
“ทำไมตอนนี้ ฉันเห็นเขาหล่อมาก หล่อตลอดเวลาเลยล่ะแก”
“ไอ้เขม...แย่แล้วจริงๆ แกกำลังหลงรักเป้าหมาย” เนตรนิภาว่า
“เฮ้ย ไม่มีทาง”
“เพราะแกไม่รู้ตัว ห้ามเลยนะ ห้ามความรู้สึกเอาไว้”
เขมมิกหนักใจ
พิแสงนั่งคุยมือถือกับกนธี
“ฉันห้ามไม่ให้แกมาหาเพราะฉันกำลังติดคุยกับ..เอ่อ...ลูกค้า” พิแสงอึกอัก
“แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกแย่มากเลยว่ะ ต้องการไหล่ใครก็ได้ให้ซบ” กนธีบอก
“ใครอยู่ข้างๆแกล่ะ ซบคนนั้นไปก่อน”
กนธีมองหน้าพยาบาลที่แก่มาก พยาบาลยิ้มให้กนธี
“ไม่ไหวว่ะ”
“งั้นก็เข้มแข็งซะ ฉันเสร็จธุระแล้วค่อยเจอกัน แค่นี้นะ ลูกค้าฉันมาที่โต๊ะแล้ว”
พิแสงรีบกดวางสาย เขมมิกเดินเข้ามาด้วยท่าทางเกร็งๆ
“เรียบร้อยแล้วเหรอ” พิแสงถาม
เขมมิกไม่ยอมสบตา “ค่ะ”
แล้วเขมมิกก็ก้มหน้ากินข้าวเปล่างุดๆ พิแสงรีบตักกับข้าวใส่จานให้เขมมิก
“อ่ะ กินข้าวเปล่าอย่างเดียว เดี๋ยวจะขาดสารอาหาร”
เขมมิกยังก้มหน้าก้มตากินต่อ “ขอบคุณค่ะ”
เขมมิกรีบกินข้าวแต่ไม่ยอมสบตาหรือมองหน้าพิแสงอีกเลย พิแสงเอามือไปจับมือของเขมมิกเอาไว้
“เขมมิก มองหน้าฉัน”
เขมมิกมองมือของพิแสงก็เห็นนิ้วเรียวสวยงามของเขาจึงเคลิ้มอีก
“นิ้วก็สวย....”
“อะไรนะ”
“อุ๊ย” เขมมิกรีบชักมือกลับ “เอ่อ...มีอะไรคะ”
“ก่อนกลับมาที่โต๊ะ ล้มหัวฟาดมาหรือเปล่า ถึงได้ดูผิดปกติ”
“ปกติออก!!!! กินต่อนะคะ จะได้รีบกลับไปทำงาน”
เขมมิกรีบตักข้าวเข้าปากแบบยัดจนติดคอ
“อ่อก...ค่อก...ค่อก”
พิแสงตกใจ “เขมมิก”
พิแสงรีบเข้าไปดู เขาเอาน้ำให้เขมมิกดื่ม เขมมิกรีบรับมาแล้วดื่มเข้าไป พลางส่งสัญญาณให้พิแสงตบหลัง
“ช่วย..ตบ...หลัง ตบหลัง”
“โอเค”
พิแสงตบหลังเขมมิกดังพลั่กจนเขมมิกแทบหน้าทิ่ม
“โอย แรงไป!!”
“ขอโทษ ๆๆ”
เนตรนิภาเดินเข้ามา กนธีที่ปิดเบ้าตาด้วยผ้าก็อซเดินตามมาส่ง เนตรนิภาหันไปถามกนธี
“เข็ดยัง?”
“เข็ดแล้วครับ”
“จำไว้ว่าทีหลังอย่าคิดไม่ซื่อกับฉันอีก”
“แหม ก็กะจะแกล้ง...ขำๆ”
“ไม่ขำ”
“ผมขอโทษ”
กนธีมองหน้าเนตรนิภาตาปริบๆ เนตรนิภาใจอ่อน
“นายนี่มัน โตแต่ตัวจริงๆ” เนตรนิภาว่า
“ไม่จริง อย่างอื่นก็โตนะ” กนธีรีบบอก
“อะไรโต อย่ามาทะลึ่งนะ บ้า”
“อ้าวๆ คิดไปไหนต่อไหนแล้วน่ะ”
“ไม่ได้คิด”
ชมพู่เดินออกมาเห็นกนธีและเนตรนิภากำลังกระเง้ากระงอดกันอยู่
“สวัสดีค่ะคุณธี คุณเนตร”
ชมพู่ทัก กนธีและเนตรนิภารีบทำตัวปกติ
“จ๊ะ”
“ว่าไงชมพู่ สบายดีนะ” กนธีถาม
“ดีค่ะ แต่คุณธีดูไม่ค่อยดีนะคะ”
“ก็...นิดหน่อย ช่วงนี้ราหูอม” กนธีว่า
เนตรนิภาตีแขนกนธีดังเพียะ
“โอ๊ย”
“แหม หยอกเอินกันน่าเอ็นดู....ตกลงเป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ยคะ” ชมพู่ถาม
กนธีกับเนตรนิภาประสานเสียง บ้า!!”
กนธีรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้ว...พิแสงล่ะ กลับมาจากกินข้าวคุยงานกับลูกค้าหรือยัง”
“อุ๊ย ลูกค้าที่ไหนคะ ไปกับคุณเขมมิกค่า” ชมพู่บอก
“อะไรนะ!!! ไปกับคุณเขม!!!” กนธีตกใจ
ชมพู่หน้าเหรอ เนตรนิภาเซ็งเพราะคิดว่าเดี๋ยวต้องมีเรื่องตามมา
อนงค์ตาโตหลังจากฟังวาสินีบอกข่าวอยู่ที่มุมหนึ่ง
“กินข้าวข้างนอก! สองต่อสอง” อนงค์ทวนคำ
“ใช่ นับวันหนูก็ยิ่งเกลียดมัน....ปากบอกว่ามีคู่หมั้นแต่กลับตีสนิทกับนายหัว นายหัวก็เหมือนจะ...ใจอ่อนกับมันนะแม่ หรือว่านายหัวจะชอบมันขึ้นมาแล้วจริงๆ”
“ฉันก็เพิ่งถูกยัยแสงสุดาหาทางบีบให้ออกจากงาน มันตั้งใจจะกำจัดฉันและแก นับวันมันยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำไงดีวะเนี่ย”
วาสินีคิดหนักก่อนจะหุนหันพลันแล่นเดินออกไป
“อ้าว น้ำหวาน จะไปไหน ข้าวปลาไม่กินหรือไง”
อนงค์หันไปเห็นแม่ครัวตักกับข้าวให้คนงานในปริมาณเยอะก็ไม่พอใจจึงเดินเข้าไปยึดทัพพี
“เอามานี่ ฉันตักเอง”
อนงค์ตักให้คนงานคนหนึ่งในปริมาณที่น้อยมาก คนงานมองอึ้งๆ
“ได้แล้วก็รีบไป คนอื่นรออยู่” อนงค์ว่า
คนงานเดินออกไป คนงานคนต่อมาเข้ามารับอาหารต่อ หลอดกับเสริมที่ยืนอยู่ในแถวมองมาที่อนงค์อย่างไม่พอใจ
กนธีเดินเข้ามาคุยกับเนตรนิภา
“ไอ้พิแสงโกหกผม ว่าไปกินข้าวกับลูกค้าเลยไม่ให้ไปหา”
เนตรนิภาปราม “ใจเย็นๆก่อน”
“ไม่เย็น เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด แอบพาคุณเขมไปเดทลับหลัง แค้นนี้ต้องชำระ”
“แล้วถ้าคุณพิแสงชอบเขมจริงๆล่ะ นายจะว่าไง”
กนธีอึ้งแล้วก็โกรธ “บ้านบึ้มแน่!”
“จริงเหรอ”
กนธีมีท่าทีอ่อนลง “ไม่หรอก ผมจะคุยกับเพื่อนผมอย่างลูกผู้ชาย”
กนธีเครียดขรึม เนตรนิภาแอบสะใจ
ถึงคิวหลอดเข้ารับอาหาร อนงค์ตักให้นิดเดียว
“ป้า...คนนะ ไม่ใช่มด ตักมาให้แค่เนียะ” หลอดว่า
“กินมาก เปลือง” อนงค์บอก
“แล้วมันเงินป้าหรือไง ที่เอามาใช้ซื้อของทำกับข้าวเลี้ยงคนงานเนี่ย” หลอดถาม
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่ เพราะสักวัน มันต้องใช่!”
“แปลว่า....ป้าจะเอานายหัวทำลูกเขยให้ได้จริงๆใช่มั้ย”
“เรื่องของฉัน จะกินหรือไม่กิน”
หลอดกับเสริมพูดพร้อมกัน “กิน”
“แต่ขอตักเอง!” หลอดบอก
อนงค์ค้านทันที “ไม่ได้!”
“ไม่ได้ มีลุย!”
เสริมและคนงานอื่นๆ เดินเข้ามาซ้อนหลังหลอดเป็นแผงจนอนงค์ชะงักเพราะชักกลัว
“จะก่อม็อบหรือไง ฉันจะฟ้องนายหัว!” อนงค์บอก
“ไปฟ้องเลย ฉันจะได้ฟ้องบ้างว่าป้าอมค่ากับข้าว!”
“ไอ้หลอด! อย่ามามั่ว”
“ไม่ได้มั่ว ฉันมีหลักฐาน”
“หลักฐานอะไร”
หลอดกระดิกนิ้วให้เสริมแถลง
“เจ๊ขายผักที่ส่งผักให้ป้าประจำน่ะ แกบอกฉันหมดแล้ว ว่าป้าขอชักไว้กับตัวสามสิบเปอร์เซ็นต์ทุกเดือน”
อนงค์อึ้งแล้วก็เจ็บใจที่ถูกคนงานมองอย่างประณามหยามเหยียด แต่เธอก็ไม่ยอมรับ
“ไม่จริง ฉันถูกมันใส่ร้าย!”
“ไปแก้ตัวกับนายหัวทีหลัง แต่ตอนนี้...พวกเราควรจะได้กินกันอิ่มๆไม่งั้นมีเฮ!!” หลอดบอก
อนงค์ยอมส่งทัพพีคืนให้แม่ครัว แม่ครัวมาตักกับข้าวให้หลอดและเสริม หลอด เสริมและคนงานพอใจ อนงค์เดินออกไปอย่างโกรธเคือง
วาสินีนั่งมองโทรศัพท์ก่อนจะตัดสินใจยกสายต่อหาพิแสง เธอรอสายอยู่ชั่วครู่จนได้ยินเสียงพิแสงรับสาย
“ฮัลโหล...ว่าไงจ๊ะน้ำหวาน”
วาสินีทำเสียงร้อนรน “นายหัวคะ ตอนนี้นายหัวอยู่ที่ไหนคะ”
พิแสงคุยโทรศัพท์ระหว่างเดินออกจากร้านมาที่จอดรถ
“กำลังจะกลับ มีอะไรด่วนหรือเปล่าจ๊ะ”
“แหวะ..เสียงอ่อนเสียงหวาน” เขมมิกขัด
พิแสงเหลือบมองเขมมิก เขมมิกแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
วาสินีพูดมือถือต่อ
“แม่ค่ะ แม่เป็นอะไรไม่รู้ จู่ๆก็ล้มลงไป แล้วก็หมดสติ”
พิแสงตกใจ “อะไรนะ! ป้าอนงค์น่ะเหรอ ล้มหมดสติ ตอนนี้อยู่ที่ไหน มีใครอยู่ด้วยหรือเปล่า”
เขมมิกตกใจไปด้วย
“ไม่มีเลยค่ะ น้ำหวานอยู่ดูแม่อยู่คนเดียว โทรหาใครก็ไม่ติด น้ำหวานกลัว ทำอะไรไม่ถูกแล้วค่ะนายหัว” วาสินีพูดต่อ
“ใจเย็นๆน้ำหวาน เดี๋ยวฉันจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้”
วาสินีวางสายแล้วยิ้มกระหยิ่มก่อนจะลุกเดินออกไปใหม่
พิแสงพูดกับเขมมิก ไรีบไปเถอะ คุณอนงค์ล้มหมดสติ น้ำหวานอยู่คนเดียว ฉันต้องรีบไปดู”
“ค่ะ”
เขมมิกรีบเดินตามพิแสงไปด้วยความตกใจเหมือนกัน
วาสินีจูงอนงค์มาที่โซฟาที่บ้านพัก
“แม่นอนลง!”
“นอนทำไม ฉันไม่ง่วง”
“ไม่ง่วงก็ต้องนอน แล้วทำท่าอ่อนแรง เป็นลมน่ะเป็นลม”
“ทำทำไมวะ”
“หนูบอกนายหัวว่าแม่ล้มหมดสติ นายหัวจะได้รีบชิ่งนังนั่นกลับมาช่วยหนู”
“ร้ายนะยะ”
“ลูกใครล่ะ”
อนงค์รีบนอนลงตามสั่งพร้อมกับทำท่าอ่อนแรง วาสินีช่วยหาผ้ามาให้ห่มและเอาหมอนมาหนุนให้สูง
พิแสงขับรถมาอย่างคร่ำเคร่ง เขมมิกเหลือบมองพิแสง
“คุณ...ดูเป็นห่วงป้าอนงค์และคุณน้ำหวานมาก”
“พ่อแม่ของคุณอนงค์เป็นคนงานของปู่ พวกเขาตายตั้งแต่เธอยังเล็กๆ ปู่ฉันเลยรับเธอมาดูแล พอเธอแต่งงานมีลูก สามีกลายเป็นคนเหลวไหลไม่ทำงานทำการเอาแต่เมา เธอก็ขอหย่าแล้วพาน้ำหวานกลับมาอยู่กับปู่ นอกจากฟาร์มแล้ว ก็มีคุณอนงค์และน้ำหวานนี่แหละที่ปู่ฝากฝังให้ฉันดูแลให้ดีที่สุด ฉันต้องรักทุกอย่างที่ปู่ฉันรัก” พิแสงอธิบาย
เขมมิกประทับใจกับความคิดของพิแสง “ค่ะ...คงไม่มีใครมาพรากคุณไปจากคุณน้ำหวานได้”
“เธอคิดว่า....ฉันกับน้ำหวานรักกันแบบไหน ถึงได้พูดแบบนั้น”
“แล้วคุณรักคุณน้ำหวานแบบไหนล่ะคะ”
พิแสงสบตาเขมมิกนิ่ง เขมมิกเห็นสายตาอ่อนโยนลึกซึ้งของพิแสงแล้วก็ใจสั่น จนอึ้งต้องรีบหันกลับไปมองถนน
“ขับรถเถอะค่ะ ฉันไม่ชวนคุณคุยแล้ว เดี๋ยวจะไม่มีสมาธิ”
พิแสงหันไปมองถนนแล้วพูดเปรยๆ “ฉันรักน้ำหวานเหมือนน้องสาว...เราสองคนเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ คงคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้”
เขมมิกอมยิ้มเพราะแอบดีใจ เธอตบเข่าฉาด พิแสงทำขรึมๆ เฉยๆ แต่แอบอมยิ้มโดยไม่รู้ตัว
อนงค์นอนเหงื่อแตกอยู่บนโซฟา วาสินีเดินงุ่นง่านเพราะพิแสงยังมาไม่ถึงสักที
“นังน้ำหวาน โทรตามนายหัวซิ จะถึงหรือยัง จะเป็นลมจริงๆอยู่แล้วเนี่ย” อนงค์บอก
“โทรแล้ว ใกล้ถึงแล้ว”
“ก็โทรอีก”
“แม่...โทรจิกมากๆ เดี๋ยวนายหัวก็รำคาญ”
“คนเจ็บเจียนตาย นายหัวไม่รำคาญหรอก ฉันรู้จักนายหัวดี โทรอีก!”
วาสินีขัดไม่ได้จึงหยิบมือถือขึ้นมากดโทรอีก
มือถือพิแสงที่วางอยู่บนเบาะรถดังขึ้น
“คุณน้ำหวานโทรมาอีกแล้วนะคะ รับสิ” เขมมิกบอก
“ผมขับรถ” พิแสงตอบ
“ฉันรับให้”
เขมมิกหยิบมือถือจะกดรับแต่สายตาเหลือบไปเห็นลุงแก้วที่เดินอยู่ข้างทางข้างหน้า จู่ๆ ลุงแก้วก็ร่วงล้ม
เขมมิกร้องลั่น “คนเป็นลม!!!! จอดๆ”
พิแสงรีบเทียบรถเข้าข้างทาง เขมมิกวางมือถือบนเบาะเหมือนเดิมแล้วรีบลงไป พิแสงก็รีบลงไปด้วย มือถือที่วางอยู่บนเบาะมีเสียงเรียกดังต่อเนื่อง
เขมมิกและพิแสงเดินเข้ามาดูลุงแก้วที่ล้มหมดสติอยู่ พิแสงพลิกตัวลุงแก้วขึ้นมา ลุงแก้วค่อยๆลืมตา แต่อาการก็ร่อแร่เต็มที พิแสงเห็นหน้าลุงแก้วก็จำได้
“ลุงแก้ว!!”
“คุณรู้จักด้วยเหรอ” เขมมิกถาม
“อย่าเพิ่งถามมากเลย ไปเปิดประตู พาลุงไปโรงพยาบาล” พิแสงบอก
“หล่ออ่ะ...เอ๊ย...ค่ะ”
เขมมิกวิ่งไปเปิดประตูรถแล้วยืนรอ พิแสงพยายามพยุงลุงแก้วขึ้นมา
“ลุง ผมพิแสงนะ ลุงพอลุกไหวมั้ย ผมจะช่วยนะ”
พิแสงพยุงลุงแก้วให้ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่รถ
“แล้วป้าอนงค์ที่รออยู่เอาไงคะ”
พิแสงครุ่นคิด
ชมพู่รับโทรศัพท์จากพิแสงแล้วก็ตกใจ
“หา!! ป้าอนงค์!”
ปริญญ์กำลังตรวจสุขภาพลิเดียอยู่กับเสริมและหลอด ทุกคนตกใจ
“เป็นลมหมดสติ!” ปริญญ์ตกใจ
“ค่ะ นายหัวให้มาบอกหมอปิ๊น ช่วยไปดูหน่อย” ชมพู่หันไปบอกหลอดกับเสริม “ส่วนพวกแก ไปเอารถพาหมอปิ๊นไป เผื่อต้องใช้รถพาอีป้ามหาประลัยนั่นไปโรงพยาบาล”
“พาไปวัดเลยได้มะ” หลอดถาม
“ศาลาไหน” เสริมรับลูก
“ศาลาสอง” ชมพู่ต่อมุก
ชมพู่ หลอด และเสริมสะใจมาก “ฮ่าๆๆๆๆ”
“หมอปิ๊น ไปกันเถอะครับ” หลอดบอก
ทุกคนหันไปก็เห็นว่าเหลือแต่ลิเดียแต่ปริญญ์ไม่อยู่แล้ว
ชมพู่ หลอด และเสริมเก้อ “อ้าว!!”
อนงค์นอนร้อนอยู่ในบ้าน วาสินีกระวนกระวาย ทันใดนั้นก็มีเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้าน
“นายหัวมาแล้วแม่!”
อนงค์รีบทำเป็นป่วย “โอย ป่วยๆๆๆ หน้ามืดๆๆๆ เพลียๆๆๆ”
วาสินียืนปั้นหน้าเศร้าพร้อมทำท่าร้อนใจ เธอเดินวนไปวนมาอยู่ใกล้ๆอนงค์ ปริญญ์วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามากับชมพู่ หลอด และเสริม
“ป้าอนงค์เป็นไงบ้างครับ” ปริญญ์ถาม
วาสินีอึ้ง “หมอปิ๊น”
อนงค์ตกใจ “หา! หมอปิ๊น”
อนงค์อารมณ์เสียจนลืมตัว เธอผุดลุกขึ้นชนิดลืมว่าควรจะทำตัวป่วย
“ใครใช้ให้มาเนี่ย แห่กันมาเป็นโขยง ใครตายหรือไง”
ปริญญ์ ชมพู่ หลอด และเสริมมองอนงค์อึ้งๆ วาสินีกุมขมับเพราะแผนแตกจนได้
“ก็นึกว่าป้าจะตาย” ชมพู่บอก
“จะมาพาศพไปศาลาสอง” หลอดบอก
“ตกลง ไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ยป้า” เสริมถาม
อนงค์อึ้งเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าพลาด เธอหันมองวาสินีแล้วยิ้มแหยก่อนจะรีบทรุดลงไปนอนเหมือนเดิม
“จริงๆก็เป็น...เป็นลม...” อนงค์บอก
“แต่เมื่อกี้ลุกได้หน้าตาเฉย ตกลงเป็นหรือไม่เป็น” ชมพู่ถาม
“เมื่อกี้ลมมันตีขึ้นหน้าอก เลยต้องลุก ไม่ลุก เดี๋ยวมันจะพาขึ้น ทำให้อ้วก” อนงค์แถ
ปริญญ์ ชมพู่ หลอด เสริม มองหน้ากันอย่างไม่ค่อยจะเชื่อ
“ทุกคนรู้ได้ไง ว่าแม่ไม่สบาย” วาสินีถาม
“นายหัวให้คุณเขมโทรมาสั่งชมพู่ ว่าให้หมอปิ๊นมาดูอาการป้าอนงค์” ชมพู่บอก
วาสินีทวนคำ “นายหัว.....”
“ให้ผมดูอาการหน่อยนะครับป้า” ปริญญ์บอก
อนงค์โวย “ไม่ต้อง ตอนนี้ ดีแล้ว”
ปริญญ์ชะงัก
“อย่ามามุงได้มั้ย หายใจไม่ออก รีบๆออกไปเลย ทั้งหมดนั่นแหละ!” อนงค์ไล่
ปริญญ์รู้ทันว่าอนงค์แกล้งแต่ก็วางเฉย “ไปกันเถอะ ป้าอนงค์คงอยากพักผ่อน”
ปริญญ์เดินออกไป เขาสบตากับวาสินีด้วยความรู้สึกผิดหวัง วาสินีไม่สนใจทำเมิน ปริญญ์รีบเดินออกไปกับชมพู่ หลอด และเสริม อนงค์รีบลุกขึ้นมา
“เวร! ทำไมทำอะไรไม่เคยลื่นไม่เคยคล่องต้องมีปัญหาตลอด ทำไมนายหัวไม่มา หา นังน้ำหวาน!”
วาสินียืนเจ็บใจ
“หนูก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม!”
พิแสงกับเขมมิกนั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ป้าแก้วจูงน้องเดียร์เข้ามาหาพิแสงและเขมมิกแล้วยกมือไหว้ท่วมหัว
“นายหัว ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณ”
“ไม่เป็นไรป้า” พิแสงบอก
“เฮ้อ ถ้าไม่ได้นายหัวมาเจอ ป่านนี้ตาแก้วคงนอนตายอยู่ข้างทาง”
“ลุงแก้วไม่ค่อยสบายเหรอป้า” พิแสงถาม
“สงสัยเพราะมันเครียดค่ะ เพราะยูเอฟไม่ยอมซื้อหมู” ป้าแก้วบอก
เขมมิกกับพิแสงสงสัย “ยูเอฟเหรอ!!”
“ค่ะ เขาว่าหมูไม่ได้น้ำหนัก ทั้งๆที่ก็ซื้ออาหารเค้า ดูแลตามคำแนะนำของเค้า เราไม่มีเงินมากพอเลยเชื่อเขาหมด ตกลงทำไปทำมาเป็นหนี้ไม่รู้เท่าไหร่ ตาแก้วเลยเครียด วันๆก็เอาแต่เดินไปเดินมา เดินหาทางออกไปเรื่อย เห็นมันออกไปจากบ้านตั้งแต่เช้า ก็ไม่รู้ว่ามันไปไหน จนนายหัวติดต่อไปที่บ้าน”
เขมมิกกับพิแสงมองหน้ากันด้วยความตกใจ
พิแสงเดินมาตามทางเดินในโรงพยาบาล หลังจากคิดถึงเรื่องลุงแก้วเครียดเพราะเป็นหนี้เพราะยูเอฟ เขมมิกเดินตามมา
“น่าสงสารครอบครัวลุงแก้ว คงคิดว่าจะลืมตาอ้าปากได้ แต่กลับต้องเป็นหนี้มากกว่าเดิม ตกลง...ยูเอฟเค้ามาดีหรือหลอกให้เจ๊งกันแน่” เขมมิกถาม
พิแสงไม่ตอบ เขาหยุดเดินแล้วครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พิแสงหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก เขมมิกมองพิแสงด้วยความประหลาดใจ
“ไม่หือไม่อือ??? ตกลงฉันพูดอยู่กับเสาโรงพยาบาลใช่มั้ยเนี่ย” เขมมิกว่า
พิแสงสะอึกแต่ไม่โต้ตอบเพราะปลายสายรับสายพอดี “ฮัลโหล”
เขมมิกค้อนแล้วขยับปากว่าพิแสงมุบมิบโดยไม่คิดว่าพิแสงจะเห็น
“เลิกทำปากมุบมิบว่าฉันซะทีเหอะ” พิแสงว่า
เขมมิกสะดุ้ง “มีตาหลังด้วยหรือไง”
“เธออยู่ในสายตาฉันเสมอ เขมมิก”
เขมมิกอึ้งแล้วก็หน้าแดง พิแสงเองก็รีบเดินพูดโทรศัพท์หนีไป
“ช่วยติดต่อคุณต่อลาภให้มาพบผมด่วนที่สุด!”
เขมมิกมองตามด้วยความแปลกใจ “ต่อลาภ...ต่อลาภ ต่อลาภ?”
ปริญญ์ที่กำลังตรวจสุขภาพลูกหมูหันมาตอบคำถามเขมมิกและเนตรนิภา
“คุณต่อลาภเป็นคนของยูเอฟครับ”
เนตรนิภาสงสัย “ยูเอฟ??”
“เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมการเกษตร หมอปิ๊นพอจะรู้มั้ยคะว่าเขาทำสัญญากับชาวบ้านไว้ยังไงบ้าง” เขมมิกถาม
“ไม่ทราบในรายละเอียดครับ ผมเคยขอชาวบ้านดูสัญญา แต่เชื่อมั้ยครับ ไม่เคยมีใครถือคู่ฉบับสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร...ทุกคนเชื่อใจยูเอฟ”
“อ้าว....ไม่มีสัญญา อย่างนี้ถูกเอาเปรียบยังไงบ้างก็ไม่รู้ แล้วจะไปโวยอะไรยังไงกับใครได้”
“เมื่อคนจริงใจไปเจอกับพวกไม่ซื่อสัตย์ คิดหาแต่กำไรสูงสุด...สุดท้ายมันก็จะลงเอยเหมือนลุงแก้ว”
“เกษตรกรรมพันธสัญญาจะเกิดประโยชน์ได้ทั้งสองฝ่าย ถ้าสัญญาและการปฏิบัติมีความเป็นธรรม” ปริญญ์บอก
“เขม เกษตรกรรมพันธสัญญาคืออะไรอ่ะ” เนตรนิภาถาม
เขมมิกยิ้มด้วยท่าทางที่ดูฉลาดมาก “ไม่รู้”
เนตรนิภาเซ็ง
“ฉันเพิ่งจะมาเลี้ยงหมูแค่ไม่กี่อาทิตย์ จะไปรู้ได้ไงล่ะ”
อ่านต่อเวลา 17.00 น.
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 9 (ต่อ)
เขมมิกกับเนตรนิภาหันไปหาปริญญ์อย่างต้องการคำอธิบาย ปริญญ์ยิ้มแล้ววางมือจากงานที่ทำ
“ตามผมมาครับ”
ต่อลาภนั่งรอพิแสงอย่างใจจดใจจ่อที่บ้านพัก วาสินีเอาน้ำมาเสิร์ฟ
“นี่ถ้านายหัวของคุณตกลงเซ็นสัญญาเข้าโครงการของผมล่ะก็...”
ต่อลาภยื่นมือไปจับมือของวาสินี
“จับมือน้ำหวานทำไมคะ?” วาสินีถาม
“ผมต้องเลี้ยงข้าวคุณน้ำหวานมื้อใหญ่” ต่อลาภบอก
“แค่เลี้ยงข้าวคงไม่พอมั้งคะ”
ต่อลาภยิ้มกริ่มด้วยความเจ้าเล่ห์
เสียงกนธีโวยวายมาแต่ไกล “ทำไมแกต้องโกหกฉันวะ ไอ้พิแสง!”
วาสินีกับต่อลาภชะงัก วาสินีรีบปล่อยมือจากต่อลาภ พิแสงเดินลิ่วเข้ามาโดยไม่สนใจตอบคำถามของกนธีที่เดินตามมาติดๆ
“ฉันกำลังถามแก ตอบมาก่อน! ว่าทำไมแกต้องโกหกว่าไปกินข้าวกับลูกค้า ทั้งๆที่แกไปกินกับคุณเขม ผู้หญิงที่ฉันเล็ง!”
“ไว้ตอบตอนที่ฉันเสร็จธุระ” พิแสงบอก
“ไม่ได้!”
พิแสงจ้องอย่างเอาจริง “ไอ้ธี!”
กนธีจ๋อย “ก็ได้....”
“สวัสดีครับ นายหัวครับ ผมดีใจ๊ดีใจที่...” ต่อลาภพูดเสียงหวาน
พิแสงตัดบท “เข้าห้อง!” พิแสงเดินเข้าห้องไปทันที
ต่อลาภรีบลุกตาม “โอเคครับ”
ต่อลาภเดินตามพิแสงไปทำให้เหลือวาสินีอยู่กับกนธี กนธีเซ็งจัด วาสินีเข้ามาเป่าหู
“แปลกจัง คุณเขมบอกน้ำหวานเองว่าไม่เจอคุณธีหลายวัน คิดถึ้งคิดถึงแต่กลับไปทานข้าวกับนายหัว เอ๊ะหรือว่า...ตั้งใจจะถามเรื่องคุณธีจากนายหัว แต่ไม่อยากให้ใครรู้ เลยให้นายหัวโกหก”
กนธีอึ้งเพราะรู้สึกใจชื้นมาเป็นกอง วาสินียิ้มให้กำลังใจกนธีด้วยหน้าซื่อตาใส ก่อนจะรีบตามพิแสงเข้าไปในห้อง กนธียิ้มแล้วเดินออกไป
ปริญญ์นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขมมิกและเนตรนิภาเข้ามามุงดู ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ปรากฏตัวพิมพ์บนช่อง search ว่า “เกษตรกรรมพันธสัญญา” ลูกศรเลื่อนไปที่ปุ่ม “ค้นหา”
กระดาษปริ้นต์ออกมาจากเครื่อง เขมมิกและเนตรนิภาช่วยกันอ่านเอกสารซึ่งเป็นรายละเอียดของเกษตรกรรมพันธสัญญา เขมมิกเปิดหาข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แล้วสั่งปริ้นต์
ปริญญ์อธิบาย “ระบบเกษตรพันธสัญญา เป็นระบบที่ทำกับเกษตรกรเพื่อสร้างหลักประกันที่มั่นคงว่า เมื่อเข้ามาร่วมดำเนินธุรกิจกับทางบริษัทแล้วจะมีการนำปัจจัยการผลิตมาให้ รวมถึงมีการรับซื้อผลผลิตคืนเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการผลิต โดยข้อตกลงที่เกิดขึ้นอยู่ในรูปแบบสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรและสัญญาใจ”
เขมมิกอ่านข้อความในเอกสาร
“เกษตรกรมองว่าบริษัทที่หยิบยื่นปัจจัยการผลิตมาให้ในระบบสินเชื่อเป็นผู้มีพระคุณ ดังนั้นจะกำหนดเงื่อนไขอะไรก็ให้เป็นไปตามที่บริษัทเห็นควร”
“ระบบสินเชื่อ...หมายความว่า?” เนตรนิภาสงสัย
ปริญญ์อธิบาย “เกษตรกรไม่มีเงินทุน ที่จะทำตามเงื่อนไขของบริษัท ก็ต้องยอมเป็นหนี้เพื่อให้ได้ยา อาหาร หรือโรงเรือนเลี้ยงหมูที่ได้มาตรฐาน เมื่อขายหมูได้แล้วค่อยหักเงินคืน”
“บริษัทพวกนี้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ขายตั้งแต่พันธุ์หมู อาหาร ยา ไปจนถึงรับซื้อผลผลิต...โดยมีข้อแม้ว่าต้องได้ตามมาตรฐานที่ตัวเองกำหนด...และห้ามขายให้ที่อื่นด้วยนะ” เขมมิกบอก
“อ้าว..แล้วถ้าเค้าไม่ซื้อ ก็เอาไปขายใครอีกไม่ได้ ไม่เจ๊งเหรอ” เนตรนิภาถาม
“ก็เจ๊งน่ะสิ...ใช้หนี้หัวบาน”
“ใครไม่มีปัญญาใช้หนี้ ก็รอวันถูกยึดที่ดินและทรัพย์สินที่เป็นมรดกของปู่ย่าตาทวด...ครอบครัวล้มเหลว วิถีดั้งเดิมก็ล่มสลาย” ปริญญ์บอก
“คุณพิแสงรู้ข้อมูบพวกนี้หรือเปล่าคะ หมอปิ๊น” เขมมิกถาม
“ยังครับ แต่...”
ปริญญ์ยังไม่ทันตอบ เขมมิกร้อนใจกว่าจึงวิ่งออกไป
“เขม!!” เนตรนิภาเรียก
เนตรนิภารีบวิ่งตามไป
ปริญญ์ตอบแม้จะไม่ทัน “ผมกำลังจะเอาข้อมูลไปบอกคุณพิแสง..แต่...คงไม่ต้องแล้วล่ะ”
เขมมิกเดินลิ่วมา เนตรนิภาเดินมาขวางเอาไว้
“เขม จะไปไหน”
“จะเอาข้อมูลพวกนี้ไปให้คุณพิแสง” เขมมิกบอก
“เพื่อ?”
“เขาจะได้ระวังตัวเอาไว้”
“แกลืมไปแล้วเหรอ ว่าเป้าหมายอย่างหนึ่งของแกคือต้องทำให้ฟาร์มเค้าเจ๊ง เค้าจะได้กลับไปอยู่กรุงเทพ”
“ก็ใช่ไง”
“แล้วจะไปเตือนให้เขาระวังตัวทำไม”
เขมมิกอึ้ง เนตรนิภาเข้ามาจ้องตาเขมมิก
“แกลืมตัว....เพราะแกรักเค้าเข้าแล้วจริงๆ”
เขมมิกรีบปฏิเสธ “ไม่จริง”
“เขม”
“โอ๊ย... ฉันสับสน!”
เนตรนิภามองเขมมิกที่กำลังสับสนด้วยความเห็นใจ
“งั้นฉันจะช่วยเตือนความจำ แกกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพราะอะไร จำได้มั้ย!”
“จำได้” เขมมิกบอก
“งั้นก็ถอนหัวใจออกมาซะตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าไม่อยากเจ็บปวดซ้ำซาก ความรักของแกไม่มีทางสมหวัง ไม่ว่ายังไง สิ่งที่แกจะได้รับเมื่อเรื่องนี้จบลงก็คือ....อย่าให้พูดเลย แค่คิดก็เจ็บแทน”
“ขอสามคำ” เขมมิกบอก
“ไส-หัว-ไป! นัง-มาร-ร้าย! ฉัน-เกลียด-เธอ! เธอ-มัน-เลว!” เนตรนิภาพูดเป็นชุด
“พอเหอะ ขอแค่สามคำ มาเป็นชุด”
“นี่ยังเบาๆ...เจอของจริงเมื่อไหร่ แกคงอยากแทรกแผ่นดินหนี”
“นั่นสินะ....ไม่ว่ายังไง...เค้าก็ต้องเกลียดฉันอยู่ดี”
“ถูก”
เขมมิกคอตก เนตรนิภามองเขมมิกด้วยความเห็นใจ
พิแสงยืนมองฟาร์มอย่างใช้ความคิด เขานึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่คุยกับต่อลาภ
พิแสงยืนหันหลังให้ต่อลาภที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องทำงานของเขา วาสินีเดินตามมาด้วย พิแสงพูดโดยที่ยังไม่หันมา
“เชิญนั่ง” พิแสงบอก
“ขอบคุณครับนายหัว”
ต่อลาภนั่งโดยก้นยังไม่ทันติดเก้าอี้ดี พิแสงจึงหันมาใส่
“เกิดอะไรขึ้นกับลุงแก้ว” พิแสงถาม
ต่อลาภชะงักแล้วเริ่มนั่งไม่ติด เขาหน้าเจื่อนแล้วหันไปสบตากับวาสินีที่ตกใจเหมือนกัน
“ยูเอฟทำอะไรกับลุงแก้ว” พิแสงถาม
“ทำสัญญาร่วมทุนกันไงครับ” ต่อลาภบอก
“ร่วม??? แล้วทำไมไม่ร่วมรับผิดชอบด้วย ทำไมปล่อยให้ลุงแก้วต้องแบกภาระอยู่คนเดียว”
“มันมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ระบุไว้ในสัญญา และหนึ่งในนั้นก็คือ..ผลผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานของเรา...เราจะไม่รับซื้อ และคนที่ต้องรับผิดชอบก็คือเกษตรกร ลุงเค้าก็รู้ จะให้บริษัทไปร่วมรับผิดชอบอีกก็ไม่
ไหวนะครับ ช่วยจนไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว”
“ช่วยอะไร” พิแสงถาม
“ให้สินเชื่อทุกอย่างในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าแบงก์ มาสร้างโรงอีแวป ซื้อแม่พันธุ์ พ่อพันธุ์ อาหาร ยา สารพัด นายหัวก็รู้ว่าฟาร์มหมูที่ได้มาตรฐานมันต้องอาศัยอะไรบ้าง แต่ลุงแก้วไม่มีสักอย่าง เราช่วยทั้งนั้น”
พิแสงอึ้ง
เมื่อนึกถึงตอนที่คุยกับต่อลาภ พิแสงก็ถอนใจ วาสินีถือแฟ้มเอกสารมาด้วยสองชุดในขณะที่เดินเข้ามา วาสินีลอบมองพิแสงด้วยสายตาแห่งความรักและปรารถนาที่มีต่อพิแสง
“นายหัวคงลังเลที่จะเซ็นสัญญากับยูเอฟ”
“หรือฉันควรจะกลับไปขอเงินจากคุณแม่” พิแสงบอก
“น้ำหวานว่า...นายหัวคงจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว”
“นั่นสิ....แม่ฉันไม่ต้องการให้ฉันทำฟาร์มนี้ต่อ ท่านจะยื่นมือมาช่วยทำไม”
วาสินียื่นแฟ้มให้พิแสง “นี่ค่ะ”
“อะไร” พิแสงถาม
“น้ำหวานขอให้คุณต่อลาภส่งสัญญาที่ทำกับเกษตรกรคนอื่นๆมาให้นายหัวได้ลองเช็กดู เผื่อเค้าอาจจะบอกเราไม่หมด”
พิแสงมองวาสินีอย่างขอบคุณ วาสินีมองตอบเพราะรู้สึกดีที่พิแสงยิ้มให้แบบนี้
เขมมิกเดินตามเนตรนิภามาเงียบๆ เนตรนิภาพูดสั่งสอนเพื่อนแบบน้ำลายแตกฟอง
“ฉันต้องกลับไปก่อนนะแก แต่มีอะไรก็ว็อทสแอ๊บหรือไลน์กับฉันได้ตลอด”
กนธีเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเนตรนิภา
“อะไร” เนตรนิภาถาม
“คุยกับใคร” กนธีถามกลับ
“ก็กับเขมไง”
เนตรนิภาเหลียวไปมองข้างหลังก็เห็นแต่ความว่างเปล่า
“อ้าว....ไอ้เขม!!! ไปไหนแล้วอ่ะ”
เขมมิกเดินเข้ามาโดยถือเอกสารที่ปริ้นต์เอ้าท์เรื่องเกษตรกรรมพันธสัญญามาด้วยเพื่อจะไปหาพิแสง แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเพราะเขมมิกเห็นพิแสงยืนยิ้มอยู่กับวาสินี
“ขอบใจนะ...นายต่อลาภยอมให้เอกสารพวกนี้ด้วยเหรอ” พิแสงถามวาสินี
“ค่ะ เพราะเค้าบอกว่าเค้าบริสุทธิ์ใจ และนี่ค่ะ” วาสินียื่นให้อีกซอง
“อะไร”
“ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบเกษตรกรรมพันธะสัญญา คิดว่านายหัวคงไม่มีเวลาหาข้อมูล เพราะงานยุ่ง น้ำหวานเลยเข้าไปหาในอินเตอร์เน็ตแล้วก็...ไปขอข้อมูลมาจากอาจารย์ที่เป็นนักวิจัยน่ะค่ะ”
พิแสงยิ้มชื่นชมวาสินี “น้ำหวานเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของฉันเลยรู้มั้ย ถ้าไม่มีเธอก็เหมือนฉันไม่มีแขนขา”
“น้ำหวานดีใจค่ะ ที่นายหัวเห็นความสำคัญของน้ำหวาน”
“ไม่ให้เห็นความสำคัญของเธอ แล้วจะให้ไปเห็นว่าใครสำคัญล่ะ ฮึ”
เขมมิกรู้สึกหึงจนขึ้นหน้า
“หืม ออดอ้อนกันเข้าไป...ทั้งสายตาและอาการแบบนี้” เขมมิกลืมตัวจึงพูดเสียงดัง “แล้วจะให้เชื่อเหรอยะว่าคิดกับยัยแอ๊บเปิ้ลแค่เป็นน้องสาว!”
พิแสงกับวาสินีได้ยินเสียงจึงหันมา เขมมิกรีบกระโดดหลบ แต่วาสินีตาไวจึงเห็นว่าเป็นเขมมิก เขมมิกหล่นหายลงไปในซอก
“เสียงอะไร” พิแสงถาม
“สงสัยจะเป็นหมาที่มาหาเศษอาหารกินแถวนี้มั้งคะ” วาสินีว่า
พิแสงไม่สนใจ เขาอ่านเอกสารพร้อมกับเดินกลับเข้าไป วาสินียิ้มๆ แล้วเดินตามเข้าไปด้วย เขมมิกนอนหงายอยู่บนพื้นด้วยความเซ็ง
“มาว่าฉันเป็นหมาเหรอ ยัยแอ๊บเปิ้ล! บรู๋วววว!!”
เขมมิกถอนใจแต่ยังนอนเซ็งอยู่อย่างนั้นนิ่งๆ เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าจนเห็นแสงอาทิตย์ยามเย็นส่องลอดใบไม้จนเกิดแสงระยิบระยับ เขมมิกค่อยๆหลับตาลงเพื่อพัก
พิแสงเดินเข้ามาหยุดเพื่อครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“น้ำหวานเข้าไปเคลียร์งานก่อนนะคะ” วาสินีบอก
พิแสงพยักหน้าอนุญาต วาสินีเดินเข้าไป พิแสงมองออกไปนอกออฟฟิศแล้วนึกสงสัยเรื่องเสียงเมื่อสักครู่นี้
เนตรนิภายืนเซ็ง
“ไปก็ไม่บอกสักคำ”
กนธีโวย “แล้วทำไมไม่ถามก่อนว่าคุณเขมจะไปไหน!”
“อ้าว....”
“ทำไมต้องรอให้เค้าบอก ที่เค้าไม่บอก เพราะว่าเค้าไม่อยากให้รู้!” กนธีว่า
“จู่ๆก็สมองเสื่อมขึ้นมาหรือไง” เนตรนิภาตอกกลับ
กนธีอึ้ง
“ลืมสัญญาลูกผู้ชายของนายไปแล้วหรือไง จะทำตัวดีๆ ทำตามคำสั่งของฉันทุกอย่าง จนกว่าฉันจะยอมอภัยให้กับความเลวชั่วของนาย มายืนตะคอกด่าฉันทำไม!”
กนธีอึ้ง
“สุดท้าย...ก็ไม่เคยมีสัจจะจากปากโจร” เนตรนิภาว่า
“ก็ฉัน....”
“เบื่อคำแก้ตัว! ถ้าฝืนใจ ก็ไม่ต้องทำ ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ไม่ต้องเอาชีวิตมาผูกติดกับนายอีก”
เนตรนิภาเดินออกไป กนธีรีบตามไปอย่างอัดอั้นตันใจ
เขมมิกยังนอนหลับตาอยู่บนพื้น เธอเรียกสติและความมุ่งมั่นคืนมา
เขมมิกพูดโดยยังไม่ลืมตา “ตัดให้ขาดเลย ชับๆๆๆ...ตัดให้ขาดเลยชับๆๆๆ”
เขมมิกลืมตาขึ้นแล้วเห็นหน้าพิแสงกำลังชะโงกมองลงมา
“ตัดอะไร!” พิแสงถาม
เขมมิกตกใจจึงสะดุ้งลุกขึ้น “ว้าย!”
เขมมิกลุกขึ้น ระหว่างที่เธอยกตัวหน้าของเธอก็เกือบประชิดติดหน้าพิแสงที่ยังก้มมองลงมาอยู่ ทั้งสองคนอึ้งและเกิดภาวะสุญญากาศอีกครั้ง
เขมมิกอึกอัก “เอ่อ...”
พิแสงก็อึกอัก “เอ่อ...”
“ฉัน...”
“ทำไม....” พิแสงถาม
“กำลัง...จะร่วง” เขมมิกบอก
เขมมิกยืนไม่ได้สมดุลเลยร่วงลงไปอีกรอบ แต่พิแสงรวบตัวของเขมมิกเอาไว้ได้ทัน
เขมมิกมาอยู่ในอ้อมแขนของพิแสงจึงเขินอาย
พิแสงกระซิบเบาๆข้างหูเขมมิก “ถามอะไรหน่อยได้มั้ย”
“อะไร....”
“เมื่อกี้...ไม่ใช่หมา แต่เป็นเธอใช่มั้ย”
อ่านต่อเวลา 09.00 น.
เขมมิกสบตาพิแสงจนเห็นแววตาขบขันของพิแสง เขมมิกเคืองจึงผลักพิแสงออกไปทันที
“ใช่! ฉันเอง!”
เขมมิกรีบทำตัวปกติ....
“มาแอบดูชาวบ้านคุยกันทำไม” พิแสงถาม
“ไม่ได้แอบ พอดี เดินผ่านมา”
“แล้วนั่นอะไร” พิแสงชี้ไปที่ซองเอกสาร
“อ๋อ...ก็....ข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจ...” เขมมิกคิดแผนทำงอนเพื่อให้พิแสงง้อ “แต่คงไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ เพราะแขนขาของคุณจัดการให้เรียบร้อยตัดหน้าฉันไปแล้วนี่”
“อาการนี้ เรียกว่างอนหรือเปล่า”
เขมมิกตอบเสียงสูงมาก “ไม่งอนเล้ย”
“หึง?”
เขมมิกตอบเสียงสูงอีก “ไม่หึ้งงง”
“งั้นก็งี่เง่า”
“คุณพิแสง!”
“ทำไม”
“ใช่ซี่!!!! กะบางคนล่ะก็ เอ็นดูได้เอ็นดูดี ทำอะไรก็ชอบ ก็น่ารัก แต่กับฉันงี้ มีแต่คำว่างี่เง่า ประสาท”
พิแสงขยี้ผมของเขมมิก “ทำไมช่างประชดนักหา!”
เขมมิกอึ้ง เธอขนลุกและหัวใจเต้นรัว เขมมิกสบตาพิแสง พิแสงอึ้งค้าง
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้นะ” เขมมิกว่า
เขมมิกค่อยๆเอามือไปจับมือของพิแสงแล้วยกให้พ้นออกไปจากหัวของตัวเองช้าๆ
“ทำไม....” พิแสงถาม
“คุณอาจจะไม่คิดอะไร....แต่อาจจะทำให้ฉันคิด”
เขมมิกรีบหันหลังเดินหนี พิแสงจับมือของเขมมิกเอาไว้ เขมมิกชะงักด้วยความตกใจแล้วหันมา
“แล้วถ้าฉัน......” พิแสงเอ่ยขึ้น
เขมมิกอึ้งมองพิแสง หัวใจของเธอเต้นโครมครามเพราะลุ้นประโยคต่อไปที่จะออกจากปากของพิแสง
“ฉันขอโทษ...ฉันไม่ควรทำแบบนี้กับเธอ...ที่...มีเจ้าของหัวใจแล้ว” พิแสงพูด
“อ่าว....”
พิแสงรีบปล่อยมือเขมมิกทันที เขมมิกมองตามพิแสงด้วยความเสียดาย เธอทั้งอาลัยและเจ็บใจ เพราะอยากได้ยินสิ่งที่พิแสงไม่ได้พูดออกมา
“ทำ...มาย...ม่าย...พูดด...ฮื่ย!!!! มีที่ไหน ไม่มี้!!”
พิแสงเดินเข้ามาในออฟฟิศอย่างใจหายใจคว่ำ เขาหายใจไม่ทั่วท้อง
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ...เฮ้อ....”
พิแสงเดินไปนั่งเพื่อระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน แต่ก็นั่งไม่ติดจึงผุดลุกผุดนั่ง
เขมมิกเปิดลิ้นชักเพื่อเอาซองเอกสารลงไปเก็บก่อนจะปิดลิ้นชักอย่างแรง เธอยืนนิ่ง เครียด ก่อนจะเต้นเป็นเจ้าเข้าด้วยความขัดใจขึ้นมา
“ทำไม ทำไม ทำไม ม่าย พูดดดด ออกมา!!”
เขมมิกขัดใจจนทนไม่ไหว เธอเดินออกไปแล้วปิดประตูดังโครม
เขมมิกเดินหงุดหงิดออกมาเจอชมพู่ ชมพู่อ้าปากจะถาม แต่เขมมิกพูดขัดจังหวะ
“ทำไมไม่พูด!”
ชมพู่อึ้งเพราะตกใจจนพูดไม่ออก แล้วเขมมิกก็เดินออกไป
“ก็กำลังจะพูดว่า...จะทานข้าวเย็นเลยมั้ยคะ.....แล้วทำไมไม่ฟังล่ะคะ คุณเขม!”
เนตรนิภานั่งรออยู่บนรถที่จอดอยู่บริเวณหน้าบ้านพักของพิแสง กนธียืนมองเนตรนิภาอย่างใช้ความคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี แต่เนตรนิภาไม่สนใจกนธี
กนธีเปิดประตูแล้วดึงเนตรนิภาออกมา “ออกมา!”
“นายกนธี จะทำอะไรฉัน! ปล่อยนะ !”
“ไม่ปล่อย! วันนี้มีเคลียร์! ออกมา!”
“อยากโดนต่อยอีกใช่มั้ย! บอกให้ปล่อย!”
เนตรนิภาดิ้นขลุกขลัก กนธีพยายามดึงเนตรนิภาออกมาจากรถอย่างยากเย็น เนตรนิภาเห็นเขมมิกเดินผ่านไปที่มุมหนึ่งไกลๆ
เนตรนิภารีบตะโกน “เขม ช่วยฉันด้วย”
เขมมิกไม่ได้ยินจึงยังเดินไปงุดๆ กนธีเหลียวมองเขมมิก
“คุณเขม!” กนธีเรียก
“ก็ไปหาสิ อยากเจอเขมนักไม่ใช่หรือไง ไปเลย ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!” เนตรนิภาว่า
กนธีอยากไปแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ “ไม่ต้องมาทำให้ผมเขว ผมต้องเคลียร์กับคุณก่อน ลงมา!”
เนตรนิภาเสียงแข็ง “ไม่!!”
เขมมิกเดินเซ็งมาตามถนน เธอเดินเรื่อยเปื่อยเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
รถของกนธีรีสอร์ทแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพักของพิแสง พิสาจ่ายทิปคนขับ
“อย่าบอกพี่ธีนะ ว่าพาฉันมาที่นี่...” พิสากำชับ
“แต่ถ้าคุณกนธีเห็นเองล่ะครับ”
“หา?”
คนขับชี้ไปข้างหน้า พิสามองตามออกไป
กนธีกำลังดึงตัวเนตรนิภาที่พยายามเกาะรถไม่ยอมปล่อยออกมา
พิสาตกใจ “พี่ธี! มาได้ไง ไหนบอกว่าไปหาแม่!”
“เอาไงต่อครับ” คนขับรถถาม
“ถอยก่อนสิยะ! ไปแบบเงียบๆนะ”
คนขับรีบใส่เกียร์ถอยหลังแล้วถอยออกไปอย่างแรงจนเกิดเสียงดังเอี๊ยด!!!
“ฉันบอกให้ไปแบบเงียบๆ! ไม่ใช่รู้กันทั้งฟาร์มแบบนี้!” พิสาว่า
รถถอยหลังออกไป กนธีกับเนตรนิภาที่กำลังชักกะเย่อค้างกันอยู่ถึงกับชะงักแล้วมองมาที่รถ ทั้งคู่กำลังอยู่ในท่ากอดกัน
“รถรีสอร์ท??? พาใครมา” กนธีสงสัย
“ก็พาคนที่รีสอร์ทมา หรือไม่ก็จะมาพาคนที่นี่ไปรีสอร์ทไง บื้อ!” เนตรนิภาว่า
“ด่าอีกแล้ว!”
“จะทำไม!”
กนธีหมดแรงจึงซบเนตรนิภาซะเลย “ผมเหนื่อยนะ”
เนตรนิภาอึ้ง เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูกที่จู่ๆกนธีก็มาซบแบบนี้
“แล้ว...ทำแบบนี้...ทำไม ไม่สบายหรือไง” เนตรนิภาถาม
“ผมหมดแรงทะเลาะ....ขอร้องได้มั้ย”
“อะไร”
กนธีค่อยๆผละมามองหน้าเนตรนิภาอย่างจริงจังมาก “อย่าด่า ถ้าผมทำอะไรผิด ช่วยบอกผมดีๆ ได้มั้ย”
เนตรนิภาอึ้ง
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะผิดคำสัญญา....แต่คุณรู้มั้ย...ผมชอบคุณเขมมาก จนอาจทำให้คลั่งได้ในบางครั้ง มันก็ทำให้มีลืมตัวไปบ้าง”
“ทำไมยังดื้อดึง ไม่ยอมตัดใจ ทั้งๆที่นายก็เห็นว่าเขมแทบจะไม่ชายตามองนายเลยด้วยซ้ำ”
เนตรนิภาตบหน้ากนธีดังเพียะ
“เฮ้ย! ตบผมทำไม”
“ตื่นได้แล้ว ฝันอยู่ได้ เอามาจากไหนว่าเขมชอบนายแต่ปากแข็ง”
“ก็คุณน้ำหวานบอกผมอ่ะ”
“เชื่อยัยแอ็ปเปิ้ลนั่นได้ยังไง ซื่อบื้อที่สุด!”
“ด่าอีกแล้ว”
“เออ สมควรมั้ยล่ะ”
“ด่าทำไม”
“อยากรู้ก็ขึ้นรถ ระหว่างขับไปส่งฉันที่หาดใหญ่ จะเล่าให้ฟังว่าด่าทำไม ไป!”
“ไม่จริง...คุณเขมชอบผม แต่ปากแข็ง ไม่ยอมพูดตรงๆ”
เนตรนิภาลากกนธีขึ้นรถ ทั้งสองทะเลาะและเถียงกันวุ่นวาย
“เฮ้ย!! ไม่ใช่หมูไม่ใช่หมานะ เบาๆหน่อยเด้” กนธีว่า
“หมูหมากาไก่ฉันยังถนอมมากกว่านี้ ไป เร็ว! ทำไมฉันต้องมาเหนื่อยกับนายด้วยนะ ปากเปียกปากแฉะสิ้นดี!”
พิแสงหยิบเอกสารที่วาสินีให้ไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาอ่าน วาสินียืนมองจากมุมหนึ่ง เธอยิ้มพอใจ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกหาต่อลาภแล้วรอสาย
“ฮัลโหล....น้ำหวานเอาข้อมูลที่คุณต่อลาภส่งให้ทางอีเมล์ให้นายหัวอ่านแล้วนะคะ”
ต่อลาภยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งของฟาร์ม
“ขอบคุณมากนะครับ”
“แน่ใจเหรอคะว่านายหัวจะไม่ติดใจสงสัยอะไรเกี่ยวกับยูเอฟ” วาสินีถาม
“ไม่มีอะไรให้ชวนติดใจสงสัยแน่นอน เพราะผมบริสุทธิ์ใจ ถึงได้ให้นายหัวคุณได้อ่านข้อมูลทั้งหมดก่อนการตัดสินใจ ยูเอฟไม่เคยหลอกใคร”
“ค่ะ น้ำหวานเชื่อคุณ”
“งั้น...ให้ผมเลี้ยงข้าวเย็นคุณนะ เป็นการตอบแทนที่คุณช่วยเหลือผม”
วาสินีเหลือบมองพิแสงก่อนตัดสินใจ “ขอโทษด้วยนะคะ เย็นนี้ น้ำหวานต้องคอยดูแลแม่ แค่นี้นะคะ นายหัวเรียกแล้ว”
วาสินีรีบวางสายแล้วมองพิแสงอย่างหลงใหล ต่อลาภกดวางสายด้วยความหงุดหงิด เขานึกขึ้นได้จึงกดโทรศัพท์ติดต่ออีกเลขหมายหนึ่งแล้วรอสาย
“ฮัลโหล...ผมต่อลาภครับ เสี่ย”
เสี่ยย้งคุยมือถืออยู่ที่โรงแรมหนึ่งในกรุงเทพฯ ย้งยิ้มพอใจ
“ลื้อทำดีมาก ต่อลาภ ถ้าทำสัญญากับนายหัวพิแสงได้สำเร็จ อั๊วจะเพิ่มค่าคอมมิชชั่นให้ลื้อ”
ย้งกดวางสายแล้วหันไปทางหนึ่งที่มีพิทยานั่งอยู่ข้างๆ
“ฉันให้พี่เขยนายอ่านคู่สัญญาที่มีเนื้อความไม่เหมือนกับสัญญาตัวจริง” ย้งบอก
“แล้วข้อมูลอื่นๆล่ะ” พิทยาถาม
“คนของฉันเอางานวิจัยที่นำเสนอแต่ด้านดีถ้าทำสัญญากับยูเอฟให้ไปอ่านด้วย”
พิทยายิ้มพึงพอใจ
“บอกตรงๆ ฉันไม่ค่อยอยากลงทุนกับพวกรู้มาก คุมยาก” ย้งบอก
“แต่ถ้าทำได้ กำไรที่เฮียจะได้รับ...มันมากกว่าพวกรายย่อยไม่รู้กี่เท่า” พิทยาบอก
“ทำไมอยากให้พี่เขยลื้อเจ๊งนักวะ”
“มันรักฟาร์มหมูของปู่มันมาก ไม่มีทางปล่อยให้เจ๊ง...เฮียสร้างปัญหาให้มันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งไม่มีเวลามายุ่งกับงานสายการบิน พีบูติกจะต้องมีผมเท่านั้นที่เป็นผู้บริหาร ไม่ใช่มัน”
“ลื้อนี่...ไม่ใช่ธรรมดา ไม่เสียแรงที่ป๊าอั๊วรับลื้อมาเป็นลูกบุญธรรม ยังกะสายเลือดเดียวกัน”
“ขอบคุณป๊ากับเฮียที่ช่วยส่งเสริม ผมขอให้ปิดความสัมพันธ์ของเราเป็นความลับต่อไป....จนกว่า ผมจะได้ในสิ่งที่ควรจะเป็นของผมมาตั้งแต่แรกอย่างสมบูรณ์”
“ไม่ต้องห่วง เราพี่น้องกัน อยากให้ช่วยอะไรอีกก็บอก”
“ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อทำลายพวกมัน....ยังมีเรื่องให้เฮียช่วยอีกหลายเรื่อง”
“ได้เสมอ เอ้าชน เพื่อสิ่งที่ควรจะเป็นของลื้อและเพื่อกำไรของอั๊ว”
พิทยาชนแก้วกับย้ง ในหัวของพิทยาเต็มไปด้วยแผนการคุมกิจการและกำจัดพิแสง
ต่อลาภเก็บมือถือแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นเขมมิกเดินมาจากมุมหนึ่ง ต่อลาภเห็นเขมมิกก็ยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วแถเข้าไปหาทันที
“สวัสดีครับ คุณ”
“คะ? ฉัน?”
“ผมต่อลาภครับ”
“อ้อ....จำได้แระ”
ต่อลาภโม้อวดหญิง “ธรรมดาครับ ใครๆก็จำผมได้ ผมค่อนข้าง....”
เขมมิกตัดบท “ขอตัวค่ะ”
เขมมิกเดินเลี่ยงไป ต่อลาภไม่ยอมแพ้ เขาตามไปขวางทางเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิครับ เรายังไม่ได้ทำความรู้จักอย่างเป็นทางการเลย ผมต่อลาภครับ” ต่อลาภยื่นมือไปขอเช็กแฮนด์
เขมมิกมองอย่างรังเกียจ “จะลาบหมูลาบก้อยอะไร ฉันก็ไม่สน ถอยไป”
ต่อลาภอึ้งและไม่พอใจ “อ้าว คุณ ผม....”
เขมมิกไม่รอให้ต่อลาภพูดจบ เธอเดินกระแทกไหล่ต่อลาภแล้วผ่านไปเลย ต่อลาภเจ็บใจจึงตามไปตอแย ต่อลาภรั้งแขนของเขมมิกไว้
“เดี๋ยวก่อนซี!”
เขมมิกรีบสะบัด “เอ๊ะ! อย่ามาจับ! ปล่อย!”
“ก็หยุดคุยกับผมดีๆก่อนสิครับ”
“ไม่คุย! ปล่อย!”
ต่อลาภของขึ้น “เฮ้ย!!”
เสียงแตรรถดังมาในระยะประชิดเหมือนขัดจังหวะ ต่อลาภและเขมมิกสะดุ้งแล้วหันไปเห็นหลอดขับรถกระบะมา ส่วนเสริมนั่งอยู่ข้างๆ หลอด รถกระบะมาจอดเทียบข้างเขมมิก
“คุณเขม!!”
เขมมิกสะบัดมือจนหลุดจากต่อลาภได้ ต่อลาภเห็นสายตาและใบหน้าอันเหี้ยมเกรียมของหลอดและเสริมแล้วก็ผงะรีบหลบไปอยู่ห่างๆ ที่ท้ายรถ
เสริมเปิดประตูรถให้เขมมิก “ขึ้นมาเลยครับ...”
เขมมิกรีบวิ่งขึ้นรถไปปิดประตู “ขอบใจนะ รีบไปเร็ว!” เขมมิกชี้ไปข้างหน้า
“ได้เลยครับ เดินหน้า!”
แต่หลอดเข้าเกียร์ถอยหลังจนรถถอยหลังพุ่งใส่ต่อลาภ
“เฮ้ย!!!” ต่อลาภวิ่งหนี
“อุ๊ยตาย...พี่หลอดเข้าเกียร์ผิด” เสริมว่า
“อุ๊ยตาย...เปลี่ยนไม่ทันแระ เกียร์มันแข็ง”
รถกระบะวิ่งถอยหลังไล่จี้ต่อลาภไปติดๆ ต่อลาภร้องโวยวายพร้อมวิ่งหนี
“เฮ้ย!!! ไอ้พวกบ้า ไปทางอื่นสิโว้ย!!”
พิแสงยังนั่งอ่านเอกสาร วาสินีเอากาแฟมาเสริ์ฟ
“ขอบใจจ๊ะ”
“เลยเวลามื้อเย็นแล้ว...นายหัวไม่หิวเหรอคะ รับแต่กาแฟ หลายถ้วยแล้วด้วย”
“ฉันยังไม่หิว....บอกคุณอนงค์จัดให้เขมมิกคนเดียวก็พอ”
วาสินีตีหน้าเศร้าแล้วแกล้งปาดน้ำตาก่อนจะยืนนิ่ง พิแสงรู้สึกผิดปกติจึงเงยหน้าขึ้นมอง
“น้ำหวาน เป็นอะไร”
“น้อยใจค่ะ แม่ไม่สบาย แต่นายหัวไม่ถามถึงสักคำ ถึงตอนนี้ก็ยังลืมว่าแม่เป็นอะไร กลับเป็นห่วงกลัวคุณเขมจะไม่ได้ทานข้าวเย็น ให้แม่มาเตรียมให้”
พิแสงอึ้ง เขารีบเข้ามาหาวาสินี
“น้ำหวาน...ฉันขอโทษ”
วาสินียังแกล้งตีหน้าเศร้าทำเป็นน้อยใจ
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 9 (ต่อ)
อนงค์นั่งกินมะม่วงจิ้มกะปิด้วยความเอร็ดอร่อยพลางดูทีวีอย่างออกรสออกชาติอยู่ที่บ้านพัก พิสาเดินเข้ามา อนงค์ตกใจจนอ้าปากค้าง
“ทำอะไรอยู่” พิสาถาม
“เอ่อ....กำลัง...จิ้ม”
พิสาเดินเข้ามาสำรวจมะม่วงกับกะปิ “กะปิ...แหวะ!!! เหม็น จะอ๊วก เอาไปไกลๆ ได้ป่ะ”
อนงค์รีบหาที่เก็บซ่อน แต่ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน “เอ่อ ค่ะ ได้ค่ะ ไว้ตรงไหนดี...ตรงนี้ ก็ยังได้กลิ่นอยู่ดี งั้นตรงนั้น...”
พิสารำคาญ “โอ๊ย!! วางไว้บนหัวแกก็ได้ ถ้าไม่มีที่วางล่ะก็!”
อนงค์หยุดกึกด้วยความฉุนเลยจะเหวี่ยง
“คุณพิสาคะ...ดิฉันน่ะคราวแม่คราวพ่อของคุณนะคะ ถ้าไม่คิดจะเคารพกันบ้าง ก็ควรจะ.....”
พิสาตัดบท “ทำยังไงก็ได้ให้นังเขมมิกไปให้พ้นจากที่นี่ ไปให้ไกลๆพี่ใหญ่ แล้วฉันจะหาทางทำให้คุณแม่ยอมรับลูกสาวแกเป็นสะใภ้”
อนงค์ตาโตแล้วยอมสยบแทบเท้าทันที “อู๊ย!!!! แหม!!! จริงๆก็...ไม่ได้อยากจะ...”
“ไม่ชอบข้อเสนอของฉันใช่มั้ย”
“ชอบมากค่ะ!!”
พิสายิ้มพอใจด้วยท่าทีเหยียดอนงค์ที่อยากให้วาสินีเป็นเมียของพิแสงจนออกนอกหน้า
“แต่จะมั่นใจได้ยังไงคะ ว่าคุณพิสาจะไม่เบี้ยวดิฉัน” อนงค์ถาม
“เอ๊ะ!!! อย่ามาสะเออะคิดไม่ไว้ใจฉัน”
“ก็ถ้าไม่มีหลักประกันให้มั่นใจ ดิฉันก็ต้องขอสะเออะคิด”
“ได้....ถ้าฉันไม่ทำตามที่พูด ฉันอนุญาตให้แกเปิดโปงเรื่องที่เราคุยกัน”
“อ้าว ดิฉันก็ซวยสิคะ แล้วน้ำหวานมันก็ต้องซดแห้ว”
“จริง ลืมไป”
“โง่นะคะเนี่ย”
“นี่! เอาเถอะ เอาเป็นว่า...”
อนงค์รีบตัดบท “วางเงินมาก่อนห้าหมื่น....ถ้าคุณเบี้ยว อย่างน้อยกำขี้ก็ดีกว่ากำตด”
พิสาตกใจ “ห้าหมื่น!”
“ไม่โอเคก็ได้...แต่อาจจะมีแฉนะคะ”
พิสามองอนงค์ด้วยความเจ็บใจ อนงค์ยิ้มกริ่มที่ที่สุดแล้วพิสาก็กระดูกคนละเบอร์กับเธออยู่ดี
อนงค์เดินออกมาส่งพิสา
“พรุ่งนี้ฉันจะโอนเงินมาให้ แล้วเหยียบให้สนิทเลยนะ อย่าปากสว่างบอกใครว่าเราดีลอะไรกัน”
อนงค์งง “ดีน?”
“โอ๊ย !!! คุยกับคนโง่ๆบ้านๆแล้วอารมณ์เสีย สรุป! ไม่ต้องปากมาก”
อนงค์เจ็บใจแต่ฝืนยิ้ม “ค่ะ”
พิสาเดินไปขึ้นรถของรีสอร์ทที่จอดรออยู่ รถเคลื่อนตัวออกไป อนงค์โบกมือส่งยิ้มแต่ปากพูด
“สักวันถ้ามีโอกาสขอตบปากสั่งสอนให้หายดัดจริตหน่อยนะคะคุณพิสา นังเด็กเมื่อวานซืน!”
รถรีสอร์ทแล่นลับไป
“ชิ!!” อนงค์กลับมายิ้มอารมณ์ดี “อยู่ดีๆเงินก็ลอยมาเข้าปากตั้งห้าหมื่น ฮ่าๆๆๆ กระดูกมันคนละเบอร์เว้ย นังหนู!”
อนงค์หันมาแล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นพิแสงและน้ำหวานยืนอยู่ข้างหลัง
“นายหัว...”
“หายดีแล้วเหรอครับ” พิแสงถาม
อนงค์ทำเป็นทรุด “โอย”
“คุณอนงค์!” พิแสงเข้าไปประคองทันที
วาสินียืนยิ้มกริ่ม
กนธีนั่งเศร้าอยู่ในร้านกาแฟที่สนามบิน เนตรนิภามองอย่างเห็นใจแต่ก็เป็นห่วงเวลาที่จะต้องรีบกลับไปทำงาน
“จะเศร้าอีกนานมั้ย” เนตรนิภาถาม
“นาน” กนธีตอบ
“แต่ฉันต้องไปทำงานแล้ว งั้น เศร้าไปคนเดียวแล้วกันนะ ไปล่ะ”
กนธีคว้ามือของเนตรนิภาไว้ “เดี๋ยว”
“อะไรอีกล่ะ”
“บอกฉันชัดๆอีกครั้งซิ....”
“โรคจิตเหรอ ชอบฟังอะไรที่ทำร้ายจิตใจซ้ำซาก”
“ให้แน่ใจว่าฉันไม่ได้ฝันไป”
“ก็ได้....เขมกับคุณพิแสง...กำลังมีใจให้กัน ชัดมั้ย”
“ที่สุดอ่ะ”
“นายกนธี....ที่ยัยน้ำหวานนั่นโกหกนาย เพราะยัยนั่นก็ชอบคุณพิแสง และต้องการให้นายเข้ามาขัดขวาง”
“ไม่จริงอ่ะ ก็คุณเขมมีคู่หมั้นแล้ว”
“รักแท้แพ้ระยะทาง เคยได้ยินมั้ย....มันเป็นเรื่องธรรมดาโลกถ้าเขมจะเปลี่ยนใจ และมันก็ไม่ผิดอะไร เพราะเขมกับคู่หมั้นก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน”
“ผมควรทำยังไงต่อไปดี”
“ทำใจ...ฉันรู้ว่ามันยาก”
“ที่สุดอ่ะ”
“นายชอบเขมมากใช่มั้ย”
กนธีพยักหน้า
“แล้วนายไม่อยากเห็นคนที่นายชอบมีความสุขเหรอ ถ้านายทำได้ นายแมนที่สุดอ่ะ รักแท้คือการเสียสละ...ไอดอลอ่ะ!!”
“จริงเหรอ” กนธีถาม
เนตรนิภาตอบสั้นๆ “อืม”
กนธีซบหน้ากับมือของเนตรนิภา “ขอยืมซบหน่อยนะ แป๊บเดียว”
เนตรนิภาถอนใจเพราะเห็นใจก็เห็นใจแต่รำคาญก็รำคาญ แต่สุดท้ายเธอก็ยอมให้กนธีซบหน้ากับมือของเธอ
หลอดกับเสริมเดินมากับเขมมิก
“ผมจะเอาเรื่องที่ไอ้ลาบก้อยนั่นมันลวนลามคุณเขมไปฟ้องนายหัว” หลอดบอก
“นายหัวชอบคุณเขม ใครรังแกคุณเขม นายหัวเอาตายแน่นอน!” เสริมสนับสนุน
“เฮ้ย บ้า ไม่หรอก ฉันมีแฟนแล้ว นายหัวนายไม่คิดอย่างนั้นกับฉันหรอก บาป” เขมมิกว่า
“เออ..จริง...แต่ไม่ว่ายังไง เรื่องนี้ถึงหูนายหัวแน่” หลอดยืนยัน
“แล้วไอ้ลาบก้อยนั่นก็จะถูกเตะกระเด็นไม่ได้กลับมาที่ฟาร์มอีก” เสริมบอก
“เฮ้ย ไม่ได้! เขาต้องมาทำงานกับคุณพิแสง” เขมมิกค้าน
“ไม่ได้! เราปล่อยให้คนชั่วลอยนวลไม่ได้ เราจะไม่ให้นายหัวทำงานกับคนชั่ว” หลอดยืนกราน
“คือ....พวกนายเข้าใจผิด เขาไม่ได้เลว ฉัน...เอ่อ..จะหกล้ม เขาเลยช่วยเอาไว้”
หลอดกับเสริมมองหน้ากันงงๆ
“เอาน่า อย่าคิดมาก ไม่มีใครมารังแกฉันหรอก ขอบใจนะที่เดือดร้อนแทน ไป เข้าไปเยี่ยมลุงแก้วกัน
เขมมิกรีบเดินออกไปเพื่อเลี่ยงสถานการณ์อึดอัด หลอดกับเสริมมองหน้ากันเพราะยังติดใจแต่ก็ไม่ตามไป
“เอาไงดีวะ” หลอดถาม
“พี่เอาไง ผมก็เอางั้น” เสริมบอก
“เราเกิดมาอยู่ข้างความถูกต้อง”
“เราไม่สนับสนุนให้คนชั่วลอยนวล”
หลอดและเสริมพยักหน้าให้กันอย่างมุ่งมั่นในจุดยืน แล้วทั้งสองก็หันเดินออกไปจากโรงพยาบาล
ลุงแก้วนอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาลหลังจากให้น้ำเกลือ เขมมิกยืนอยู่ข้างเตียงกับป้าสาวและเดียร์
“หมอบอกหรือยังคะว่าอีกกี่วันจะกลับบ้านได้” เขมมิกถาม
“อีกสองสามวันค่ะ” ป้าสาวตอบ
“ลุงเค้าพูดกับใครบ้างหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ มันไม่ยอมพูดเลย กินก็ไม่กิน”
ป้าสาวทำท่าจะร้องไห้ออกมาอีกแล้วก็กอดเดียร์เอาไว้
“แล้ว...ใครอยู่เฝ้าลุงล่ะคะ”
“ป้าจ๊ะ”
“แล้วหลานล่ะคะ”
“เดี๋ยวแม่มันมารับ...ป้าส่งข่าวบอกมัน มันเลยรีบกลับมาจากกรุงเทพ ไม่งั้นไม่มีใครเลี้ยงลูกมัน”
เขมมิกลูบหัวเดียร์ที่มองเขมมิกด้วยความชื่นชมในความสวย
“มองอะไรจ๊ะ” เขมมิกถาม
“พี่สวย” เดียร์บอก
“พี่รู้จ๊ะว่าพี่สวย ใครๆก็บอก”
เดียร์หัวเราะชอบใจ
เขมมิกหัวเราะด้วย
ป้าสาวร่วมหัวเราะ
“แล้วหนูมายังไงกลับยังไงจ๊ะ”
เขมมิกอึ้งเพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่าหลอดกับเสริมไม่ได้เข้ามาด้วย เขมมิกเริ่มหน้าซีดและคอตก
วาสินีนั่งกินข้าวอยู่กับพิแสงเงียบๆ อนงค์นอนเอนหลังอยู่อีกมุมแต่เหลือกตามองมาเป็นระยะ พิแสงหันไปมองอนงค์ อนงค์รีบทำเป็นหลับต่อเหมือนเดิม พิแสงตัดสินใจวางช้อน
“นายหัวทานไปนิดเดียวเอง” วาสินีบอก
“ดื่มกาแฟไปเยอะแล้วน่ะ เลยอิ่มเร็ว”
“นึกว่ากับข้าวฝีมือน้ำหวานไม่อร่อย”
“อร่อยสิ อร่อยมาก”
“จริงเหรอคะ ไม่ใช่แกล้งหลอกให้ดีใจเล่นๆนะคะ”
พิแสงจับมือให้กำลังใจวาสินี “ฉันพูดจริง”
วาสินีมองมือพิแสงแล้วก็ยิ้มอาย
อนงค์ที่แอบมองมาถึงขั้นกัดหมอนเพราะเคลิ้มตาม
พิแสงรู้สึกตัวจึงรีบชักมือกลับแล้วลุกขึ้นมาหาอนงค์ “คุณอนงค์ครับ รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”
อนงค์ทำเป็นอ่อนแรงเต็มทน “นิดหน่อยค่ะ อายุเริ่มเยอะก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ นึกจะเป็นก็เป็น มีแต่น้ำหวานที่ดูแล แต่ก็นะ ผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียว ไม่มีผู้ชายสักคนในบ้าน มันก็ลำบาก”
“แม่ก็...พูดเรื่องนี้อีกแล้ว...น้ำหวานบอกแล้วไง ว่าน้ำหวานคนเดียวดูแลแม่ได้ ไม่เห็นจะต้องอยากให้น้ำหวานมีแฟนหรือแต่งงานเลย” วาสินีรับมุก
“แกลองเป็นแม่คนดูสิ แล้วจะรู้ ว่ามันห่วงแค่ไหน ถ้าฉันเป็นอะไรไป แกจะอยู่ยังไง”
“แม่....”
“เอาอย่างนี้มั้ยครับ” พิแสงพูดออกมา
อนงค์และวาสินีรอลุ้น
“คุณพ่อคุณแม่ได้คุยกับผมแล้วเรื่องที่จะให้คุณอนงค์ออกมาพักผ่อนที่บ้าน”
อนงค์กับวาสินีอ้าปากค้าง
“ผมเห็นคุณอนงค์ล้มป่วยแบบนี้แล้วก็เลยคิดว่า...เราน่าจะทำตามที่คุณพ่อคุณแม่แนะนำ....คุณอนงค์เกษียณตัวเองเถอะครับ น้ำหวานจะได้สบายใจ แล้วผมจะดูแลเรื่องเงินทองกับที่อยู่ที่กว้างขวางกว่านี้ให้”
“นายหัวจะให้อนงค์ออกจากงานเหรอคะ!” อนงค์ถาม
“ครับ”
หลอดกับเสริมวิ่งเข้ามา
“นายหัวครับ!”
“มีอะไร!”
หลอดดึงตัวพิแสงออกไปทันที เสริมรีบเดินตามออกไป อนงค์กับวาสินียืนอึ้งค้าง แล้วอนงค์ก็กรีดร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บใจ
“อ๊าย!!!! นังน้ำหวาน! แกวางแผนให้ฉันป่วยทำไม เห็นมั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้น”
วาสินีไม่อยู่ฟัง เธอเดินออกไปด้วยความหงุดหงิดโดยทิ้งให้อนงค์กราดเกรี้ยวอยู่คนเดียว
พิแสงฟังเรื่องจากหลอดกับเสริมก็ตกใจ
“นายต่อลาภเนี่ยนะ ลวนลามเขมมิก”
หลอดกับเสริมยืนยัน “ครับ!”
วาสินีเข้ามายืนแอบฟังอยู่ที่มุมหนึ่งก็ตาวาวด้วยความโกรธทันที
“พวกเราเห็นชัดๆคาตาว่าไอ้ลาบก้อยนั่นมันฉุดแขนฉุดมือคุณเขม” หลอดบอก
“แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณเขมถึงได้ปฏิเสธ ว่ามันไม่ใช่” เสริมว่า
พิแสงหึง “เพราะไม่อยากให้ใครรู้น่ะสิ...ว่าอ่อย...แล้วตอนนี้เขมมิกอยู่ไหน”
หลอดกับเสริมอึ้งเพราะนึกขึ้นได้ก็หันมามองหน้ากัน
“เอาหลาว!!”
พิแสงระอา “ลืมเขมมิกไว้ที่ไหนอีกแล้ว....ไอ้หลอด ไอ้เสริม พรั๋นพรื๋อหลาว หา!”
วาสินีไม่พอใจมากที่พิแสงเป็นห่วงเขมมิก และที่สำคัญต่อลาภยังทำเจ้าชู้กับเขมมิกด้วย
สร้อยเพชรนั่งสะอื้นอยู่ที่บ้านแสงสุดา แสงสุดาและพิสุทธิ์นั่งอึดอัดอยู่ข้างๆ
“คุณพี่คะ” แสงสุดาเรียก
“อย่าห้ามพี่เลยค่ะคุณแสงสุดา พี่กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้จริงๆ มัน มัน...” สร้อยเพชรบอก
“คุณพี่ครับ” พิสุทธิ์เรียกอีก
“คุณพิสุทธิ์ก็เหมือนกัน อย่าห้ามพี่ ขอให้พี่ได้ร้องไห้เถอะ แค่คิดพี่ก็ใจหาย ลูกจะไม่อยู่กับพี่อีกต่อไปแล้ว”
พิสุทธิ์กับแสงสุดาถอนหายใจ “เฮ้อ.....”
“หนูวิกาไม่ได้ไปตายนะครับ”
“คุณพิสุทธิ์!” แสงสุดาปราม
“ก็จริงนี่....”
“นั่นสินะคะ ขอบคุณค่ะที่ช่วยเตือนสติพี่” สร้อยเพชรบอก
“หนูวิกาเขาไปทำงานนะคะ อีกอย่างที่พัทลุงก็มีทั้งตาใหญ่ ทั้งตาธีดูแล ไม่น่าห่วงหรอกค่ะ” แสงสุดาพูด
“พี่กับลูกไม่เคยอยู่ห่างกันน่ะค่ะ มันเลยเศร้าไปนิดนึง”
“เยอะเกินไปครับ ไม่นิดล่ะ”
แสงสุดาปราม “คุณพิสุทธิ์!”
“อย่าไปดุคุณพิสุทธิ์เลยค่ะ เขาพูดถูกทุกอย่าง แต่แค่เป็นความจริงที่เราไม่อยากได้ยินแค่นั้น ฮื้อ!!”
สร้อยเพชรร้องไห้อีกรอบ ส่วนพิสุทธิ์กับแสงสุดาก็ถอนหายใจอีกรอบ
สาวิกานั่งเซ็งอยู่อีกมุมของบ้านแสงสุดา พิสินีย์เดินเข้ามาคุยด้วย
“ไม่ไปนั่งคุยกับคุณแม่ล่ะจ๊ะ มาหลบมุมอยู่ทำไม”
“คุณแม่เอาแต่ร้องไห้แบบนี้มาหลายวันแล้วนะคะ ตั้งแต่ยอมอนุญาตให้วิกาไปทำงานที่พัทลุง วิกาเบื่อ”
“แม่เค้ารักเรา เป็นห่วงเรา ท่านก็ใจหายเป็นธรรมดาล่ะจ๊ะ อย่าเบื่อเลย”
“ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเบื่อ คอยดูนะถ้าวิกามีลูก วิกาจะไม่เลี้ยงลูกแบบที่คุณแม่เลี้ยงวิกาหรอก”
“คุณป้าเลี้ยงวิกาให้เป็นเด็กดีมากน่ะจ๊ะ ทำไมถึงพูดแบบนี้”
“ก็ดีค่ะ แต่เสียอย่างเดียวชอบเลี้ยงลูกให้เป็นลูกแหง่ แต่วิกาจะเลี้ยงลูกแบบให้อิสระ และตัดสินใจเอง เหมือนคุณพ่อคุณแม่ของพี่สินีย์”
“คุณพ่อคุณแม่พี่ก็ไม่ได้ให้อิสระไปหมดซะทุกเรื่องหรอกจ๊ะ”
พิสุทธิ์เดินเข้ามาปาดเหงื่อป้อยๆ
“อยู่นี่เอง สาวๆ...ขอนั่งด้วยนะ นั่งตรงโน้นจะจมบ่อน้ำตาตายแล้ว”
สาวิกาและพิสินีย์หัวเราะออกมา เสียงมือถือของพิสินีย์ดังขึ้น พิสินีย์หยิบขึ้นมาดู
“พีทโทรมาน่ะค่ะ ขอตัวนะคะ”
พิสินีย์ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป พิสุทธิ์หันมาสอนสาวิกา
“ไปแล้ว...โทรมาคุยกับแม่เค้าบ้าง อย่าหายไป เข้าใจมั้ย”
“ว้า...คุณอารู้ทันอ่ะ” สาวิกาเซ็ง
“ไม่ได้ ต่อให้เรามีลูกมีผัวไปแล้วจนอายุหกสิบก็ต้องมีหน้าที่โทรหาพ่อหาแม่ ให้ท่านสบายใจ ไม่เป็นห่วง...ถึงจะเป็นลูกที่ดี”
“แล้วพี่ใหญ่โทรหาคุณอาบ้างมั้ยคะ”
“ไม่โทรเลย มีแต่อาโทรหามัน”
“อ้าว....”
“ก็เค้าผู้ชาย เค้าไม่มาอิ๊อ๊ะออดอ้อนพ่อแม่หรอก แต่เราเป็นผู้หญิงน่าห่วงกว่าผู้ชาย”
“ก็ได้ค่ะ....”
พิสุทธิ์โยกหัวสาวิกาด้วยความเอ็นดู
พิแสงเดินมาที่รถที่จอดอยู่หน้าบ้านพักพลางคุยมือถือเสียงเข้ม
“รออยู่ที่นั่นแหละ เดี๋ยวฉันจะไปรับ แค่นี้นะ!”
พิแสงขึ้นรถแล้วสตาร์ทรถขับออกไป
เขมมิกกดวางสายด้วยความหงุดหงิด
“แล้วทำไมต้องดุด้วย!” เขมมิกพูดใส่มือถือ “มันความผิดของฉันหรือไง! ตาบ้า!”
เขมมิกนั่งรอพิแสง เธอมองไปบนฟ้าก็เห็นดวงจันทร์ เขมมิกคิดถึงตอนที่นั่งดูพระจันทร์กับพิแสงหลังกระบะรถแล้วก็อมยิ้มน้อยๆ
“บ้า...แต่ก็น่ารักอ่ะ”
เขมมิกรู้สึกเขินตัวเองก่อนจะนึกขึ้นได้ก็มีสีหน้าหมองลง
“แต่ก็รักไม่ได้.....”
พิสินีย์คุยมือถือ
“ค่ะพีท....ได้ค่ะ ฉันจะจัดกระเป๋าไว้ให้...แล้วจะไปหาดใหญ่กี่วันคะสามวัน...ค่ะ แล้วเจอกัน ขับรถกลับบ้านดีๆนะคะ”
พิสินีย์วางสายแล้วคิดถึงเหตุการณ์ที่เคยคุยกับพ่อแม่ในอดีตขึ้นมา
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา แสงสุดาซักพิสินีย์หลังจากกลับมาจากพัทลุงแล้ว โดยที่พิสุทธิ์นั่งอยู่ด้วย
“เราไม่ได้บอกตาพีทใช่มั้ย เรื่องยัยเขมมิกอยู่ที่ฟาร์มของตาใหญ่”
“คุณก็...ยัยสินีย์จะพูดทำม้ายยยยให้บ้านแตก” พิสุทธิ์ว่า
“ก็ไม่แน่..เพราะลูกเราเป็นคนประเภทผู้หญิงโลกสวย คิดว่าความจริงใจจะเอาชนะทุกอย่างได้ แต่แม่จะบอกอะไรให้นะ...ความจริงใจแพ้ทางความไม่รู้จักพอของคนเสมอ”
“ตาพีทเค้าพอแล้ว เค้าหยุดแล้ว” พิสุทธิ์บอก
“จะไปรู้เรอะ ไม่ได้ตามติดตาพีทไปตลอดเวลานี่ อาจจะหยุดไม่จริงก็ได้”
พิสินีย์หน้าเสียลงไปทุกที
“เอาเข้าไป...คุณจ๋า...เรื่องมันยังไม่เกิด เราระวังไว้ก็พอ แต่ไม่ต้องถึงกับระแวงหรอก”
“สินีย์...เอาไงเรา”
“หนูอยากมีความสุขค่ะคุณแม่ หนูไม่พูดหรอกค่ะ”
พิสินีย์เดินออกไป
พิสินีย์สลัดหัวตัวเองให้หลุดจากความคิดระแวงแล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเตรียมกระเป๋าให้พิทยา
เขมมิกนั่งกอดเข่าหลับอยู่หน้าห้องพักในโรงพยาบาล พิแสงเดินเข้ามามองหน้าเขมมิกอยู่ครู่หนึ่ง เพราะรู้สึกไม่พอใจที่รู้เรื่องเขมมิกกับต่อลาภ แต่เห็นใบหน้าของเขมมิกแล้วเขาก็ใจอ่อนจึงสะกิดเบาๆ
“เขมมิก”
เขมมิกยังไม่รู้สึกตัว พิแสงสะกิดอีก
“เขมมิก”
เขมมิกคิดว่ายุงกัดจึงตบโดนมือพิแสงเต็มแรง
“โอ๊ย!”
เขมมิกสะดุ้งตื่น พอเห็นพิแสงก็ดีใจ
“คุณพิแสง!”
พิแสงดึงตัวเขมมิกออกไปทันที
“โอ๊ย เบาๆสิ!”
พิแสงเปิดประตูรถแล้วผลักเขมมิกขึ้นรถไป
“โอ๊ย!!! ทำไมต้องรุนแรงกันด้วย ไปกินรังแตนมาจากไหนเนี่ย”
พิแสงชะโงกหน้าเข้ามาพูดเครียดๆ “ทำอะไรไว้ล่ะ!”
“ฉันทำอะไร!”
พิแสงไม่ตอบ เขาอ้อมไปขึ้นรถที่นั่งคนขับแล้วขับรถออกไปอย่างแรง
เขมมิกนั่งมองหน้าพิแสงเครียด พิแสงขับรถไม่พูดไม่จา
“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ทุกทีเลย” เขมมิกเปรย
“เป็นอะไร” พิแสงถาม
“ต้องมานั่งรถที่คุณขับในขณะที่คุณอารมณ์เสีย!”
“เสียเพราะใครล่ะ”
“เพราะฉัน! งั้นก็ช่วยแถลงข่าวให้ฉันรู้หน่อยว่าฉันทำอะไร!”
“ไม่รู้จริงๆเหรอ”
“เออ! โอ๊ย คุณนี่เป็นผู้ชายแบบไหน ไม่มีเหตุผล เจ้าอารมณ์ ใครจะไปตามคุณทัน เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย วัยทองก็ไม่ใช่ !”
“เงียบ!”
“ถ้าเกลียด โกรธฉันมาก แล้วมารับทำไม มาเห็นหน้ากันทำไม จอด!”
“บอกให้เงียบ!”
“โอ๊ย เจอแบบนี้อีกแล้ว แล้วเดี๋ยวคอยดูนะ คุณก็หาว่าฉันทำเสียสมาธิ แล้วก็จะมีอันเป็นไปอะไรสักอย่าง เช่น รถทิ่มต้นไม้ ยางแตก....”
“จะเงียบมั้ย”
“ไม่เงียบ ไม่แฟร์ เป็นไงเป็นกัน จะพูดให้หูฉีกเลย จนกว่าจะพูดออกมาว่าฉันทำผิดอะไร!”
“ไปอ่อยอะไรนายต่อลาภล่ะ”
เขมมิกอึ้ง
“ไง...ปฏิเสธไม่ออกเลยใช่มั้ย เพราะมันเป็นความจริง”
เขมมิกโกรธมากจึงกัดแขนพิแสง
“โอ๊ย เขมมิก หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เขมมิกยังกัดไม่ปล่อย “ไอ้อุด! (ไม่หยุด)”
รถของพิแสงแล่นเบี้ยวไปเบี้ยวมาเป็นงูเลื้อย เขมมิกยังกัดแขนพิแสงด้วยความโกรธ
“เป็นหมาบ้าหรือไง! ปล่อย!”
“ไอ้อ่อย!!! (ไม่ปล่อย)”
พิแสงเงยหน้าขึ้นมองถนนอีกครั้งก็เห็นแสงไฟสาดเข้าหน้า พิแสงตกใจจนตาเบิกโพลง
“เฮ้ย!
เขมมิกหันมองไปข้างหน้าก็ตกใจจนตาเบิกโพลง
อ่านต่อเวลา 09.00 น.
รถบรรทุกขับตรงมาโดยเปิดไฟหน้าสว่างโร่ในเลนของตัวเอง แต่รถของพิแสงกลับวิ่งข้ามเลนมาหา เสียงบีบแตรรถบรรทุกดังลั่น พิแสงและเขมมิกตกใจ พิแสงตัดสินใจหักพวงมาลัยหลบพร้อมกระทืบเบรกเสียงเอี๊ยดลั่น
รถของพิแสงข้ามเลนรอดไปจากการประสานงากับรถบรรทุกได้หวุดหวิด รถบรรทุกวิ่งผ่านไป รถของพิแสงแฉลบไปที่ไหล่ทางและกำลังจะพุ่งลงไปข้างล่าง
เขมมิกร้องลั่น “เบรกสิเบรก เบรก!!!”
“เบรกแล้ว!!” พิแสงบอก
รถพุ่งลงข้างทางซึ่งเป็นป่ารกและต้นไม้ขึ้นอยู่ห่างๆกันทำให้รถไหลลื่นตกไปได้
พิแสงกับเขมมิกร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
พิแสงพยายามควบคุมพวงมาลัยรถ เขมมิกนั่งร้องลั่นอยู่ข้างๆระหว่างที่รถกำลังไถลตกเขา พิแสงและเขมมิกเห็นรถพุ่งดิ่งฝ่าพงหญ้ารกลงไปเรื่อยๆ โดยมองเห็นแค่ชั่วไฟหน้ารถส่องไปได้เท่านั้น เขมมิกตกใจจึงกระโดดเข้ากอดพิแสงเอาไว้ พิแสงตะโกนบอกเขมมิก
“หลับตาซะ เขมมิก!! ไม่ต้องมอง!!!”
วินาทีแห่งความเป็นความตายช่างยาวนาน เขมมิกมองเสี้ยวหน้าของพิแสงที่เคร่งเครียดระหว่างการประคองรถแล้วตัดสินใจหลับตาลงตามคำสั่งของพิแสง
รถยังคงไถลลื่นไปตามทางจนไปกระแทกกับโขดหินใหญ่ดังโครม! พิแสงและเขมมิกหน้ากระแทกคอนโซลอย่างแรงจนฟุบกันไปทั้งสองคน กระโปรงหน้ารถกระแทกกับโขดหินจนฝากระโปรงเด้งเปิดขึ้นมา ควันขึ้นโขมงและวงจรช็อต พิแสงค่อยๆฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาทำคือหันมาดูเขมมิก ซึ่งพบว่าเขมมิกยังไม่ได้สติ
“เขมมิก...เขมมิก....”
เขมมิกยังคงไม่ได้สติ พิแสงเปิดประตูรถออกมาเห็นควันโขมงและเห็นประกายไฟสปาร์คขึ้น พิแสงตกใจเพราะนั่นหมายถึงรถอาจระเบิดได้
พิแสงรีบวิ่งไปเปิดประตูรถเพื่อจะช่วยเขมมิกออกมาจากรถแต่กลับเปิดไม่ได้ ประกายไฟเริ่มปะทุมากขึ้น พิแสงวิ่งอ้อมไปยังฝั่งคนขับแล้วขึ้นไปบนรถ เขาตัดสินใจใช้เท้าถีบประตูฝั่งเขมมิกอย่างแรงสองสามครั้ง
ประกายไฟปะทุมากขึ้น ในขณะที่เขมมิกก็ยังไม่ได้สติ พิแสงรวบรวมแรงเฮือกใหญ่ออกแรงถีบประตูดังปัง จนประตูเปิดออกได้ในที่สุด พิแสงวิ่งอ้อมไปอุ้มเขมมิกออกมาจากรถอย่างทุลักทุเล แล้วพิแสงก็วิ่งอุ้มเขมมิกออกไปให้ห่างจากตัวรถอย่างไม่คิดชีวิต
พิแสงอุ้มเขมมิกวิ่งห่างออกมาจากตัวรถ ประกายไฟสุดท้ายปะทุขึ้นแล้วรถก็ระเบิดดังตูม!!! ในขณะที่พิแสงอุ้มเขมมิกวิ่งออกมาในระยะที่ปลอดภัยจากประกายไฟแล้วแต่พิแสงก็ล้มลง
พิแสงล้มลงข้างๆร่างของเขมมิก เสียงระเบิดและแรงกระแทกให้เขมมิกได้สติ เศษซากรถปลิวกระจายว่อน พิแสงพลิกตัวใช้ตัวเองปกป้องเขมมิกจากเศษซากรถ เขมมิกจ้องหน้าพิแสงที่เคร่งเครียดกับวินาทีเฉียดตายและต้องการปกป้องเขมมิกด้วยความรู้สึกเต็มตื้น เขมมิกยิ่งแน่ใจว่าตอนนี้เธอได้มอบหัวใจให้พิแสงไปหมดแล้ว
พิแสงกอดเขมมิกเอาไว้ทั้งตัวและศีรษะเพื่อไม่ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของเขมมิกถูกเศษซากรถ เขมมิกซุกอยู่ในอ้อมกอดของพิแสงด้วยตัวสั่นเทาแต่อุ่นใจเหลือเกิน
พิทยาสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายขึ้นมาเหงื่อชุ่ม พิสินีย์รู้สึกตัวจึงเปิดไฟโคมข้างเตียงแล้วหันมาถามพิทยาด้วยความป็นห่วง
“พีท....เป็นอะไรคะ”
“ไม่มีอะไรจ๊ะ...ผม...แค่....ฝันร้าย”
“ดื่มน้ำเย็นๆหน่อยมั้ยคะ เดี๋ยวฉันไปเอาให้”
“ไม่เป็นไร คุณนอนเถอะ ผมจะลงไปเอง”
“ค่ะ”
พิทยาลุกเดินออกไป พิสินีย์มองตามพิทยาด้วยความเป็นห่วง
พิทยายกแก้วน้ำขึ้นดื่มโดยยังรู้สึกตึงเครียดกับความฝัน
“เขม....รู้มั้ยว่าผมคิดถึงคุณมากแค่ไหน...”
พิทยาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเอง
ระเบิดหยุดลงแล้วแต่พิแสงยังกอดคร่อมร่างของเขมมิกอยู่ เขมมิกเองก็กอดพิแสงเอาไว้แน่น พิแสงค่อยๆขยับตัวมองไปที่รถเมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงหันมาพูดกับเขมมิก
“เธอเป็นไงบ้าง”
“ฉัน...โอเค...”
พิแสงปัดผมที่ปรกหน้าเขมมิกออกอย่างอ่อนโยน “ดีแล้ว”
“แล้วคุณล่ะ เจ็บตรงไหนบ้างมั้ย”
“ไม่....”
พิแสงขยับตัวแล้วรู้สึกเจ็บแปล๊บที่หลัง
“โอ๊ย....”
“คุณบาดเจ็บ!”
“เจ็บหลัง...สงสัยตอนอุ้มเธอวิ่งออกมาจากรถ”
พิแสงค่อยๆยันตัวขึ้นนั่ง เขมมิกลุกตามมาเพราะเป็นห่วงพิแสง
“ดูรถฉันสิ....แปลงร่างเป็นตอตะโกเรียบร้อย” พิแสงบอก
“ฉัน...ขอโทษ...ขอโทษจริงๆนะ” เขมมิกน้ำตาซึมเพราะรู้สึกผิดมาก
“ร้องไห้ทำไม หือ?”
“ฉันทำให้เกิดอุบัติเหตุ ฉันทำให้เราทั้งคู่เกือบตาย ฉันทำให้หลังคุณเจ็บ ฉันทำให้...”
พิแสงเอามือปิดปากเขมมิกเอาไว้
เขมมิกอึ้ง
“ฉันเองก็มีส่วนผิด ถ้าแค่ยอมคุยกับเธอดีๆ เราคงไม่ต้องทะเลาะกันจนทำให้เรื่องเป็นแบบนี้” พิแสงปล่อยมือ
“ไม่ต้องโทษตัวเองแล้วนะ” พิแสงบอก
เขมมิกรับคำ “ค่ะ”
“แล้วยังไงกันต่อดีล่ะทีนี้ มือถือก็แหลกเป็นจุลอยู่ในนั้น”
“ของฉันก็เหมือนกัน....คุณว่า...จะมีใครได้ยินเสียงรถระเบิด หรือคนขับรถบรรทุกคันนั้นจะเห็นว่าเราร่วงลงข้างทางแล้วคิดจะมาช่วยเรามั้ย”
“ก็อาจจะ....แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กว่าความช่วยเหลือจะมาถึง อาจจะต้องรอถึงเช้า กว่าคนจะหาเราเจอ”
พิแสงและเขมมิกเดินมาตามทางพลางมองหาบ้านคนขณะที่ฝนยังตกอยู่ตลอดเวลา
“จะมีบ้านคนอยู่แถวนี้เหรอคะ”
“ไม่รู้ หวังว่าจะมี”
“เอ๊า....”
“ก็ไม่รู้จริงๆนี่นา....”
เขมมิกหน้าม่อยเพราะเริ่มหนาวสั่น
“เอาน่า...คนเรามันต้องมีความหวังสิ อย่าเพิ่งถอดใจ"ฟ้าผ่าเปรี้ยง เขมมิกตกใจสะดุ้งโหยงแล้วจะกอดพิแสงแต่ยั้งไว้ทันแล้วหันไปกอดต้นไม้แทน พิแสงรู้ทัน ฟ้าผ่าเปรี้ยงอีกครั้ง เขมมิกสะดุ้งกอดต้นไม้แน่น
พิแสงคว้ามือเขมมิกแล้วดึงออกไป “ไป...”
“ไปไหน!!” เขมมิกถาม
“อยู่ให้ฟ้าผ่าตายตรงนี้หรือไง โน่น เราจะไปหลบฝนตรงโน้น”
พิแสงชี้ไปทางหนึ่งที่มีกระท่อมชั่วคราวที่สร้างไว้พักขณะทำงาน
“กระท่อม!” เขมมิกตกใจ
“ก็กระท่อมไง หรือเห็นว่าเป็นวัง” พิแสงกวน
“ก็กระท่อมนี่ไง ที่ฉันจะไม่เข้าไป”
“ทำไม”
“ผู้หญิงผู้ชายมากันสองต่อสอง รถพัง แล้วฝนก็ตก ไปเจอกระท่อม....เคยดูหนังป่ะ งี้เป๊ะเลย สุดท้ายก็...จุดจุดจุด”
“อะไรของเธอ จุดจุดจุด”
เขมมิกกอดต้นไม้แน่น “ยอมหนาวเป็นปอดบวมตายอยู่นี่ดีกว่าเข้าไปให้คุณจุดจุดจุด”
“นี่ สภาพฉันยิ่งหมาหอบ ไม่มีอารมณ์จะจุดจุดจุดกับเธอหรอก ยัยบ๊อง!”
“ผู้ชายไว้ใจไม่ได้ ยิ่งมีประวัติอยู่แล้วด้วย”
“ประวัติอะไร”
“ช่างเหอะ ...ไง ฉันก็ไม่ไป”
“งั้นสาบานให้ฟ้าผ่าสิเอาถ้าฉันคิดจะทำมิดีมิร้ายกับเธอ”
เขมมิกกับพิแสงนิ่งไม่มีเสียงฟ้าผ่า
“เห็นมั้ยว่า...ฉันบริสุทธิ์ใจ ไป” พิแสงบอก
“ยังไงก็ไม่!” เขมมิกปากคอสั่นไปหมดเพราะหนาวมาก
พิแสงเข้าไปดึงแขนเขมมิก “รำคาญแล้วนะ บอกให้เข้าไป เร็ว!”
“ไม่เข้า!! ปล่อย!!!”
ทันใดนั้นก็มีไม้ท่อนหนึ่งเข้ามาฟาดกลางหลังพิแสงอย่างแรง
“โอ๊ย!!” พิแสงลงไปกอง
เขมมิกตกใจ “คุณพิแสง!”