แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 10
เช้าวันต่อมา ศรีดูแลสาวใช้ตั้งโต๊ะอาหาร นภัสรพี นภดารา พเยีย และ กอหญ้าทยอย เดินมานั่งประจำที่ ศรีรินกาแฟให้ทุกคนแทนแม่ชื่น นภัสรพีมองอย่างแปลกใจ
“ศรี แม่ชื่นเป็นยังไงบ้าง”
“ตั้งแต่เช้ายังไม่เห็นเลยค่ะ ศรีว่าตั้งโต๊ะเสร็จจะลองไปดูที่ห้อง”
“ไม่สบายหรือเปล่า” คุณชายปรารภ
นภดาราลุกขึ้นทันที สีหน้าห่วงใย
“เดี๋ยวลูกไปดูเองค่ะ”
กอหญ้านึกสังหรณ์ใจ รีบลุกขึ้นด้วย
“หนูไปด้วยค่ะ”
กอหญ้าเดินตามนภดาราออกไป พเยียคิดๆ แล้วตัดสินใจลุกขึ้น
“พเยียไปกับคุณแม่นะคะ คุณตา”
พเยียวิ่งตามไปเป็นคนสุดท้าย
2 คนอยู่หน้าห้อง นภดาราเปิดประตูเข้าไปในห้อง
“แม่ชื่นคะ แม่ชื่น” นภดาราชะงัก เมื่อเห็นว่าห้องนอนแม่ชื่นว่างเปล่า ที่เตียงผ้าปูที่นอนเรียบตึง ไม่มีร่องรอยคนนอน กอหญ้าที่ตามเข้ามาพูดขึ้น
“เมื่อคืนแม่ชื่นไม่ได้นอนที่นี่”
นภดาราหน้าเสีย มองไปรอบๆ สภาพห้องแม่ชื่นเรียบร้อยดี เสื้อผ้าเต็มตู้เรียงเป็นระเบียบ ข้าวของอยู่ครบ
นภดารารำพึงอย่างแปลกใจ “ไม่ได้กลับมานอนที่นี่ แล้วจะไปไหน”
นภดาราหันมาเห็นพเยียที่ตามมาหยุดอยู่ที่ประตูห้อง ถามขึ้น
“เมื่อคืนหนูกลับมาบ้าน เห็นแม่ชื่นหรือเปล่า พเยีย”
“ไม่เห็นค่ะ ตอนหนูกลับมา ไม่มีใครอยู่ที่บ้านเลย”
กอหญ้าคาใจ นึกสงสัย “เมื่อคืนแม่ชื่นไม่ได้กลับมาจากวัดพร้อมคนอื่นๆ หรอกหรือคะ”
ครู่ต่อมาศรีให้การกับนภดารา
“คุณแม่บ้านไม่ได้กลับมาพร้อมกับพวกเราค่ะ พอพวกคุณๆ ออกไป แกก็ขอกลับมาก่อน
“บอกหรือเปล่าจะไปไหน” นภดาราซัก
“ไม่ได้บอกค่ะ จู่ๆ ก็เดินออกไปเลย”
ฟังศรีว่า นภัสรพียิ่งแปลกใจ
“เป็นไปไม่ได้ ชื่นไม่มีทางไปไหนโดยไม่บอกไม่กล่าว เค้าไม่ใช่คนแบบนั้น”
กอหญ้าคาดเดา “เป็นไปได้ไหมคะ ว่าแม่ชื่นจะมีธุระสำคัญ อาจจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย”
พเยียรีบเสริมกอหญ้า “นั่นสิคะ คุณตา อาจจะมีญาติพี่น้องคนไหนเป็นอะไร หรือต้องไปที่ไหนไกลๆ ที่มันติดต่อกันไม่ได้
“ไม่น่าเป็นไปได้ ชื่นไม่มีบ้านที่ไหนอีกแล้ว ศิวาลัยเป็นเหมือนบ้านของเค้า และนอกจากพวกเรา เค้าก็ไม่มีญาติสนิทมิตรสหายที่ไหนทั้งนั้น”
นภดารานิ่งฟัง สีหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นมา
“คุณพ่อคะ .. ลูกมีเรื่องสำคัญจะเรียนให้คุณพ่อทราบค่ะ”
นภัสรพีฉงน “เรื่องอะไร”
“ลูกกำลังสงสัยว่าแม่ชื่นอาจจะหนีไปจากพวกเราค่ะ”
นภัสรพี กอหญ้า พเยีย มองนภดารา ยิ่งแปลกใจ
นภัสรพีนภัสรพีกับนภดาราอยู่ในห้องสมุดด้วยกันสองคน
“ชื่นไม่ใช่เด็กๆ ทำไมลูกถึงคิดว่าชื่นจะหนีออกจากบ้าน”
นภดาราละอายใจ “เพราะลูกพูดอะไรบางอย่าง ที่อาจจะทำให้แม่ชื่นโกรธ แล้วก็น้อยใจจนไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
นภัสรพีสงสัย “ยังไง” เห็นนภดาราหลบตา ทำท่าอึกอัก คุณชายเลยดุเสียงเข้ม “จะพูดอะไรก็พูดมานภดารา อย่าอ้อมค้อม พ่อฟังไม่เข้าใจ”
นภดาราตัดสินใจเด็ดขาด พูดออกมาอย่างคนที่อัดอั้นตันใจมานาน
“พเยียรู้ว่าใครคือคนร้ายที่ฆ่าอาหญิงค่ะ พเยียรู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแม่ชื่นสงสัยว่าพเยียจะรู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ แกจะฟ้องคุณพ่อ ลูกห้ามไว้ เมื่อวานนี้ ลูกกับแม่ชื่นก็เลยทะเลาะกัน”
นภัสรพีมองนภดาราอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งผิดหวัง
ทั้งสองยืนอยู่แถวหน้าประตูห้องสมุด พเยียกระวนกระวาย เหมือนอยากจะเข้าไปใกล้ๆ ประตูเพื่อแอบฟัง กอหญ้ายืนมอง คุมเชิงไว้
พเยียขยับตัวไปจะแนบหูข้างประตู กอหญ้าเข้าไปขวาง
“จะทำอะไรคะ”
“ฉันอยากรู้ว่าคุณแม่คุยอะไรกับคุณตา”
“เดี๋ยวท่านออกมาก็ทราบเองแหละค่ะ”
พเยียขัดใจ “แล้วตัวเองล่ะ ถ้าไม่อยากรู้ แล้วมายืนเฝ้าอยู่ทำไม”
“ฉันอยากคุยกับคุณพเยียต่างหาก” กอหญ้าถามตรงๆ “คุณพเยียเอาของ-ของฉันไปหรือเปล่าคะ”
พเยียแหวเสียงเขียว “ของอะไร”
“ของที่คุณอิศรฝากไว้ให้ฉัน นอกจากคุณอาดารา คุณเป็นคนเดียวที่เห็นมัน”
พเยียมองกอหญ้าแบบหยั่งเชิง แล้วลองเช็คว่ากอหญ้ารู้ไหม ว่าแหวนที่หายไปคือแหวนอะไร
“ทำไมฉันต้องเอาไป แหวนวงนั้นมันสำคัญยังไงเหรอ กอหญ้า”
“ฉันไม่รู้ค่ะ รู้แต่ว่ามันสำคัญมาก... มากพอที่จะทำให้คนคนนึงต้องตาย และคนคนนึงต้องหายไป” กอหญ้าเดินเข้าประชิดตัวพเยีย จ้องตา คาดคั้น “คุณเอามันไปใช่ไหมคะ”
พเยียปฏิเสธ “ฉันไม่ได้เอาไป”
กอหญ้าไม่เชื่อ “คุณโกหก”
“อย่ามาปรักปรำฉัน”
“ถ้าไม่ได้เอาไป คุณจะรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นแหวน” พเยียอึ้ง “ฉันยังไม่ได้บอกคุณซักคำเดียว ว่าของนั่นมันคืออะไร”
พเยียอึ้ง แล้วขยับจะหนี กอหญ้าคว้ามือไว้ คาดคั้น
“คุณเอาของฉันไปใช่ไหมคะ เอาคืนมานะ เอาคืนมา”
พเยียสะบัด “ปล่อยฉันนะ นังกอหญ้า แกไม่มีหลักฐาน”
กอหญ้าขู่ “ฉันจะฟ้องคุณอาดารา”
พเยียมองอย่างท้าทาย “ฟ้องว่าฉันเอาไปงั้นเหรอ แกไม่มีหลักฐานอะไร แหวนก็ไม่ได้อยู่ที่ฉัน แล้วแกก็ไม่มีทางหามันเจอแน่ๆ”
กอหญ้าโกรธจัด “คุณพเยีย คุณเอาแหวนของฉันไปไว้ไหน บอกมานะ บอกมา”
กอหญ้าจับไหล่สองข้างของพเยียไว้ บีบอย่างแรง คาดคั้น พเยียดิ้นสู้ สองสาวทำท่าเหมือนจะซัดกัน
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องของนภดาราดังออกมาจากห้องสมุด
“คุณพ่อ อย่าค่ะ ไม่นะคะคุณพ่อ ไม่...”
พเยียกับกอหญ้าหยุดทะเลาะกัน ลืมเรื่องของตัวเอง พุ่งเข้าไปที่ประตูทันที
พเยียทุบประตู “คุณแม่ขา คุณตาขา เกิดอะไรขึ้นคะ”
แต่ไม่มีใครตอบออกมา
ภายในห้องหนังสือเวลานั้น นภัสรพีโกรธมาเป็นริ้วๆ กำลังจะออกมาข้างนอกห้อง นภดารากอดรั้งเอาไว้ทั้งตัว ร้องวิงวอนสุดชีวิต
“ไม่นะคะ คุณพ่อ อย่า คุณพ่ออย่าโกรธพเยียเลยนะคะ พเยียแกไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”
นภัสรพีคำรามด้วยความโกรธ “พเยียเป็นตัวการพาคนร้ายเข้ามา รู้เห็นเป็นใจให้มันมาทำร้ายคนในบ้าน พเยียรู้ดีทุกอย่าง ว่าไอ้คนนั้นมันเป็นใคร แต่กลับปกปิดเอาไว้”
“ก็ลูกบอกแล้วไงคะ ว่าแกโดนข่มขู่ แกกลัวนายนพดลนั่นจะเอาคลิปมาแฉ แกกลัว แกอาย .. พเยียเป็นเหยื่อนะคะ คุณพ่อ ไม่ได้เป็นคนร้าย” นภดาราร้องไห้ “ตำรวจก็รู้เบาะแสของคนที่ชื่อนพดลแล้ว อีกไม่นานเราก็จะจับตัวมันได้ แล้วคุณพ่อจะขุดคุ้ยเรื่องของพเยียมาประจาน ทำให้หลานของตัวเองอับอายเพื่ออะไรคะ”
นภัสรพีระงับอารมณ์ได้บ้าง แต่ยังโกรธจัด
“ใครจะยืนยันได้ ว่าที่ลูกเล่ามามันเป็นเรื่องจริง หรือเป็นแค่นิทานอีกเรื่องที่พเยีย กุขึ้นมาหลอกพวกเรา”
“ถ้าคุณพ่อไม่อคติกับพเยียเหมือนอย่างแม่ชื่น คุณพ่อก็ต้องเชื่อ เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่พเยียจะอยากให้คุณอาหญิงตาย”
“เหตุผลอาจจะมี และชื่นก็อาจจะบอกพ่อได้ ถ้าชื่นไม่หายไปเสียก่อน ไม่แน่นะดารา” นภัสรพีมองนภดาราอย่างโกรธๆ “การที่ชื่นจู่ๆ ก็หายไป อาจจะเกี่ยวข้องกับพเยียด้วยก็ได้”
นภดาราตัดพ้ออย่างน้อยใจ
“แจ้งตำรวจเลยดีกว่าค่ะ คุณพ่อ ให้เค้าตามหาแม่ชื่นให้เจอ ลูกก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าแม่ชื่นไปไหน พเยียทำให้แกต้องไป เหมือนที่คุณพ่อว่าหรือเปล่า”
ที่นอกห้อง พเยียกับกอหญ้ายืนอยู่ชิดประตู ได้ยินชัดเจนกอหญ้าหันไปมองพเยีย สายตาตำหนิ ไม่พอใจ
“คุณเป็นตัวการ ให้คนที่ชื่อนพดลเข้ามาฆ่าคุณหญิง”
พเยียสบตาตรงๆ ไม่กลัวเลย “เธอก็ได้ยินนี่ มันเป็นอุบัติเหตุ ฉันเป็นเหยื่อที่น่าสงสาร”
“แล้วแม่ชื่นล่ะ แม่ชื่นไปไหน คุณทำอะไรอีกหรือเปล่า”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ไม่เคยทำ”
พเยียเดินเชิดออกไป กอหญ้ามองตามอย่างหวั่นใจ
อิศรนั่งอยู่ในมู้ดกวนๆ รอกอหญ้าอยู่ที่เก้าอี้สนาม กอหญ้าเดินมาอย่างร้อนใจ
“คุณอิศรคะ”
อิศรหันมาเห็นกอหญ้า รีบทัก
“ว่าไงยัยตัวดี เมื่อคืนฉันนอนรอโทรศัพท์จนหลับไป” เหลือบไปเห็นผ้าพันแผลที่แขนกอหญ้า ก็ถึงกับชะงัก “อ้าว นั่นแขนไปโดนอะไรมาน่ะ”
“ถ้าฉันบอก คุณต้องสัญญาก่อนนะคะ ว่าจะไม่ระเบิด ไม่วี้ด ไม่ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่”
อิศรกอดอก ทำหน้าว่าไม่มีทาง
กอหญ้าประจบด้วยท่าทีน่ารัก “สัญญาก่อนค่ะ นะคะ ฉันมีเรื่องกลุ้มใจเยอะแล้ว ถ้าคุณระเบิดใส่ฉันอีก ประสาทฉันต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ แน่”
“อ่ะ สัญญาก็สัญญา ว่ามา”
กอหญ้าทำเสียงเหมือนเรื่องเล็กมาก “ฉันถูกยิงน่ะค่ะ”
อิศรตกใจ “หา! อะไรนะ” โวยเสียงดังลั่น “ถูกยิง! นี่เธอ”
อิศรตั้งท่าจะใส่ยาว กอหญ้ารีบตะปบปากไว้ อิศรดิ้นขลุกขลัก แล้วสะบัดหลุด จับไหล่กอหญ้าทั้งสองข้างเขย่าอย่างโกรธๆ
“บอกมาเดี๋ยวนี้ กอหญ้า เธอไปโดนยิงได้ยังไง ที่ไหน เมื่อไหร่ ใครยิง”
กอหญ้าอมยิ้ม ถอนใจ สุดท้ายอิศรก็อดไม่ได้ โวยวายอยู่ดี
ครู่ต่อมาอิศรนั่งคุยกับกอหญ้าที่เก้าอี้สนาม อิศรพูดจริงจัง ไม่ได้ประชดหรือโวยวาย
“ฉันจะพูดจริงๆ นะ กอหญ้า เธอควรจะออกไปจากวังศิวาลัยได้แล้ว เธอมีอันตรายรอบตัว แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ก็พิสูจน์แล้ว ว่าคนที่นี่ ไม่มีใครปกป้องดูแลเธอได้”
“ฉันก็แค่โดนยิงเฉี่ยวๆ”
“แล้วคราวหน้าล่ะ ถ้ามันไม่โชคดีอย่างนี้ เธอจะทำยังไง กอหญ้า ฉันคืนแหวนให้เธอแล้ว เธอก็ควรจะทำตามที่สัญญาเอาไว้ ...ออกไปอยู่กับฉันที่คอนโด”
“ฉันยังไปไม่ได้จริงๆ ค่ะ จนกว่า...”
อิศรพูดขัดคอ พูดด้วยท่าทีจริงจัง “กอหญ้า ฟังฉันนะ” กอหญ้าชะงัก “ไม่ต้องสืบอะไรอีกแล้วช่างหัวอดีตมันไปเถอะ เธอจะเป็นใคร มาจากไหน เคยทำอะไรมา ฉันไม่เห็นจะแคร์ เราลืมอดีตไปซะ แล้วทำวันนี้ให้มีความสุขไม่ดีกว่าเหรอ”
“ฉันน่ะลืมอดีตได้ค่ะ แค่คนอื่นซีคะ ลืมไม่ได้ เค้าถึงได้ตามฆ่าฉัน ทำร้ายคนรอบๆ ตัวฉัน อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ฉันก็อยากจะทำวันนี้ให้มีความสุขอย่างที่คุณว่าอยู่หรอก แต่ฉันจะหลับตานอนสนิทได้ยังไง ในเมื่อมีคนอยากฆ่าฉันอยู่” กอหญ้าอ้างเหตุผล
“แล้วเธอจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าอดีตเธอเป็นใคร ในเมื่อเธอจำอะไรไม่ได้”
“นั่นสิคะ...ตอนแรก ฉันคิดว่าแหวนของฉันจะเป็นกุญแจไขปริศนาอันนี้ได้ แต่มันก็หายไปซะแล้ว”
“อ้าว ก็ฉันฝากคุณอาดาราไว้ให้เธอเมื่อวาน”
“มันหายไปแล้วค่ะ...ฉันสงสัยว่าคุณพเยียเป็นคนขโมยไป แต่เค้าไม่รับ”
“ต่อให้จริง ใครมันจะรับ...ทำไมเธอไม่ขอค้นกันไปเลย”
“ดูจากท่าทางคุณพเยีย เธอมั่นใจมาก ว่าแหวนไม่ได้อยู่ที่เธอแน่ๆ” กอหญ้าถอนใจ “ที่ร้ายกว่านั้น แม่ชื่นก็หายตัวไปด้วย จนป่านนี้ก็ยังไม่ติดต่อกลับมาเลย”
“หรือว่าแม่ชื่นจะเอาไป”
กอหญ้าส่ายหัวเพลียๆ มึนตึ๊บ คิดไม่ตก “แม่ชื่นบอกว่าแหวนนั่นสำคัญมาก ให้ฉันหาให้เจอให้ได้ แล้วนอกจากคุณอาดารา กับคุณพเยีย ก็มีแม่ชื่นคนเดียวเท่านั้น ที่รู้ว่าคุณจะเอาแหวนมาฝากให้ฉัน...ตอนนี้ฉันเลยมืดแปดด้านไปหมด ไม่รู้จริงๆ ค่ะ ว่า “ใคร” มาขโมยแหวนของฉันไป...ทำไม”
นพดลซ่อนตัวอยู่ในบ้านเช่าโทรมๆ ห่างจากผู้คน ปิดหน้าต่างประตูมิดชิด เพิ่งตื่นนอน บิดขี้เกียจ
“โห เที่ยงกว่า มิน่าหิวชิบ”
นพดลคว้าของใกล้มือมากินกันตาย บ่น
“เมื่อคืนกว่าจะได้นอน ซัดเข้าไปเกือบตีสอง...อีนังตัวดีนอนอยู่บ้านสบายใจทิ้งให้กูเหนื่อยอยู่คนเดียว”
นพดลคิดถึงเรื่องเมื่อคืน แววตาเจ้าเล่ห์
ตอนนั้นนพดลกับพเยียกำลังยัดร่างของแม่ชื่นลงไปในถุงดำ
“เดี๋ยวก่อน”
พเยียเอาแหวนเพชรพยายามยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อ ของแม่ชื่น
“อะไรน่ะ พเยีย”
นพดลแย่งคว้ามาดู เห็นเป็นแหวนรูปดาว
“แหวน แหวนเพชรด้วย”
“อย่านะ พี่นพ คราวนี้ฉันไม่ยอมให้พี่ทำอะไรงี่เง่าอีกแล้ว เอาคืนมา”
พเยียจะคว้า นพดลหลบ
“เฮ่ย คราวที่แล้วมันพลาดเพราะของมันใหญ่ แต่แหวนเพชรธรรมดาๆ แบบนี้ รับรองไม่มีปัญหา จะเอาไปทิ้งน้ำทำไม”
พเยียกระชากแหวนคืนมาจนได้ มองนพดลด้วยสายตาแข็งกร้าว พูดกำชับเสียงแข็ง
“มันไม่ใช่แหวนธรรมดา” บอกเสียงเข้มมาก “ฉันพูดจริงนะพี่นพ แหวนวงนี้สำคัญมากที่นังชื่นมันเป็นแบบนี้ก็เพราะมันรู้ว่าฉันมีแหวนวงนี้ พี่ต้องเอาแหวนนี่ทิ้งไป”
นภดลรู้ว่าพเยียพูดจริง “ขนาดนั้นเชียว”
“ใช่ ถ้ายังอยากเกาะกินรีดไถชั้นอยู่ อย่าได้คิดเอาแหวนวงนี้ไปเป็นอันขาดจะต้องไม่มีใครได้เห็นแหวนวงนี้อีกเลย มันจะต้องหายสาปสูญไปจากโลกนี้ พี่เข้าใจไหม”
“เออ เออ”
“สาบานนะพี่ ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ถ้ามีใครเห็นแหวนวงนี้ ฉันซวยแน่”
นภดลดึงตัวเองกลับมา พลางหยิบแหวนออกมาจากกระเป๋ากางเกง พิศดู
“ถ้ามันสำคัญขนาดนั้นจริง จะทิ้งซะทำไม เก็บไว้ มันอาจจะมีประโยชน์เข้าซักวันก็ได้”
นพดลยิ้มย่องสะใจ มองแหวนในมือนิ่งนาน
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 10 (ต่อ)
ด้านชิษณุพงษ์จอดรถที่หน้าตึกวังศิวาลัย ก้าวลงมาพร้อมกับแตง โดยมีศรีออกมาต้อนรับ
“มาพบใครคะ คุณชิษณุพงษ์”
“กอหญ้าอยู่ไหม ศรี” ชิษณุพงษ์ถามทัก
“คุณกอหญ้ามีแขกค่ะ คุยกับคุณอิศรอยู่ในสวน”
แตงได้ที “เค้าไม่ว่าง กลับก่อนไหม คุณณุ”
แตงขยับจะกลับขึ้นรถ ชิษณุพงษ์เอามือคว้าผมหางม้าของแตงเอาไว้ จนแตงหน้าหงาย
“ไม่” ชิษณุพงษ์บอกกับศรี “พาผมไปพบหน่อยซี ศรี ผมมีเรื่องสำคัญ”
ทั้งสี่คนนั่งอยู่ด้วยกันในสวนด้านหลังวัง ชิษณุพงศ์เอารูปถ่ายของกอหญ้าที่ได้จากแม่วันเพ็ญวางลงบนโต๊ะ เป็นรูปถ่ายคู่ระหว่างกอหญ้ากับแม่วันเพ็ญ เป็นรูปเก่าๆ จากหลายๆ วาระ กอหญ้าหยิบมาดูอย่างสนใจ
แตงอธิบายให้กอหญ้าฟัง “ผู้หญิงในรูปนี้คือคุณแม่วันเพ็ญค่ะ คุณแม่อยู่ที่โบสถ์มาหลายปี ก่อนที่โบสถ์จะโดนไล่ที่ สนิทกับคุณแม่ยุพามาก ท่านบอกว่าตอนท่านเจอคุณกอหญ้าครั้งแรก คุณกอหญ้าอายุได้ 4 ขวบแล้ว”
ชิษณุพงษ์ถาม “คุ้นตาบ้างไหม กอหญ้า”
“คุ้น แต่ก็จำอะไรไม่ได้เลย” กอหญ้าถามแตง “แล้วท่านรู้ไหมคะ ว่าฉันเป็นใคร มาจากไหน พ่อแม่เป็นใคร”
“คุณแม่ยุพาเจอเด็กแรกเกิดถูกวางทิ้งไว้ที่กอหญ้าหน้าโบสถ์ค่ะ คุณถึงได้ชื่อกอหญ้า” แตงเล่า
“แล้วฉันลงมากรุงเทพฯ ทำไมคะ” กอหญ้าซัก
“ท่านว่า คุณกับคุณแม่ยุพา จะลงมาหาเงินไปช่วยซื้อที่ให้กับทางโบสถ์ แต่ไม่ได้บอกว่าจะลงมาหาใคร”
ชิษณุพงษ์ช่วยสรุป
“ถ้าจะให้เดา ฉันว่าเธอก็คงจะลงมาหาคุณอาดารานี่แหละ คุณแม่ยุพาอาสาพาพเยียลงมาพบแม่ที่แท้จริงที่วังศิวาลัย แล้วคงจะขอให้คุณอาดาราช่วยเหลือทางโบสถ์เป็นการตอบแทน”
กอหญ้าทำหน้าหมดหวัง
“ไปๆ มาๆ ก็วนอยู่ที่เดิม ไม่มีใครบอกได้เลยเหรอ ว่าฉันเป็นใคร”
ทันใดนั้น อิศรที่นั่งดูรูปภาพของกอหญ้าอยู่เงียบๆ ก็ร้องขึ้น
“นี่ไง”
ทุกคนหันไปสนใจอิศร
กอหญ้าสงสัย “อะไรคะ”
อิศรส่งรูปให้ “ในรูปนี้ เธอใส่แหวนด้วย นี่ไงแหวนของเธอ”
กอหญ้ารับมาดูอย่างตื่นเต้น ในรูปภาพใบหนึ่ง กอหญ้าโอบกอดแม่วันเพ็ญ เห็นมือข้างที่กอดอยู่มีแหวนลงเล็กๆ
กอหญ้าเพ่งมอง “นี่เอง แหวนที่ใครๆ ถามถึง หน้าตาเป็นอย่างนี้เองหรือ”
ชิษณุพงษ์บอกทันที “แหวนรูปดาว...เป็นแหวนที่เธอใส่ติดนิ้วตลอดเวลา ฉันจำได้”
“แหวนของเธอที่หายไปก็ไอ้วงนี้แหละ ฉันดูอยู่ตั้งหลายครั้ง มันก็เป็นแหวนเพชรธรรมดาๆ วงนึง ไม่ได้มีค่ามากมายอะไร แล้วทำไม มันถึงสำคัญขนาดนั้น” อิศรออกความเห็น
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” กอหญ้าเสียใจ “ตอนนี้ แหวนก็หายไป คนที่รู้ว่ามันสำคัญยังไงก็หายไปด้วยเหมือนกัน แย่จริงๆ”
กอหญ้าถอนใจเศร้า อิศรมองอย่างเห็นใจ เอื้อมมือไปบีบมือกอหญ้าอย่างปลอบโยน กอหญ้าน้ำตารื้น ชิษณุพงษ์มองอย่างเศร้าใจก่อนจะเมินหนี แตงมองอาการของชิษณุพงษ์แล้วถอนใจเบาๆ
ในบรรดารูปเก่าเหล่านี้ กอหญ้าใส่สร้อยที่มีล้อกเก็ตด้วยทุกรูป แต่ไม่เห็นตัวล็อกเก็ต เห็นแต่เพียงสร้อยทุกคนจึงไม่สังเกต หรือติดใจ
ไม่นานนักชิษณุพงษ์กับแตงขับรถกลับออกมาจากวังศิวาลัยมาตามถนนสวยๆ ชิษณุพงษ์นิ่งขรึมไป แตงหันมามองชั่งใจ แล้วตัดสินใจถาม
“คุณณุ”
“ฮึ” ชิษณุพงษ์ว่า
“แตงพูดอะไรอย่างได้ไหม
“พูดมา”
“คุณณุเห็นไหม ว่าคุณกอหญ้าเค้าชอบคุณอิศร”
ชิษณุพงษ์ปรายตาเหลือบมองแตง ตอบเสียงน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ
“ฉันว่านายอิศร ชอบทำท่าเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกอหญ้าไปเองมากกว่า”
แตงท้วง “แต่คุณอิศรเป็นคนช่วยชีวิตคุณกอหญ้า”
ชิษณุพงษ์พยายามเถียงเข้าข้างตัวเอง “บุญคุณก็ส่วนบุญคุณ แต่ฉันกับกอหญ้าเป็นเพื่อนกัน กอหญ้าเค้ารักฉัน ห่วงฉัน เหมือนที่ฉันรักแล้วก็เป็นห่วงเค้า เราสองคน เป็นเพื่อนที่รักกันที่สุดในโลก”
แตงแย้งอีก “นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้เค้าก็ลืมมันไปหมดแล้ว”
ชิษณุพงษ์โมโห จอดรถเข้าข้างทางทันที
“คุณณุ ที่แตงเตือน เพราะไม่อยากให้คุณณุเสียใจ”
ชิษณุพงษ์เสียงดุ ไม่มองหน้าแตง “ลงไป”
แตงเสียใจ น้อยใจ “คุณณุ”
ชิษณุพงษ์ไม่มองหน้า “กอหญ้าไม่มีวันลืมฉัน ซักวันเค้าจะจำทุกอย่างได้ แล้วเค้าจะรู้ว่าเราเคยรักกันแค่ไหน”
แตงน้ำตาคลอๆ แล้วเปิดประตู ลงจากรถไปเศร้าๆ
ชิษณุพงษ์มองเห็นน้ำตาของแตง รู้สึกหวั่นไหวด้วยความสงสารนิดหนึ่ง แต่ทำเป็นไม่สนใจ
ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มีผู้คนเดินขวักไขว่ เห็นพเยียแต่งตัวด้วยชุดสีขาวดำ แต่มีหมวกและแว่นพรางตัว ในมือถือถุงกระดาษอยู่หนึ่งใบ
พเยียเดินไปที่แผนกชุดกีฬา ที่ไม่ค่อยมีคน ยืนเลือกๆ ของ แต่แอบมองดูนาฬิกาข้อมือ ท่าทางเหมือนรอใคร
ด้านหลังของพเยีย นพดลสวมแจ๊กเก็ตมีฮู้ด สวมแว่น เดินมาดูเสื้อผ้าในมือมีถุงอยู่หนึ่งใบเหมือนกัน นพดลเดินเลือกเสื้อผ้าไปมา จนมายืนอยู่ตรงข้ามพเยีย ทั้งสองคนก้มหน้าก้มตาเลือกเสื้อผ้า ไม่มองกัน พเยียเอ่ยขึ้นก่อนเบาๆ
“เรียบร้อยไหม”
“เรียบร้อย แล้วแผนต่อไปล่ะ จะลงมือเมื่อไหร่”
“เดี๋ยวก่อน ยังไม่ใช่ตอนนี้”
พเยียเดินเลือกของไปทางอื่น ทำเนียนๆ นพดลก็ตามไปเนียนๆ เช่นกัน
“ไม่ทำตอนนี้แล้วจะทำเมื่อไหร่ ยิ่งนานพี่ยิ่งลำบากนะ พเยีย ไปไหนทำอะไรก็ไม่ได้ ตำรวจแม่งตามพี่จนกระดิกไม่ได้เลย” นพดลบ่นอุบ
“อีกแป๊บนึงได้ไหม พี่ รอให้เรื่องนังชื่นจบไปก่อน เอาไว้เราค่อยนัดกันอีกที” พเยียทำเป็นชนนพดล ถุงในมือหล่น “อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
นภดลแกล้ง “ขอโทษครับ”
นพดลทำทีช่วยเก็บ ทั้งสองสลับถุงกันในตอนนั้น
ขณะเดียวกันแตงเดินคอตกอยู่ตรงทางเดินในห้างหน้าเศร้า พยายามจะส่งแมสเสจทางไลน์ ขอโทษชิษณุพงษ์ อย่างน่าสงสาร
จังหวะหนึ่งแตงพูดกับตัวเองเสียงเศร้า “แตงขอโทษนะ คุณณุ แตงปากไม่ดีเอง”
แตงส่งแมสเสจเสร็จ เงยหน้าขึ้นมา ต้องตกใจ เมื่อเห็นนพดลเดินออกจากร้านกีฬา แม้จะเห็นไม่ชัดมากเพราะพรางตัว แต่ก็คุ้นตา
“เฮ้ย นั่นมัน”
แตงชะงัก เมื่อเห็นพเยียเดินออกมาติดๆ กัน
“คุณพเยีย?”
ทั้งสองเดินแยกไปคนละทาง แตงลังเล ไม่รู้จะเอายังไง ตัดสินใจวิ่งสะกดรอยตามนพดลไปห่างๆ
นพดลเดินอย่างระมัดระวัง แล้วเหลือบไปเห็นเงาของแตงในกระจกเงาสะท้อน นพดลเร่งฝีเท้าเมื่อรู้ว่าถูกตาม แตงสะกดรอยกระชั้นชิด พลางโทรหาตำรวจไปด้วย
“ฮัลโหล ฉันจะแจ้งเบาะแสคนร้ายค่ะ ชื่อนายนพดล ฉายสำอาง...ตอนนี้เค้าอยู่ที่ห้าง..ค่ะ”
แตงบอกชื่อห้าง แล้วเงยหน้าขึ้นมา เห็นนพดลไปทางบันไดหนีไฟ แตงตามติด
ครู่ต่อมาแตงเปิดประตูทางไปบันไดหนีไฟ แล้วเดินลงบันไดตามไป ปรากฏว่านพดลหายไปแล้ว
“อ้าว...ไปไหนล่ะ”
แตงหันคว้าง ทันใดนั้น ประตูก็เปิดผางออกมา นพดลผลักโครม แตงร่วงลงไปตามขั้นบันได หมดสติ กองกับพื้น นพดลเดินหนีหายไป
ตรงทางเดินในห้าง มุมหนึ่ง พเยียยืนมองตำรวจใช้เปลสนามหามจนร่างหมดสติของแตงออกไป คนมุงดูซุบซิบกันตามสมควร
พเยียยิ้ม แล้วเดินจากไป ระหว่างทาง พเยียหยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ขึ้นมากดโทรออก
นพดลอยู่ในรถแท็กซี่ หยิบโทรศัพท์จากถุงขึ้นมารับสาย
“ฮัลโหล”
พเยียเดินคุยไปเรื่อยๆ ไม่อยู่กับที่ สลับกับนพดลในรถ
“ฉันเอง ต่อจากนี้ไป พี่ติดต่อฉันที่เบอร์นี้นะ แล้วโทรศัพท์เก่าของพี่ ตอนนี้ห้ามใช้เด็ดขาด ตำรวจเค้าตามอยู่”
“รู้แล้วน่ะ ของเก่าโยนทิ้งไปตั้งนานแล้ว ...แล้วเบอร์ใหม่นี่ของใครเนี่ย”
“จดเป็นชื่อฉันเอง รับรองปลอดภัย พี่ไม่ต้องห่วง แต่อย่าเที่ยวแรดใช้โทร.ไปหาใครต่อใครล่ะ ฉันขี้เกียจมีเรื่อง”
“พูดมาก ห่วงตัวเองเถอะ ของที่ให้ไปน่ะ หายากนะ อย่าทำหายล่ะ”
พเยียปรายตาดูถุงในมือ “ใช้ได้ผลแน่นะ พี่”
“ล้านเปอร์เซ็นต์”
“ไอ้แก่นภัสรพีมันไม่ปล่อยฉันเอาไว้นานหรอก เสร็จงานศพแล้วมันเล่นงานฉันแน่ แต่ฉันจะเล่นมันก่อน ไม่ให้มันทันรู้ตัว”
“ดี พอท่านตาท่านยายตายกันหมด คุณหนูพเยียจะได้เป็นเจ้าของมรดกหมื่นล้านซะที พี่จะได้พลอยสบายไปด้วย”
พเยียยิ้มพราย มองถุงกระดาษอย่างหมายมั่น สาสมใจ
คืนนั้นนภัสรพีแต่งตัวชุดไว้ทุกข์กลับมาจากงานศพ เข้ามาที่โต๊ะทำงาน ตรวจดูจดหมายและเอกสารสำคัญต่างๆ ที่วางไว้ที่โต๊ะ ศรีเข้ามาพร้อมจดหมายซองนึง
“คุณชายคะ มีจดหมายถึงคุณชายค่ะ”
นภัสรพีรับมาดู เป็นซองจ่าหน้า หม่อมราชวงศ์นภัสรพี ศิวาวงศ์ เท่านั้น ไม่มีที่อยู่ ไม่ติดแสตมป์
“ของใคร มาได้ยังไง”
“ทองมาบอกว่าตอนกลับมาจากวัด ก็เห็นจดหมายนี่เสียบไว้ที่ตู้จดหมายค่ะ”
“ไหนดูซิ ของใครกัน”
นภัสรพีจะเปิดซอง แล้วหามีดเปิดซองไม่เจอจึงบ่น
“นี่มีดเปิดจดหมายของฉันไปไหน ทุกทีก็วางอยู่ตรงนี้”
ศรีบอก “ไม่ทราบค่ะ”
“ไม่มีชื่นซะคน บ้านก็วุ่นวายไปหมด” นภัสรพีหงุดหงิด “ปกติฉันวางไว้ตรงนี้ เพราะต้องใช้ประจำ แล้วนี่ใครเอาไปไว้ไหน” ศรีทำหน้าเหลอหลา นภัสรพีโบกมือไล่ “เอาเถอะๆ ไม่รู้ก็ไม่รู้ จะไปไหนก็ไป ไป”
ศรีหน้าจ๋อยๆ ออกไป นภัสรพีใช้กรรไกรตัดซอง ข้างในเป็นจดหมายที่เขียนด้วยหมึกดำบนกระดาษขาวเรียบๆ ธรรมดา นภัสรพีเปิดออกอ่าน
“กราบเท้า คุณชาย ที่เคารพ...”
นภัสรพีกวาดตามองอย่างรวดเร็ว แล้วผงะ ตกใจ คาดไม่ถึง
“ชื่น... จดหมายจากชื่นหรือนี่”
นภัสรพีรีบอ่านอย่างรวดเร็ว
กอหญ้าอยู่ในชุดนอน มีเสื้อคลุมเรียบร้อย ประคองถาดใส่ชุดน้ำชาเดินมาที่ระเบียง
นภสัรพีนั่งใช้ความคิดอยู่ได้ยินเสียง หันไปมอง
“หนูเองหรือ กอหญ้า มีอะไรหรือเปล่า”
กอหญ้าเอาชาเข้ามาเสิร์ฟ
“หนูเห็นท่านชอบดื่มชาร้อนก่อนนอน หนูเลยชงมาให้ค่ะ”
นภัสรพีเศร้าไป “ปกติมันเป็นหน้าที่ของชื่นเขา เขาภูมิใจนักหนา ถ้าเขายังอยู่รับรองไม่ยอมให้ใครทำแทน”
กอหญ้าถามขึ้น “ตำรวจได้ข่าวแม่ชื่นบ้างหรือยังคะ”
“ยัง แต่วันนี้ฉันเพิ่งได้รับจดหมาย ลงชื่อว่าเป็นจดหมายของชื่น”
กอหญ้ามีท่าทีตื่นเต้น “เขียนมาว่ายังไงบ้างคะ”
“เขาเขียนมาลา บอกว่ามีความจำเป็นต้องไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด ขอโทษที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า”
กอหญ้าแปลกใจ “เท่านั้นหรือคะ แม่ชื่นไม่ได้พูดหรือฝากฝังอะไรถึงใครเป็นพิเศษเลยหรือคะ”
นภัสรพีบอก “ไม่มี”
“แปลกจังค่ะ”
“ใช่ เพราะก่อนที่ชื่นเค้าจะหายไป เขามีเรื่องสำคัญจะบอกฉัน ฉันถึงไม่เชื่อว่าชื่นจะไปทำธุระที่ต่างจังหวัดจริงๆ อย่างที่จดหมายว่า”
นภัสรพีถอนใจหนักหน่วง กอหญ้ายิ้มปลอบ รินชาใส่ถ้วยส่งให้
“ดื่มชาก่อนเถอะค่ะ ท่าน สมองโล่งแล้วอาจจะคิดอะไรออกมากขึ้น ความลับไม่มีในโลก ทุกคำถามต้องมีคำตอบ ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง”
นภัสรพีรับชามาจิบมองกอหญ้าอย่างเอ็นดู
ห่างออกไปในความมืด พเยียแอบดูกอหญ้ากับนภัสรพี ตาจับจ้องไปที่กาน้ำชา ผุดยิ้มร้ายออกมาในแววตาเหี้ยมโหด
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 10 (ต่อ)
คืนนั้นตรงบริเวณหน้าบ้าน สาวใช้บ้านชิษณุพงษ์เดินวนเวียน ชะเง้อชะแง้ เหมือนกำลังรอใคร ส่วนในห้องรับแขก เจ้าแสงโชติกับเจ้ามลุลีนั่งอยู่ทั้งสองคน หน้าตาเป็นห่วง
“ลองโทร.หาแตงดูอีกทีซิ คุณ”
“โทร.ไปหลายทีแล้วค่ะ เจ้าพี่ ยังปิดเครื่องอยู่เลย”
“นี่มันห้าทุ่มแล้ว ไปไหนของเค้านะ”
เจ้ามลุลีหันไปถามชิษณุพงษ์ที่นั่งเงียบอยู่
“ตอนที่แยกกัน แตงเค้าไม่ได้บอกลูกเหรอ ว่าเค้าจะไปไหน”
ชิษณุพงษ์รู้สึกผิด “เปล่าครับ”
เจ้ามลุลีตำหนิผู้เป็นลูกชาย “ลูกก็น่าจะถาม รู้ก็รู้อยู่ ว่าแตงไม่ค่อยได้ลงมากรุงเทพฯ หลงทางกลับบ้านไม่ถูกรึเปล่าก็ไม่รู้”
ชิษณุพงษ์นิ่งยอมรับผิด เจ้ามลุลียังต่อว่าชิษณุพงษ์
“ลูกเป็นคนชวนแตงออกไปแท้ๆ ถ้าไม่กลับด้วยกัน ก็น่าจะถามเค้าซักคำว่าเค้าจะไปไหน”
ชิษณุพงษ์ทนเงียบไม่ไหว สารภาพออกมา “แตงไม่ได้จะไปไหนหรอกครับ แม่ ผมไล่แตงลงจากรถไปเอง”
“อะไรนะ”เจ้าแสงโชติงง “ลูกไล่แตงลงจากรถ”
“เราทะเลาะกันน่ะครับ แตงทำให้ผมโมโห ผมเลย...” ชิษณุพงษ์ไหว้ของโทษทุกคน “ผมขอโทษจริงๆ ครับ คุณพ่อคุณแม่ ผมลืมตัวไป ผมไม่คิดว่าแตงจะ หลงทาง”
หน้าตาชิษณุพงษ์รู้สึกผิดมาก เจ้าแสงโชติเปรยขึ้นมาอย่างกังวล
“แตงไม่ใช่เด็กโง่ พ่อไม่เชื่อว่าเค้าจะหลงทางกลับบ้านไม่ถูก ลองปิดมือถือเงียบหายไปแบบนี้ มันคงไม่ใช่แค่หลงทางหรอก”
ระหว่างนั้นยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน สาวใช้คนหนึ่งวิ่งมาบอก
“เจ้าคะ แตงกลับมาแล้วค่ะ”
ชิษณุพงษ์ลุกขึ้นก่อนใคร วิ่งพรวดพราดไปหน้าบ้านด้วยความดีใจ ลุงเติมและคนอื่นๆ ตามไป
ที่หน้าบ้าน แตงหน้าซีด มีผ้าพันแผลที่หัวกำลังลงจากรถตำรวจ
ชิษณุพงษ์ชะงัก แปลกใจ “แตง”
แตงหันไปไหว้ลาตำรวจ “ขอบคุณมากนะคะ ที่มาส่งหนู”
“ขอบใจหนูด้วย ที่มีแก่ใจช่วยเหลือทางราชการ” ตำรวจบอกลาทุกคน “ผมไปก่อนนะครับ ลาละครับ”
ตำรวจคนนั้นขึ้นรถ แล้วรถขับแล่นออกไป เจ้ามลุลีปราดเข้าไปหา
“แตง ไปไหนมา ทุกคนห่วงแตงมากรู้ไหม” เจ้าจับเนื้อจับตัว ถามรัวเร็ว “แล้วที่หัวนี่เป็นอะไร แล้วไปยังไงมายังไง กลับบ้านมาป่านนี้ แล้วทำไมมีตำรวจมาด้วย”
แตงยิ้มจ๋อยๆ “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เจ้า แตงแค่ตกบันไดเท่านั้นเอง”
ชิษณุพงษ์ เจ้าแสงโชติ เจ้ามลุลี มองแตงอย่างสงสัย
ทุกคนอยู่ที่ห้องรับแขก แตงเล่าให้ฟังว่าเจอนพดล และโดนทำร้ายจนสลบไป
“แตงฟื้นมาก็มัวแต่งง ลืมโทรมาบอกที่บ้าน” แตงยกมือไหว้ทุกคน “ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ ที่ทำให้เป็นห่วง”
เจ้าแสงโชติพูดอย่างมีเมตตา “ไม่เป็นอะไร กลับมาบ้านได้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องขอโทษขอโพยอะไรหรอก”
แตงมองชิษณุพงษ์ที่นิ่งอยู่ พูดเสียงอ่อย เป็นเชิงพ้อ
“แตงเซ่อซ่าให้มันรู้ตัวก่อน เลยเจ็บตัวฟรี แถมไอ้คนร้ายยังหนีไปได้”
ชิษณุพงษ์สงสาร “ไม่เป็นไรหรอก แตง วันหน้ายังมี ลองมันยังวนเวียนอยู่แบบนี้ เราต้องจับมันจนได้ซักวัน”
เจ้ามลุลีลุกขึ้นพูดอย่างเหลืออด
“วันหน้าวันหลังอะไรอีก! ไม่เอาแล้ว! วันนี้มันแค่ผลักแตงตกบันได แต่ถ้าคราวหน้า มันยิง มันฆ่าเอาแล้วลูกจะว่ายังไง” พลางหันไปบอกแสงโชติ “น้องไม่ยอมแล้วนะคะ เจ้าพี่ ทั้งแตง ทั้งชิษณุพงษ์จะต้องเลิกยุ่งกับเรื่องนี้”
ชิษณุพงษ์ใจแป้ว รีบท้วง “ไม่นะครับ”
เจ้าแสงโชติเห็นงามด้วย “พ่อเห็นด้วยกับแม่เค้า มันอันตรายเกินไปแล้ว พ่อขอสั่งห้ามไม่ให้ลูกไปวุ่นวายกับเค้าอีก”
ชิษณุพงษ์รีบบอก “แต่ว่ากอหญ้า...”
เจ้ามลุลีขัดขึ้นทันควัน “กอหญ้าเค้าไม่ได้เป็นอะไรกับเรา แต่ลูกเป็นลูกของแม่ แตงก็เป็นหลานของลุงเติม เป็นคนที่แม่กับเจ้าพ่อต้องดูแลคุ้มครองให้ปลอดภัย”
ชิษณุพงษ์หน้าบูดบึ้ง
เจ้าแสงโชติดูออก “เชื่อแม่เค้าเถอะลูก เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน เราก็จะไปอเมริกากันแล้ว ลูกอยู่เฉยๆ เตรียมตัวให้พร้อมดีกว่า”
“อย่าไปยุ่งกับเค้าเลยนะ ลูก แม่ขอ…ถ้าลูกยังเห็นว่าแม่เป็นแม่” เจ้ามลุลียื่นคำขาด
ชิษณุพงษ์เห็นเจ้ามลุลีเอาจริง ตัดสินใจ ลุกขึ้นยืนพูดอย่างแน่วแน่
“ตกลงครับ เดือนหน้า ผมจะกลับไปเรียนต่อ” ทุกคนโล่ง คลายกังวลใจ “แต่คุณพ่อคุณแม่ครับ ระหว่างที่ผมยังอยู่ที่นี่ ผมรับปากกอหญ้าเอาไว้แล้วว่า ผมจะช่วยเค้าให้ถึงที่สุด ผมก็จะทำตามนั้น”
เจ้าแสงโชติจะพูด ชิษณุพงษ์ตัดบท
“ผมรับปาก จะไม่ให้แตงต้องเจ็บตัวอีกแล้ว” บอกกับเจ้ามลุลี “ผมจะช่วยเพื่อนผมด้วยตัวผมเอง” แล้วหันมาทางแตง “ส่วนเธอ จากนี้ไป ไม่ว่าฉันจะทำอะไร เธอไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
ชิษณุพงษ์พูดเสร็จก็เดินฉับๆ ออกไป แตงหน้าจ๋อย ทำตาปริบๆ เจ้ามลุลีกับเจ้าแสงโชติกลุ้มใจในความดื้อของลูกชาย
ในยามเช้าวันต่อมา กอหญ้าเดินผ่านห้องสมุดเห็นประตูเปิดอยู่ มองเข้าไปเห็นศรีก้มๆ เงยๆ หาอะไรอยู่ หน้ายุ่ง กอหญ้าเดินเข้าไปหาศรี
“หาอะไรเหรอคะ”
“ศรีหามีดเปิดจดหมายของคุณชายน่ะค่ะ ปกติก็อยู่บนโต๊ะทำงานนี่ อยู่ดีๆ หายไปไหนก็ไม่รู้”
“คงจะตกอยู่ในห้องนี่แหละค่ะ เดี๋ยวฉันช่วยหานะคะ”
กอหญ้าเปิดไฟสว่างทุกด้วง แล้วนั่งลง ก้มๆ เงยๆ ช่วยศรีหามีดเปิดจดหมาย กอหญ้า เห็นอะไรแว้บๆ สะท้อนแสงอยู่ที่ซอกระหว่างโซฟาสุดมุมห้องกับโต๊ะข้าง รีบพุ่งเข้าไป
กอหญ้าออกอาการดีใจ “โน่นไงคะ เจอแล้ว”
กอหญ้าปราดเข้าไป หยิบออกมาชูให้ศรีดู
“อันนี้ใช่ไหมคะ”
ศรีดีใจ “ใช่ค่ะ ขอบคุณนะคะ คุณกอหญ้า ถ้าศรีหาไม่เจอล่ะก็ คุณชายบ่นแย่เลย”
ศรีเดินเอาไปวางบนโต๊ะทำงาน บ่นไปด้วยอย่างแปลกใจ
“ความจริงไม่น่ากระเด็นไปไกลถึงโน่น ใครต้องมาวุ่นวายในห้องแน่ๆ”
กอหญ้ายิ้ม ขยับจะลุกขึ้น แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อสายตาไปสะดุดกับรอบคราบเลือดสีแดงเข้มดวงเล็กๆ ที่ผ้าปูโต๊ะข้าง
“เอ๊ะ”
“อะไรคะ”
กอหญ้าไม่อยากให้เรื่องอื้อฉาววุ่นวาย รีบกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“งั้นศรีไปก่อนนะคะ”
จนศรีออกจากห้องลับตัวไป กอหญ้ารีบวิ่งไปปิดห้อง ล็อกประตู แล้วเข้ามาดึงชายผ้าปูโต๊ะออกมาดูอย่างละเอียด
“รอยอะไร เหมือนรอยเลือด”
กอหญ้ามองไปรอบๆ ตัวหาร่องรอยความผิดปกติ เห็นรอยถลอกที่ขาเก้าอี้ ที่โดนขาตั้งโคมไฟตอนพเยียทำร้ายแม่ชื่น กอหญ้ามองเรื่อยไป จนไปหยุดอยู่ที่ขาตั้งโคมไฟที่มีรอยบิ่น
กอหญ้ามองต่อไปเห็นรอยเลือดหยดเล็กๆ อีกหยดที่พรม กอหญ้าก้มลงมองให้ชัดๆ แล้วตัดสินใจดึงผ้าปูโต๊ะออกมา พับม้วนๆ ซ่อนในเสื้อ แล้วรีบเดินออกไปจากห้อง
กอหญ้าเดินออกมา แล้วหยิบมือถือมากดโทรหาอิศร
“ฮัลโหล คุณอิศรเหรอคะ ฉันมีเรื่องจะปรึกษาหน่อยค่ะ”
ไม่นานหลังจากนั้น สามคนอยู่ที่ร้านกาแฟเล็ก ในโรงพยาบาล อิศรนั่งอยู่ข้าง กอหญ้า และวางผ้าลงตรงหน้าหมอวิชาญ
“รอยเลือดใช่ไหม ไอ้หมอ”
หมอวิชาญหยิบผ้าปูโต๊ะมาพิจารณารอยเปื้อนอย่างตั้งใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองอิศรกับกอหญ้า
“ใช่ รอยเลือดแน่ๆ”
อิศรถามอย่างใจร้อน “เลือดอะไร”
หมอวิชาญขำเพื่อนจอมเกรียน “เลือดบรรพบุรุษแกล่ะมั้ง ไอ้นี่ ถามมาได้ ให้ดูแค่นี้ ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ว่ามันเป็นเลือดหมาเลือดแมวที่ไหน”
“แล้วเรามีทางจะรู้ได้ไหมคะ ว่าเป็นเลือดคนหรือเปล่า”
หมอวิชาญตอบอย่างสุภาพ “ต้องส่งไปให้ห้องแล็บตรวจครับ ผมจัดการให้ก็ได้ แป๊บเดียวรู้เรื่อง”
อิศรหมั่นไส้ “ทีกับผู้หญิงล่ะพูดเพราะ”
หมอวิชาญสวนกลับ “ดีมาก็ดีไปโว้ย” แล้วหันมาทางกอหญ้า “แต่ถ้าจะให้เอาไปตรวจ ก็บอกอะไรไม่ได้มากนักนะครับ เพราะไม่ใช่เลือดใหม่ๆ”
กอหญ้านึกได้ “คุณหมอพอจะประมาณได้ไหมคะ ว่ารอยเลือดบนผ้านี่เก่าซักแค่ไหน”
หมอวิชาญมองผ้าอีกที เงยหน้าขึ้นบอก
“รอยเลือดเก่า แต่ไม่ได้เก่ามาก น่าจะซัก 2 วันมาแล้วครับ”
อิศรกับกอหญ้ามองหน้ากัน กอหญ้ายิ่งสังหรณ์ใจ
“สองวัน” กอหญ้ามองหน้าอิศร “เท่ากับที่แม่ชื่นหายไป”
อิศรตัดสินใจ “หมอ แกส่งไปตรวจเลย ขอรู้ผลด่วนที่สุดนะ ฉันอยากรู้ทุกอย่างเท่าที่แกจะบอกได้ เกี่ยวกับรอยเลือดนี่”
หมอวิชาญมองกอหญ้ากับอิศรสลับไปมาอย่างสงสัย
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอวะ อิศร แกสองคนทำอย่างกับเป็นเจ้าหน้าที่ซีเอสไอ”
“ฉันสงสัยว่านี่จะเป็นรอยเลือดของใครบางคนน่ะค่ะ ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้มันเป็นอย่างที่ฉันคิดเลย”
สีหน้ากอหญ้าหวั่นใจมาก
ส่วนพเยียอยู่ที่ห้องนอน กำลังไขกุญแจเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบเอาถุงที่ได้จากนภดลออกมา พเยียเปิดถุง หยิบขวดยาขนาดเหมาะมือขึ้นมา ที่ข้างขวดมีฉลากภาษาอังกฤษติดว่า KCN ซึ่งเป็นชื่อย่อของสารโปแตสเซียม ไซยาไนด์
พเยียหยิบพิจารณาดู แล้วหยิบโทรศัพท์ใหม่มากดหานพดล
“พี่นพ ฉันเอง”
นภดลอยู่ที่บ้านเช่า คุยโทรศัพท์กับพเยีย แต่งตัวสบายๆ อยู่บ้าน
“ว่าไง คนสวย ได้ฤกษ์ลงมือหรือยัง”
พเยียมองที่ขวดยา
“ภายในวันสองวันนี้แหละ ว่าแต่ว่าไอ้ยานี่ เอาละลายน้ำ ให้กินเข้าไปแล้วตายแน่นะ”
“ชัวร์ ช้อนเดียวอยู่ ไม่ต้องซ้ำ”
“นานแค่ไหน กว่าจะตาย”
“ไม่เกินชั่วโมง”
“แล้วอาการมันจะเป็นยังไง ถ้ามันตายแล้ว จะไม่มีใครสงสัยมาถึงฉันแน่นะ” พเยียกังวล
“เฮ้ย ไม่หรอกน่ะ คนที่กินเข้าไปมันจะทุรนทุราย หายใจไม่ออก เหมือนหัวใจวายตายไปเอง” นพดลบอก
“ดี หมดไอ้แก่นี่ไปซะ ก็จะไม่มีใครมาเป็นก้างขวางคอฉันอีกแล้ว”
พเยียมองที่ขวดยาอย่างมุ่งร้าย
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตู พเยียสะดุ้ง รีบซ่อนขวดยา เสียงนภดาราดังเข้ามา
“พเยีย พเยียจ๋า”
พเยียล็อกลิ้นชักเรียบร้อย วิ่งไปเปิดประตู
“ขา คุณแม่”
“คุณตาโทร.มา สั่งให้ทุกคนไปรอท่านที่ห้องสมุดจ้ะ”
“มีอะไรเหรอคะ”
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ แต่ฟังจากน้ำเสียง น่าจะเป็นเรื่องสำคัญ”
พเยียอยากรู้ขึ้นมาทันที
รถนภัสรพีแล่นเข้ามาจอดหน้าตึก นภัสรพีเดินลงมาพร้อมกอหญ้า คนขับรถขับรถออกไป แต่นภัสรพีไม่เข้าบ้าน ยืนรออยู่ตรงนั้น
รถตำรวจเคลื่อนตัวเข้ามาจอดตรงหน้า ตำรวจหนุ่มท่าทางกระฉับกระเฉง 2 นาย เป็นตำรวจสืบสวน ก้าวลงมาจากรถ ทำความเคารพ
“สวัสดีครับ คุณชาย”
“สวัสดีครับ ผู้หมวด เชิญข้างในเลย”
นภัสรพีเดินนำตำรวจเข้าไป กอหญ้าเดินตามไปอย่างเคร่งขรึม
นภัสรพีเดินเข้ามาในห้องโถง พอดีกับที่นภดาราและพเยียเดินลงมา
นภดาราเห็นตำรวจ ก็แปลกใจ “มีอะไรอีกหรือคะ คุณพ่อ ตำรวจมาที่นี่ทำไม”
“พ่อเชิญมาเอง มีอะไรบางอย่างที่พ่ออยากให้เค้าตรวจดู”
“อะไรคะ คุณตา” พเยียรีบถาม อยากรู้มาก
นภัสรพีมองพเยียยิ้มๆ “อยากรู้เหรอ อยากรู้ก็ตามมาดูซี” แล้วหันไปทางกอหญ้า “หนูกอหญ้าเชิญผู้หมวดไปที่ห้องสมุดเลย”
“ค่ะ” กอหญ้าหันไปพูดกับตำรวจ “เชิญทางนี้ค่ะ”
กอหญ้านำตำรวจไป คนอื่นๆ ตาม
พเยียยืนตัวแข็งทื่อ อึ้ง
“ห้องสมุด”
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 10 (ต่อ)
นภัสรพีและกอหญ้าเดินนำตำรวจเข้าไปในห้องสมุด
“หนูกอหญ้าพบรอยเลือดบนผ้าปูโต๊ะในห้องนี้ แล้วก็ยังมีร่องรอยความผิดปกติอีกหลายอย่าง ผมก็เลยอยากให้คุณตำรวจช่วยตรวจสอบดู” นภัสรพีอธิบายกับตำรวจ
“ได้ครับ ขออนุญาตนะครับ”
ตำรวจกำลังจะแยกย้ายกันตรวจค้นห้องสมุด นภดารา พเยียหยุดยืนสังเกตการณ์อยู่ที่หน้าประตู กอหญ้าถอยออกมายืนข้างๆ นภดารา
“รอยเลือด! รอยเลือดอะไรกันจ๊ะ กอหญ้า” นภดาราสงสัย
กอหญ้าตอบ แต่แอบมองหน้าพเยีย “รอยเลือดคนนี่แหละค่ะ เป็นรอยเลือดใหม่เมื่อสองวันก่อนนี่เอง หนูพบมันติดอยู่ที่ผ้าปูโต๊ะ”
พเยียหน้าซีด หายใจไม่ทั่วท้อง
ตำรวจทั้งสองถ่ายรูปเก็บร่องรอยต่างๆ และตัดเอารอยเลือดที่ติดบนพรมใส่ถุงไป ผู้หมวดที่เป็นหัวหน้าหันมาบอกนภัสรพี
“อย่างที่คุณชายสันนิษฐานเอาไว้ไม่ผิดเลยครับ เมื่อสองวันก่อน น่าจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นในห้องนี้”
นภดาราปราดเข้าไปหานภัสรพี “คุณพ่อคิดว่า...”
นภัสรพีหันมาบอก สีหน้าขรึม “พ่อให้คนสอบถามไปที่ญาติของชื่นทุกคนที่พอจะรู้จักชื่นไม่ได้ไปหาใครทั้งนั้น จดหมายที่พ่อได้รับ ก็ไม่ใช่จดหมายของชื่น”
นภดาราตะลึง งุนงง พเยียเครียด หน้าซีดเผือด
นภดาราหวาดหวั่น “สองวันก่อน พอดีกับที่แม่ชื่นหายไป”
“คืนที่แม่ชื่นหายไป คืนนั้น แม่ชื่นอาจจะเข้ามาที่ห้องนี้ แล้วอาจจะมีใครทำร้ายแม่ชื่น”
กอหญ้าหันมองพเยียเหมือนตั้งใจ แต่ก็เหมือนไม่ตั้งใจ พเยียใจหล่นวูบ
ไม่นานต่อมาทุกคนนั่งที่โซฟาชุดใหญ่ ร่วมกันให้การกับตำรวจ เริ่มที่นภดารา
“ในคืนที่แม่ชื่นหายไป ทุกคนอยู่ที่วัดค่ะ เรามีงานสวดศพคุณอาหญิงของดิฉัน”
ตามมาด้วยกอหญ้า “กับคุณอาดาราก็ไปเยี่ยมหนูที่นั่น แล้วรับหนูกลับบ้าน”
นภัสรพีเอ่ยขึ้น “คนรับใช้คนอื่นๆ นั่งรถตามกลับมาทีหลัง เพราะต้องช่วยกันเก็บของ แต่ศรี สาวใช้คนหนึ่งของเราบอกว่า ชื่นออกมาจากวัดหลังจากที่พวกเราออกไปเยี่ยมกอหญ้า”
“เท่ากับว่าไม่มีใครรู้เห็นเลย ว่านางชื่นกลับเข้ามาที่วังศิวาลัยหรือเปล่า” ตำรวจเอ่ยขึ้น
กอหญ้าหันมองมาที่พเยียและโพล่งขึ้น
“แล้วคุณพเยียล่ะคะ เห็นอะไรบ้างไหม”
พเยียสะดุ้งตกใจ “ฉันไม่เห็น”
นภดาราไม่ได้สงสัยพเยีย แต่อยากช่วยสืบเรื่องแม่ชื่นมาก “ลองนึกดีๆ สิลูก หนูเป็นคนแรกที่กลับมาถึงบ้านคืนนั้น ลองนึกดีๆ สิ ว่าหนูเห็น หรือได้ยินอะไรไหม”
“ไม่ค่ะ คุณแม่” พเยียบอกกับตำรวจ “คืนนั้นฉันปวดหัว เลยของกลับบ้านก่อน กลับมาก็กินยาแก้ปวด แล้วก็ยานอนหลับไปตั้งสองเม็ด มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเช้าเลยค่ะ”
นภัสรพีย้อนถาม “งั้นหรือ”
“ค่ะ คุณพ่อ ตอนลูกขึ้นไปหาพเยียที่ห้อง พเยียงัวเงียขึ้นมาพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วก็ผล็อยหลับไป”
นภัสรพีหันไปสบตากอหญ้าอย่างไม่ตั้งใจ กอหญ้าถอนใจเบาๆ
“จริงค่ะ คุณพเยียทานยานอนหลับไปจริงๆ คืนนั้น”
“ช่างบังเอิญจริงๆ” นภัสรพีฝืนยิ้มให้ตำรวจ “คนเดียวที่อยู่ในบ้านคืนนั้น ก็กินยานอนหลับจนหมดสติไปเสียได้ น่าเสียดาย”
นภัสรพีถอนใจยาว พเยียหวาดหวั่น
พเยียเดินตัวลีบมาตามทางเดิน จะกลับเข้าห้อง กอหญ้าเดินตามมา
“คุณพเยียคะ”
พเยียชะงัก ไม่เต็มใจพูดด้วย “มีอะไร”
กอหญ้าเดินเข้ามามองหน้าพเยีย พูดเหมือนชวนคุย “เป็นไปได้ไหมคะ ว่าแม่ชื่นจะโดนคนร้ายฆ่าตาย”
“ยังไม่มีใครรู้ว่าแม่ชื่นอยู่ไหน เป็นหรือตาย เธอไม่รู้ ก็อย่าเดามั่ว”
กอหญ้ากระซิบ ทำท่าลึกลับ “คุณพเยียเชื่อเรื่องวิญญาณไหมคะ”
“วิญญาณอะไร”
กอหญ้าพูดจริงจัง “วิญญานของคุณหญิงนภา วิญญานของแม่ชื่นไงคะ วิญญานของท่านทั้งสอง ยังคงวนเวียนอยู่ด้วยความแค้น” กอหญ้าสำทับด้วยการมองไปรอบๆ ตัวพเยีย “ในวังศิวาลัยแห่งนี้”
พเยียแหวใส่ “เธอจะบ้าไปแล้วหรือไง กอหญ้า”
กอหญ้าเข้ามาจับแขนพเยียไว้ จ้องตา
“คุณหญิงท่านมาเข้าฝันฉัน ในฝัน” หันไปหยิบรูปนภาจรีที่วางอยู่บนตู้เตี้ยริมผนังมายัดใส่มือพเยีย “ท่านใส่ชุดนี้เลยค่ะ ในฝัน ท่านจูงมือฉันไปดูรอยเลือดที่อยู่ในห้องสมุด”
พเยียผวา ชักกลัว “ไม่จริง”
“จริงค่ะ แล้วท่านก็บอกว่า คนที่ฆ่าท่าน ฆ่าแม่ชื่น กำลังจะพบกับจุดจบเร็วๆ นี้”
พเยียสะดุ้ง รูปนภาจรีตกลงพื้น กอหญ้ามองพเยีย พูดยิ้มๆ
“คุณหญิงบอกฉันด้วย ว่าใครเป็นคนสั่งฆ่าท่าน คุณพเยียอยากรู้ไหมคะ ว่าท่านบอกฉันว่ายังไง”
พเยียหน้าซีดเผือด ไม่พูดไม่จา สะบัดแขนจากมือกอหญ้า เดินหนีเข้าห้องไป ปิดประตูดังปัง
กอหญ้าลอบยิ้ม แววตาสาสมใจ
บรรยากาศงานศพนภาจรี ในคืนสุดท้าย ทุกคนอยู่ในศาลาตามสมควร ไม่มากนัก ห่างออกมาที่ด้านล่าง อิศรหลบมาคุยกับกอหญ้า พูดกันเสียงต่ำๆ เหมือนกลัวคนอื่นได้ยิน
อิศรทั้งขำทั้งโมโหกอหญ้า
“ฉันไม่รู้ว่าเธอฉลาดหรือโง่ แต่ที่แน่ๆ เธอบ้า” พูดแล้วก็อดขำไม่ได้อีก “คุณหญิงนภามาเข้าฝัน ให้ตายเหอะ กอหญ้า คิดได้ไงน่ะ”
กอหญ้ายิ้ม ขำตัวเองเหมือนกัน แต่พูดจริงจัง
“ฉันอยากให้เค้ากลัว เวลาที่คนเรากลัวมากๆ จะขาดสติ แล้วคนที่ขาดสติ ก็มักจะทำอะไรผิดพลาด”
“ให้เขากลัว แล้วอยากฆ่าเธอปิดปากเนี่ยนะ มันเสี่ยงไปหน่อยไหม กอหญ้า”
“ฉันยอมเสี่ยงค่ะ ฉันเชื่อว่าคุณพเยียอยู่เบื้องหลังเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้น แต่ฉันไม่มีหลักฐาน แต่ถ้าเค้าลงมือกับฉัน แล้วเค้าทำพลาด ฉันก็จะมีหลักฐานจับเค้าได้”
อิศรนึกห่วง “แล้วถ้าเค้าไม่พลาดล่ะ”
กอหญ้าพูดติดตลกอย่างขำๆ ไม่กลัว “ถ้าเค้าไม่พลาด ฉันเก๊าะตาย”
อิศรโวย หน้าบูดบึ้ง “อย่าพูดเล่นไปนะ กอหญ้า เธอเป็นของฉัน เธอจะตายไม่ได้”
กอหญ้าฟังแล้วขำคำพูดโกงๆ แบบเด็กๆ ของอิศร แต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจ อิศรจับมือกอหญ้ากุมไว้ พูดจริงจัง
“ฉันช่วยเธอวันที่รถคว่ำ ที่เธอถูกตีหัวแล้วทิ้งให้ตายอยู่ข้างทาง ฉันช่วยเธอวันที่ไอ้นพดลมันจะจับตัวเธอไปฆ่าฉันช่วยเธอมาขนาดนี้ เธอต้องอยู่กับฉันไปจนแก่ จนฉันเป็นตาแล้วเธอเป็นยาย เธอจะตายจากฉันไปไม่ได้ ฉันไม่ยอมเข้าใจไหม”
อิศรมองอย่างหวงแหน กอหญ้ายิ้มรับ ตาสุกใส
ห่างออกไปพเยียยืนมองอิศรกับกอหญ้า สีหน้ากังวลอย่างหนัก
“นังกอหญ้ามันพูดจริงหรือเปล่า” พยายามสลัดความคิด “ไม่ ไม่จริงหรอกมันหลอกเรา”
พอพเยียหันหลังกลับเข้ามาในศาลา สายตาไปปะทะกับรูปของนภาจรีที่หน้าโลงเข้าอย่างจัง พเยียชะงัก พึมพำ ปลอบใจตัวเอง “คนตายแล้วก็ตายไป ผีไม่มีจริง”
พเยียมองรูปอีกทีเหมือนนภาจรีจะจ้องมองมา รอยยิ้มในรูปดูเหมือนยิ้มเยาะ
พเยียขนลุกซู่ สะบัดหน้าแล้วรีบเดินหนีไป
เช้าวันต่อมาเสียงกริ่งโทรศัพท์ภายในวังศิวาลัยดังสนั่นหวั่นไหว ก่อนที่ศรีจะเดินมารับสาย
“วังศิวาลัยค่ะ” ศรีน้ำเสียงตื่นเต้น “หา อะไรนะคะ”
ศรีพักสาย แล้ววิ่งออกไป หน้าตาตื่นเต้น
“คุณชายขา คุณชาย”
ไม่นานนักนภัสรพีกับนภดารานั่งสงบจิตใจอยู่ต่อหน้าตำรวจ
“ผมมาแจ้งให้คุณชายทราบว่า นางชื่น จิตมั่น ที่หายไปจากวังศิวาลัย ตอนนี้ได้เสียชีวิตแล้วครับ”
นภัสรพีกับนภดาราแม้จะทำใจเอาไว้แล้ว ก็อดไม่ได้ใจหาย
“ที่ไหน ยังไงครับ คุณตำรวจ” นภัสรพีถาม
“เมื่อเช้ามืดวันนี้ มีคนพบศพของนางชื่น ลอยขึ้นมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาครับ”
นภดาราแปลกใจ ลุกขึ้นยืน “อะไรนะคะ แม่ชื่นจมน้ำตาย!”
“มิได้ครับ จากการชันสูตรศพ นางชื่นเสียชีวิตก่อนหน้านั้นนานแล้ว จากการถูกทำร้ายจนคอหัก แล้วจึงถูกนำศพไปทิ้งน้ำเพื่ออำพรางคดีครับผม” นายตำรวจบอก
นภดาราใจสั่น “แม่ชื่น”
นภดาราฟังแล้วทั้งเสียใจ ทั้งสงสาร ทั้งสยดสยองประดังเข้ามา จนอาการหัวใจกำเริบขึ้น เริ่มมีอาการเกร็งและกระตุก
“ดารา ลูก” นภัสรพีเข้าไปประคองไว้
นภดาราผวาเหมือนไม่มีอากาศหายใจ แล้วหมดสติไป นภัสรพีตกใจ ร้องเรียกเสียงดัง
“ดารา ดารา อย่าเป็นอะไรนะลูก ...ศรี ใครอยู่ข้างนอก ขอยาหน่อย เร็วเข้า”
ร่างนภดารากระดุก แล้วหมดสติไป ลมหายใจรวนริน
ส่วนที่ห้องนั่งเล่นบ้านชิษณุพงษ์เวลาเดียวกัน เจ้าแสงโชติเดินเข้ามาคุยกับเจ้ามลุลีที่กำลังนั่งตรวจผ้าไหมอยู่ มีแตงรับใช้ และฟังข่าวอยู่ใกล้ๆ ด้วย
“ตกลงที่แม่ชื่นหายตัวไป มันเป็นการฆาตกรรมจริงๆ ด้วย”
“พวกขโมยหรือคะ เจ้าพี่”
“ที่วังไม่มีอะไรหาย น่าจะมาจากสาเหตุอื่นมากกว่า”
“มันมีสาเหตุอะไร ถึงกับต้องมาฆ่าคนแก่” เจ้ามลุลีเศร้าสลด “แม่ชื่นแกอายุปูนนั้นแล้ว ฆ่าไม่พอ ยังเอาศพไปถ่วงน้ำ โหดร้ายเหลือเกิน”
“ฆาตกรใจโหดแบบนี้ ถ้าจับได้ มันต้องประหารชีวิตอย่างเดียวเลยนะคะ เจ้า” แตงเสริม
เจ้าแสงโชติลงนั่งข้างมลุลี ถอนใจ บ่นออกมาดังๆ
“เฮ้อ วังศิวาลัยที่เคยสงบสุข เดี๋ยวนี้กลายเป็นสถานที่อันตราย มีคนถูกฆ่าตายติดๆ กันถึงสองศพ ...มันเกิดอะไรขึ้นนี่”
เจ้ามลุลีนึกได้ พูดขึ้นมาเสียงขุ่นๆ
“นั่นสิคะ ตั้งแต่น้องดาราได้ลูกสาวคนใหม่มา น้องคิดว่าวังศิวาลัยจะครึกครื้นสนุกสนาน กลายเป็นว่ามีแต่เรื่องร้ายๆ”
แตงที่นั่งก้มหน้าก้มตาพับผ้าและฟังอยู่เงียบๆ ตาวาว นึกอะไรได้
แตงพึมพำ “จริงสิ คุณพเยีย …เกือบลืมไปเลย”
ชิษณุพงษ์ฟังอย่างตื่นเต้น
“แน่ใจนะ แตง จำไม่ผิดแน่นะ”
“ไม่ผิดจ้ะ แตงเห็นกับตา คุณพเยีย ลูกสาวของคุณดารา เดินออกมาจากร้านพร้อมๆ กับคนชื่อนพดล”
“พเยียยืนอยู่ใกล้ๆ คนร้าย โดยที่ไม่เห็น ไม่สนใจ ไม่บอกให้ใครรู้เลยงั้นหรือ แปลก”
“ถ้าคุณพเยียไม่ใช่ลูกหลานวังศิวาลัยนะ คุณณุ แตงต้องคิดว่าคุณพเยียรู้เห็นเป็นใจกับคนร้ายแน่ๆ”
ชิษณุพงษ์คิดๆ เริ่มเอะใจขึ้นมานิดๆ ว่าพเยียจะเกี่ยวข้องกับคนร้าย
พเยียใส่ชุดพรางตัว สวมหมวก ใส่แว่น ขับรถเข้าไปจอดในสวนสาธารณะ ที่มุมปลอดคน
พเยียมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง แล้วโทรศัพท์หานภดลน้ำเสียงร้อนรน
“อยู่ไหน”
นพดลซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ ห่างจากรถไม่มาก
“อยู่ที่สวนแล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
นพดลผลุบเข้ามาในรถอย่างรวดเร็ว พเยียรีบบอก สีหน้าตื่นกลัวมาก
“ตำรวจเจอศพนังชื่นแล้ว พี่นพ”
นภดลตกใจ “ตายห่า”
พเยียกรี๊ดด้วยความกลุ้ม “พี่ทำอะไรของพี่น่ะ คราวนังนภาจรีก็พลาดไปทีนึงแล้ว ยังนังชื่นอีก พี่อยากให้เราเข้าคุกกันหรือยังไง”
พเยียทุบตีนพดลด้วยความโมโห
“เว้ย หยุดโวยวายได้ไหม” นพดลจับมือสองข้างพเยียไว้ ตะคอก “พี่ก็ทำดีที่สุดแล้วเกิดมาก็ไม่เคยฆ่าคนนะโว้ย ที่พี่ต้องทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ ก็เพราะพเยียนั่นแหละ ตัวดี”
นพดลมองพเยีย โกรธเหมือนกัน
“พี่ต่างหากที่ควรจะโกรธ พี่ต่างหากที่ควรจะกลัว เพราะคนซวยน่ะมันพี่ ไม่ใช่พเยีย”
พเยียยังไม่เลิกโวย “ทำไมฉันจะไม่ซวย ศพนังชื่นมันลอยขึ้นมาแบบนี้ ถ้าเขาสืบรู้ว่าใครฆ่า ฉันก็ต้องไปนอนคุกกับพี่”
นภดลโมโห “นี่ อย่าตื่นตูมไปหน่อยเลยน่ะ เจอศพก็เจอซี จะไปรู้ได้ยังไงว่าใครฆ่า”
พเยียมองนพดลอย่างโกรธๆ กัดฟันพูด
“ก็แหวนของนังกอหญ้าน่ะซี ฉันซุกไว้ในศพนังชื่น ถ้าตำรวจหาเจอ ฉันซวยแน่”
นพดลมองพเยีย แววตาเจ้าเล่ห์ พยายามล้วงความลับ
“ทำไมต้องซวย แหวนวงนี้มันสำคัญยังไง”
พเยียกำลังกลุ้ม ไม่ทันระวังตัว เผลอบอกไป ระบายพรั่งพรู
“มันเป็นแหวนที่บอกว่านังกอหญ้าเป็นทายาทตัวจริงของวังศิวาลัยน่ะซีถ้าตำรวจเจอ แล้วนังกอหญ้ามันจำได้ ทุกคนก็ต้องรู้ว่าฉันเป็นตัวปลอมแล้วคราวนี้ ต่อให้ฉันไม่ได้ฆ่านังชื่น ฉันก็ตายอยู่ดี”
นพดลตาวาว แหวนนี้สำคัญมากกว่าที่เขาคิด นพดลแอบยิ้มอย่างดีใจ
นพดลลูบหัวพเยีย ปลอบ “ไม่ต้องห่วงเลย พเยีย พี่รับประกัน แหวนวงนั้นไม่ได้อยู่ในศพนังชื่นแน่นอน”
พเยียดีใจ “จริงนะ”
“รับรอง พี่กำจัดแหวนวงนั้นไปเองกับมือ ล้านเปอร์เซนต์ ไม่มีใครเจอแหวนในศพนังชื่นแน่ๆ”
พเยียค่อยโล่งอกขึ้น นพดลแอบยิ้มร้าย
ตกตอนเย็นนภดารานั่งเอนๆ อยู่บนเตียง หน้าตาหม่นหมอง ซีดเผือด อาการนภดาราดูจะทรุด และอ่อนแอลงเรื่อยๆ กอหญ้านั่งอยู่ข้างๆ มีถาดอาหารวางอยู่ที่โต๊ะเล็กๆ กอหญ้าพยายามคะยั้นคะยอให้นภดาราทานอาหาร
“คุณอาแข็งใจทานอาหารหน่อยเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบายไปกันใหญ่”
นภดาราส่ายหน้า น้ำตาคลอๆ
กอหญ้าสงสาร พูดไม่ออก ได้แต่กุมมือนภดาราบีบเบาๆ ปลอบใจ
“เป็นเพราะฉัน แม่ชื่นถึงต้องตายอย่างนี้” นภดาราระบายความอัดอั้นออกมา “ถ้าฉันบอกความจริงกับตำรวจ เราอาจจะจับตัวคนร้ายได้ มันอาจจะไม่มีโอกาสเข้ามาทำร้ายแม่ชื่นแบบนี้”
“คุณอาทราบใช่ไหมคะ ว่าคนร้ายคือใคร”
“จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากคนที่ชื่อนพดล เพื่อนของพเยีย”
กอหญ้าตื่นเต้น
“เขาสองคนเคยรู้จักกันที่เชียงใหม่ มันเห็นว่าพเยียร่ำรวย เลยมาข่มขู่พเยียแล้วมันก็ฆ่าคุณอาหญิง”
“คุณพเยียบอกคุณอาหรือคะ”
นภดาราพยักหน้า “พเยียรู้เห็นทุกอย่าง มันคงคิดจะเข้ามาฆ่าพเยียเพื่อปิดปากแต่แม่ชื่นกลับมาบ้านเสียก่อน เลยรับเคราะห์แทน” นภดาราน้ำตาไหล “แม่ชื่นตายเพราะฉันแท้ๆ กอหญ้า ฉันเองที่เห็นแก่ตัว ไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับตำรวจเพราะกลัวจะเสียหายมาถึงลูกพเยีย”
ตรงทางเดินชั้นล่างของตึก พเยียเดินกลับเข้าบ้านมา หยุดถามสาวใช้
“คุณแม่ล่ะ อยู่ไหน”
สาวใช้ยอบตัวลง ตอบเบาๆ “คุณดาราไม่สบาย นอนพักอยู่บนห้องค่ะ”
พเยียพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
ส่วนในห้องนอน กอหญ้าถามนภดาราอย่างตื่นเต้น
“นอกจากคุณอา มีใครรู้เรื่องนี้บ้างคะ แม่ชื่นรู้หรือเปล่า”
“ฉันบอกคุณพ่อคนเดียว แต่ขอร้องไว้ ไม่ให้ท่านบอกใคร”
“เราต้องรีบบอกตำรวจนะคะ ก่อนที่จะมีใครเป็นอะไรไปอีก นะคะ คุณอา บอกตำรวจเถอะนะคะ”
นภดาราพยักหน้า ท่าทางนภดาราเจ็บปวด แต่แววตาเด็ดเดี่ยวอย่างคนตัดสินใจแล้ว
ตรงหน้าประตูที่ปิดไม่สนิท พเยียยืนแอบฟังอยู่ข้างนอก ไม่สบายใจ
โปรดติดตาม "แผนรักแผนร้าย"ตอนที่ 11