มณีสวาท ตอนที่ 10
เช้าวันต่อมา ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เห็นเครื่องบินของสายการบินซึ่งบินตรงจากประเทศอินเดียลงจอด
ไม่นานนัก นักเทววิทยา ดร.วิชัยสิงห์ หนึ่งในผู้โดยสารในเครื่องบินลำนั้น เดินออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาเข้าตรงมาขึ้นรถลิมูซีนที่มาจอดรอรับ ก่อนจะเห็นรถแล่นออกไป
ไม่นานต่อมาที่กระทรวงการต่างประเทศ ภายในห้องทำงาน แลเห็นภิงคารจับมือกับดร.วิชัยสิงห์ใบหน้าแย้มยิ้มดีใจ
“ขอต้อนรับดร.วิชัยสิงห์สู่ประเทศไทย ดีใจนะครับที่ยังระลึกถึงกันอยู่”
วิชัยสิงห์หัวเราะร่วนพอใจและดีใจเช่นกัน “ขอบคุณมากๆ ครับท่านภิงคาร ที่ให้เกียรติ พูดซะผมตัวลอยเลย”
“ไม่พูดอย่างนี้ได้ยังไง? จากนักเรียนทุนด้วยกัน วันนี้เพื่อนเราเป็นถึงนักเขียนชื่อดังติดอันดับเบสเซลส์เล่อร์”
ภิงคารหันมาทางภุชคินทร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ แนะนำ
“ชาย...รู้จักกับดร.วิชัยสิงห์ นักเทววิทยาจากอินเดีย”
ภุชคินทร์เดินเข้าไปจับมือ “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ม.ร.ว.ภุชคินทร์ นาเคนทร์ หรือชาย หลานของผมเอง ตอนนี้ก็มาเป็นผู้ช่วยผมอยู่” ภิงคารแนะนำ
วิชัยสิงห์มองปราดด้วยแววตาชื่นชม “คุณชายจะต้องเป็นผู้ช่วยท่านภิงคารได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด”
ภุชคินทร์เยื้อนยิ้ม “ขอบคุณด๊อกเตอร์มากครับ ที่ชม”
ภิงคารเชิญมานั่ง ตรงมุมรับรองแขกในห้อง “เชิญนั่ง ไง..แล้วจะมาเขียนเรื่องอะไรที่นี่ล่ะ ถึงได้รีบบินมาจากอินเดีย”
“สมกับเป็นเพื่อนรักของผมจริงๆ” วิชัยสิงห์เย้า “ที่ผมมาที่นี่ เพราะได้ข่าวว่ามีคนเห็นมณีนาคสวาทที่เมืองไทย”
ภิงคารชะงักไปนิดหนึ่ง มองหน้าวิชัยสิงห์อย่างแปลกใจปนตกใจ
“แล้วมันสำคัญยังไง”
“เพราะไม่ใช่ว่าใครจะครอบครองมณีนาคสวาทได้ง่ายๆ ผู้ที่ครอบครองมณีนาคสวาทได้ ต้องสืบเชื้อสายมาจากพญานาคเท่านั้น” วิชัยสิงห์พูดสมกับเป็นผู้รอบรู้ด้านนี้
ภุชคินทร์สนใจ “ทำไมดร.ถึงรู้ว่าคนที่ครอบครองนาคสวาทต้องสืบเชื้อสายมาจากพญานาคเท่านั้น”
“ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทววิทยา...มีหลายอย่างที่ผมศึกษามา แต่ผมไม่สามารถบอกกับใครได้ เพราะหลักฐานทางด้านศิลาจารึกยังไม่สมบูรณ์ ที่ผมมาที่นี่เพราะผมต้องการ” วิชัยสิงห์เน้นคำ “หาหลักฐานที่สมบูรณ์ และผู้ที่ครอบครองมณีนาคสวาท จะให้คำถามที่ผมต้องการได้” มองหน้าสองคนขณะถาม “ผมทราบมาว่า เจ้าอุรคา ณ ภูจำปาเป็นผู้ครอบครองมณีนาคสวาท”
ภิงคารกับภุชคินทร์มองหน้ากัน ก่อนที่ภุชคินทร์จะเป็นคนตอบ
“ครับ”
วิชัยสิงห์มั่นใจ “งั้นเธอก็คือทายาท....ผู้สืบเชื้อสายมาจากพญานาค”
“มันจะเป็นได้ยังไง? คน...สืบเชื้อสายมาจากพญานาค” ภิงคารไม่อยากจะเชื่อ
“ได้ เพราะพญานาคสามารถที่จะแปลงร่างมามีสัมพันธ์กับมนุษย์ได้? และผมก็มั่นใจว่าเจ้าอุรคาต้องเป็นทายาทอย่างแท้จริง”
“ทำไมครับ” ภุชคินทร์สนใจมากขึ้น
“เพราะถ้าไม่ใช่ทายาทที่แท้จริง จะเกิดอาถรรพ์ความเลวร้ายอยู่แก่ผู้ครอบครองมณีนาคสวาท ผมอยากพบเจ้าอุรคา” วิชัยสิงห์บอก
“ถ้าเจ้าอยากเจอด๊อกเตร์ด้วยนะครับ”
ภุชคินทร์ต่อคำให้ อย่างไม่มั่นใจ ก่อนบอกต่อ
“ผมขออนุญาตถามเจ้าก่อน แล้วจะแจ้งให้ด๊อกเตอร์ทราบ ว่าเจ้าให้คำตอบอย่างไร”
สีหน้าของวิชัยสิงห์ไม่ค่อยพอใจ แต่ไม่แสดงอาการออกมายกเว้นดวงตาแสดงความนัยบางอย่าง
ภายในห้องโถงของเฮือนภูจำปา เจ้าอุรคาอยู่กับชรายุ ชรายุบอกอย่างนอบน้อม
“อีกไม่กี่เพลา ก็จะถึงวันสัตตนาคา”
“วันที่มนุษย์ ที่ศรัทธาจะมาบูชาพญานาค” เจ้าอุรคารับรู้เช่นกัน
“วันที่มนุษย์ จะขอรับบารมีจากท่าน” ชรายุเอ่ยเอื้อน มองอย่างอ้อนวอน “เจ้าอุรคา ถึงเวลาที่ท่านจะต้องเตรียมจิตใจให้สงบ ใสสะอาด เพื่อนำบารมีส่งผ่านสู่มนุษย์ได้”
“ชรายุ เรารู้ว่าเจ้าหมายความว่าเช่นไร...ขอบใจเจ้ามากที่หวังดีต่อเรา” เจ้าอุรคาดวงตาเศร้าหม่น “หลายครั้งที่เราอยากจะตัดใจจากท่านภุชเคนทร์ แต่ทุกครั้ง เราก็ไม่เคยทำได้”
“เพราะท่านยังติดค้าง ในคำสัตย์สาบาน”
“ใช่! เรายังติดค้างกับคำสัตย์สาบานของท่านภุชเคนทร์ เราเสียใจ ทุกข์ใจ เพราะขนาดเราเพียรทำทุกวิธีให้ท่านภุชเคนทร์ระลึกชาติได้...” ยิ่งคิดยิ่งเศร้าลงไปมาก “แม้กระทั่งนำดอกปาริชาติจากสรวงสวรรค์ลงมา ท่านภุชเคนทร์ก็ไม่สามารถสัมผัสกลิ่นของมันได้เลย” นางพญานาคีถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า “แต่เพื่อมนุษย์ที่ศรัทธาในบารมีของพญานาค เราจะทำจิตใจให้สงบ ทำจิตใจให้ใสสะอาด เราจะไม่ลืมหน้าที่ของเรา ที่จะสร้างกุศลร่วมกันกับมนุษย์ ชรายุ”
เจ้าอุรคาบอกอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจก่อนจะเดินออกมา ร่างเจ้าอุรคาค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับเฮือนภูจำปาที่ตั้งตระหง่านอยู่ก็เลือนหายไปเช่นกัน
ชรายุมองเจ้าอุรคาอย่างพึงพอใจ ยิ้มอ่อนโยนด้วยความยินดียิ่ง ก่อนร่างจะเลือนหายไปอีกคน
ภุชคินทร์ขับรถมาจอดยังหน้าเฮือนภูจำปา ส่วนด้านหลัง ดร.วิชัยสิงห์แอบนั่งแท็กซี่ตามมา
เห็นภุชคินทร์จอดรถ วิชัยสิงห์ก็รีบให้แท็กซี่จอด บุ้ยใบ้ให้กลับรถไปอย่างเงียบๆ รถแท็กซี่กลับไป วิชัยสิงห์ซุ่มมองภุชคินทร์ไม่วางตา
ภุชคินทร์เห็นสถานที่ตั้งเฮือนภูจำปา มาบัดนี้ว่างเปล่า เห็นแต่ป่า รกครึ้ม ภุชคินทร์ตื่นตกใจ
“เฮือนภูจำปาหายไปอีกแล้ว?”
พลางภุชคินทร์กวาดสายตามองไปรอบๆ ทุกอย่างเป็นป่าเหมือนเดิม ภุชคินทร์ตะโกนก้อง
“เจ้าอุรคา...เจ้าเล่นกลอะไรกับผมอีก? เจ้า...เจ้าอุรคา”
เงียบกริบไม่มีเสียงตอบ นอกจากเสียงสะท้อนของตัวเอง ดร.วิชัยสิงห์มองอย่างตื่นตะลึง แลเห็นภุชคินทร์ตะโกนเรียกเจ้าอุรคาอีก
“เจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้ากำลังทำให้ผมกลัว เจ้ากำลังทำให้ผมจะเป็นบ้า ออกมาหาผมเดี๋ยวนี้นะเจ้าอุรคา เจ้าอุรคา! เลิกพรางบ้านของเจ้าได้แล้ว”
วิชัยสิงห์เดินออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้น ไม่มีทีท่าหวั่นกลัว เนื่องเพราะไม่เคยเห็นเฮือนภูจำปามาก่อน
“คุณชาย”
ภุชคินทร์หันมา สีหน้าตกใจ “ดร.วิชัยสิงห์”
วิชัยสิงห์ถามอย่างตื่นเต้น “คุณชายหมายความว่า...ที่นี่...ตรงนี้เคยมีบ้านเจ้าอุรคามาก่อน”
ภุชคินทร์ไม่รู้จะตอบยังไง วิชัยสิงห์ตอบเองด้วยท่าทางตื่นเต้น
“ผมมาเมืองไทยครั้งนี้ไม่เสียเปล่า! และมันยังมาก มากกว่าที่ผมคิด”
ภุชคินทร์ฉงน “ด๊อกเตอร์หมายถึงอะไร”
“เจ้าอุรคาผู้สืบเชื้อสายจากพญานาค ต้องร่ายเวทมนต์ให้บ้านหายไปทั้งหลัง...ถ้าคุณชาย
ให้ความร่วมมือ....ผมเชื่อว่า...ผมจะได้เจอกับพญานาคในร่างของเจ้าอุรคาแน่ๆ”
ดวงตาของวิชัยสิงห์ขณะพูด ไหวระริก ตื่นเต้นยินดีอย่างปิดไม่มิด ขณะที่ดวงตาของภุชคินทร์เอง แม้จะตื่นเต้นเหมือนกัน แต่ยังไม่ปักใจเชื่อ 100%
ภายในวัดที่อำเภอธาตุพนม เห็นสุบรรณและชาวบ้าน ในชุดนุ่งขาว นั่งทำสมาธิ ให้จิตสงบ ส่วนด้านหลังเจ้าอุรคาและชรายุ ในชุดนุ่งขาวเช่นกัน เดินเข้ามานั่งตอนหลังสุด สองคนก้มลงกราบ ก่อนนั่งสมาธิ ภาวนาเหมือนกับทุกคน
ระหว่างนั้นหลวงพ่อเจ้าอาวาสมองมา เห็นชัดว่าสุบรรณมีร่างซ้อนเป็นพญาครุฑ เจ้าอุรคาและชรายุมีร่างซ้อนเป็นนาคี หลวงพ่อหลับตาลง ถอดจิต เดินตัวลอยมาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าอุรคา
เจ้าอุรคารับรู้ลืมตาขึ้น ถอดกายทิพย์ออกมาพนมมือไหว้ สนทนากัน หลวงพ่อเทศนาเตือนสติ
“การถือศีลภาวนา เป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยผู้อยู่ในภพภูมิที่สูง แม้ชั้นภุมมานังที่ท่านอยู่จะยังคงมีราคะ โทสะ โมหะ แต่ท่านเองก็หมั่นเพียรภาวนา”
“แต่ถึงเราจะหมั่นเพียรภาวนา เราก็ยังคงมีราคะ โทสะ ซึ่งเราก็อยากจะปัดเป่าให้หมดจากจิตของเรา เราอยากให้จิตของเราสะอาดประภัสสร”
“ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ไม่ควร ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้มาครอบงำ ให้เสียความตั้งใจของท่าน อาตมาฐานะผู้ปฎิบัติก็ถือสนทนาประสากัลยาณมิตร แต่สิทธิ์ในการเลือกเป็นสิทธ์ของท่าน”
“ขอบคุณที่ท่านผู้ทรงศีลทรงโปรด เราจะพยายามกำจัดราคะ โทสะออกจากจิตใจของเราให้ได้”
“อาตมาขออนุโมทนาความตั้งใจ เจริญพร”
เจ้าอุรคาก้มลงกราบหลวงพ่อเจ้าอาวาส เห็นกายทิพย์ของเจ้าอาวาสค่อยๆ ลอยกลับไปยังกายหยาบ สีหน้าเจ้าอุรคาหม่นหมองพูดกับตัวเอง บอกถึงภุชคินทร์
“เราควรหลีกหนีจากความทุกข์ที่ตามทวงสัญญาจากท่าน ท่านภุชเคนทร์
ดวงตาของเจ้าอุรคามีน้ำตาคลออยู่ อย่างคนที่พยายามตัดใจ
คืนนั้นภุชคินทร์นอนครุ่นคิดในห้องนอน ประมวลคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่สะพานริมแม่น้ำโขง / ความฝันแปลกๆ มีรอยพญานาคเกิดขึ้นที่วัง / เจ้าอุรคาแสดงจินตลีลาบนเวที / เจ้าอุรคาถูกทำร้ายวิ่งหนีออกมา / งูใหญ่ถูกแทงบาดเจ็บสาหัส / พญานาคโผล่ที่หนองน้ำ / คำพูดของวิชัยสิงห์
ภุชคินทร์ใคร่ครวญครุ่นคิด ผุดลุกผุดนั่งนอนไม่หลับทั้งคืน
วันต่อมาสองคนนั่งอยู่ในร้านอาหารหลังรับประทานเสร็จแล้ว สองคนคุยกัน ภิงคารพูดอย่างตื่นเต้น
“ได้ฟังด๊อกเตอร์ เล่าผมงี้ขนลุกซู่...บ้านทั้งหลังจะหายไปได้ยังไง”
ดร.วิชัยสิงห์ยืนยัน “แต่มันหายไปแล้ว...และคนที่ยืนยันได้ก็คือคุณชายภุชคินทร์”
“มิน่า...ที่ผ่านมา นายชายถึงได้เจอแต่เรื่องแปลกๆ”
“คุณชาย เจออะไรบ้างครับท่านภิงคาร?”
“มากมายหลายสิ่ง และทุกสิ่ง ล้วนเกี่ยวเนื่องแต่กับพญานาคทั้งสิ้น”
ดร.วิชัยสิงห์ มองภิงคารด้วยสายตากระหายใคร่รู้ ตื่นเต้นสุดๆ
ภายในในสวนอาหารบรรยากาศร่มรื่นแห่งนั้น ดร.วิชัยสิงห์นั่งอย่างกระวนกระวาย สายตามองไปทางเข้าตลอดเวลา ครู่หนึ่งเมื่อเห็นภุชคินทร์เดินตรงเข้ามาหา วิชัยสิงห์ทักทายดีใจ
“ผมดีใจจริงๆ ที่คุณชายมา”
ภุชคินทร์มีสีหน้าหนักใจ “ผมมาเพราะผมอยากรู้...วิธีที่จะทำให้ผมได้พบหลักฐานที่แน่ชัด ว่าเจ้าอุรคาคือพญานาค”
“เรื่องนั้นมันอยู่ที่คุณชาย?” วิชัยสิงห์ว่า
ภุชคินทร์ฉงน “ทำไมถึงอยู่ที่ผม?”
“ผมศึกษาทางด้านนี้มา...” วิชัยสิงห์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ดวงจิตที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน และยังยึดมั่นถือมั่นกับจิตอีกดวง แม้กายสังขารจะแปรเปลี่ยน และจะข้ามกาลเวลาที่ยาวนานสักเพียงใด ก็จะเพียรเฝ้าส่งสัญญาณจิต เชื่อมต่อกับดวงจิตที่ผูกพันทุกวิถีทาง เจ้าอุรคาจะต้องมีความผูกพันเป็นอย่างมากกับคุณชาย ไม่อย่างนั้น คงไม่แสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ให้ได้เห็น”
ภุชคินทร์ทึ่ง “ด๊อกเตอร์รู้?”
“ผม...ได้คุยกับท่านภิงคาร ยิ่งฟังก็ยิ่งอยากให้คุณชายให้ความร่วมมือกับผม”
ภุชคินทร์มองหน้า พูดท่าทีจริงจัง “แสดงว่า ด๊อกเตอร์เชื่อว่าผมกับเจ้าอุรคาต้องผูกพันเกี่ยวเนื่องกันไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง”
“ครับ เพราะไม่มีสิ่งใดสูญหายไปจากโลก” ดวงตากระหายใคร่รู้ “อย่างที่ผมบอก เพียงแค่คุณชายร่วมมือกับผม ผมจะทำให้คุณชายได้รู้ถึง อดีตชาติที่คุณชายรอคอยมานาน เกี่ยวกับเจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์บอกย้ำอีก “ถ้าดร.ทำได้จริง ผมพร้อมให้ความร่วมมือ”
ดวงตาของวิชัยสิงห์เปล่งประกายเจิดจ้า สุดแสนจะดีใจ
ค่ำคืนเดียวกันนั้นภายในวัดที่อ.ธาตพนม ท่ามกลางเงียบสงัดและสงบ เจ้าอุรคา สุบรรณและชาวบ้านผู้ทรงศีลยังคงนั่งวิปัสสนากันอยู่
พลันดวงตาของเจ้าอุรคาก็เบิกกว้างขึ้น เปล่งประกายแห่งความยินดีออกมา แววตามีความหวังอีกครั้งเหมือนคนที่ยังตัดใจไม่ได้
เจ้าอุรคาคิดในใจ “ภุชเคนทร์ท่านพร้อมจะรับรู้เรื่องของเราแล้ว”
จังหวะนั้นหลวงพ่อเจ้าอาวาสมองเจ้าอุรคา พลางคิดในใจ
“เราคงไม่อาจฝืนลิขิตกรรมของผู้ที่ยังมีวัฏสงสาร บ่วงกรรมต่อกันได้”
ร่างของเจ้าอุรคาค่อยๆ เลือนหายไป
หลวงพ่อเจ้าอาวาสได้แต่มองเจ้าอุรคาด้วยสายตารับรู้ แค่นั้นจริงๆ
สองหนุ่มอยู่ที่วังนาเคนทร์ ไพศิษฐ์ถามย้ำ
“อะไรทำให้นายไว้ใจดร.วิชัยสิงห์ได้ถึงขนาดนี้ชาย”
“เพราะเค้าเป็นเพื่อนของคุณน้าภิงคาร อีกอย่าง ฉันมืดแปดด้านแล้วศิษฐ์ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ ว่าฉันเป็นใคร เกี่ยวข้องกับเจ้าอุรคายังไง แล้วไหนยังท่านสุบรรณอีก ฉันทรมาน ถ้าจะมีใครซักคนช่วยฉันได้ ฉันก็ยินดีและพร้อมเสี่ยงไปกับเค้า ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม”
สีหน้าของภุชคินทร์พร้อมเผชิญทุกอย่าง ไพศิษฐ์ไม่อยากขัด ได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง
คืนนั้นดร.วิชัยสิงห์อยู่ในห้องพัก สีหน้าท่าทางอารมณ์ดี
“ถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่เราคิด และพิสูจน์ได้ว่าพญานาคมีอยู่จริง ไม่ใช่แค่เรื่องในตำนานหรือนิทานปรัมปราอีกต่อไป วิชัยสิงห์ นายจะต้องเป็นคนดังของโลกอย่างแน่นอน”
วิชัยสิงห์ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างอารมณ์ดี แต่ทันทีที่หลับตาลง อยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น สายตา ก็เหลือบไปเห็นร่างของเจ้าอุรคาในชุดสีขาวยืนหันหลังอยู่ที่ระเบียงห้อง วิชัยสิงห์ผุดลุกขึ้นนั่ง ตื่นตกใจ
“ใคร? ฉันถามว่าใคร”
ร่างนั้นยืนนิ่งไม่ไหวติง วิชัยสิงห์ผุดลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงไปยังระเบียง วิชัยสิงห์ยังงงอยู่ขณะถามอีก
“คุณเป็นใคร?”
“คนที่ท่านอยากเจอนักอย่างไรล่ะ?”
เจ้าอุรคาค่อยๆ หันหน้ามา วิชัยสิงห์เบิกตากว้าง ตกใจ อนุมานจากที่เคยเห็นทั้งในหนังสือและภาพข่าวว่าใช่แน่
“เจ้าอุรคา”
“เราขอขอบใจท่านมาก ที่มีใจจะช่วยให้ท่านภุชเคนทร์ระลึกถึงอดีตชาติได้...เราพร้อมเปิดทางให้”
สีหน้าวิชัยสิงห์ตื่นเต้นยินดี “จริงหรือเจ้า”
“แต่มีข้อแม้”
“ข้อแม้? อะไรเจ้า?”
“ท่านต้องรับปากว่าจะไม่จดจารึกใดๆ ทั้งสิ้น ท่านต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับกับตัวของท่านจนวันตาย”
วิชัยสิงห์ลังเล “ผม...”
เจ้าอุรคาบอกเสียงเข้ม “ท่านต้องรับปาก ไม่เช่นนั้น ท่านจะไม่มีวันได้ล่วงรู้ความลับใดๆ ของพญานาคทั้งสิ้น”
“ได้...ผมรับปาก”
“ขอบใจที่ท่านรู้ว่าควรทำสิ่งใด ไม่ควรทำสิ่งใด อย่าลืมท่านสัญญาแล้วหากท่านแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป มันหมายถึงชีวิตของท่าน” เสียงเจ้าอุรคากึกก้อง “ได้ยินไหมวิชัยสิงห์...หากท่านแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป โดยเรามิยินยอม มันหมายถึงชีวิตของท่าน...ชีวิตของท่าน”
รุ่งเช้าวันใหม่ อาจารย์วิชัยสิงห์สะดุ้งตื่นขึ้นมา โดยมีเสียงเจ้าอุรคาดังก้องหู วิชัยสิงห์เหงื่อแตกพลั่ก
“เราฝัน...เทพสังหรณ์...” ว่าพลางยกมือไหว้ “ขอบคุณองค์เทพเทวา ที่มาแจ้งเหตุที่จะเกิดขึ้น”
ล่วงหน้า” สีหน้าและน้ำเสียงวิชัยมั่นใจขึ้น “เราต้องได้พบเจ้าอุรคา”
เช้าวันเดียวกันนั้น ไพศิษฐ์หน้ายุ่งอยู่ที่โต๊ะทำงานบนสน. คุยกับลูกน้องคนสนิทจ่าชิด
“จ่าช่วยค้นข้อมูลคดีโจรกรรมเพชรของเจ้าอุรคามาให้ผมด่วน”
“ครับพ๊ม!”
จ่าชิดรับคำแข็งขัน แล้วเดินออกไป ไพศิษฐ์หน้าเคร่งทำงานต่อ พลางบ่นพร้อมกับยิ้มแค่นๆ
“ปวดหัวพิลึกล่ะ เดี๋ยวก็นินจา เดี๋ยวก็พญานาค ถ้ามีอีกคดีล่ะก็...ผู้กองไพศิษฐ์หัวระเบิดตายกันพอดี”
ระหว่างนั้น ผู้กำกับฯ เดินเข้ามาหา
“ผู้กอง ผมมีงานด่วน”
“ครับผม”
ผู้กำกับฯ เบาเสียงลง “สายรายงานมาว่า จะมีเครือข่ายนักค้ายาเสพติดมาขยายฐานยาในพื้นที่
ของเรา เค้าพักอยู่ที่...”
ไพศิษฐ์จำชื่อโรงแรมได้ และเข้ารู้จักดี
ไม่นานต่อมาไพศิษฐ์ในชุดแต่งกายตำรวจนอกเครื่องแบบพาตัวเองมาอยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมที่วิชัยสิงห์พักอยู่
ท่าทางของไพศิษฐ์ดูเป็นปกติ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่มองไปรอบๆ สังเกตการณ์ทุกอย่าง เสมือนเหยี่ยวมองเหยื่อ
ดร.วิชัยสิงห์เดินลงมาจากห้องพักมาที่ล็อบบี้ พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง
“ถ้าฝันเป็นจริง เราต้องได้เจอเจ้าอุรคาแน่ๆ
ระหว่างนั้นเจ้าอุรคาในเครื่องแต่งกายสวยงาม ดูสง่าเดินเข้ามา วิชัยสิงห์ตะลึงงัน
“เจ้าอุรคา”
เจ้าอุรคายิ้มให้วิชัยสิงห์อย่างเป็นมิตร พร้อมถาม ท่าทางงุนงง
“มีอะไรหรือคะ”
“ผม...ผมดีใจที่ได้พบเจ้า” วิชัยสิงห์เนื้อเต้น พูดระล่ำระลัก
“ดีใจ...คุณพูดเหมือนรู้จักดิฉัน”
“แม้จะไม่รู้จักดี แต่ผมรู้ว่าเจ้าคือผู้หญิงที่งามสง่าสมกับเป็นเจ้าของมณีนาคสวาทอัญมณีที่สุดแสนเลอค่า”
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มพอใจ “ถ้าคุณพูดเช่นนี้ แสดงว่า คุณรู้จักดิฉันดีเชียวล่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
เจ้าอุรคาเป็นฝ่ายยื่นมือออกไป วิชัยสิงห์รีบยื่นมาจับอย่างยินดี ลิงโลด
ส่วนที่ด้านหลังไพศิษฐ์มองเห็นว่าวิชัยสิงห์ยืนอยู่คนเดียว แต่ทำท่าเหมือนพูดกับใครสักคน วิชัยสิงห์เดินไป ไพศิษฐ์ลอบตามไปทันที
ไม่นานนัก ตรงมุมสงบในสวนสวยของโรงแรม เจ้าอุรคานั่งคุยกับวิชัยสิงห์ ซึ่งมีท่าทียินดีมากมายขณะบอก
“ผมดีใจมากที่เจ้าจะให้ความรู้แก่ผม เกี่ยวกับมณีนาคสวาท”
“ก็แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ในเมื่อนาคสวาท คืออัญมณีประจำต้นตระกูลของฉัน”
วิชัยสิงห์ตื่นเต้นมาก “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็สืบเชื้อสายมาจากพญานาคจริงๆ”
“ใช่!” เจ้าอุรคาไม่ปฏิเสธ
สีหน้าแววตาของวิชัยสิงห์ตื่นเต้น แทบควบคุมตัวเองไม่อยู่
“ถ้าชาวโลกได้รู้ว่าพญานาคมีตัวตนจริงๆ ทุกคนจะต้องตื่นเต้น”
เจ้าอุรคาหน้าเคร่ง นัยน์ตาวาววับ “เรื่องของพญานาคจะรู้เห็นได้ ก็เฉพาะผู้ที่มีจิตเกี่ยวเนื่องต่อกัน ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์โลกทั่วไปจะรู้เห็นได้ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องไม่มีการจารึกเรื่องราวใดๆ ที่เราเล่าให้ฟังเด็ดขาด”
สีหน้าวิชัยสิงห์อึ้ง เหมือนอยู่ในความฝัน
เจ้าอุรคาย้ำอีก “เราจะช่วยทำให้ท่านได้รับรู้เรื่องเกี่ยวกับ “นาคสวาท” แต่มีข้อแม้ ห้ามท่านแพร่ง
พรายเรื่องนี้ออกไปไม่ว่าจะเป็นวิธีใดๆ ก็ตามแต่ ไม่เช่นนั้น ชีวิตของท่านจะต้องมีอันเป็นไป”
“มีอันเป็นไป” วิชัยสิงห์หรี่ตา...เหมือนในฝัน แต่ไม่ได้เชื่อเป๊ะๆ และไม่ได้กลัว อยากดังมากกว่า
“ท่านรับปาก?” เจ้าอุรคาย้อนถาม
“ได้...ผมรับปาก ถ้าเจ้าช่วยให้ผมได้รับรู้เรื่องราวของมณีนาคสวาท ผมจะไม่จดบันทึกใดๆ อย่างเป็นอันขาด ความลับเรื่องนี้จะตายไปกับผมแต่เพียงผู้เดียว”
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มอย่างพึงพอใจ
ไพศิษฐ์ งงหนัก เห็นวิชัยสิงห์นั่งอยู่คนเดียว แต่ทำท่าทางเหมือนคุยอยู่กับใครคนหนึ่ง
“คุยกับใคร อย่าบอกนะว่าดร.วิชัยสิงห์ กำลังติดต่อกับเครือข่ายโดยใช้เครื่องมือพิเศษ ที่เราไม่รู้”
ไพศิษฐ์เพ่งมองดร.วิชัยสิงห์อีก และยังเห็นวิชัยสิงห์นั่งอยู่คนเดียวเหมือนเดิม
“คนอย่างนี้น่ะหรือ ที่นายชายไว้ใจ”
ไพศิษฐ์ได้แต่พึมพำอย่างคลางแคลง
ช่วงตอนกลางวัน ภุชคินทร์ถือกระเป๋าเดินทางจะออกจากวังนาเคนทร์ ไพศิษฐ์ขับรถตรงเข้ามาจอดเทียบ ก้าวลงมาอย่างร้อนรน
“อย่าเพิ่งไปชาย”
“มีเรื่องอะไรศิษฐ์”
“ดร.วิชัยสิงห์ คือคนที่ตำรวจกำลังจับตามองอยู่ ในฐานะผู้ต้องสงสัย”
“ผู้ต้องสงสัย?” ภุชคินทร์ฉงน
“เครือข่ายยาเสพติดนักค้ายาเสพติดระดับโลก”
ภุชคินทร์ไม่อยากเชื่อ “แต่เค้าเป็นเพื่อนของคุณน้าภิงคาร”
“นั่นล่ะเป็นสิ่งที่จะทำให้เค้าไม่ถูกสงสัย เพราะบารมีของท่านภิงคาร ซึ่งจริงๆ แล้วคุณน้าภิงคารอาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเดินทางเข้ามายังประเทศไทย”
ภุชคินทร์อึ้งไปกับข้อมูลที่ฟัง ไพศิษฐ์บอกอีก
“อย่าไปยุ่งกับดอกต้งดอกเตอร์อะไรนั่นเลยนะชาย มันเสี่ยง”
“ขอบใจมากศิษฐ์ แต่ฉันถอยไม่ได้แล้วล่ะ ฉันอยากรู้”
ไพศิษฐ์ใจหายห่วงเพื่อนมาก “ชาย”
“ฉันจะระวังตัว และถ้ามีเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากลฉันจะรีบบอกนายทันที ฉันสัญญา”
ภุชคินทร์เดินขึ้นรถแล้วขับออกไป ไพศิษฐ์ได้แต่ทำท่าปวดหัว
ค่ำนั้นไพศิษฐ์นั่งคุยกับคุณยายอติศรี สีหน้ากลัดกลุ้มมาก อติศรีปลอบ
“ถึงศิษฐ์จะห่วงคุณชาย แต่ศิษฐ์ก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของคุณชายด้วย คุณชายเองก็เป็นคนเฉลียวฉลาด ไม่น่าจะเสียรู้ใครได้ง่ายๆ”
“แต่ผมยังคิดไม่ออกเลย ว่าดร.วิชัยสิงห์จะช่วยนายชายได้ยังไง”
สีหน้าของไพศิษฐ์ยามนี้กลัดกลุ้มสุดๆ
มณีสวาท ตอนที่ 10 (ต่อ)
ที่ริมโขงคืนนั้น ภุชคินทร์ปรากฏตัวขึ้น ชายหนุ่มเพ่งสายตามองไปที่ลำน้ำโขงเบื้องหน้า ขณะที่ด้านหลัง ดร.วิชัยสิงห์เดินตามมาพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“ลำน้ำโขง เป็นที่อยู่อาศัยของพญานาค ผมมั่นใจ ที่นี่จะทำให้คุณชายได้รู้ถึงอดีตชาติของคุณชาย
ดวงหน้าของภุชคินทร์ดูตื่นเต้น ขณะที่สีหน้าของวิชัยสิงห์มั่นใจ
วันต่อมานาถสุดาเอาน้ำดื่มมาให้ไพศิษฐ์ที่แวะมาหาที่บ้านด้วยหน้าตาเคร่งเครียด
“ดื่มน้ำเย็นหน่อยนะคะ จะได้ใจเย็นๆ”
“ผมเย็นไม่ได้แล้วนาถ ผมเป็นห่วงนายชาย”
“แต่บางทีครั้งนี้อาจจะเป็นการปลดล็อกทุกอย่างให้คุณชายก็ได้นะคะ”
ไพศิษฐ์มองเป็นเชิงถาม นาถสุดาบอกต่อ
“นาถค้นประวัติ ดร. วิชัยสิงห์ให้แล้ว นอกจากจะเป็นนักเทววิทยา ที่เขียนที่งานเขียนของเค้าติดอันดับเบสส์เซลเล่อร์ ดร.วิชัยสิงห์ ยังมีความสามารถทางการสะกดจิตอีกด้วย” หญิงสาวจับมือไพศิษฐ์ “ศิษฐ์คะ เรามาเอาใจช่วยคุณชายดีกว่าค่ะ เพราะนาถก็อยากรู้เหมือนกันที่ผ่านมา มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน รวมทั้งพี่สุบรรณด้วย เพราะการนั่งทำสมาธิ ฝึกเจริญวิปัสสนาอย่างที่พี่สุบรรณกำลังทำ อาจจะใช้เวลานานเกินไป”
ไพศิษฐ์ไม่อยากเชื่อ “ท่านสุบรรณน่ะหรือ ไปนั่งสมาธิ ฝึกเจริญวิปัสสนา”
“ค่ะ” นาถสุดาย้ำ
ไพศิษฐ์ทำหน้าอึ้งๆ ก่อนที่ดวงตาจะฉายแววบางอย่างเปล่งประกายออกมา
คืนนั้นคฤหาสน์สุบรรณ ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าท่ามกลางความมืดสลัว มีไฟตามมุมต่างๆ ส่องสว่างตรงบริเวณจุดสำคัญ ไพศิษฐ์ในชุดดำทะมัดทะแมง สวมถุงมือ เตรียมพร้อม อาศัยความมืดลอบเข้ามาแอบมอง เห็นรปภ. สองคนยืนอยู่กันคนละมุม คนหนึ่งนั่งกดโทรศัพท์คุยสายอย่างเพลิดเพลิน อีกคนนั่งหลับ
“นายไม่อยู่ สบายกันเหลือเกินนะ”
ไพศิษฐ์ยิ้มหยัน กวาดตามองทางหนีทีไล่ ก่อนจะค่อยๆ เดินเลาะรั้วกำแพงไปอย่างรู้ทาง และหลบเลี่ยงมุมที่มีกล้องวงจรปิด แล้วกระโดดข้ามรั้วเข้าไป
บริเวณด้านในของคฤหาสน์อันโอ่โถงหรูหรา เปิดไฟไว้เพียงไม่กี่ดวง ไพศิษฐ์ลอบเข้าไป สอดส่ายสายตาดูเห็นเป็นห้องต่างๆ จนมาถึงห้องนอนของสุบรรณ ไพศิษฐ์เร้นกายเข้าไปทันที
ภายในห้องนอนของสุบรรณ บรรยากาศมืดสลัว มีเพียงแสงไฟจากด้านนอกส่องเข้ามา แลเห็นว่าไพศิษฐ์รื้อข้าวของอย่างระมัดระวังและเบามือ รื้อของ ในมุมที่คาดว่าน่าจะมีเพชรซ่อนอยู่ แต่ไม่เจอ ก่อนจะมองไปอีกมุม เห็นตู้เซฟตั้งอยู่หลายใบ ไพศิษฐ์พุ่งเป้าไปที่เซฟนั้นๆ
“เพชรต้องจะอยู่ในเซฟ”
ไพศิษฐ์ตรงไปที่เซฟ มั่วรหัสเปิด แต่เปิดไม่ได้ จนมีเสียงฝีเท้าย่ำมา ไพศิษฐ์ฉากหลบอย่างว่องไว
ไฟในห้องถูกเปิดสว่างขึ้น จากมุมที่ซ่อนอยู่ ไพศิษฐ์เห็นอำนาจกับลูกน้องเดินเข้ามา อำนาจสั่งการเสียงเข้ม
“พวกแกรีบขนเซฟตามฉันมาเร็ว”
“ครับนาย”
ลูกน้องช่วยกันขนเซฟออกไป ไพศิษฐ์ตาวาว ทุกคนทยอยกันเดินออกไป ไพศิษฐ์รอจังหวะอยู่ครู่ ก่อนย่องตามไป
อำนาจเดินนำลูกน้องไปยังซอกหลืบภายในคฤหาสน์สุบรรณ ที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะถูกซ่อนอยู่ในคฤหาสน์รูปทรงสมัยใหม่ได้ ไพศิษฐ์ย่องตามมา มองสิ่งที่เห็นอย่างแปลกประหลาดใจ เห็นอำนาจเดินนำลูกน้องไปยังห้องลับห้องหนึ่ง และเปิดออกสั่ง
“ขนเซฟเข้าไปเก็บข้างใน”
ลูกน้องทำตาม ไพศิษฐ์จ้องมองไม่วางตา และเกือบจะเผลอร้องออกมาเมื่ออำนาจชักปืนยิงใส่ลูกน้องเหล่านั้น เปรี้ยงๆๆ อย่างอำมหิต จนทุกคนล้มลงนอนแน่นิ่งหมดลมหายใจ อำนาจพูดเสียงเครือ
“ขอโทษที่ฉันต้องทำอย่างนี้ แต่ฉันปล่อยให้พวกแกออกไปพร้อมความลับนี้ ไม่ได้จริงๆ ว่ะ”
ห้องลับห้องนั้นถูกปิดลงอย่างแน่นหนาเหมือนเดิม ไพศิษฐ์ตกใจจนเผลอหายใจออกมาอย่างแรง
“ใคร?”
อำนาจหันขวับมามอง ไพศิษฐ์ยืนนิ่งแทบไม่ไหวติง กลั้นลมหายใจอำนาจค่อยๆ เดินกลับมา มองอย่างระแวดระวัง ไพศิษฐ์ย่องมาที่ด้านหลัง เอาสันปืนฟาดเข้าที่ต้นคอของอำนาจอย่างแรง
“โอ๊ย!”
อำนาจล้มทรุดลงไปกองแน่นิ่ง แต่เสียงร้องของอำนาจดังออกไปทางด้านนอก รปภ.วิ่งเข้ามา
ขณะที่ไพศิษฐ์ตรงไปที่ห้องลับนั้น จะพังเข้าไป แต่เสียงฝีเท้าผู้คนไม่ต่ำกว่าสองคนที่วิ่งเข้ามา ทำให้ไพศิษฐ์ต้องหลบออกไปขณะที่รปภ.ประคองอำนาจที่นอนแน่นิ่งขึ้นมาทุลักทุเล แต่รปภ.หนึ่งในนั้นก็สั่งออกมา
“มีคนลอบเข้ามา แกออกไปดูเร็ว”
รปภ.อีกคนวิ่งตามไพศิษฐ์ออกไป
ไพศิษฐ์วิ่งหนีรปภ.ออกมาที่ด้านนอกตัวคฤหาสน์ของสุบรรณ โดยที่รปภ.ไม่ได้เห็นไพศิษฐ์ แต่จากสถานการณ์รู้ว่าต้องมีคนเข้ามา จึงตามมาดู ไพศิษฐ์ปีนรั้วออกมา แต่ตามองไปที่ตัวคฤหาสน์อย่างเสียดาย
“ห้องลับ ท่านสุบรรณนี่มีอะไรมีความลับเยอะซะจริงๆ”
ไพศิษฐ์กระโจนข้ามรั้วออกมา อารามไม่ทันดู ทำให้ร่างเซถลาลงถนน รถคันหนึ่งวิ่งตรงมา เบรก
กะทันหัน ขณะที่นาถสุดาเปิดประตูก้าวลงมาอย่างตกใจ ถามเสียงสั่น
“คุณคะ...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ไพศิษฐ์หันขวับมา แล้วหัวใจของทั้งสองก็แทบหยุดเต้น เมื่อเห็นหน้ากันชัดเจน
“นาถ”
“คุณศิษฐ์!”
คืนนั้นที่ศาลาปฏิบัติธรรมในบริเวณวัด สุบรรณยังคงนั่งวิปัสสนาด้วยใจมุ่งมั่น ส่วนที่ด้านหลัง เจ้าอุรคา และชรายุนั่งวิปัสสนาอยู่รวมกับผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไป สองคนนั่งหลัง สุบรรณนั่งหลังสุด
ภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ สุบรรณเห็นแต่ความมืดจากดวงตาที่ปราศจากแสงต่างๆ มันมืด หลากสี สับสน สุบรรณเหงื่อแตกพลั่ก รู้ได้ถึง ความรู้สึกวุ่นวายไม่มีสมาธิ สุบรรณลืมตาขึ้น ถอนหายใจเหงื่อแตกพลั่ก พยายามหลับตาลงไปใหม่ แต่ก็ชะงัก เมื่อหางตาเหลือบแลไปเห็นคนนั่งมองอยู่ สุบรรณหันขวับ ทว่าเห็นแต่ผู้คนนั่งปฏิบัติธรรม ทุกคนหลับตานิ่งอยู่ ไม่มีใครมองสุบรรณแม้แต่คนเดียว สุบรรหลับตาลงไปใหม่ รู้สึกว่ามีคนจ้องมองอีก สุบรรณหันขวับไปอีก คราวนี้เขาเห็นร่างเลื่อนลางของสตรีนางหนึ่งในชุดนุ่งขาว ค่อยๆ เดินลงจากศาลา สุบรรณผุดลุกตามไป
ชรายุซึ่งนั่งภาวนาอยู่ ลืมตาขึ้น
ชรายุคิดในใจ “ขนาดเจ้าตั้งใจที่จะปลดปล่อย แต่เจ้าก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ หรือนี่จะเป็นวิบาก
กรรมของท่านทั้งสามที่มีต่อกัน?”
สีหน้าของชรายุเป็นห่วงแต่พยายามปล่อยวาง
สุบรรณเดินตามไปตามทางในวัด ท่ามกลางความมืด สุบรรณแลเห็นด้านหลังสตรีนางหนึ่งอยู่ตรงหน้า
แต่ตามเท่าไหร่ก็ไม่ทันซักที สุบรรณตะโกน
“คุณๆ”
ร่างสตรีลึกลับนางนั้นไม่หันมา ซึ่งแท้จริงคือเจ้าอุรคา พูดด้วยเสียงเรียบเย็น
“จิตใจที่ว้าวุ่น ไม่มีทางเข้าสู่ฌานสมาธิได้ ถ้าท่านอยากรู้...ข้าจะทำให้ท่านรู้เอง”
“คุณเป็นใคร? ใครพูด”
สุบรรณกวาดสายตามองหาต้นเสียง แต่ก็ไม่เห็นมี นอกจากได้ยินเสียงบางอย่างกระโจนลงลำน้ำ
อย่างแรง
สุบรรณวิ่งเลียบริมแม่น้ำโขงตามเสียงมา ที่นั่นไม่มีใคร มีแต่ร่องรอยของพื้นน้ำกระจายเป็นวงกว้างเหมือน
มีวัตถุขนาดใหญ่หล่นลงไปในน้ำ
“อะไร”
สุบรรณเพ่งตามองท่าทีฉงน แต่ก็เดาไม่ออกว่าสิ่งที่กระโจนลงไปในลำน้ำคืออะไร
ตอนเช้าตรู่ภายในห้องนอนที่พักของผู้ปฏิบัติธรรม สุบรรณนอนกระสับกระส่าย พึมพำคล้ายคนละเมอ
“อะไร? อะไรอยู่ใต้ลำน้ำโขง อะไร? อยากให้เรารู้อะไร?”
จู่ๆ เสียงโหวกเหวกโวยวายอื้ออึงดังมาจากภายนอก ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ รับรู้ในน้ำเสียง ว่าเป็นแต่ละคนล้วนตื่นเต้น พูดไปในทำนองเดียวกัน “ออกมาดูเร้วว...ออกมาดูเร็ว”
สุบรรณเปิดประตูออกไปโดยไม่มีใครสนใจสุบรรณสักคน แต่ละคนมุ่งหน้าไปยังลำน้ำโขงที่อยู่ด้านหน้าด้วยท่าทางตื่นเต้น สุบรรณสาวเท้าตามไป
ที่ริมน้ำโขงตอนเช้า แสงสีทองเริ่มจับที่ขอบฟ้า สุบรรณเห็นชาวบ้านมากมายมุงดูบางอย่างอยู่ที่ริมน้ำแห่งนั้น พร้อมเสียงพูดคุยดังอื้ออึงเซ็งแซ่ แต่ละคนต่างตื่นเต้น สุบรรณแหวกฝูงคนเข้าไปดู เห็นเป็นริ้วรอยของดินเหมือนมีน้ำหนักกดทับเลื้อยลงสู่ลำน้ำ ชาวบ้าน 1 ในนั้นบอกด้วยเสียงตื่นเต้น
“รอยพญานาค
สุบรรณตะลึง และยังได้ยินเสียงชาวบ้านคุยกันต่ออีกอย่างตื่นเต้น
“ช่วงนี้ท่านมาปรากฏให้เห็นบ๊อย บ่อย เป็นไรฮึ”
ชาวบ้านอีกคนเสริม “หรือท่านอยากจะมาบอกอะไรพวกเรา”
ระหว่างนั้นเสียงสตรีลึกลับ ซึ่งแท้จริงคือเจ้าอุรคา เปล่งวาจาออกมาด้วยเสียงเรียบเย็นดังก้องในหัวสุบรรณ
“จิตใจที่ว้าวุ่น ไม่มีทางเข้าสู่ฌานสมาธิได้ ถ้าท่านอยากรู้...ข้าจะทำให้ท่านรู้เอง”
สุบรรณตื่นตะลึง ขนลุกซู่ รู้สึกได้ณ บัดนั้น ว่าสิ่งที่ตนกำลังค้นหามันอยู่ใกล้เข้ามาทุกที
ติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 10 (ต่อ) เวลา 09.00 น.
ที่ร้านขายของเก่าของนาถสุดา มะลิปัดกวาดเช็ดถูข้าวของในร้านตามปกติ ส่วนนาถสุดานั่งนิ่ง ในมือถือไม้แกะสลักรูปพญานาคครุ่นคิด คำพูดของพันเอกนรินทร์ที่ว่า...อยากรู้อะไร ต้องเข้าใกล้สถานที่ใกล้ชิดสิ่งนั้น ดังก้องในหัวหู
“งั้นคุณศิษฐ์เข้าไปในบ้านพี่สุบรรณ ก็หมายความว่า...คุณศิษฐ์กำลังสงสัยในตัวพี่สุบรรณ”
ไพศิษฐ์เดินเข้ามาในร้านหน้าเครียด ท่าทางเป็นกังวล
“นาถ”
นาถสุดาวางไม้แกะสลักลงเดินหนีไปมุมอื่นท่าทางยังโกรธอยู่ ไพศิษฐ์ตามไป
“คุณยังโกรธผมอยู่?”
“นาถไม่ได้โกรธค่ะ เพียงแต่คุณยังไม่ตอบคำถามนาถซักทีว่า คุณลอบเข้าไปในบ้านพี่สุบรรณทำไม? มันไม่ใช่เรื่องดีใช่มั้ยคะ”
“ผม” ไพศิษฐ์อึกอักไม่รู้จะอธิบายยังไง
นาถสุดาถามเสียงเข้ม “นาถถาม..ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีใช่มั้ยคะ”
ไพศิษฐ์จ้องหน้านิ่งๆ เหมือนชั่งใจ “ผมไม่แน่ใจ ว่านาถจะรับได้หรือเปล่า ถ้าผมจะพูดให้ฟัง”
“นาถขอฟังคุณศิษฐ์ก่อนได้มั้ยคะ แล้วนาถจะบอกว่านาถรับได้หรือเปล่า”
“นั่นล่ะคือสิ่งที่ผมกังวลใจ เพราะถ้านาถรับไม่ได้ นาถไม่เชื่อ มันอาจจะหมายถึงความสัมพันธ์ของเราที่จะต้องจบลง”
นาถสุดาชักใจไม่ดี “มันเรื่องอะไรคะคุณศิษฐ์?”
เวลาเดียวกันที่แสงทองริมโขง รีสอร์ทริมแม่น้ำโขง บรรยากาศเงียบสงบมองจากด้านหน้าหน้าของรีสอร์ท เห็นลำน้ำโขงนิ่งสงบเย็น ภุชคินทร์บอกดร.วิชัยสิงห์
“ชาวบ้านบอกผม ก่อนจะเป็นแสงทองริมโขง ที่นี่เคยเป็นที่ ชาวบ้านเห็นรอยพญานาคเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก”
“แสดงว่าที่นี่ มี สัญญา บางอย่างเกี่ยวข้องกับพญานาค” วิชัยสิงห์มองมา ให้ความมั่นใจภุคินทร์ “เพราะฉะนั้นผมมั่นใจ ว่าที่นี่ก็จะมีช่องทางเชื่อมโยงให้คุณชายรับรู้ในสิ่งที่คุณชายข้องใจเกี่ยวกับพญานาคได้เช่นกัน”
“ผมพร้อมแล้ว ที่จะให้ดร.พาผมไปรับรู้กับสิ่งมหัศจรรย์นั้น ผมอยากรู้คำตอบที่ผมเฝ้ารอ มานานแสนนาน”
สีหน้าของภุชคินทร์จริงจัง ดร.วิชัยสิงห์เยื้อนยิ้มพอใจ
ภายในห้องพักที่บรรยากาศในห้องเป็นโทนสีอ่อน อากาศโปร่ง โล่งสบาย ภุชคินทร์นอนอยู่ในท่าที่เตรียมพร้อมสำหรับการสะกดจิต เป็นเก้าอี้เอนนอนพัก ดร.วิชัยสิงห์หยิบลูกตุ้มขึ้นมา ลูกตุ้มนั้นแกว่งไปมาต่อหน้าภุชคินทร์
วิชัยสิงห์พูดด้วยน้ำเสียงสงบ สบายใจ เย็นๆ “มองที่นี่ สนใจแค่ที่นี่จุดเดียว”
ภุชคินทร์มองลูกตุ้มนิ่ง จนลูกตุ้มเคลื่อนไปที่ไหน สายตาของภุชคินทร์ก็มองตามไปทางนั้น
“ทำตัวให้ผ่อนคลาย หายใจเข้า...ลึกๆ...ช้าๆ...ผ่อนลมหายใจออก...ร่างกายผ่อนคลาย ละความภุชคินทร์ทำตาม ท่าทางของภุชคินทร์ผ่อนคลายเหมือนที่ดร.วิชัยสิงห์บอก
“ร่างกายผ่อนคลายเหมือนตุ๊กตาผ้าน้อยๆ... ศีรษะผ่อนคลาย..ใบหน้าผ่อนคลาย”
ภุชคินทร์ยามนี้เสมือนเป็นตุ๊กตาผ้าตัวน้อย ลอยในอากาศ
เสียงวิชัยสิงห์ บอกเป็นระยะ
“ทั่วทั้งร่างกายผ่อนคลาย...หายใจเข้า...ออก นุ่มนวล...รู้สึกร่างกายสบาย...รู้สึกถึงน้ำหนักบนเปลือกตา...ค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ”
ครู่หนึ่งลูกตุ้มค่อยๆ หยุดนิ่ง ขณะที่ภุชคินทร์รู้สึกหนักตา จึงค่อยๆ หลับลงเหมือนที่ดร.วิชัย
สิงห์บอก
“ค่อยๆ นับเลขในใจ...ระหว่างที่นับเลข ให้รู้สึกเหมือนร่างกายเหมือนลูกโป่งตกลงสู่พื้น...ช้าๆ”
ตุ๊กตาตัวน้อย ค่อยๆ ลอยลงมาจากฟ้าเหมือนลูกโป่ง ตกลงสู่พื้นน้ำ
เสียงวิชัยสิงห์ดังอยู่อย่างนั้น “20...ค่อยๆ จมลง...จมลง...19...จมลง...จมลง…18...17...”
วิชัยสิงห์นับเลขลดลงเรื่อยๆ ร่างของภุชคินทร์ค่อยๆ จมลงไปในน้ำ เหมือนกับตุ๊กตา
“คุณชายกำลังกลับลึกไปสู่อดีต....อดีตของคุณชาย"
ร่างของภุชคินทร์ดำดิ่งลงใต้ท้องน้ำแม่โขง ด้วยท่าทางที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ดวงตาของภุชคินทร์ สอดส่ายกวาดมองไปรอบๆ ดื่มด่ำกับสายน้ำราวกับเป็นสิ่งที่คุ้นเคย ร่างของภุชคินทร์พลิ้วไปกับสายน้ำ ก่อนจะกลายสภาพเป็นนาคาหนุ่ม
ภุชคินทร์รับรู้ และจ้องมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
เจ้าอุรคายืนอยู่อีกมุมหนึ่งที่ลำน้ำโขง ดวงตาของเจ้าอุรคาเปล่งประกายแห่งความยินดีออกมา ดวงหน้าสวยระบายยิ้มพรายทั่วหน้า ก่อนที่เจ้าอุรคาจะค่อยๆ สาวเท้าลงสู่ลำน้ำโขง และดำดิ่งลงภายใต้ท้องน้ำอย่างรวดเร็ว
ทางด้านสุบรรณนั่งลงต่อหน้าหลวงพ่อ พระอาจารย์ ที่ศาลาปฏิบัติธรรม ในวัด มีท่าทีฮึดฮัด ขัดใจ ภายในใจร้อนรุ่ม
“ผมทนไม่ไหวแล้วครับพระอาจารย์ ทนไม่ไหวแล้ว ผมต้องการความชัดเจน ไม่ใช่ให้ผม
เดาว่าสิ่งที่ผมเห็นมันเป็นอะไร เกี่ยวข้องกับผมยังไง?”
“ตอนนี้โยมกำลังร้อนรุ่มเหมือนไฟ ไฟมันก็กำลังเผาผลาญตัวของโยมเอง”
“ก็ผมทนไม่ไหวนี่ครับพระอาจารย์ พระอาจารย์ต้องช่วยผมๆ นะครับ ต้องช่วยผม”
หลวงพ่อทอดสายตามองมาอย่างปราณี “เมื่อโยมเรียกอาตมาว่าพระอาจารย์ทุกคำ อาจารย์จะทิ้งศิษย์ได้อย่างไร แต่ศิษย์ก็ต้องเชื่อฟังอาจารย์บ้าง”
“พระอาจารย์จะให้ผมทำอย่างไร ผมพร้อมทำทุกอย่าง”
หลวงพ่อบอกแน่วนิ่ง “ทำตัวให้นิ่ง สงบเย็นก่อน”
สุบรรณนิ่ง รู้สึกถึงการติเตียนสอนสั่ง มิใช่เป็นการด่าทอหรือต่อว่า สุบรรณสูดลมหายใจเข้าลึกๆเริ่มนิ่งลง
“ครับพระอาจารย์”
“หลับตา ตั้งสมาธิ แล้วท่องครุฑโฑ”
สุบรรณแปลกใจ สงสัย “ครุฑโฑ”
“โยมกำลังสงสัยไม่ใช่หรือ ว่ารอยพญานาคเกิดขึ้นมาเพื่อบอกอะไร” หลวงพ่อเอ่ยขึ้น
สุบรรณจ้องหน้าหลวงพ่อเจ้าอาวาส หลวงพ่อพูดต่อ
“ครุฑโฑ จะบอกโยมได้...จุดธูป เทียน บูชาพระรัตนตรัย”
สุบรรณจุดธูป เทียนบูชาพระรัตนตรัยตาม
“แล้วเอาน้ำและผลไม้ มาบูชาพญาครุฑ”
สุบรรณมองหน้าเจ้าอาวาส ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่มองด้วยความศรัทธา คือรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเกี่ยวข้อง กับครุฑ สุบรรณทำตาม ด้วยการหยิบน้ำและถาดผลไม้ที่วางอยู่บนแท่นบูชา มายกขึ้นเหนือศีรษะลักษณะเหมือนการประเคน ถวาย แล้ววางลง
“ทำจิตให้สงบ ระลึกถึง ครุฑโฑ....ครุฑโฑ...”
สุบรรณมองพระอาจารย์ท่องตาม “ครุฑโฑ....ครุฑโฑ”
สุบรรณค่อยๆ หลับตาลง ขณะที่ปากยังพึมพำว่าครุฑโฑ...ครุฑโฑ ในภวังค์ของสุบรรณ ยินเสียงของนกร้องหวีดหวิวดังก้อง และมันดังสะท้อนไปทั่ว เสมือนว่านกเหล่านั้น รวมตัวกันมาต้อนรับพญาครุฑ
ที่ดินแดนสวยแปลกตาแห่งหนึ่ง สุบรรณปรากฏตัวขึ้นที่วิมานฉิมพลี เป็นที่โล่งกว้าง ฟ้าเป็นสีฟ้า
บรรยากาศรอบตัวมีความเย็นสบาย สุบรรณกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างแปลกประหลาดใจ
“ที่นี่ที่ไหน”
สุบรรณค่อยๆ เดินมอง เห็นที่แห่งนั้น เป็นที่สูง รับรู้ถึงลมมาปะทะ ตัวอย่างแรง และแล้วสุบรรณก็รู้สึกว่า ตัวเองค่อยๆ ลอยขึ้นสูง ไม่ทันได้ตั้งตัว
“หา!”
สุบรรณเหลียวขวับมามองตัวเอง แล้วเขาก็เห็นปีกขนาดใหญ่ติดอยู่ที่ลำตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ร่างของสุบรรณลอยขึ้นไปในอากาศ และครู่ต่อมาสุบรรณก็รู้สึกลิงโลด เมื่อมองเห็นจมูกงองุ้มของอยู่ที่ดวงหน้าของเขาเอง
สุบรรณตระหนักรู้ในทันที ทั้งหมดนี้เป็นเขานั่นเอง และเขาคือ พญาครุฑ!!
มณีสวาท ตอนที่ 10 (ต่อ)
ร่างของสุบรรณนั่งนิ่งอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อเจ้าอาวาส ในขณะที่ภุชคินทร์ถูกสะกดจิตหลับอยู่บน
เก้าอี้ ดร.วิชัยสิงห์ รีบเอาเทปและกล้องมาแอบบันทึกทุกอิริยาบถของภุชคินทร์เอาไว้
สีหน้าของดร.วิชัยสิงห์ตื่นเต้นกระหายใคร่รู้มากๆ
บรรยากาศยามเย็นที่ลำน้ำโขง สวยงามเย็นตา ร่างของนาคภุชเคนทร์ดำผุดดำว่ายในลำน้ำอย่างสบายใจ และมีความสุข ทันใดนั้น ณ มุมหนึ่งของลำน้ำก็ปรากฏนาคอีกตัวพุ่งขึ้นมาแหวกว่ายในลำน้ำอย่างมีความสุข
เห็นท้องน้ำกระเพื่อมพลิ้ว ก่อนที่ร่างของนาคทั้งสองจะดำดิ่งหายไปใต้ลำน้ำ และพุ่งขึ้นมาใหม่ กลายเป็นร่างของภุชเคนทร์และอุรคาเทวียืนมองจ้องตากันด้วยความรักความเสน่หาอย่างสุดซึ้ง อุรคาเทวีเอื้อนเอ่ยอย่างยินดีปรีดา
“ภุชเคนทร์ ท่านกลับมาหาข้าแล้ว...ภุชเคนทร์”
ภายในห้องพัก ร่างภุชคินทร์ที่ถูกสะกดจิตอยู่พึมพำ
“เจ้าอุรคา...ท่านคือ อุรคาเทวี ที่รักแห่งเรา...ยอดรักแห่งเรา”
ดร.วิชัยสิงห์มองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น แทบไม่กะพริบตา ขณะที่กล้อง และเทปยังทำ
หน้าที่ของมันต่อไป บันทึกทุกอิริยาบถ ทุกวาจาของภุชคินทร์
ที่ลำน้ำโขง ร่างของเจ้าอุรคาและภุชเคนทร์ ในคราบมนุษย์โผเข้าหากัน
อุรคาเทวีกอดกระหวัดรัดแน่น “ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน...คิดถึงท่านเหลือเกิน” พร้อมกับร่ำไห้ออกมา ด้วยความดีใจ และตื้นตัน
ภุชเคนทร์พร่ำบอกทั้งน้ำตา “ข้าก็คิดถึงท่าน ระลึกถึงความรักที่ท่านมีต่อข้า อุรคาเทวี ข้าขอโทษ...
ข้าขอโทษ”
“คำใดก็ไม่มีความหมาย เมื่อข้ามีท่านยืนอยู่ตรงนี้ ภุชเคนทร์”
ภุชเคนทร์มองหน้าอุรคาเทวีเต็มตื้น น้ำตาไหล ด้วยรู้สึกผิด เสียใจ ก่อนจะดึงร่างของอุรคาเทวีเข้า
มากอดแนบแน่นแน่นยิ่งกว่าเดิม
“ข้ารักท่าน...รักท่านเหลือเกิน อุรคาเทวี”
สองคนโผเข้าหากันจุมพิตอย่างดูดดื่ม
ระหว่างนั้นบนท้องฟ้า ยินเสียงนกร้อง ลมกระพือแรง อย่างน่ากลัว ท้องน้ำที่สงบเงียบร่มเย็น กระเพื่อมขึ้นมาด้วยแรงลม
ร่างของภุชเคนทร์และอุรคาเทวีผละออกจากกัน เหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สองคนมองไปบนท้องฟ้า พญาสุบรรณกำลังโผบินอยู่บนท้องฟ้าเหนือน่านน้ำ และกำลังลอยดิ่งทะยานลงมา ดวงหน้าของพญาสุบรรณโกรธกริ้วน่ากลัว ทั้งสองตกใจมาก
“พญาสุบรรณ”
ภุชคินทร์ในคราบของภุชเคนทร์ตกตะลึงเมื่อเห็นหน้าของพญาสุบรรณชัดเจน
ภายในห้องพักที่แสงทองริมโขงรีสอร์ท ร่างของภุชคินทร์ ที่ถูกสะกดจิตหลับตา มีท่าทีกระส่ายกระสับ แสดงออกถึงความตกใจ กริ่งเกรงหวาดกลัว
ภุชคินทร์พูดลนๆ รัวๆ “พญาสุบรรณ...คือท่านสุบรรณ...พญาสุบรรณ คือท่านสุบรรณ”
ขณะเดียวกันที่ศาลาปฏิบัติธรรมในวัด ร่างสุบรรณที่นั่งหลับตาอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อ มีท่าทีโกรธเกรี้ยว เปล่งวาจาออกมา
“คุณชายภุชคินทร์ ไอ้ภุชเคนทร์!”
พญาสุบรรณโฉบลงมาด้วยความโกรธกริ้ว พร้อมชี้หน้าภุชเคนทร์ด้วยเสียงอันทรงอำนาจ
“หยุดเดี๋ยวนี้ภุชเคนทร์ เจ้าไม่มีวันให้เจ้าครองรักกับอุรคาเทวีโดยเด็ดขาด”
พญาสุบรรณโฉบลงมา ฉกร่างของอุรคาเทวีขึ้นไปเหนือน่านน้ำลำน้ำโขง อุรคาเทวีดิ้นรนขัดขืน
ภุชเคนทร์ตะเบ็งเสียงพยายามช่วยแต่เอื้อมไม่ถึง “ปล่อยอุรคาเทวีเดี๋ยวนี้พญาสุบรรณ”
พญาสุบรรณไม่กลัว ขึ้นเสียงดังกว่า “ไม่ปล่อย”
อุรคาเทวีดิ้นรน “ข้าบอกให้ปล่อย” เสียงเข้ม “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ พญาสุบรรณปล่อยข้า”
“นาคอย่างพวกเจ้า จะทำอะไรพญาครุฑอย่างข้าได้”
นาคภุชเคนทร์ไม่ตอบ แต่กระโจนร่างขึ้นไป เห็นเป็นพญานาคขนาดใหญ่ ตวัดรัดร่างของพญาสุบรรณ โดยเกี่ยวช่วงเอว ลงมาที่เท้า
ขณะที่อุรคาเทวีก็กลายร่างเป็นนางพญานาคี พุ่งเข้ารัดพญาสุบรรณ คำรามสู้อีกแรง
บนท้องฟ้า แลเห็นพญานาคสองตัวรัดพญาครุฑอย่างไม่ครั่นคร้าม พญาครุฑหัวเราะเยาะดังกึกก้อง
“สู้ไปก็ตายเปล่า ในสามโลก ไม่มีใครต้านพละกำลังอันมหาศาลของพญาครุฑอย่างข้าได้”
พญาสุบรรณหัวเราะก้อง กระพือปีกแรง ทันใดนั้นเองก็เกิดลมแรงมหาศาลพัดกระหน่ำ ร่างของพญานาคอุรคาหล่นกระแทกท้องน้ำอย่างแรง ร่างของอุรคาเทวีดำดิ่งลงไปใต้ท้องน้ำ ตามแรงกระแทก ของพญาสุบรรณ
พญาสุบรรณใช้กรงเล็บแหลมคมทึ้งร่างของนาคภุชเคนทร์ พญาสุบรรณหัวเราะสะใจ
ภุชเคนทร์ร้องออกมาด้วยเจ็บปวดแทบขาดใจ “โอ๊ย.....”
ที่ใต้แผ่นน้ำอุรคาเทวีได้ยินเสียงร้องของภุชเคนทร์ก้องท้องน้ำด้วยความเจ็บปวด
“ท่านภุชเคนทร์”
อุรคาเทวีพยายามกัดฟัน ทะยานร่างขึ้นไป
บนท้องฟ้า กรงเล็บของพญาสุบรรณยังจิกเข้าที่ลำตัวของนาคภุชเคนทร์ เลือดของภุชเคนทร์กระ
จายทั่วท้องน้ำ พญาสุบรรณหัวเราะก้องสะใจ ยิ่งได้กลิ่นคาวเลือดยิ่งคลั่ง
“ภุชเคนทร์ เจ้าตายซะเถอะ!”
พญาสุบรรณใช้กรงเล็บจิกทึ้งร่างของนาคภุชเคนทร์แล้วออกแรงเหวี่ยงอย่างแรง ร่างของนาคภุชเคนทร์ลอยละลิ่วไปไกลสุดลูกหูลูกตา
ร่างของภุชเคนทร์ในคราบมนุษย์ร่วงลงมากระแทกบนพื้นอย่างแรง ภุชเคนทร์กระอักเลือดด้วยความเจ็บปวด เห็นเลือดทะลักออกมาเป็นสีเขียวเข้มจัดหรือนาคสวาทนั่นเอง
ร่างที่ภุชคินทร์ที่ถูกสะกดจิต สีหน้าเจ็บปวดแทบขาดใจ
“เจ็บ...ข้าเจ็บ...เหลือเกิน”
สีหน้าของภุชคินทร์เจ็บปวด แต่เต็มไปด้วยโกรธแค้น ดร.วิชัยสิงห์จ้องมองตาไม่กะพริบ เอากล้องที่
ถ่ายซูมใบหน้าของภุชคินทร์เข้าไป ภุชคินทร์กัดฟันกรอด เจ็บปวด โกรธ
“พญาสุบรรณ ไอ้สุบรรณ!”
ส่วนสุบรรณที่นั่งสมาธิอยู่ในวัด ดวงตาที่หลับสนิทอยู่ เคลื่อนไหวไปมาเหมือนเจ้าตัวกำลังตื่นเต้น
ตกใจ รู้สึกสลดใจในสิ่งที่เกิดขึ้น สุบรรณส่ายหน้าไปมาเหมือนปฏิเสธสิ่งที่กำลังได้ไปสัมผัส
“ไม่...ไม่ ไม่ อุรคาเทวี ท่านต้องมาช่วย มาช่วย”
ที่ลำน้ำโขง ร่างของอุรคาเทวีโผล่ขึ้นมาจากท้องน้ำ ดวงตาของอุรคาเทวีกวาดสายตามองไป
รอบๆ อย่างตื่นกลัว
“ภุชเคนทร์ ท่านอยู่ไหน ภุชเคนทร์”
เสียงของภุชเคนทร์ที่ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดดังขึ้น อุรคาเทวีว่ายน้ำไปตามเสียงทันที
ร่างของภุชเคนทร์นอนจมกองเลือดสีเขียวเข้ม ด้วยความเจ็บปวดแทบขาดใจ ลมพัดแรงตามจังหวะการ กระพือปีกของพญาสุบรรณ ที่บินตามมา จนต้นไม้รอบบริเวณแทบหักโค่น พื้นดินตลบไปด้วยฝุ่น และเศษใบหญ้า เห็นภุชเคนทร์นอนกระอักเลือดอยู่บนพื้นดิน
พญาสุบรรณโฉบลงมาเงื้อกรงเล็บจิกเข้าที่ร่างของภุชเคนทร์กระชากขึ้นไปอีก หัวเราะก้องอย่างสะใจ พญาสุบรรณกลายร่างเป็นมนุษย์
“กล้ามากที่มาอหังการ์กับข้า แย่งหัวใจรักของข้า” พญาสุบรรณขย้ำจิกร่างภุชเคนทร์ขึ้น กระชากอย่างโกรธแค้น “เจ้าต้องตาย ภุชเคนทร์ เจ้าต้องตาย”
พญาสุบรรณกระแทกร่างภุชเคนทร์ลงกับพื้นอย่างแรง ภุชเคนทร์เจ็บปวดจนกระอักเลือดออกมาเป็นสีเขียวมรกต หรือมรกต พญาสุบรรณหัวเราะกึกก้อง
ภุชเคนทร์ฝืนกายจะลุกขึ้นมา เท้าของพญาสุบรรณถีบเข้าที่หน้าอกของภุชเคนทร์อย่างแรงและเหยียบเอาไว้ อย่างดูหมิ่น เหยียดหยาม ฝ่ายภุชเคนทร์รู้สึกถึงความเป็นผู้แพ้ อับอาย ถูกทำลายศักดิ์ศรีและสู้ไม่ได้
ภุชเคนทร์เห็นเท้าของพญาสุบรรณอยู่ตรงหน้าตัวเอง พญาสุบรรณหัวเราะเยาะดังกึกก้องอย่างสาแก่ใจ ก่อนจะเงื้อมมือกระชากร่างของภุชเคนทร์ขึ้นมาใหม่ ถามเย้ย
“เจ็บใช่มั้ย? ภุชเคนทร์ เจ้าเจ็บใช่มั้ย?”
ภุชเคนทร์เจ็บปวดปางตาย ดวงตามีแต่ความเว้าวอน ยอมรับความพ่ายแพ้โดยดุษฎี ขณะที่พญาสุบรรณเย้ยอีก
“ฉันจะช่วยให้แกไม่ต้องเจ็บอีกต่อไป”
พญาสุบรรณใช้มืออันทรงพลังตวัดร่างของภุชเคนทร์ขึ้นมา อุรคาเทวีวิ่งมาพอดี เห็นร่างของภุชเคนทร์อยู่เหนือศีรษะ และพญาสุบรรณกำลังจะทุ่มภุชเคนทร์ลงมา
อุรคาเทวีตะโกนสุดเสียง “อย่า.....”
พญาสุบรรณหันมามองอุรคาเทวี ตาต่อตาประสานกัน อุรคาเทวีมองอ้อนวอนขอร้อง แต่พญา
สุบรรณ หันมามองเย้ยหยัน ก่อนจะทุ่มร่างของภุชเคนทร์ลงมา อุรคาเทวีตะโกนก้อง
“อย่า”
ร่างของภุชเคนทร์ร่วงลงมากระแทกพื้น ต่อหน้าอุรคาเทวีมองตื่นตะลึง พญาสุบรรณหัวเราะก้อง
สะใจ อุรคาเทวีโผเข้ามายังร่างของภุชเคนทร์ที่นอนนิ่ง ตาเบิกโพลง เลือดสีเขียวอ่อนจางๆ ปนเปื้อนด้วยสีเลือดไหลออกมาเป็นครุฑธิการ อุรคาเทวีตรงไปกอดประคองร่างของภุชเคนทร์ร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
“ภุชเคนทร์ ท่านต้องไม่เป็นอะไรภุชเคนทร์”
“ข้า...เจ็บปวดเหลือเกิน...เจ็บปวดเหลือเกิน”
อุรคาเทวีละล่ำละลัก “ข้าจะใช้พลังของข้า ช่วยท่าน”
“ท่านช่วยไม่ได้...ไม่มีใครช่วยได้”
“ได้สิ...ท่านลืมไปแล้วหรือ...ว่าเราคือพญานาค เรารักษาตัวเองได้ เยียวยาตัวเองได้”
“ถึงอย่างไร ก็พ่ายแพ้แก่พญาครุฑอยู่ดี ข้าจะไม่เกิดเป็นพญานาคอีก...” ภุชเคนทร์บอกเข้ม จริงจังและตั้งใจ “ข้าขอสาบาน!! ข้าจะไม่เกิดเป็นพญานาคอีกไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน”
อุรคาเทวี “ไม่! ภุชเคนทร์ ท่านอย่าสาบานอย่างนี้”
ภุชคินทร์ใกล้จะหมดลม “ไม่ว่าชาติไหนๆ ข้าก็จะไม่ขอเกิดเป็นนาคอีก”
ร่างของภุชเคนทร์ขาดใจตายในอ้อมอกของอุรคาเทวี
อุรคาเทวีหัวใจสลาย กรีดร้องสุดเสียง “ม่าย.....ภุชเคนทร์ ไม่...ท่านอย่าจากข้าไป อย่าจากข้าไป”
พญาสุบรรณมองภาพตรงหน้าอย่างสาแก่ใจ
“จำไว้...ไม่มีใครเอาชนะพญาครุฑอย่างข้าได้...ไม่มีใครเอาชนะพญาครุฑอย่างข้าได้”
พญาสุบรรณหัวเราะดังกึกก้อง สะท้านสะเทือนไปทั่วลำน้ำโขง
ค่ำคืนนั้น ร่างสุบรรณหลุดออกจากสมาธิ นั่งหอบหายใจอย่างเหนื่อยหนัก สีหน้าตื่นเต้น ตระหนกตกใจ และเศร้าสลดกับสิ่งที่ได้รับรู้และพบเจอ
ส่วนทางด้านภุชคินทร์ที่ถูกสะกดจิตอยู่ ยังมีอาการเจ็บปวดเหมือนคนกระอักเลือด กล้องวิดีโอของวิชัยสิงห์แอบจับภาพไว้ทุกอิริยาบถ เห็นภุชคินทร์ทำท่าเหมือนจะขาดใจ เช่นเดียวกับนาคาภุชเคนทร์วิชัยสิงห์ตื่นตกใจ ด้วยเกรงว่าภุชคินทร์จะเป็นอะไรไป
“กลับมาได้แล้วคุณชาย” เสียงวิชัยสิงห์เข้มขึ้น “กลับมา”
สีหน้าภุชคินทร์กระส่ายกระสับเหมือนยังจมอยู่กับความเจ็บแค้นในอดีต วิชัยสิงห์สั่งอีก
ด้วยน้ำเสียงเข้มกว่าเดิม กระตุ้นแรงๆ “กลับมาคุณชาย กลับมา!”
นั่นแหละร่างของภุชคินทร์จึงสะดุ้งเฮือก รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ดวงตาของภุชคินทร์เต็มไปด้วยความเจ็บแค้น ชิงชัง และอาฆาตพยาบาท
ภุชคินทร์ตะโกนก้อง “ฉันขอสาบาน ฉันจะจองล้างจองผลาญแกไอ้สุบรรณ!”
ค่ำคืนนั้นเจ้าอุรคาหน้าซีดเผือด ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“อย่า...ภุชเคนทร์ ท่านจะทำอย่างนั้นไม่ได้!”
เจ้าอุรคาได้แต่กรีดเสียงดังก้องไปทั่วท้องน้ำในลำน้ำโขงอันเงียบสงัด
ภุชคินทร์ขับรถมาตามทางด้วยความเร็วสูงมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ สีหน้าและแววตาของภุชคินทร์แค้นและเอาเรื่องอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ด้านวิชัยสิงห์อยู่ที่ห้องพักในรีสอร์ทแสงทองริมโขง หยิบกล้องและเครื่องบันทึกเสียงออกจากที่ซ่อน ดวงตาของวิชัยสิงห์ลิงโลดดีใจมาก
วันต่อมาที่บ้านพันเอกนริทร์ นาถสุดานั่งหน้าเครียด ไม่สบายใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความวุ่นวายใจสับสน
“นาถไม่อยากจะเชื่อว่าพี่สุบรรณจะอยู่เบื้องหลังการโจรกรรมเพชร นาถไม่เชื่อคุณศิษฐ์หรอกว่าพี่สุบรรณจะเป็นคนร้าย สั่งให้ลูกน้องฆ่าคนตาย เพื่อปกปิดความลับของตัวเอง”
“ที่นาถไม่เชื่อ เพราะสุบรรณคือพี่ชายของนาถ” ผู้พันนรินทร์เอ่ยขึ้นท่าทีสงบ เยือกเย็นอย่างเคย
“แล้วคุณพ่อเชื่อหรือคะ”
“พ่อฟัง...แต่ยังไม่เชื่อ จนกว่าจะได้เห็นหลักฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
“แล้วถ้าตำรวจมีหลักฐานจริงๆ ล่ะคะ”
“เราก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น แม้ว่าใจเรา จะไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นก็ตาม!”
นาถสุดาตกใจ เสียใจ ร้องไห้กอดพ่อ สีหน้าหวาดหวั่น ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย
ตอนกลางวันของวันนั้น ไพศิษฐ์เดินมาทำงานหน้าเครียด ร้องเรียกหาจ่าชิด ลูกน้องคนสนิท
“จ่าชิด”
จ่าชิดนั่งหลับอยู่ที่โต๊ะทำงาน ไพศิษฐ์มองมาเห็น เดินมาหาเรียกอีกเสียงยังไม่ได้ดังมาก
“จ่าชิด”
“หือ” จ่าชิดหลับต่อเคี้ยวน้ำลายหยับๆ
คราวนี้ไพศิษฐ์ทุบโต๊ะดังปัง “จ่าชิด”
จ่าชิดสะดุ้งเฮือก ลุกพรวดขึ้นมาตาเหลือก “ครับพ๊ม” แล้วแก้ตัวใหญ่ “พอดี..เล่นไพ่ เอ๊ย วิ่งจับไพ่มาทั้งคืน”
ไพศิษฐ์ลากเสียงถาม “จะบอกทำไม เมื่อคืนก็วิ่งมาด้วยกันผมไม่เห็นจะมานั่งหลับต่อเหมือนจ่าเลย”
“แหะๆ เพราะงี้ผมถึงได้เป็นแค่จ่า และผู้กอง ถึงได้เป็นผู้กองไงครับ” จ่าชิดทำทะเล้นใส่
“แก้ตัวทั้งปี แล้วข้อมูลที่ผมให้ขอจากเจ้าประกายคำได้มาแล้วหรือยัง”
“ได้แล้วครับ” รีบเดินไปเอามาให้ “นี่คือรายการเพชรที่ถูกโจรกรรมไป”
ไพศิษฐ์รับแฟ้มข้อมูลมากวาดสายตาอ่าน เสียงโทรศัพท์ของสน.ดังขึ้น จ่าชิดรับ
“สวัสดีครับ ที่นี่สน....ครับ จ่าชิด ดอกไม้หอม รับสายครับ” จ่าชิดนิ่งฟัง “เจ้าหน้าที่ตำรวจจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับพ๊ม!” แล้ววางสาย
ไพศิษฐ์ซึ่งอ่านแฟ้มอยู่ สงสสัย “มีอะไรจ่า”
จ่าชิดรีบรายงาน “พลเมืองดีแจ้งมาว่า มีคนพยายามจะบุกคฤหาสน์ของท่านสุบรรณครับ”
ไม่นานหลังจากนั้น จ่าชิดขับรถมากับไพศิษฐ์ที่มุมหนึ่งของถนนบริเวณหน้าคฤหาสน์อันใหญ่โตของสุบรรณ สองคนก้าวลงมามองภาพในระยะห่าง เห็นไทยมุงอออยู่เต็ม รวมทั้งทัพนักข่าว และเห็นภุชคินทร์ที่บ้าดีเดือดหลุดแล้ว พยายามจะเข้าไปด้านใน โดยมีรปภ. และบอดี้การ์ดของสุบรรณผลัก กระชากร่างออกมา
“ปล่อย! ผมจะเข้าไป ปล่อย”
อำนาจถลันเข้าขวางหน้า “ผมบอกคุณชายแล้วไงว่าท่านสุบรรณไม่อยู่”
“ผมไม่เชื่อ” ภุชคินทร์ตวัดเสียงใส่
“จู่ๆ ทำไมคุณชายกลายเป็นคนไร้เหตุผลไปซะได้”
ภุชคินทร์เสียงกร้าว บุคลิกเปลี่ยนไปไม่เหมือนคนเดิม “เพราะเจ้านายของคุณมันทำผม”
อำนาจตกใจ เหมือนวัวสันหลังหวะ เพราะสุบรรณเคยสั่งฆ่าภุชคินทร์ มาครั้งนี้เลยนึกว่าสุบรรณจะทำจริงๆ อำนาจเลยยิ่งกวาดสายตามองอย่างระแวง แล้วเห็นนักข่าวมาทำข่าวกันเต็มทุกสำนักก็ยิ่งระแวงหนัก บอกคุณชายเสียงแข็ง
“ท่านสุบรรณจะไปทำอะไรคุณชายได้ ในเมื่อตอนนี้ท่านไปรักษาศีลนั่งวิปัสสนาอยู่ที่วัด”
ภุชคินทร์ไม่เชื่อ ตะคอกใส่อำนาจ
“คนเลวอย่างมันน่ะเหรอจะไปวัด”
หมู่มวลทุกคนแตกตื่น นักข่าวเองก็ยิ่งฮือฮา เห็นชัดว่าคุณชายผู้ขรึมเคร่งและสุภาพเปลี่ยนไป นาทีนั้นที่ด้านหลังไพศิษฐ์วิ่งเข้ามา รีบร้องห้าม
“หยุดชายหยุด”
“นายไม่ต้องมาห้ามฉัน” ภุชคินทร์ตะโกนต่อ “บอกไอ้สุบรรณมันออกมา ออกมา”
“ก็ผมบอกแล้วไง ท่านไม่อยู่ ท่านไปวัด” อำนาจว่า
ภุชคินทร์ตะคอกดังขึ้น “ไม่ต้องเอาวัดมาคุ้มกะลาหัว คนเลวอย่างมันไม่มีทางเข้าวัดได้”
ไพศิษฐ์บอกเสียงเข้ม “แต่ตอนนี้ท่านสุบรรณอยู่ที่วัดจริงๆ ชาย”
ภุชคินทร์หันมามองไพศิษฐ์ แต่ยังไม่เชื่อ ไพศิษฐ์ย้ำคำ
“ท่านสุบรรณอยู่ที่วัดจริงๆ ที่ธาตุพนม!”
ภุชคินทร์อึ้ง ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ ไพศิษฐ์หันไปบอกอำนาจ
“ขอโทษครับ...คงมีเรื่องเข้าใจผิดกัน” ไพศิษฐ์หันมาบอกนักข่าวและไทยมุง “ขอทางหน่อยครับ ขอทางหน่อย”
ไพศิษฐ์ลากภุชคินทร์ที่ดูเหมือนยังงงๆ อึ้งๆ ออกมา นักข่าวคนหนึ่งยื่นไมค์จ่อปาก
“ทำไมคุณชายทำอย่างนี้ครับผู้กอง ท่านสุบรรณทำอะไรให้คุณชาย”
“เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับ ผมขอตัวก่อน”
ไพศิษฐ์ตัดบท พาภุชคินทร์ฝ่าวงล้อมผู้คนออกไปอย่างเร็ว
ไม่นานต่อมา ภายในวังนาเคนทร์ยามนั้น ภุชคินทร์นั่งอึ้ง ท่าทางเหนื่อยๆ แต่ดวงตากร้าวเอาเรื่อง ทุกคนมีสีหน้าตื่นตระหนก
“มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงได้บุกไปบ้านท่านสุบรรณอย่างนั่นล่ะชาย” หม่อมภาณีถามด้วยความสงสัย
“ตอนที่มีคนโทร.มาบอกน้า น้าไม่เชื่อเลย ชายที่สุขุม เยือกเย็น จะทำอย่างนั้นได้ยังไง” ภิงคารเสริม
หม่อมภาณีห่วงลูกชายมากๆ “ชายรู้มั้ย ข่าวที่ออกมา มันเสื่อมเสียเกียรติของชายแค่ไหน”?
“ก็ไอ้สุบรรณมันหยามเกียรติผม” ภุชคินทร์สบถออกมาอย่างดุดัน
ภิงคารงวยงงไม่ต่างจากอีกสองคน “ท่านสุบรรณทำอะไรให้ชาย”
“มันทำร้ายผม มันเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของผม มันพรากหัวใจผม ผมจะเอามันคืน”
ดวงตาของภุชคินทร์วาววับ เหี้ยมเกรียม แข็งกร้าว อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกคนตะลึงได้แต่มองหน้ากัน หนักใจ
เจ้าอุรคานั่งนิ่งอยู่บนแท่นศิลาภายในห้องลับ เฮือนภูจำปา มีสีหน้าและแววตากลัดกลุ้มใจอย่างมาก ยมนาปรากฏร่างขึ้น บอกด้วยน้ำเสียงกร้าว
“เจ้าเห็นแล้วใช่มั้ยอุรคา สิ่งที่เจ้าทำลงไปเป็นเช่นไร”
สีหน้าของเจ้าอุรคาซีดเผือด ตำเตือนของยมนาครั้งก่อนดังก้องในหัว
“เพียงมนุษย์ผู้หนึ่งระลึกชาติได้ ความอาฆาตพยาบาทจะเกิดขึ้นอย่างมากมายโดยเฉพาะกับนาคาภุชเคนทร์”
เจ้าอุรคา แววตาสลดลง ด้วยความเสียใจ “ข้าไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้ ข้าไม่ได้ต้องการให้ภุชเคนทร์ อาฆาตแค้นพยาบาท ข้าเพียงแต่ต้องการให้ภุชเคนทร์ระลึกถึงอดีตชาติได้ เพื่อถอนคำสาบานนั้นเสีย”
“เจ้าก็รู้....ไม่มีใครกำหนดอะไร ให้เป็นไปตามความต้องการของตัวเองได้”
เจ้าอุรคาเสียใจ ร้องไห้ คร่ำครวญ “แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไร”
“ถอนตัวเองออกจากบ่วงมารนั้นเสีย!” ยมนาบอก
เจ้าอุรคารีบปฏิเสธ ไม่อาจยอมรับได้ “ไม่ ท่านภุชเคนทร์ไม่ใช่มาร เขาเป็นยอดรักแห่งข้า”
“ใช่...นาคาภุชเคนทร์ไม่ใช่มาร แต่ใจที่พอกพูนด้วยกิเลสของเจ้าต่างหากที่ คือมาร!” ยนาว่า
“ยมนา!” เจ้าอุรคาไม่พอใจ
“สาแก่ใจเจ้าแล้วใช่มั้ย ที่อยากให้เขาระลึกชาติได้ มาวันนี้ทั้งพญาสุบรรณและท่านภุชเคนทร์ต่างระลึกชาติได้...” ยมนาทอดเสียงแต่เข้มขณะกล่าวต่อมา “และเขาทั้งสองจะตามมาเพื่ออาฆาตแค้น จองเวรต่อกัน โดยไม่ได้มีใจพิศวาสต่อเจ้าแม้แต่นิดเดียว”
เจ้าอุรคายิ่งร้องไห้หนัก “ไม่...ภุชเคนทร์รักข้า ภุชเคนทร์รักข้า”
ยมนาย้อนถาม “เจ้าแน่ใจหรือ...งั้นเจ้าก็ไปขอร้องท่านภุชเคนทร์ให้ละซึ่งความพยาบาทสิ”
คราวนี้เจ้าอุรคาอึ้ง สายตาบ่งบอกชัดเจน รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ ยมนามองมายังนางพญานาคีอย่างเวทนา ทอดเสียงอ่อนลง
“เจ้ารู้ว่าทำไม่ได้ เพราะตอนนี้ไฟอาฆาตในใจของภุชเคนทร์ได้ปะทุขึ้นแล้ว”
เจ้าอุรคาร้องไห้โฮ ยมนาพูดต่อ
“แล้วเจ้าก็รู้...ถึงนาคาภุชเคนทร์จะตามจองล้างจองผลาญพญาสุบรรณแค่ไหน “นาคก็ไม่มีวันชนะครุฑได้” ถึงวันนี้เจ้ากำลังสร้างวิบากกรรมให้แก่คุณชายภุชคินทร์และท่านสุบรรณ เจ้ากำลังทำลายคนถึงสองคนด้วยมือของเจ้าเอง อุรคา”
“ไม่าย.....”
เจ้าอุรคาหวีดร้องออกมาสุดเสียง ร้องไห้เสียใจเป็นอย่างมาก ส่วนอีกมุมหนึ่ง ชรายุเฝ้ามองอยู่ น้ำตาคลอ สงสารเจ้าอุรคายิ่งนัก
ภุชคินทร์ขับรถออกมานอกวังด้วยหน้าตาโกรธเกรี้ยว เคียดขึ้ง
“ไม่ว่าแกอยู่ไหน ฉันก็จะไปตามแกให้เจอ ไอ้สุบรรณ”
ภุชคินทร์ขับรถทะยานมาด้วยความเร็วสูง แต่แล้วขับมาได้สักระยะ ก็ต้องเบรกสุดตัว เมื่อเห็นร่างเจ้าอุรคาปรากฎตัวขึ้นอย่างกระทันหัน ราวกับหายตัวมา
“เจ้าอุรคา”
เจ้าอุรคาร้องไห้มองมาด้วยความเสียใจ “คุณชาย”
ภุชคินทร์ลงจากรถเร็วรี่ สองคนโผเข้ากอดกันแน่น ต่างรับรู้ถึงความรัก ความโหยหา เจ้าอุรคาร่ำไห้ละล่ำละลักขอโทษ
“ฉันขอโทษ...ฉันไม่ได้ต้องการทำให้คุณชายแปดเปื้อนความเลวร้ายทุกอย่าง ฉันเพียงต้องการให้คุณชายระลึกชาติได้ จดจำความรักของเราได้ จดจำถึงสิ่งที่คุณชายเคยให้สัตย์สาบานไว้ได้”
ภุชคินทร์มองมาน้ำตาคลอๆ ด้วยความเสียใจ “อย่าโทษตัวเองเลยเจ้าอุรคา...ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ขอโทษที่ไม่เคยระลึกถึงอดีตชาติได้ ไม่เคยระลึกถึงความรักที่เจ้ามีต่อผมได้ ทั้งๆ ที่เจ้าพยายามที่จะบอกผมตลอดเวลา ถึงตอนนี้...ผมรู้แล้วว่าผมคือใคร ผมรู้แล้วว่าหัวใจของผมมีไว้เพื่อใคร...ผมรักคุณ เจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์ดึงร่างของเจ้าอุรคามากอดแนบแน่น เจ้าอุรคาร้องไห้น้ำตาไหลพราก เป็นน้ำตาที่กลั่นออกมาด้วยความปลื้มปีติ
“ข้ารักท่านเหลือเกิน ภุชเคนทร์”
ทั้งสองกอดกันแนบแน่น ด้วยความรักเต็มหัวใจ
มณีสวาท ตอนที่ 10 (ต่อ)
ด้านเฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลี ขับรถกันมาตามทาง เข้าสู่ถนนหน้าวังแล้ว สองแม่ลูกเมาท์มอยกันเรื่องภุชคินทร์บุกคฤหาสน์สุบรรณ
“แม่ต้องรู้ให้ได้ อะไรทำให้คุณชายคลั่ง จนบุกไปบ้านท่านสุบรรณอย่างนั้น”
เฟื่องวลีหน้านิ่ว “จะเรื่องอะไรก็ช่างเถอะค่ะคุณแม่...ฟีบี้ว่าตอนนี้พี่ชายไม่ใช่ชายในฝันของฟีบี้แล้ว
นะคะ เป็นถึงคุณชาย ไปทำอะไรอย่างนั้นได้ยังไง เสียเกียรติ อี๋! ไม่น่าชอบแล้วค่ะ”
เฟื่องฟ้าทำท่าขนลุก “หรือเป็นเพราะคุณชายไปยุ่งกับเจ้าอุรคา”
“ยุ่งกับนังงูผี?” เฟื่องวลีนึกได้ ตาโต “อาจจะเป็นไปได้นะคะคุณแม่..ไปยุ่งกับผี เลยมีอาเพศเกิดกับตัวเอง”
เฟื่องฟ้าผสมโรง “เหมือนคนเล่นของไง เล่นจนเข้าตัวเองสุดท้ายก็ต้องเป็นคนบ้า”
“แล้วเราจะบ้าขับรถไปวังเค้าทำไมคะ?”
“อยากรู้ไง...รู้ไว้ก่อน แล้วค่อยคัดทิ้งทีหลัง”
“ก็ได้ค่ะ...แล้วค่อยคัดทิ้ง เก็บเป็นสแปร์ไว้ก่อนก็ได้ค่ะ”
สองแม่ลูกหัวเราะคิกคัก เฟื่องวลีเหยียบรถพุ่งไป
ที่ถนนหน้าวังนาเคนทร์ยามนั้น ภุชคินทร์ถอนตัวจากเจ้าอุรคา แล้วจับมือเจ้าแน่น
“ตั้งแต่วินาทีนี้ผมพร้อมไปกับเจ้าทุกหนทุกแห่ง เพื่อชดเชยช่วงเวลาที่หายไปของเรา”
“ถ้าเช่นนั้น...ฉันจะพาคุณไปยังที่ของสองเรา”
ภุชคินทร์จับมือเจ้าอุรคาแน่น พาขึ้นไปบนรถ
เวลาเดียวกัน เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีขับรถสวนมา เฟื่องฟ้าเห็นร้องวี๊ด
“หยุ้ดดดด...ฟีบี้”
เฟื่องวลีงง ยังไม่ยอมหยุด “หยุดทำไมล่ะคะคุณแม่”
“แม่บอกให้หยุดๆๆๆๆ”
เฟื่องวลีเบรกเอี๊ยด เฟื่องฟ้าละล่ำละลัก ชี้ไปที่ข้างทางอีกฝั่ง
“นั่นคุณชายนี่”
เฟื่องวลีหันขวับไปมอง “แล้วนั่น เจ้าอุรคา”
สองคนมองตะลึง ขณะที่ภุชคินทร์พารถทะยานออกไป เฟื่องวลีกรี๊ด เฟื่องฟ้าตกใจถาม
“จะกรี๊ดทำไมลูก”
“ถึงพี่ชายจะเป็นบ้า...ฟีบี้ก็หวงค่ะแม่”
เฟื่องวลีได้แต่ทำหน้าจะร้องไห้เสียดาย ขณะที่เฟื่องฟ้าบอก
“ก็น่าจะหวงอยู่หรอก ดึกป่านนี้แล้ว...สองคนจะไปไหนกัน...นอกจาก...ไปกิน”
สองแม่ลูกบอกพร้อมกัน “ตับ..ตับ...ตับ”
เฟื่องวลีกรี๊ดดดดด
สายน้ำในลำน้ำโขงไหลเรื่อย เงียบงามในยามเช้า แสงทองเพิ่งจับที่ขอบฟ้า รถของภุชคินทร์วิ่งมาจอดที่หน้าแสงทองริมโขงรีสอร์ท แล้วภุชคินทร์กับเจ้าอุรคาก็จับมือกันเดินลงมา สองคนยิ้มให้กัน ภุชคินทร์เป็นฝ่ายบอก
“นี่แหละคือที่ของสองเรา”
เจ้าอุรคายิ้มออกมาด้วยความยินดีเต็มตื้นในใจ
ครู่ต่อมา ภุชคินทร์กับเจ้าอุรคาจูงมือกันวิ่งลงมาที่ลำน้ำโขง สองคนแหวกว่ายธารา ดำผุดดำว่ายอย่างร่าเริงมีความสุข เสียงของยมนาดังก้องในหัวของเจ้าอุรคา
“อุรคาเทวี...เจ้าอาจจะกำลังยินดีปรีดากับความสุข แต่ถ้ามนุษย์ผู้นี้ได้รู้ถึงกายหยาบที่
แท้จริงของเจ้า เจ้าคิดหรือว่า...เขาจะยอมรับในตัวเจ้าได้”
เจ้าอุรคานิ่ง ดวงตาหวาดหวั่น ภาพในความคิดของนาง เห็นตัวเองเป็นนางพญานาคี ตัวใหญ่
ภุชคินทร์เข้ามาสวมกอดเจ้าอุรคาทางด้านหลังอย่างรักใคร่
“คิดอะไรครับเจ้า”
“เปล่าค่ะ” เจ้าอุรคายิ้มเศร้า ดูเป็นกังวล
“หรือเจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวผม” ภุชคินทร์บอกด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าฟังนะครับ ตั้งแต่วันนี้ไป ผมจะไม่พรากจากเจ้าไปไหนอีก? ผมรักเจ้า!”
พลางภุชคินทร์จุมพิตที่หน้าผากแผ่วเบา เจ้าอุรคายิ้มย่อง นาทีนี้เจ้าอุรคาไม่หวาดหวั่นสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว
ขณะเดียวกันรถของสุบรรณวิ่งเข้ามาในบ้าน ไม่นานต่อมาสุบรรณอยู่ตรงห้องโถงถามเสียงดัง ท่าทีตกใจ
“อะไรนะ คุณชายภุชคินทร์บุกมาที่นี่”
“ครับนาย แล้วยังมาตะโกนด่านายเสียๆ หายๆ อีก” อำนาจรายงาน
สุบรรณพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง “ฉันอุตส่าห์รู้สึกผิด แต่มาทำกันอย่างนี้เท่ากับเหยียบหน้าฉันชัดๆ” สุบรรณพูดเสียงเหี้ยมใบหน้าโหด “เก่งนัก...ฉันจะเหยียบหัวใจแกอีกครั้ง ไอ้คุณชายภุชคินทร์”
สีหน้าท่าทางของสุบรรณโกรธจัด
ที่บริเวณด้านนอกของแสงทองริมโขง ลมพัดแรง หมู่เมฆสีดำก้อนใหญ่เคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็ว และสายฝนก็ตกกระหน่ำลงมา
ภายในห้องพักภุชคินทร์กอดร่างของเจ้าอุรคาไว้แน่น เจ้าอุรคาพร่ำบอก
“ข้ามีความสุขเหลือเกินภุชเคนทร์ ที่วันเวลาของสองเราได้กลับคืนมาอีกครั้ง”
“ผมบอกแล้วไง...จากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่พรากจากเจ้าไปไหนอีก”
“เราจะรักกันทุกภพทุกชาติใช่หรือเปล่า”
ภุชคินทร์รับคำหวานซึ้ง “ครับเจ้า”
“ท่านยินดีจะถอนคำสาบาน”
“ครับ...ผมยินดีถอนคำสาบาน”
เจ้าอุรคายิ้ม “ถ้าเช่นนั้น กรุณาถอนสาบานเดี๋ยวนี้”
ภุชคินทร์ยิ้ม เจ้าอุรคามองด้วยสายตาตื่นเต้น ภุชคินทร์ยกมือไหว้
“ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามโลกที่เคยรับรู้คำสาบานของข้า ที่ได้กล่าวสาบานว่า จะไม่เกิดมาเป็นนาคอีกนั้น...มาวันนี้...ข้าขอ...”
ภุชคินทร์พูดไม่ทันจบ ฟ้าก็ผ่าลงมา ที่ด้านนอก สองคนตกใจ ไฟดับพรึ่บ เจ้าอุรคาร้องกรี๊ดตกใจผวาตัวเข้าหาภุชคินทร์ทันที ภุชคินทร์กอดร่างเจ้าอุรคาแน่น สายฟ้ายังผ่าลงมาอีกเปรี้ยงๆๆ เสียงดังกึกก้องอึกทึกครึกโครม และน่ากลัว
เจ้าอุรคาตัวสั่นระริก ขณะที่ภุชคินทร์กอดประคองร่างเจ้าอุรคานอนลงบนเตียง สายตาของสองคนจ้องประสานกันอย่างหวานซึ้ง แรงพิศวาสปะทุขึ้นในใจอีกครั้ง ทั้งสองลืมทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวไปจนหมดสิ้น
เช้านั้นภิงคารอ่านหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะอาหาร แล้วอารมณ์เสีย
“หนังสือพิมพ์บ้าๆ ลงข่าวอะไรอีก”
เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีที่นั่งร่วมวงรับประทานอาหารมองหน้ากัน สองแม่ลูกถามพร้อมกัน
“มีอะไรหรือคะ”
“ก็ข่าวเค้าลงว่านายชายเป็นบ้า เพราะถูกเจ้าอุรคาทำของใส่”
เฟื่องฟ้ากลั้นยิ้ม “ทำของใส่
ภิงคารชักรำคาญ “บ้าทั้งคนเขียน คนให้ข่าว เพ้อเจ้อ!”
ภิงคารเดินหงุดหงิดออกไป เฟื่องวลีทำหน้ายุ่ง
“คุณลุงด่าฟีบี้
“ท่านไม่ได้ด่าลูก ท่านด่าคนเขียนข่าวแล้วก็คนให้ข่าว”
“ก็ฟีบี้นี่ล่ะค่ะ โทร.ไปให้ข่าวเองค่ะคุณแม่” เฟื่องวลีว่า
เฟื่องฟ้าตกใจ “ตายแล้ว ทำอย่างนั้นทำไมฟีบี้”
“อิจฉาค่ะ หรือจะริษยา สองอย่างรวมกันก็ได้ค่ะคุณแม่ ฟีบี้หมั่นไส้รักกันดีนัก...ให้คนทั้งเมืองด่าว่าบ้าๆๆๆๆๆ ไปเลย บ้า!”
เฟื่องวลีหน้าหงิกงอสุดๆ
ด้านสองสาวนั่งคุยกันอยู่ในห้องโถงวังนาเคนทร์ ในมือมีหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกับที่ภิงคารอ่านแล้วอารมณ์เสีย พะนอฤดีถามขึ้น
“ตกลง...พี่ชายกับเจ้าอุรคา...เค้าคบหากันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“หนูนาก็ไม่รู้...รู้แต่ว่า...ตอนนี้หนูนาไม่อยากได้เจ้าอุรคามาเป็นพี่สะใภ้แล้วล่ะ”
พะนอฤดีงวยงง ถามหยั่งเชิง “ทำไมล่ะ เมื่อก่อนหนูนาชอบเจ้าออกจะตาย?”
“ก็...เจ้า...น่ากลัวขึ้นทุกวัน...แล้วที่พี่ชายถูกตำหนิ ถูกคนหาว่าบ้า หนูนาว่าต้นเหตุมาจากเจ้าอุรคา”
พะนอฤดีนิ่ง นารีวรรณพูดต่อ
“และที่คุณแม่กับหนูนากลัวที่สุด ถ้าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นภูตผีปีศาจเหมือนที่คนเค้าว่ากัน พี่ชายจะเป็นยังไง?” นารีวรรณจับมือพะนอฤดี “พี่ฤดี หนูนาอยากให้พี่ชายเลิกคบกับเจ้าอุรคา”
พะนอฤดีมองเด็กสาวรุ่นน้อง ตัดสินใจพูด
“งั้น...ถ้าพี่ฤดี จะแยกพี่ชายออกมาจากเจ้าอุรคา...หนูนาจะว่ายังไง”
นารีวรรณมองพะนอฤดีอย่างคาดไม่ถึง
ครู่ต่อมาพะนอฤดีเดินออกมายังรถที่จอดอยู่ ในมือถือหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมาด้วย พะนอฤดีก้มลงมองภาพเจ้าอุรคากับภุชคินทร์ ดวงตาที่มองดูเปลี่ยนไป เพราะมีคนให้ท้าย และแอบหวง
“ถึงเวลาแล้วค่ะที่ฤดีจะทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะใจของพี่ชาย...” พะนอฤดีปรายตามองเจ้าอุรคาในภาพข่าว “เจ้าคะ....วังนาเคนทร์ไม่ได้ต้องการคนอย่างเจ้าเป็นสะใภ้ค่ะ!”
พะนอฤดีโยนหนังสือพิมพ์ทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ใยดี แล้วเดินขึ้นรถขับออกไป
เวลาเดียวกัน สุบรรณนั่งหน้าตาถมึงทึงอยู่ในห้องรับแขกที่บ้าน กำมือแน่นทุบลงไปบนหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า
“คิดเหรอ ว่าตัวติดกันอย่างนั้นแล้วฉันจะแย่งมาไม่ได้”
อำนาจเดินเข้ามา บอกด้วยท่าทีนอบน้อม
“นายครับ จะได้เวลานัดหมายแล้วครับ”
“ฉันไม่ไปแล้ว”
“แต่วันนี้ประชุมวาระสำคัญนะครับ”
สุบรรณเหยียดยิ้ม “สำคัญอะไร ก็เรื่องเดิมๆ วาระเดิมๆไม่ไปไหนซะที” ผุดลุกขึ้น “เดี๋ยวฉันค่อยดูจากบันทึกการประชุม” สุบรรณจะเดินออกไป อำนาจถาม
“นายจะไปไหนครับ”
สุบรรณไม่ตอบ
ฟากสุบรรณขับรถมาจอดหน้าประตูเฮือนภูจำปา แล้วก้าวเดินลงไปด้วยท่าทางหงุดหงิด อารมณ์เสีย สุบรรณทุบประตู แหกปากร้องตะโกนเสียงดัง
“เปิดประตูๆๆๆ”
เงียบไม่มีเสียงตอบไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น สุบรรณโมโห
“จะไม่เปิดใช่มั้ย”
สุบรรณยกเท้าถีบเปรี้ยงไปที่ประตูอย่างแรง แล้วยันโครมซ้ำอีก ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก ร่าง
ของสุบรรณผงะหงายเซถลาแทบล้ม สุบรรณโกรธจัด
“โธ่เว้ย”
ร่างชรายุเดินออกมา มองด้วยสีหน้าไม่พอใจ สุบรรณถามน้ำเสียงกร้าว วางอำนาจเต็มที่
“เธอรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าฉันเป็นใคร”
ชรายุเหยียดยิ้ม หยามเย้ย “ค่ะ...ดิฉันรู้ทั้งอดีตและทั้งปัจจุบันว่าท่านเป็นใคร”
สุบรรณชี้หน้าตวาด “แล้วทำไมเธอยังมากล้าอวดดีกับฉันแบบนี้”
“อดีตจบสิ้นไปแล้ว ปัจจุบันคุณคือคนธรรมดา แต่นาคอย่างฉันมีอิทธิฤทธิ์สามารถทำได้ทุกสิ่งอย่าง ขึ้นอยู่ว่าจะทำหรือไม่เท่านั้นเอง” ชรายุบอกท่าทีไม่สะทกสะท้าน
“แสดงว่าเก่ง” สุบรรณแดกดัน
ชรายุไม่ตอบ แต่มองอย่างท้าทาย สุบรรณโมโหกระชากร่างของชรายุเข้ามาบีบคอแน่น
“เก่งนักใช่มั้ยแก? เก่งนักใช่มั้ย?”
ชรายุไม่สู้ แต่ตาจ้องมองสุบรรณเขม็ง ท้าทาย อย่างไม่หวั่นกลัว สุบรรณบีบคอชรายุแน่น
แต่สีหน้าของสุบรรณกลับตื่นตระหนก เมื่อความรู้สึกเหมือนกับว่าตนกำลังสัมผัสอากาศที่ว่างเปล่า ดวงตาชรายุยั่วยิ้ม
“แล้วใช่มั้ยว่าท่านทำอะไรฉันไม่ได้”
“นังงูผี!” สุบรรณคำราม บีบต่อในอาการโกรธจนลืมตัว
ชรายุยิ้มยั่วพอใจ “ต่อไป...ท่านจะเป็นผู้ชายเลวๆ คนหนึ่ง และฉันก็จะเป็นคนที่สุดแสนจะน่าสงสาร คอยดู!”
ไพศิษฐ์วิ่งเข้ามา เห็นเป็นสุบรรณบีบคอชรายุเต็มแรง ไพศิษฐ์ตะโกนลั่น
“อย่าท่านสุบรรณ”
สุบรรณเหลียวขวับมามอง ปล่อยร่างของชรายุร่วงผล็อยลงตรงนั้น
ชรายุตาเหลือกโพลง ที่ริมฝีปากมีเลือดไหลซึมออกมา
ค่ำคืนนั้นพอนาถสุดารู้เรื่องสุบรรณบุกเฮือนภูจำปาอย่างอุกอาจ และทำร้ายชรายุก็ย้อนถามไพศิษฐ์ ด้วยความตกใจ อาการไม่ใคร่เชื่อนัก
“พี่สุบรรณทำอย่างนั้นทำไม”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่ถ้าผมไม่ไปบ้านเจ้าอุรคาทันเวลา ป่านนี้อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้”
“คดีเรื่องคนร้ายจบไปแล้วนี่คะ คุณศิษฐ์จะไปบ้านเจ้าอุรคาทำไมอีก”
ไพศิษฐ์อึกอัก “ความลี้ลับในตัวเจ้า ที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้”
นาถสุดาเหน็บชายคนรัก “ถ้าคุณศิษฐ์คิดว่าเจ้าเป็นงูผี มีบริวารเป็นผี แล้วทำไม ชรายุถึงยอมปล่อยให้พี่สุบรรณบีบคอ อย่างที่คุณศิษฐ์บอกว่า...แทบตาย”
ไพศิษฐ์อึ้งไป นาถสุดาพูดกับพันเอกนรินทร์ โดยไม่ยอมมองหน้าไพศิษฐ์
“นาถจะไปหาพี่สุบรรณ”
ไพศิษฐ์มาขวางไว้ “นาถ”
“นาถจะไปคุยกับพี่สุบรรณเอง เพราะนาถไม่เชื่อว่าพี่สุบรรณจะทำร้ายผู้หญิงได้ เหมือนกับที่นาถไม่เชื่อ ว่าพี่สุบรรณจะทำในสิ่งเลวร้ายอย่างคุณศิษฐ์กล่าวหา”
นาถสุดาเดินออกไป ไพศิษฐ์ร้องเรียกไว้
“นาถ....นาถ”
นาถสุดาไม่หยุด ไพศิษฐ์หน้าเคร่งเครียด หันไปมองพันเอกนรินทร์เป็นเชิงให้ช่วย
“ก็คงต้องปล่อยไป เพราะเราคงไม่สามารถกำหนดให้ใครเค้าเชื่อ เค้าคิดได้อย่างเราหมด” ผู้พันบอก
“ท่านเชื่อผม”
“ฉันเชื่อในกฎแห่งกรรม”
พัรเอกนรินทร์ตอบอย่างนิ่งเย็น
เวลาต่อมานาถสุดาเดินฉับๆ เข้าไปในบ้านของสุบรรณ อำนาจห้าม
“นายห้ามเข้าไปครับคุณนาถ”
“แต่ฉันจะเข้าไป”
นาถสุดาเดินฉับๆ เข้าไปด้านใน โดยไม่ฟังอำนาจเลย
สุบรรณอยู่ในคฤหาสน์กำลังดื่มท่าทางมึนเมา แทบคุมสติไม่ได้แล้ว สุบรรณครวญคร่ำพร่ำเพ้อตะเบ็งเสียง
“ฉันคือพญาครุฑที่ยิ่งใหญ่ พวกแกทำกับฉันอย่างนี้ไม่ได้!” ยกดื่มอีก “แกสองคนอยู่ที่ไหน
ฉันจะตามจนสุดหล้าฟ้าเขียว การฆ่าคนไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฉัน ไอ้ภุชคินทร์” ลดเสียงแผ่วลงขณะเอ่นนาม “เจ้าอุรคา” ออกมา
นาถสุดายืนนิ่ง ได้เห็นภาพของสุบรรณที่ดูเหี้ยมโหดในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ด้านวิชัยสิงห์อยู่ในห้องพักโรงแรม ท่าทีลิงโลด เสียบกล้องเข้ากับทีวี เห็นเป็นภาพภุชคินทร์กำลังถูกสะกดจิต
วิชัยสิงห์จ้องมองอย่างพึงพอใจ “ตำราที่ฉันเขียนจะต้องโด่งดังเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก การกลับชาติมาเกิดของพญานาคกับพญาครุฑ ตำนานแห่งมณีสวาท ของเจ้าอุรคา” มองกระจก “แกจะดังใหญ่แล้ววิชัยสิงห์ แกจะเป็นคนดังของโลกแล้ว”
ดร.วิชัยสิงห์หัวเราะดังกึกก้อง ขณะที่นิ้วมือจรดลงบนแป้นพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ บันทึกสิ่งที่ได้ประสบมา
ค่ำคืนนั้นภุชคินทร์นอนหลับอยู่ในห้องพัก มือของภุชคินทร์โอบกอดร่างของพญานาคตัวหนึ่งอยู่ ด้วยว่า ต่อให้แปลงร่างเป็นอะไรก็ตามแต่ แต่ในยามหลับใหล พญานาคจะคืนสู่ร่างเดิม
นาทีนั้นดวงตาของนาคีตัวนั้นเหลือกโพลง เหมือนรับรู้ในสิ่งที่วิชัยสิงห์กำลังจะกระทำ นางพญานาคีเคลื่อนกายออกไป ภุชคินทร์รับรู้ได้ถึงสัมผัสนั้น
คุณชายแห่งวังนาเคนทร์รู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้น แต่ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นงูตัวใหญ่มหึมา กำลังเลื้อยลงจากเตียงไปต่อหน้า
ติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 11