xs
xsm
sm
md
lg

มณีสวาท ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มณีสวาท ตอนที่ 7

สุรินทร์ลนลานหนีตาย รวบรวมกำลังผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งวุ่นไขว่คว้าร่างผู้เป็นนายอย่างน่าเวทนาแต่ไม่มีใครเห็น หรือได้ยินใดๆ

“นายผมอยู่นี่ นาย! อำนาจ ฉันอยู่นี่! อำนาจ!”
ทุกคนมีท่าทางปกติ ยกเว้นไพศิษฐ์ที่หน้าเจื่อนเล็กน้อย ที่ผนังทุกจุดที่คลำดูยังคงปิดสนิท ไม่เขยื้อนขยับสักที่
“ไง? ข้องใจอะไรอีกมั้ย?” ชรายุแดกดัน
สุบรรณบอกเสียงเข้มแต่เจือความเกรงใจ “ผมฝากขอโทษเจ้าอุรคาด้วย”
ทุกคนทำท่าจะกลับสุรินทร์ตกใจตะโกนสุดเสียง “นาย อย่าเพิ่งไป”
“เดี๋ยวครับท่าน”เหมือนไพศิษฐ์ได้ยินเสียงนั้น
นาถสุดานิ่วหน้า “อะไรอีกคะคุณศิษฐ์”
“ผมได้ยินเสียงแว่วๆ เหมือนคน...เรียก นาย” ไพศิษฐ์บอก
อำนาจหน้าตื่น “สุรินทร์!”
ชรายุตวัดสายตามองไพศิษฐ์ไม่พอใจมากขึ้นอีก “เหมือนคุณเจตนาจะหาเรื่องเจ้า”
“ผมไม่ได้หาเรื่อง แต่ผมได้ยินจริงๆ”
สุรินทร์ยังคงตะโกนร้องลั่น แต่คราวนี้ แม้จะแหกปากเท่าไหร่ ก็ไม่มีน้ำเสียงเปล่งออกมา สุรินทร์
ตกใจ พอจะออกจากบริเวณนั้นก็เหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นไว้ ออกไม่ได้ มันตั้งสติรับรู้ในทันที
“มนต์ของนังอุรคา”
สุรินทร์โกรธจัด พยายามนั่งสมาธิ พึมพำคาถาจะแก้มนต์ แต่ไม่สำเร็จ
“เราสู้มันไม่ได้”
สุรินทร์แค้นแทบกระอักเลือด
ฝ่ายชรายุมองด้วยสาตาตำหนิไพศิษฐ์อีก
“การที่พวกคุณทำอย่างนี้ถือว่าหยามเกียรติเจ้าอุรคามากแล้ว นี่ยังจะลามปาม สร้างเรื่องขึ้นมาใส่ร้ายเจ้าอีกหรือ”
เจ้าอุรคาเดินเฉิดฉายเข้ามา จ้องหน้าถามไพศิษฐ์เอง
“ตกลง คนของคุณต้องอยู่ที่นี่ใช่มั้ยถึงจะพอใจ”
ไพศิษฐ์มองตอบ ท่าทีดูเกรงๆ แต่อยากรู้ “เพื่อความแน่ใจผมขอค้นอีกที”
ชรายุโมโหมาก “กลับไปดีกว่าผู้กอง”
“หยุดชรายุ! เค้าอยากค้นตรงไหน เชิญ”
ชรายุจะนำทางไปอีก เจ้าอุรคาบอกเสียงเข้ม
“ชรายุ ไม่ต้องตาม ไปทำหน้าที่ของเจ้า”
ชรายุหยุดทันที “ค่ะเจ้า”
ไพศิษฐ์เดินนำอำนาจไป นาถสุดาบอกอย่างเกรงใจ
“รบกวนด้วยนะคะเจ้า”
นาถสุดาตามออกไป ชรายุเดินออกไปคนละทางไม่ได้ตามกลุ่มไพศิษฐ์ สุบรรณมอง
เจ้าอุรคาเกรงใจ ขณะที่สุรินทร์ตะโกนใส่หน้า
“นาย! ผมอยู่นี่....ไอ้สุบรรณ กูอยู่นี่โว้ย”
สุรินทร์ตะโกนก้องอย่างโกรธแค้น ที่สุบรรณไม่เห็นไม่ได้ยินสักแอะ
ขณะที่สุบรรณมองเจ้าอุรคา หยอดคำหวาน
“ใจผมก็รู้ก็ตั้งแต่แรกว่าคนของผมไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ที่มาเพราะผมคิดถึง อยากเห็นหน้าเจ้า”
เจ้าอุรคามองสุบรรณอย่างเฉยชา “แสดงว่าคุณเห็นแก่ตัวมาก เพราะการมาของคุณด้วยความคิดถึง คือความเดือดร้อนของดิฉัน แล้วจะให้ดิฉันมองคุณด้วยความรู้สึกที่ดีได้อย่างไรคะ” เจ้าอุรคาบอกเป็นนัย “ประตูแห่งสองเรา มันถูกปิดตายไปนานแล้วท่านสุบรรณ”
คำนั้นกระแทกเข้าหน้าสุบรรณจังๆ ใบหน้าสุบรรณซีดเผือด เจ็บปวด แต่ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับฉายโชนแววดื้อรั้นอย่างถือดี
สุรินทร์มองสุบรรณและเจ้าอุรคาอย่างอาฆาตแค้น

บริเวณโดยรอบของเฮือนภูจำปา บรรยากาศมืดครึ้มลงไปอีกทั้งที่เป็นเวลากลางวัน ขณะที่หน้าประตูบ้าน อากรกับสมศักดิ์กำลังจะพยายามเปิดประตูเข้ามา สมศักดิ์บ่น
“ทำไมเปิดไม่ได้วะ” สมศักดิ์บ่นหลังเปิดอยู่นาน แต่เปิดไม่ได้
อากรอึ้ง “นั่นน่ะสิ ตะกี้ฉันเห็นกับตา ไม่มีใครล็อกประตูซักคน แล้วประตูมันล็อกได้ยังไง”
สมศักดิ์บอก “ลองใหม่แล้วกัน”
สองคนยื้อยุดฉุดกระตูจะเปิดเข้าไป ได้ยินเสียงสมศักดิ์บ่นงึมงำ
“ที่นี่ยังไงวะ กลางวันแท้ๆ แม่มยังกะกลางคืน”
อากรชักโมโห “เข้าดีๆ ไม่ได้ ก็ปีนเข้าไปเลยดีกว่าว่ะ”
“เออ ปีนก็ปีน ไม่มีใครยอมเปิดประตูให้ขโมยดีๆ อยู่แล้ว”
สองคนกวาดสายตามองหา แนวรั้วที่พอจะปีนเข้าไปได้ ก่อนจะปีนขึ้นไป เป็นจังหวะเดียวกับที่
ภุชคินทร์และเฟื่องวลีขับรถเข้ามาจอดพอดี ภุชคินทร์ตะลึงตกใจที่เห็นคนร้ายกำลังปีน เฟื่องวลีกรี๊ด
“ว้าย ขโมยๆ”
สมศักดิ์กับอากรเหลียวขวับมา อากรร้องลั่น
“เฮ้ยมีคนมา”
“มาก็ช่างมันสิวะ เร็ว”
สองคนรีบปีนเข้าไป แต่ยังเข้าไม่ได้ ภุชคินทร์กระโจนลงจากรถ มองหาไม้แถวนั้น และคว้าไม้
ขนาดย่อมวิ่งตรงไปที่คนร้าย ฟาดผลัวะๆ เข้าที่ขา สองคนร้ายร้องด้วยความเจ็บปวด
“อยากตายรึไงวะ”
สมศักดิ์ขู่แล้วกระโจนลงมาด้านล่าง อากรตามลงมา สองคนกระหน่ำอัดภุชคินทร์ ภุชคินทร์สู้ แต่สู้
ไม่ได้เพราะสองรุมหนึ่งและไม่ได้เป็นนักเลงอย่างสองคน ฟีบี้ร้องกรี๊ดอย่างหวาดกลัว ภุชคินทร์ถูกทุบจนล้มฟุบลงไปกองกับพื้น สองคนร้ายยกเท้ากระทืบ
“แอร๊ย...พี่ชาย”
ที่ด้านในเฮือน เจ้าอุรคาเบิกตากว้าง ตกใจมาก
“ท่านภุชเคนทร์”
เจ้าอุรคารีบเดินออกไปทันที โดยมีชรายุตามติด สุบรรณมองงง ได้ยินคำว่าภุชเคนทร์แต่ไม่รู้ว่าใครหรือมีอะไรเกิดขึ้น
“เจ้าอุรคา..เจ้า”

สุบรรณยืนอึ้ง นิ่งงันอยู่ตรงนั้น รู้สึกปวดหนึบไปทั้งหัวใจ ก่อนสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วเดินตาม
ออกไป

ส่วนสุรินทร์พยายามลุกขึ้นโผเผ ก่อนจะนั่งสมาธิพึมพำคาถา กำแพงแก้วที่สร้างโดยเจ้าอุรคาค่อยๆ คลายลงเหมือนหมอกสลาย

“ใจมันร้อนรุ่ม มนต์มันสลายไปแล้ว”
ดวงตาของสุรินทร์เป็นประกายยิ้มน่ากลัว ค่อยๆ พาตัวเองออกมาจากม่านหมอกมนตรานั้นรวดเร็ว

ที่หน้าเฮือนภูจำปา ภุชคินทร์นอนหมอบอยู่กับพื้น สองคนกระทืบไม่ยั้ง เฟื่องวลีตรงเข้ามา
ทำท่าจะกระชากสองคนแต่กลัวๆกล้าๆ
“แอร๊ยย..หยุดนะ แกอย่าทำพี่ชายนะ อย่า”
สมศักดิ์เงื้อมือมาชี้หน้า “เฮ้ย! จะแหกปากทำไมวะ รำคาญ!”
อากรตวาด “หุบปาก! ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ไป๊”
เฟื่องวลีเอามืออุดปากตัวเอง ถอยหลังกรูดกลัวมาก และวิ่งหนีไปเลย อากรถามสมศักดิ์
“มันเห็นหน้าเราแล้วทำไงดีวะ”
“ลากมันมา”
สมศักดิ์กับอากร ฉุดภุชคินทร์คนละมือ ลากออกมา โดยที่ด้านหลัง เจ้าอุรคาเดินออกมา
“พวกแกบังอาจมาก!”
สองวายร้ายหันขวับมามอง เห็นดวงตาของเจ้าอุรคาเบิกกว้างขึ้น เปล่งประกายด้วยพลังอำนาจบางอย่าง
สองคนตะลึงแบบคาดไม่ถึง เป้าหมายออกมาถึงที่ “เจ้าอุรคา”

สุรินทร์กัดฟันพาร่างอันบอบช้ำของตัวเองหลบลัดเลาะออกมาตามบริเวณเฮือนภูจำปา ดวงตา
เต็มไปด้วยความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท
“ซักวันฉันจะกลับมาเอาคืน” สุรินทร์หันกลับไปมองตัวบ้านแล้วด่า “นังงูผี!”
สุรินทร์จะก้าวไป แต่ต้องผงะเมื่อหันกลับมาแล้ว ตรงหน้าเต็มไปด้วยอสรพิษน้อยใหญ่ ที่กำลังแผ่
แม่เบี้ยพร้อมทำร้ายศัตรู สุรินทร์ร้องลั่นด้วยความตกใจกลัวขยะแขยง
“อ๊าก...”
ด้านไพศิษฐ์ นาถสุดา และอำนาจที่เดินอยู่ด้านใน ได้ยินเสียงแว่วมา
อำนาจจำได้ “เสียงสุรินทร์”
สุบรรณที่กำลังจะเดินตามเจ้าอุรคาออกไป ถึงรถ คนละบริเวณกับกลุ่มไพศิษฐ์ชะงัก
“สุรินทร์”
กลุ่มไพศิษฐ์และสุบรรณวิ่งผละไปตามเสียงร้องของสุรินทร์อย่างรวดเร็ว สุรินทร์รวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายกลายร่างเป็นนินจาหนีตายจากอสรพิษ
ชรายุเคลื่อนตัวออกมาท่ามกลางกองทัพอสรพิษยิ้มร้ายน่ากลัวออกมา
“ใครที่คิดมาลบหลู่เจ้า ต้องเจอดีทุกคน”

ขณะที่เจ้าอุรคา เปล่งเสียงทรงอำนาจ จิกตากร้าวมองไปที่สมศักดิ์และอากรที่ฉุดภุชคินทร์อยู่
“ปล่อยท่านภุชเคนทร์เดี๋ยวนี้!”
ภุชคินทร์เหลียวขวับมามองเจ้าอุรคาอย่างงงๆ พึมพำเบาๆ “ภุชเคนทร์”
สองคนโกรธจัด มองตาเจ้าอุรคาช่างน่ากลัวนัก อากรถามสมศักดิ์
“เอาไงดีวะ”
“ฉุดมันไปเลย”
สมศักดิ์ปล่อยมือจากภุชคินทร์ตรงเข้ามากระชากมือของเจ้าอุรคา
“มานี่นังตัวดี”
เจ้าอุรคาร้องเหมือนตกใจ “โอ๊ย”
ภุชคินทร์โกรธจัด อย่างไม่รู้ตัว “ปล่อยเจ้า”
ภุชคินทร์สะบัดมือออกจากอากร ตรงมาผลักและชกสมศักดิ์อย่างแรง แรงเพิ่มมากกว่าตอนสู้
กับสองคนร้าย เมื่อถึงช่วงวิกฤติ พลังแห่งรักที่ซ่อนอยู่ จะแสดงพลานุภาพออกมา
ภุชคินทร์คว้ามือเจ้าอุรคา “เข้าบ้านเร็วเจ้า”
ภุชคินทร์คว้ามือเจ้าอุรคาจะพาเข้าบ้าน แต่แล้วมือของสมศักดิ์กลับกระชากผมของเจ้าอุรคาอย่างแรง และตบหน้าเต็มฝ่ามือหลายฉาด ร่างเจ้าอุรคาร่วงอย่างน่าสงสาร
ขณะที่อากรกันภุชคินทร์เอาไว้ สมศักดิ์กระหน่ำตบ
เจ้าอุรคาร้องดังสุดเสียงเจ็บปวดมาก “โอ๊ย”
ฝั่งสุบรรณ และกลุ่มไพศิษฐ์ ที่วิ่งมาเจอกันพอดี ทุกคนได้ยินเสียง
สุบรรณละล้าละลังเป็นห่วงมาก “เจ้าอุรคา”
สุบรรณวิ่งออกไปทางด้านหน้าตามเสียงของเจ้าอุรคา อำนาจพะว้าพะวัง
“ผมจะไปตามสุรินทร์”
ไพศิษฐ์กับนาถสุดามองหน้ากัน
“ป่ะนาถ” ไพศิษฐ์จะไปกับอำนาจ
“แต่นาถห่วงเจ้าอุรคา”
อำนาจท้วง “แต่สุรินทร์”
ชรายุเดินเข้ามา มองเข้ม
“ที่นี่ไม่มีใครทั้งนั้น คนที่ต้องเป็นห่วงคือเจ้าอุรคา”
นาถสุดาวิ่งตามสุบรรณออกไป ไพศิษฐ์ตามนาถสุดาออกไปด้วยความเป็นห่วง
อำนาจไม่ตามไป มองชรายุ ชรายุมองอำนาจด้วยดวงตาน่ากลัว แล้วงูมากมายหลายตัวก็เลื้อยออกมาจากด้านหลังของชรายุ

งูแต่ละตัวแผ่แม่เบี้ย ชูคอดวงตาแดงก่ำ อำนาจจำต้องผละหนีไปทันที

ด้านสมศักดิ์กระชากผมเจ้าอุรคาไว้อยู่ หลังจากที่ตบไปหลายฉาด ร่างของเจ้าอุรคาแทบล้มลงไป แต่ถูกสมศักดิ์จับผมยึดไว้ เจ้าอุรคาไม่กล้าแสดงอิทธิฤทธิ์ เพราะไม่อยากเปิดเผยตัวตน และลึกๆ ในใจอยากให้ภุชคินทร์ปกป้องตัวเองบ้าง

ซึ่งได้ผล เพราะภุชคินทร์โกรธมาก แต่ถลันเข้ามาไม่ได้เพราะอากรจับตัวเอาไว้
“เจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์ดิ้นสุดแรงจนหลุด แล้วเหวี่ยงหมัดซัดเข้าที่หน้าของอากรเต็มแรง จนอากรล้มลง แล้วภุชคินทร์ก็เหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้าสมศักดิ์ พอสมศักดิ์ล้มลง ภุชคินทร์ก็ทุบต้นคอ จนสมศักดิ์ฟุบ ภุชคินทร์ ปราดเข้ามาประคองเจ้าอุรคา สองคนสบตากัน ดวงตาที่เจ้าอุรคามองมีแต่ความห่วงใย
สมศักดิ์กับอากรลุกขึ้นมา สองคนกระโจนถีบภุชคินทร์ อากรตามมาซ้ำซัดเข้าที่ปลายคาง
ของภุชคินทร์อย่างจัง ภุชคินทร์ล้มลง หันหลังให้เจ้าอุรคา เจ้าอุรคาตวัดสายตามองสองคน โกรธมาก
จู่ๆ สมศักดิ์กับอาการก็ผงะ เมื่อมีมือมือหนึ่ง เอื้อมมาบีบสองคนเต็มแรง สองคนตาเหลือกลานนึกถึงเหตุการณ์ตอนมือถูกบังคับให้ยิงปืนใส่สุบรรณ
สองคนจ้องหน้าเจ้าอุรคาเขม็ง เห็นดวงตาเจ้าอุรคาเบิกกว้างเหมือนตาอสรพิษร้าย สมศักดิ์กับอากรผงะ กลัวมาก
“ผะ...ผี...ผี”
มันสองคนวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่สมศักดิ์ยังไม่วาย ควักปืนมายิงใส่เจ้าอุรคา ภุชคินทร์หันมา
“ระวังเจ้า”
ภุชคินทร์คว้าร่างของเจ้าอุรคาไว้ได้ แรงกระชากทำให้ร่างของเจ้าอุรคาโผเข้ามาซบที่อกของภุชคินทร์ และก่อนที่ร่างของสองคนจะล้มลงด้วยกัน ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน ความรัก ความผูกพันฉายออกมาจาก
แววตาเจ้าอุรคาช่างลึกล้ำ จนภุชคินทร์สัมผัสถึงอะไรบางอย่าง ที่เปล่งประกายออกมาจากดวงตาคู่นั้น
ภุชคินทร์พูดแผ่วๆ เหมือนตกอยู่ในภวังค์ พูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “อุรคาเทวี”
สุบรรณ วิ่งออกมา ชะงักไปทนทีกับภาพที่เห็นต่อหน้าต่อตา
“คุณชาย...เจ้าอุรคา”
เจ้าอุรคากับภุชคินทร์ผละออกจากกัน แต่แววตาของเจ้าอุรคายังจดจ้องมองมาที่ภุชคินทร์ลึกล้ำ
“นี่มันอะไรกัน?” สุบรรณถามเสียงแข็ง
ภุชคินทร์รีบบอก “มีคนจะบุกเข้ามาทำร้ายเจ้า”
สุบรรณทั้งหึงทั้งห่วง ตรงเข้าไปหาเจ้าอรุคา “เจ้าเป็นอะไรบ้างมั้ย?” พร้อมกับถลาจะเข้าประคอง
เจ้าอุรคาถอนตัวห่าง “ดิฉันไม่เป็นอะไร คุณชายภุชคินทร์ต่างหากที่ต้องเจ็บตัวเพราะดิฉัน”
เจ้าอุรคาทำท่าจะเอื้อมมือไปแตะบริเวณริมฝีปากภุชคินทร์อย่างเป็นห่วง แต่สุบรรณพูดประชดขึ้นก่อน
“คุณชายมาถูกจังหวะเลยนะครับตอนที่คนร้ายเข้ามา เหมือนนัดกันไว้ยังไงยังงั้น”
มือของเจ้าอุรคาชะงักหันมามองสุบรรณไม่พอใจ
“ถ้าใจสกปรก อะไรก็คิดได้ทั้งนั้น”
สุบรรณว้าวุ่น ทั้งโกรธ หึงหวง และน้อยใจ “ที่ผมพูดเพราะเป็นห่วงเจ้า”
“คนหนึ่งพูด แต่คนหนึ่งทำให้เห็น ขอบคุณมากค่ะคุณชายที่เสี่ยงชีวิตช่วยดิฉันไว้ดิฉันซาบซึ้งใจมากค่ะ”
สุบรรณขบกรามแน่น มองหน้าเจ้าอุรคาอย่างปวดร้าว และมองภุชคินทร์อย่างริษยา ภุชคินทร์มอง
“ถ้าความซาบซึ้งใจต้องแลกกับอันตรายของเจ้า ผมคงไม่อยากรับไว้ เพราะถ้าเลือกได้” ภุชคินทร์พูดเสียงเข้ม “ผมไม่ต้องการให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเจ้าเลย”
ภุชคินทร์ลุกขึ้นเดินโผเผตรงไปที่รถ เจ้าอุรคาพูดขึ้น
“สิ่งที่มันจะเกิด อย่างไรมันก็ต้องเกิด” พูดมีเลศนัยเช่นเคย “และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ยากที่จะแปรเปลี่ยน”
ภุชคินทร์ชะงัก หันมามอง เจ้าอุรคามองตาภุชคินทร์พูดต่อ
“ดิฉันซาบซึ้งใจ” เจ้าอุรคาทอดน้ำเสียงแผ่วซึ้งใจเหลือแสน “ขอบคุณมากค่ะคุณชายภุชคินทร์”
สายตาที่เจ้าอรุคามองภุชคินทร์มีความรักอย่างเต็มเปี่ยม ภุชคินทร์ เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ยินเสียงหนึ่งดังก้องอยู่หู
“ขอบใจมาก...ข้ารักท่าน ภุชเคนทร์”
สองคนสบตากัน รู้สึกถึงแรงดึงดูดประหลาดล้ำ สุบรรณมองภาพตรงหน้าอย่างโกรธแค้น ประกายริษยาเปล่งออกมาจากดวงตาคู่นั้นและมันช่างน่ากลัวนัก
ส่วนที่ด้านหลัง ไพศิษฐ์ นาถสุดา และอำนาจเดินออกมา ตามด้วยชรายุ

ทุกคนเห็นภาพเจ้าอุรคา ภุชคินทร์และสุบรรณยืนมองกันอยู่

เฟื่องวลีซึ่งหนีเอาตัวรอดกลับมาถึงบ้านภิงคารเวลาต่อมา และกำลังเล่าเรื่องให้เฟื่องฟ้าฟัง ท่าทางยังขนลุกขนพองและกลัวไม่หาย เฟื่องฟ้าต่อว่า

“ลูกไม่น่าตามคุณชายไปถึงบ้านเจ้าอุรคาเลย”
“ก็ลูกไม่รู้นี่คะคุณแม่...ว่าจะไปเจอลูกหลง ทีแรกก็ตั้งใจแค่ว่า จะทำคะแนนกับพี่ชายแล้วให้พี่ชายได้เห็นว่าจริงๆ แล้วเจ้าอุรคาน่ากลัวแค่ไหน? ที่ไหนได้เกือบเอาชีวิตไม่รอด”
เฟื่องฟ้าทำท่าแหยงๆ “แล้วตกลง ยัยเจ้าอุรคามันเป็นอะไรมั้ยลูก”
“ก็ลูกหนีตายมาก่อน จะรู้ได้ยังไงล่ะคะคุณแม่ ที่รู้คือพี่ชายทั้งรักทั้งห่วงยัยเจ้านั่นมาก” แล้วทำท่าหมั่นไส้ “อี๋! แค่เห็นคนร้ายมันปีนรั้วเข้าไปเท่านั้น ทำท่ายังกับยัยเจ้าอุรคามันโดนเชือด”
“ไม่แน่นะลูก ยัยเจ้านั่นอาจจะโดนเชือดไปจริงๆ” เฟื่องฟ้าเยาะ
“ใครจะไปเชือดมันได้คะ..แม่ก็รู้ มันไม่ใช่คนธรรมดา มีสมุนเป็นผี ผีงูซะด้วย” เฟื่องวลีทำท่า
ขยะแขยง
“นี่ไงล่ะแม่ถึงให้ลูกเลิกยุ่งเกี่ยวกับคุณชายภุชคินทร์” เฟื่องฟ้าอ้อนลูกสาว “ฟีบี้...เชื่อแม่นะ...เข้าหาท่านสุบรรณ ท่านสุบรรณมีพร้อมทุกอย่าง พอๆ กับคุณชายภุชคินทร์ ดีไม่ดีเหนือกว่าด้วย ตรงที่ท่านสุบรรณมีอำนาจ แต่คุณชายภุชคินทร์ ไม่มี!”
“อำนาจไหนๆ ฟีบี้ก็ไม่สนหรอก รู้แค่ว่าอำนาจรัก ครอบงำหัวใจฟีบี้แล้ว” เฟื่องวลีลอยหน้าลอยตาพูด “ที่ฟีบี้ไปหาท่านสุบรรณ เพราะอยากเอามาเป็นตัวล่อ ให้พี่ชายหึง ท่านสุบรรณก็เป็นแค่เหยื่อของฟีบี้”
เฟื่องฟ้าพูดเสียงสูง “นี่เหรอ? ที่แกว่า จะเอาท่านสุบรรณไว้เป็นหมากตัวหนึ่ง? โง่สิ้นดี...แกคิดเหรอ
ว่าคนอย่างท่านสุบรรณ จะยอมเป็นเหยื่อให้แก ระวังเถอะ!!แกจะตกเป็นเหยื่อของเค้าซะมากกว่า”
เฟื่องฟ้ามองลูกสาวอย่างขัดใจ เฟื่องวลีหน้างอ เฟื่องฟ้าเสียงอ่อนลงเหมือนตะล่อม
“ลืมคุณชายไปเถอะลูก เอาชนะใจท่านสุบรรณให้ได้ แล้วทุกอย่างที่แกอยากได้จะเป็นของแก...ดีไม่ดี วันหนึ่งคุณชายภุชคินทร์อาจจะต้องมาก้มหัวให้แก ในฐานะคุณหญิงของท่านสุบรรณก็ได้”

คืนนั้นสุบรรณยืนหน้าครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่ในคฤหาสน์ โดยเฉพาะตอนเห็นสายตาเจ้าอุรคากับภุชคินทร์มองกันอย่างซาบซึ้งใจ
ระหว่างนั้นอำนาจเดินเข้ามาพร้อมกับสุรินทร์ที่มีอาการบาดเจ็บและอิดโรยจากงูรัดที่เฮือนภูจำปา
“นายครับ”
สุบรรณพูดโดยไม่หันมามอง “อย่าเพิ่งมายุ่ง”
“สุรินทร์มาครับนาย”
สุบรรณตะคอกอารมณ์เสีย “ฉันบอกแล้วไง อย่าเพิ่งยุ่ง”
อำนาจหน้าเสียจำต้องประคองสุรินทร์ออกไป สายตาที่สุรินทร์มองสุบรรณมีแต่ความโกรธแค้น

สองคนเดินมาตามทางเดินในคฤหาสน์จะกลับไปยังห้องพัก สุรินทร์หน้าตากราดเกรี้ยว
“ฉันเจ็บเจียนตาย นายจะถามซักคำก็ไม่มี”
“แล้วแกลอบเข้าไปบ้านเจ้าอุรคาทำไม”
“เพราะฉันต้องการพิสูจน์ให้นายเห็นว่านังนั่นมันไม่ใช่คน มันเป็นปีศาจ”
“แล้วมันจริงใช่มั้ยวะ”
สุรินทร์บอกเสียงดัง “ก็จริงสิวะ ตอนที่พวกแกอยู่นั่น ฉันก็อยู่ตรงนั้น แต่ไม่มีใครเห็น เพราะถูกนังอุร
คามันบังตาเอาไว้ แค่นี้ท่านสุบรรณยังดูไม่ออก ว่ามันไม่ใช่คนธรรมดา แล้วยังไปรัก ไปหลงมันอีก โง่ขนาดนี้ยังอยากจะเป็นใหญ่”
อำนาจโกรธเงื้อหมัดชกหน้าสุรินทร์อย่างแรง สุรินทร์แค่หน้าสะบัด หันกลับมามองโกรธ
อำนาจชี้หน้า ตะคอกด่า “ไอ้ขี้เรื้อน ลืมข้าวแดงแกงร้อน ว่าท่านสุบรรณโง่ แต่แกก็ต้องอาศัยบารมีท่านอยู่”
“ใครอาศัยบารมีใครกันแน่ ถ้าไม่มีฉัน ไอ้สุบรรณมันจะทำอะไรได้” สุรินทร์เดือดดาล
อำนาจชกหน้าสุรินทร์อีก และจะซัดอีก แต่สุรินทร์คว้ามือของอำนาจหักกลับไปด้านหลัง
“หมัดนี้ให้เพื่อน แต่หลังจากนี้ คำว่าเพื่อนยุติ”
“ไอ้สุรินทร์” อำนาจโกรธจัด
“หมัดแค่นี้ ถ้าเทียบกับวิชาที่กูมี มันไม่กระเทือนผิวกูหรอก”
อำนาจจะสู้ แต่ถูกสุรินทร์บิดไหล่ไว้อีก อำนาจร้องอย่างเจ็บปวด สุรินทร์ตะคอกซ้ำ
“กูจะพิสูจน์ให้มึงเห็นว่า กูกับไอ้สุบรรณใครจะมีบารมีมากกว่ากัน ประกบนายมึงไว้ให้ดีซักวันขี้เรื้อนอย่างกูนี่แหละจะลากคอมันมากราบตีนกู”
สุรินทร์บิดไหล่อำนาจอย่างแรงอีกที ก่อนผลักลงกองกับพื้น มองตาขวางเดินจากไปอย่างโกรธจัด
อำนาจตะโกนไล่หลัง “ถ้ากูยังอยู่ กูยอมตายเพื่อนายข้ามศพกูไปก่อนไอ้สุรินทร์”

อำนาจมองตามสุรินทร์ ด้วยแววตาไม่ต่างกัน

มณีสวาท ตอนที่ 7 (ต่อ)

เช้าวันต่อมา ภายในสวนที่บ้านพันเอกนรินทร์ ใกล้ๆ กับกระถางต้นพญานาคราชกำลังชูช่ออยู่ นาถสุดาบอกพ่อด้วยท่าทางเป็นกังวล

“นาถดูแววตาของพี่สุบรรณก็รู้ ว่าพี่สุบรรณทั้งรักทั้งหลงเจ้าอุรคา”
ผู้พันนรินทร์รู้แต่ถาม อยากรู้ความคิด “แล้วเจ้าอุรคาล่ะ ท่าทีเป็นยังไง”
“รักมากเช่นกันค่ะ...แต่กับคุณชายภุชคินทร์นะคะ ไม่ไช่พี่สุบรรณ”
“นาถกลัวว่าสุบรรณจะอกหัก”
“เรื่องความรักห้ามกันไม่ได้ นาถเข้าใจค่ะ....แต่ที่นาถกลัว...เพราะนาถเห็นสายตาที่เจ้าอุร
คามองพี่สุบรรณ”
“ทำไมลูก”
“มันดูแปลกๆ ค่ะ เป็นแววตาที่เยือกเย็น....เต็มไปด้วยปริศนา ที่นาถเองก็แปลไม่ออก แต่ที่นาถรู้สึกได้...ทุกครั้งที่เข้าใกล้เจ้าอุรคา นาถรู้สึกถึงอำนาจบางอย่างแผ่ซ่านออกมา มันเย็นยะเยือก หนาวจับขั้วหัวใจ ยังกับว่า เรากับเจ้า ไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกัน” นาถสุดาหันมามองพ่อ “คุณพ่อรู้ใช่มั้ยคะว่ามันคืออะไร”
“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น....ถึงพ่อจะบอก นาถก็คงไม่เชื่อ”
“คุณพ่อรู้จริงๆ ด้วย บอกมาเถอะค่ะ นาถอยากรู้ นาถพร้อมฟังทุกอย่าง ไม่ว่ามันจะน่ากลัวยังไง”
ผู้พันนรินทร์มองหน้าพูดจริงจัง “อย่าเชื่อเพียงเพราะว่าเป็นพ่อ อย่าเชื่อเพียงคิดตามว่าใช่..พ่ออยากให้นาถพิสูจน์ด้วยตัวเอง”
นาถสุดาฉงน “พิสูจน์ยังไงคะ”
“แค่ทำจิตสำรวมให้สงบ นิ่ง เพื่อเข้าสู่มิติเดียวกัน”
นาถสุดาพึมพำทวนคำพ่อ “ทำจิตสำรวมให้สงบ นิ่ง เพื่อเข้าสู่มิติเดียวกัน เหมือนที่คุณพ่อทำ” หญิงสาวเปลี่ยนเสียงเป็นเข้มและท่าทีจริงจังขณะพูดประโยคต่อมา “ค่ะนาถจะพิสูจน์ให้รู้ ด้วยตัวของนาถเอง”
แววตาของนาถสุดาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ที่วังนาเคนทร์ นารีวรรณนั่งทำแผลที่บอบช้ำของภุชคินทร์ หม่อมภาณีเดินมา พร้อมยื่นครุฑธิการให้
“อะไรครับแม่?” ภุชคินทร์ถามไม่ใช่ไม่รู้ แต่อารมณ์ประมาณว่าแม่เอามาให้ทำไม?
“ก็ครุฑธิการไงลูก” หม่อมทรุดตัวลงนั่งด้วย “ช่วงนี้ ชายดวงไม่ค่อยดี มีเรื่องอยู่เรื่อย แม่เลยเอา
มาให้...ครุฑธิการจะได้ปกป้องลูกให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง”
ภุชคินทร์นิ่ง มองครุฑธิการ ไม่ค่อยอยากรับ ถามผู้เป็นมารดา
“คุณแม่เชื่อ”
“ก็...แม่อยากอุ่นใจไว้ก่อน”
“เหมือนที่เจ้าอุรคาว่านะคะพี่ชาย...ครุฑธิการจะปกป้องภยันตรายพี่ชายจากสิ่งต่างๆ ได้” นารีวรรณเสริม
“ตอนที่แม่ให้ชาย...ทั้งๆ ที่แม่ก็ไม่รู้ ว่าอัญมณีนี้เรียกว่าอะไร แต่แม่ก็เชื่อว่า มันจะปกป้อง
ชายได้ เก็บไว้นะลูก แม่เป็นห่วง”
“ครับแม่”
ภุชคินทร์รับครุฑธิการมาถือเอาไว้ ตามองนิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่

ครุฑธิการในมือของภุชคินทร์ ส่องประกายแวววาว ภุชคินทร์อยู่ในห้องนอน กำลังครุ่นคิดหนัก
ราชนิกูลหนุ่มนึกถึงเหตุการณ์ตอนเห็นเครื่องประดับทั้งสามแบบในตำนานนาคีเทวี หวนนึกถึงคำพูดที่เจ้าอุรคาเล่าถึงประวัติครุฑธิการที่บอกว่าเกิดจากการที่นาคกระอักเลือด แม้แต่ตอนที่ตนฝันซ้ำๆ และรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นนาคตัวนั้น และเหตุการณ์ล่าสุดที่ได้ยินเจ้าอุรคาเรียกตนว่า...ภุชเคนทร์

ยิ่งคิดดวงตาของภุชคินทร์มีแต่ความสงสัยคลางแคลงใจ

วันต่อมายินเสียงเสี่ยทรงยศโวยวายด่าทอสมุนคู่ใจ ดังลั่นคฤหาสน์ ท่าทางกราดเกรี้ยว

“พวกขี้ขลาดเอ๊ย...เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ แค่จัดการผู้หญิง งานขี้กระจ๊อกแค่นี้ก็ทำไม่ได้ แล้วโบ้ยว่าเป็นผงเป็นผี”
สมศักดิ์กับอากร หน้าตาแหยๆ เจื่อนๆ ท่าทางกลัวมาก สมศักดิ์แย้งอ่อนๆ
“ก็มันเป็นผีจริงๆ นะครับเสี่ย” สมศักดิ์ออกอาการสยอง “ผมจำได้ มือของมัน เป็นมือลึกลับเหมือนวันที่ผมถูกจับบังคับให้ยิงไอ้สุบรรณ”
เสี่ยทรงยศเยาะหยัน “มันเป็นผีใช่มั้ย? งั้นแกก็เอา ข้าวสารส่ง ข้าวสารเสก ใบหน่งใบหนาด หอบไปปาใส่มันไป”
อากรโอด “เสี่ยครับ มันไม่ได้เหมือนในหนัง ที่วิ่งหนีผีแล้วไปซ่อนในโอ่งนะครับ นี่มันของจริง”
เสี่ยทรงยศเยาะอีก “ของจริง”
“ก็ใช่สิครับ เสี่ยก็รู้...คนอย่างเราสองคน แม้แต่ห่ากระสุน คมมีดเป็นสิบก็ไม่เคยกลัว” สมศักดิ์บอกอีก
เสี่ยทรงยศเยาะ เห็นเป็นเรื่องตลก “แต่มากลัวผู้หญิง”
“ก็มันเป็นผีนี่ครับเสี่ย” สมศักดิ์ย้ำ
เสี่ยทรงยศหัวเราะลั่น “อยากรู้เหมือนกัน คนอย่างเจ้าอุรคา ตอนเป็นผีจะสวยขนาดไหน” สั่งสองสมุนเสียงเข้ม “ฉันจะไปดูให้เห็นกับตา แล้วฉันจะเอามันเป็นเมีย ตัดหน้าไอ้สุบรรณ”
เสี่ยทรงยศเดินอาดๆ ออกไปอย่างถือดี สมศักดิ์ว่าไล่หลัง
“เสี่ยเอ๊ย..ผมยิ่งน้อยๆ อยู่ ได้โกร๋นหมดหัวก็คราวนี้แหละเสี่ย”
สองคนมองตาม สยองแทน

ตกตอนค่ำที่เฮือนภูจำปา ดวงตาของเจ้าอุรคาโกรธมากริมฝีปากอิ่มงามแสยะน่ากลัว ตวาดก้องด้วยเสียงทรงอำนาจ
“อยากลองดีก็มา!” เรียกเสียงดัง “ชรายุ”
ชรายุเข้ามาหา “คะเจ้า”
“ตามข้ามา”
เจ้าอุรคาเดินลิ่วออกไปอย่างคนอารมณ์ร้อน ชรายุเดินตาม แต่ทั้งสองต้องชะงักเมื่อยมนาปรากฏร่างขึ้น แล้วพูดติงออกมา
“เจ้าไม่เคยใช้สติควบคุมอารมณ์เลย เป็นถึงนาคเทวีแต่กลับลดตัวไปเกลือกกลั้วกับคนใจ
หยาบ”
เจ้าอุรคากร้าว “แต่คนอย่างไอ้เสี่ยทรงยศ ต้องได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง”
ยมนาหยัน “สั่งสอนด้วยการผูกเวรกับเขาน่ะหรือ”
เจ้าอุรคาย้อนถามไม่พอใจ “ท่านจะห้ามข้าอีกเช่นนั้นน่ะหรือ”
ยมนาบอกด้วยเสียงนิ่งๆ แต่ทรงอำนาจเช่นกัน “กรรมเขามี ถึงเจ้าไม่ทำอะไร เขาก็ต้องชดใช้มันอยู่ดีโดนเฉพาะ...ชะตาเขาถึงฆาต”
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มด้วยความพอใจ รู้ทันที “ขอบคุณยมนา ที่ให้สติแก่เรา แต่คงไม่เป็นไรใช่มั้ย ถ้าข้าจะขอติดตามท่านไปดู จุดจบของมัน”
เจ้าอุรคายิ้มเยือกเย็น

เสียงไซเรนดังสนั่น รอบๆ บริเวณถูกปิดกั้นโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เห็นมีไทยมุงมุงดูอุบัติเหตุอยู่ ที่ริมถนนสายนั้นมีรถของเสี่ยทรงยศจอดอยู่ ลักษณะของรถพรุนไปแทบทั้งคัน และที่นั่งด้านคนขับ มีร่างของเสี่ยทรงยศนอนจมกองเลือดอยู่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานกำลังชัณสูตรพลิกศพ ผู้กองไพศิษฐ์รวมทั้งจ่าชิด ตรวจดูเหตุการณ์ จ่าชิดเดินมารายงาน
“ตอนนี้มีเบาะแสขั้นแรกส่งมา บอกว่าคนที่ลอบยิงเสี่ยทรงยศน่าจะเป็นศัตรูคู่แข่งทางการค้า น่าจะมีการขัดผลประโยชน์กัน”
ไพศิษฐ์หน้าเครียด นิ่งฟัง และสนใจเรื่องที่เกิดขึ้น จ่าชิดยังไม่ได้สนใจอะไรมากพูดต่อ ท่าทางสยอง
“ตายโหงตรงทางโค้ง 100 ศพ แบบนี้ วิญญาณเฮี้ยนแน่ครับผู้กอง คนที่ฆ่าเสี่ยทรงยศระวังเถอะจะเจอดี”
ไพศิษฐ์ยังคงนิ่ง ท่าทางเหมือนคิดหนัก จ่าชิดชำเลืองมองร้องโวยวายตามนิสัย
“อย่าบอกนะครับว่า ผู้กองเจอดีเข้าให้แล้ว”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าฉันเจอดีหรือเปล่า? แต่พลเมืองดีที่ประสบเหตุบอกว่า...”
“อะไรครับ”

จ่าชิดร้องลั่นท่าทางสนใจใคร่รู้มาก

ที่วังนาเคนทร์วันต่อมา ภุชคินทร์ถามในอาการตกใจ ไม่ต่างจากจ่าชิด เมื่อไพศิษฐ์เล่าจบ

“ว่าไงนะ? มีชายหญิง รูปร่างหน้าตาเหมือนเจ้าอุรคา และคนติดตาม อยู่ในเหตุการณ์อีก”
ไพศิษฐ์ทำท่าเหนื่อยอกเหนื่อยใจ “ก็เหมือนเดิม ทุกครั้งที่มีคนตาย ก็มีคนเห็นอย่างนี้ตลอด”
สองหนุ่มมองหน้ากัน อาการเคร่งเครียด ไพศิษฐ์บอกต่อ ทั้งกังวลใจ และคิดหนัก
“ทีแรกฉันก็คิดว่าเจ้าอุรคาอาจจะอยู่ในพวกจารชนอย่างกลุ่มนินจัตสุ ต่อมาก็คิดว่าอาจจะมีอะไรเกี่ยวกันกับนาย แต่ตอนนี้ฉันมึนตึ้บเลยว่ะเพื่อน ตกลง เจ้าอุรคาเป็นใครกัน”
“ฉันก็มึนเหมือนกัน”
ไพศิษฐ์สัพยอก “ตกหลุมรักเจ้าจนมึน”
“ไม่รู้สิ... รู้แค่ว่ามีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ฉันไปที่ลุ่มน้ำโขงกับคุณน้าภิงคาร ที่นั่น ฉันเห็นรอยเท้าพญานาค น้ำ และผู้หญิง”
ภุชคินทร์เล่าเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดกับตัวเองให้ไพศิษฐ์ฟัง ตอนเห็นรอยเท้าพญานาคครั้งแรกขณะกลับจากลาวพร้อมน้าชาย และจู่ๆ มีอาการมึนงง ควบคุมตัวเองไม่ได้ และตอนอยู่ในรถมองเห็นเจ้าอุรคาในสภาพเลือนลางมองมายังตน โดยที่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นใคร
ภุชคินทร์บอก “และตอนนี้..ฉันบอกได้ว่า..ผู้หญิงคนนั้น มีรูปร่างหน้าตาคล้ายเจ้าอุรคา”
ไพศิษฐ์ตกใจ “รูปร่างหน้าตาเหมือนเจ้าอุรคา” ทำท่าสยอง อดขนลุกไม่ได้
“ใช่...แต่เค้าแต่งตัวแปลกๆ เหมือนคนโบราณ ฉันจะกลับไปที่ลุ่มน้ำโขง ศิษฐ์!”

เฮือนภูจำปายามค่ำคืนบรรยากาศเงียบสงัด วังเวงและน่ากลัว ต้นพญานาคราชชูช่อ เหมือนกำลังร่ายรำ และยังเหมือนพากันส่งเสียงหัวเราะคิกคักแสดงความยินดี ดูสวยปนหลอน เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มยินดีปรีดา

“แม้จะนานผ่านกี่ภพ กี่ชาติ ที่ข้าต้องรอคอยท่าน ข้าก็ยินดี...เพราะวันนี้การรอคอยของข้าคงจะสิ้นสุดเสียที ภุชเคนทร์”
สีหน้าและแววตาของเจ้าอุรคาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ชรายุมองแล้วยิ้มยินดี แต่ดวงตาของชรายุ กลับสลดลงเต็มไปด้วยความห่วงใยเหมือนเดิม กริ่งเกรงว่าเจ้าอุรคา อาจจะไม่ได้ดั่งหวัง

ที่บริเวณริมลำน้ำโขงช่วงตอนกลางวัน แสงแดดส่องกระทบผิวน้ำจนกลายเป็นประกายระยิบระยับ ภุชคินทร์จ้องมองภาพตรงหน้า เห็นชาวบ้านนั่งเรือ ทอดแหหาปลากันอยู่ ส่วนที่ริมฝั่งโขง มีชายชราชาวบ้านชื่อลุงแสงเดินมาถาม
“มาหาอะไรพ่อ ท่าจะไม่ได้เป็นคนแถวนี้”
“ครับลุง...ผมมาเที่ยว...ลำน้ำโขงสวยมากเลยนะครับ”
“ฮื่อ! งามหลาย แต่ก็มีความลึกลับแฝงอยู่” ลุงแสงพูดเป็นนัย
ภุชคินทร์หันมามองท่าทางสนใจ ลุงแสงยิ้ม ถามอย่างเอ็นดู
“ก็เรื่องบั้งไฟ พญานาคไง”
“บั้งไฟพญานาค ลุงเคยเห็นมั้ยครับ”
ลุงแสงมีท่าทีตื่นเต้นเล่าเสียงสูง “เคยสิ...มันเป็นดวงไฟสีชมพูพวยพุ่งขึ้นมากลางลำน้ำโขงนี่แหละ ไม่มีสีไม่มีกลิ่น แล้ว15 ค่ำ เดือน11 ที่ผ่านมาลุงก็เห็น พญานาคท่านขึ้นมาเล่นน้ำ”
ภุชคินทร์มีสีหน้าฉงน “พญานาค”
ลุงแสงยิ้มภูมิใจ “งูมีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา แล้วยังเป็นบันไดสู่จักรวาลอีกด้วย ใครได้พบได้เห็น มีบุญวาสนานักพ่อหนุ่มเอ๊ย”
ลุงแสงเดินจากไป แต่ภุชคินทร์ยืนขนลุกเกรียว เหตุการณ์ตอนฝันว่าตัวเองอยู่ในลำน้ำโขง ถูกครุฑจิกตีผุดขึ้นในความคิด
ภุชคินทร์ทอดสายตามองลำน้ำโขง ใจเต้นไม่เป็นส่ำ สายน้ำในลำน้ำโขงเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีปริศนาแฝงอยู่ในนั้น

ส่วนที่ในบ้านไพศิษฐ์ที่กรุงเทพฯ คุณยายอติศรีทำอาหารไทย ไพศิษฐ์กับนาถสุดาเดินเข้ามา
สองคนสวัสดีทักทายยายพร้อมๆ กัน “สวัสดีค่ะคุณยาย” / “สวัสดีครับคุณยาย”
“ไหว้พระๆ จ้ะ”
ไพศิษฐ์ตรงเข้ามากอดประจบ “หื้อ! หอมเชียว...” ผู้กองแซว “กับข้าวนะ ไม่ใช่ยาย”
“พูดอย่างนี้เดี๋ยวก็อดกิน” ยายอติศรีเย้า
นาถสุดาหัวเราะขำ “งั้นนาถช่วยนะคะ เดี๋ยวจะอดกินจริงๆ อย่างคุณยายว่า” พร้อมกับจะเข้าไปช่วย
“ไม่เป็นไรลูก เสร็จแล้ว กำลังร้อนๆไปทานเลย จะได้อร่อย” ยายบอก
ทุกคนช่วยกันยกสำรับอาหารมาตั้งโต๊ะ
“อ้อ! นาถซื้อหนังสือมาฝากคุณยายด้วยนะคะ เอาไว้อ่านเพลินๆ” นาถสุดาบอกพลางหยิบหนังสือแนวชีวจิต เคล็ดลับสร้างความสุข
“ขอบใจลูก กำลังเบื่อเลย เล่มเก่าๆ ที่นาถซื้อมาให้ ยายก็อ่านหมดแล้ว”
คุณยายอติศรีรับหนังสือมาพลิกดูแบบสนใจ ขณะที่ไพศิษฐ์แซว
“งั้นยายอ่าน ผมอิ่ม” ผู้กองกินอย่างเอร็ดอร่อย
ยายอติศรียิ้มเอ็นดูสองคน 

“แค่ศิษฐ์กับนาถกินหมด ยายก็อิ่มแล้วล่ะจ้ะ”

คุณยายพลิกหนังสือดู เห็นภาพเจ้าอุรคาออกงานสังคม ถึงกับชะงัก เหตุการณ์ตอนที่เจ้าอุรคาให้ไม้แกะสลักที่หน้าบ้านพันเอกนรินทร์ ผุดขึ้นมา 

คุณยายอติศรีเพ่งมอง ไม่วางตา จนนาถสุดาสังเกตเห็น
“มีอะไรหรือคะคุณยาย”
“ผู้หญิงคนนี้ หน้าตาเหมือนกับผู้หญิงที่ให้ไม้แกะสลักยายเลยลูก”
ไพศิษฐ์กับนาถสุดามองหน้ากัน ไพศิษฐ์พูดเร็ว
“ขอดูหน่อยครับคุณยาย”
ไพศิษฐ์หยิบหนังสือมาดู นาถสุดาชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วย สองคนตะลึงเมื่อเห็น อุทานพร้อมกัน
“เจ้าอุรคา”

ไม่นานต่อมาไพศิษฐ์เดินลิ่วมายังรถ นาถสุดาเดินตามงุนงงไม่เข้าใจ
“คุณศิษฐ์จะไปไหนคะ? นี่มันอะไรกันคุณศิษฐ์”
“มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญนาถ” ไพศิษฐ์เสียงเข้ม “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เจ้าอุรคา กำหนดทุกอย่างให้มันเป็นไป”
นาถสุดาฉงนหนัก “ยังไงคะ”
“นาถยังจะถามอีกเหรอว่ายังไง? ตั้งแต่ที่เรารู้จักเจ้าอุรคา มีแต่เรื่องแปลกประหลาด เฮือนภูจำปาที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ความลึกลับ ซับซ้อน พญานาค ความตาย คนตาย และตอนนี้นายชายก็ไปลำน้ำโขงอีก”
“คุณชายไปที่ลำน้ำโขง” นาถสุดาประหลาดใจ
“เพื่อไปตามหาปริศนาบ้าบอ ทุกอย่างที่เจ้าอุรคาทิ้งเอาไว้น่ะสิ ผมจะไปตามนายชายกลับมา”
ไพศิษฐ์ผลุนผลันขึ้นรถ นาถสุดาร้องลั่น
“นาถไปด้วยค่ะ”
นาถสุดากระโจนขึ้นรถไป ไพศิษฐ์ขับรถทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

สายน้ำในลำน้ำโขงตอนกลางดึก เงียบสงบและนิ่งสนิท ภุชคินทร์ยืนอยู่ท่ามกลางลำน้ำโขง

“ผมรู้ว่ามีบางสิ่งเรียกผมให้มาที่นี่” ภุชคินทร์บอกเสียงเข้ม “ผมมาแล้ว ต้องการให้ผมรู้อะไร บอกมาเลย” ภุชคินทร์คับแค้นใจ ตะโกนก้องเหมือนคนสติแตก “บอกมา”
พลางภุชคินทร์กระโจนลงไปในน้ำ ใช้สองมือตีน้ำตะกุยตะกายอย่างบ้าคลั่ง คับแค้นใจสุดๆ ลุงแสงชาวบ้านที่หาปลาแถวนั้นมองมาอย่างงงๆ
“อ้าว! กลางวันยังเห็นอยู่ดีๆ กลางคืน บ้าไปซะแล้ว”
ชาวบ้านเดินไปตามแนวฝั่งด้านอื่น ภุชคินทร์ตะกุยน้ำจนหมดแรง ทรุดตัวลงนั่งกลางลำน้ำ พูดแผ่วๆ ท่าทีเหนื่อย ทดท้อใจ “ผมอยากรู้ มีอะไรเกิดขึ้นกับผม บอกมา”
พลันท้องน้ำกระเพื่อม ภุชคินทร์หันไปมอง เห็นเหมือนเป็นงูขนาดใหญ่ล้อเล่นกับน้ำ เป็นภาพลางๆ เป็นลักษณะคลื่นกระเพื่อม ลำตัวยาวเหมือนงู
ภุชคินทร์เพ่งตามอง ไปที่สิ่งแปลกประหลาดนั้น ฉับพลันนั้น เหมือนมีเสียงเรียกหวานแว่วมาจากที่อันไกลแสนไกล
“ท่ า น ภุ ช เ ค น ท ร์”
เสียงคุ้นหูนั้น เป็นใครไปไม่ได้ ภุชคินทร์คราง “เสียงเจ้าอุรคา”
เจ้าอุรคาปรากฎตัวในอาภรณ์โบราณสีเขียวสวยงามสง่า มองมา ภุชคินทร์เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ขณะที่เจ้าอุรคาถามออกมา
“ท่านอยากรู้มิใช่หรือ สิ่งใดเรียกท่านมาที่นี่”
ภุชคินทร์งง “อะไร?”
เจ้าอุรคาพูดเสียงแผ่วแว่วหวานลึกซึ้ง “หัวใจของท่านเอง”
ภุชคินทร์หงุดหงิดหนัก ร้อนรน ร้อนใจ และอยากรู้เต็มกลืน
“คืออะไร? บอกผมมาเดี๋ยวนี้เจ้าอุรคา”
“กลับไปร่างเดิมของท่านสิ แล้วท่านจะรู้” เจ้าอุรคาว่า
“ร่างเดิม” ภุชคินทร์งงหนัก
“ใช่! ร่างเดิมของท่าน แต่ท่านต้องยอมปลดปล่อยร่างแห่งความเป็นมนุษย์เสียก่อน แล้วท่านจะรู้ทุกอย่าง...ท่านพร้อมมั้ยล่ะท่านภุชเคนทร์?”
ภุชคินทร์รับแข็งขัน “พร้อม!”
“แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของท่าน ท่านก็ยอม” เจ้าอุรคาถามคาดคั้น
ภุชคินทร์ไม่ตอบ สายตามองด้วยความสงสัยใคร่รู้เพียงอย่างเดียว
เจ้าอุรคามองมาอย่างผิดหวัง ก่อนบอก
“ท่านไม่ตอบ....” เสียงแผ่วๆ “เอาเถอะ..ตามข้ามา”
เจ้าอุรคาเดินระเรื่อยลงไปกลางลำน้ำ ขณะที่ภุชคินทร์ลุยน้ำเดินตามราวกับต้องมนต์สะกด ไม่นานร่างของทั้งสองก็จมหายลงไปกลางลำน้ำโขง

เหลือเพียงแค่รองเท้าของภุชคินทร์ที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่กลางน้ำเพียงอย่างเดียว

มณีสวาท ตอนที่ 7 (ต่อ)

ร่างของภุชคินทร์ดำดิ่งลงไปใต้น้ำพร้อมกับเจ้าอุรคา ลึกลงไปๆ จนเห็นเป็นเมืองบาดาลอันตระการตา ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ตรงหน้า

ภุชคินทร์กวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยอาการตื่นตะลึง ก่อนจะเอ่ยถาม
“นี่คือที่ไหน”
“ที่ๆ ท่านเคยอยู่” เจ้าอุรคาว่า
ภุชคินทร์มีสีหน้าฉงน “เคยอยู่ หมายความว่ายังไง”
“ก็ที่ที่ท่านเคยอยู่...” เจ้าอุรคามองหน้าภุชคินทร์ถามอย่างจริงจัง “ท่านไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ”
ภุชคินทร์ยังคงตื่นตา กวาดมองรอบๆ ตัว “สวย...สวยมาก...เหมือนเคยเห็นในเทพนิยาย”
เจ้าอุรคาแววตาหม่นลง “ท่านไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ ความรู้สึกเบา...เป็นเหมือนเนื้อเดียวกับสายน้ำที่จะโอบอุ้มท่านไป”
ภุชคินทร์ชะงักพึมพำ เริ่มรู้สึก “เบา...เป็นเหมือนเนื้อเดียวกับสายน้ำ น้ำจะโอบอุ้ม...พาไป”
สีหน้าภุชคินทร์รับรู้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงกับตัวเอง เขาหันขวับไปมองทางด้านหลัง เห็นท่อนขาของตนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นส่วนหางของนาค ภุชคินทร์ตกใจ
“นี่มันอะไรกัน...”
ไม่ทันที่ภุชคินทร์จะพูดจบคำ ร่างกายของภุชคินทร์ก็เปลี่ยนเป็นนาคภุชเคนทร์ทั้งตัวอย่างรวดเร็ว นาคตัวนั้นไหลลื่นไปกับน้ำ และเจ้าอุรคาก็เอ่ยย้ำขึ้น
“นี่แหละคือสิ่งที่ท่านเคยเป็น ท่านภุชเคนทร์”
ภุชคินทร์ตกใจมาก “ไม่จริง” ดวงตาภุชคินทร์ตะลึง พรึงเพริศ ปากสั่น ตาเบิกกว้าง
“อย่าหลอกตัวเอง นี่คือร่างเดิมของท่าน”
ภุชคินทร์ยังไม่อาจยอมรับได้ “ไม่”
“ท่านหนีข้ามาด้วยความขลาดกลัว แม้แต่ความรัก ท่านก็ไม่กล้าชิงมา แล้วในขณะนี้ ท่านก็ยังหนีความจริงอีกหรือว่าท่านคือภุชเคนทร์ ท่านคือพญานาคา”
ภุชคินทร์ที่เป็นมนุษย์ผุดซ้อนขึ้นมาในร่างภุชเคนทร์นาคา ภุชคินทร์กวาดตามอง เห็นปลาประหลาดมากมาย ตลอดจนสรรพสัตว์ใต้น้ำ ว่ายเวียนมาใกล้รายล้อมอย่างเป็นมิตร เสียงของเจ้าอุรคาดังก้องหู
“ข้ารักท่านเสมอนะภุชเคนทร์ มองหน้าข้าสิ มองตาข้า แล้วท่านจะเห็นความรักของเรา”
ภุชคินทร์หันมามองหน้าเจ้าอุรคา เห็นดวงตาคู่งามเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความคิดถึง ความโหยหา เว้าวอน และที่มากกว่านั้น ภุชคินทร์เห็นร่างที่เป็นนาคาของเขาสะท้อนออกมาจากดวงตาของเจ้าอุรคา แล้วในนาทีนั้น ภุชเคนทร์ก็ระลึกทุกอย่างได้
“อุรคาเทวี”
เจ้าอุรคาร้องออกมาด้วยความดีใจเหลือแสน “ท่านภุชเคนทร์”
นาคาภุชเคนทร์และนาคอุรคาเทวีผวากอดรัดกันด้วยความดีใจ ถวิลหาเหมือนคนที่คิดถึงและจาก
กันมานานแสนนาน ทั้งสองก่ายกอดคลอเคลีย
นาคสองตัวว่ายน้ำหยอกเย้ากันอย่างมีความสุข

ค่ำคืนนั้นที่วังนาเคนทร์ หม่อมภาณีเปิดประตูห้องของนอนของภุชคินทร์เข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยในห้องตามปกติ หม่อมภาณีเดินไปที่หน้าต่าง ตั้งใจจะปิดบานหน้าต่างเข้ามา แต่จากแสงจันทร์ที่ส่องกระทบเข้ามา หม่อมภาณีเห็นแสงสว่างส่องประกายมาจากมุมหนึ่งในห้อง หม่อมภาณีหันขวับไปมอง แล้วเดินไปตามแสงนั้น เห็นครุฑธิการวางอยู่บนหัวเตียง
“อ้าว! ครุฑธิการ ตาชายไม่ได้เอาติดตัวไปหรือ”
ประมุขแห่งวันนาเคนทร์หยิบครุฑธิการขึ้นมามอง เห็นครุฑธิการที่เคยมีสีเหลือบแดง แต่มา
บัดนี้ส่องสว่างแล้วแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ค่อยๆ เขียวเข้มขึ้นเหมือนล้อเล่นกับแสงจันทร์
“ทำไมครุฑธิการถึงเปลี่ยนสีได้....” หม่อมภาณีมีแววตาตื่นเต้น และชอบ “สวยจังเลย...สีเขียวเข้มครุฑธิการ”
ครุฑธิการสีเขียวเข้ม ส่องประกายวาววับรับแสงจันทร์อยู่อย่างนั้น

ค่ำคืนเดียวกันที่ลำน้ำโขง เห็นระลอกน้ำซัดแรงคล้ายพญางูใหญ่สองตัวหยอกล้อกัน
ชาวบ้านที่มาหาปลาบริเวณนั้นเพ่งมองอย่างตื่นตะลึง ลุงแสงร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดๆ
“พญานาค ขึ้นมาเล่นน้ำ อยู่โน่นๆ เร็ว มาดูๆๆ” ชายชราชี้ไปกลางลำน้ำอันกลางใหญ่
ชาวบ้านที่มาหาปลาต่างวิ่งกรูกันมาดู มองไปในระยะไกลๆ ท่ามกลางแงจันทร์ส่องสว่าง เห็นระลอกน้ำสองระลอกใหญ่รูปร่างเหมือนพญานาคสองตัว โถมเข้าหากันร่าเริง ทุกคนตื่นตะลึง
ชาวบ้านทุกคนต่างกู่ร้องไปในทำนองเดียวกัน เสียงเซ็งแซ่ “วู้ !!พญานาค”
“เป็นบุญตาแท้ๆ หนอ” ลุงแสงพูดออกมาเป็นภาษษอีสาน
“มีหยังน้อ? เพิ่นถึงขึ้นมาให้เห็น - มีอะไร? ทำไมท่านถึงขึ้นมาให้เห็น” อีกคนบอกสำเนียงเดียวกัน
ชาวบ้านต่างยกมือไหว้เหมือนกับเห็นสิ่งที่เป็นมงคล แสงจันทร์ส่องกระทบระลอกน้ำสองระลอกนั้น แลดูเหมือนเกล็ดพญานาคสะท้อนแสงวิบวับ สวยงามจับตา

ครู่ต่อมาใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง เห็นร่างของภุชคินทร์ซึ่งเป็นร่างคน ขึ้นมาดำผุดดำว่าย บนพื้นผิวน้ำอย่างสนุกสนาน แสนสำราญอยู่กับเจ้าอุรคา แต่ชาวบ้านที่มาหาปลามองดูอย่างงวยงง

เพราะเห็นภุชคินทร์เล่นน้ำอยู่คนเดียวเพียงลำพัง!!

รุ่งเช้าไพศิษฐ์กับนาถสุดาขับรถมาตามลำน้ำโขง มองออกไปเห็นชาวบ้านมุงดูอะไรสักอย่าง นาถสุดาถามอย่างสงสัย

“เค้าดูอะไรกันคะศิษฐ์ ดูตื่นเต้นกันจัง”
“ไปดูกัน”
ไพศิษฐ์จอดรถแล้วก้าวเดินลงกับนาถสุดา

ตรงกลุ่มที่ชาวบ้านมุงกันดูอย่างหนาตานั้น แต่ละคนตื่นเต้น ส่งเสียงเซ็งแซ่ ไพศิษฐ์กับนาถสุดา
ชะโงกหน้าเข้าไปมอง เห็นร่องรอยบนพื้นดิน คล้ายเป็นเกล็ดงูขนาดใหญ่มากๆ ทาบทับพื้นเป็นทางยาว นาถสุดาตาโตตื่นตะลึง
“รอยเท้าพญานาค!”
ไพศิษฐ์มองอย่างตะลึง ไม่ต่างกับชาวบ้าน นาถสุดาควักมือถือมาถ่ายรูปไว้ ลุงแสงซึ่งอยู่ในนั้นพูดขึ้นเสียงดัง
“เมื่อคืนพญานาคมาเล่นน้ำจริงๆ พวกเราเห็นกับตา เห็นมั้ยรอยเท้าที่ทิ้งไว้นี่ไง”
“โอ๊ย...เสียดาย เมื่อคืนฉันไม่ได้มาหาปลากับลุง ไม่งั้น...คงได้เห็นเป็นบุญตาแล้ว” หญิงชาวบ้านว่า
“ไม่ได้มาตัวเดียวด้วยนะ มากันถึงสองตัว เล่นน้ำกันอยู่นาน” ชายหาปลาอีกคนบอก
หมู่มวลชาวบ้านตกใจ “สองตัว”
“เออ...เกิดมาก็เพิ่งเห็นจังๆ นี่แหละ ขึ้นมาเล่นน้ำให้เห็น หยอกล้อกัน โอ๊ย...ป็นบุญตาแท้ๆ” ชายชราตื่นเต้นไม่หาย
ชาวบ้านมุงดูรอยเท้าพญานาคต่อ นาถสุดากับไพศิษฐ์มองหน้ากัน ท่าทางของนาถสุดาสนใจมาก
“นี่เราเจอรอยเท้าพญานาคจริงๆ ใช่มั้ยคะคุณศิษฐ์”
ไพศิษฐ์ดึงมือนาถสุดาออกมา สองคนเดินเลียบลำน้ำโขงเห็นชาวบ้านอยู่ด้านหลัง
“ไม่มีใครพิสูจน์ได้นี่นาถ ว่าใช่จริงหรือเปล่า...มันเป็นความเชื่อ”
นาถสุดายังมีอาการตะลึงอยู่ “แต่เหมือนจริงๆ เลยนะคะ..แล้วรอยที่นี่เหมือนรอยที่เกิดอยู่ที่วังคุณชายมั้ยคะ”
ไพศิษฐ์ อ้ำๆ อึ้งๆ ตอบอ้อมแอ้ม “ก็...เหมือน! ผมเลยตอบไม่ได้ไงว่า ถ้าเป็นพญานาคจริงๆ จะไป
ปรากฏที่วังนาเคนทร์ได้ยังไง”
“ก็ท่านเป็นพญานาค” นาถสุดาว่า
“พญานาคไปได้ทุกที่เลยหรือ? ทั้งแถวเฮือนภูจำปา ทั้งวังนาเคนทร์ ผมว่ามันแปลกๆ เหมือนมีใครจงใจสร้างหลักฐานปลอมๆ ทุกอย่างนี่ขึ้นมา” ผู้กองหนุ่มว่า
“งั้นใครล่ะคะ? คุณตอบได้มั้ย” นาถสุดาย้อนถาม
ไพศิษฐ์ครุ่นคิด “ผมไม่รู้...ก็ได้แต่หวังว่า การมาลำน้ำโขงของนายชายครั้งนี้จะได้คำตอบ”
สองคนจะเดินตรงไปที่รถ คราวนี้กลับมีเสียงชาวบ้านดังขึ้นมาอีก ท่าทางตื่นเต้น
นาถสุดาสงสัยนัก “เค้าเห็นอะไรกันอีกคะ? หรือพญานาคท่านจะขึ้นมา”
พูดได้แค่นั้น นาถสุดาก็ วิ่งผละจากไพศิษฐ์กลับไปที่กลุ่มชาวบ้าน ไพศิษฐ์ร้อง
“นาถๆๆๆ”
ไพศิษฐ์วิ่งตามนาถสุดากลับไป

นาถสุดาและไพศิษฐ์วิ่งกลับไปที่ริมน้ำโขง เสียงชาวบ้านยังอื้ออึงกับสิ่งที่เห็น
“โอ๊ย...รองเท้าใครเนี่ยลอยมา รีบเก็บเร็วๆ เดี๋ยวมันลอยมาทับรอยเท้าพญานาค”
หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเดินลงไปหยิบรองเท้าขึ้นมา
“อู๊ย รองเท้าแพงๆ แบบนี้ไม่ใช่ของพวกเราหรอก”
“ทำไมเค้ามาทิ้งไว้อย่างนี้น้อ เสียดาย...รองเท้าดูแพ้ง แพง” หญิงชาวบ้านอีกคนถามกัน
“เค้าไม่ได้ทิ้งหรอก แต่สงสัย เจ้าของจะจมน้ำไปซะแล้วมั้ง เมื่อคืนเห็นเล่นน้ำอยู่ตั้งนาน” ลุงแสงบอก
ไพศิษฐ์กับนาถสุดาเดินเข้ามาถึงพอดี ไพศิษฐ์มองอย่างตกใจ
“รองเท้านายชาย” ไพศิษฐ์ตกใจมาก “ลุง! ลุงเห็นคนที่เล่นน้ำเมื่อคืนด้วยเหรอ ท่าทางเค้ายังไงครับ”
“ก็ดูเป็นผู้ดีเหมือนคุณสองคนนี่แหละ เมื่อคืนเค้ามาเล่นน้ำอยู่ตรงนั้น” ลุงแสงชี้ไป
“มาเล่นน้ำดึกดื่นอย่างนี้น่ะเหรอคะ? เค้ามากับใคร” นาถสุดารีบซัก
“มาคนเดียว แต่ทำเหมือนมาเล่นกันสองคน ลุงก็ไม่ได้สนใจ จนได้มาเห็นรองเท้านี่ล่ะ ถึง
นึกได้ เออ...ไปไหน รองเท้าถึงได้มาลอยอยู่อย่างนี้”
“แย่แล้วนาถ”
ไพศิษฐ์หน้าซีดเผือด หันไปกระโจนลงสู่ลำน้ำโขงทันที ท่ามกลางความงุนงง ตื่นตกใจของชาวบ้าน

นาถสุดากระโดดลงน้ำตามไพศิษฐ์ทันที

ติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 7 (ต่อ)

ที่นครบาดาล อุรคาเทวีนอนก่ายกอดร่างของภุชคินทร์อย่างไหลหลง ในแววตามีแต่ความรักและหวงแหน กอดเอาไว้กลัวว่าจะจากไป ขณะที่ภุชคินทร์นอนหลับสนิท มือเรียวงามของเจ้าอุรคาลูบไล้ใบหน้าภุชคินทร์ไปมาเบาๆ

“ในที่สุด เราก็ได้กลับมาครองรักกัน...ภุชเคนทร์ ข้าจะทำให้ท่านถอนคำสัตย์สาบานเพื่อที่เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดกาล” แล้วโน้มหน้าก้มลงประทับจูบที่แก้มอย่างแหนหวง
ฉับพลันนั้นก็มีเสียงตวาด อันกราดเกรี้ยวดังขึ้น
“หยุด อุรคา”
เจ้าอุรคาสะดุ้งหันมามอง “ยมนา”
ยมนายืนหน้าตาถมึงทึง ตวาดก้อง
“เจ้ากำลังฝืนลิขิตชะตากรรม”
เจ้าอุรคารู้ทั้งรู้ แต่เถียงดื้อดึง “ไม่ นี่คือชะตาลิขิตที่ทำให้เรากับเขามาเจอกันต่างหาก”
“ยังจะกล้าเถียงอีก ในเมื่อเหตุการณ์ครั้งนี้ เจ้าเป็นคนกำหนดให้มันเกิดขึ้นทั้งหมด”
“ก็เพื่อให้ท่านภุชเคนทร์ถอนคำสัตย์สาบานเท่านั้น เลิกขัดขวางข้าซะที ยมนาถ้ายังคิดว่าข้าเป็นสหายของท่านอยู่” อุรคาเทวีบอกอย่างฉุนเฉียว
“ข้าก็ยังเป็นสหายที่ปรารถนาดีต่อเจ้าเช่นเดิม” ยมนาทอดเสียงอ่อนลง “จิตท่านภุชเคนทร์ไม่พร้อม แต่เจ้าทำให้เขาไร้สติ และดึงจิตเขาเข้ามาหาเจ้า”
เจ้าอุรคาย้ำอีก “ข้าแค่อยากให้เขาระลึกได้และถอนคำสัตย์สาบานนั้นเสีย”
“ไม่ได้ อุรคาเทวี...ชีวิตมนุษย์ของเขา ล่วงผ่านมานานแล้ว หากช้ากว่านี้เขาจะตาย”
สีหน้าของเจ้าอุรคาสับสน หวาดหวั่น ยมนาพูดต่ออย่างให้สติต่อ
“อุรคาเทวี...การที่เจ้ายังยึดติดเช่นนี้ เจ้ายิ่งจะทุกข์ทรมานไม่สิ้นสุด ต่อไป เจ้าจะไม่ใช่นาคเทวี แต่เป็นได้แค่นาคตัวหนึ่ง เพราะเจ้ากำลังลบบุญของตัวเอง”
“เป็นไปไม่ได้ ข้าคือนาคเทวี ผู้ยิ่งใหญ่แห่งลุ่มน้ำนี้”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือไร? แม้แต่นาคเทวีก็ไม่ใช่อมตะ การที่เจ้าพยายามเปลี่ยนแปลงโองการสวรรค์...จะทำให้เจ้ายิ่งทุกข์ทรมาน เจ้าจะยิ่งได้รับโทษ จนอาจกลายเป็นเดรัจฉานได้” ยมนาบอกน้ำเสียงข้มตอนท้ายประโยค “นำท่านภุชคเนทร์คืนกลับเมืองมนุษย์เดี๋ยวนี้”
เจ้าอุรคานิ่ง สีหน้ายังสับสน ตระกองกอดร่างของภุชคินทร์เอาไว้อย่างหวงแหน
“อย่ามัวแต่หลงระเริงความสุขของตัวเอง ไม่เช่นนั้น เจ้านั่นแหละจะเป็นผู้ฆ่าท่านภุชคเนทร์ ไม่ใช่พญาสุบรรณ” ยมนาเสียงเข้มกว่าเดิม “คืนเขาให้กับข้า”
“ไม่” เจ้าอุรคากอดภุชคินทร์เอาไว้อย่างแหนหวง เพราะกลัวจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก
“ถ้าเจ้ายังยืนกรานเช่นเดิม ข้าก็ขอใช้อำนาจแห่งยมบาล นำเขากลับคืนสู่ชีวิตแห่งความเป็นมนุษย์” พลางยมนาจะเข้ามาพาร่างซึ่งเป็นวิญญาณของภุชคินทร์ไป
เจ้าอุรคากอดภุชคินทร์เอาไว้แน่นร้องไห้ครวญคร่ำ “อย่า..อย่าพาเขาไป ข้าขอ...ขอ...” ละล่ำละลัก “ขอให้เขาถอนคำสัตย์สาบานก่อน”
ยมนาไม่ฟัง ชี้นิ้วไปที่ร่างของภุชคินทร์ที่นอนอยู่ สั่งเสียงกร้าว
“ภุชคินทร์ กลับคืนร่างเจ้าเดี๋ยวนี้”
ร่างของภุชคินทร์ที่นอนอยู่ ลุกขึ้นมา แล้วลอยละล่องขึ้นไปสู่เบื้องบนอย่างรวดเร็ว เจ้าอุรคาได้แต่ยกมือไขว่คว้าเอาไว้
“อย่า ท่านภุชเคนทร์อย่าไป”

อุรคาเทวี รีบตามขึ้นไปทันที

ส่วนที่ด้านบนลำน้ำโขง ไพศิษฐ์กับนาถสุดาดำผุดดำว่ายหาร่างภุชคินทร์ แต่หาอย่างไรก็ไม่เจอ สองคนโผล่

พ้นน้ำ ขึ้นมาหอบหายใจมองหน้ากัน กังวล ท่าทางนาถสุดาอ่อนแรงเต็มที
“นาถไม่เห็นคุณชายค่ะคุณศิษฐ์”
“ผมก็เหมือนกัน”
นาถสุดาทำท่าจะดำลงไปอีก แต่ไพศิษฐ์คว้ามือเอาไว้
“อย่านาถ พักก่อนดีกว่า”
ไพศิษฐ์ประคองนาถสุดาไปยังเกาะแก่งหินริมน้ำโขง สองคนหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า
“ยังไหวอยู่มั้ย”
“ค่ะ นาถเป็นห่วงคุณชาย ดำน้ำไม่เท่าไหร่ เราสองคนยังแทบหมดแรง แล้วถ้าคุณชายเกิดจมน้ำไปจริงๆ ป่านนี้คุณชายจะเป็นยังไง? นาถกลัว”
“อย่าเพิ่งคิดอะไรขนาดนั้นเลยนาถ เดี๋ยวผมลองหาอีกที นาถรออยู่นี่นะ” ไพศิษฐ์จะไปแล้ว
นาถสุดาคว้ามือเอาไว้ “เดี๋ยวค่ะคุณศิษฐ์”
“มีอะไรนาถ”
นาถสุดาชี้มือไป “ตรงแก่งหินโน้น เหมือนมีคนอยู่”
ไพศิษฐ์มองตามมือของนาถสุดา เห็นแก่งหินลิบๆ ตา อยู่กลางน้ำลักษณะเหมือนมีคนนอนอยู่ ใจของไพศิษฐ์เต้นระรัว
“ผมขอให้เป็นนายชายด้วยเถอะ”
ไพศิษฐ์กับนาถสุดาว่ายน้ำตรงไปยังแก่งหินนั้นทันที

ที่แก่งหินนั้น ร่างของภุชคินทร์นอนคว่ำหน้าอยู่ ไพศิษฐ์กับนาถสุดาว่ายน้ำเข้าไปถึง ไพศิษฐ์
ตรงไปพลิกร่างนั้นให้นอนหงายขึ้นมา เห็นเป็นภุชคินทร์ใบหน้าซีดเผือดอยู่ เป็นตายไม่รู้ นาถสุดาตกใจมาก

“คุณชาย!”
ไพศิษฐ์จับชีพจรที่ข้อมือของภุชคินทร์ ชีพจรนั้นอ่อนมาก
นาถสุดาถามรัวเร็ว “คุณชายเป็นไงมั่งคะคุณศิษฐ์”
“ยังไม่ตาย”
ไพศิษฐ์รีบก้มลงผายปอดให้ภุชคินทร์ทันที ไม่นานนักภุชคินทร์ก็สำลักน้ำพรวดออกมา นาถสุดากับไพศิษฐ์ยิ้มโล่งใจ ภุชคินทร์มองไพศิษฐ์กับนาถสุดา อาการเบลอๆอยู่
“เป็นไงมั่งนายชาย”
ภุชคินทร์มองสองคน เหมือนสติจะยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนที่ร่างนั้นจะหงายลงนอนไปอีก
“พาคุณชายส่งรพ.ดีกว่าค่ะ”
มีชาวบ้านพายเรือผ่านมา นาถสุดาลุกขึ้นกวักมือร้องเรียกตะโกน
“ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย”
ชาวบ้านพายเรือเข้ามาใกล้ๆ ไพศิษฐ์กับนาถสุดาช่วยกันประคองภุชคินทร์ให้ลุกขึ้นมา ชาวบ้านบอกอย่างมีน้ำใจ
“มะๆ รีบขึ้นมา”
“ขอบคุณครับ” / “ขอบคุณค่ะ”
ไพศิษฐ์ กับนาถสุดาขอบคุณชาวบ้านคนนั้น แล้วรีบพาร่างภุชคินทร์ขึ้นเรืออย่างทุลักทุเล ชาวบ้านรีบพายเรือออกไป ฉับพลันลมก็โหมพัดแรงขึ้น ท้องฟ้ามืดครึ้มทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นตะวันสาดแสงจ้า
ด้านหลังของสี่คนเจ้าอุรคาในสภาพเลือนรางโผล่ขึ้นมาจากท้องน้ำ มองมายังภุชคินทร์ที่อยู่ในเรือที่ค่อยๆ แล่นห่างออกไปอย่างเสียใจ และอาลัยอาวรณ์
“ข้าไม่ยอม..ท่านภุชเคนทร์ ข้าไม่ให้ท่านไป”

อุรคาเทวีพึงพำอยู่กับตัวเอง

มณีสวาท ตอนที่ 7 (ต่อ)

ไพศิษฐ์กับนาถสุดารีบนำตัวภุชคินทร์มาส่งโรงพยาบาล ภายในห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาลประจำจังหวัด เห็นภุชคินทร์นอนอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ สองคนนั่งเฝ้ามีท่าทีกระวนกระวายใจมาก นาถสุดาบอกอย่างกังวล

“หมอก็บอกว่าคุณชายแค่อ่อนเพลียเฉยๆ แล้วทำไมป่านนี้แล้ว คุณชายยังไม่ตื่นอีก”
“นั่นน่ะสิ นอนมาจะหมดวันแล้ว ปลุกเลยแล้วกัน” ไพศิษฐ์ร้องเรียก “ชาย ชาย”
สักครู่หนึ่งภุชคินทร์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ท่าทางเหมือนยังเพลียๆ ไม่อยากตื่น จะหลับลงไปอีก
ไพศิษฐ์รีบเรียกไว้ “เฮ้ย! อย่าเพิ่งหลับสิวะ”
“นาถกับคุณศิษฐ์มาเยี่ยมค่ะ คุณชายเป็นยังไงบ้างคะ”
ภุชคินทร์มองหน้าถามอาการงงๆ “เป็นอะไร”
นาถสุดารีบบอก “ก็คุณชาย..นอนหมดสติที่ลำน้ำโขงอยู่น่ะค่ะ”
ภุชคินทร์ตื่น ย้อนถามด้วยท่าทางปกติ “ผมน่ะหรือ หมดสติที่ลำน้ำโขง”
“ก็ใช่น่ะสิ! ถ้าฉันกับนาถไม่ตามไปเจอนายซะก่อน ป่านนี้นายนอนเป็นปลาแดดเดียวแห้งไปแล้วมั้ง”
ภุชคินทร์ทำหน้าเหวอ งุนงง เหมือนจำอะไรไม่ได้ ไพศิษฐ์ถาม
“นี่นายจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
ภุชคินทร์ทำท่านึก “จำได้แค่ว่า...ฉันไปเดินเล่นที่ริมน้ำโขง แล้วก็ตื่นขึ้นมาเจอนายกับคุณนาถนี่
แหละ”
ขณะพูดดวงตาของภุชคินทร์สดใส เหมือนคนได้นอนเต็มที่ตื่นมาสดชื่น ไพศิษฐ์กับนาถสุดามองหน้ากันงุนงง

เรื่องราวที่ทั้งสามคนคุยกันปรากฎขึ้นที่ใต้ผืนน้ำ ในนครบาดาล อุรคาเทวีกรีดร้องเสียงโหยหวนปิ่มว่าจะขาดใจ น้ำตาไหลพราก ด้วยความเสียใจมาก
“ภุชเคนช์ ทำไมท่านถึงจำไม่ได้” อุรคาเทวีเค้นเสียงละล่ำละลัก “ท่านต้องจำได้ซิ” พร้อมกับส่งสายตาเพ่งมองไปยังภุชคินทร์ เสียงเข้ม “ท่านต้องจำได้”
ยมนาปรากฏกายขึ้น มองเจ้าอุรคาแบบอ่อนอกอ่อนใจ แกมระอา
“เจ้าอย่าฝืนธรรมชาติเลยอุรคาเทวี บัดนี้ภุชเคนทร์ เขาลืมอดีตชาติของเขาไปหมดแล้ว
เจ้าอุรคาโกรธจนพาล “จะลืมได้อย่างไร มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่ใช่หมื่นวันพันชาติ”
ยมนาต่อว่าเสียงเข้ม “หมื่นวันพันชาติ เพราะสิ่งที่เจ้าต้องการมิใช่เหตุการณ์เมื่อครู่” และพูดเน้นคำ ในวลีต่อมา “แต่เจ้าต้องการรื้อฟื้นอดีตชาติของท่านภุชเคนทร์”
เจ้าอุรคาหน้าซีดเผือด เพราะยมนาพูดถูกทุกอย่าง แต่ยังดื้อดึงเช่นเคย
“แล้วมันผิดตรงไหน หากว่าท่านภุชเคนทร์จะจดจำอดีตชาติของตัวเองได้”
“มันผิดกฎสวรรค์ เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนภพชาติ เบื้องบนจะต้องล้างความทรงจำในอดีตชาติของทุกดวงจิต” พญายมเน้นย้ำ “ท่านภุชเคนทร์ก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากกฎข้อนี้”
อุรคาเทวีโต้อย่างถือดี “ข้านี่แหละจะเป็นผู้ล้างกฎของสวรรค์ด้วยความรักของข้าเอง” บอกด้วยน้ำเสียงเข้ม “ท่านภุชเคนทร์จะต้องจำได้ ถ้าได้ไปยังสถานที่ ที่เขาเคยคุ้นเคย”
ยมนาระอาเหลือแสน ทอดน้ำเสียงกึ่งเย้ย “แล้วทำไมเจ้าไม่พาเขาไปล่ะ? มัวทำอะไรอยู่?”
เจ้าอุรคานิ่งไปละอาย ยมนาว่าต่อน้ำเสียงเข้มอย่างรู้เท่าทันนางพญานาคี
“เพราะตอนนั้นเจ้ามัวแต่หลงระเริงกับความรัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าการติดในตัณหามันซ้ำร้ายยิ่งกว่ากิเลสใดๆ ทั้งปวง”
เจ้าอุรคาหน้าซีดเผือด น้ำตาไหลรินเป็นสาย เหมือนสำนึกได้ ยมนาเห็นก็สงสารทอดเสียงอ่อนลง
“เราไม่ถือโกรธ เพราะเราเข้าใจเจ้าอุรคาเทีวี ทุกอย่างล้วนอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เจ้าฝืนกฎแห่งกรรมไปไม่ได้หรอก”
เจ้าอุรคาหน้าละห้อย พูดสั่นเครือ “ท่านพูดเช่นนี้ได้ เพราะท่านไม่เคยมีความรัก”
ยมนาพยายามให้เข้าใจ ทอดเสียงอ่อนโยนปลอบ “อุรคาเทวี เจ้าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะ
เรียนรู้ ว่าความรักที่แท้จริง คือความยินดี การเสียสละ แต่ความรักที่ยึดติด จะก่อให้เกิดแต่ความทุกข์ เจ้าทำเช่นนี้พลังชีวิตของเจ้านับวันจะยิ่งอ่อนลงๆ เจ้าทำตามหัวใจตัวเอง จนลืมที่จะรักตัวเองอุรคา”
เจ้าอุรคาสิ้นแรงจะโต้แย้ง ได้แต่นิ่งเงียบงัน มีเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างออาลัยอาวรณ์

ค่ำคืนนั้น ท้องฟ้ามืดดำ ลมพัดแรง บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ยืนต้นตระหง่าน
เห็นกระท่อมร้างหลังหนึ่งในกรุงเทพฯ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางป่า แลดูน่าสะพรึงกลัว ที่ด้านในเห็นแสงสว่างจากเปลวเทียน กระทบกับร่างของสุรินทร์ที่นั่งอยู่ ใบหน้าของสุรินทร์ยามต้องแสงนั้นแลดูน่ากลัว ดวงหน้าถมึงทึง ขบกรามแน่นจนใบหน้าเกร็ง เงื้อมีดอาคมขึ้นสูง เงากระทบจากฝากระท่อมเห็นเป็นภาพเงามือของสุรินทร์แทงลงบนหัวงูเคราะห์ร้ายตัวหนึ่งอย่างแรง จนเลือดกระฉูด
สุรินทร์คำรามเสียงกร้าว น่ากลัว “สักวันแกจะต้องเป็นอย่างงูตัวนี้ ไอ้สุบรรณ นังอุรคา”
มีดในมือหนาใหญ่ของสุรินทร์บั่นคองูตัวนั้นจนขาดกระเด็น เลือดกระเซ็นถูกใบหน้าของมัน ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นอีก

ที่ห้องโถงภายในคฤหาสน์ของสุบรรณวันต่อมา สุบรรณนั่งหน้าเครียด ขณะฟังอำนาจเล่าและบอกเกี่ยวกับสุรินทร์
“ถ้าไอ้สุรินทร์มันคิดว่ามันจะเอาชนะฉันได้ ก็ให้มันมา”
“ไอ้สุรินทร์มันก็ทำได้แต่คนที่ขี้ขลาด ไม่มีทางสู้ แต่สำหรับนาย แค่ได้ยินชื่อ ไอ้สุรินทร์ มันก็เป็นได้แค่หมาหางกุดตัวหนึ่งเท่านั้น ที่ผมห่วง...คือเจ้าอุรคา” อำนาจบอก
สุบรรณสนใจ หันขวับมามองอำนาจรอฟัง
“ผมเกรงว่าเจ้าจะเป็นอันตราย เพราะถ้าไอ้สุรินทร์มันทำอะไรนายไม่ได้ มันก็ต้องหาทางไปทำร้ายเจ้าอุรคาแทน”
แววตาของสุบรรณกร้าวแข็งแลดูน่ากลัว “ถ้าไอ้สุรินทร์มันทำแบบนั้น แสดงว่ามันโง่ รนหาที่ตายเร็วขึ้น เพราะถ้ามันทำร้ายเจ้าอุรคาเพียงแค่ปลายเล็บ ไอ้สุรินทร์มันต้องแลกด้วยชีวิตของมัน!”

สีหน้าและแววตาของสุบรรณแข็งกร้าวดุดัน บอกให้รู้ว่ารักเจ้าอุรคาสุดหัวใจ

เฮือนภูจำปาต้อนรับสุบรรณในเวลาไม่นานต่อมา เจ้าอุรคายืนหันหลังให้สุบรรณอยู่ตรงห้องโถง เหมือนไม่สนใจเรื่องที่บอก แค่ปรายตามามองขณะถาม

“เห็นท่านสุบรรณมาทีไร ดิฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า กำลังจะมีเรื่องร้อนใจทุกที”
สุบรรณหน้าเศร้าลง “ผมขอโทษ ผมไม่คิดเลยว่า การมาของผมจะทำให้เจ้ารู้สึกทุกข์ใจ”
เจ้าอุรคาหัวเราะนิดนิด “เหมือนท่านจะเคยพูดแบบนี้มาก่อน แต่ท่านก็ยังมา”
“เหมือนเจ้ากำลังด่าว่าผมหน้าด้านมาหาเจ้าทั้งๆ ที่เจ้าไม่อยากให้มา!” สุบรรณย้อนน้ำเสียงแปร่งปร่า
เจ้าอุรคายิ้มนิดๆ “หรือคะ”
สุบรรณเสียใจ “ผมต้องการมาขอโทษ ที่ผมและคนของผม...” สุบรรณยังพูดไม่ทันจบคำ
เจ้าอุรคาก็พูดแทรกขึ้นพร้อมถอนหายใจเบื่อหน่าย “อย่าถือเอามาเป็นประเด็นที่จะต้องเข้ามาข้องแวะเลยค่ะ ดิฉันขอพูดตรงๆ ว่า...ไม่ชอบ”
สุบรรณทั้งไม่พอใจและเสียใจในน้ำคำนั้น ขึ้นเสียงใส่ “ทั้งๆที่เจ้ารู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับเจ้า เจ้ายังพูดกับผมได้ขนาดนี้”
น้ำเสียงเจ้าอุรคามีแต่ความเยาะหยัน “ท่านสุบรรณ...ท่านคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้มาตะคอกเสียงใส่หน้าดิฉันอย่างนี้”
สุบรรณบอกอย่างหยิ่งทะนง “ใครน่ะหรือ? ท่านสุบรรณผู้ทรงเกียรติ ที่ใครๆ ต้องก้มหัวให้ แต่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมต้องยอมก้มหัวให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เสือกไสไล่ส่งผม อย่างไร้ค่า” เสียงของนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลสั่นเครืออย่างเจ็บปวดขณะพูด “และนอกจากผมจะไม่โกรธแล้ว ผมยังรักและเทิดทูนเจ้าอย่างมากมาย”
เจ้าอุรคาเปล่งเสียงหัวเราะหยัน “ถ้าดิฉันจะว่าท่านโง่งมงาย ก็ดูหยาบคายเกินไป” พลางมองอย่างเหยียดเย้ย “ถ้าอย่างนั้น การที่เอาแต่ลุ่มหลงอิสตรี จนไม่ได้นึกถึงเกียรติยศของตัวเอง จะเรียกผู้ชายคนนั้นว่าอะไรดี”
“หากเจ้าจะหยามคนที่มีรักมั่นคงว่า โง่เง่า งมงาย เจ้าก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน เพราะเท่าที่ผมเห็น คุณชายภุชคินทร์ก็ไม่เคยสนใจเจ้าแม้แต่นิดเดียว! ทั้งๆ ที่เจ้าอุตส่าห์ทอดสะพานให้ถึงขนาดนั้น” สุบรรณย้อนเจ็บ
“ท่านสุบรรณ!”
เจ้าอุรคาตวาดเสียงเข้ม มองสุบรรณอย่างโกรธจัด แล้วตวัดมือตบเข้าที่หน้าอย่างแรง
สุบรรณผงะ สายตากร้าวแข็ง ท่าทางโกรธมาก “อวดดีมาก ที่กล้าทำกับผมอย่างนี้เจ้าอุรคา”
ขาดคำ สุบรรณกระชากร่างของเจ้าอุรคาเข้ามาหาอย่างแรง
“อย่าคิดว่าผมรักเจ้า แล้วผมจะไม่กล้าทำอะไร” สุบรรณระดมจูบเจ้าอุรคาอย่างรุนแรงและป่าเถื่อน
เจ้าอุรคาร้องเสียงดัง ปกป้องตัวเองโกรธจัด “ปล่อย คนเลว อย่ามาทำป่าเถื่อนกับฉัน”
ชรายุซึ่งยืนมองอยู่ถลาออกมา ผลักสุบรรณเต็มแรงให้ออกพ้นจากร่างเจ้าอุรคา ตวาดก้อง
“หยุดนะ ท่านสุบรรณ”
ชรายุยืนขวางร่างของเจ้าอุรคาปกป้องไว้ แต่สุบรรณกระชากร่างของชรายุเหวี่ยงลงกับพื้นไม่แยแส ร่างชรายุเซถลาไปชนเจ้าอุรคา สองสาวล้มลง สุบรรณตะคอกอย่างคนลุแก่วางอำนาจ
“ก็ในเมื่อให้เกียรติดีๆแล้วไม่ชอบ เจ้าก็ต้องเจออย่างนี้”
เจ้าอุรคาเหลียวมองสุบรรณด้วยสายตาโกรธแค้น ชรายุโผเข้าประคองเจ้าอุรคา ก่อนที่ทั้งคู่จะตวัดสายตามองสุบรรณอย่างเกลียดชัง
สุบรรณขึ้นเสียงกร้าว “จำเอาไว้ คนอย่างสุบรรณ ไม่เคยอยากได้อะไรแล้วไม่ได้”
พูดจบสุบรรณก็เดินออกไปอย่างฉุนเฉียว ชรายุประคองเจ้าอุรคา ถามอย่างห่วงใย
“เจ็บตรงไหนบ้างคะเจ้า”
“เจ็บกายไม่เท่าไหร่ แต่ข้าเจ็บใจ....กี่ภพกี่ชาติ พญาสุบรรณก็ตามมาทำร้ายข้าเช่นนี้!”
“เพราะเขาคือ พญาสุบรรณ พญาครุฑที่ยิ่งใหญ่”
“แต่ชาตินี้เขาเป็นมนุษย์ เขาจะมาทำร้ายนาคเทวีอย่างข้าได้อย่างไร”
“เพราะบารมีที่ติดตัวพญาสุบรรณมาแต่อดีตชาติ” ชรายุว่า
เจ้าอุรคายิ่งโกรธเป็นทวี “แล้วมันไม่มีวันหมดไปเลยหรือไงชรายุ? พญาสุบรรณต้องตามทำร้ายข้า
ชั่วกัลป์ชั่วกัลป์เลยหรือไร”
ชรายุหน้าเศร้าสลดใจขณะบอก “วันนี้เขามีบารมี เป็นถึงรัฐมนตรี มีอำนาจ มีโอกาสที่จะสร้างบุญ สร้างกุศล พลังแห่งครุฑราชก็จะยิ่งใหญ่ แต่ถ้าหากพญาสุบรรณกระทำชั่วเสมอๆ เชื่อว่าสักวันหนึ่งบารมีแห่งครุฑราชก็จะหมดไป” ชรายุกระแทกเสียงด้วยความโกรธแค้น “เพราะแม้แต่วันนี้ เขาก็ใช้อำนาจมิชอบมาข่มเหงเจ้าถึงบ้าน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็เชื่อว่าวันนั้นต้องมาถึง เจ้าอุรคา”

ในแววตาของสองบ่าวนายมีแต่ความเจ็บแค้น โดยเฉพาะเจ้าอุรคาประกายตาแทบลุกเป็นไฟ

ออกจากเฮือนภูจำปาแล้ว สุบรรณขับรถมาตามทางอย่างขุ่นเคือง สีหน้าแววตายังโกรธอยู่มาก ก่อนที่จะเบนรถจอดข้างทาง ดวงตาของสุบรรณแดงก่ำ

“เจ้ากำลังทำให้ผม เกลียดไอ้คุณชายภุชคินทร์ และมันก็จะอยู่ร่วมโลกกับผมไม่ได้!”
มือของสุบรรณกำขยำพวงมาลัยแน่น แทบจะบดขยี้ให้แหลกลาญคามือ เคียดแค้นชิงชังภุชคินทร์มาก

ส่วนไพศิษฐ์กับนาถสุดาพาภุชคินทร์ออกจากโรงพยาบาล มายังแก่งหินที่ลำน้ำโขงตรงจุดที่พบภุชคินทร์นอนอยู่ ไพศิษฐ์บอกพร้อมกับชี้ให้ดู
“วันนั้นฉันเจอนายมานอนอยู่ตรงนี้”
ภุชคินทร์มองแก่งหินนั้น ทำทีจำอะไรไม่ได้เลย นาถสุดารีบบอก
“ชาวบ้านบอกว่า ก่อนหน้านั้นเหมือนคุณชายจะเล่นน้ำกับใครซักคน ใครหรือคะ”
ภุชคินทร์ตอบคำเดิม “ผมจำไม่ได้จริงๆ ผมจำได้แค่ว่า ผมมาที่นี่ มาตะโกน หาคนที่ต้องการผมพบ”
“ใครคะ”
ความจำของภุชคินทร์ยังลางเลือน “ผมก็ไม่รู้...รู้แค่ว่าจิตใต้สำนึก เค้าต้องการให้ผมมาที่นี่”
“แล้วนายเจอเค้ามั้ย”
ภุชคินทร์ทำท่าคิดทบทวนหนัก “ไม่...ฉันว่า...ฉันไม่เจอใครเลย”
นาถสุดาซักรัวเร็ว ตื่นเต้นมากๆ “แล้วหลังจากนั้นล่ะค่ะ”
“ผมจำอะไรไม่ได้จริงๆ ครับ”
ไพศิษฐ์พยายามช่วยฟื้นความจำ “แล้วเจ้าอุรคา พญานาค น้ำ ความเจ็บปวด ความตาย”
“ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความตาย” ภุชคินทร์ทำท่าคิด เหมือนเพิ่งนึกได้ “ใช่...ฉันจำได้แล้ว ฉัน
มาตามหาผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนเจ้าอุรคา”
“แล้วเจอมั้ยคะ”
“ไม่เจอ”
ไพศิษฐ์ตั้งข้อสงสัย “หรือว่า..ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่เฮือนภูจำปา”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็...อาจจะเป็นคนเดียวกัน...และถ้าเป็นอย่างนั้น นายต้องอยู่ห่างจากเจ้าอุรคาแล้วล่ะ ก่อนที่นายจะตาย เพราะเจ้าอุรคา”
ไพศิษฐ์พูดจบ แต่ไม่ทันสังเกตเห็นว่าท้องน้ำเวลาซัดแรง ประหนึ่งว่าไม่พอใจที่ได้ยิน

ในห้องลับที่เฮือนภูจำปา เจ้าอุรคานั่งนิ่งอยู่บนแท่นบูชา ท่าทางเหมือนสงบ มีเพียงดวงตา เท่านั้นที่เปล่งประกายวามวับ กร้าวแข็ง และ ขึ้งโกรธ ชรายุที่นั่งอยู่ด้านล่าง ติงอย่างรู้ทัน
“อย่าค่ะเจ้า ตอนนี้เจ้ากำลังสะสมพลังแห่งดวงจิตอยู่”
เจ้าอุรคานิ่ง “เราไม่ทำอะไรเขาหรอก เพราะเขาไม่ใช่ศัตรูของเรา ก็แค่จะเตือน”
เจ้าอุรคาผุดลุกขึ้นมา

ค่ำคืนนั้น ที่บริเวณหน้าแสงทองริมโขงรีสอร์ท บ้านพักเล็กๆ แห่งหนึ่งริมแม่น้ำโขง สามคนเดินเล่น
กันอยู่ มองไปเป็นแม่น้ำโขงไหลเรื่อย ภุชคินทร์ถามอย่างพึงพอใจ
“ที่นี่สงบดีจัง ร่มรื่น รู้จักกันได้ยังไง”
“ไม่รู้จักหรอก ผ่านมา เห็นน่าอยู่ดี เลยแวะเข้ามาพัก” ไพศิษฐ์บอก
“นี่ถ้าคุณศิษฐ์มีเวลาเยอะๆ คงดีนะคะจะได้พักต่ออีกหน่อยนี่ไม่ทันไรพรุ่งนี้ต้องกลับซะแล้ว” นาถสุดาเสียดาย
“ถ้านาถอยากพัก ก็อยู่ต่ออีกหน่อยก็ได้ เย็นๆ ค่อยกลับนะนายชาย”
ภุชคินทร์เห็นงามด้วย “ได้”
ขณะที่สามคนดื่มด่ำกับบรรยากาศรีสอร์ทติดน้ำโขงอยู่นั้น ลุงแสงเดินผ่านมาเห็นภุชคินทร์ ก็ยิ้มร้องทัก
“อ้าว! คุณ เจอกันแล้วเหรอ? ไปเจอกันที่ไหนล่ะ”
“ที่แก่งหินกลางน้ำโขงน่ะครับลุง” ไพศิษฐ์ว่า
“โอ๊ย! ถือว่าเป็นบุญหนักหนาแล้วพ่อคุณเอ๊ย แล้วยังมาพักที่นี่อีก” ลุงแสงมองสำรวจรีสอร์ท
นาถสุดาสงสัย “ทำไมเหรอคะลุง”
“ก็เค้าว่ากันว่า ที่นี่ล่ะ มีรอยเท้าพญานาคปรากฏเป็นที่แรก เจ้าของเค้าเลยตั้งชื่อว่า แสง
ทองริมโขงยังไงล่ะ”
ภุชคินทร์ทวนคำ “แสงทองริมโขง?”
ลุงแสงพยักหน้า “ฮื่อ!! เพราะเชื่อว่า การมาเยือนของพญานาคก็เหมือนกับแสงแรก แสงทองของพระอาทิตย์ ที่จะนำแต่ความสุข ความเจริญมาให้”
ไพศิษฐ์พึมพำเบาๆ “พญานาคอีกแล้ว”
ลุงแสงมองหน้าภุชคินทร์ “ลุงว่ามันชักจะยังไงๆ แล้วนะ เจอหน้ากันวันแรก พ่อหนุ่มก็มาพร้อมกับ
พญานาค มาเจอกันวันนี้ ก็ยังมาพักที่พญานาคขึ้นมาเหยียบเป็นครั้งแรกอีก พ่อหนุ่มต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับพญานาคแน่ๆ”
ลุงแสงพูดจบก็เดินจากไป ปล่อยให้สามคนมองหน้ากันอึ้ง ภุชคินทร์หน้าเคร่ง ไพศิษฐ์ปลอบใจ
“อย่าคิดมากเลยชาย ลุงแกก็พูดเป็นตุเป็นตะ อาจจะแค่เรื่องบังเอิญก็ได้”
“แต่บางที ฉันก็รู้สึกอย่างที่ลุงว่าเหมือนกัน ฉันน่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับพญานาค ไม่งั้นคงไม่มีเหตุจูงใจให้ฉันมาที่นี่หรอก แม้กระทั่งชื่อของฉันก็ยังชื่อ ภุชคินทร์ ที่แปลว่าพญานาค”

สีหน้าภุชคินทร์ครุ่นคิดหนัก เหมือนเริ่มจะตกอยู่ในภวังค์อีกครา

ภุชคินทร์ยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องพัก ทอดสายตามองออกไปยังท้องน้ำแม่โขงที่เห็นอยู่ตรงหน้า เสียง
ของลุงแสงดังก้องในหัว

“ลุงว่ามันชักจะยังไงๆ แล้วนะ เจอหน้ากันวันแรก พ่อหนุ่มก็มาพร้อมกับพญานาค มาเจอกันวันนี้ ก็ยังมาพักที่พญานาคขึ้นมาเหยียบเป็นครั้งแรกอีก พ่อหนุ่มต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับพญานาคแน่ๆ”
สีหน้าภุชคินทร์เคร่งเครียดครุ่นคิด
“ถ้าผมมีอะไรเกี่ยวข้องกับพญานาคจริงๆ ขอให้คืนนี้พญานาคขึ้นมาปรากฏกายให้ผมเห็นด้วยเถอะครับ”
น้ำเสียงของภุชคินทร์เว้าวอน

ส่วนที่บริเวณหน้าห้องพัก นาถสุดาบอกไพศิษฐ์อย่างกังวล
“คุณศิษฐ์คะ...นาถกลัวว่าดึกๆ คุณชายจะออกไปที่น้ำโขง โดยไม่รู้ตัวอีก”
“ผมจะนอนเฝ้าอยู่ตรงนี้ล่ะ ให้มันรู้ไป ว่านายชายจะเดินผ่านออกไปที่น้ำโขง โดยที่ผู้กองไพศิษฐ์ไม่รู้ตัว”
เห็นท่าทีจริงจังของแฟนหนุ่ม นาถสุดาแซว “อ้าว! งั้นวันที่ผู้ต้องหา ล่องตัวหายตัวไปจากโรงพัก ผู้กองไพศิษฐ์ก็หนีเวรสิคะ”
ไพศิษฐ์ยิ้มขำๆ “วันนั้นไม่ได้อยู่เวร....” บอกเสียงเข้ม “แต่ถ้าวันนี้ นายชายหายตัวไปได้ ก็แสดงว่า นายชายต้องล่องหนหายตัว เหมือนกับผู้ต้องหาคนนั้นแล้วละ”
ท้ายประโยคไพศิษฐ์ยังเต็มไปด้วยความสงสัยคลางแคลงใจไม่หาย

กลางดึกแสงจันทร์ส่องสว่างเป็นแสงนวลตา ที่หน้าบริเวณห้องพัก ไพสิษฐ์นอนอ่านหนังสืออยู่
บนเตียงผ้าใบ ลมพัดเย็นสบาย ไพศิษฐ์หาวหวอดๆ ท่าทางง่วงนอน ตาปรือ มือที่จับหนังสือเริ่มอ่อนลงๆ ก่อนที่จะปล่อยหนังสือให้ตกอยู่ที่หน้าอก แล้วทิ้งมือลง หนังสือค่อยๆ เลื่อน และหล่นลงกับพื้น ไพศิษฐ์สะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นมา
“เผลอหลับไปซะได้”
ไพศิษฐ์หยิบหนังสือขึ้นมา แล้วลุกขึ้น บิดเนื้อบิดตัวแก้ง่วง แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้ดังแว่วมาจากน้ำโขง
“ใครกันมาร้องไห้ดึกดื่นแถวนี้”
ไพศิษฐ์วางหนังสือลงบนโต๊ะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ข้างๆ แล้วเดินออกไปตามทิศทางเสียง

ไพศิษฐ์เดินเลาะมาตามริมลำน้ำโขง จนเห็นผู้หญิงคนหนึ่งผมยาวสลวยดำขลับแต่งกายเหมือนสาวชาวบ้านธรรมดานั่งร้องไห้อยู่ เสียงของเธอโศกเศร้าเสียใจ สะท้อนกังวานดังก้องไปทั่วลำน้ำโขง เธอสะอื้นไห้ ปานใจจะขาด ไพศิษฐ์เดินเข้าไปถาม
“คุณ...คุณเป็นอะไร? ทำไมมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้?”
เธอผู้นั้นเงียบไม่ตอบ เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไพศิษฐ์บอกอีก
“นี่มันดึกมากแล้ว กลับบ้านเถอะ อันตราย”
ที่แท้เป็นเจ้าอุรคา ซึ่งเห็นเฉพาะด้านหลัง นางบอกไพศิษฐ์เสียงแข็ง “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
ไพศิษฐ์กวาดตามองไปรอบๆ เห็นแต่ความมืด และบรรยากาศวังเวงน่ากลัว “ก็ไม่ได้อยากยุ่ง แต่ผมว่า ดึกแล้ว แถวนี้ มันน่ากลัว ผมกลัวคุณจะมีอันตราย กลับบ้านดีกว่า”
เจ้าอุรคาบอกด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ที่นี่คือบ้านของฉัน”
“บ้านคุณ”
ไพศิษฐ์มองอย่างงวยงง กวาดสายตามองไปรอบๆ ตัว เห็นแต่ลำน้ำโขง
“จะเป็นบ้านคุณได้ยังไง แถวนี้ไม่เห็นมีบ้านซักหลัง”
“สิ่งที่คุณเห็นนั่นแหละบ้านฉัน”
ไพศิษฐ์ไม่อยากเถียง “โอเคบ้านคุณก็บ้านคุณ...” ผู้กองหนุ่มนั่งลงหันหลังให้ แต่หลังแทบจะชนกัน “ว่าแต่มันเรื่องอะไรกัน คุณถึงได้มาร้องไห้อยู่ตรงนี้”
เจ้าอุรคาร้องไห้ ยังไม่หันหน้ามา “คนรักฉันหาย”
ไพศิษฐ์ซักตามนิสัยตำรวจ “หายที่ไหน ยังไง เมื่อไหร่ บอกมา เดี๋ยวผมช่วยตามให้”
“หายที่นี่....มีคนกำลังจะพรากเขาจากฉันไป” เจ้าอุรคาบอกในท่าเดิม
“ใคร”
“คุณนั่นแหละ”
ขาดคำเจ้าอุรคาหันหน้ากลับมา ไพศิษฐ์มองตะลึง
“เจ้าอุรคา”
“อย่ามายุ่งกับเรื่องของฉัน”
มือของเจ้าอุรคาคว้าหมับเข้าที่คอของไพศิษฐ์ บีบอย่างแรงเพื่อสั่งสอน โดยอัตโนมัติไพศิษฐ์ต่อสู้ เอามือดันมือเจ้าอุรคาออก
“ปล่อย”
เจ้าอุรคาปล่อยร่างของไพศิษฐ์กลิ้งลงกับพื้น เจ้าอุรคาโถมตามมา สองคนต่อสู้กันในช่วงจังหวะชุลมุนนั้นนาฬิกาของไพศิษฐ์หลุดร่วงลงไปโดยไม่รู้ตัว
“อย่ามายุ่งกับเรื่องของข้า”
“ปล่อย” พำศิษฐ์พยายามถาม “ผมไปยุ่งเรื่องอะไรกับเจ้า”
“ภุชเคนทร์ อย่าพาท่านภุชเคนทร์กลับไป ไม่งั้น เจ้าจะถึงฆาต”
เจ้าอรุคาผลักไพศิษฐ์อย่างแรง จนร่างของเขาล้มลง

รุ่งเช้าไพศิษฐ์หล่นลงมาจากเตียงผ้าใบ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่นาถสุดาเปิดประตูออกมา นาถสุดากลั้วหัวเราะ
“อ้าว! คุณศิษฐ์”
ไพศิษฐ์ลืมตาขึ้นมาเหมือนคนสะดุ้งตื่น กวาดสายตามองเห็นแสงทองยามเช้าผ่องอำไพ ขณะที่นาถสุดาเก็บหนังสือที่ตกอยู่กับพื้นขึ้นมา ไพศิษฐ์ทำหน้างัวเงีย งง นาถสุดาถามพร้อมเสียงหัวเราะ
“นึกยังไงถึงได้มานอนที่พื้นคะ”
“มีคนผลักลงมา”
นาถสุดาเริ่มมีท่าทีตกใจ “ใครคะ”
“เจ้าอุรคา”

นาถสุดาเบิกตามองมายังแฟนหนุ่มอย่างตกใจ

ติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น