คู่กรรม ตอนที่ 4
พระอาทิตย์ทอแสงลอดผ่านแนวยอดไม้ริมฝั่งคลองบอกเวลาตอนสายๆ ส่วนที่ตลาดตาบัวกะตาผลเดินเกะกะคว้าของกินจากพวกแม่ค้าที่หาบของเดินผ่านมากิน แล้วรีบเดินหนีมา
“พวกมันไม่รู้กันซะแล้ว เล่นกะใครไม่เล่น” ตาบัวโยนของกินอีกชิ้นให้ตาผล
“ใช่ กะใครไม่เล่น” ตาบัวรับของกินมาเข้าปาก “ดันมาเล่นกะ…” กำลังเคี้ยวของกินค้างคำอยู่
“ดันเล่นกะไอ้ยุ่น” ตาผลบอก
ตาบัวสำลักของกิน หันมาตบกะโหลกเพื่อนอย่างฉุนๆ “บ๊ะ ไอ้นี่ เอ็งพวกใครวะ”
“ก็ผลเป็นไงล่ะ กระเดือกเข้าไปน้ำมันเกือบหมดถัง นี่ดีนะ ถ้าไม่ได้แม่อังละก็ข้าว่า เอ็งกะข้าคงได้ไปนอนป่าหลังวัดกันไปแล้ว” ตาผลบอก
“เฮ้ย คนดีน่ะ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” ตาบัวคุยฟุ้ง
ตาผลด่า “ถุย..นี่เงินเอ็งยังเหลือใช่ไหมวะ เอามาให้ข้าใช้หน่อยสิ
ตาบัวโวยวาย “อะไรวะ ข้าแบ่งให้เท่ากันไปครบแล้ว หารสอง..ของใครของมันเว้ย”
จังหวะนั้นหมอโยชิเดินผ่านมาพอดี พร้อมนายทหารติดตามอีก 2 คน
หมอโยชิร้องทัก “นายบัว นายผล”
ตาบัวกะตาผล หันไปเห็นสะดุ้งโหยง พูดไม่เป็นภาษา
“จะ..เจี๊ยก”
“นี่หายกันดีแล้วสินะ”
หมอโยชิทักทายยิ้มแย้ม
“เออ” ตาผลโล่งอกทักกลับ “หมอฟันโยชินี่เอง”
ตาบัวก็โล่ง “โห้ย..ใจนี่ร่วงไปอยู่ตาตุ่ม สบายดีจ๊า หมอก็..ตามสบายนะ”
สองเกลอประสานเสียง “ไฮ้” พร้อมกับโค้ง
“ไฮ้!” หมอโยชิโค้งแล้วยิ้มให้ทั้งสองคน ก่อนจะเดินจากไป
ตาบัวกะตาผลร้อง “ไฮ้ๆๆ” และโค้งส่งตามหมอไป ชาวตลาดมองๆ
ครั้นพอตาบัวเงยหน้ามา เห็นสายตาชาวตลาดมองเขม็ง รีบยืด คุยโว
“เฮอะ นึกว่ากูจะกลัวเรอะ ไอ้ยุ่น ไอ้พวกเลว ศัตรูแผ่นดิน กูต้องเอามันคืนให้สมกับที่บังอาจมาทำกับวีรบุรุษของชาติ”
ตาผลผสมโรง เสียงดัง “ถุยๆๆ เกลียดมันชิบ...ที่ขโมยของอู่พวกมันเนี่ย ก็เพื่อทำลายฟามมั่นคงของกองทัพมันนั่นแหละ ไม่เคยคิดถึงประโยชน์ส่วนตัวเลย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนรวม เพื่อชาติล้วนๆ เว้ย”
ชาวบ้านคนหนึ่งส่ายหน้า บอก “เหม็นขี้ฟันว่ะ”
ช่วงตอนกลางวันแม่อรเดินมองหาโต๊ะขายนมสดที่ฟุตบาทหน้าห้องแถว ริมถนนหน้าตลาดท่าเตียน
กำนันนุ่มที่รีบเดินผ่านมาพบจึงร้องทัก
“แม่อร มาซื้ออะไร”
“อ้า..กำนัน ฉันมาหาซื้อนมไปให้แม่”
“อ้าว แล้วยายเป็นอะไรไปละ”
“แม่เป็นไข้จ้ะ สงสัยจะเป็นมาลาเรีย”
“แหม คนเฒ่าคนแก่นะ ภูมิร่างกายมันก็น้อยลงเป็นธรรมดาแล้วนี่ไปหาหมงหมอรึยังละ”
“เออ..ก็หมอเขาฉีดยาให้ไปแล้วจ้ะ..เมื่อวาน”
กำนันนุ่มแปลกใจ “แถวบ้านเรามีหมอที่ไหนที่หายาแพงๆ มาฉีดให้ชาวบ้านได้ด้วยหรือ”
“อ๋อ หมอญี่ปุ่นจากที่อู่นั่นแหละจ้ะ..พอนายช่างคนนั้นเขารู้ว่าแม่ไม่สบาย เค้าก็พาหมอมาดู ก็ไม่นึกเหมือนกัน..ว่าเขาจะใจดี”
ฟังแม่อรบอก กำนันนุ่มชะงักอึ้งไปหน่อย แล้วก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา “อืม..อย่างนั้นเหรอ ก็ดีๆ บ้านใกล้เรือนเคียงขนาดนั้น ถ้าเขาไม่ดีกับเรา..ก็คงลำบากแย่”
แม่อรถอนใจ “ก็หวังว่าจะดีต่อกันไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันนะ..เฮ้อ..สงครามนี่มันทำให้เราขัดข้องไปเสียหมดเลย...แล้วนี่กำนันมาทำอะไรจ๊ะ”
“ก็มาเจรจากับพ่อค้าคนกลางที่จะไปตีเหมามะม่วงอกร่องที่สวนหน่อย.. ไว้พรุ่งนี้จะแวะไปเยี่ยมยาย ..บอกแกว่าฉันบอกให้หายไวๆ”
“ขอบใจจ้ะ” แม่อรรีบเดินไปหาของจะซื้อต่อ
กำนันนุ่มเดินไปนิด แล้วหยุด หันไปมองแม่อร ทั้งสงสาร และห่วงใย
แม่อรเดินหาของที่จะซื้อ แล้วมองเห็นแผงขายนมวัวสดอยู่ข้างๆ ร้านหนังสือ แต่มองไม่เห็นคนขาย จึงหันจะไปถามร้านข้างๆ
หลวงชลาสินธุราชในชุดเครื่องแบบเต็มยศ กำลังยืนดูหนังสือที่ร้านขายหนังสือพิมพ์พอดี
“หนังสือสารเสรี ฉบับสัปดาห์นี้ขายหมดแล้วหรือ” คุณหลวงถามขึ้น
“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะท่าน” แม่ค้าตอบ
คุณหลวงฉงน “ไม่มี..ยังไงกัน”
“ตำรวจเขาให้เก็บไปหมดแล้ว ไปด่าพวกญี่ปุ่นเข้าล่ะสิเจ้าคะ” แม่ค้าว่า
“อ้าว..ยังงั้นหรือ”
แม่อรไม่ได้สนใจหลวงชลาสินธุราช และไม่ทันได้มองด้วยซ้ำขณะถาม “ป้าคะ อาบังขายนมสดต้ม..ไปไหนเสียละ”
แม่ค้าไม่ตอบยังติดพันยื่นหนังสืออีกเล่มให้คุณหลวง “เอาเล่มนี้แทนสิเจ้าคะ เล่มนี้ดี สนับสนุนรัฐบาลกับญี่ปุ่น” แล้วจึงหันมาทางแม่อร “เดี๋ยวนะจ๊ะ อาบังไปกินข้าวจ้ะ เดี๋ยวคงมา”
หลวงชลาสินธุราชหันมาทางแม่อร มองอยู่ครู่หนึ่ง ท่าทีอึ้งๆ
“อร…”
แม่อรเพิ่งเห็นว่าเป็นใคร นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนรีบทำสีหน้าและน้ำเสียงให้ปกติ
“คุณหลวง”
“สบายดีนะ” คุณหลวงสินธุราชถามไถ่อดีตภรรยา
จังหวะนั้นคุณนายจิต และ แก้ว กับกบ ที่แต่งตัวอย่างหรูหรา เหมือนกำลังจะไปงานที่เป็นทางการ และกำลังนั่งนั่งรออยู่ในรถ ตรงที่จอดฝั่งตรงข้าม คุณหลวงแวะจอดเพื่อซื้อหนังสือ
แก้วหันมาเห็นพ่อคุยกับแม่อรพอดี
“คุณแม่คะ ดูนั่นค่ะ”
คุณนายจิตหันไปเห็นคนทั้งสอง ฉุนขึ้นมาทันควัน เปิดประตูลงจากรถ รีบเดินข้ามถนน ตรงเข้ามาหาหลวงชลาสินธุราช
“ว่าไงคะ หนังสือพิมพ์ ได้หรือเปล่า”
“ไม่มีจ้ะ ถูกปิดไปเสียแล้ว”
“แล้วมัวโอ้เอ้ทำอะไรอยู่ล่ะคะ” คุณหญิงจิตหันมามองแม่อร “อ้อ บังเอิญเจอคนรู้จักพอดีหรือคะ แต่คงไม่มีเวลาคุยกันแล้วล่ะค่ะ เพราะเราต้องรีบไปงานกัน งานสำคัญ สำหรับแขกผู้ดีมีเกียรติ และคนในรัฐบาลทั้งนั้น ไม่ควรจะไปถึงช้านะคะ จะเสียมรรยาท”
แม่อรนิ่งอึ้ง เชิดหน้าขึ้น มองคุณหลวงและเมียอย่างเยือกเย็น แขกขายนมกลับมาพอดี
“ซาลามๆ จะซื้อนมแบบไหนจ๊ะนายจ๋า”
แม่อรกระพริบตา ตั้งสติ แล้วหันไป ยิ้มนิดๆ “เออ ขอนมวัวต้มสองขวดจ้ะ แบบไม่ผสมน้ำตาลนะ”
สั่งเสร็จแม่อรยืนตัวตรง มาดเชิด พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ไม่หันไปสนใจหลวงชลาสินธุราชอีก คุณหลวงจำต้องเดินไปกับเมีย แต่ไม่วายลอบเหลียวมามองอดีตภรรยา
ฟากแม่อรไม่ยอมหันมาเหลือบแลอีกเลย
ไม่นานต่อมาแม่อรนั่งเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาจากฝั่งพระนครกลับบ้านสวนฝั่งธนบุรี ในมือถือตะกร้าใส่ข้าวของจากตลาดอยู่เต็ม
ข้างๆ แม่อรไม่ไกลนัก มีนักเรียนนายเรือกับแฟนสาวคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข
แม่อรมอง แล้วเมินหน้าไป เหม่อมองไปตามกระแสน้ำที่ถูกแหวกเป็นลูกคลื่นขณะที่เรือแล่นข้ามฝั่ง
“โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง พระนคร พ.ศ.๒๔๘๕”
รถรางคันหนึ่งวิ่งส่งเสียงสั่นกระดิ่งผ่านไป มีประชาชนโดยสารเต็ม ที่ด้านหน้าโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง ตอนบ่าย เห็นป้ายขนาดใหญ่เป็นรูปกองทัพทหารญี่ปุ่น และฝูงเครื่องบิน
ผู้คนมากมายคับคั่ง เต็มไปด้วยเหล่าข้าราชการไทย ทั้งแม่ทัพนายกอง ทหาร ตำรวจ รวมทั้งหลวงชลาสินธุราช และครอบครัว คุณนายจิตทักทายคนนั้นคนนี้ด้วยมาดอันสง่า รู้จักคุ้นเคยคนใหญ่คนโตไปหมด ลูกๆ สองคน ทำตัวสวยงาม น่ารัก ยิ้มแย้ม ไหว้คนนั้นคนนี้กันไป
ระหว่างนั้นคณะของญี่ปุ่นมาถึง โดยมีแม่ทัพโทโมยูกิ มาซาโอะ โกโบริ หมอโยชิและทหารติดตามอีก 2-3 คน
“นั่น มันมากันละ” คุณหลวงมองพวกญี่ปุ่น กระซิบกับเพื่อนทหารไทย
“ตกลงเรื่องที่พวกเราไปเล่นงานพวกทหารคุมรถไฟของมันบ้านโป่ง มันเอายังไง” เพื่อนทหารสงสัย
“มันไม่ยอมหรอก..มันทำหนังสือประท้วงไปที่ท่านนายกแล้ว มันจะเอาเรื่องให้ได้” คุณหลวงบอก
“เราตายไปตั้ง 5 คน มันคงนึกว่าเราคงกลัวพวกมัน…แล้วนี่บังคับให้มาดูหนังของพวกมัน หนังอเมริกันห้ามฉาย ข้าราชการพลเรือน อีกหน่อยมันก็คงบังคับให้พวกเราพูดภาษามันนั่นละ นี่ ทั้งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายเป้ย ของพวกมันก็เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดแล้ว คิดแล้ว ผมละอยากขอไปนั่งดู จำอวดหน้าม่านคั่นละครเพลง ที่ศาลาเฉลิมไทยคงสนุกกว่า” เพื่อนนายทหารบ่นเป็นหางว่าว
“คุณพี่คะ คนไหนคะแม่ทัพหน่วย” คุณหญิงจิตถาม
“คนมีหนวดยืนตรงกลางนั่นละ” คุณหลวงบอก
“คนหนุ่มๆ เด็กๆ ที่ยืนข้างซ้าย เป็นหลานชายแม่ทัพ เพิ่งย้ายมาจากพม่า” เพื่อนทหารบอกอีก
หลวงชลาสินธุราช สังเกตมองโกโบริที่ยืนอยู่ข้างๆ แม่ทัพโทโมยูกิ โกโบริซึ่งมีแผลที่คิ้วกำลังตกสะเก็ด มองมาพอดี โกโบริมองหน้ากลุ่มคนไทยอย่างสนใจ ก่อนจะก้มหัวให้อย่างสุภาพ
พวกคนไทยอึ้งๆ กัน สบตากันนิดๆ แล้วหันไป ก้มหัวตอบ
โกโบริพูดกระซิบกับหมอโยชิเป็นภาษาไทย “คนไทย-คงไม่อยากดูหนัง-ที่มีคนญี่ปุ่น-รบเก่ง ชนะที่นั่น ชนะที่นี่ ทำไม-ไม่ให้-เขาดูหนัง-ประเทศญี่ปุ่น-ที่มี-ธรรมชาติสวยงาม มีเพลง มีนักแสดงสวยๆ -เรื่องสนุก- หัวเราะกัน ยิ้มกัน”
“คนไทยหลายๆ พวก ยังคอยหาโอกาสทำร้ายพวกเราเสมอ ท่านแม่ทัพอยากให้พวกเขาเห็นว่า กองทัพญี่ปุ่นยิ่งใหญ่ขนาดไหน เขาจะได้เกรงกลัว ไม่กล้าสู้กับเรา” โยชิก็ตอบกลับเป็นภาษาไทย
โกโบริท้วง “ไม่จริงหรอก- หมอโยชิ ผมเชื่อว่า คนเรา -สู้กัน -เพราะความกลัว ความกลัว ทำให้เกลียดชัง -จน-ต้อง-ทำร้ายกัน ทั้งๆ..ไม่ได้ตั้งใจ” พูดไปพูดมาโกโบริเผลอเอามือแตะแผลตน
หมอโยชิมองมา โกโบริรีบเอามือลง แล้วยิ้มให้
“พูดอะไรกัน ทำไมไม่พูดญี่ปุ่น” โทโมยูกิเอ็ด
“อยู่เมืองไทย พูดภาษาไทย คนไทยจะได้รับเราเป็นเพื่อนไงครับ” โกโบริว่า
โทโมยูกิหัวเราะลั่น “คนไทยหรือจะเห็นเราเป็นเพื่อน เรารุกรานเขา เขาก็ต้องเกลียดเราอยู่แล้ว”
โยชิพูดกับโกโบริเป็นภาษาไทย “คนไทย ชอบยิ้ม พูดว่าไม่เป็นไร แต่ความจริง..ไม่ใช่อย่างที่เราเห็น”
“แต่ถ้าเราดีกับเขาให้มากๆ เขาก็ต้องดีกับเรา”
โกโบริตอบแล้วเดินไป โยชิตามมาด้วย เข้ามาในหมู่คนไทย
พวกของหลวงชลาสินธุราชอึ้งๆ
ทหาร1(กระซิบกัน)แย่ล่ะ ไอ้ทหารคนแก่มันเคยเป็นหมอฟันอยู่ที่นี่ เผลอนินทาไปมากมาย มันจะรู้เรื่องอะไรหรือเปล่า
โกโบริ กับหมอโยชิมาถึง
“สวัสดีตอนบ่ายครับ ทุกคน” โยชิทักทาย
ทุกคนตรงนั้นทักตอบเป็นคำญี่ปุ่น “สวัสดีตอนบ่ายๆๆ”
“ผม หมอโยชิ เป็นหมอฟันครับ นี่ร้อยเอกโกโบริ เป็นนายช่างต่อเรือ เราดีใจ ที่ได้พบทุกคนครับ”
โกโบริโค้งทุกคนเป็นรายตัวเอ่ยทักเป็นคำไทย “สบายดีไหมครับ สบายดีไหมครับๆๆ”
ทุกคนตรงนั้นรีบโค้งตอบ ทำเสียงแข็งขัน “สบายดีครับๆ” / “สบายดีค่ะ”
“ชอบดูภาพยนตร์กันไหมครับ” โกโบริถาม
“ชอบดูครับ” คุณหลวงตอบ
ทุกคนตอบเอาใจ หน้าตายิ้มแย้ม “ชอบดูครับๆๆ” / “ชอบมากเลย”
โกโบริยิ้มแย้มแจ่มใส พยักหน้ารับ
คุณนายจิตแอบกระซิบหลวงชลาสินธุราช “พวกนี้พูดไทยเก่งทั้งนั้นเลยนะคะ”
“ไอ้หมอฟันมันเป็นจารชน ไอ้พวกโกหกลวงโลก ไอ้พวกนี้แหละ ที่มันเขียนแผนที่ บอกทางหนีทีไล่ รายงานความเป็นไปในบ้านเรา ให้หัวหน้ามันรับรู้ ก่อนจะตัดสินใจบุกเมืองไทยของเรา” คุณหลวงกระซิบตอบ น้ำคำสำเนียงขุ่นเคืองมาก
จังหวะนั้นมีเสียงญี่ปุ่นหัวเราะลั่นดังเข้ามา
หลวงชลาสินธุราชสอดส่ายสายตา มองแล้วชะงักกึก เมื่อเห็นคณะของแม่ทัพโทโมยูกิกำลังพูดคุยเฮฮากันเสียงดัง และมีสารวัตร-องอาจ ในเครื่องแบบเต็มยศ กำลังพูดคุยเอิ๊กอ๊ากๆ อยู่กับมาซาโอะ จับมือ ตบหลังตบไหล่กระซิบกระซาบหยอกล้อกัน
คุณหลวงเหลียวมองความสนิทของมาซาโอะกับสารวัตรอย่างไม่วางตา
ภายในโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง พระนคร บ่ายวันนั้น
ภาพข่าวแสดงแสนยานุภาพกองทหารญี่ปุ่นในสมรภูมิต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นการรบชนะในหลายๆ ดินแดน โดยมีเสียงบรรยายประกอบเป็นภาษาไทย ฉายอยู่บนจอในโรงภาพยนตร์
โทโมยูกินั่งดูอย่างภูมิใจ ข้างๆ มีโกโบริและหมอโยชินั่งด้วย ที่โซน royal box และทหารญี่ปุ่นอีก 2-3 นาย
โทโมยูกิหันมาหัวเราะร่าเริง “เป็นยังไงล่ะ พูดไทยกับพวกเขา แล้วเขาชอบเรามากขึ้นไหม”
“ผมเชื่อว่า เรื่องแบบนี้ คงต้องใช้เวลา ถ้าเราทำดีอย่างจริงใจกับเขา ซักกันเราต้องชนะใจเขาจนได้” โกโบริตอบ
โทโมยูกิสบตากะโยชิ แล้วหัวเราะ
อีกฝั่งหนึ่งหลวงชลาสินธุราช นั่งดูไปเงียบๆ กับลูกเมีย หนังข่าวช่วงแรกจบลง ภาพมืดลง เสียงดนตรีบรรเลงสดดังขึ้น
ตรงบริเวณใกล้กับมุมข้างเวทีจอฉายภาพยนตร์ มีวงดนตรีจากกรมโฆษณาการกำลังบรรเลงดนตรี สลับฉาก มีนักร้องหญิงแต่งกายสวยงามเป็นหมู่ กำลังขึ้นเสียงร้องเพลงใต้ร่มธงไทย ซึ่งเป็นบทเพลงที่ครูเอื้อ สุนทรสนาน แต่งขึ้นเพื่อเอาใจญี่ปุ่น โดยการใช้ทำนองเพลงพื้นเมืองญี่ปุ่นมาผสม
หลวงชลาสินธุราช ดูดนตรี พลางสลับเหล่คณะของพวกญี่ปุ่น ที่มีสารวัตร-องอาจ นั่งคุยกระซิบกระซาบ ยิ้มแย้มอยู่กับพันโทมาซาโอะ
ทหารที่นั่งอยู่ข้างๆ คุณหลวงชลาสินธุราช สังเกตเห็นตามที่คุณหลวงมองอยู่เช่นกัน
“นั่นพันโทมาซาโอะ มันคุมพวกสารวัตรแคมเป ไอ้สารวัตร-องอาจเป็นตำรวจไทย ที่คงจะทำงานรับใช้พวกแคมเปแน่ๆ” ทหารคนนั้นเอ่ยขึ้น
“ไม่มีพวกไล่ล่ากลุ่มไหนที่โหดเท่าไอ้พวกแคมเปอีกแล้ว มันก็คือพวกหมาป่า ที่ไล่ล่าทุกคน ที่มันได้กลิ่น..ว่าจะทำอะไรที่เป็นปรปักษ์กับญี่ปุ่น คงจะมีไอ้องอาจเป็นสุนัขรับใช้คอยรายงานนี่เอง”
หลวงชลาสินธุราช ยังคงมองคนทั้งสอง อารมณ์เคืองๆ เครียดๆ
แม่อรนั่งเหม่อจนเรือโดยสารในคลอง พายมาเทียบถึงศาลาท่าน้ำบ้านแล้วยังไม่รู้ตัว
“แม่อร แม่อร ถึงแล้วจ้ะ” นายท้ายเรือเรียก
แม่อรรู้สึกตัว มีอาการตื่นจากภวังค์ “อ้อ..จ้ะๆ ขอบใจจ้ะพ่อสิง”
“นึกว่าไม่ลงเสียแล้ว แหม...” นายท้ายเรือแซวขำๆ
แม่อรหิ้วของ รีบก้าวขึ้นมาบนฝั่ง หันไปยิ้มให้นายท้ายเรือ แล้วหันไปยังบ้าน แม่อรหยุดยืนถอนหายใจเศร้าๆ แล้วเดินตรงไปที่เรือน
ขณะที่แม่อรเดินใจลอยก้มหน้ามองต่ำตามทางมาจนถึงหน้าเรือน จู่ๆ ก็มีเสียงหมาเห่าดังโฮ่งๆ มา แม่อรแปลกใจ รีบเงยไปดู
จึงเห็นว่าที่หน้าบันไดบ้านเวลานั้น หมาเฝ้าสวน 2 ตัว รุมเห่าเคสุเกะ กับลูกน้องอีกสองนายที่หอบถุงขนาดใหญ่ใบโตมากัน คนละถุง ในสภาพที่ต่างคนต่างเหงื่อตก กระโดดหลบตัวหลบขึ้นไปอยู่บนขั้นบันไดขั้นบนๆ ต่างกลัวหมากัด
พอเคสุเกะเห็นแม่อรก็ดีใจมาก
“มาแล้ว ไฮ้..ซาหวัดดีคั้บ” เคสุเกะออกเสียงเน้นคำหนักแน่นแบบทหาร “ช่วยผม-ด้วยครับ”
แม่อรตกใจ “อะไรกัน..นี่มาทำอะไรกันอีกล่ะ”
เคสุเกะหน้าเสีย ส่งยิ้มฟันขาวให้อย่างงาม
บรรดาถุงเสบียงทหารใบโตทั้งสามใบ ถูกวางลงบนชานเรือนเรียงกัน เคสุเกะปาดเหงื่อหนึ่งทีและเงยหน้ามายังคงยิ้มหวาน แม่อรเดินเข้ามาดูใกล้ๆ
“เอ่อ..ตกลงนี่ของใคร เอามาให้ใครกันพ่อคุณ”
เคสุเกะร้อง “ไฮ้…”
แม่อรมึนตึ๊บ “เฮ้อ จะรู้เรื่องกันไหมเนี่ย” พลางหันไปมองรอบๆ “ยายอัง.. ลูกสาวฉันก็ไม่อยู่”
แม่อรมองกลับมายังคงเห็นเคสุเกะยิ้มหวานให้ไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเดิม
แม่อรตรงเข้าไปเปิดถุงออก เจอซองจดหมายสีขาว จึงเปิดซองออกดึงกระดาษออกมา พลิกดู
“โอ้ นี่ ภาษาอะไรก็ไม่รู้ ฉันอ่านไม่ออกหรอก ต้องให้ลูกสาวฉันมาอ่าน”
แม่อรบ่นพลางล้วงของในถุงออกมาวาง เป็นอาหารกระป๋องชนิดต่างๆ มากมายถูกออกมาวางเรียง
“แล้วมันอะไรกันบ้างจ๊ะ” แม่อรชี้ไปที่เครื่องกระป๋องเหล่านั้น
เคสุเกะยิ้มเหมือนเดิม มองเหมือนเข้าใจที่แม่อรถาม จึงเดินเข้ามาอธิบายชี้ใกล้ๆ
“โซเซจิ ชิซู ฮามมา...” เคสุเกะบอก
แม่อรงงอยู่นั่น “หา แล้วมันอะไรละ ซูๆ เซๆ”
เคสุเกะยิ้ม พยักหน้าเหมือนดีใจ
“คือกินแล้วมันโซเซๆ เหรอจ๊ะ” แม่อรคิดๆ แล้วว่า “ก็เหล้านะสิ แล้วเอาเหล้ามาทำไมจ๊ะ”
เคสุเกะยิ้มแหย หันไปสบตาเพื่อนๆ ทุกคนยิ้มตอบ ส่ายหัว เคสุเกะเกาหัวหมดปัญญา ลุกขึ้นจะลากลับ
“อ้าว จะไปแล้วเรอะจ๊ะ ขอบใจมากนะ พ่อหนุ่ม ฝากบอกพ่อโกมะลิเขาด้วย”
เคสุเกะหน้าเอ๋อเหรอ
แม่อรมองหน้าเคสุเกะ เริ่มจำได้
“เอ นี่เธอ ที่มาเต้นระบำรำฟ้อนล้อเลียนยายอังวันนั้นนี่ ฉันจำได้ละ เป็นยังไงโดนทำโทษไป หายดีแล้วหรือยัง เอาละ มานี่”
ว่าพลางแม่อรเดินไปทางข้างครัวที่มีลูกมะพร้าวอ่อนวางอยู่หลายทะลาย แล้วชี้ให้เคสุเกะ 4-5 ทะลาย และกล้วยหอมอีกหลายหวี
“กล้วยหอมนี่..เธอคงไม่อยากกินแล้วสินะ งั้นเอานี่ เอาไปฝากพวกเพื่อนๆเธอนะ มะพร้าวน้ำหอมนะ..ทีหลังก็ไม่ต้องไปโค่นต้นมะพร้าวใครเขาอีกละ เอ้า เอาไป”
เคสุเกะตกใจ รีบโบกมือปฏิเสธ ถอยๆ
“เอาไปเถอะ ฉันให้พ่อโกโบริเขาคงไม่ว่าอะไรหรอก” แม่อรว่า
แม่อรส่งมะพร้าวให้ทหารแต่ละนายคนละทะลาย
เคสุเกะ จำใจ ต้องรับมะพร้าวไว้
“ขอบ คุณ คั้บ”
เคสุเกะและพวกทหารทำความเคารพเป็นการใหญ่ อาริงาโตะ ไฮ้ๆๆ แม่อรยิ้มขำ
น้ำในลำคลองไหลเรื่อยไป พระอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ ส่องแสงสะท้อนในคลองวิบวับ
อังศุมาลินถือตะกร้าไข่ไก่ขึ้นมาบนเรือน ถอดงอบออก แลไปเห็นแม่อรนั่งทำอะไรบางอย่างอยู่ จึงพยายามเดินย่องเข้าไปข้างหลังกะจะไปแกล้งจ๊ะเอ๋ให้แม่ตกใจ
อังศุมาลินเข้าไปใกล้ จนเห็นว่าแม่อรกำลังดูข้าวของเครื่องกระป๋องเรียงราย ก็ชะงัก เปลี่ยนใจไม่แกล้งแม่อรแต่หันไปสนใจของที่วางอยู่
“อะไรคะแม่”
แม่อรสะดุ้ง “ยายอัง...มาเงียบๆ อีกละ นี่มาดูสิมันอะไรบ้างเนี่ย”
อังศุมาลินนั่งลงข้างๆ แม่ รับเครื่องกระป๋องมาดู อ่านตัวญี่ปุ่นบนนั้น “โซ-เซ-จิ” แล้วขมวดคิ้ว
“ใช่ๆ โซเซ อะไรเนี่ยละที่พ่อหนุ่มที่เอามาให้บอก”
อังศุมาลินสงสัย “ใครมาคะ”
“อ้อ ก็เมื่อครู่มีทหารหิ้วของพวกนี้มาให้ ทหารจากอู่นั่นละ”
ฟังที่แม่บอก อังศุมาลินชักสีหน้าทันที
“แล้วมันคืออะไรน่ะ ไอ้โซเซที่ว่านี่”
“ไส้กรอกคะ นี่เนยแข็ง นี่แฮม นมข้น นมสด”
อังศุมาลินหยิบขึ้นมาสาธยายทีละกระป๋อง
“นี่ มีจดหมายนี่มาด้วย ไม่รู้ใครเขาว่าอะไร”
แม่อรยื่นกระดาษที่มีลายมือเขียนเป็นภาษาอังกฤษ 2-3 บรรทัดให้อังศุมาลินดู
อังศุมาลินรับจดหมายมาอ่านดูแป๊บนึง
“อ้อ เขียนมาเป็นภาษาอังกฤษซะด้วย..คือ..เขาเขียนมาว่า..ของทั้งหมดนี้สำหรับบำรุงร่างกายคนป่วยตามที่หมอสั่ง หวังว่าจะช่วยให้คุณยายอาการดีขึ้นน่ะค่ะ”
อังศุมาลินขมวดคิ้ว ชักคิดหนัก แล้วพับจดหมายเก็บส่งคืนแม่อร
“ใครหรือจ๊ะลูก”
อังศุมาลินตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “พ่อดอกมะลิของแม่ค่ะ เขาส่งของมาให้คุณยาย”
แม่อรอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วเห็นนิ้วมืออังศุมาลินที่บวมแดง ตรงที่โดนแมงป่องต่อย ก็ตกใจ
“ต๊าย..นั่นมือหนูเป็นอะไรจ๊ะ”
อังศุมาลินสะดุ้ง รีบเอามือซ่อน เสียงอ่อนลง “แมงป่องมันต่อยค่ะ
“ไปโดนเข้าตอนไหนล่ะลูก”
“ตอน..ต้มน้ำให้หมอลวกเข็มฉีดยาคุณยายเมื่อคืนค่ะ..พอดีในครัวมันมืด...”
อังศุมาลินพูดแล้ว เผลอไปคิดเหตุการณ์เมื่อคืน
ตอนที่ตัวเองกระโดดหนีแมงป่อง แล้วโกโบริประคองไว้ และตอนที่โกโบริจับมือลนไฟเทียน
ตอนที่อังศุมาลินฟาดไม้คานเข้าหน้าผากโกโบริจนหน้าผากแตก เลือดซึมออกมา
อังศุมาลินสะบัดหน้า ไม่อยากคิดถึง
“เจ็บหรือลูก…” แม่อรเห็นสีหน้าลูกสาวไม่สู้ดี ก็เป็นห่วง
อังศุมาลินหงุดหงิด นึกโกรธตัวเอง “เปล่าค่ะ”
แม่อรมองลูกสาวอย่างห่วงๆ
คู่กรรม ตอนที่ 4 (ต่อ)
ที่ตลาดปากคลองชุมชนธนบุรี ยามบ่ายวันนั้น ไอน้ำร้อนๆ ของหม้อต้มน้ำชงกาแฟในร้านอาโกลอยโขมง อาโกกำลังตักน้ำต้มลงแก้วชงชาร้อนอย่างทะมัดทะแมง
พวกทหารญี่ปุ่นหน้าตาโหดๆ 6-7 คน นั่งจิบชาในร้านและกำลังคุยหัวเราะเสียงดังโฉงเฉงอยู่โต๊ะเดียวในร้าน
ระหว่างชงชาอาโกทำเสียงกระซิบกระซาบกับใครบางคน “โอย ไม่มีอะ อั๊วไม่มีให้ยงให้ยืม แค่นี้ร้านอั๊วลูกค้าก็ไม่ค่อยจะเดินผ่านกันละ ไอ้พวกเฉาฉุ่ยนี่” พลางหันไปทางโต๊ะเดียวในร้านที่มีกลุ่มทหารญี่ปุ่นนั่งอยู่ “มันก็มานั่งกันอยู่ล่ายทุกวัง”
ที่แท้เป็นตาผลกับตาบัวมาแอบๆ ยืนคุยเพื่อยืมตังค์ที่หลังร้านกะอาโก เพราะกลัวจะเจอหน้าพวกญี่ปุ่น
ตาผลพูดซุบซิบไป ตามองวิธีชงไป “โถ โก ก็เหนียวไปได้ ไอ้พวกนี้มีตังเยอะกว่าคนไทยเยอะ อย่ามาแกล้งบ่นน่า”
เสียงทหารญี่ปุ่นร้องตะโกนถามมา “ชาจีนๆ ได้หรือยัง”
“อ่า ได้เลี้ยวๆๆ อาคุงทหารยี่ปึ่ง” รีบเดินเอาแก้วชาร้อนไปให้โต๊ะญี่ปุ่น
ตาผลเลยมาสวมตักชงกาแฟดำเองเสร็จสรรพ โดยใช้แก้วที่โกใช้ชงผสม
อาโกเดินกลับมา
ตาบัวเอ่ยขึ้น “นี่โก อย่างฉันกะไอ้ผลมีเหรอ ที่จะยืมเงินใครแล้วไม่คืน”
ตาผลที่มายืนชงกาแฟใส่แก้วไปมาช่วยยืนยันอีก “ช่าย..ฉันกะไอ้บัว รับรอง ถ้าไม่ตายก็ไม่คืน”
“หะ หา..ลื้อว่าไรนะ”อาโกตกใจ
ตาผลนึกได้ “อะ ออ..ถ้าไม่ตายก็ต้องคืน”
“พวกลื้ออย่ามาซี้ซั้วอะ” อาโกชี้แก้วกาแฟในมือตาผล “แล้วนั่นลื้อ...”
ตาผลรีบยกซดหมดพรวดเดียว “อ๊า...” ทำท่าชื่นอกชื่นใจ “...ไม่มีไรโก”
ตาผลรีบวางแก้วที่โกใช้ชงลงที่เดิม เช็ดปากแล้วพนมมือไหว้ปลกๆ
“น่าโกนะ ฉันสองคนก็เพิ่งรับใช้ชาติเสี่ยงตายเอาชีวิตเข้าแลกมาโกก็รู้นี่ ตอนนี้เงินทองก็ไม่มีไปรักษาตัว” ตาบัวอ้อน
ตาผลพยักหน้าหงึกๆ ทำทีเป็นไอเหมือนป่วย “โอะโอะ”
อาโกรีบเดินเข้าไปประจำที่ ตวาดใส่ “เอ้ย นั่นมันเรื่องของพวกลื้อ”
อาโกยกแก้วที่ใช้ชงผสมขึ้นมาดม แล้วทำหน้ายี้ รีบเอาแก้วไปวางที่ล้าง
“ไป ไป อั๊วไม่เอาด้วย..ถ้าลื้ออยากมีเงินไปหางานทำกันสิ นี่ ไปเป็นกุลีรับจ้างไอ้พวกญี่ปุ่นมันสร้างทางรถไฟที่เมืองกาญจน์สิ..ไป เห็นญาติข้าบอกว่าเงินดี วันละบาทห้าสิบ ดีหน่อยก็ตั้งสามบาท”
ทหารญี่ปุ่นตะโกนขึ้น “เก็บ-เงิน”
อาโกร้อง “ไฮ้”
ก่อนจะรีบหยิบแก้วที่ชงผสมถือไปด้วย เดินไปโต๊ะของพวกญี่ปุ่น รับเงินแบ๊งค์มา
ทหารญี่ปุ่นบอก “ไม่ต้องทอนนะ ไม่ต้องทอน”
สองเกลอรีบหันหลังฉากหลบพวกญี่ปุ่น
อาโกเดินนับเงินกลับมา หน้าตาลังเล
“แบ๊งกงเต๊กให้ผีหรือป่าววะเนี่ย” พลางนับเงินไปส่ายหน้าไป
ขณะที่พวกทหารญี่ปุ่นเดินออกไปหน้าร้านอาโก พอดีมีเด็กหนุ่มวิ่งมาชนจนล้มกันไปทั้งคู่ เด็กหนุ่มพยายามจะลุกขึ้นขอโทษ พวกทหารโวยวายช่วยกันจับเด็กหนุ่ม ทหารตัวหัวหน้าลุกขึ้นมาตบหน้าเด็กหนุ่มเต็มแรงไปมา 2 ฉาด และส่งเสียงโมโหเอะอะ โวยวาย
แม่ค้าแผงผักใกล้ๆ ยืนขึ้นด่าเช็ด
“ว้าย..ไอ้พวกจัญไร ชิงหมาหมู่มาเกิด รังแกแม้กระทั่งเด็ก” ตะโกนโวยวายลั่น “เจ้าข้าโว้ย เร้ว ๆ ไอ้ยุ่นมันจะฆ่าเด็ก...”
ชาวบ้านเริ่มหันมาสนใจ บ้างรีบเข้ามามุงดู
อาโกรีบวิ่งออกไปดู ร้องเสียงหลง
“ไฮ้ ไฮ้..อ๊าย หยา อย่าไปทำเหล็ก...”
พวกทหารญี่ปุ่นเห็นท่าไม่ดี ด่าตะคอกและผลักเด็กล้มลงไป แล้วรีบเดินกันกลับทางอู่ทหาร 2-3 คนหันมาถุยน้ำลายลงพื้นใส่
ครั้นพอพวกทหารเดินไปลับตัวแล้ว ตาบัว-ตาผล ถุยน้ำลายกันบ้าง
“ไอ้พวกนี้มันใหญ่คับประเทศ คนไทยต้องอดทนให้มันเหยียบย่ำไปถึงไหน” แม่ค้าคนเดิมด่าแล้วหันมามองหน้าตาบัวกะตาผล “ไอ้พวกผู้ชายแถวนี้เหมือนกัน ก็เห็นดีแต่เก่งลับหลัง ไม่เห็นกล้าทำอะไรเลย ถ้าข้าเป็นผู้ชายน่ะนะ จะรุมกระทืบพวกมันให้น่วม ไม่แอบกลัวหัวหดกันทั้งบางแบบนี้หรอกวะ”
สองเกลอสะดุ้งโหยง
ตาบัวชะโงกไปดู เห็นพวกญี่ปุ่นเดินหายไปกันหมด ปลอดภัยแล้วจึงคุยโว “ไว้คอยดู..ถ้ากูมีโอกาสซักวัน จะไม่เอาพวกมันไว้หรอกเว้ย”
ตาผลแค้นไม่หาย “ช่าย พวกสารเลว..ไอ้ยุ่น..มึง กูจะฆ่าพวกมันให้หมด”
บ่ายแก่ๆ วันเดียวกันในห้องนอนยายศร อังศุมาลินประคองถ้วยใส่นมอุ่นๆ ให้ยายค่อยๆ ดื่มจนหมด
“ร้อนเกินไปไหมคะ คุณยาย..หนูเพิ่งอุ่นมา”
“หนูใส่ไข่ลวกลงไปในนมด้วยหรือ” ยายศรสงสัย
“ค่ะ..เหม็นคาวหรือคะ”
“ไม่หรอก..ยายกลืนลงไปหมดแล้ว”
แม่อรมองอยู่หัวเราะขำ “เก่งจังเลยค่ะแม่...” แล้วส่งแก้วน้ำให้ “น้ำขิงอุ่นๆ ค่ะ แม่”
อังศุมาลินรับแก้วเอาน้ำขิงให้ยายอีกต่อ ยายศรดื่มจนพออิ่ม แล้วอังศุมาลินจึงประคองยายนอนลง ห่มผ้าให้
จากนั้นสองแม่ลูกค่อยๆ ถือถาดใส่ถ้วยทั้งหลาย ย่องๆ ออกมา
อังศุมาลินตัดสินใจพูด กระซิบๆ “คุณยายคงเต็มใจที่จะดื่มนมวัวที่แม่ซื้อมาจากอาบังท่าเตียน กับกินไข่ที่หนูเอามะนาวไปแลกป้าปริกมา..มากกว่าจะยอมกินพวกของกระป๋องพวกนั้น เราควรจะเอาไปคืนเขา”
แม่อรกังวล “จะดีหรือลูก..เขาอุตส่าห์มีน้ำใจ”
อังศุมาลินอึดอัดใจ “เขาคงอยากจะแก้ตัว ที่เคยทำอะไรร้ายๆ ไว้เยอะ”
“คุณยายเคยมีไข้ต่ำๆ ทุกเช้า แต่เช้านี้ไม่ยักมี..ยาของเขาดีจริงๆนะ” แม่อรว่า
อังศุมาลินหันไปมองแม่พูดจริงจัง “เดี๋ยว..หนูว่าจะพาคุณยายไปหาหมอ”
“หมออะไรอีกลูก หมอที่เขามาดูให้ก็รักษาดีได้ผลแล้วนี่จ๊ะ เปลี่ยนหมอสองหมอ สามหมอไม่ดีนะยายอัง แม่อยากให้ลองหมอของพ่อมะลิเขาไปก่อน”
อังศุมาลินกลุ้มใจมากเพราะไม่อยากข้องเกี่ยวกับพวกญี่ปุ่น “หนูไม่อยากให้เขามายุ่งกับเรา”
“อัง..ลูก คุณยายยังอ่อนแออยู่มากนะจ๊ะ จะให้ลงเรือไปๆ มาๆ แม่ว่าไม่ดีหรอก แล้ววันนั้นที่ร้านหมอ คนเขายังบ่นกันเลยว่ายาหายาก ฉีดทีก็ยังแพงเกือบห้าสิบบาท เราจะสู้ไหวหรือลูก”
อังศุมาลินขัดใจ ทำหน้าดื้อดึง มุ่งมั่นหมายมาด เพราะเกลียดญี่ปุ่นนัก ไม่อยากข้องแวะ
ตกตอนเย็นโกโบริอยู่ที่อู่กำลังโกนหนวดอย่างตั้งใจ โกโบริยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้กระจกแขวนตรงผนัง มองแผลตรงหัวคิ้วซึ่งกำลังตกสะเก็ด แล้วลูบคลำแผลนั้น
สักครู่ต่อมา โกโบริสวมชุดลำลองของทหารซึ่งรีดมาเอี่ยมอ่อง ใบหน้าดูหล่อสะอ้าน โกนหนวดเคราสะอาดเกลี้ยงเกลา ผมหวีเรียบแปล้ กำลังเดินกระวนกระวายอยู่หน้าห้องพยาบาลในอู่ต่อเรือเหมือนรออะไรอยู่
จังหวะหนึ่งโกโบริหยุดกึก แล้วตัดสินใจเดินไปที่ประตูห้องพยาบาลที่เปิดไว้ มองเข้าไปภายใน เห็นทหารป่วยที่นอนอยู่บนเตียงคนหนึ่งมีสีหน้าผวาหน้าซีด กำลังหลับตาปี๋ กลั้นหายใจ โดยมีทาเคดะกำลังยกปลายเข็มขึ้นมาเล็งไล่อากาศ
ทหารที่ป่วยร้อง “อ๊าก”
ทาเคดะสะดุ้งบอก “ยัง”
ทาเคดะถอนหายใจ แล้วยกเข็มขึ้นมา เล็งไล่อากาศออกใหม่อีกครั้ง ง้างมือกำลังจะลงเข็มที่ก้นของทหารป่วย
โกโบริร้องเรียก “ทาเคดะซัง!”
ทาเคดะชงัก ตาลุกโพลง สีหน้าหงุดหงิด หันมา
“อะไร”
“เสร็จหรือยัง”
ทาเคดะส่ายหน้า “จะรีบ-ไปไหน จะรีบไปไหน” พลางปักเข็มลงใส่ตะโพกทหาร เต็มแรง
ทหารป่วยร้องสุดเสียงตาเหลือก “อ๊าก...อิไตๆๆ”
ทาเคดะรีบจัดวางอุปกรณ์ทั้งหมด แล้วหันไปคว้ากระเป๋าเครื่องมือมาสะพาย เดินไปหาโกโบริที่หน้าประตู
ทาเคดะมองๆ พูดแซวเอา “จะไปที่สวน หน้าตาดูมีความสุขมากกว่าตอนไปดูภาพยนตร์เสียอีก”
โกโบริเขินๆ รีบกลบเกลื่อนออกคำสั่ง “พูดมากไปได้ หมอ ไปกันได้แล้ว”
โกโบริเดินนำทาเคดะไป
เคสุเกะกับพวกหาร ที่เอาของไปส่งบ้านอังศุมาลินกำลังยืนซดน้ำมะพร้าวอ่อนจากผลมะพร้าวกันใหญ่
“โออิชิๆ”
โกโบริถามขึ้น “เคสุเกะซัง ที่สั่งให้ทำ เรียบร้อยใช่ไหม”
เคสุเกะหยุดกึก ทำความเคารพโกโบริ อีกมือปล่อยมะพร้าวตกลงพื้นไป เคสุกะพูดเสียงดังหนักแน่นแบบทหาร
“ไฮ้!”
“ดี”
โกโบริมองมะพร้าวที่พื้น
เคสุกะรีบบอก “นี่-คุณผู้หญิงให้คับ ไม่ได้ไปขโมยมานะคับ”
โกโบริเหลือบมอง ทำหน้าดุๆ ประมาณว่าอย่าทะลึ่งให้มากนัก เคสุเกะจ๋อย โกโบริกับหมอ รีบเดินไป
ไม่นานนัก ทาเคดะกำลังตรวจอาการยายศร ทำท่าขอโทษๆ แล้วกดเปลือกตาล่างลงเบาๆ เพื่อดูสีของเลือดในเปลือกตาด้านใน ว่าซีดหรือแดง จากนั้น ก็ให้อ้าปาก ส่องไฟ ดูคอและอื่นๆ
อังศุมาลินและแม่อร คอยดูอยู่ใกล้ๆหมอ ส่วนโกโบรินั่งออกมาห่างๆ ท่าทางสำรวม อังศุมาลินหันไปหาโกโบริ
"เราต้องจ่ายค่ารักษาให้คุณเท่าไร”
โกโบริมองอังศุมาลินด้วยแววตาที่ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่งง ว่าทำไมพูดเรื่องค่ารักษาอะไร
แม่อรปราม “ยายอัง”
เห็นอีกฝ่ายเงียบ อังศุมาลินจึงถามเป็นภาษาญี่ปุ่น “คุณจะคิดค่ารักษาทั้งหมดนี้เท่าไร”โกโบริมีสีหน้าสงสัย “ทำไม-คุณ-ต้อง-มาจ่ายเงิน-ให้ผม”
“เพราะ..เป็นหน้าที่ของเรา...เราไม่ต้องการได้ของใครมาฟรี”
ท้ายประโยคอังศุมาลินบอกเป็นคำญี่ปุ่น โกโบริอึ้งไปครู่
"หมอ-ก็มา-ทำหน้าที่- รักษา-เหมือนกัน”
อังศุมาลินไม่ยอมออกอาการรั้น “เราไม่ใช่คนญี่ปุ่นของคุณ หมอไม่จำเป็นต้องมาทำหน้าที่รักษาให้เรา”
โกโบริรู้สึกเสียใจนัก พยายามข่มอารมณ์ พูดไทยออกมาอย่างชัดเจน และพยายามพูดให้ดีที่สุดเพื่อสื่อความรู้สึกของตน “แต่คุณยายก็เป็นคน จะคนไทย-คนญี่ปุ่น-ก็เป็นคน หมอ-ก็ต้องทำหน้าที่ของหมอเหมือนกัน”
โกโบริหยุดจ้องมองอังศุมาลินนิ่ง อีกฝ่ายเชิดๆ มองตอบ
โกโบริพูดเน้นคำ “ผมมีความเป็นคน.. แม้คุณจะมองผม-ไม่ เป็นคน เหมือนคนอื่น-ก็ตาม” คำต่อมายิ่งเน้นชัด “และผม..นับถือ คนไทย ไม่เคยคิด ว่าแผ่นดินไทย ตรงไหน เป็นของคนญี่ปุ่น ไม่เคยคิด ว่า คนญี่ปุ่น จะทำอะไร-ก็ได้ ยังไง-ก็ได้ และที่สำคัญ ผมไม่เคยคิดไม่ดี คิดร้าย กับคุณ กับ-คนบ้านนี้เลย”
โกโบริหยุดมองอังศุมาลินจริงจัง อังศุมาลินนั่งนิ่ง คอแข็ง หน้าแดงก่ำ
ยายศรได้ฟัง มองมาตาปริบๆ ส่วนแม่อรอึ้ง
ทาเคดะก้มหน้า ก้มตา ฉีดยาให้ยาย
อังศุมาลินฉุนตัดสิน ใจ ลุกหนี แต่เผลอใช้มือขวาเท้ายันตัวลุก จะเดินออกจากห้อง
"โอ๊ะ”
อังศุมาลินชักมือกลับจนซวนเซเกือบล้มทรงตัวไม่อยู่
โกโบริผวาจะเข้าไปช่วย แต่อังศุมาลินทรงตัวกลับได้ก่อน
“มือคุณ -เป็นยังไง” โกโบริถามอย่างเป็นห่วง
จังหวะนั้นทาเคดะฉีดยาเสร็จพอดี หันมา กระตือรือร้น “ใช่แล้ว -โกโบริ-บอกผม-มืออังศุมาลินซัง...”
แม่อรรีบบอก “ยายอัง.. มาให้หมอเขาดูมือที่โดนแมงป่องต่อยซิลูก แม่เห็นบวมเป่งเลยไม่ใช่เหรอ”
อังศุมาลินเอามือซ่อนข้างหลัง รีบลุกขึ้น “ไม่เป็นไร..แค่นิดเดียว พรุ่งนี้ก็หาย!”
แม่อรกับยายศรชักทนไม่ไหว เรียกพร้อมกันเสียงดุๆ “ยายอัง!”
อังศุมาลินซีด จ๋อยสนิท
ตรงมุมยกพื้นนั่งเล่น บนเรือนเวลาต่อมา มืออังศุมาลินอยู่ในมือหมอทาเคดะ หมอพลิกดูอาการมือของอังศุมาลิน บ่นพึมพำกับตัวเอง
โกโบริที่เดินไปมาอยู่ห่างๆ ข้างหลังอังศุมาลิน พยายามเดินเลียบๆ เคียงๆ เข้ามามองสังเกตแผลดู แล้วกระซิบถามทาเคดะ
"เป็นมาก-ใช่ไหมหมอ”
ทาเคดะพยักหน้าตาม “ใช่ๆ”
อังศุมาลินคอแข็ง ทำเป็นไม่สนใจโกโบริ ฝ่ายโกโบริก็ทำทีเป็นไม่สนใจอังศุมาลินเช่นกัน
“ปวดไหม-ครับ” หมอทาเคดะถามอาการ
“นิดหน่อยค่ะ”
โกโบริถามหมอ “ต้อง ฉีด-ยา ไหม”
“นี่ ไม่เอานะ”
อังศุมาลินร้อง แล้วรีบชักมือกลับทันที
โกโบริแอบหัวเราะขำๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกลัวเข็มฉีดยา อังศุมาลินหันขวับมองมาแค้นๆ ถลึงตาใส่โกโบริ
โกโบริทำเป็นมองฟ้า มองนั่นนี่ไป อังศุมาลินอยากกรี๊ด หันมาเห็นสายตาแม่อรมองปรามๆ
ครู่ต่อมามือของหมอทาเคะค่อยๆ หมุนตลับยา แล้วเปิดฝาออก ส่งให้อังศุมาลิน โกโบริ และแม่อรมองลุ้นๆ ว่ามันคืออะไร
“ยาทา- แก้ปวด -ทาตรงที่บวม -ไม่ต้องพันผ้านะครับ” หมอบอกเป็นคำไทย
อังศุมาลินรับมา แล้วยกขึ้นดม ทำจมูกฟุดฟิด
“ยี้ ยาหม่อง”
โกโบริทวนคำออกเสียงตามแต่เพี้ยน “ยา- ม่อง”
อังศุมาลินที่ทำหันข้างไม่สนใจใส่โกโบริอดขำไม่ได้ แม่อรรีบอธิบายเสียงปนหัวเราะ
“ยาหม่อง ไม่ใช่ ยาม่อง ถ้าม่องเก๊าะตายแหงซิจ๊ะ”
โกโบริมีท่าทีเขินเล็กน้อย
“ยาก ภาษาไทยยากมาก...” โกโบริทำปากมุบมิบท่องไปมาเบาๆ คนเดียว “ยา ม่อง ยา หม่อง”
อังศุมาลินขวางตาไปหมด เลยแขวะเอา “ถ้ายาก ก็ไม่ต้องพูด”
แม่อรปรามอีก “นี่ ยัยอัง...”
โกโบรินิ่งไป แม่อรรีบแก้สถานการณ์
"พ่อโกโบริ ภาษาไทยไม่ยากนักหรอก ถ้าตั้งใจ เดี๋ยวก็พูดได้ ไหนลองพูดอีกสิ”
โกโบริที่ฟังพอรู้เรื่องบ้าง รู้สึกดีขึ้น ยิ้มให้แม่อร แต่อดชำเลืองมองปฏิกิริยาอังศุมาลิน ก่อนที่จะพูดต่อไม่ได้
อังศุมาลินทำเชิดดื้อรั้น ไม่สนใจ
“ยา หม่อง ยา ม่อง ยา หม่อง”
อังศุมาลินพูดดบอกทำนองรำคาญ แกมเยาะเย้ย “พูดช้าอย่างนั้นคงไม่ทันกิน นี่คุณพูดเร็วๆ เป็นมั้ย”
โกโบริหยุดชะงักทันที มองมาที่อังศุมาลิน
ทุกคนแปลกใจเล็กน้อยกับอังศุมาลิน แต่ต่างก็รอฟังเงียบๆ มองมาที่โกโบริเป็นตาเดียว
“ยาหม่อง” โกโบริพูดถูกจนได้
แม่อรยิ้มชม “อ้า เก่งมาก”
อังศุมาลินเผลอตัว เล่นออกไป “ถ้าเก่งจริง..ก็ต้อง..ยักษ์ใหญ่ ไล่ยักษ์เล็ก”
โกโบริ กะหมอทาเคดะ หันมาทำตาโต
แม่อรทำหน้าลุ้นๆ พูดช้าๆ ให้ฟังชัดๆ “ยักษ์-ใหญ่-ไล่-ยักษ์-เล็ก พูดได้ไหมจ๊ะ”
“ยักษ์ - ใหญ่ - ไล่ - ยักษ์ - เล็ก” โกโบริว่าตามได้
อังศุมาลินหมั่นไส้ ท้า จะเอาชนะ “เร็วๆสิ เร็วๆ”
โกโบริกับหมอทาเคดะสับกันมั่วซั่ว “ยักษ์-ใหญ่-ไย่ ลัก เล็ก” / “ยักษ์ ใหญ่ ใย่ ยัก เย็ก ๆ”
ทุกคนหัวเราะขำกันเอง
อังศุมาลินเผลอหัวเราะขำออกมา แล้วรีบทำใจแข็ง กลับมาทำนิ่ง เมินหน้าเชิดไป
แม่อรบอกอย่างอารมณ์ดี “วันหลังพ่อทั้งสองว่างๆ ก็มาที่นี่ซิ มาคุยกันทุกๆ วัน จะได้พูดเก่งขึ้น แล้วเคยกินกับข้าวของไทยหรือยัง”
อังศุมาลินขมวดคิ้ว ปรามๆ “แม่คะ”
โกโบริฟังไม่ทันหันไปหาอังศุมาลิน
"คุณแม่ของคุณ-บอกว่า- อะ-ไร-นะ-ครับ”
อังศุมาลินทำไม่สน หูทวนลม
หมอทาเคดะถามอังศุมาลินเป็นภาษาญี่ปุ่น “คุณผู้หญิงพูดว่าอะไรนะครับ คุณ...”
“ยายอัง ช่วยบอกพ่อสองคนนี้เขาทีสิ ว่าแม่บอกเขาไปว่าอะไร”
อังศุมาลินพูดช้าๆ แต่พูดไทย แบบขัดเสียไม่ได้ “คุณแม่ถามว่า..เคย-กิน-อาหารไทย-หรือยัง”
โกโบริ หมอทาเคดะยิ้ม สั่นศีรษะกันเป็นการใหญ่เป็นคำตอบ แล้วตอบพร้อมกัน
“ยัง- ไม่-เคย -ครับ”
“งั้นพรุ่งนี้เย็นเชิญมาที่นี่นะ หมอด้วย” แม่อรว่าต่อ
อังศุมาลินขัดใจหันขวับไปมองแม่ ทำหน้าแบบโอ๊ยไม่นะ “แม่คะ”
แม่อรมองอังศุมาลินแบบดุๆ “หนูแปลให้แม่หน่อยซิ ว่าพรุ่งนี้แม่ชวนให้สองคนนี้มาทานข้าวเย็นด้วยกัน”
หมอเองไม่แน่ใจ จึงหันไปมองหน้าโกโบริ ฝ่ายโกโบริค้อมศีรษะรับ และยิ้มกว้างขวาง หันไปบอกอังศุมาลิน
“ไม่ต้องแปลครับ เข้าใจครับ ผม..ยินดีมากๆ หากคุณ ไม่ว่าอะไร”
หมอเองก็พลางรีบค้อมศีรษะรับตาม แม่อรยิ้มแป้น
อังศุมาลินเซ็งที่ไม่ได้ดังใจ ไม่ยอมตอบ สะบัดหน้าเชิดกลับไปนั่งปั้นปึ่งในท่าเดิม
คู่กรรม ตอนที่ 4 (ต่อ)
ค่ำแล้ว โกโบริและหมอทาเคดะเลือกทางลัด เดินเลาะมาตามทางเดินในสวนอังศุมาลิน เพื่อกลับอู่ต่อเรือ
จังหวะนั้นเห็นเงาตะคุ่มๆ ของชายสองคนที่กำลังมุ่งหน้าจะเดินสวนทาง มุ่งตรงไปทางบ้านอังศุมาลิน
โกโบริเร่งฝีเท้า เช่นเดียวกับหมอทาเคดะ เสียงบู้ธของสองหนุ่มดังตึ๊กๆ ผสมเสียงคุยภาษาญี่ปุ่น หัวเราะอารมณ์ดี
ร่างตะคุ่มทั้งสอง ชะงัก มองหน้ากัน แล้วรีบวิ่งปรู๊ดตัดผ่านหลบลงข้างทาง จนโกโบริและหมอทาเคดะเดินเข้ามาใกล้และเดินผ่านเลยจุดนั้นไปแล้ว เงาชายทั้งสองจึงค่อยโผล่ ออกมา
ที่แท้เป็นตาบัวกับตาผล ทั้งสองหันมองสบตากัน ตาวาววับ เกิดความคิดร้ายๆขึ้นมา ณ บัดนั้น
ฟากแม่อรกำลังพับผ้าที่เก็บมาจากราวตาก มาพับเรียงกอง ส่วนอังศุมาลินกำลังนั่งรีดผ้าด้วยเตาถ่านอยู่ไม่ไกล พูดขึ้นลอยๆ
“แม่จะเชิญพวกนั้นมาทำไม”
“อ้าว..จะเป็นอะไรไปล่ะลูก ก็เขาอุตส่าห์มาช่วยดูแลรักษาคุณยายให้ เราก็ควรดูแลตอบแทนมิตรจิตมิตรใจเขาบ้าง”
“แต่หนูว่า...” อุงศุมาลินจะเถียง
แม่อรตัดบทเสียงแข็ง “หนูจะคิดยังไงก็แล้วแต่หนู แต่แม่คิดว่าการที่เขายินดีมาช่วยเหลือเราโดยที่เราไม่ได้ร้องขอ และเขาเองก็ไม่ได้ร้องขอสิ่งใดจากเรา แม่ก็ควรแสดงน้ำใจตอบแทนให้เขาได้เห็น ว่าเราซาบซึ้งกับน้ำใจของเค้า เราไม่ควรตอบแทนเขาด้วยความร้าย ไม่ว่าเขาจะเป็นคนชาติใดก็ตาม แม่ไม่เคยรังเกียจ”
อังศุมาลินเงียบฟังมองแม่อร แล้วก้มหน้า ขมวดคิ้ว รีดผ้าไปเงียบๆ ท่าทีขัดใจ แม่อรมองลูก แล้วหนักใจ
ที่อู่ต่อเรือญี่ปุ่นกลางดึก ท่ามกลางแสงเทียน ซามิเซ็งถูกทาบลงที่ตัก โดยมีมือข้างหนึ่งจับที่คอ มืออีกข้างถือบาจิมาบรรจงลงดีดที่สาย จนเกิดเป็นเสียงบรรเลงเพลง ซากุระ ท่วงทำนอง หวานๆ เนิบช้า ซึ้ง ได้อารมณ์คิดถึงคะนึงหา โกโบริกำลังนั่งตัวตรงเล่นซามิเซ็งอย่างเป็นสุข เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องเห็นดวงจันทร์กลมโต
ภายใต้ดวงจันทร์ดวงเดียวกันนั้น ที่หน้าต่างห้องอังศุมาลิน มีเสียงบรรเลงเพลงนางครวญดังขึ้นแทนที่ มือของอังศุมาลินวาดบรรเลงตีลงบนขิมเพลงโปรด แต่น่าประหลาดค่ำคืนนี้ เต็มไปด้วยสำเนียงสับสน เศร้า เหงา
เช่นเดียวกับสีหน้าอังศุมาลิน ที่ดูเศร้าศร้อย และสับสน ขณะนึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อ 2 ปีก่อน
ช่วงตอนกลางวันของวันนั้น ที่ห้องชมรมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ อังศุมาลินในชุดนิสิต กำลังซ้อมละคร บทพระราชนิพนธ์อิเหนา แบบปากเปล่า ไม่ได้ถือบท เล่นเก่ง ดูดี พวกเพื่อนๆ และอาจารย์ดูอย่างทึ่ง สะเทือนใจ
"โอ้ว่าป่านฉะนี้พระพี่เจ้าจะโศกเศร้ารัญจวนครวญหา ตั้งแต่ไปแก้สงสัยมา ไม่เห็นขนิษฐาในถ้ำทอง...”
จนเมื่ออังศุมาลินแสดงเสร็จ ก็ยืนสงบนิ่งพักหนึ่ง เพื่อนๆ และครูตบมือกัน อังศุมาลินเงยขึ้น ยิ้มรับทุกคน มองไปที่ประตู ชะงัก ยิ้มออกมา ที่มุมนั้น วนัสยืนดูอยู่ แววตาชื่นชม
อังศุมาลินดึงตัวเองกลับมา ผ่อนสำเนียงการบรรเลงมาเป็นโศกละห้อยช้าลงๆ เบาลงๆ จนจบเพลง ครู่ต่อมาอังศุมาลินวางไม้ ลุกขึ้น เดินไปยืนมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง มองไปที่ต้นลำพูริมน้ำ มีหิ่งห้อยระยิบระยับ สีหน้าอังศุมาลิน เศร้ามาก
ที่ “ค่ายเดนบี้ (Denbigh) สหราชอาณาจักรแคว้นเวลล์เหนือ” เวลานั้น
ภายในโรงนอนค่ายฝึกหน่วยทหารอาสาสมัคร พลทหารฝึกทั้งไทย จีน และแขก ร่วม 30 คน เพิ่งเลิกจากการฝึก ส่วนใหญ่กำลังจะผลัดผ้าไปอาบน้ำ เดินไปมา บ้างมีคุยกันยืนบ้างนั่งบ้าง อยู่ที่เตียง แบบสองชั้นของแต่ละคน
ท่านชายวิชญา และอรุณก็กำลังผลัดผ้าอยู่ที่เตียง เห็นพิชัยหิ้วปีกวนัสที่เดินกะเผลกเข้ามา
“เป็นไงพ่อคนเก่ง” ท่านชายทัก
วนัสยิ้มหน้าชื่นบอก “อวัยวะยังครบครับหม่อม”
“พี่น้องเสรีไทยเห็นแกยิ้มได้ คงมีกำลังใจขึ้นเยอะ” อรุณว่า
“ดีนะน้องผมมันอึด..นี่ถ้าน้องผมเป็นอะไรไปมากกว่านี้ละก็ ไอ้ครูฝึกบ้าได้เจอดี” พิชัยบอก
“พี่พิชัยกับผมเกือบฟาดปากไอ้เบนท์เลย์ไปหลายทีแล้วหม่อม เหมือนมันตั้งใจเอาเราให้น่วมอย่างนั้นละ” อรุณเสริม
“เฮ้ย ถ้าพวกนายขืนพลาดไปทำอย่างนั้นจริง มันก็จบกันหมด เพราะทหารอังกฤษมันดูแคลนว่าเราเป็นพวกปัญญาชนผิวบางและไม่ไว้ใจพวกเราว่าอยู่ข้ามันแน่หรือเปล่า..อยู่เป็นทุนเดิม..ถ้าพวกเราผ่านบททดสอบโหดๆและการลองใจสารพัดนี้ไปได้ เราคือผู้ชนะ แล้วนายสองคนจะสะใจกว่าการได้ไปทุบมันเสียอีก” ท่านชายบอก
พิชัยกับอรุณคิดตาม ที่กำลังฮึ่มฮั่ม เริ่มมีสติ
“ก็จริงอย่างท่านชายว่า”
พิชัยเสริมที่อรุณพูด “มาฝึกที่เดนบี้นี่ อ๊อกฟอร์ดเชียร์ดูเบาไปเลยไม่อยากจะคิดว่าด่านสุดท้ายที่แบรตฟอร์ดมันจะเป็นยังไง”
“ถามวนัสดีกว่า” ราชนิกูลเสรีไทยหันมาทางวนัส
“ถึงนรกกว่านี้ผมก็ต้องมีชีวิตรอดกลับไปกู้แผ่นดินเกิด ไปปกป้องคุ้มครองพ่อแม่ กับคนที่ผมรักทุกคนให้ได้”
ท่านชายวิชญายิ้ม พิชัยกับอรุณเหลียวไปมองวนัสที่ดูเข้มแข็งมุ่งมั่นอย่างทึ่งๆ
ค่ำคืนนั้นมีการทิ้งระเบิดที่กรุงเทพมหาคร ซึ่งถูกบรรยายผ่านการรายงานข่าว
“หลังจากการบอมบ์กรุงเทพมหานครครั้งแรก ที่ย่านหัวลำโพง และเยาวราช ตั้งแต่มกราคม 2485 เมื่อเริ่มสงคราม จนรัฐบาลไทยต้องประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐไป ตั้งแต่วันที่25มกราคมแล้วนั้น เมื่อถึงช่วงน้ำท่วมใหญ่ เดือนกันยายน เครื่องบินพันธมิตรก็งดการทิ้งระเบิดไป จนกลับมาอีกทีหลังน้ำลด เมื่อคืนที่26 พฤศจิกายน แถบท่าเรือช่องนนทรี”
รุ่งเช้าวันต่อมา ยินเสียงไก่ขัน แสงอาทิตย์สาดส่องเหนือช่อฟ้าโบสถ์วัดชุมชนปากคลองธนบุรี ที่หน้าศาลาการเปรียญมีชาวชุมชนมารวมตัวกัน ทั้ง แม่วัน ยายเมี้ยน แมว และตาแกละ ต่างก็คุยเม้าท์กันเรื่องระเบิดสนุกปาก มีชาวพระนครนับสิบ ขนข้าวของ เดินขึ้นลง เพื่อมาหลบภัยชั่วคราวอยู่ที่ศาลาการเปรียญ
ยายเมี้ยนดึงแมวเข้ามาเลียบเคียงร่วมฟังวงเสวนาของชาวพระนคร พร้อมพยักพเยิดมีส่วนร่วมไป
ชาวพระนครคนแรกเอ่ยขึ้น “ช่วงตีหนึ่งเมื่อวาน หนูกะน้องชายนอนกันอยู่ดีๆ เสียงหวอสัญญาณก็ร้องลั่น พักเดียวเสียงปืนยิงสู้ก็กระหึ่ม แล้วเสียงหวีดๆแล้วก็ตูมๆลั่น ดังเฉียดบ้านหนูไป”
ยายเมี้ยนถาม “บ้านหนูอยู่ไหนจ๊ะ”
“นางลิ้นจี่ค่ะ” ชาวพระนครบอก
“เห็นเขาว่า ที่จริงมันกะจะบินไปทิ้งลงท่าเรือ แต่ผิดเป้า” อีกคนบอก
“โอย อย่าให้ผิดนักเลย” อีกคนโอด
“ช่วงน้ำท่วมใหญ่ มันหายไปตั้งหลายเดือน อยู่ดีๆ ก็โผล่มาใหม่ น่ากลัว”
ยายเมี้ยนผสมโรง “ใช่ๆ น่ากลัวจัง..ดีแล้ว อย่าอยู่เลย พระนคร มาอยู่กันที่ฝั่งธนบุรีกันไปก่อนปลอดภัยกว่า ชั้นว่ามันไม่ข้ามมาทิ้งแถวนี้หรอก”
“ฝั่งธนบุรีของเราไม่มีอะไรให้พวกฝรั่งมาทิ้งบอมบ์ใส่ไง มีแต่ป่าแต่สวน” แมวว่า
ยายเมี้ยนชมเปาะ “เออ ฉลาด..ลูก...” รีบแนะนำลูกสาว “นี่ลูกสาวฉันเอง แมว รับซักรีดเสื้อผ้านะจ๊ะ”
ชาวพระนครเออไปด้วย “ออ จ๊ะ”
กำนันนุ่มกับหลวงพ่อเดินมาถึง
หลวงพ่อบอกกับชาวพระนคร “นี่..ถ้าศาลาการเปรียญไม่พอจะพัก ก็ไปทางหอฉันหลังวัดได้ ฉันให้เด็กมันจัดแจงที่ให้แล้ว..พออาศัยนอนกันไปได้ชั่วคราวก่อน แล้วค่อยหาทางขยับขยายกันเอา…” แล้วหันมาทางชาวปากคลอง “ส่วนพวกเราก็อย่างที่เห็นกันนี่ละ ..พี่น้องจากช่องนนทรีเขาเดือดร้อนกันมา บ้านช่องเขาโดนระเบิดกลายเป็นจุณไปหมดแล้ว ส่วนพวกที่ยังไม่โดน ก็หวาดกลัว ไม่เป็นอันหลับอันนอน ถึงต้องอพยพข้ามฟากมา ถ้าพวกเรามีอะไรพอช่วยกันได้ก็ช่วยกันไปนะ”
กำนันนุ่มเอ่ยขึ้นว่า “ฉันได้ยินมาว่า พอหลุมหลบภัยในกรุงเทพฯ แห้งพอให้คนกรุงลงไปหลบได้ กองทัพสัมพันธมิตรก็วางแผนว่าจะเริ่มบุกตะลุยให้หนักกว่าเดิมอีก”
ยายเมี้ยนเดินมาข้างแม่วัน
“ที่นี่โดนระเบิดตูมๆ แล้วที่อังกิดตอนนี้เป็นยังไงบ้าง พ่อวนัสน่ะแม่วัน”
แม่วันถอนใจ “ไม่ได้ข่าวมาหลายเดือน แต่เห็นพี่นุ่มได้ข่าวว่ากำลังหาทางกลับมาอยู่”
“อุ้ย..พี่วนัสจะกลับมา จริงเหรอคะน้าวัน” แมวดีใจ
“จ๊ะแมว น้าก็ภาวนาอยู่” แม่วันว่า
จังหวะนั้นตาบัวกับตาผล เดินโผล่ออกมาจากหลังวัด แล้วทำเป็นเดินเฉียดมองๆ ผ่านไป ตาแกละเหลือบไปเห็นร้องทัก
“เฮ้ย แกสองคนจะไปไหนกันวะ มาช่วยเขาขนของเหรอ”
ตาบัวทำไม่สนใจ ท่าทีเชิดๆ “เปล่า”
ยายเมี้ยนหันมามอง แล้วพูดจาถากถาง
“หรือว่าจะมาเที่ยวหาลู่ทางจะขโมยของชาวกรุงเขาล่ะ”
ตาผลฉุนด่าทันที “อ้าว..แม่เมี้ยน ปากหรือนั่น”
“แหม..ล้อเล่น..นี่ๆ ไอ้บัว ไอ้ผล แกสองคนมาพาพวกนี้เขาไปหาบ้านเช่าอพยพหลบภัยหน่อยสิ มีตั้งหลายคนเขาไม่มีที่ไป เขาจะให้ค่านายหน้านะ นี่ฉันว่าจะให้ไปเช่าห้องไอ้แกละ” ยายเมี้ยนบอก
ตาแกละเซ็งเลย “อ้าว แม่”
“ให้ไอ้แกละไปนอนนอกชาน” ยายเมี้ยนว่าต่อ
“ตามสบายเถอะ ข้าไม่ได้อยู่ว่างๆ” ตาบัวบอก
ตาผลคุยเป็นนัย “ฉันสองคนมีงานใหญ่รออยู่ ไปละ”
สองคนเดินเชิดชูคออาดๆ ไป ยายเมี้ยน กะตาแกละมองตามงงๆสงสัย
บ่ายนั้นแม่อรเตรียมประกอบอาหารเลี้ยงโกโบริ และหมอทาเคดะ อยู่ในครัว เห็นเครื่องแกงต่างๆ ที่ถูกหั่นไว้แล้ว เช่น พริกแดง ตะไคร้ มะกรูด วางอยู่
จังหวะต่อมา แม่อรกำลังง่วนอยู่กับการนวดคั้นกะทิในชามอ่างใบโต ส่วนอังศุมาลินที่แกล้งเดินกวาดบ้านไปมาอยู่ห่างๆ ครัว หยุดคิด แล้วตัดสินใจเอาไม้กวาดไปเก็บ เดินเข้าไปหาแม่อรที่หน้าครัว
อังศุมาลินตรงมาเก็บเศษผัก ขยะจากเครื่องปรุงต่างๆ ก้าน ใบ ที่หล่นทิ้งอยู่บริเวณเขียงและครกที่หน้าครัวจนเรียบร้อย อังศุมาลินตรงไปที่ครกที่มีเครื่องแกงโขกละเอียดอยู่ภายใน
“แม่คะ เครื่องแกงนี่เสร็จแล้วใช่ไหม”
“อ๋อ จ๊ะ เรียบร้อยแล้ว หนูเอาออกได้เลย”
อังศุมาลินจัดแจงตักเครื่องแกงออกจากครกมาใส่จานไว้ แล้วยกครกไปล้าง
“แม่จะทำแกงเผ็ดปลาดุก แต่ไม่ให้เผ็ดมากนัก เดี๋ยวเขาจะกินไม่ได้ แล้วก็จะมีผัดถั่วฝักยาวกับกุ้ง..หนูอยากให้แม่แบ่งกุ้งไว้สับ..สำหรับไว้ใส่ไข่เจียวไหมลูก”
แม่อรมองดูอาการลูกสาว
“ถ้ามีน้อยก็ไม่ต้องแบ่งให้หนูหรอกค่ะ ให้แต่พวก..คนดีของแม่เถอะ”
“นี่ อย่ามาหาเรื่องแม่นะ ทำไมแม่จะแบ่งให้หนูกินไม่ได้ล่ะ ของมีถมเถไป พวกเรือกุ้งเขาเอามาขายให้แต่เช้า เสียแต่หาตัวโตไม่ได้ ไม่งั้นแม่ก็ว่าจะเผาให้หนูจิ้มน้ำปลาหวานเสียด้วยซ้ำ”
อังศุมาลินที่กำลังล้างพวกครก มีด เขียง ของที่เลอะ อยู่ข้างตุ่มน้ำชะงักมือกึก สีหน้าสลดวูบ แม่อรนึกได้ ชะงัก แล้วลอบมองดูลูก เห็นอังศุมาลินดูบอบบาง อ่อนแอ และเศร้าสร้อย หน้าซีดเซียว
แม่อรนึกสงสารเอ่ยขึ้น “คิดถึงวนัสนะ”
อังศุมาลินชะงัก หันมา ฝืนยิ้ม “ค่ะ ไม่รู้ว่า..ญี่ปุนเขาจับคนอังกฤษแบบนี้ คนที่ไปเรียนอังกฤษ จะมีความผิดไปด้วยหรือเปล่า”
“ทางฝั่งพระนครเขาทิ้งบอมบ์กันแบบนี้ หนักๆเข้า พวกญี่ปุ่นอาจจะยอมแพ้ก็ได้นะ”
อังศุมาลินตาแข็งขึ้นขณะขึ้น “กว่าพวกมันจะยอมแพ้ พอดีระเบิดลงบ้านคนไทยเดือดร้อนกันไปหมด ทำไมพวกฝรั่งไม่ทิ้งกันให้แม่นๆ ก็ไม่รู้ จะได้โดนแต่พวกมันตาย!”
อังศุมาลินยกครก เขียง และชามที่ล้างเสร็จมาคว่ำ เสียงดังเล็กน้อย แม่อรแอบส่ายหน้า
แม่อรเลื่อนชามกากมะพร้าวที่คั้นเสร็จออก มองสำรวจเครื่องปรุงที่วางเตรียมไว้ แล้วเบิกตากว้าง
“ตายจริง..ลืมโหระพากับมะกรูด หนูช่วยแม่ไปเอาในสวนมาให้แม่ทีเถอะ”
อังศุมาลินหันมา ฝืนยิ้ม “ค่ะ”
อังศุมาลินละมือจากงาน รีบลงบันไดไป แม่อรมองตาม ถอนใจยาว เหนื่อยกับนิสัยรั้นของลูกสาว
ที่สวนหลังบ้านอังศุมาลิน แสงแดดยามบ่ายส่องลอดหมู่ไม้ในสวนที่เขียวครึ้มขณะที่อังศุมาลินถลกผ้าถุงเดินมาตามท้องร่องอย่างคล่องแคล่ว
ในจังหวะหนึ่งที่กำลังจะกระโดดข้ามท้องร่องไปฟากที่เป็นแปลงปลูกผักสวนครัวไว้ อังศุมาลินเหลือบไปเห็นชายเสื้อสีกากีๆ ไหวๆ ที่ดงสวนกล้วยถัดไป
“นี่ พวกไอ้ยุ่นมันยังไม่เข็ดกันอีกหรือ เดี๋ยวเถอะ”
อังศุมาลินพึมพำ แล้วเปลี่ยนเป็นเดินเลาะไปยังสะพานไม้ที่ทำจากลำต้นมะพร้าวที่อยู่ไปไม่ไกล
อังศุมาลินเดินย่องอ้อมไปหลังดงกล้วยที่มีหน่อกล้วยขึ้นแซมหนาตา ยิ่งใกล้เข้าไปยิ่งได้ยิน เสียงคนคุยพึมพำกัน อังศุมาลินมองหาอาวุธ เจอท่อนไม้ฟืนที่กองๆ คว้าท่อนเหมาะๆ มากระชับมือ
อังศุมาลินตัดสินใจแหวกดงกล้วยโผล่ออกไปทันที
"ไอ้พวกหัวขโมย!”
อังศุมาลินเงื้อไม้สุดตัว แล้วต้องตกใจ ชะงักกึก
ข้างหน้า คือตาบัว ตาผล มีคนหนึ่ง ใส่ชุดสีกากีหลวมๆ เหมือนชุดที่ใครเขาบริจาคมาให้
“อุ๊ย..ลุงบัว ลุงผล นี่มาทำอะไรกัน”
“เฮ้ย” ตาผลชะงักดาบในมือ “เกือบไปแล้วไหมละ”
ตาบัว ตาผล ใส่ชุดทะมัดทะแมง มีผ้าขาวม้าคาดหนาแน่นที่ตัว พร้อมดาบยาวคนละเล่ม
“ลุงสบายดีกันแล้วนะ นี่หลบมากินเหล้ากันหรือคะ”
สองเกลอมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“นี่หนูอัง เห็นว่าคุณยายไม่สบาย แล้วมีหมอมารักษาอยู่ทุกวันไม่ใช่หรือ” ตาบัวถามขึ้น
อังศุมาลินแปลกใจ อึ้ง ขมวดคิ้วย้อนถาม “ทำไมคะลุงบัว”
ตาบัวหันไปพยักหน้ากับตาผล “จริงอย่างเอ็งว่าว่ะผล”
“ฮื่อ..ข้าว่าแล้ว”
อังศุมาลินงงหนัก “อะไรกันลุง”
“แล้วไอ้นายช่างใหญ่มันก็มาด้วยทุกวันหรือเปล่า” ตาบัวถามถึงโกโบริ
อังศุมาลินรู้สึกตะหงิดๆ ในใจ ท่าทีอึกอักไป “บางทีก็มา”
ตาผลคาดคั้น “วันนี้มาไหม”
“ลุงจะทำไมล่ะ” อังศุมาลินถาม
ตาบัว เงยหน้ามองอังศุมาลิน ด้วยแววตาเป็นประกาย
“จะว่าไป..วันนั้นลุงยังไม่ได้ขอบใจแม่อัง” ตาบัวบอก
“วันไหนคะ”
ตาบัวโพล่งขึ้นมา “วันที่ไอ้นายช่างมันทารุณลุงกับไอ้ผลน่ะซิ”
อังศุมาลินกวาดตามองทั้งสองคน สีหน้าตำหนิ คันปาก อยากอบรมความประพฤติ
ตาผลบอกต่อ “วันนั้น ไม่ได้แม่อังช่วยพูด ลุงสองคนคงตายไปแล้ว”
“หนูรู้ไหม หลังจากวันนั้นลุงกับไอ้ผลเจ็บกันมาเป็นเดือน ข้าวของเงินทองหมดไปเพราะเอามารักษาตัว” ตาบัวว่า
ตาผลตาม “แค้นมันนัก..ไอ้พวกศัตรูของชาติ เอาไว้ไม่ได้”
“ตกลงเย็นนี้มันมาใช่ไหม” ตาบัวถามท่าทีเคียดแค้นหนัก
“คงมา..กระมัง...” อังศุมาลินบอก
“ดี!” ตาบัวว่า พลางยกดาบขึ้นมา “จะดักฟันมันมืดๆ นี่ละ”
อังศุมาลินอึ้ง “จริงหรือลุง”
“ก็จริงซิแม่อัง คอยดูคืนนี้เถอะ.. เราจะได้เห็นดีกัน ว่าที่นี่..มันแผ่นดินของใครกันแน่!” ตาบัวทำหน้าโหดไปมา “พวกมันไม่มีสิทธิ์ จะมาทำโทษคนไทย”
ตาผลผสมโรง “ถึงรัฐบาลยอม แต่ประชาชนไม่ยอมโว้ย เราต้องมาร่วมมือกัน แม่อัง”
อังศุมาลินอึ้ง นิ่งงันไป
คู่กรรม ตอนที่ 4 (ต่อ)
ที่อู่ต่อเรือญี่ปุ่น หมอทาเคดะมาเดินหาโกโบริซึ่งกำลังตรวจสอบความเรียบร้อยการสร้างเรือลำหนึ่งอยู่ โกโบริชี้ให้ลูกน้องทหารช่างดูจุดนี้นั้น ว่าต้องแก้ไขตรงไหน ยังไง ท่าทางออกจะเข้มงวดและละเอียดมาก
ทหารช่าง 3 คน ที่เป็นผู้รับผิดชอบยืนฟังตั้งใจ โกโบริเข้าไปชี้จุดบางจุดใกล้ๆ ว่าต้องทำยังไงพร้อมลงมือทำให้ดู ว่าต้องแก้ไขยังไง ทุกคนเข้ามามุงดู เอาจริงเอาจัง หน้าเปื้อน มือเปื้อน ชุดเลอะตามๆ กัน
หมอทาเคดะยืนดูจนจบที่โกโบริสอนเสร็จแล้วลุกมา หันมาเห็นหมอพอดี โปโบริปัดๆ มือ ขณะที่หมอทาเคดะ ชี้ที่นาฬิกาข้อมือบอกเป็นภาษาญี่ปุ่น
“จะถึงเวลาแล้วนะ โกโบริ”
โกโบริดีใจตอบกลับ “ใช่ๆ ไปเดี๋ยวนี้ครับ”
หมอทาเคดะมองสภาพโกโบริหัวจรดเท้าที่ดูมอมแมมจึงถาม
“แล้วคุณ จะไป..สภาพแบบนี้หรือ”
“ผมจะไป ล้างมือ ล้างหน้า..และ…”
หมอทาเคดะยิ้มขำๆ ส่ายหน้า
“ตกลง อย่างนั้นผมจะรีบไปอาบน้ำ” โกโบริรีบก้าวยาวๆ แกมวิ่งไปที่ห้องพัก
เวลานั้นพวกเคสุเกะและทหารอีก 4-5 คนกำลังเดินจะตัดขวางทางโกโบริ เงยมาเห็นโกโบริกำลังพุ่งมา เคสุเกะรีบเบรคเอี๊ยด จนคนที่ตามมาติดๆ กันเบรกไม่ทัน ชนท้ายกันตึ้งๆๆ เป็นทอดๆ
โกโบริรีบเดินผ่านไปอย่างเร็ว ไม่หันมาสนใจเลย
หมอทาเคดะขำๆ ส่ายหัวกับท่าทีรีบร้อนจะไปเจอสาวไทยของโกโบริ
ส่วนที่ท้ายสวนหลังบ้านอังศุมาลินเวลานั้น สองเกลอตาบัว ตาผล ซ้อมท่ากันไปมาอย่างมันมือ อังศุมาลินคิดหนัก สับสน ลังเล ในที่สุดก็หลุดปากออกมา
“ลุง..คือ..ชั้นคิดว่า..บางที..วันนี้พวกหมอเค้าอาจจะไม่มาก็ได้”
ตาผล ตาบัว ที่กวัดแกว่งดาบ กระเหี้ยนกระหือกัน ต่างหันขวับมามอง พูดพร้อมกันเซ็งๆ
“อ้าว!!”
“เดี๋ยวๆๆ ก่อน..” ตาบัวเดินมาดักหน้า จ้องอังศุมาลิน “แล้วคุณยายแม่อังหายรึยังล่ะ”
อังศุมาลินอึกอัก “ก็..ยังไม่หายดี..แต่”
ตาบัวตัดบท “เอาล่ะๆ..ก็สรุปว่า..บางทีหมอก็มาฉีดยา หรือบางที อาจจะไม่มา..แต่ถ้ามา ไอ้ตัวนายช่างก็จะมาด้วย..ใช่ไหมล่ะ แม่อัง..” พลางหันมา มองหน้าตาผลอย่างจริงจัง “ดังนั้น..ไม่ว่าจะมา..หรือไม่มา เราก็จะดักอยู่ตรงนี้..เพราะถ้ามันข้ามจากอู่มาหลังสวน..ก็จะต้องเดินผ่านตรงนี้..”
“งั้น..ถ้าเผื่อ..เค้าอาจจะมาทางเรือ” อังศุมาลินบอกอีก
“ก็ช่างหัวมัน ถ้ามันมาทางเรือก็แปลว่าชะตามันยังดีอยู่ ก็เลยแคล้วคลาด” ตาผลว่า
“งั้นทำไมพวกลุงถึงต้องมาดักทำเค้าที่นี่ด้วยล่ะ ถ้าเก่งจริง..ก็แอบบุกเข้าไปฆ่าเสียที่ในอู่เลยสิ” อังศุมาลินแดกดัน
ตาผลมองอย่างจับสังเกตว่าอังศุมาลินรู้สึกยังไง “ไปให้มันฆ่าตายล่ะไม่ว่า ธุระอะไรจะทำโง่ๆ แบบนั้น สู้นั่งคอยมันจากนี้ไม่ดีกว่าหรือ”
อังศุมาลินหลบตา พาลเหวี่ยงใส่ “งั้นลุงอยากจะทำยังไงก็ตามใจเถอะ” แล้วรีบเดินหนี
ตาบัวตะโกนดักคอ “แม่อังคงไม่เก็บไปบอกพวกมันหรอกนะ ว่าเราคอยมันอยู่ตรงนี้”
อังศุมาลินจี๊ด หันมา “ไม่ใช่ธุระของฉัน ฉันไม่ยุ่งด้วยหรอก”
อังศุมาลินรีบเดินไปทางที่ปลูกโหระพาลิ่วๆ สองเกลอกระหยิ่ม กระเหี้ยนกระหือรือมาก
สองแม่ลูกอยู่ในครัว แม่อรผัดเครื่องแกงกับเนื้อสัตว์และกะทิในกระทะควันโขมง กลิ่นหอมฉุย
อังศุมาลินวิ่งถือกำโหระพามา หน้าตาหมกมุ่น กลุ้มใจ คิดไม่ตก แม่อรหันมามอง ยิ้มห่วงๆ “ทำไมมาช้านักล่ะลูก แม่กำลังเป็นห่วงเชียว”
อังศุมาลินรีบตักน้ำใส่กาละมังเล็กๆ แล้วนั่งลง เด็ดใบโหระพาลงแช่ หน้าตายุ่งยากใจ แม่อรมองมา เห็นแต่โหระพา
“แล้วไหนมะเขือล่ะจ๊ะ”
อังศุมาลินสะดุ้ง ราวขวัญเสีย “ตายจริง..หนูลืมเก็บมะเขือพวง” ทำท่าจะลุกขึ้น
แม่อรยิ้มใจดี ขำๆ “ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้อง” พลางบุ้ยใบ้ไปที่ผักในกระจาด “ใช้มะเขืออ่อนนี่ก็ได้ลูก..ผ่าสี่เข้าเสียหน่อย มะเขือพวงมันดีแต่สวยเท่านั้น จะกินกันเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“หนูทำให้ค่ะ” อังศุมาลินรีบลุกมาคว้ากระจาด แต่คว้าเร็วไปหน่อย ทำกระจาดเอียง มะเขือกลิ้งร่วงลงพื้นขลุกๆ อังศุมาลินต้องวางกระจาด แล้วนั่งลงเก็บ
แม่อรแอบมองลูกสาว เริ่มรู้สึกผิดสังเกต แอบแปลกใจ อังศุมาลินเอามะเขือไปล้าง หน้าตาไม่สบายใจอย่างหนัก ในที่สุดอดไม่ได้ ปรารภขึ้น
“แม่คะ”
แม่อรเหลียวมามองหน้า “จ๊ะ”
“ถ้าเผื่อว่า...” อังศุมาลินสบตาแม่ แล้วไม่กล้าบอก เลี่ยงไป “สมมุติว่า..เขาไม่มากันล่ะคะ”
“ต้องมาสิลูก..ก็เขารับเชิญเราแล้ว หนูมีอะไรหรือเปล่า”
อังศุมาลินหลุดปากออกมา “หนูไม่อยากให้เขามา”
แม่อรขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะลูก..ก็..เราคุยกัน..เข้าใจแล้วไม่ใช่หรือลูก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ..แต่...” อังศุมาลินหยุด นิ่งเงียบไปนาน
“หนูมีอะไรกันแน่ลูก” แม่อรสงสัย
“เปล่าคะ..แต่..หนูว่า...” อังศุมาลินพูดไม่ออก ตัดสินใจเงียบดีกว่า
แม่อรรอฟังอยู่ “หนูจะว่าว่าอะไรจ๊ะ”
“ช่างเถอะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก..” อังศุมาลินตัดบท แต่อยู่ๆ โพล่งออกมาอีกจนได้ “แม่ทราบไหมคะ ว่าเวลานี้ตาบัว ตาผล เป็นยังไงมั่ง”
“ได้ข่าวว่าหายดีแล้ว..ชักจะทำตัวเป็นนักเลง” แม่อรบอก
“หนูว่า..แกคง..ไม่ชอบ..อีตาช่างนั่นนักหรอก”
แม่อรหัวเราะ “ลงถึงขนาดนั้นแล้ว จะชอบกันได้ยังไงล่ะจ๊ะ”
“แกคง..หาโอกาสเล่นงานอีตานั่นให้ได้” อังศุมาลินว่า
แม่อรส่ายหัวก่อนจะบอก “แกก็น่าจะรู้ตัวว่าแกผิดอยู่เต็มประตู ขโมยของเขา เขาจับได้ เขาก็ต้องลงโทษ คนของเขาเอง..เขายังไม่เว้น แต่แกจะไปทำอะไรเขาได้ ก็คงเที่ยวคุยโวเป็นอันธพาลไปตามเรื่อง”
อังศุมาลินอยากจะบอกแม่ แต่ก็ลังเล ใจหนึ่ง ก็อยากให้พวกญี่ปุ่นโดนเข้าซะบ้าง แต่ใจหนึ่งก็ขัดแย้งตัวเอง
แม่อรมองมาดูอาการออก จึงเตือนลูกสาวอย่างห่วงๆ “หนูอย่าไปยุ่งกะเค้าเลยลูก ไม่ว่าจะเข้ากะฝ่ายโน้นหรือฝ่ายนี้..เราลำบากทั้งขึ้นทั้งล่อง เราก็อยู่ของเราไป ใครดีมาเราก็ดีไป ใครร้ายมาเราก็เลี่ยงๆ ซะเท่านั้นเป็นพอ”
อังสุมาลินเงียบ ใช้มีดคม ผ่ามะเขือฉับๆๆ
เย็นนั้นสองเกลออยู่ท้ายสวนบ้านอังศุมาลิน ตาบัวเฉาะมะพร้าวด้วยดาบคมกริบ มะพร้าวเปิดทันที แล้วยกมาดื่มน้ำ อั้กๆๆ น้ำมะพร้าวไหลเลอะเทอะตัวก็ไม่สน ฝ่ายตาผลนั่งกินฝรั่งกินทิ้งกินขว้าง
ตาผลบ่น “ฝาดจังวะ”
“จะไม่ฝาดยังไง มันยังดิบๆ เก็บลูกแก่ๆ มากินสิวะ” ตาบัวบอก
จังหวะนั้น โกโบริ และหมอทาเคดะ เดินลัดมาตามทางในสวน ตาบัวกับตาผลได้ยินเสียง หันมาสบตากัน แล้วกระโดดหลบข้างท้องร่องสวน
โกโบริ และหมอทาเคดะ เดินผ่านไป คุยกัน ยิ้มแย้มแจ่มใส
ตาบัว ตาผล ซุ่มนิ่งจนสองคนคล้อยหลังไปไกล แล้วโผล่หัวออกมา หน้าตาสมหวัง
“มันเดินตัดท้ายสวนมากันจริงๆ ด้วย ไม่ได้มาทางเรือ” ตาบัวว่า
ตาผลคำราม “ชะตามึงขาดแน่แล้ว.. ไอ้โกโบริ”
ทั้งสองกระเหี้ยนกระหือรือจะเอาโกโบริถึงตาย!!!
เย็นนั้นขณะที่อังศุมาลินกำลังตัดดอกไม้ ดอกพุด ใบเฟิร์นอยู่ใกล้ๆ ท่าน้ำ พอดีเรือกำนันนุ่ม ที่มีคนเรือพายมา และมีคนนั่งมาเต็มลำ ทั้งแม่วัน ยายเมี้ยน ตาแกละ แมว และญาติชาวพระนครอีก 2 คน
“หนูอัง..ไม่เห็นไปวัดเลยวันนี้ นั่นตัดดอกไม้ไปไหว้พระเหรอจ๊ะ” ยายเมี้ยนร้องทัก
อังศุมาลินมองไม่ตอบ แต่ไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน
“คุณยายหายหรือยัง หนูอัง” กำนันถาม
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
“ก็มันแน่ล่ะ มียาญี่ปุ่นมาจิ้มก้องทุกวันนี่นา…โชคดีนะ บ้านอยู่ติดอู่” ยายเมี้ยนเปิดฉากเม้าธ์
“แม่อังทำถูกแล้ว ที่ผูกมิตรกับเขาไว้ ป้ายังกลัวแทน...ที่หนูแข็งนัก หัวรุนแรงนัก กลัวว่าเกิดเขาอาฆาตมาดร้ายขึ้นมา พวกหนูจะแย่”
“บ้านนี้น่าอยู่นะ ถ้ามีบ้านแบบนี้ให้เช่าคงจะดี” ชาวพระนครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ตาแกละเสริมขึ้น “สนใจให้คนเช่าบ้านไหม นี่พวกคนพระนครบ้านเขาถูกบอม อพยพหนีระเบิดมา เขาให้ราคาดีนะ แม่อัง”
“ไม่หรอกจ้ะ ลุงแกละ”
แมวพูดเสียงดัง “โอ๊ย..ผู้คนเขาลำบากเพราะญี่ปุ่นมันมายึดบ้านยึดเมืองทั้งนั้น มีแต่บ้านเธอนี่ล่ะนะ อังศุมาลิน ที่อยู่ดีมีสุขขึ้น...พอๆ กะยัยวิภาร้านขายข้าวสารเลยนะ”
จากนั้นยายเมี้ยนกับแมวก็หัวเราะคิกคัก เรือแล่นเลยคุ้งน้ำไป
อังศุมาลินโมโห แทบจะขว้างดอกไม้ทิ้ง
ไม่นานต่อมา โกโบริหยุดยืนอยู่หน้าเรือนไทยของอังศุมาลิน แหงนมองดูดอกไม้ที่เลื้อยพันซุ้มหลังคาเหนือประตูทางขึ้น มองดอกเฟื่องฟ้าสีสดชูช่อแซม อย่างมีความรื่นรมย์ในใจ
ทาเคดะมองหน้าโกโบริ มองดอกไม้ แล้วยิ้ม ขณะที่โกโบริกำลังจะก้าวขึ้นเรือน แล้วชะงัก เมื่อมองไปที่บันไดขั้นแรกๆ มีรองเท้าแตะของอังศุมาลิน และแม่อร วางเรียงเป็นระเบียบอยู่
โกโบริหันกลับ นั่งลงที่ขั้นบันได ทำการถอดรองเท้าบู้ธออกอย่างตั้งใจ หมอทาเคดะนั่งลง ทำตามบ้าง
อังศุมาลินปักดอกพุดซ้อนดอกใหญ่ ลงในแจกันกระเบื้องทรงกลมขนาดเล็กเสร็จ แล้วนั่งคุกเข่า ปักดอกไม้ไปแล้ว 1 ดอก แต่ถอนหายใจ อึ้ง ท่าทีลังเล ข้างๆ มีดอกพุดอีก 2-3 กิ่ง และเฟิร์น สีหน้าอังศุมาลินขรึมลง คิดหนัก ถือดอกไม้ ใจลอยอยู่
โกโบริเดินขึ้นบันได ก้าวพ้นระแนงไม้ตรงประตูเข้ามา เห็นภาพนั้นพอดี เป็นภาพอังศุมาลินนั่งจัดดอกไม้หันด้านข้างให้ ในแสงยามเย็นที่สวยงาม
อังศุมาลินไม่ได้ยินเสียง เพราะโกโบริเดินเรือนขึ้นมาโดยไม่สวมรองเท้า ฝีเท้าเบา
โกโบริยืนมอง ประทับใจมาก
หมอทาเคดะตามขึ้นมา ยืนเคียงกัน มองดูอังศุมาลิน แล้วเลยหันมามองหน้าโกโบริ
อังศุมาลินได้ยินเสียงคน หันไป เห็นสองคน ตกใจเล็กน้อย โกโบริ มองหน้าสบตาอังศุมาลิน พูดลอยๆ ขึ้นมา เป็นคำญี่ปุ่น
“สวยจังนะ”
อังศุมาลินขมวดคิ้ว
โกโบริแกล้งกลบเกลื่อนทำเป็นหันไป ยืนเอามือไพล่หลัง เงยมอง ชี้ชมซุ้มดอกไม้เลื้อย “สวยจัง-นะหมอ”
หมอทาเคดะหันไป มองซุ้มดอกไม้เลื้อย ตามโกโบริ
อังศุมาลินที่กำลังเครียด ลังเล สับสน กลับกลายเป็นพาลหมั่นไส้ขึ้นมา รีบลุก เดินเข้ามาโค้งแบบญี่ปุ่น จงใจพูดจาเป็นทางการประชดประชัน
“ยินดีมากค่ะ...ที่พวกคุณมา”
“ยินดีเช่นกันครับ ขอบคุณ” หมอทาเคดะโค้งอย่างแข็งขัน
โกโบริโค้งด้วยนิดๆ มองแบบยิ้มๆ “ขอบคุณครับ..ขอบคุณมาก”
“เชิญค่ะ..เชิญที่โต๊ะเลย คุณแม่กำลังจะออกมา” อังศุมาลินมอง เริ่มหมั่นไส้มากขึ้น รีบกลับไป นั่งลงเสียบๆ ดอกไม้แบบเร็วๆ รีบๆ เก็บ)
โกโบริแอบสะกิดหมอ
หมอทาเคดะหันมามอง งงๆ อะไรวะ? โกโบริส่งสัญญาณบุ้ยใบ้ทางสายตาไปที่ห้องคุณยาย
นั่นแหละหมอจึงเริ่มเข้าใจสัญญาณ “อ้อๆ..หมอ..อยากจะ ขอดู..อาการ..คุณยาย ก่อน”
“คุณยายอาการดีขึ้นมากแล้วค่ะ คิดว่าหายแล้ว ตอนนี้หลับอยู่ พวกคุณรับประทานอาหารกันเลย...ดีไหมคะ รีบๆ รับประทาน จะได้รีบๆ กลับกันก่อนจะค่ำ” อังศุมาลินบอก
โกโบริแย้ง “ไข้มาเลเรีย ไว้ใจไม่ได้ บางที มันมีระยะหนึ่ง ที่ดูเหมือน..จะหายขาดแล้ว แต่ความจริงยังไม่หาย”
“ยาชุดนี้-มี 5 เข็ม-ผมอยาก-จะฉีด-คุณยาย-ให้ครบครับ” หมอบอก
“งั้น…” อังศุมาลินไตร่ตรองแล้ว ยอมแพ้ ตกลงวางดอกไม้ลงข้างแจกันก่อน “ชิญค่ะ” ผายมือทางห้องยายศร
หมอทาเคดะเดินไป โกโบริขยับจะตาม
อังศุมาลินรีบหันมา เย็นชาใส่ “คุณ..กรุณารอข้างนอก”
โกโบริอึ้งไป ก้มหัวให้ “ครับ..เชิญตามสบายครับ”
อังศุมาลินมองหน้าโกโบริ เหมือนอยากบอกอะไร โกโบริทำหน้ารอฟัง
อังศุมาลินเปลี่ยนใจ รีบหันเดิน ไปเปิดประตูห้องคุณยายให้หมอ
โกโบริเก้อ มองตามทั้งสองไป ยิ้มๆ ส่ายหัว ไม่เข้าใจอังศุมาลิน ที่ไม่ยอมญาติดีซะที
ยายศรพลิกตัวมา ทำหน้าเพลียๆ แหยๆ
“อะไร..ฉีดยาอีกเหรอ พ่อคุ้ณ…”
“ครับผม…” หมอบอก
ยายศรร้องเจ็บรอล่วงหน้า “โอย..เจ็บ”
แม่อรหัวเราะ “อะไร ยังไม่ทันฉีดเลยค่ะแม่”
อังศุมาลินยิ้มกับหมอ ท่าทีเกรงใจ
“รอสักครู่นะคะ” แล้วรีบลุกไป
อังศุมาลินออกมาจากห้องยาย จะไปครัว แล้วชะงัก
เห็นที่โต๊ะตัวเดิมตรงยกพื้น โกโบริกำลังคุกเข่า ก้มหน้าก้มตาจัดดอกไม้ต่อ ในแจกัน ตอนนี้บนโต๊ะ มีดอกไม้ที่เด็ดมาจากซุ้มไม้เลื้อยของที่นี่ เด็ดมาเป็นช่อยาวบ้าง สั้นบ้าง 2-3 ก้าน วางอยู่
อังศุมาลินหยุดมอง อึ้ง คิดหนักจะบอกตอนนี้ดีไหม หรือไม่บอก ปล่อยให้ตายไป
โกโบริหันมาเจอหน้าอังศุมาลินก็ยิ้ม และก้มหัวให้แบบเขินนิดๆ
อังศุมาลินรีบเมิน เดินไปครัว โกโบริจ๋อย มองตาม
อังศุมาลินรีบยกกาน้ำร้อนที่เดือดปุดๆ พ่นควันจางๆ จากบนเตา กับอ่างเพื่อใส่น้ำสำหรับลวกเข็ม หยุดชะงัก หน้าครุ่นคิด เอาไงดีๆๆๆ แล้วรีบหัน เดินกลับเข้าไปในห้อง ไม่หันมามองโกโบริอีก
โกโบริมองตามไป ก่อนจะถอนใจ แล้วก้มลงจัดดอกไม้ต่อ
ในห้องนอนยายศร หมอทาเคดะกำลังเตรียมอุปกรณ์
ยายศรถาม “เข็มใหญ่ไปหรือเปล่า”
“ไม่ใหญ่ ไม่ใหญ่”
แม่อรปราม “แม่คะ..พออาการดีขึ้น..ชักจะงอแงซะแล้ว”
จังหวะนั้นอังศุมาลินเอากาน้ำมาวางให้บนที่รองผ้านวม และวางอ่างสำหรับลวกเข็มลง แล้วนั่งพับเพียบลงข้างๆ เตรียมช่วย
“จะให้เทน้ำใส่ในนี้เลยไหมคะ”
แม่อรเอ่ยขึ้น “แม่ทำเอง..หนูออกไปรับแขกข้างนอกเถอะ”
“แต่…” อังศุมาลินอิดออด
“ไปสิจ๊ะ ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวไม่ดีหรอกลูก”
“แล้วแม่จะพูดกับหมอรู้เรื่องหรือคะ” อังศุมาลินถาม
“รู้เรื่องครับ รู้เรื่อง…” หมอรีบตอบ
อังศุมาลินอึดอัดใจ
โกโบริจัดดอกไม้เสร็จ โดยในแจกัน มีดอกพุดซ้อนใหญ่ดอกเดียวเป็นประธานในจุดที่ต่ำสุดของแจกัน แล้วดอกไม้เลื้อยที่เก็บมา ใช้ทั้งดอก กิ่ง และใบ ถูกดัดให้เป็นรูปโค้งยาว เป็นองค์ประกอบ
อังศุมาลินเดินมาหยุดดูอยู่ห่างๆ โกโบริกำลังเสร็จงาน ถามขึ้น โดยไม่หันมามอง
“คุณ-เคย-จัดดอกไม้-แบบญี่ปุ่น-ไหม”
อังศุมาลินนิ่งไปพัก แล้วตอบห้วน “ไม่เคย”
โกโบริหันมามองถามอีก “แล้ว-เคยเห็นบ้าง-ไหม”
อังศุมาลินทำหน้าเย็นชาใส่ก่อนบอก “ไม่ได้สนใจดู”
“เคย- กินอาหารญี่ปุ่น-ไหม” โกโบริถามอีก
“ไม่ชอบ” อังศุมาลินตอบห้วนเช่นเคย
โกโบริท้อใจ “คุณ-ไม่ชอบ-อะไรของญี่ปุ่น-ซักอย่าง-แม้แต่คนญี่ปุ่น-เช่น..ผมเอง”
อังศุมาลินอึ้ง เบนสายตาไปจ้องดอกไม้ นิ่งไป
โกโบริกลับมาสนใจดอกไม้ แล้วตกแต่งขยับนั่นนี่เล็กน้อยอย่างเบามือ “ที่ประเทศญี่ปุ่น...ผู้หญิงทุกคนต้อง-จัดดอกไม้-เป็น” แววตาเจิดจ้าสดใส ดูมีความสุขขึ้นมา “แม่ผม-จัดดอกไม้เก่ง-เสียดาย-ไม่มีลูกสาว-ที่ -จะเรียนวิชานี้” ขณะพูดหันมา ยิ้มอ่อนโยน “ผม-เคยเห็นแม่จัดบ่อยๆ-จำได้-วันนี้ลองทำดู”
อังศุมาลินใจอ่อนลง “ไม่เคยทำมาก่อนหรือ”
โกโบริส่ายหน้า “ไม่เคย..เพราะ- ที่ประเทศญี่ปุ่น จัดดอกไม้ ทำอาหาร ทำงานบ้าน—เป็นหน้าที่ของผู้หญิง ผู้หญิง ต้องทำทุกอย่าง เพื่อ-รับใช้ -ทำให้ ผู้ชาย มีความสุข” พูดแล้วไม่แน่ใจคำที่ใช้ เงยหน้ามองอีกฝ่ายเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ
“ปรนนิบัติผู้ชาย” อังศุมาลินแก้ให้
โกโบริทวนคำ “ปรน-นิ-บัติ”
อังศุมาลินเดินเข้ามา นั่งดูดอกไม้นั้น ตั้งใจสังเกตจริงๆ
“คุณไม่เคยทำ แต่ทำได้สวย..มาก”
โกโบริเริ่มมีกำลังใจ อยากอธิบาย “สูงสุด คือ-สวรรค์ แล้ว..มนุษย์ แล้ว แผ่นดิน”
อังศุมาลินมอง ท่าทีสนใจ
โกโบริบอกอีก “ถ้า..น้อยเกินไป ก็ เพิ่ม..อีกดอก…ต่ำกว่าสวรรค์ แต่สูงกว่ามนุษย์...คือ..ภูเขา”
อังศุมาลินฟังจนเพลิน เลยลืมเรื่องในใจไปชั่วขณะ “คนไทย..นิยมเอาดอกไม้มาเด็ด..แล้วร้อย เป็นมาลัย หรือไม่ก็ปักเป็นพุ่มๆ”
“คุณทำได้ไหม? ทำให้ดูบ้าง ได้ไหม” โกโบริถาม
อังศุมาลินอึ้งไปนิด “อาจจะได้...ถ้า…มีเวลา”
โกโบริดีใจมาก โค้งต่ำในท่าคุกเข่า “ขอบคุณมาก ขอบคุณๆ”
อังศุมาลินตัดสินใจจะบอกเรื่องที่มีคนจะดักทำร้ายตอนกลับ “โกโบริ...”
โกโบริมองจ้องหน้ารอฟัง “ครับ..อะไรครับ”
บังเอิญแม่อร นำหมอทาเคดะออกมาพอดี
“ยัยอัง…พาคุณหมอกับพ่อดอกมะลิไปล้างมือสิลูก..เดี๋ยวจะได้ทานข้าวกัน” แม่อรพูดจบแล้วเดินไปที่ครัวเลย
โกโบริได้ยิน หันไปมองแม่อร แล้วหันกลับมามองหน้าอังศุมาลินงงๆ
“พ่อ..ดอก..มะลิ”
อังศุมาลินเมินไปทางหมอ “คุณหมอ...คุณ…เชิญทางนี้ค่ะ” แล้วเดินทำไปทางตุ่มน้ำฝนที่ตั้งเรียงราย
ไม่นานนัก แม่อรตักข้าวใส่หม้อสำหรับตั้งโต๊ะ เป็นหม้อดิน อัศุมาลินจัดจานกระเบื้อง ช้อนส้อมอยู่มุมหนึ่งในครัว แล้วตัดสินใจ หันมา
“แม่คะ..รีบๆ ให้พวกเค้ากินแล้วรีบกลับก่อนค่ำนะคะ”
แม่อรขึ้นเสียง “อีกแล้ว..ยายอัง”
อังศุมาลินชักสีหน้า “โธ่..แม่คะ”
“มันจะอะไรกันนักหนานะ ลูก..แม่ขอกำชับไว้เลยนะ..ทำตัวดีๆ ให้สมกับเป็นเจ้าบ้านที่ดีหน่อย เขามีน้ำใจขนาดไหน ที่ดีกับคุณยายขนาดนี้ เป็นผู้ใหญ่หน่อยลูก..รู้จักแยกแยะบ้าง” แม่อรเดินยกหม้อออกไป
อังศุมาลินนิ่งไป ในสีหน้าเหมือนเริ่มเปลี่ยนความคิดเป็นประชดๆ ว่า งั้นก็ปล่อยตามกรรมละกัน
บ้านอังศุมาลินตกอยู่ ในความมืดยามค่ำคืน มีเพียงแสงตะเกียงส่องเรืองๆ
ที่วงอาหาร เห็นจานอาหารของโกโบริที่มีข้าวชุ่มน้ำแกงเผ็ด มีชิ้นปลาดุกชิ้นมะเขืออยู่ ใบหน้าโกโบริแลดูน่าสงสาร หน้าแดง ปากแดง น้ำตาคลอ น้ำมูกไหลฟืดฟาดใส่ผ้าเช็ดหน้าไปมา ซี้ดปากเบาๆ
อังศุมาลินแอบหัวเราะเยาะ แม่อรกระแอม
“อืม..แม่ว่าแม่ชิมดีแล้วนะ ว่าแกงมันไม่ได้เผ็ดขนาดนี้..ยังกับ..มีคนเติมพริกลงไปอีก”
แม่อรมองหน้าอย่างรู้ทัน อังศุมาลินเมิน กินอะไรไม่ลง
แม่อรถอนใจ “ยัยอัง เลื่อนจานไข่มาใกล้ๆ แกหน่อยลูก”
อังศุมาลินหยิบจานไข่เจียวมาวางให้โกโบริ
“อาหารไทย...เผ็ดมาก”
โกโบริกับหมอทาเคดะ ตักกินแต่ไข่กันใหญ่
“นี่แหละ ตรงกับนิสัยคนไทย..ใจร้อน เด็ดเดี่ยว ไม่ลืมอะไรง่ายๆ ใครทำอะไรพวกเราไว้ ก็ต้องระวังตัวให้ดี” อังศุมาลีพูดเน้นๆ
“คนญี่ปุ่นไม่กินเผ็ด ทำอะไรใจเย็น ช้าๆ แต่เราก็มี..สุ..สุภาษิตบทหนึ่ง บอกว่า..ความพยาบาทเป็นของหวาน” โกโบริมองมาท่าทียั่วๆ
อังศุมาลินทำหน้าเยาะๆ “ระวังไว้ด้วยก็แล้วกัน...คุณอาจจะพบคนไทยที่ถือสุภาษิตนี้เหมือนกัน ความพยาบาทเป็นของหวาน..ใช่ไหม” จากนั้นก็หัวเราะแบบสะใจแปลกๆ
แม่อรมองอย่างแปลกใจในท่าทีลูกสาว แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องชวนคุย
“เขาว่ากันว่าเมืองญี่ปุ่นสวยมาก..ใช่ไหมจ๊ะ”
“ญี่ปุ่นเป็น..หมู่เกาะ” หมอหันมาหาโกโบริ “ภาษาไทยว่าอะไรนะ”
โกโบรินึกๆ “เอ่อ..อ่า..ญี่ปุ่น..เป็น…”
อังศุมาลินแปลให้อย่างรำคาญ “หมู่เกาะ”
“ใช่แล้ว..หมู่เกาะ” โกโบริ
“ญี่ปุ่น สวยอย่าง...ธรรมชาติ” คำท้ายหมอทาเคดะพูดเป็นคำญี่ปุ่น
“เอ่อ..หมายถึง” โกโบริกำลังจะบอก
“ธรรมชาติ” อังศุมาลินสวนคำออกมา
“ต่างกับเมืองไทย..ที่สวย..สดใส น่าตื่นเต้น เหมือน..ดอกซากุระ ที่บานเต็มที่” จังหวะนั้นโกโบริหันมาสบตาอังศุมาลินจังๆ
อังศุมาลินมองตอบ ตาลุกวาว “เมืองไทยเรา ถ้าจะเปรียบเป็นดอกไม้ ก็ต้องเป็นดอกมะลิ หรือดอกบัว เราไม่เป็นดอกไม้ของชาติไหน”
โกโบริยิ้มขำๆ “เป็นความคิดที่ดีมาก”
อังศุมาลินมองอย่างหมั่นไส้ หมอทาเคดะแอบมอง แล้วขำๆ จ้องสองคนที่ปะทะคารมไปอย่างเพลิดเพลิน
“มีเพลงญี่ปุ่น เพลง-นึง พูดว่า..ซากุระ-ที่-สวยที่สุด อยู่ที่เกาะญี่ปุ่นเท่านั้น หากมีซากุระดอก-ใด-ไป-บาน-ที่อื่น ไม่ช้า ก็จะ..โรยรา” โกโบริว่า
อังศุมาลินโต้อีก “อย่างนั้น..ถ้าบังเอิญ..มีดอกซากุระดอกไหนมาหลงเบ่งบานอยู่ที่เมืองไทย ก็เชิญคุณเอากลับไปประเทศญี่ปุ่นเสียด้วย เราจะขอบคุณมาก”
โกโบริสนุกที่จะต่อปากต่อคำ “แต่จะให้ดี ควรจะมี-ดอกมะลิ-บางดอก ไปบานที่ญี่ปุ่น จะได้เป็นการ-แลกเปลี่ยน-ตอบแทน ทำให้-สัมพันธไมตรี-ของชาติทั้งสอง-แนบแน่น..ยิ่งขึ้น”
ทั้งสองมองหน้ากัน โกโบริยิ้มสดใสๆ จริงใจ
อังศุมาลินมองอย่างสมเพช หมั่นไส้ เยาะหยัน ในใจคิดว่า ระวังเงาหัวตัวให้ดีก่อนเหอะ แม่อรมองแบบเหนื่อยใจ
ติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 5