xs
xsm
sm
md
lg

คู่กรรม ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คู่กรรม ตอนที่ 2

บรรยากาศในตลาดท่าเตียนยามเช้าดูคึกคัก มีทหารญี่ปุ่นเดินแถวมาเป็นกลุ่มๆ ฟากคนไทยทั้งพ่อค้าแม่ขายรวมทั้งชาวบ้านจับกลุ่มซุบซิบกัน บ้างเห็นเป็นเรื่องตลก บ้างก็กลัว ดึงลูกหลานออกมา ห้ามไม่ให้ไปเข้าใกล้ทหาร

อย่างเช่นยายเมี้ยนที่รีบดึงแมวหลบ “แมว..อย่าให้พวกญี่ปุ่นเห็นหน้าลูกนะ”
“ทำไมล่ะจ๊ะแม่” แมวทำท่างง
“เดี๋ยวก็โดนลากไป..ทำมิดีมิร้ายเหมือนแม่ค้าอ้อยข้างธรรมศาสตร์หรอก อันตรายจะตายไปพวกนี้” ยายเมี้ยนเม้าธ์
มีทหารญี่ปุ่นเดินผ่านยายเมี้ยนกับแมวไป หันมามองทั้งคู่ แมวฉีกยิ้มให้แล้วดึงยายเมี้ยนไปหลบข้างทาง
“แต่เขาออกกฎมาแล้ว ว่าพวกเราต้องสนับสนุนพวกญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นโดนประหารชีวิตแน่”
แมวรีบเสนอหน้าเดินไปยิ้มให้ทหารญี่ปุ่น ยายเมี้ยนยิ้มแหยๆ ให้ทหารญี่ปุ่นที่เดินผ่านไป

ส่วนที่ร้านขายข้าวสาร ทหารญี่ปุ่นเข้าไปบ้างสวนออกมา มีรถเข็นบรรทุกข้าวสาร 2 - 3 กระสอบออกมา
เฮียเม้งรับเงินจากทหารญี่ปุ่นเป็นปึกๆ วิภาพูดคุยหัวเราะอยู่กับทหารญี่ปุ่น
อาโกยืนดูอาเม้งอยู่ที่ร้านกาแฟ
“อาเม้งนี่มันเซ็งลี้ฮ้อจริงๆ ดูสิ ญี่ปุ่นมันพิมพ์แบงค์เอง ถือเงินเป็นฟ่อนๆ ยังกะเงินกงเต๊ก”
ตาแกละถาม “แล้วถ้าให้แก แกเอาหรือเปล่าล่ะ”
“จะไม่ให้อาเม้งมันอู้ฟู่ยังไงไหว ข้าวสารเคยกระสอบละ12 บาท ตอนนี้มันขายตั้ง 20” อาโกว่า
“ลื้อก็เหมือนกันล่ะ โอเลี้ยงขายตั้ง 5 สตางค์ แต่ก่อนสตางค์เดียว” ตาแกละเหน็บ
“ดูแม่หม่วยวิภา ลูกสาวมันสิ พูดญี่ปุ่นจ้อเลย สมกับที่เรียนกะหมอโยชิ หมอฟันมาแต่เด็กๆ” อาโกบอก
“รุ่นนั้นเห็นเรียนภาษาญี่ปุ่นกันตั้งหลายคน ยายอังศุมาลินเด็กในคลองใกล้บ้านชั้นก็เรียนเหมือนกันนะ แต่ไม่เห็นมันจะเอามาใช้ประโยชน์อะไรเล้ย” ตาแกละบอก
อาโกสะบัดหน้า

ด้านแม่อรและอังศุมาลินช่วยกันยกเข่งคนละข้าง มีหน่อกล้วยอยู่เต็ม เดินอยู่กลางตลาด
“แพงเหมือนกันนะแม่ เราขายของหมดลำเรือ ได้เงินมา..ซื้อหน่อกล้วยหอมพวกนี้แล้ว.. เงินแทบไม่เหลือเลย” อังศุมาลินว่า
“เวลานี้ข้าวของมันกะประมาณราคาไม่ได้เลย ยัยอังเอ๊ย..ใครอยากจะตั้งราคาอะไรเท่าไหร่ก็ได้ ทุกคนก็อ้างสงครามกันหมด”
“ทีของเรา..เราขายทู้ก...ถูก กลัวคนซื้อไม่มีตังค์”
แม่อรหัวเราะ
“เดี๋ยวกลับไปหนูจะขุดหลุมเตรียมไว้เลย แล้วเย็นนี้เราค่อยเอามาลงกันนะแม่”
“จ้ะ...ไป ไปซื้อขนมไปฝากคุณยายก่อน”
อังศุมาลินกับแม่อรเดินมาเลือกขนมไทยในกระจาด เสียงจากคนในตลาดดังเฮๆ กันดังเข้ามา อังศุมาลินกับแม่อรหันไปดู
“ซุยกะ (แตงโม) ซุยกะๆ (แตงโมๆ)” โกโบริบอก
แต่ถูกแม่ค้าโวยวายใส่ “โว้ยยย บอกว่าไม่ซุย เนื้อแน่น พูดไม่รู้เรื่องหรือไง”
“เอ่อ...โซเระ วะ- นั่น- เดสก๊ะ? - อันนั้นคืออะไรครับ” โกโบริถาม
คราวนี้แม่ค้าโวยหนักกว่าเก่า “เฮ้ยยย มีขึ้นวะด้วย หนอยย.. แกว่าใครเกะกะวะ”
ไม่เท่านั้นแม่ค้าลุกขึ้นยืนเท้าสะเอว ชาวบ้านคนอื่นๆ เริ่มมามุงกันมากขึ้น
โกโบริที่กำลังก้มลงไปเจรจากับแม่ค้าที่นั่งปูเสื่อตั้งแผงขายผลไม้อยู่กับพื้นหันมาเห็น เดินเข้ามาช่วย
โกโบริพยายามถามใหม่ว่าราคาเท่าไหร่ “อัน-นี รา-คา-ทะ-อา-อุ รายคับ...อิคุระ เดสก๊ะ?”
“โอ๊ย.. หลีกไปๆๆ ไม่ขายแล้ว ลูกค้าคนอื่นหนีหมด”
แม่ค้าโบกมือไล่ โกโบริและพวกทหารญี่ปุ่นมองหน้ากัน
โกโบริหันไปหาแม่ค้าคนที่ 2 ที่ตั้งแผงอยู่ใกล้ๆ แล้วชี้ไปที่กล้วย แล้วชูนิ้วชี้ขึ้นยิ้มๆ
“ไม่ๆๆ ขายเป็นหวี ไม่ขายเป็นลูก” แม่ค้าไม่เข้าใจอีก
“คาย-เป็น-รู?”
คำพูดโกโบริ ทำเอาชาวบ้านคนอื่นๆ ขำ
โกโบริหันมาเห็นแม่อรกับอังศุมาลิน เดินปรี่เข้ามาหา หยุดโค้งคำนับให้หนึ่งที พูดอังกฤษปนญี่ปุ่น
“Can you help me, please? ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ เหมือนพวกเขาจะไม่เข้าใจ”
แม่อรถามลูกสาว “อัง.. เขาว่าไง”
อังศุมาลินแกล้งทำหน้างงๆ ไม่รู้ไม่ชี้ ขณะที่โกโบริยืนรอคำตอบ ทำหน้าอ้อนวอน ตาละห้อย
แม่อรบอกอีก “ยายอังช่วยเขาหน่อยสิ”
อังศุมาลินฮึดฮัดไม่อยากช่วย “โธ่แม่ อย่าไปยุ่งกับเขาเลยค่ะ เดี๋ยวส่งภาษาใบ้กันไปมาก็เข้าใจเอง”
อังศุมาลินทำท่าจะเดินออกไป โกโบริก้มคำนับ และพูดเสียงดังออกมาเหมือนลืมตัว
“please, help me please...นะ-คับ”
อังศุมาลินนิ่งอึ้ง ดูเหมือนจะใจอ่อนนิดๆ หันตัวไปแต่ก็รีบกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเองรีบหันกลับไม่ยอมมองอีก

โกโบริมองตามอังศุมาลินหน้าเศร้าๆ รู้สึกเสียใจที่สาวเจ้าคนไทยรังเกียจตน

ที่อู่ต่อเรือตอนสายๆ มีทหารญี่ปุ่นเดินตรวจตรากันแข็งขัน เสียงตอกเหล็ก เจียเหล็ก เชื่อมเหล็ก ดังเป็นระยะ

เคสุเกะนั่งอยู่ที่โต๊ะรับสมัครคนไทยเข้าทำงานที่มุมหนึ่งของอู่ มีชาวบ้านต่อแถวกันยาว เสียงดังเซ็งแซ่ ปลายแถว เป็นตาผลพาตาบัวรีบวิ่งเข้ามา
“ไงล่ะ ข้าบอกเอ็งแล้ว มัวแต่ชักช้า คนญี่ปุ่นเขาตรงต่อเวลา สองโมงเช้าก็คือสองโมงเช้า” ตาผลบอก
“ใครจะไปรู้วะ คนจะแห่กันมาขนาดนี้” ตาบัวบ่น
“เขาทำตามนโยบายของทั่นผู้นำกันไงล่ะโว้ย ให้เป็นมิตรกับคนญี่ปุ่น”
“จริงๆ แล้วก็อยากได้ตังค์” ตาบัวว่า
“ก็ใช่สิ ทุกวันนี้ ข้าวยากหมากแพง งานก็ไม่มีให้ทำ น้ำก็ท่วม มีแต่ทำงานกะญี่ปุ่นเท่านั้น ที่จะได้มีเงินกันข้าว แล้วจะให้ทำไงล่ะ” ตาผลบอก
ตาบัวประชด “เออ..ทำงานกะกองทัพพระจักรพรรดิ..ถ้าทำงานดีๆ อีกหน่อยก็จะได้ไต่เต้าเป็นแม่ทัพ”
คนอื่นๆ ได้ยิน หัวเราะเฮกัน
เคสุเกะลุกขึ้นมองมา แล้วเอ็ดใส่ตาผลตาบัว ด้วยภาษาญี่ปุ่น
“ตรงนั้นน่ะ เงียบๆ หน่อย”
สองเกลอสะดุ้งหวาดผวานิดหน่อย
“ไฮ้ๆๆๆ” ตาผลว่า
ตาบัวงง “ให้อะไร”
ตาผลคุยโอ่ “แกจะไปรู้อะไร ภาษาญี่ปุ่นเว้ย ไม่รู้จะพูดอะไรให้ร้องไฮ้ไว้ก่อน”
ตาบัวงงอีก “ร้องไห้”
ตาผลตบกะโหลกตาบัวไปหนึ่งที
“นั่งไง ดูสิ แค่พูดไฮ้ๆๆๆ ไอ้เตี้ยนั่นนั่งลงไปแล้ว”
ทุกคนหัวเราะฮาอีก
เคสุเกะลุกพรวดบอกด้วยภาษษญี่ปุ่น “ตรงนั้นน่ะ บอกแล้วไงว่าให้เงียบๆ หน่อย”
ตาผลกับตาบัว “ไฮ้ๆๆๆๆๆ”

ฝ่ายโกโบริถือข้าวของพะรุงพะรังอยู่ในตลาด มีทหารญี่ปุ่น 2 คนมาช่วยแบกของตัวแอ่นอยู่ด้านหลัง โกโบริกำลังควักเงินออกมาจ่ายให้แม่ค้าทีละคนสองคนอย่างทุลักทุเล
แม่ค้าคนไหนที่ได้รับเงินไปแล้วก็ดีใจจนเนื้อเต้น รีบเดินออกไปอวดคนอื่นๆ
“ขอบ-พระ-คุณ-มาก-ครับ” โกโบริบอกเป็นภาษาไทยสำเนียงญี่ปุ่น
“ของฉันก็กล้วยเครือนึง มันแกวห้ากิโล แล้วนี่ก็ฝรั่ง ฉันแถมให้ลูกนึงด้วยนะจ๊ะ ทั้งหมด “สี่-สิบ-บาท” พอดี”
แม่ค้า ชี้ไปที่ของของตนเพื่อแจกแจง แล้วก็ชูมือให้รู้ว่าทั้งหมดราคา สี่สิบบาท โกโบริทำมือตามว่าสี่สิบ แล้วหาเงินในกระเป๋าส่งให้
“สิ-ซิปปุ…ขอบ-พระ-คุณ-มาก-ครับ” โกโบริว่า
“วันหลังมาซื้อบ่อยๆ นะพ่อคุณ”
แม่ค้าคนนั้นลูบแขนโกโบริอย่างพินอบพิเทา โกโบริคิดว่านั่นคือการแสดงความรักความเอ็นดู จึงส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ
แม่ค้าอีกคน มองด้วยสายตาอิจฉา เดินมาดึงแขนเสื้อโกโบริ แล้วชี้ไปที่แตงโมของตน
“แล้วตกลงแตงโมฉันล่ะ เอาไปด้วยสิ เดี๋ยวลดให้”
โกโบริมองไปที่พืชผักผลไม้ที่ซื้อมาเต็มไปหมดแล้ว อึกอัก ทำท่าเหมือนจะปฏิเสธ
แม่ค้ารีบยัดแตงโมให้โกโบริ แล้วเอาไปให้กับทหาร 2 คน อีกคนละลูก
“สามลูก ฉันลดให้พิเศษเลยนะ ยี่สิบ”
พลางแม่ค้าชูสองนิ้วแล้วเอียงคอ เหมือนท่าสู้ตาย โกโบริยิ้มเจื่อน พยายามล้วงเอาเงินออกมาจากกระเป๋า

แม่อรกับอังศุมาลินอยู่ด้วยกันที่แผงร้านขนมใกล้ๆ ยังคงยืนมอง และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
“หนูละใจดำ เขาคงรู้แล้วล่ะว่าหนูไม่ชอบหน้าเขา”
“ดี! หนูก็อยากให้เขารู้ว่าหนูไม่ชอบ”
“พูดจาไม่น่ารักเลยนะเรา จะไปช่วยเขาหน่อยก็ไม่ได้ ดูสินี่โดนแม่ค้าพวกนั้นหลอกเอาเงินไปตั้งเท่าไหร่” แม่อรตำหนิลูกสาว
“ดีสิแม่ คนไทยจะได้กำไรเยอะๆ พวกมันทำให้เราลำบากแค่ไหนแล้วคะแม่ แล้วกองทัพญี่ปุ่นพิมพ์แบงค์ได้เอง แม่จะไปเห็นใจมันทำไม”
พูดจบอังศุมาลินก็เดินนำลิ่วออกไป แม่อรมองตามอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

ตรงมุมหนึ่งที่อู่ต่อเรือ ตาบัวกับตาผลนั่งหลับไม่รู้เรื่องพิงกันอยู่ใต้ต้นไม้
ชาวบ้านที่ต่อแถวสมัครงานหายไปหมดแล้ว คนสุดท้ายเดินผ่านมา หันมามองตาผล ตาบัว ยิ้มขำ
เคสุเกะเห็น ลุกขึ้นเดินมามองใกล้ๆ เดินเข้าไปตะโกนใกล้ๆ หูเป็นภาษาญี่ปุ่น
“ตื่น...”
ตาผลกับตาบัว ตกใจสะดุ้งตื่น รีบลุกขึ้นยืน
ตาผลกับตาบัวร้อง “ไฮ้ๆๆๆๆๆ” พร้อมกัน
เคสุเกะบอกเป็นภาษาญี่ปุ่น “ไปได้แล้ว”
“เฮ้ย!” ตาบัวไม่ยอม
“ไม่ไปๆๆ ของานทำหน่อยๆๆ” ตาผลก็ไม่ไป
เคสุเกะโมโหพูดเสียงกระโชกโฮกฮาก “ขี้เกียจอย่างนี้ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไปได้แล้ว ไปๆ ไปให้พ้น เร็ว”
ระหว่างนั้นโกโบริกลับจากตลาดเดินเข้ามา มีทหาร 3-4 คนช่วยกันแบกพืชผักผลไม้ที่ซื้อไว้ เดินตามเข้ามา
เคสุเกะและทหารที่อยู่แถวนั้นทำท่าเคารพ
โกโบริถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“สองคนนี้จะมาสมัครงานครับ แต่ดันมาหลับอยู่ตรงนี้” เคสุเกะตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น
โกโบริเดินไปรอบๆ สองเกลอ
ตาผลไม่มีท่าทางหวาดกลัว ยืนตรง เอามือแนบลำตัว ยืดอกเหมือนเป็นทหาร
ตาบัวเห็นพยายามเลียนแบบทำตาม
โกโบริถาม “เคยเป็นทหารมาก่อนเหรอ”
ตาผลร้อง “ไฮ้”
โกโบริสงสัย “พวกคุณเข้าใจภาษาญี่ปุ่นด้วย”
ตาผลเอาแต่ร้อง “ไฮ้” เป็นอยู่คำเดียว
ตาบัว “ไฮ้” ตาม
โกโบริหันไปพูดกับเคสุเกะ
“รับสองคนนี้เข้ามาทำงานด้วยแล้วกัน”
เคสุเกะรับคำ “ไฮ้”
โกโบริเดินจากไป
ตาบัวตาผลมองหน้ากัน ยักคิ้วหลิ่วตา หยอกล้อกันไปมา โค้งคำนับให้กันเหมือนล้อเลียน
“ไฮ้” / “ไฮ้”

เคสุเกะมองมา สายตาไม่ค่อยชอบจอมกะล่อนสองคนนี้เท่าไหร่

ที่ตลาดฝั่งพระนคร คนขายกำลังหยิบยาให้ลูกค้าอยู่ ขณะที่อังศุมาลินซึ่งแต่งชุดเรียบร้อย เป็นกระโปรง และเสื้อที่ค่อยข้างเก่า ปอนๆ แลดูซอมซ่อ สวมหมวกที่ไม่หรูหรา ยืนรอ คนขายๆ เสร็จ ก็หันมาหา

“อยากได้ยาแก้น้ำกัดเท้า” อังศุมาลินบอก
“โอย..ยาแก้น้ำกัดเท้าแพงนะจ๊ะ ตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมขายดิบขายดี หามาขายไม่ทัน” คนขายตอบ
“แต่นี่ก็น้ำลดแล้วนี่จ๊ะ”
“คือว่าไอ้ที่มีขายมันก็แพงหน่อยน่ะจ้ะ เพราะมันหายาก”
“ฉันรู้ ว่ามันหายาก เพราะร้านแถวฝั่งธนหาไม่ได้เลย..แล้วที่ว่าแพง..คือเท่าไหร่ล่ะจ๊ะ”
คนขายบอก “หลอดละ 80 บาท”
อังศุมาลินซีด “อะไรนะ! 80บาท”
ระหว่างนั้นวิภาเดินเข้ามา พร้อมแผ่นกระดาษจดรายการ
“เอ้านี่ ยาตามที่จดรายการมานี่...ขอให้ช่วยจัดมาให้ครบนะ”
คนขายดูแล้วคิดราคาให้ “ทั้งหมดนี้..ก็ประมาณ 500 บาทนะ”
“ได้ เอ้า เอาไปเลย” วิภาหยิบเงินเป็นฟ่อนมานับ ส่งให้
คนขายรับเงิน แล้วเดินเข้าไปหายา
วิภาหันมาเห็นอังศุมาลิน “อ้าว อังศุมาลิน มาซื้ออะไรจ๊ะ”
อังศุมาลินอึ้งๆ “อ๋อ..ก็ ซื้อเสร็จแล้วล่ะ” แล้วจะเดินออก
“อังศุมาลิน น้ำลดแล้ว จุฬาฯจะเปิดใหม่อีกแล้วนะ ชั้นจะไปเรียนนะ หยุดช่วยพ่อขายข้าวสารมาตั้งนาน ชักจะเบื่อแล้วล่ะ”
“ใช่” อังศุมาลินหันมาคุยด้วย “คณะอักษรศาสตร์ย้ายไปสอนกันที่เพชรบูรณ์ ฉันคงไม่มีปัญญาไปเรียนหรอก ต้องช่วยแม่ด้วย”
“แต่ฉันว่าจะเรียน เพราะเขาลือกันว่า แต่ละชั้นปี จะให้สอบผ่านยกชั้นให้หมด เธอเลิกเรียนไป ไม่เสียดายแย่เหรอ”
“ฉันไปก่อนนะ” อังศุมาลินหน้าซีด
วิภาเรียกไว้ “เดี๋ยว อังศุมาลิน หมอโยชิถามหาเธอ”
อังสุมาลินไม่ฟัง เดินลิ่วๆ ออกมา

ที่ถนนหน้าตลาด รถรางจอด พวกผู้โดยสารขึ้นลง อังศุมาลินรีบวิ่งมา แต่ไม่ทัน รถรางออกไปก่อน
ทำเสียงกระดิ่งเก๊งๆๆ
อังศุมาลินเซ็ง เหงื่อตก ถอดหมวกมาโบกลมคลายร้อน
จังหวะนั้นรถยนต์คันหนึ่งแล่นผ่านเลยไปนิดก็ชะลอจอด แล้วถอยมาเทียบ
ชายที่นั่งด้านหลังไขกระจกลง โผล่หน้าออกมา คือหลวงชลาสินธุราชผู้เป็นบิดาของอังศุมาลินนั่นเอง
“ยายอัง”
อังศุมาลินหันมาดู ตกใจนิดๆ ชะงัก อึ้ง ซีด แต่ก็รีบยกมือไหว้ บุคลิกท่าทีอังศุมาลินเปลี่ยนไปทันที เป็นสุภาพ เกร็ง ระวังตัว
“จะไปไหนลูก พ่อจะไปส่ง”
อังศุมาลินอึกอัก ตั้งใจจะปฏิเสธ
ภายในรถ กบกับแก้ว น้องต่างมารดา ที่แต่งตัวสวยหรูหรา 2 คน นั่งมองมาอย่างมึนตึง เชิดใส่
อังศุมาลินมองตอบ เยือกเย็น เชิดพอกัน แล้วเปลี่ยนสายตามาที่พ่อแบบห่างเหิน เย็นชา กวนๆ หน่อย “หนูจะกลับบ้านค่ะ”
“พ่อจะไปส่งที่ท่าเรือ” คุณหลวงอาสา
กบกับแก้ว แอบชักสีหน้า
“อย่าดีกว่าค่ะ หนูนั่งรถรางกลับเองได้” อังศุมาลินทำเสียงกวน
คุณหลวงเปิดประตูออกมา “มาเถอะลูก..พ่อไม่ได้พบลูกตั้งนานแล้ว อยากจะคุยด้วย” คุณหลวงคะยั้นคะยอ ขอร้อง แล้วหันไปมองลูกสาวคนที่นั่งริมหน้าต่างอีกข้าง พูดอ่อนโยน “ยายกบ ไปนั่งข้างหน้าคนนึง..ลูก”
กบหน้าตึง ทำเมินๆ แก้วกระฟัดกระเฟียดแทน ทำเสียงงุบงิบ “แก้วไปนั่งข้างหน้าอีกคนด้วยก็ได้” หันมาพยักพเยิดกะกบ
คุณหลวงจ้องหน้ากบและแก้ว ลงเสียงเข้ม เยือกเย็น และจริงจัง “พ่อให้กบไปนั่งข้างหน้า ส่วนแก้ว..กระเถิบไปหน่อย แล้วอย่าพูดมาก...พ่อไม่ชอบ”
เจอไม้แข็งทั้งสองรีบทำตามสั่งรวดเร็ว แล้วต่างนั่งกอดอกเงียบกริบ
คุณหลวงชลาสินธุราชกระเถิบเข้าไป หันมาสบตาอังศุมาลินอย่างขอร้อง
อังศุมาลินยิ้มให้ แล้วเข้าไปนั่งข้างๆ พ่อ แล้วปิดประตูรถลงเบาๆ
คุณหลวงมองหน้าคนรถ ทางกระจกมองหลัง “เอก! ไปส่งคุณอังศุมาลินที่ท่าพระจันทร์ก่อน”
กบแอบเบะปาก แก้วชำเลืองหางตามามอง

อังศุมาลินนั่งตัวตรง มองตอบสู้ตาแก้วอย่างไม่พรั่นพรึงและพร้อมเอาเรื่อง แก้วหลบตาทันที รถแล่นออกไป

คู่กรรม ตอนที่ 2 (ต่อ)

ภายในรถเวลานั้น นายเอกคนรถแอบดูในกระจก เห็นอังศุมาลินนั่งมองตรง ทำสีหน้าเฉื่อยชา ไม่ยินดียินร้าย คุณหลวงหันมามองลูกสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ อังศุมาลินหันไปเห็นสายตาพ่อ ฝืนยิ้มให้แก้เก้อ

คุณหลวงยิ้มอ่อนโยนขณะไถ่ถาม “หนูผอมไปนะลูก..ไม่สบายหรือเปล่า”
อังศุมาลินใจอ่อนไหวยวบ แต่นั่งนิ่งยิ้มเยือกเย็น เพื่อปิดบังความรู้สึก “หนูสบายดีค่ะ”
คุณหลวงชลาสินธุราชนิ่งไปนิด พูดด้วยเสียงอ่อนโยนมากขึ้น “แม่..กับคุณยาย..สบายดีหรือ”
อังศุมาลินหลบสายตาลง ทอดเสียงสงบ ท่าทีอ่อนโยนลงด้วย “ค่ะ”
ผู้เป็นบิดามองไปเบื้องหน้า เหมือนมองเห็นภาพอดีต “หนู..ลำบากไหม”
คำๆ นี้ ทำให้อังศุมาลินมีแววตากร้าวขึ้น เหมือนถูกสบประมาท “ไม่ลำบากค่ะ”
คุณหลวงบอกอย่างจริงใจ “ถ้าลำบาก..จะมาอยู่กับพ่อ…”
แต่พูดไม่ทันจบคำอังศุมาลินหันขวับ มาพูดเน้นคำ “ขอบพระคุณค่ะ...แต่ บ้านของหนูไม่มีใคร” แล้วมองตอบบิดาท่าทีแบบแข็งกร้าว
คุณหลวงชลาสินธุราชเห็นสีหน้านั้น อดรู้สึกเศร้า รู้สึกผิดและเจ็บปวดไม่ได้
คนรถที่ฟังอยู่หน้าสลดลง กบ แก้วแอบทำหน้าชิ ชะ
รถแล่นไปในถนนที่มีต้นไม้ และสองข้างทางเป็นลำคลอง บรรยากาศในรถ เงียบ ไม่เป็นมิตร ออกจะอึดอัด อังศุมาลินนั่งเงียบ ผินหน้ามองไปนอกรถตลอด
คุณหลวงแอบถอนใจ พยายามจะแก้บรรยากาศ จึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“แล้วเรื่องเรียนหนังสือ หนู...ขาดเหลืออะไรบ้างไหมลูก”
อังศุมาลินหันมายิ้มอย่างถือดีเย่อหยิ่ง “หนูมีครบทุกอย่างค่ะ”
สีหน้าคุณหลวงเศร้าลงขณะพูดประโยคต่อมา “ทำไมหนูไม่ไปหาพ่อบ้างเลย”
อังศุมาลินชะงัก มองหน้าบิดา ขยับปากจะย้อนประโยคเดียวกัน แต่แล้ว ก็เหลือบมองคนอื่นๆ แล้วหุบปาก นิ่งไป
คุณหลวงชลาสินธุราชอดไม่ได้ แตะมือที่แขนลูก “ถ้าหนูพอมีเวลา ก็ไปหาพ่อบ้างนะ”
อังศุมาลินไม่ตอบ ยิ้มเยือกเย็น หน้าเชิดท่าทีสง่า

รถแล่นเข้ามาจอดเทียบฟุตบาทตรงท่าพระจันทร์ อังศุมาลินหันมาไหว้ลาพ่อ
“หนู...”
ผู้เป็นบิดามองอย่างซึ้งใจ อดไม่ไหว โอบบ่าลูก
อังศุมาลินสะเทือนใจ พยายามฝืนพูดให้เข้มแข็ง “...หนูลาล่ะค่ะ”
“อย่าลืมนะลูก..ไปหาพ่อบ้าง บอกแม่...กับคุณยายด้วย ว่าพ่อคิดถึง ว่างๆ พ่อจะไปกราบเท้าคุณยายท่าน”
อังศุมาลินสบตาพ่อ เหมือนจะร้องไห้ แต่พยายามกัดฟัน ข่มใจ คิดตลอดว่าสิ่งที่พ่อพูดไม่มีวันเกิดขึ้นหรอก แล้วรีบเปิดประตูรถ ก้าวลงมา แล้วหันไปปิดอย่างระวังเบาๆ
“ข้ามรถข้ามเรือ..ระวังๆ ตัวนะลูก”
อังศุมาลินเงยมองหน้าพ่ออีกครั้ง พยายามยิ้มเข้มแข็ง แล้วรีบหันกลับ เดินจากมาแบบไม่เหลียวหลังกลับลำตัวตรงคอตั้ง เย่อหยิ่ง
ทว่าใบหน้าอังศุมาลินยามนี้ มีน้ำตาคลอจนเต็มตา อังศุมาลินรีบก้าวเร็วๆ โดยวางท่าสง่า คุณหลวงมองส่งลูกสาวจนลับตา

กลับถึงบ้าน หลังมองจ้องเสื้อนิสิตที่ติดตุ้งติ้งปกเสื้อ เข็มหน้าอก และใส่กระดุมจุฬาฯ ที่แขวนเตรียมไว้ที่มุมหนึ่ง สีหน้าอังศุมาลินครุ่นคิดตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
อังศุมาลินปลดตุ้งติ้ง วางลงในกล่องเล็ก ปลดเข็มอก วางลง จากนั้นปลดกระดุมทีละเม็ดๆ วางลงในกล่องเล็ก ปิดผากล่อง สุดท้ายเด็กสาวม้วนเข็มขัดจุฬาสีน้ำตาล วางลงเคียงกับกล่องเล็กในกล่องใหญ่
อังศุมาลิน ยกมือไหว้ แล้วปิดกล่องใหญ่ อังศุมาลินวางกล่องนั้น ในลิ้นชักเดียวกับที่ไว้อัลบั้มรูป แล้วปิดลิ้นชัก
สีหน้าอังศุมาลินเด็ดเดี่ยวเหมือนตัดใจแล้ว ขณะล็อกกุญแจ

ส่วนตำราต่างๆ ที่วางเรียงซ้อนอยู่บนโต๊ะทำการบ้าน อังศุมาลินเข้ามาเก็บตำราทั้งหมด แล้วเอาไปวางเรียงบนชั้นปนไปกับหนังสืออื่นๆ

ที่อู่ต่อเรือ ตรงหน้าหน่วยพลาธิการทหารตอนสาย มีโต๊ะไม้ยาวตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคลอง บนโต๊ะเป็นพืชผักผลไม้ที่โกโบริซื้อมา วางกองพะเนินอยู่

ตาผลกับตาบัวกำลังสอนให้ทหารรู้จักพืชผักผลไม้ไทย โกโบรินั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวด้านหลัง มีเคสุเกะยืนอยู่ใกล้ๆ ทหารคนอื่นๆ นั่งอยู่กับพื้นบ้าง บนโขดหินบ้าง ตามถนัด ทั้งหมดกำลังฟังตาผลกะตาบัวอย่างตั้งใจ
“ต่อไป.. อันนี้ภาษาไทยเรียกว่า...แตงโม”
พวกทหารร้องขึ้น “ซุยกะ (แตงโม).. ตาเอ็งโมะๆ”
พวกทหารพยายามฝึกพูดภาษาไทยอย่างสนุกสนาน ตาบัวเดินยกแตงโมผ่าซีกเดินโชว์ไปรอบๆ
“แตงโม อ่านออกเสียงยาวๆ แตงโม... แตงโม อร่อย กินได้”
พวกทหารรับพร้อมกัน “โออิชิ กินด้าย”
“ใช่ๆ กินได้ กินแบบนี้”
ว่าแล้วตาบัวก็กัดแตงโมคำใหญ่ แสดงสีหน้าชื่นใจ
“มาๆๆ เดี๋ยวข้ากินให้ดูบ้าง”
ตาผลแย่งแตงโมมาจากตาบัว ทำตลกแดก สาธิตวิธีกินแตงโม แล้วก็ผ่าแตงโมแจกจ่ายไปให้ทหาร ทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
“ต่อไปๆ แตงกวา” ตาผลบอก
ตาบัวหยิบแตงกวาออกมา เดินโชว์ไปรอบๆ แล้วส่งให้โกโบริกับเคสุเกะคนละลูก
“คิวอูริ (แตงกวา)...แตงกัววว” โกโบริว่า
“ไม่ใช่แตงกัว ไม่ต้องกลัวสิ กลัวคือแบบนี้”
ตาผลทำท่ากลัวลนลานให้ดู
“ไม่ต้องกลัว กินเลย กินได้” ตาบัวบอก
โกโบริทวนคำ “ไม่ต้องกลัว”
โกโบริกับเคสุเกะกัดแตงกวาคนล่ะคำ เคี้ยวกร้วมๆ กรอบๆ เอร็ดอร่อย
โกโบริกะเคสุเกะพูดพร้อมกัน “ไม่ต้องกลัว”
“โซเระวะ” เคสุเกะหมายถึง...แล้วนั่น “อะไรนะ”
เคสุเกะชี้ไปที่ขนุนผ่าซีก ตาผลกะตาบัวมองตาม
“อ๋อ ขนุน” ตาผลบอก
โกโบริถาม “อร่อยไหม กินได้ไหม กินอีกไหม”
ตาบัวชมใหญ่ “โอ้.. เก่งๆๆๆๆ แต่ขนุนนี่คนไทยเขาไม่กินเนื้อหรอก เนื้อเหลืองๆ แบบนี้เขาไม่กิน”
ตาบัวฉีกเนื้อขนุนขึ้นมาเอาใส่ปาก แกล้งทำท่าไม่อร่อย
“แหวะ ไม่อร่อยๆ กินไม่ได้ เขาต้องกินเม็ดมัน เอ้า..ลองดู”
ตาบัวส่งเม็ดขนุนให้โกโบริกับเคสุเกะ พยายามกลั้นหัวเราะ ตาผลแอบขำคิก
โกโบริกับเคสุเกะลองกัดดู แล้วรีบบ้วนทิ้งทันที เพราะทั้งฝาดแล้วแข็ง
“อร่อยไหม กินได้ไหม กินอีกไหม อิ่มหรือยัง”
ตาผลร้องออกมาเป็นจังหวะ ตาบัวขำกลิ้ง
“เอาล่ะ งั้นวันนี้พอแค่นี้ ไหนลองทบทวนดู ทุกคนว่าตามที่ละอย่าง”
ตาผลกับตาบัวชี้สิ่งของไล่ไปทีละอย่าง พยายามทำท่าประกอบ โกโบริพยายามพูดตาม เคสุเกะและทหารคนอื่นๆ ก็ลองพูดด้วย
ตาผลบอก “เอ้า.. อันนี้คนไทย อันนี้คนญี่ปุ่น”
ตาบัวเสริม “คนไทยเรียกยุ่น”
“นี่! อย่าทำให้เสียเรื่องได้ไหม เอ้า.. นี่โต๊ะ นี่เก้าอี้ นี่ผักชี นี่กล้วยไข่” ตาผลบอก

“อันนี้นั่ง อันนี้ยืน อันนี้หัวเราะ ส่วนอันนี้อ่ะ.. ร้องไห้” ตาบัวว่าท่าทีน่าขัน

ตาผลกับตาบัวเริ่มคึก เดินหาของสำรวจไปเรื่อยๆ สายตาลอกแลก

“อันนี้ข้าวสาร อันนี้โกดัง อันนี้ถัง เอ๊ะในถังมันมีอะไร”
ตาผลตาเป็นประกาย
“เออ..มีอะไร” ตาบัวสงสัย
“นั่นสิ..มีอะไร”
ตาผลกับตาบัวเข้าไปทำจมูกฟุดฟิดอยู่ใกล้ๆ ทั้งคู่มองหน้ากันเหมือนคิดแผนการชั่วอะไรได้
“น้ำมัน” โกโบริเอ่ยขึ้น
สองเกลอชะงักไปแป๊ปนึง
โกโบริถาม “ใช่ไหม”
ตาผลกะตาบัวประสานเสียง ทำตลกกลบเกลื่อน “อ๊ะ ใช่ ไฮ้ๆๆๆ”


กลางดึก พระจันทร์ลอยเคลื่อนผ่านต้นหมากต้นมะพร้าวในสวน ท้องฟ้าเมฆครึ้ม
ที่บริเวณคลองข้างอู่ต่อเรือเงียบสงัด เห็นตาผลสวมชุดดำ มีผ้าข้าวม้าคลุมหัวค่อยๆ หย่อนตัวลงจากเรือพายที่จอดไว้ไม่ห่างจากอู่ต่อเรือมากนัก ตาบัวยังคงชะเง้อดูลาดเลาให้อยู่บนเรือ
ตาบัวเห็นภายในอู่ต่อเรือเงียบสงัด ทหารเวรที่เดินยามอยู่ก็เพิ่งผ่านลับสายตาไป
“อ้าว..ลงมาได้แล้ว จะนั่งตาก-ลมอยู่ทำไม” ตาผลเรียก
“น้ำเย็นไหมอ่า...ฉันกลัวไม่สบาย” ตาบัวบ่น
“โอ๊ยย...แล้วไม่กลัวอดตายหรือไง ลงมา” ตาผลด่า
ตาบัวค่อยๆ หย่อนเท้าลงไปในน้ำ พอรู้สึกว่าหนาวก็รีบชักเท้ากลับทันที
“รีบๆ ลงมาสิ เร็วๆ ลงมาแล้วเดี๋ยวก็ชินไปเองแหละ”
ตาบัวลังเลๆ จนตัดสินใจได้ กลั้นใจกระโดดลงน้ำเสียงดังตูม ตาผลโผเข้าไปตบกะโหลกหนึ่งที
“เสียงดัง! อยากให้พวกมันตื่นหรือไง”
จากนั้นตาผลค่อยๆ แหวกว่ายไปในน้ำอย่างช้าๆ ตาผลขึ้นไปบนฝั่งก่อน ตาบัวว่ายตามมาติดๆ เมื่อถึงฝั่งก็ส่งมือให้ ตาผลยื่นมือออกไป ตาบัวดึงตาผลร่วงลงมา ตกน้ำเสียงดังตูม
“เบาๆ สิ อยากให้พวกมันตื่นหรือไง” ตาบัวล้อเลียนผสมแดกดัน

ท่ามกลางความเงียบกลางดึกที่โกดังเก็บน้ำมัน ตาบัวกับตาผลกำลังช่วยกันล้มถังน้ำมัน และค่อยๆ กลิ้งลงมาในคลอง
ตาผลคุยโอ่ “เป็นไงแผนข้า ฉลาดไหม? ข้ารู้ไงว่าน้ำมันมันเบากว่าน้ำ ทำแบบนี้เราจะได้ไม่ต้องเปลืองแรง”
“นี่...แต่ตอนนี้ช่วยเปลืองแรงหน่อยได้ไหม ปล่อยให้ข้าเข็นอยู่คนเดียวเลย” ตาบัวบอกฉุนๆ
ที่ริมตลิ่ง ตาบัวกับตาผลออกแรงกลิ้งถังน้ำมันลงน้ำได้เป็นถังที่สาม
“หนึ่ง...สอง...สาม...พอหรือยัง” ตาบัวถาม
“หนึ่ง...สอง.. สาม...ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาอีกสักถังจะเป็นไร สามถังมันหารไม่ลงตัว” ตาผลโลภ
ตาบัวท้วง “ไว้คราวหน้าเหอะ หายไปคราวละมากๆ เดี๋ยวพวกมันจะรู้ตัวซะก่อน”

ตาผลอวดเก่ง “เอาน่าเชื่อข้า ถังสุดท้ายแล้ว...ตามมา”

คู่กรรม ตอนที่ 2 (ต่อ)

จากนั้นสองเกลอ ค่อยๆ ย่องไปที่โกดังอีกครั้ง แล้วช่วยกันล้มถังน้ำมันใบที่สี่ลง เข็นไปช้าๆ

ทันใดนั้นเคสุเกะก็เดินสะลึมสะลือออกมาจากห้องพัก ตาบัวกับตาผลตกใจ หยุดกึก ทำตัวต่ำ หมอบราบกับพื้น
ทั้งคู่เอาผ้าขาวม้ามาคลุมหน้าตาให้มิดชิดกว่าเดิม แล้วค่อยๆ กลิ้งถังไปอย่างเงียบเบาและช้าที่สุด
เคสุเกะเดินอ้อมไปอีกทาง เดินข้างต้นไม้ใหญ่ข้างคลอง เพื่อไปฉี่ ตาบัวกับตาผลหลบอยู่หลังเสา รอ และลุ้น
ขณะนั้นเองผ้าขาวม้าที่คลุมหน้าตาบัว ตกลงมาปิดตาทำให้มองไม่เห็น ตาบัวปล่อยมือจากถังน้ำมันเพื่อไปจัดการกับผ้าให้เรียบร้อย
แต่ตอนที่ตาบัวปล่อยมือจากถัง ถังน้ำมันก็กลิ้งลงเนินไปทันที ตาผลก็ไม่สามารถจับไว้ทัน
ถังน้ำมันกลิ้งลงเนินหลุนๆ
“แย่แล้ว..” ตาผลตะโกน “ไอ้บัว! หนีเร็ว”
เคสุเกะที่กำลังยืนฉี่อยู่หายจากการสะลึมสะลือ มองเห็นเหตุการณ์ตาเบิกโพลง
“เฮ้ย! จะมาตะโกนเรียกชื่อกูทำไมวะ เขาก็รู้กันหมดสิ” ตาบัวตะโกนบ้าง...เอาคืน “ไอ้ผลๆๆๆๆ”
ตูม เสียงถังน้ำมันตกลงไปในคลองอย่างแรง
“ช่วยด้วย มีคนมาขโมยน้ำมัน” เคสุเกะร้องเป็นภาษาญี่ปุ่น
ทันใดนั้นก็มีเสียงหวูดเรือดังกังวานขึ้น ไฟฉายหลายดวงส่องสว่างจ้ากวาดไปทั่วบริเวณ เสียงบงการเป็นภาษาญี่ปุ่นดังไปทั่ว
ตาผลกับตาบัวมองหน้ากัน ช็อก!

บริเวณบ้านอังศุมาลินยามเช้าวันนี้ พระอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้าดีนัก ที่ท่าน้ำ หลวงพ่อพายเรือมาบิณฑบาต ทั้งสามคนใส่บาตรเสร็จ ยกมือพนมขึ้นท่วมหัว หลังหลวงพ่อให้พรเสร็จ
อังศุมาลินประคองยายศรลุกขึ้นใส่รองเท้า
จู่ๆ มีเสียงยายเมี้ยนร้องลั่นดังเข้ามา “เจ้าข้าเอ๊ยยๆๆ แย่แล้วๆๆๆ”
แม่อร ยายศร และอังศุมาลินตกใจ
“ยายเมี้ยน อะไรกันอีกล่ะ” แม่อรร้องถาม
ยายเมี้ยนวิ่งหอบแฮกๆ มาตรงท่าน้ำ แล้วชะโงกหน้ามาบอกข่าวด้วยความเหนื่อยอ่อน
“เร็วเข้าแม่อร.. ตะ.. ตาบัว ตาผล จะ...จะโดนพวกญี่ปุ่นฆ่าแล้ว”
แม่อรร้อง “หา”
ยายศรเอามือทาบหน้าอก เพื่อระงับอาการตกใจไว้ บอกข่าวเสร็จยายเมี้ยนออกวิ่งไป ตะโกนบอกชาวบ้านต่อๆ ไปเหมือนคนบ้า
“เมื่อคืนที่อู่คงเกิดเรื่องอะไรขึ้น” แม่อรว่า
“ใช่.. ได้ยินเสียงหวูดดังลั่น น่ากลัวเชียว” ยายเห็นตามกัน
สีหน้าอังศุมาลิน วิตก หวั่นใจ


เวลาต่อมาที่ลานกว้างหลังอู่ต่อเรือ บรรยากาศอึมครึม มาคุ ชาวบ้านที่เป็นคนงานถูกเกณฑ์ให้มาเป็นพยาน รวมถึง กำนันนุ่ม และชาวบ้านคนอื่นๆ ที่มาดูเพราะความอยากรู้อยากเห็น สีหน้าทุกคนดูหวาดกลัว สับสน พลางซุบซิบคาดเดากัน ประมาณเกิดอะไรขึ้น ตาบัวตาผลทำอะไร ขโมยแน่ๆ มันเอาตายแน่ ไม่หรอก ต่างๆ นานาๆ ฯลฯ
ที่ตรงกลางลานยังมีถังน้ำมันสี่ถังตั้งอยู่เป็นของกลาง มีเชือกขึงกั้นเขตต้องห้ามไว้
บานประตูที่ติดกับออฟฟิศทำงานเปิดออกกว้าง ทหารญี่ปุ่นในชุดพร้อมรบหลายคนเดินแถวออกมาคุมเชิงรอบลานกว้างท่าทีจริงจัง
เคสุเกะหิ้วกระป๋องน้ำมันออกมา พร้อมกับทหารอีกคนถือแท่งเหล็กแหลมยาวชนิดใช้ตอกผูกเต็นท์มาหลายอัน พร้อมด้วยขดเชือก
ตาผลตาบัวโดนคุมตัวออกมา แต่งตัวมอมแมม ใบหน้าดูขาวซีด พยายามเหลือบเหลียวมองอย่างอ้อนวอนไปรอบๆ
ยายเมี้ยนเอ่ยขึ้น “ดูสิๆ หน้าตาบัวตาผลอย่างกับผีแหนะ”
แมวสยองแทน “ตาบัวตาผลตายแน่”
“ช่วยด้วย ไอ้แกละ ช่วยด้วย” ตาบัวร้อง
ตาแกละหงุดหงิดที่ตาบัวจะทำให้ตนซวยไปด้วย “ช่วยยังไงวะ ฮึ้ย..เอ็งเป็นใคร ข้าไม่รู้จัก”
“อ้าว” ตาผลอึ้ง หันไปเห็นกำนันนุ่มก็ร้องให้ช่วยอีก “กำนันๆ ช่วยด้วย กำนันจะยอมให้พวกชาติข้าศึกมันมาฆ่าคนไทยต่อหน้ากำนันลงคอเหรอ”
ตาบัวร้องผสมโรง “คนไทยต้องช่วยกันสิ ถ้าไม่ช่วยคนไทย ก็แปลว่าไม่รักชาตินะ กำนัน”
เห็นชัดว่ากำนันเครียด จ้องหน้าตอบแบบดุๆ ตาผลหลบ

โกโบริเดินออกมาจากห้องเป็นคนสุดท้าย ใบหน้าเคร่งขรึม ไม่ยิ้มเลย

ระหว่างนั้นอังศุมาลินวิ่งแทรกฝูงชนเข้ามา แม่อรวิ่งตามมาติดๆ โกโบริหันไปเห็นสองคน สบตากัน แววตาอังศุมาลินเขม้นมองอย่างเกลียดขี้หน้า

โกโบริขบกรามเครียดเคร่ง ขมวดคิ้วดุมากขึ้น เมินจากอังศุมาลิน แล้วเดินมายืนกอดอกดูตาบัวตาผลอยู่ที่กลางลาน

ที่กลางลาน เคสุเกะกับทหารอีกคนช่วยกันตอกเหล็กยาวลงบนพื้นดิน แล้วฉุดกระชากให้เชลยนอนหงาย มัดมือมัดเท้าให้ตรึงติดกับพื้นดินอย่างแน่นหนา
ตาบัวตาผลร้องเอะอะโวยวายอย่างตื่นกลัว โกโบริยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
ตาผลร้องขอชีวิต “อย่าทำอะไรฉันเลยนะ พ่อคุณ ฉันไหว้ล่ะ”
ตาบัวเอาด้วย “ฉันผิดไปแล้ว ยกโทษให้ฉันเถอะ”
เคสุเกะมัดเสร็จ พูดกับตาบัวตาผลด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่ต้องกลัวๆ”
หลังมัดมือมัดเท้าสองเกลอเสร็จแล้ว เคสุเกะและทหารอีกคนเดินมาโค้งคำนับโกโบริเป็นสัญญาณให้รู้ว่าทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว ก่อนที่จะถอยออกไปยืนคอยอีกด้านหนึ่ง
โกโบริหมุนกลับมายืนตัวตรงประจันหน้ากับอังศุมาลินเหมือนจงใจ ก่อนจะประกาศก้อง
“เราทหารญี่ปุ่น ในนามของกองทัพเรือแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น และคนไทยสองคนนี้...”
ยายเมี้ยนพูดแทรกขึ้น “ไอ้บัวไอ้ผลมันสอนภาษาไทยให้เขามาพูดประกาศความผิดของตัวเองแท้ๆ”
ตาแกละด่า “ยายเมี้ยนเบาๆ สิ เดี๋ยวก็โดนจับไปอีกคนหรอก”
ยายเมี้ยนรีบหุบปาก
โกโบริประกาศต่อ “ชายสองคนนี้ ได้เข้ามารับราชการอยู่ในกองทัพของพระจักรพรรดิ จึงเสมือนว่าเป็นคนอยู่ในบังคับบัญชาของกองทัพญี่ปุ่นด้วย คนทั้งสองได้ทำความผิดอย่างร้ายแรง โดยลักลอบขโมยน้ำมัน ขโมยน้ำมัน ซึ่งถือเป็นยุทธปัจจัยสำคัญในภาวะสงคราม”
ชาวบ้านได้ยินว่าขโมยน้ำมันก็พากันซุบซิบกันเสียงดังเซ็งแซ่
“การกระทำเช่นนี้ต้องลงโทษให้หลาบจำ และถ้าต่อไปยังกระทำความผิดเช่นนี้อีกต่อไป จะต้องได้รับโทษมากขึ้นเป็นทวีคูณ จึงขอให้พี่น้องคนไทยซึ่งมีสัมพันธไมตรีอยู่กับญี่ปุ่นอย่างแน่นแฟ้น”
ท้ายประโยคหลังโกโบริหันมามองอังศุมาลินอย่างจงใจ
“ให้ดูไว้เป็นเยี่ยงอย่าง จะได้ไม่ประพฤติตัวเช่นนี้อีก”
แม่อรถาม “เขาว่าอะไรเหรอแม่อัง”
“เขาบอกว่า คนที่ทำงานกับญี่ปุ่น ถือว่าเป็นคนของญี่ปุ่น เมื่อทำความผิด เขาก็ต้องทำโทษตามกฎ...กฎของคนญี่ปุ่น” อังศิมาลินบอกตอนท้ายเน้นคำอย่างแค้นๆ
โกโบริก้มหัวนิดๆ แล้วถอยห่างออกไป
เคสุเกะและทหารสามคนหิ้วถังน้ำมันเดินตรงไปหาเชลย
“มันจะทำอะไรพวกเราน่ะ” ตาบัวสงสัย
“มันคงจะเอาน้ำมันราด แล้วจุดไฟเผาเราทั้งเป็น” ตาผลว่า
“ไม่ๆ ไม่จริงใช่ไหม ตาผลแกร้องไฮ้สิ ไฮ้ๆ” ตาบัวบอกเกลอ
“ก็ร้องไห้อยู่นี้ไง ไม่เอานะไม่เอา ฉันยังไม่อยากตะ...”
ตาผลพูดยังไม่ทันจบประโยค เคสุเกะก็เอามือมาบีบปากตาผลไว้ ให้ทหารอีกคนเทน้ำมันกรอกลงไป
สองเกลอสำลักพรวด ดิ้นพราด แต่ทหารยังคงบีบปากกรอกน้ำมันต่อไปอย่างใจเย็น
ผู้หญิงหลายคนที่มาดู ต่างเบือนหน้าหนี ยายเมี้ยนปิดตาแต่แอบดูระหว่างซอกนิ้ว
กำนันนุ่มหน้าเครียด พวกผู้ชายบ้างพึมพำ บ้างฮึดฮัดแต่จะไปช่วยก็ไม่กล้า เพราะมีทหารถืออาวุธยืนคุมเชิงอยู่
ตาบัวกับตาผลดิ้นกระแด่วๆ เหมือนกำลังจะตาย
อังศุมาลินมอง หน้าซีดขาวราวกระดาษ ทั้งตกใจ สยอง แค้นจนลืมตัว ก้าวลุยไปข้างหน้า แม่อรดึงกลับมาแล้วบีบแขนไว้
“อย่านะลูก อย่าออกไป”
อังศุมาลินขืนตัวและสะบัดจนแขนหลุด ลอดเชือกวิ่งเข้าไปที่เคสุเกะและทหารที่กรอกน้ำมันอยู่ อังศุมาลินตะโกนขึ้นสุดเสียง
“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้”
ทหารตกใจ หันปืนเข้าหา
โกโบริหันไปมอง อังศุมาลินจ้องตากลับ อย่างเคียดแค้นชิงชัง
ทหารที่ยืนคุมเชิงอยู่จะปรี่เข้ามา โกโบริยกมือห้ามไว้ ทหารถอยไป
ทั้งคู่สบตากันอย่างเยือกเย็น สายตาโกโบริยังคงมองนิ่งอย่างสงบ
“กำลังทำอะไร พวกคุณกำลังทำอะไรอยู่” อังศุมาลินจ้องตาโกโบริถามเสียงแข็ง
“คนไทยสองคนนั่น...”
โกโบริพูดไม่ทันจบอังศุมาลินก็สวนขึ้นอีก “เป็นคนไทย แผ่นดินนี้เป็นของคนไทย ถึงสองคนนั่นจะรับจ้างทำงานในสังกัดของญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องตกอยู่ในบังคับญี่ปุ่นไปด้วย ถึงหากเขาทำผิด ก็ต้องให้คนไทยด้วยกันลงโทษ กองทัพญี่ปุ่นจะทำตามใจชอบไม่ได้!”
พวกที่กำลังกรอกน้ำมัน พลอยหยุด หันมาสนใจฟัง

แม่อร กำนันนุ่ม ยายเมี้ยน ทุกคนช็อก ต่างนึกกลัวแทนอังศุมาลิน

ที่ลานกว้างหลังอู่ต่อเรือบรรยากาศตึงเครียดไปทั่วบริเวณ ดวงตาโกโบริอึ้ง ทึ่ง ตะลึง กับท่าทีเด็ดเดี่ยวของอังศุมาลิน ขณะที่ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ ผวา กลัว บางคนเกือบลืมหายใจ

โกโบริเดินเข้าไปหาอังศุมาลินช้าๆ
“กรุณา...พูดช้าๆ หน่อย...แต่ทางที่ดี...อย่า-พูด-ดี-กว่า” โกโบริมองสบตา พูดเน้นๆ เพราะที่จริงไม่อยากให้อังศุมาลินมาโดนข้อหาใดๆไปด้วย
อังศุมาลินมองหน้า พูดช้าชัด และเด็ดขาด “กองทัพญี่ปุ่นไม่มีสิทธิ์มาทำอะไรกับคนไทยแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นจะทำตามใจชอบไม่ได้”
อังศุมาลินจ้องหน้าท้าทายจริงจัง
แม่อรลมจะใส่ รีบแหวกฝูงคนและทหารออกไปหาลูก ยายเมี้ยนกับกำนันนุ่มพยายามจะรั้งตัวแม่อรไว้ แต่ก็ห้ามไม่ทัน
“ยายอังออกมา กลับมาเถอะ ถือว่าเห็นแก่แม่ เห็นแก่คุณยายนะ”
อังศุมาลินกับโกโบริยังคงจ้องตากันอยู่อย่างไม่กระพริบ
โกโบริเลี่ยงหลบตา หันไปมองเคสุเกะกับทหารที่กำลังชะงักอยู่ แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ดุดัน
“ใครสั่งให้หยุด”
พวกกรอกน้ำมันรีบกรอกต่อ
อังศุมาลินสวนคำแรงขึ้น “พวกคุณไม่มีสิทธิ์”
พวกกรอกน้ำมันหยุด
โกโบริแรงตอบ “ที่นี่ ผมมีสิทธิ์”
พวกกรอกน้ำมันรีบกรอกต่อ
โกโบริพูดต่อ เน้นคำช้าชัด “คำสั่ง-ต้องเป็น-คำสั่ง กฎ-ต้องเป็น-กฎ สองคนนี้-เป็น-ขโมย โทษที่เขาได้รับเป็นโทษที่ เหมาะสมแก่ผู้ที่กระทำเช่นนี้แล้ว สองคนนั้น-เป็น-คนไทย ไม่ควร-ทำตัว-ให้เสื่อมเสีย-ต่อคนไทย เราเคารพคนไทย แต่มีคนไทยบางคนไม่เคารพคำมั่นของตัวเอง ในยาม สงคราม ยุทธปัจจัยคือสิ่งสำคัญของกองทัพ ผู้ที่ขโมยไปจึงมีโทษเทียบเท่าการ ก่อวินาศกรรม ถือเป็นผู้ต่อต้าน”
อังศุมาลินยอกย้อน “ผู้ต่อต้าน..ต่อต้านหรือ พวกคุณรุกรานแผ่นดินไทย ทำกับคนไทยแบบนี้ จะไม่ให้เราต่อต้านหรือ”
ฟากตาบัวกับตาผล สำลักน้ำมันกล้ำกลืนใกล้จะแย่แล้ว
โกโบริชี้ไปทางสองเกลอ “เขาจะ-ไม่เป็น-อย่างนี้ ถ้าเขา-ไม่ขโมย คุณช่วย-อะไรเขา-ไม่ได้หรอก คำพูดของคุณ ยิ่งจะนำภัยมาหาตัวคุณและครอบครัว” โกโบริหวังดี พยายามส่งสายตาว่าให้หยุดเสีย
โดยโกโบริเบนสายตาไปยังแม่อร แล้วหันมาสบตาอังศุมาลิน
โกโบริสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “กลับไป!”
โกโบริหันหลังให้อังศุมาลินทันที ยืนนิ่งดูการทำโทษต่อไป
แม่อรผวา ใจสั่น ทุกคนผวากันเป็นแถบ
“พวกบ้าสงคราม..ไม่มีจิตใจ ไร้มนุษยธรรม”
อังศุมาลินด่าทออย่างเดือดดาล นาทีนั้นแสนขุ่นเคืองและสุดแค้น
โกโบริสะดุดกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ยืนนิ่ง แสร้งไม่สนใจ เคสะเกะมองหน้าโกโบริ แล้วปฏิบัติการกรอกน้ำมันต่อ
แม่อรได้โอกาสวิ่งเข้ามาคว้าแขนอังศุมาลินที่ยืนแค้นขึ้งอยู่ตรงนั้น
“อังศุมาลิน กลับบ้านเดี๋ยวนื้ เราไม่มีอำนาจอะไรจะไปห้ามเขาได้หรอกลูก”
ชาวบ้านได้ยินอย่างนั้นก็ช่วยกันสนับสนุนแม่อร
“แม่อังกลับไปก่อนดีกว่านะ เชื่อแม่เขา” กำนันนุ่มช่วยพูด
อังศุมาลินหันกลับไปมองโกโบริอย่างแค้นอาฆาต แม่อรรีบฉุดรั้งแรงขึ้น อังศุมาลินจึงยอมตามไป

โกโบริแอบหันมามองอังศุมาลินด้วยหางตา ด้วยความรู้สึกโล่งอก

เวลาต่อมา แม่อรวาดหัวเรือให้เข้าเทียบท่าหน้าบ้าน อังศุมาลินหันไปจับบันได ใช้เชือกคล้องกับเสาไว้ ก่อนจะก้าวขึ้นเดินฉับๆ บรรยากาศตึงเครียด
แม่อรดุเสียงเข้ม ไม่พอใจมาก “จะทำอะไรคราวหน้าคราวหลังก็คิดให้มันรอบคอบซะก่อน แล้วถ้าเขาเอาเรื่องเราขึ้นมาจะทำยังไงกัน ขึ้นชื่อว่าขโมยแล้ว จะไปขโมยของใครมันก็ผิดทั้งนั้นแหละ สองคนนั่นก็เหลือเกิน เห็นแก่เล็กแก่น้อย”
อังศุมาลินท้วงอีก “แต่หนูว่าการกระทำแบบนั้นมันป่าเถื่อน” แล้วรีบขึ้นท่าไป
แม่อรมองตาม ถอนใจระอาเหลือ

อังศุมาลินกำลังเดินขึ้นเรือนมาอย่างหัวเสีย ยายศรพยายามลุกขึ้นมา ท่าทีร้อนใจ ทั้งๆ ที่สังขารไม่อำนวยเท่าไหร่
“ตาบัวตาผลเป็นไงบ้างแม่อังลูก เขาเอาตายหรือเปล่า”
อังศุมาลินยังโกรธคุกรุ่นในใจ คิดเอายายเป็นพวก
“ไม่ตายก็คงเกือบตายแหละค่ะยาย หนูกลับมาก่อน ทนดูไม่ได้ พวกนั้นจับให้กลืนน้ำมันทั้งถังนั่นลงไป.. แล้วถ้าเกิดมันบ้าจุดไฟขึ้นมา ..ป่าเถื่อน”
แม่อรเดินขึ้นเรือนมา ได้ยินพอดี
“แม่ก็บอกแล้วว่าอย่าไปดู” แม่อรถอนใจยาว “ลืมๆ มันไปเถอะลูก”
อังศุมาลินหันขวับเถียงคอเป็นเอ็น “หนูคงลืมไม่ได้หรอกค่ะแม่ โดยเฉพาะอีตานั่น หนูเกลียดมัน หนูอยากให้มันไปโดนยิงตายไวๆ หนูจะสาปแช่งมันทุกวันเลย”
ท่าทีหลานสาวทำเอายายศรตกใจ ตบ-อก “ยายอัง ทำไมพูดแบบนี้ การผูกเวรมันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ เขามีเวรมีกรรมต่อกันก็ให้เขาใช้กันไป เราเป็นคนนอก จะไปจองเวรจองกรรมเขาทำไม”
นึกว่าจะได้พวก แต่ถูกยายด่า อังศุมาลินเซ็ง
แม่อรพยายามเอายายเป็นพวกบ้าง “พ่อหัวหน้าทหารคนนั้น หน้าตาแกยังอ่อนๆ อยู่เลยนะคะ แม่ ลูกใครหลานใครก็ไม่รู้ อายุเท่านี้ต้องมาเป็นทหาร พลัดบ้านพลัดเมืองมา จะตายจะเป็นญาติพี่น้องพ่อแม่ก็คงไม่รู้เรื่อง”
อังศุมาลินไม่ยอมแพ้ “เขาถือว่าเป็นพวกชนะสงคราม จะทำยังไงกับเราก็ได้ พวกนี้ใจร้ายจะตายไป ไม่เห็นจะน่าสงสารเลย”
แม่อรดุจริงจัง อยากให้อังศุมาลินเข้าใจจริงๆ “สงครามก็ส่วนสงคราม คนก็ส่วนคน เขามีหน้าที่ของเขา เขาก็ทำไป เรามีหน้าที่ของเราเราก็ทำไป อย่าเอาหน้าที่มาปะปนจนทำให้เสียความรู้สึกของคนด้วยกันไปสิลูก”

คราวนี้อังศุมาลินเถียงไม่ออก เมินหน้าไปอีกทาง

คู่กรรม ตอนที่ 2 (ต่อ)

[ต่อจากตอนที่แล้ว]  

ตอนสายๆ วันต่อมา ตาบัวกับตาผลอยู่ในสภาพบักโกรกหมดสภาพ กระอักน้ำมันอ้วกเสียงดังโอ้กอ้ากๆ คาสุเกะและทหารอื่นๆ จับตัวมาโยนมาพอให้พ้นเขตอู่ แล้วเดินกลับอย่างไม่ไยดี สองเกลออ้วกเอาอ้วกเอาหัวทิ่มหัวตำ

ระหว่างนั้นสองกะล่อนเห็นรองเท้าบู้ธของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหยุดยืนดู ตาบัวกับตาผล อ้วกๆๆ แล้วก็อ้วก ก่อนจะนอนดิ้นชักกระแด่วๆ กับพื้นดิน แล้วหมดสติไป
เจ้าของรองเท้าคู่นั้น คือโกโบริซึ่งยืนมองทั้งสองเกลอ ด้วยแววตาสมเพชอยู่พักหนึ่ง แล้วตัดสินใจบางอย่าง

ค่ำแล้วตรง อังศุมาลินเอาตะเกียงมาแขวนไว้ตรงนอกชาน บริเวณทางขึ้นเรือน
กำนันนุ่มและแม่วันแวะมาเยือนกำลังพูดคุยเรื่องสงครามโลก
“ต่อไปต้องเอาผ้าดำหรือผ้าขนหนูคลุมไว้ด้วยนะ รัฐบาลเขาประกาศให้เตรียมรับการโจมตีทางอากาศ แล้วก็เริ่มสั่งพรางไฟทุกบ้านแล้ว แม้แต่ฝั่งธนฯ เราก็เถอะ” กำนันว่า
“เวลากลางคืน ถนนหนทางในพระนครมืดมิดอย่างกับอะไรดี” แม่วันเสริม
“เขาประกาศกฎอัยการศึกไปทั่วประเทศแล้ว เดี๋ยวคงมีให้ซ้อมเปิดสัญญาณหลบภัยทางอากาศ”
ฟังกำนันเล่าเพิ่ม แม่อรหันมองกับยายศรหน้าเครียดตามกัน
กำนันดูจะเป็นห่วงอังศมุมาลินมากเรื่องเหตุการณ์ที่อู่วันก่อน
“แม่อังระวังหน่อยก็ดี รัฐบาลเขาประกาศให้ญี่ปุ่นเป็นมหามิตร ประชาชนอย่างเราๆ ต้องให้ความร่วมมือสนับสนุนญี่ปุ่นเต็มที่ เราไปประกาศตัวเป็นศัตรูกับเขาแบบนั้น จะทำให้เดือดร้อนได้นะลูก”
แม่วันเสริม “ฝ่ายโน้นเขาเป็นนายช่างใหญ่ ใครๆ เห็นก็กลัว แต่หนูอังก็กล้ามากเลยนะ ที่ออกไปพูด
กับเขาอย่างนั้นน่ะ ผู้ชายอกสามศอกตั้งหลายคนกลับยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่คิดจะทำอะไร”
ตอนท้ายแม่วันหันไปแขวะพ่อกำนันผู้เป็นสามี
“อ้าว.. ทำไมไปให้ท้ายหลานอย่างนั้นล่ะ” กำนันเหน็บ
แม่วันไม่ยอม “ก็มันจริงนี่นา”
ยายศรถามถึงสองเกลอ “แล้วตาบัวตาผลจะเป็นอะไรมากไหม”
“ไม่น่านะครับ เพราะแม่อังกลับไปได้สักประเดี๋ยว พวกญี่ปุ่นก็เลิกกรอกน้ำมันตาบัวตาผล แล้ว” กำนันนุ่มว่า
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะกรอกกันจนหมดถังเสียอีก ถ้าขืนหมดมีหวังท้องแตกตายแน่” แม่อรบอก
แม่วันปรารภขึ้นอย่างสงสัย “หรือจะเป็นเพราะหนูอังไปพูดกับเขา”
“ไม่ใช่เพราะที่หนูพูดหรอก คนใจร้ายอย่างนั้น จ้างก็ไม่มีวันฟังเสียงใคร” อังศุมาลินอารมณ์ขุ่นเมื่อนึกถึงโกโบริ
ทุกคนเงียบไปเป็นแถบ


ที่หน้าห้องพักโกโบริในอู่ต่อเรือ มองจากด้านนอกในยามค่ำคืน แสงไฟสีนวลสว่างไสวจากด้านใน
ภายในห้องพักส่วนตัวของโกโบริ ตกแต่งไว้อย่างเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน บนโต๊ะทำงานมีสมุดบันทึกวางอยู่ 1 เล่ม เหมือนเขียนอะไรค้างไว้ โกโบริในชุดลำลองกำลังยืนเหม่อลอย
โกโบริครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ตอนปะทะคารมกับสาวไทยใจเด็ดนางนั้น คำพูดอังศุมาลินดังก้องในหัว
“แผ่นดินนี้เป็นของคนไทย กองทัพญี่ปุ่นจะทำตามใจชอบไม่ได้”
“ผู้ต่อต้าน..ต่อต้านหรือ พวกคุณรุกรานแผ่นดินไทย ทำกับคนไทยแบบนี้ จะไม่ให้เราต่อต้านหรือ”
กระทั่งตอนอังศุมาลินตะเบ็งเสียงใส่ “คุณไม่มีสิทธิ์!”
แล้วโกโบริหันหลังให้ แม่อรได้โอกาสวิ่งเข้ามาคว้าแขนอังศุมาลิน
“อังศุมาลิน กลับบ้านเดี๋ยวนี้”

โกโบริดึงตัวเองกลับมา
“อัง-ซู -มา-ลิ-น...”
โกโบริรำพึงมีแววตาครุ่นคิด หันกลับมา ตรงหน้า มีซามิเซ็งวางอยู่ โกโบริเดินเข้าไปนั่งลง เอื้อมมือไปแตะ

ริมน้ำบ้านอังศุมาลิน ยามค่ำคืนเงียบสงัด ต้นลำพูมีหิ่งห้อยตอมเต็ม อังศุมาลินเดินเหงาๆ เข้าไปที่ต้นลำพู จับหิ่งห้อยมาตัวหนึ่ง อังศุมาลินขังหิ่งห้อยในอุ้งมือ แสงลอดออกมาวาบๆ

อังศุมาลินเอาตาส่องดูแสงนั้นในมือ แล้วลดมือลง พูดกระซิบกับหิ่งห้อย “วนัส..ถ้าตัวอยู่..ตัวก็คงทำเหมือนเขา” หญิงสาวถอนใจ แล้วปล่อยหิ่งห้อยไปจากมือ
หิ่งห้อยบินจากไป
ทันใดนั้นมีเสียงดนตรีคล้ายจะเข้ดังแว่วมาแต่ไกล เสียงนั้นดังมาจากอู่ต่อเรือ
อังศุมาลินทำหน้าสงสัยว่าเป็นเสียงอะไร

เป็นโกโบรินั่นเอง ที่กำลังเล่นซามิเซ็งสำเนียงหวานเศร้าโหยหา แววตาลึกซึ้งอ่อนโยน

ส่วนที่อีกฟากฟ้า ที่ “Royal Pioneer Corps อ๊อกฟอร์ดเชียร์ เดือนพฤศจิกายน ปีพ.ศ.๒๔๘๕” ในประเทศอังกฤษ

บนรถลำเลียงพล ที่แคมป์ฝึกอ๊อกฟอร์ดเชียร์ยามบ่าย ปลายฤดูใบไม้ร่วง เข้าหน้าหนาว หมอกหนาจัดจนมองไม่เห็นอะไร
วนัสนั่งอยู่บนรถลำเลียงพลของกองทัพอังกฤษ ที่แล่นไปตามทางในถนนแล้งมีแต่หญ้าเกรียมเกรียน จนเข้าสู่ถนนหินปนทรายริมทะเลตอนเหนือของอังกฤษ มีแต่หมอกหนา มืด ทั้งๆ ที่เป็นตอนเย็น พลขับคือฝรั่งใส่ชุดทหารอังกฤษ
วนัสหยิบรูปถ่ายหน้าตรงของอังศุมาลินสมัยเตรียมมหาวิทยาลัยขึ้นมาดู
ทั้งวนัส พิชัย อรุณ และท่านชายวิชญา นั่งเรียงชนไหล่กัน และยังมีคนไทยอื่น ชาวมาเลย์และจีน 5-8 คนนั่งเรียงแถวจนเต็มคันรถ ทุกคนอยู่ในชุดฝึกของกองทัพอังกฤษ แต่ละคนมีเป้สัมภาระวางอยู่ที่ตัก
ท่านชายวิชญาชะโงกมาดู “อังศุมาลินจะเป็นอย่างไรบ้างนะ น้องสาวผมเลิกเรียน อพยพไปอยู่หัวหินเป็นการถาวรไปแล้ว”
“ผมไม่ทราบอะไรเลยกระหม่อม แต่คิดว่า..ที่บ้านเขา..อาจจะลำบาก”
“อดทนอีกนิด เราคงต้องฝึกอีกหลายเดือน กว่าเขาจะยอมส่งเรากลับไป” ท่านชายปลอบ
พิชัยเอ่ยขึ้น “เพราะรัฐบาลประเทศเราไปเข้ากับญี่ปุ่น กองทัพอังกฤษเขาถึงไม่ไว้ใจ...กว่าจะให้เรากลับไปร่วมรบขับไล่ไอ้พวกญีปุ่นได้ ก็คงจะต้องทดสอบความอดทน และความจริงใจให้ถึงที่สุดกระมัง”
อรุณออกความเห็น “กว่าจะทดสอบผ่าน ผมหวังว่า พวกเราทุกคน จะยังคงอดทน..อยู่กันไปจนได้กลับบ้านไปยิงพวกไอ้ยุ่นให้สนุกมือกันทุกคนนะครับ”

วนัสและเพื่อนมีสายตาแน่วแน่มุ่งมั่น เหงื่อโซมเต็มใบหน้า มุ่งมั่นกับการฝึกเตรียมความพร้อม
เห็นวนัสถูทำความสะอาดห้องน้ำรวมของค่ายทหาร
ถึงตอนฝึกวนัสถือปืนออกมาวิ่งเพื่อฝึกกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง ซึ่งข้ามไปได้แต่ตอนตัวลงเกิดสะดุดล้ม และคนที่ข้ามตามหลังมาก็ข้ามมาเหยียบซ้ำจังๆ
วนัสสีหน้าเจ็บปวด แล้วกัดฟันลุกขึ้นวิ่งต่อไป แล้วล้มอีก
ท่านชายวิชญามาช่วยดึงขึ้น และประคองวนัสไป แต่ครูฝึกฝรั่งมาจับสองคนแยก แล้วด่าๆๆ
ต่อมา วนัส และพวกคนไทย ยืนปอกมันฝรั่งกันเป็นกระสอบๆ ภายในครัวของค่าย มันกองเต็มโต๊ะ มีหัวหน้าเป็นทหารอังกฤษ มาสั่งๆๆ
ภาพสุดท้ายในครัวของค่าย พวกวนัสทำหน้าที่ล้างจาน

ที่ชุมชนตลาดปากคลอง ธนบุรี ช่วงเช้า ดูคึกคัก
รูปกองทัพญี่ปุ่นประกาศศักดา ทั้งขณะยกพลยกทัพ การรบชนะดินแดนต่างๆ ควาเจริญก้าวหน้าของอุตสาหกรรรมการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ ขนาดต่างๆ บนกระดานขนาดใหญ่บนขาตั้งสามขา ถูกนำมาวาง กระดานแล้วกระดานเล่า
กระดานโฆษณาชวนเชื่อและแสดงแสนยานุภาพของกองทัพญี่ปุ่นถูกทหารญี่ปุ่นนำมาวางเรียงเป็นแถวหน้ากระดานอยู่หน้าร้านของหมอโยชิ นำโดยเคสุเกะ มีหมอโยชิในเครื่องแบบทหารยืนดูใกล้ๆ
ตัวหนังสือเป็นภาษาไทย เขียนด้วยลายมือตัวเท่าหม้อแกง
เช่น “เอเชีย ต้องเป็นของชาวเอเชีย”
“ญี่ปุ่นเป็นชาติลูกพระอาทิตย์ ที่จะส่องแสงสว่างไปทั่วมหาเอเชียบูรพา”
“เราจะขับไล่อังกฤษ ชาติขี้โรค ไปให้พ้นจากการข่มเหงชาวเอเชีย”
“กองทัพญี่ปุ่นยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”
“ไทย และญี่ปุ่น จะร่วมมือกัน พัฒนาเศรษฐกิจไทยให้รุ่งเรือง”
“ทุนการศึกษาประเทศญี่ปุ่น สำหรับนักศึกษาไทยในทุกแขนง”
ตาแกละ แมว และยายเมี้ยน เดินมาด้อมๆ มองๆ อยู่ห่างๆ
เห็นเคสุเกะ และพลทหาร ที่ติดตั้งกระดานโฆษณา ทำความเคารพหมอโยชิกันแข็งขัน
ชาวบ้านทยอยเดินเข้ามาดู รวมทั้ง ตาแกละ แมว และยายเมี้ยน
จังหวะหนึ่งตาแกละ และยายเมี้ยนหันมองหมอโยชิที่ยืนอยู่

หมอโยชิยิ้มเยื้อนเป็นมิตรมาให้ ก่อนจะอธิบายต่างๆ ให้เมี้ยน ตาแกละ กะแมวฟัง

เวลาเดียวกัน ที่ “หอการค้าจีน ถนนสาทร” ฝั่งพระนคร

แลเห็นขบวนรถนายทหารระดับสูงของญี่ปุ่น ปักธงอาทิตย์อุทัยแล่นเข้ามา ชาวพระนครที่เดินอยู่ต้อง หลบทาง บ้างมองตาม บ้างซุบซิบอย่างสนใจ ขบวนรถเข้าจอดเทียบหน้าอาคาร
นายทหารระดับสูง พลโทโทโมยูกิ ก้าวลงจากรถ
มาซาโอะและนายทหารระดับสูง 4-5 นาย ยืนต้อนรับอยู่ ทำความเคารพกันแข็งขัน
แม่ทัพโทโมยูกิ รับการเคารพ แล้วรีบเดินเข้าไปด้านใน

เวลาต่อมา ภายในห้องประชุมกองบัญชาการกองทัพญี่ปุ่น หอการค้าจีน

บนโต๊ะประชุมใหญ่ มีแม่ทัพโทโมยูกิ นั่งเป็นประธาน มีสัญลักษณ์อาทิตย์ฉายแสง เด่นเบื้องหลัง และธงอาทิตย์อุทัยตั้งประกบสองข้าง
แม่ทัพ และนายทหารระดับสูงพูดคุยกันด้วยภาษาญี่ปุ่นเป็นระยะ
“สัปดาห์หน้ากองทัพใหญ่ฯ จะลำเลียงเชลยจากมลายูเข้ามาเพิ่มอีก 7 พันคน เป้าหมายของเรา คือ เร่งสร้างทางรถไฟเข้าพม่าให้เสร็จใน 1 ปี ดังนั้นให้ ทุกหน่วยประกาศรับกรรมกรเข้ามาเพิ่มให้มากที่สุด เพื่อเป้าหมายนี้” โทโมยูกิหันมาทางมาซาโอะ “มาซาโอะ ฝ่ายไทยตอบรับข้อเสนอสร้างทางรถไฟไทย-พม่ามาหรือยัง”
“ยังครับ แต่ผมได้เร่งไปแล้ว” มาซาโอะตอบ
แม่ทัพโทโมยูกิถอนใจแรง ตบโต๊ะดังปัง
“บ๊ะ..อะไรวะ ยื่นหนังสือด่วนที่สุด พร้อมกำหนดขอคำตอบในสัปดาห์หน้าไปเลย”
“ครับผม”
โทโมยูกิหัวเสีย เอนตัวพิงพนัก
นายทหารอีกคนยื่นเอกสารเข้ามาให้มาซาโอะ มาซาโอะรับมาดูแล้วรายงาน
“ท่านนายพลครับ ตอนนี้ ที่บ้านโป่งเกิดเรื่องใหญ่ครับ”
“อะไร” โทโมยูกิฉงน
มาซาโอะพยักหน้าให้นายทหารที่ยื่นเอกสารรายงาน
“เมื่อคืนนี้ กองพลทหารรถไฟที่ 9 ประจัญหน้ากับชาวบ้านและตำรวจไทย ทำให้ ทหารเราเสียชีวิต ไป 5 นาย แล้วตอนนี้มีกรรมกรหนีกลับไปหลายร้อยคน ชาวบ้านและทหารไทย กำลังชุมนุมกัน สถานะการณ์กำลังตรึงเครียด ครับ”
โทโมยูกิเกรี้ยวกราด “ทำไมทางการไทยปล่อยให้เกิดเรื่องกับฝ่ายเราอย่างนี้ มาซาโอะ นัดประชุมกับคณะกรรมการผสมเดี๋ยวนี้”
แม่ทัพโทโมยูกิเดือดดาลมาก

เช้าวันต่อมา
ตาบัวลืมตาตื่นเห็นเพดานห้องเบลอๆ นึกแปลกที่ มองไปรอบๆ ห้อง เห็นตาผลนอนแหมบอยู่บนเตียงไม้ สองคนอยู่ในห้องพยาบาลภายในอู่ต่อเรือ
ตาบัวปลุกสุ้มเสียงแหบแห้ง “เฮ้ย ไอ้ผลๆๆ..ตื่นๆๆ ที่นี่... มันที่ไหนกัน สวรรค์หรือ”
ตาผลหรี่ตามาดูหน้าเพื่อน “เอ็งคิดว่าพวกเราเกิดมา ทำแต่กรรมดีขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“แต่..นรกมันน่าจะแย่กว่านี้”
ทั้งสองเกลอหันไป เห็นหมอทาเคดะ ที่กำลังเตรียมยาอยู่
“ไอ้บ้า พวกเรายังไม่ตาย นี่มันก็ค่ายนรกของไอ้พวกยุ่นไง” ตาผลบอก
หมอทาเคดะเดินมาดู ทักทายเป็นญี่ปุ่น
“สบายดีไหม”
ตาผลกะตาบัวกลัวๆ
หมอทาเคดะหันไป ยกเหยือกน้ำสังกะสีมา 2 เหยือกบอกอีก “ดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆ”
ตาบัวกะตาผลร้องพร้อมกัน “อ๊าก..ม่าย..ไม่..ไม่เอาๆๆ”
“กลัวแล้ว ชั้นไม่ขโมยอีกแล้วจ้ะ” ตาบัวบอก
ตาผลโวยวาย “คนนะเว้ย ไม่ใช่รถใช่เรือ จะได้ให้กินแต่น้ำมัน”
ตาบัวยกมือไหว้ปลกๆ นึกว่าเป็นน้ำมัน
“อย่าทำอะไรฉันอีกเลยนะจ๊ะ ฉันกลัวแล้ว จะทำไปทำตาผลโน่น คนต้นคิดทั้งหมด”
ตาผลเม้ง “อ้าว...เฮ้ย ทำไมพูดแบบนี้วะ”
ตาผลพยายามเอาตีนยื่นไปถีบตาบัวที่อยู่เตียงข้างๆ โกโบริเดินเข้ามาพอดี มองทั้งสองคน สีหน้าเรียบเฉย ตาบัวกะตาผลเงียบอยู่ในความสงบ
“หมอ ถ้าเขาหายดีแล้ว พรุ่งนี้ก็ให้ไปได้” โกโบริบอกเป็นญี่ปุ่น
หมอทาเคดะร้อง “ไฮ้”
ตาบัวสยอง “ไฮ้อีกแล้ว...มันจะให้อะไรเราอี้กกก...”
โกโบริเดินเข้าไปใกล้ๆ ยื่นหน้าไปหาทั้งสองเกลอ ทั้งสองพยายามเบือนหน้าหนีแหยงๆ ไม่กล้าสบตาด้วย โกโบริพูดยิ้มๆ ขณะถาม
“อร่อยไหม กินได้ไหม กินอีกไหม”
โกโบริหัวเราะเบาๆ ก่อนเดินออกไป
ตาบัวตาผลมองหน้ากันไปมา ไม่กล้าไว้ใจทางวางใจใคร

อังศุมาลินเดินหอบกระจาดผลไม้ที่จะนำไปตลาด ลงไปที่ท่า มาหยุดยืนรอส่งลงเรือตรงท่าน้ำหน้าบ้าน
แม่อรกำลังลงไปจัดแจงกระจาดผัก ผลไม้ต่างๆ ในเรือ ให้เข้าที่
เสียงชาวบ้านตะโกนทักมา อังศุมาลินหันไปทางเสียง
“โอ๊ย..แม่อัง..แม่อังคือหญิงไทยใจกล้า เลือดรักชาติเต็มเปี่ยม น่านับถือจริงๆ”
ชาวบ้านที่พายเรือกันมา 1 ใน 3 คน ร้องบอก ขณะนำเรือมาเทียบผ่านชะลอลำใกล้ๆ
“แหม..วันนั้น ชั้นก็อยากช่วยไอ้บัว ไอ้ผลเหมือนกัน แต่ชั้นมันแก่แล้ว ลูกเต้าก็เยอะ จะให้กล้าหาญแบบแม่อัง มันก็ไม่ได้” ชาวบ้านคนเดิมออกปาก
อังศุมาลินและแม่ ต่างอึ้งๆ อังศุมาลินยิ้มแหยๆ มองหน้าแม่อร
ชาวบ้านคนแรกว่าขึ้นอีก “นี่แม่อังรู้ไหม หนุ่มๆ แถวบ้านน้า ชื่นชอบแม่อังกันยกใหญ่”
ชาวบ้านคนที่สามชมอีก “ผู้หญิงอะร้าย..ตัวนิดเดียว แต่ยังกล้าชนกะไอ้ยุ่นใจทมิฬที่ทำร้ายคนไทย”
คนแรกพยักพเยิด “คราวหน้ามีเรื่องกะพวกมันอีก เดี๋ยวเราจะช่วยเอง”
อังสุมาลินชักอายๆ “ขอบคุณค่ะน้า”
พอดียายเมี้ยน แมว พายเรือสวนทางมา
อังศุมาลินลงเรือ เตรียมตัวจะออกเรือไปตลาดกัน
“แหม เป็นคนดังไปแล้วนะ แม่อัง ยังไงๆก็ระวังตัวเอาไว้หน่อยละกัน เมื่อเช้าเห็นมันมาติดประกาศแสนยานุภาพซะเต็มตลาด สุดท้าย...ท่ามันจะชนะสงครามจริงๆ ใครที่เคยต่อต้านมันจนออกนอกหน้า อาจจะโดนหนักก็ได้นา อีตานายช่างจอมโหดคนนั้น เขาว่ากันว่าเป็นถึงหลานชายแม่ทัพใหญ่เชียว”
ยายเมี้ยนโพนทะนาว่าโกโบริเป็นหลานแม่ทัพโทโมยูกิ
ชาวบ้านฮือฮายกใหญ่ “หลานชายแม่ทัพใหญ่!”
“บ้านเธออยู่ใกล้อู่มันด้วย ระวังไว้ให้ดีเถอะ ไปด่ามันแรงๆ มันจะมาแก้แค้นถึงบ้าน ใครเขาจะมาช่วยทัน” แมวแขวะ
ระหว่างนั้นเรือทหารญี่ปุ่นแล่นผ่านเข้ามาใกล้ มุ่งหน้าจะออกไปสู่แม่น้ำ
“ว้าย นั่นไงๆ มันมากันแล้ว”
พวกชาวบ้านต่างหยุดเสวนา รีบแยกย้ายจ้วงพายเรือออกไป

อังศุมาลินมองไปยังเรือทหารญี่ปุ่น มองเห็นโกโบริยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ในเรือลำนั้น

ติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น