คู่กรรม ตอนที่ 1
เวลายามเช้า บริเวณท่าน้ำริมคลองใหญ่ หน้าบ้านหลังหนึ่ง น้ำในคลองยังสะอาดใส
ทอดสายตามองไป เห็นพระปรางค์วัดอรุณอันแสนงดงามเข้มขลังในแสงอ่อนๆ เทา ฟ้าชมพูจางเรื่อๆ ยามเช้า ไกลออกไปอีกนิดน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาต้องลมที่พัดมาแผ่วๆ แลเห็นเป็นคลื่นเทาเงินสลับทอง ระยิบระยับงามจับตา
เวลาเคลื่อนคล้อย พระอาทิตย์ลอยเลื่อนขึ้นเหนือดงทิวไม้หลากพรรณในสวน ทั้งต้นหมาก มะพร้าว กล้วย ไผ่ ต้นไม้ใหญ่สูงครึ้มยืนต้นตระหง่าน
ทิวสวนริมน้ำ สว่างมากขึ้น บางหย่อมมีหมอกขาวๆ โรยตัวต่ำๆ บรรยากาศสงบ โค้งคุ้งคลอง สว่างขึ้นอีก เห็นสวนเป็นส่วนใหญ่ จะมีหลังคาบ้านแหลมๆ โผล่พ้นทิวไม้บ้าง แต่ก็ห่างๆ กัน เรือพายลำหนึ่งแหวกหมอกจางๆ ผ่านไป
ธรรมชาติสวยของดอกไม้ เห็นดอกผลของไม้ริมน้ำ อาทิ ลำพู จิก มะกอกน้ำ ตีนเป็ด จาก
นกน้อย แมงปอ ผีเสื้อ โบยบินชื่นชมความงดงามของธรรมชาติอย่างเริงร่า ใต้นำใสฝูงปลาแหวกว่ายอย่างไม่รู้เหนื่อย
เหล่านี้ ล้วนเป็นความงดงามและธรรมชาติอันแสนร่มรื่นของบ้านเรือนผู้คนใน ธนบุรี ห้วงเดือนมกราคม ปี พ.ศ. ๒๔๘๓
บริเวณลำคลองสะอาดใส ท้องน้ำสงบนิ่ง พลันผืนน้ำแตกซ่าด้วยฝีมืออังศุมาลิน ที่ดำน้ำลงไปซะนาน โผล่พุ่งพรวดขึ้นมา หน้าตาสดใส แววตาซุกซน หนาวจนสั่น บรื๋อๆๆ พ่นควันจากปาก
เด็กสาวใส่กระโจมอกสีเข้มสด ขับผิวที่ขาวเนียนเป็นยองใย ใบหน้าสวยใสสุดๆ ดวงตาเป็นประกายสดใสมีชีวิตชีวา คิ้วเข้ม ขนตางอนงามเป็นธรรมชาติ ผมยาวดำเข้มนั้นถูกรวบตึงไม่ให้รุงรัง
ในมืออังศุมาลิน มีกุ้งก้ามกรามตัวโตที่ดิ้นกระแด่วๆน้ำกระจายเด็กสาวจับในท่วงท่าที่ถูกต้องระดับเซียน อังศุมาลินทำหน้าสะใจกับเจ้ากุ้ง แล้วก็มุดตัวลงน้ำอีกที มาโผล่ที่โคนเสาใต้ท่าน้ำ แล้วจัดแจงใส่กุ้งตัวนั้นรวมกับถุงตาข่ายเชือกถักที่มีกุ้งอยู่แล้ว 3-4 ตัว ตัวเป็นๆ
ห่างออกไปเห็นร่างแม่อรผู้เป็นมารดา ในชุดผ้าซิ่น ใส่เสื้อหนาวไหมพรมถักเอง แม่อรตัดผมสั้น และมีผ้าห่มคลุมกันหนาว เดินมาท่ามกลางสุมทุมในสวนที่มีหมอกจางๆ พลางสอดส่ายสายตามองหารอบๆ แม่อรเดินมาเร็ว และคล่องแคล่ว
“ยัยอัง..ยายอัง..ยายอัง..ไปไหนนะ”
อังศุมาลินได้ยินเสียงแม่ ทำตาโต หน้าตาซุกซน รีบดำน้ำผลุบหนีลงไปซ่อนทันที
แม่อรมองหาไปมา แล้วชะงัก เห็นที่กิ่งลำพูริมน้ำ มีผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่พาดเด่นอยู่ แม่อรเดินลิ่วมาที่ท่าน้ำ กวาดตามองหาไปทั่ว พลางบ่นเสียงดุๆ
“ยัยอัง ขึ้นมานะ หนาวจะตายลงไปอาบน้ำได้ ตะคริวมันจะกิน”
แม่อรบ่นพลาง ก้าวลงมาที่ท่าน้ำ
อังศุมาลินค่อยๆ โผล่ขึ้นมาแบบเงียบกริบ พอดีแม่อรเหลียวมา อังศุมาลินเห็นรีบผลุบไปแอบซ่อนใต้สะพานอย่างเร็ว
แม่อรมองมา เห็นแต่พื้นน้ำที่ไหวๆ แม่อรมองหา ไม่มีอะไร จึงหันไปอีกด้านหนึ่ง
“อังศุมาลิน...” เปลี่นนเสียงเรียกเข้มขึ้นอีก “ขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ เร็วๆ เข้า คุณยายถามหา”
ทันใดนั้น มีมือขาวๆ ค่อยๆ โผล่มา แล้วจับหมับที่ข้อเท้าแม่อร
แม่อรร้อง “ว้าย..” สะบัดข้อเท้า อย่างตกใจ
อังศุมาลินชอบใจ หัวเราะเต็มเสียง อย่างสดใส
“ต๊าย..ลูกคนนี้ขึ้นมา หนาวจะตายอยู่แล้ว!”
“ก็อยู่ในน้ำแล้วอุ่นออก แดดกำลังดี”
อังศุมาลินนิ่วหน้า แต่ก็ยอม ว่ายไปที่บันได วิ่งตื๋อขึ้นมา หนาวบรื๋อๆๆ แม่อรไปหยิบผ้าขนหนูที่พาดไว้มาคลุมให้ อังศุมาลินสยายผมลงมาเช็ด แม่อรช่วยเข้ามาเช็ดผมให้แรงๆ
แม่อรหมั่นไส้ ปนห่วงใย “เค้าหนาวกันจะเป็นจะตาย แม่นี่กลับไปแช่อยู่ในคลอง สมล่ะ ที่ใครๆเขาว่า..ว่าเป็นคนร้อนวิชา”
“หนาวๆ อย่างนี้ แม่ว่าจะมีสงครามอย่างเขาว่ากันหรือเปล่าคะ”
เด็กสาวถาม แล้วก้มไปคุกเข่าที่ท่าน้ำ ดึงถุงตาข่ายใส่กุ้งขึ้นมา กุ้งดีดดิ้นไปมา
เวลาเดียวกันที่บ้านไทยใต้ถุนสูง มีบันไดชันสำหรับขึ้นลง บนเรือนกว้างขวางมีส่วนที่เป็นนอกชาน ครัว ห้องโถงกลางยกพื้น ไปสู่ห้องที่เรียงรายกันอยู่ด้านใน
ที่บนเรือนเวลานั้น บริเวณโถงกลางซึ่งถูกยกพื้นตรงบริเวณชานบ้านหน้าครัว ซึ่งเป็นมุมพักผ่อนสบายๆ ของครอบครัว ยายศรกำลังนั่งเฉาะหมากจากเปลือก แล้วแคะหมากกองไว้ในกระด้งข้างตัว ตรงหน้า กลางแจ้ง คือกระด้งหมากสด แห้งที่ตากแดดวางเต็มพื้นที่ ด้านหนึ่ง มีทะลายหมากกองอยู่หลายทะลาย
ยายศรได้ยินเสียงสองแม่ลูกคุยกันเสียงดังมา เลยหันมาชะเง้อรอ พลางเฉาะหมากต่อไป อย่างคุ้นมือ เสียงแม่อรนำขึ้นมาก่อน
“เอาเถอะๆ ใครจะรบราฆ่าฟันกันที่ไหนก็ช่าง เราอยู่ของเราไปก็แล้วกัน”
ยายศรส่ายหน้า พูดเสียงดังไปก่อน “นี่ไปลากตัวขึ้นมาจากน้ำล่ะสิ แม่อร”
อังศุมาลินโผล่หน้ามาพอดี ทำหน้าทะเล้น มือถือถุงตาข่ายใส่กุ้งมาด้วย
“หนูกำลังจะขึ้นเองอยู่แล้วต่างหากค่ะ คุณยาย”
แม่อรโผล่ตามมาทำหน้ายิ้มระอาเหลือ พยักเพยิดกับผู้เป็นยาย
“นึกแล้ว..ถ้าตายไปล่ะก็ ไปหาในน้ำเป็นเจอ”
อังศุมาลินเถียงคำไม่ตกฟาก “ก็หนูเป็นลูกทหารเรือเก่านี่”
ยายศรอึ้ง มือที่เฉาะหมากชะงักกึก อังศุมาลินได้สติ รีบหันไปดูหน้าแม่
ใบหน้าแม่อรที่กำลังยิ้มๆ เจื่อนเผือดลงวูบหนึ่ง
อุงศุมาลินจ๋อยซีดทันที “หนู..ไม่ได้ตั้งใจ”
แม่อรพยายามยิ้ม เปลี่ยนเรื่อง ทำเป็นร่าเริง “เอ้า..ส่งกุ้งมาได้แล้ว..เดี๋ยวแม่จะไปเผาให้”
อังศุมาลินยิ้มแหยๆ ส่งกุ้งให้แม่
ตอนสายๆ บนต้นสะเดาท้ายสวน ดอกสะเดาอ่อนๆชูช่อสลอนแลดูน่ากิน ก่อนจะเห็นมืออังศุมาลินหักช่อสะเดานั้นแล้วทิ้งลงไปใต้ต้น
อังศุมาลินใส่ผ้าซิ่นฝ้ายสีเข้มที่ถกขึ้นมาหนีบไว้ที่เข่า เพื่อให้ปีนป่ายสะดวก เสื้อแขนกุดเข้ารูปคอกลมผ้าพื้นสีอ่อน นั่งบนคาคบต้นสะเดาสูงใหญ่ มองหา เลือกช่อสะเดาต่อไปอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วเอื้อมไปหักโยนลงไปเบื้องล่างต่อไป
เสียงวนัส ดังมาจากใต้ต้นสะเดา
“เจ้าข้าเอ๊ย ใครขว้างหัว...”
อังศุมาลินสะดุ้ง มองลงไป รีบดูชายให้ผ้าถุงกระชับเรียบร้อย
วนัสยืนแหงนหน้าเงยดูที่พื้น ห่างออกไปจากใต้ต้นหนึ่งร่องสวน หน้าตาท่าทีขำมากมาย ร้องตะโกนต่อ
“สะเดาต้นนี้มีเจ้าแม่ด้วยเจ้าข้า...อยู่ข้างบนเป็นลิงเป็นค่าง อยู่ข้างล่างขว้างได้ขวางเอาเจ้าข้า...” วนัสแกล้งก้มเก็บกิ่งไม้หักๆ บนพื้น ทำท่าเล็งแลเงื้อหมายจะขว้างหน้าตาสนุกที่ได้แกล้ง
“อย่านะ วนัส เดี๋ยวเถอะ! นี่...เราจะลงแล้ว ถอยไปไกลๆ แล้วหันหลังด้วย ไม่งั้น ไม่แบ่งกุ้งให้กินนะ”
วนัสหัวเราะ หันหลังให้ พร้อมกับกอดอก
อังศุมาลินรีบรวบผ้านุ่งแทบจะกลายเป็นกางเกงไปแล้ว
“ลงหรือยาง...หนึ่ง...สอง...สาม..สี่…”
วนัสนับเรื่อยๆ แต่ทันใด มีเสียงดังตุ้บ ผสมเสียงร้องวี้ดจากด้านหลัง
วนัสตกใจ รีบหันกลับ เห็นอังศุมาลินนั่งพับเพียบแปะกองอยู่ใต้ต้นสะเดาต้นนั้น
“อุย” อังศุมาลินดูแขนที่ถลอกเป็นทาง
วนัสรีบกระโดดมาดู ถามอย่างห่วงใย “เจ็บไหม ตกลงมาสูงหรือเปล่า” จากนั้นก็กลายเป็นบ่นๆ “ไม่ควรกระโดดลงมานี่นา”
อังศุมาลินพาล แหวใส่ “ใครว่าเขาโดด..กิ่งมันลื่นออกจะตายไปก็ใครที่เป็นคนเร่งล่ะ”
วนัสเยื้อนยิ้มท่าทีอ่อนโยน แต่น้ำคำพูดทีเล่นทีจริง
“ดุชะมัด อีกหน่อยเราก็ไม่อยู่ให้ดุแล้ว..อยากรู้นัก..ว่าตัวจะไปดุใครแทน”
ไม่นานหลังจากนั้น วงกินข้าว ที่ปูด้วยเสื่อบนยกพื้น ตั้งสำรับพร้อมแล้ว
ช่อดอกสะเดาถูกลวกในอ่างน้ำข้าวร้อนเดือดปุดๆ ส่วนกุ้งแม่น้ำเผาแล้ววางเรียงอยู่บนจาน
ยายศร แม่อร อังศุมาลิน และวนัส ทั้งหมดนั่งล้อมทานข้าว วนัสปรายตาดูอังศุมาลินค้อนๆ
“อังเขาดีใจ ที่ผมไปพ้นๆ ซะได้”
อังศุมาลินที่กำลังหย่อนกุ้งลงจานข้าวของวนัสลงไป 2 ตัว หันขวับ
“หาเรื่อง”
“หรือไม่จริง”
“งั้นเอากุ้งเขามา กินตัวเดียวพอ”
อังศุมาลินดึงกุ้งกลับมาตัวหนึ่ง วนัสไม่ยอม แย่งชามกุ้ง ดึงกันไปมาเป็นชักคะเย่อ
แม่อรกับยายศรสบตากัน ส่ายหัวแล้วแอบขำ
“แล้วไปอังกงอังกิดนี่ มันไกลไหมละพ่อวนัส” ยายศรถามวนัส
“ประมาณสองเดือนไปถึงครับคุณยาย เพราะต้องนั่งรถไฟไปลงสิงคโปร์ แล้วถึงต่อเรือข้ามทวีปไปอีกทีครับ”
“โอย คงไกลโขน่าดู” ยายว่า
“แต่ถ้าตอนอยู่โน่น เกิดสงครามแล้วกลับไม่ได้...ผมตายแน่” วนัสใจหาย
“ทำไมจะตาย ก็อยู่ไปเรื่อยๆ เสร็จสงครามเมื่อไหร่ก็กลับ” อัวศุมาลินบอก
วนัสเย้า “เผื่อมันรบกันซัก 20 ปีล่ะ”
“ก็ดีเสียอีก ได้อยู่เมืองนอกตั้ง 20 ปี” อังศุมาลินบอกอีก
วนัสมองหน้าพูดเป็นนัย “แต่เขาห่วงเมืองไทย...กลับมา...อะไรๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงไปหมด”
“อะไรจะเปลี่ยน” อังศุมาลินถาม ขณะก้มหน้าแกะกุ้ง
วนัสไม่ตอบ ตามองหน้าอังศุมาลินครุ่นคิด
อังศุมาลินรู้สึกว่าวนัสเงียบผิดสังเกต จึงหันมาหาเหลือบตาขึ้นมอง เห็นดวงตาของวนัส ที่มองมาด้วยแววมีความหมายบางอย่าง
อังศุมาลินเกือบสะดุ้ง ใจหายวาบ รีบหลบตา แล้วก้มหน้าแกะกุ้งต่อ
วนัสมองอังศุมาลินด้วยแววตาอ่อนหวานยิ่งขึ้น
ค่ำนั้น วนัสส่องไฟดูทางตรงมายังบริเวณศาลาท่าน้ำหน้าบ้าน อังศุมาลินถือช่อดอกราตรีเดินตามมาส่ง สองคนถึงท่าน้ำ อังศุมาลินมองไปเห็นต้นลำพูมีหิ่งห้อยตอมเต็มในความมืด ก็ตาโตตื่นเต้น
“ดูต้นลำพูสิ สวยจัง”
วนัสถามออกมา“ตัวจะคอยเขาอีกสัก 5 ปีได้ไหม
อังศุมาลินเงียบ นิ่งไป
“เวลาตั้ง 5 ปี ใครจะไปรู้ว่าอะไรๆ มันจะไม่เปลี่ยน แม้แต่ตัวก็เถอะ”
“ตัวกลัวเขาจะเหมือนกับคุณพ่อตัวล่ะสิ” วนัสหมายถึงหลวง.....บิดาอังศุมาลิน มองท่าทีเกรงใจ “อย่าโกรธนะ ที่เขาพูดแบบนี้”
“ไม่โกรธหรอก..นัส” อังศุมาลินมองหน้า “ตัวไม่เข้าใจ เขาพยายามที่จะให้โอกาสตัว ที่จะไม่ต้องผูกมัดตัวเองไว้กับผู้หญิงจนๆ..มีแต่ตัว..อย่างเขา เขาโอกาสตัวให้ได้เลือกคนดีๆกว่าเขา เขาไม่อยากเป็นอย่างแม่ ที่ต้องขมขื่นอยู่ทุกวันนี้เพราะการผูกพันอย่างโง่ๆ กับคำมั่นสัญญาที่ไม่เป็นแก่นสาร” อังศุมาลินใจหาย พูดไปพูดมาน้ำตาพาลจะไหล
“เขาจะพิสูจน์ให้ตัวเห็นว่า เวลาเปลี่ยนแปลงหัวใจเขาไม่ได้ ไม่มีใครที่เขาจะแต่งงานด้วยได้ นอกจากตัว..อังศุมาลิน”
“นัส” อังศุมาลินครวญ สีหน้าหนักใจ
วนัสมองมาอย่างมุ่งมั่น “ตัวไม่ต้องบอกอะไรกับเขาเขาก็จะไม่ถามตัวเหมือนกัน เขาอยากให้โอกาสตัวด้วย..เอาเป็นว่า...อีก 5 ปี...เขาจะกลับมายืนตรงนี้ ทวงคำถามเก่าๆ อีกครั้ง...ถ้าหากตัวยังไม่เปลี่ยนแปลง”
อังศุมาลินมองตอบ พูดอย่างคนใจนักเลง ท้าทาย “ได้..อีก 5 ปี เค้าจะยืนคอยตัวที่นี่! ให้ตัวทวงคำถาม ที่เขายังไม่ตอบ”
วนัสมองหน้ารับคำท้า ซึ้งน้ำใจ “อัง...” ขยับเข้ามา อยากจะกอด แต่ไม่ทำ “อัง..เขาจะรีบกลับมา.. เขาจะรีบเรียน” วนัสเห็นหิ่งห้อยมากมายบิน รอบๆ คว้ามาได้ 2-3 ตัว แล้วเอามาวางบนผมอังศุมาลิน “เขาไม่อยากเป็นอย่างหิ่งห้อย เที่ยวจุดโคมส่องตามหาวิญญาณนางลำพู ที่หายไปในแม่น้ำ” เด็กหนุ่มคว้ามืออังศุมาลินขึ้นมา “อัง...อีก 5 ปี” ย้ำคำมั่นอีกหน “เขาไม่ทิ้งให้ตัวรอเขาฝ่ายเดียวแน่”
สองคนยืนมองหน้ากันที่เรือนผมอังศุมาลินมีหิ่งห้อยเกาะ เปล่งแสงวิบวับๆ
คล้ายดวงตาวนัสที่วิบวับวาววามในยามนั้น
คู่กรรม ตอนที่ 1 (ต่อ)
ค่ำคืนวันที่ ๗ เดือนธันวาคม ปีพุทธศักราช ๒๔๘๔ บริเวณลานพระรูปทรงม้า ถนนราชดำเนินใน มีงานรื่นเริงและมีมหรสพสมโภช
ราวไฟประดับส่องแสงระยิบระยับตลอดเส้นทาง ยินเสียงเพลงปลุกใจชวนฮึกเหิมดังกระหึ่ม
“ตื่นเถิดชาวไทย อย่าหลับใหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองดำรง ก็เพราะเราทั้งหลาย ถ้ามัวหลับมัวหลง เราก็คงมลาย เราต้องเร่งขวนขวาย ตื่นเถิดชาวไทย”
ธงไตรรงค์ ปลิวสะบัดพัดวี เป็นทิวสวยงาม เป็นริ้วธง และราวไฟพริ้งเพรา สวยงาม น่าตื่นตาที่ถูกประดับบนถนนราชดำเนินใน
มองออกไปเห็นพระบรมรูปทรงม้า และพระที่นั่งอนันตสมาคมเด่นตระหง่านอยู่ไกลๆ
สองเกลอตาบัว ตาผล แต่งตัวโก้ตามประสา เริ่มเมากันกรึ่มๆ มองร้านรวงต่างๆ ที่ประดับไฟหลากสี ตกแต่งสวยงามด้วยความตื่นตา
“เอาดินแดนอินโดจีนคืนมาจากไอ้เศษฝรั่งได้ทั้งที มันต้องฉลองกันให้เต็มคราบ” ตาบัวฮึกเหิมพูดนำร่อง
ตาผลหันมาหา “เออไอ้บัว ข้าชักอยากเห็นไอ้รถถังฝรั่ง ที่เราไปยึดไอ้พวกตาน้ำข้าวมาได้ มันอยู่ตรงไหนวะ”
“เอ็งนี่หนา หัดหูตากว้างไกลซะมั่ง เป็นคนไทยมันต้องมีวัดทะทัม ทางนี้ๆๆๆ” ตาบัวเดินแอ่น นำตาผลไปอย่างมั่นใจ ตะเบ็งเสียงร้องเพลงไปด้วย “มาด้วยกัน ไปด้วยกัน เลือดสุพรรณของเรานี่เอย”
เนื้อเพลงท่อนต่อมาทั้งสองผู้เฒ่าร้องประสานเสียง “เลือดสุพรรณ เข้าประจันอย่าได้พรั่นเลย”
บริเวณอ่าวไทย จังหวัดชุมพร ค่ำคืนเดียวกัน เห็นธงไตรรงค์บนหลังคาเรือหาปลาขนาดกลาง พลิ้วไสวตามแรงลมทะเล ท่ามกลางความมืดของคืนข้างแรม และสายฝนโปรยปราย บนเรือ มีชาวประมง ๒ คน กำลังเตรียมอุปกรณ์หาปลากันอย่างขะมักเขม้น
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินไปที่หัวเรือ มองฝ่าความมืดออกไปด้วยสีประหลาดใจ เด็กหนุ่มคนนั้นพูดขึ้นเสียงทองแดงสำเนียงใต้
“ไอ้ยี ไอ้ยี อะไรมันลอยเต็มเลยวะ”
ชายหนุ่มคนที่สองถามกลับสำเนียงใต้เช่นกัน “ไรของเอ็ง”
พลางละมือจากงานมาดู พลันมีสีหน้าที่ตื่นตกใจตามเพื่อน
ค่ำวันเดียวกันที่พระนคร ตรงลานพระรูปทรงม้า ถนนราชดำเนิน ยินเสียงระนาด เสียงกลองรัวระงม คนเล่นลิเกกำลังเตรียมประดาบกันอยู่บนโรง คนแรกเป็นลิเกแต่งชุดทหารไทย กำลังรบกับลิเกที่แต่งตัวเป็นฝรั่ง ใส่วิกผมทอง ทาหน้าขาว
ลิเกไทยชี้หน้า “มาถึงวันนี้เรามีเอกราช เปลี่ยนชื่อเป็นไทยแลนด์อย่างองอาจอย่ามาลวนลาม และวันนี้พวกกูก็มีรัฐทำมะนูน เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์สง่างาม”
พิณพาทย์ประโคมรัวเร็ว
ลิเกคนไทยร้องตะโกน “ตายซะเถอะ” จากนั้นสองฝ่ายต่างออกท่าสู้ฟันกันเป็นการใหญ่ ลูกเด็กเล็กแดงมุงกันหน้าสลอนอยู่หน้าโรงลิเกที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของลานพระรูป
ยายเมี้ยน ตาแกละ และแมวดูอยู่ ครู่เดียวยายเมี้ยนก็พาครอบครัวลุกหนีออกมาด้วยท่าทางฉุนเฉียว บ่นเป็นหมีกินผึ้ง
“ลิเกอะไรนี่ ไม่เห็นสนุกเลย ทำไมไม่เล่นเรื่องชาดกเรื่องสังข์ทอง พิกุลทองอะไรก็ได้ นี่อาไร้..เอะอะรบๆๆ ไปหาน้ำมะเนดกินดีกว่า”
ขณะที่อังศุมาลิน แม่อร ยายศร กำนันนุ่ม และแม่วันผู้เป็นภรรยา กำลังเดินดูราวไฟ ริ้วธงสองข้างทางสวนมา โดยมีเพียงกำนันนุ่ม กับแม่วันที่สวมหมวก พวกยายเมี้ยนเดินมาป๊ะกันพอดี ยายเมี้ยนร้องทักทายแกมแซวเสียงดังลั่น
“แหมๆๆ มากันพร้อมหน้า ครอบครัวแม่อร แม่อัง กับครอบครัวพ่อกำนัน..เสียดายพ่อวนัสลูกชายคนเดียวของพ่อกำนันไม่อยู่ซะแล้ว”
ตาแกละช่วยเสริม “เขาว่าที่เมืองอังกิด พวกเยระมันมันมาทิ้งบอมทุกวันๆ ป่านนี้พ่อวนัสจะเป็นไงมั่ง ได้ข่าวบ้างหรือเปล่าล่ะ”
“โชคดีของฉันแล้ว...ที่ตอนพี่นัสมาก้อร่อก้อติก..ฉันไม่สนใจไปเล่นด้วย ไม่งั้น...ป่านนี้ คงกลุ้มแย่ กลัวเป็นม่ายขันหมาก” แมวว่าโดยไม่คิด
ยายเมี้ยนทำทีเป็นห้ามลูกสาว “อย่าพูดแบบนั้นสิ แมวลูกแม่ ปากไม่ดีนี่…ไม่เป็นมงคลเอาซะเลย เดี๋ยวกำนันนุ่มกะแม่วันไม่สบายใจนะลูก”
อังศุมาลิน แม่ และยาย มองหน้ากัน อึ้งๆ
เวลาเดียวกันนั้น ที่กลางทะเลอ่าวไทย จังหวัดชุมพร ชาวประมงบนเรือทั้งหมด 3 - 4 คน พากันมายืนดูภาพตรงหน้ากันอย่างตื่นตะลึง
ทุกคนเห็นกองเรือลำเลียงกำลังพล ลำเล็กขนาดลำละประมาณ 20 - 30 คน ที่เหมือนแบ่งตัวออกมาจากเรือรบขนาดใหญ่ที่จอดเรียงเป็นภูเขาทะมึนไกลๆ ข้างหลัง แผ่เต็มแนวผืนมหาสมุทร ยังกับฝูงมด และกำลังแล่นตรงเข้ามา ท่ามกลางสายฝน
ชายที่ดูอาวุโสสุด มองตาลุกโต พูดสำเนียงใต้ “เรือรบ” แล้วรีบตะโกนสั่งลูกเรือ “หักเรือ หักเรือ เร้ว..ไปดับไฟเสีย”
ชาวประมงที่เหลือรีบตาลีตาลานแยกย้ายกันไปดับไฟเรือ และหันคันบังคับเรือหลบ กันจ้าละหวั่น
ส่วนที่ลานพระรูปทรงม้า พระนคร
ยินเสียงดนตรีดังมาจากอีกเวทีหนึ่ง เป็นดนตรีวงของกรมประชาสัมพันธ์ กำลังเล่นเพลงปลุกใจตามเคย นักร้องหมู่ทั้งชายและหญิงร้องประสานเสียง
“ต้นตระกูลไทย ใจท่านเหี้ยมหาญ
รักษาดินแดนไทย ไว้ให้ลูกหลาน
สู้จนสูญเสีย แม้ชีวิตของท่าน
เพื่อถนอมบ้าน เมืองไว้ให้เรา
ลุกขึ้นเถิด พี่น้องไทย อย่าให้ชีวิตสูญเปล่า
รักชาติยิ่งชีพของเรา
เหมือนดังพงศ์เผ่า ต้นตระกูลไทย”
พวกกำนันนุ่ม แม่วัน และบ้านอังศุมาลินเดินผ่านมาถึงหน้าร้านของกองทัพเรือ
คุณหลวงชลาสินธุราชกำลังยืนดูแลสั่งการเจ้าหน้าที่อยู่ด้านหน้า แล้วหันกลับมา เจอกับอังศุมาลินและแม่อรเข้าพอดี
“ลูกอัง” คุณหลวงทักทาย
“คุณพ่อ” อังศุมาลินไหว้ผู้เป็นบิดา
ส่วนแม่อร และยายศร ตกใจ ต่างทำหน้ากันไม่ถูก
เหตุการณ์กลางทะเลอ่าวไทย ชุมพร ช่วงกลางดึก
กองเรือลำเลียงกำลังพลเป็นฝูงขนาดมหึมา และกำลังแล่นมุ่งหน้าเข้าชายฝั่ง ท่ามกลางฝนพรำ
ที่เรือลำหนึ่ง ใต้สายฝน มองเห็นดาบซามูไรสะพายข้าง ไล่ขึ้นมาเป็นปืนพก และขึ้นไปอีกเป็นปืนยาวประจำกายที่สะพายเฉียงไว้ มองไล่ขึ้นมาอีกเห็นเป็นใบหน้าโกโบริที่ถูกเม็ดฝนเปียกโชก
โกโบริยืนเด่นอยู่บนหัวเรือ มองตรงออกไปอย่างมุ่งมั่น มีทหารซามูไรนั่งเรียงแถวอยู่ด้านหลัง ทุกคนหรี่ตาท่ามกลางม่านฝนที่ตกหนักขึ้น
ที่พระนคร ฝ่ายกำนันนุ่ม และแม่วันที่มัวเดินดูร้านรวงข้างทางเพิ่งตามมาถึง เห็นคุณหลวงชลาสินธุราช จึงทักทายกัน
“อ้าว..คุณหลวง เอ๊ย..คุณหลวงสิ”
“กำนันนุ่ม” หลวงชลาสินธุราชทักทายตอบ
“ข่าวคุณหลวงรบที่เกาะช้าง ฉันฟังวิทยุตลอดเลย ที่สู้กับพวกฝรั่งเศส” กำนันกล่าวชื่นชมคุณหลวง
“คุณหลวงเก่งเหลือเกิน ฉันได้ยินชื่อคุณหลวงทีแรกละใจหายวาบ” แม่วันว่าท่าทีมักคุ้นกัน
“สบายดีกันนะ”
คุณหลวงยิ้มให้ทั้งสองคน แล้วปรายตาไปมองแม่อร ทว่าแม่อรมองหลบต่ำไม่สนใจ ยายศรมองสังเกตกิริยาคุณหลวง
“แล้วพรุ่งนี้มาดูกันอีกหรือเปล่าลูกอัง” คุณหลวงหันมาคุยกับบุตรี
“เอ่อ คงไม่ค่ะ” อุงศุมาลินตอบ
ทันใดนั้นเอง คุณหญิงจิต ชลาสินธุ์ กับลูกสาว 2 คน ซึ่งแต่งตัวหรูหรา เครื่องเพชรพราว เดินเข้ามา
คุณหญิงจิต เห็นพวกชาวสวน ก็ยืนชะงัก ตัวแข็ง คอแข็ง ครอบครัวเมียเก่า เมียใหม่ต่างฝ่ายต่างหันไปเห็นกัน
“ยัยอังเรากลับกันเถอะ ดึกมากแล้ว” แม่อรเอ่ยขึ้น
อังศุมาลินไหว้ลาพ่อ แล้วจูงแม่กับยาย รีบไป
แม่วันล่ำลา “ไปก่อนนะ คุณหลวง ไป กำนัน ไปๆ”
กำนันนุ่มก้มศรีษะให้คุณหลวงชลาสินธุราช คุณหลวงก้มตอบ พวกชาวสวนรีบไป
“คุณพ่อคะ พวกนั้น..เขามาหาคุณพ่อหรือคะ” แก้วลูกสาวถามหลวงชลาสินธุราช
“เปล่า เขา...เผอิญผ่านมา เลยทักกัน เท่านั้น” คุณหลวงว่า
คุณหญิงจิตท่าทีไม่พอใจนัก “มีหรือ บังเอิญ..คุณหลวงก็พูดเป็นนิทานไปได้”
“คุณพ่อคุณแม่คะ..เราไปรับประทานไอศกรีมกันดีกว่าค่ะ ทางโน้น..หนูเห็นร้าน…”
กบพูดไม่ทันจบคำ ทันใดนั้น รถจี๊ปทหารคันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบ เรือเอกนายหนึ่งรีบวิ่งหน้าตื่นลงจากรถตรงเข้ามา ชิดเท้าทำความเคารพหลวงชลาสินธุราชอย่างเข้มแข็ง
“ขออนุญาตครับ”
“อา..มีอะไรละ” คุณหลวงรับการเคารพพลางถาม
“ท่านแม่ทัพให้ตามไปที่บ้านมนังคศิลาตอนนี้ครับ” เรือเอกนายนั้นรายงาน
หลวงชลาสินธุราชดูจะแปลกใจเล็กน้อย “ได้” พลางหันมาทางครอบครัว “ไปรับประทานกันเถอะ เสร็จแล้วก็กลับบ้านกันได้เลย พ่อขอตัวไปทำงานก่อน”
หลวงชลาสินธุราชรีบเดินตามเรือเอกนายนั้นไปขึ้นรถทันที รถจี๊ปขับแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนละแวกนั้นต่างหันมองตามรถที่วิ่งฝ่าฝูงชนออกไป
เวลาเที่ยงคืนแล้ว ทั่วทั้งบริเวณชายฝั่งทะเล จังหวัดชุมพร ฝนยังโปรยสายไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ท่ามกลางสายฝน ผบ.กองเรือ ที่อยู่บนเรือลำเลียงลำหน้าสุด ยกมือให้สัญญาณ หัวหน้าหมู่แต่ละลำยกมือให้สัญญาณเช่นเดียวกัน ไล่เลียงตามกันมาในแต่ละลำ เรือแต่ละลำค่อยๆ ลดความเร็วลงทันที จนมาถึงเรือของโกโบริ
โกโบริยกมือให้สัญญาณ แล้วหันมองไปที่คางาวะที่เป็นหัวหน้าหมู่ของลำถัดไป คางาวะให้สัญญาณตามโกโบริส่งมา หัวหน้าทุกคนของเรือแต่ละลำต่างยกมือค้างไว้
ผ่านหลังกองเรือลำเลียงพลนับร้อยลำที่ต่างหยุดนิ่งลอยลำอยู่ออกไป เห็นเป็นแนวชายฝั่งทะเลที่เงียบสงบ ทั่วทั้งบริเวณมีแต่แนวสุมทุมพุ่มไม้เหยียดยาวทะมึนไม่ไกล
หัวหน้าหมู่เรือแต่ละลำมองนิ่งใจจดจ่อรอสัญญาณบางอย่าง น้ำฝนไหลหยดพราวทั่วหน้าทุกคน
อึดใจหนึ่งมีสัญญาณไฟวาบขึ้นที่ชายฝั่ง ผบ.กองเรือพลันลดมือลง หัวหน้าหมู่แต่ละลำที่มองอยู่ต่างลดมือลงตาม
ที่ธนบุรี เห็นเรือแท๊กซี่มาจอดเทียบส่งที่ท่าน้ำบ้านอังศุมาลินกลางดึก บนเรือนอกจากยายศร แม่อร และอังศุมาลิน ยังมีกำนันนุ่ม แม่วัน กับชาวบ้านอีก 2-3 คน
“ขอบใจนะพ่อกำนัน” ยายศรบอก
อังศุมาลินขอบคุณ “ขอบคุณค่ะลุงกำนัน”
“สนุกกันดีนะ ทุกคน” กำนันนุ่มถาม
“สนุกมาก กำนัน ถ้ากำนันไม่พาไป พวกเราคงไม่ได้เห็นงานรัฐธรรมนูญกับเขา” แม่อรบอก
“โธ่..พวกเราไปไหนไปกันอยู่แล้ว วนัสเขาสั่งเสียไว้มากมาย..บ้านเราสองครอบครัวมันก็เหมือนครอบครัวกันอยู่แล้ว” แม่วันโอภาปราศัย
แม่อร และอังศุมาลินที่ประคองยายอยู่ ต่างมองส่งเรือที่แล่นออกไป ทั้งสามหันเดินกลับไปบ้านกัน
“คุณหลวงชลาสินธุราช...พ่อยายอังดูอยากจะพูดอะไรกับลูกนะ” ยายศรปรารภขึ้น
“ถ้าเขามีเรื่องจะพูด ก็คงพูดแล้วสิแม่”
แม่อรหันตัวเดินนำไป อังศุมาลิน และยาย สบตากัน
กลางดึกวันเดียวกัน ผู้นำกองทัพทุกเหล่า รวมทั้งหลวงชลาสินธุราช อยู่กันพร้อมหน้าภายในห้องประชุม บ้านมนังคศิลา
เห็นรูปในหลวงรัชกาลที่ 8 ฉลองเต็มยศขณะทรงพระเยาว์ แขวนอยู่บนผนังห้อง
ตรงโต๊ะประชุมใหญ่ มีทั้ง แม่ทัพอากาศ แม่ทัพเรือ และ อธิบดีกรมตำรวจ และนายทหารระดับสูงระดับเสนาธิการทหารราว 8 -10 คน รวมทั้งหลวงชลาสินธุราช
“ยังรีบตอบไม่ได้ ยังไงก็ต้องถ่วงเวลา รอท่านนายกฯเสียก่อน” อธิบดีกรมตำรวจเอ่ยขึ้น
ทุกคนเงียบ หน้าตาเคร่งเครียดกันอยู่สักครู่
แม่ทัพอากาศเอ่ยขึ้นเป็นรายต่อมา “ต้องยืนยัน ครม. ไปว่าขอยืดเวลาให้คำตอบญี่ปุ่นออกไปให้มากที่สุด”
ตามด้วยแม่ทัพเรือ “แต่ที่แน่ๆ ญี่ปุ่น...คงไม่รอ”
หลวงชลาสินธุราชที่นั่งอยู่หลังแม่ทัพเรือฟังแล้วเครียด
เวลาตีสอง ชายฝั่งทะเลชุมพร
เห็นรองเท้าเท้าบูทหลายคู่กำลังย่ำฝ่าคลื่น และโคลนเลนเดินมาอย่างยากลำบากท่ามกลางสายฝน
โกโบริลงเดินนำลูกหมู่มุ่งขึ้นฝั่ง ด้วยอุปกรณ์สัมภาระประจำตัวที่หนักอึ้ง คางาวะนำหมู่เดินมาไม่ห่าง
ผบ.กองเรือ ที่เดินนำด้านหน้าให้สัญญาณแยกหมู่ออกคนละเส้นทาง โกโบริรับทราบ พาหมู่เดินแยกไปทางหนึ่ง มีหมู่คางาวะตาม
ซึ่งระหว่างนั้นหากมองจากมุมบนลงมา จะเห็นพวกทหารญี่ปุ่นเรียงแถวหน้ากระดานซ้อนๆ กันหลายแถว ดาหน้ายาวเต็มแนวยาวของหาด
ทหารญี่ปุ่นบุกเงียบมาถึงป่าละเมาะ แล้วให้สัญญาณกัน ต่างคน ต่างควักมีดออกมา ตัดกิ่งไม้กันใหญ่ และต่างคนต่างทำอย่างว่องไว
เพื่อเอากิ่งไม้มาปักตามตัว พรางตน
คู่กรรม ตอนที่ 1 (ต่อ)
ตรงกระท่อมริมชายฝั่งทะเลชุมพร ช่วงเวลาประมาณตี ๒ ยินเสียงอึกทึกของฝีเท้าที่วิ่งกันตึ้กๆๆๆ ยังกะแผ่นดินเลื่อนแว่วมา ทำให้ชาวบ้านคนหนึ่งที่นอนอยู่ในกระท่อมงัวเงียลุกขึ้น เห็นแต่รองเท้าบูทที่ย่ำมามืดฟ้ามัวดิน
ชาวบ้านคนนั้นสยองขนตั้ง รีบลุกไปมองที่หน้าต่าง เพ่งมองออกไปจนแน่ใจ จากนั้นถึงกับตกใจ ร้องไม่ออก เมื่อเห็นทหารญี่ปุ่น ที่มีกิ่งไม้ ใบไม้พรางเต็มตัว ก้าวกันไปข้างหน้า เหมือนป่าเคลื่อนที่ได้ ทะมึนๆๆ
ชาวบ้านคนนั้นรีบลุกพรวด วิ่งลงจากกระท่อมออกไป
เวลาเดียวกัน อังศุมาลินอยู่ในชุดนอนแล้ว หลังจากก้มกราบพระที่หมอนสามจบ หญิงสาวนั่งทอดสายตามองนิ่งไปที่อัลบั้มที่กางคว่ำไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง อังศุมาลินตัดสินใจ ลุกเดินไปหยิบอัลบั้มนั้นขึ้นมาดู
หน้าที่กางค้างไว้นั้น มีภาพพ่อ หลวงชลาสินธุราช ในชุดทหารเรือโบราณ ยืนเอามือวางบนบ่าแม่อร ในชุดแต่งกาย ปลาย ร.๖ ผมดัดตามความนิยม ทั้งสองยังเป็นหนุ่มสาวอยู่มาก สวยหล่อเหมาะสมกัน มีคำบรรยายเขียนไว้ว่า “เรือโทหลวงชลาสินธุราช ร.น. และนางอร ชลาสินธุ์”
สีหน้าอังศุมาลินยามนี้ มีแววตาอ่อนหวานแกมเศร้า แล้วครู่หนึ่งจึงพับปิดอัลบั้มรูป เก็บลงลิ้นชักโต๊ะ แล้วไขกุญแจปิด เก็บลูกกุญแจนั้นใส่ลงลิ้นชักเล็กอีกที
อังศุมาลินดับไฟตะเกียง ทั่วทั้งห้องมืดมิด
ที่ป่ามะพร้าว ในชุมพรยามรุ่งสาง
โกโบริที่มีกิ่งไม้ไม้พรางตัว เดินนำหมู่ลัดเลาะมาตามแนวป่ามะพร้าวใกล้หมู่บ้าน โดยมีหมู่ของคางาวะตามระวังหลังห่างๆ ฉับพลันก็มีเสียงปืนยิงสวนขึ้นมา
นายทหารคนหนึ่งในหมู่ของโกโบริล้มลงทันที โกโบริให้สัญญาณหมู่หมอบราบลงกับพื้นทันที
เสียงปืนเงียบหายไปยาวนาน ทุกคนหมอบนิ่ง โกโบริรีบพลิกตัวไปดูลูกหมู่ที่โดนยิงและนอนนิ่งอยู่
เสียงปืนจากฝั่งตรงข้ามยิงเฉี่ยวมาในตำแหน่งที่โกโบริเคลื่อนไหว 3-4 นัด หมู่ของคางาวะยิงโต้สวนกลับไป 2 ชุด โกโบริพยายามห้ามเลือดลูกหมู่คนที่ถูกยิง โดนตรงลำคอเลือดไหลไม่หยุด
ทหารที่ถูกยิงพยายามจะพูดด้วยเสียงที่ห้าว ขาดเป็นห้วงๆ “ช่วย ช่วย...ผมด้วย”
โกโบริปลุกใจลูกหมู่เต็มที่ “เรียวซัง เข้มแข็งไว้..เรียว เรียวซัง”
แจ่แล้วลูกหมู่คนนั้นสิ้นใจไปต่อหน้า โกโบริเอื้อมปิดเปลือกตาลงให้ลูกหมู่ลงสนิท
เสียงปืนฝั่งตรงข้ามยังยิงโต้กลับมาประปราย
การประชุมของผู้นำเหล่าทัพ เสนาธิการทหาร และ หลวงชลาสินธุราช ภายในห้องประชุม บ้านมนังคศิลาเป็นไปอย่างเคร่งเครียดจากดึกจนถึงตอนเช้าวันต่อมา
แม่ทัพอากาศ แม่ทัพเรือ และ ผบ.ตำรวจ และนายทหารระดับสูงร่วม 10 นาย รวมทั้งหลวงชลาสินธุราช ต่างเฝ้ารอบางอย่างกันอย่างใจจดใจจ่อ บ้างยืน บ้างเดิน บ้างนั่ง บ้างอ่านเอกสารรายงาน
ผบ.ทหารอากาศ เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“จะเอายังไงก็เอา กองบินน้อยที่ 5 อ่าวมะนาว ประจวบคีรีขันธ์แหลกหมดแล้ว นายทหารนักบินดีๆ ของผมเสียชีวิตไปหลายคน...ผม…ผมไม่ไหวแล้ว จะไม่มีใครไปช่วยเชียวหรือ”
ทันใดประตูห้องเปิดเข้ามา เห็นเป็นเลขาฯ คณะรัฐมนตรีหนุ่ม เข้ามา รีบรายงาน
“คณะรัฐมนตรีมีมติให้หยุดยิงทันที ขอให้ท่านแม่ทัพรีบประสานงานทุกเหล่าทัพ รวมทั้งกรมตำรวจโดยด่วน!”
เวลาผ่านไปที่ป่ามะพร้าว ชุมพร ตอนสายๆ เกือบเที่ยง ยังเกิดการสู้รบปะทะกันอยู่ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น
โดยฝ่ายกองกำลังของไทย ที่มองไม่เห็นหน้า ดูลึกลับ พรางตัวอยู่ในป่าละเมาะ ระดมยิงเข้ามาตรงป่ามะพร้าวที่ทหารญี่ปุ่นซุ่มอยู่ถี่ยิบ จนถูกทหารญี่ปุ่นลูกหมู่ของคางาวะ ตายไปอีก 2 นาย บริเวณดังกล่าวนี้คือชายหาดชุมพร บ้านคอสน
ขณะที่แนวเคลื่อนทัพของคางาวะและโกโบริรุกกินแดนเข้าไปได้อีกสักสิบเมตร
โกโบริบรรจุกระสุนใหม่ เล็งยิงไปโดนตำรวจไทยนายหนึ่งล้มลงไป ฝ่ายญี่ปุ่นยิงใส่ฝ่ายไทยเป็นชุด จนฝ่ายไทยเงียบเสียงไป
โกโบริอาศัยจังหวะนั้น ขยับลุกพุ่งขึ้นไปเพื่อหวังกินแดนอีก แต่เกิดไปพลาดสะดุดล้ม เสียงปืนดัง โกโบริร้องเสียงดังแล้วล้มลง
คางาวะที่อยู่ไม่ไกลตกใจที่เห็นเพื่อนล้ม เลยยิงโต้กลับฝ่ายไทย แล้วรีบพุ่งเข้าไปหา โกโบริในระยะสามเมตร
“โกโบริ เป็นอะไรไหม”
โกโบริที่ล้มฟุบอยู่ ค่อยๆ ขยับหันหน้ามาหาคางาวะ ส่งสัญญาณมือโอเค.ให้
ด้วยเพราะมีเนินบังอยู่ทำให้คางาวะต้องเงยหัวขึ้นสูงเพื่อมองโกโบริ พลันเสียงปืนดังขึ้นเจาะเข้าเบ้าตาของคางาวะพอดี ต่อหน้าต่อตาของโกโบริ
โกโบริมองเพื่อนตัวแข็งอย่างช็อกสุดๆ พลันเหลือบเห็นกองกำลังฝ่ายไทยตัวเล็ก ซึ่งเป็นยุวชนทหารคนหนึ่ง กำลังขยับลุกจะวิ่ง โกโบริจึงเงื้อไกยิงใส่โดนขาล้มลง
“อา..คางาวะ”
โกโบริที่โดนยิงที่ไหล่และกระสุนหมด จึงลุกขึ้นวิ่งไล่ใส่ทหารตัวเล็กยุวชนทหารคนนั้นที่ล้มลง ปืนกระเด็น และพยายามตะกายหนี
โกโบริวิ่งตามติด จนทหารไทยเกือบจะหนีออกจากราวป่าขึ้นมาถึงถนน แต่โกโบริคว้าตัวไว้ได้ ทหารไทยล้มลงหมวกของทหารไทยหลุด เผยให้เห็นหน้าเป็นเด็กเยาวชน หน้าใส อายุสัก 15 ปี แต่ดูเด็กมากๆ โกโบริตะลึง ที่กำลังเงื้อจะแทงด้วยดาบปลายปืนก็ชะงักไป
ทั้งเด็กยุวชน และโกโบริ ต่างตะลึงมองกัน ตาสบตา ระยะใกล้ ทั้งสองต่างไม่ใช่คนที่ดูเหี้ยมโหดอะไรเลย โกโบริปล่อยเด็กนั้น เด็กตะลึง พอได้สติ รีบหนีเข้าป่าไป
โกโบริยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น
บริเวณชุมชนตลาดปากคลองฝั่งธนบุรี มีร้านกาแฟ ร้านของชำพวกข้าวสารอาหารแห้ง รวมทั้งร้านหมอฟันของหมอโยชิ
มีเสียงประกาศดังออกมาจากวิทยุกระจายเสียงเครื่องย่อม ของเฮียเม้ง
“...จึงขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ ให้ความร่วมมือกับกองทัพญี่ปุ่นและ รัฐบาลไทย ทำกิจการงานไปตามปกติ ไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจ คอยฟังคำประกาศจากรัฐบาลต่อไป”
สิ้นเสียงประกาศ เป็นเสียงเพลงปลุกใจดังกระหึ่ม
เฮียเม้ง ตาแกละ ตาบัว และยายเมี้ยน นั่งสุมหัวฟังอย่างตั้งใจ มีอาโก วิภา และแมวยืนล้อมฟังอยู่พร้อมชาวบ้านอีกนับสิบคน ทุกคนอยู่ที่โต๊ะร้านกาแฟอาโก
ยายเมี้ยนเปิดประเด็นในสภากาแฟก่อนใคร “เห็นมั้ยละ เห็นมั้ย แม่ว่าแล้ว..เล่าไปยังไม่ทันขาดคำ ตอนนี้เนี่ย มันมากันเต็มฝั่งพระนครพรึ่บ”
“อ๋า ยังงี้ จะโดนพวกญี่ปุ่นมายึดประเทศเอารึเปล่าเนี่ย ฉิกหายละ” อาโกออกความเห็น
เฮียเม้งท้วง “ไม่แน่โก ไม่งั้นมันจะเอาทหารมาขึ้นบ้านเราเกือบทุกจังหวัดชายทะเล รึ”
ตาผลเอ่ยขึ้นเหมือนจะเซ็งๆ “มายึดเลยเหรอ ตาย เมื่อคืนก็ยังฉลองรัดทัมมะนูนไม่ทั่วเลย รถถังฝรั่งก็ยังไม่เห็น
“เอ้ย ก็ไม่ต้องดูของฝรั่งหรอกเว้ยไอ้ผล เพราะเดี๋ยวราชรถถังญี่ปุ่นก็คงแล่นมาเกยให้เอ็งได้เห็นกะตาแน่”
ตัวบัวพูดไม่ทันขาดคำ ทันใดนั้นทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งเดินผ่านหน้าร้านกาแฟอาโกไป ทุกคนมองกันท่าทีตกตะลึงและตื่นเต้น
ทหารกลุ่มนั้น มาหยุดหน้าร้านเฮียเม้ง วิภามองไปทางพ่อ เฮียเม้งค่อยๆ กำตาขอเหล็กที่สำหรับเปิดกระสอบข้าวสาร ซ่อนไว้ในมือเพื่อเป็นอาวุธ
หัวหน้าหมู่ทหารสั่งให้ขวาหัน ทุกคนหันพรึ่บเพื่อเลี้ยวข้ามถนนไปสู่ร้านหมอฟันของโยชิ ที่มีป้ายภาษาไทยและญี่ปุ่นข้างหน้าว่า “หมอโยชิทันตกรรม” และมีรูปวาดเด็กๆ น่ารักสีสดใส ยิงฟันอยู่หน้าร้าน แล้วหัวหน้าหมู่สั่งหยุด และทุกคนหยุดพร้อมเพรียง
ภายในร้านยามนั้น หมอโยชิ กำลังแต่งเครื่องแบบอย่างเร่งรีบ แต่สีหน้าสงบ เยือกเย็น หยิบดาบซามูไรมาสะพาย
ไม่นานนัก หมอโยชิในชุดเครื่องแบบทหารญี่ปุ่น ก็เดินออกมาหยุดหน้ากลุ่มทหารนั้น แล้วรายงานตัวเสียงดังเป็นภาษาญี่ปุ่น จากนั้นจึงเดินเข้าร่วมแถว
แถวทหารที่มีหมอโยชิร่วมอยู่ด้วย เดินตัดผ่านหน้าร้านกาแฟอาโกไป ชาวตลาดทุกคนต่างมองแล้วอึ้งๆ
เวลาเดียวกัน บรรดาอาจารย์ เพื่อนนิสิต 6 - 8 คน และอังศุมาลินยืนคุยเครียดอยู่ในห้องเรียน ที่ ม.จุฬาฯ
“เห็นคุณพ่อว่า พวกฝรั่งจะมาบอมบ์เพื่อไล่พวกญี่ปุ่นออกไปนี่คะ” ม.ร.ว.ศิริณา เอ่ยขึ้น
“แล้วมหาวิทยาลัยเราจะปิดหรือเปล่าคะอาจารย์ บ้านเมืองเป็นแบบนี้” นรากรถามต่อ
“ผู้ใหญ่เขากำลังประชุมกันอยู่ เดี๋ยวคงจะรู้ นี่ครูก็รออยู่” อ.ประไพพรรณบอก
อังศุมาลินแทรกขึ้น “หนูว่ารัฐบาลทำไม่ถูก ที่ยอมแพ้ญี่ปุ่นง่ายๆ”
ทุกคนหันมาชู่ววว จุ๊ๆๆ ให้ระวังปาก
ระหว่างนั้นยุวดีวิ่งหน้าตาตื่น และซีดขาวเข้ามาในห้อง
“ทหารญี่ปุ่น..มากันเต็มเลยค่ะ” ยุวดีว่า
ระหว่างนั้นทหารญี่ปุ่น เดินผ่านหน้าห้องไป ทุกคนในห้องตกใจกันหมด
อ.ประไพพรรณงุนงง “นี่พวกนี้มาทำอะไรในมหาวิทยาลัยของเรา”
อังศุมาลินมองไปอย่างใจไม่ดี สักพัก อ.โทมัส ก็ถูกทหารญี่ปุ่นชุดเมื่อครู่ลากตัวผ่านหน้าห้องไป
“นั่น...อาจารย์โทมัส...ทำไมต้องมาจับอาจารย์ด้วย” ม.ร.ว.ศิริณาบอก
อังศุมาลินผงะ รู้สึกรับไม่ได้ มองหน้าเพื่อนๆ พวกเพื่อนผู้ชายทำหน้าขุ่นแค้น ท่าทีฮึดฮัด
“ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย ทหารญี่ปุ่นมาจับข้อหาอะไร” อังศุมาลินว่า
“ข้อหา...ว่าเป็นคนอังกฤษน่ะสิ” อ.ประไพพรรณบอก
ทหารญี่ปุ่นอีกชุดหนึ่งพรวดเข้ามา หนึ่งในนั้นพูดด้วยภาษาญี่ปุ่น
“ขอให้ทุกคน ออกไปจากอาคารภายในครึ่งชั่วโมง”
ทุกคนต่างตกใจ
เพื่อนนิสิตห้องอื่นๆ เดินกรูกันผ่านหน้าห้องไป มีคนหนึ่งหยุดโผล่เข้ามา
อังศุมาลิน ร้องบอกคนอื่นๆ “เร็ว ไปกันเถอะ พวกมันบอกว่า...ให้ทุกคนออกไปจากตึก”
“เธอไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นนี่ อังศุมาลิน ทำไมเธอเข้าใจล่ะ” ศิริณาสงสัย
“ฉันไม่ได้เรียนที่คณะฯ แต่ได้เรียน..จาก..หมอฟันแถวบ้าน” อังศุมาลินบอก
อ.ประไพพรรณเอ่ยขึ้น “หมอฟัน..นายแพทย์ แม้แต่ช่างถ่ายรูปชาวญี่ปุ่น ที่มาฝังตัวหาข้อมูลในเมืองไทย ทุกวันนี้ ลุกขึ้นแต่งเครื่องแบบทหารญี่ปุ่นกันหมดแล้ว”
อังศุมาลินเครียด สีหน้าคับแค้นใจ
บ่ายวันเดียวกัน ธงอาทิตย์อุทัยปลิวไสว คู่ธงไตรรงค์ เห็นแถวทหารญี่ปุ่นราว 4 กองร้อย ยืนเต็มผืนสนาม หน้าที่ทำการอำเภอเมืองชุมพร
ผบ.กองร้อยเดินตรวจแถว เรือเอกโกโบริ ยืนตรงอยู่หน้ากองร้อยหนึ่ง และเห็นหมอทาเคดะยืนประจำหมู่อยู่ด้วย
ผบ.กองร้อยเอ่ยขึ้น “วันนี้ เราจะเดินเท้าเข้ามะริด โดยไปพบกับกองพัน12 ที่นั่น จากนั้นเราจะยึดวิคตอรี่พอยท์ทันที รับทราบ”
ทหารทั้งหมด “รับทราบ” พร้อมเพรียง
สีหน้าโกโบริ มีแววตามุ่งมั่นฉายชัด
ไม่นานต่อมา ที่ธนบุรีเวลาเดียวกัน มีเรือเร็วลำหนึ่งที่มีทหารญี่ปุ่น 10 คน แล่นผ่านไปในคลอง จากนั้น ก็มีอีกลำที่บรรทุกทหารอีก 10 คน แล่นสวนไป
อังศุมาลินที่ใส่เสื้อหนาว มีผ้าพันคอ กำลังตัดใบเตยเงยมอง แล้วเมิน ไม่สน ตัดใบเตยต่อเสียงเรือแล่นใกล้เข้ามา ทำให้อังศุมาลินสงสัย เงยหน้าไปดูอีก เห็นเรือเร็วลำเล็ก มีทหารญี่ปุ่น 5 คน ยืนอยู่ มีคนหนึ่ง ยืนที่หัวเรือ ท่าทางเข้มแข็ง อังศุมาลินเขม้นมองเพราะคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็น
พอเรือจอด ทหารคนที่หัวเรือหันไปสั่งอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด แล้วกระโดดลงมาที่ท่า แล้วเดินตรงมา
อังศุมาลินเครียด สงสัยว่าใครกัน หรือมีเรื่องอะไรกับที่บ้านนี้หรือ
พอใกล้เข้ามาจึงเห็นชัด ว่าเป็นหมอโยชิในเครื่องแบบทหาร ใส่แว่นตาหนาเหมือนเดิมอังศุมาลินอึ้ง
“อังศุมาลิน..แม่อยู่ไหม” หมอโยชิถาม
อังศุมาลินเงียบนิ่ง มองตะลึง สักพัก ตัดสินใจตอบ “อยู่...” ทอดเสียงพอไม่ให้ห้วนฟังดูหยาบคาย
โยชิยิ้มแจ่มใส “ผมมีธุระกับแม่คุณ”
อังศุมาลินทำหน้าเฉยชา เหมือนฟังไม่รู้เรื่อง
โยชิถามต่อเป็นภาษาญี่ปุ่น “ไม่ได้เรียนมาหลายวัน ลืมที่ผมสอนหมดแล้วหรือ”
อังศุมาลินยังนั่งนิ่ง แววตาเย็นชา
หมอโยชิพูดไทยด้วย “หมอมีธุระ อยากพบคุณแม่ของอังหน่อย..คราวนี้เข้าใจหรือยัง”
“เชิญ...ค่ะ”
หมอโยชิเดินนำไป ทุกคนตาม อังศุมาลินมองตามแววตาเจ็บใจ
ครู่ต่อมาอังศุมาลินพูดปฏิเสธในท่าทีเด็ดเดี่ยวน้ำเสียงเฉียบขาด
“ดิฉันไม่ทำ ภาษาอะไรนี่...ดิฉันลืมไปหมดแล้ว คงเป็นล่าม หรือแปลอะไรไม่ได้”
แม่อรกลัวหมอโยชิโกรธ และอาจทำให้เกิดภัยได้ รีบพยายามพูดเอาใจ
“อังศุมาลินคงลืมจริงๆ น่ะค่ะ แล้วแกก็กำลังเรียนหนังสือ คงไปทำงานที่หมอแนะนำมาให้ลำบาก”
โยชิมองมาอย่างสะเทือนใจและเข้าใจดี “ไม่เป็นไร คุณอร...ไม่เป็นไร...ผมไม่ได้ขู่เข็ญให้อังศุมาลินไปทำงาน หมอบอกแล้ว ว่าหมอเห็นงานมันดี เงินเดือนดี หมอก็เลยคิดถึงลูกศิษย์ขึ้นมาเท่านั้น”
ทุกคนต่างเงียบกันไปครู่ใหญ่
โยชิมองดูต้นผลไม้รอบๆ บ้าน “แล้วปีนี้ผลไม้ของคุณอรเป็นยังไงบ้าง”
แม่อรพูดบอกท่าทีเกรงเอามากๆ “ก็…ก็ดีค่ะ”
“คุณอรจะรับเป็นคนส่งเสบียงให้แผนกพลาธิการไหม หมอจะช่วย...เอาแค่พวกผลไม้...กว้านของแถบนี้มาส่งทั้งหมด มีเท่าไหร่ เราก็รับซื้อ รายได้ไม่เลว…”
อังศุมาลินขัดขึ้น ตอบแทนแม่ “เสียใจค่ะหมอ เราไม่มีให้”
แม่อรมองอังศุมาลิน สีหน้าหนักใจ รีบแทรกขึ้น “พอดีเราขายเหมาขาประจำไปหมดแล้วค่ะ แต่ถ้าคุณหมอมีอะไร...ส่วนตัว ที่พวกเราจะช่วยอะไรได้ ดิฉันยินดี เชิญคุณหมอทุกเมื่อนะคะ”
“ขอบคุณคุณอรมาก ขอบคุณ...ถ้าหมอจะช่วยอะไรคุณอรได้...ก็ยินดี” โยชิหันมาหาอังศุมาลิน “อังศุมาลินคงไม่ชอบใจนักที่หมอมา เธอยังเด็ก..ยังไม่เข้าใจอะไรอีกหลายอย่าง”
อังศุมาลินพูดตอบน้ำเสียงกร้าว “ดิฉันไม่ใช่เด็ก ดิฉันเข้าใจอะไรดี!”
โยชิหันมามองอังศุมาลินแบบเต็มตานิ่งคิด แม่อรมองลุ้น เสียววูบ
โยชิมีสีหน้าอ่อนโยนขณะบอก “หมอดีใจอย่างนึงที่เห็นอังศุมาลินเป็นอย่างนี้ เพราะเด็กญี่ปุ่นก็ถูกอบรมให้รู้สึกอย่างที่อังศุมาลินรู้สึกเช่นกัน แต่หมอเสียใจ ตรงที่เราเข้าใจกันไม่ได้ อังศุมาลินยังแยกความรู้สึกส่วนตัวกับส่วนรวมไม่ได้ ถ้าเธอโตขึ้น เธอจะเข้าใจอีกหลายอย่าง”
อังศุมาลินมองอย่างกวนๆ โยชิพูดต่อ
“ภาษาญี่ปุ่นที่สอนไว้ แม้ว่าอังศุมาลินจะบอกว่าลืมหมด หมอก็อยากเตือนให้พยายา ฟื้นฟูไว้บ้าง เพราะบางทีมันอาจจะช่วยอะไรได้ภายหลัง บางทีเมื่ออังศุมาลินเข้าใจอะไรถูกต้องแล้ว..เราจะได้เป็นครู-ศิษย์กันอีก หมอลาล่ะ ส่งแค่นี้”
หมอโยชิพูดจบหันมาชิดเท้า วันทยาหัตถ์ตรงหางคิ้วขวาแสดงความเคารพ แล้วหันตัวเดินจากไป อังศุมาลินมองตามไป อย่างชิงชัง แม่อรมองลูกสาวอย่างเป็นห่วง
เวลาเดียวกัน ตรงบริเวณเนินเขาแห่งหนึ่ง บนเทือกเขาตะนาวศรี เขตประเทศพม่า ช่วงเวลาตอนกลางวัน ธงอาทิตย์อุทัยของหน่วยกองร้อยของโกโบริโบกไสวตามแรงลม ทิวแถวทหารญี่ปุ่นราว 20 - 30 นาย กำลังลุยฝ่าแนวป่ารกชื้น ฝนตกพรำๆ
โกโบริเดินนำหัวขบวนอย่างมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ เห็นทหารคนหนึ่งหน้าซีดเซียว ตาเหลือง ทรุดล้มลงไปที่พื้น ทหารที่อยู่ไกลรีบลงไปช่วยดูเพื่อน
หมอทาเคดะ ที่เดินตามหลังรีบแซงหน้าขึ้นมาดูอาการ โกโบริหันไปมอง ก่อนจะยกมือให้สัญญาณ
“แถวหยุด”
หมอทาเคดะตรวจดูอาการอย่างแคล่วคล่อง ดูตา ดูลิ้น จับชีพจร โกโบริลงมาดู
“หมอทาเคดะ..เขาเป็นอย่างไร” โกโบริถาม
หมอทาเคดะนิ่งไปครู่หนึ่ง ราวกับชั่งใจ แล้วหันมาส่ายหน้าบอกขณะโกโบริที่ถามต่อ
“พอมีทางไหม”
“ไม่มี” ทาเคดะบอก
โกโบริก้มหน้าสะท้อนใจ ทหารป่วยคนนั้น และรู้ชะตาตัวเอง หยิบรูปเมียรักยื่นให้โกโบริมือสั่น
“ฝาก..บอก ที่บ้าน ว่าผมรักเขามาก”
โกโบริรับรูปนั้นไป ทหารที่ป่วย ชักปืนสั้นตนเองขึ้นมามองดูปืน แล้วหลับตากัดฟัน โกโบริมองดูรูปนั้น เห็นเป็นรูปหญิงสาวชาวญี่ปุ่น หน้าตาสวยงาม โกโบริกระพริบตา พร้อมๆ กับเสียงปืนดังลั่น ปัง!
โกโบริสั่งแถวอย่างเฉียบขาด “เดินต่อไป”
หมอทาเคดะเดินนิ่งกลับมาเข้าแถว ทุกคนเดินต่อไป
คู่กรรม ตอนที่ 1 (ต่อ)
เวลาเดียวกันนั้นที่กระทรวงกลาโหม ตอนกลางวัน มีการร่วมลงนามร่วมรบระหว่างรัฐบาลไทย กับกองทัพญี่ปุ่นที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
มองเห็น “วันที่ ๒๕ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔” เด่นชัดในหนังสือลงนาม
รถลำเลียงทหารญี่ปุ่นวิ่งผ่านหน้ากระทรวงกลาโหม หลายสิบคัน ชาวบ้านต้องคอยหลบ บ้างยืนดูชาวบ้านมายืนมุงดูโปสเตอร์รณรงค์ให้ชาวไทยให้ความร่วมมือและสนับสนุนกองทัพ ลูกพระอาทิตย์ ที่ทหารญี่ปุ่นนำมาติด
หลายเดือนต่อมา
หากมองจากท่าน้ำบ้านอังศุมาลิน จะมองเห็นอู่ต่อเรือ ซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกันของคลอง แต่ระหว่างอู่กับที่ดินบ้านอังศุมาลิน มีลำประโดงเล็กๆ คั่นกลาง
เช้าตรู่วันนี้ น้ำไหลเรื่อย พากอผักตบลอยผ่านมา อังศุมาลินว่ายน้ำอยู่ ต้องคอยหลบ บางจังหวะต้องผลักไปให้พ้น ไม่ให้มาเกาะที่ท่าเรือหน้าบ้าน
อังศุมาลินทำหน้าฮึดสู้ปลุกใจตัวเองให้ฮึกเหิม แล้วว่ายทวนน้ำไปอย่างตั้งใจ แล้วก็หมดแรง ปล่อยตัวลอยกลับมา เกาะที่บันไดท่าบ้านตัวเอง หญิงสาวหอบ จังหวะนั้นยินเสียงเหล็กกระทบกัน ตามด้วยเสียงคล้ายเครื่องตัดเหล็ก ดังโช้งเช้ง จื๊ดๆๆๆ สลับกัน ดังมากขึ้นๆ
อังศุมาลินชักสนใจ หันไปมองๆ เห็นบนฝั่งคลองเดียวกัน ถัดไปจากลำประโดงคั่นแคบๆ ริมคลอง เรือเหล็ก ท้องแบน หน้าตัดเป็น4เหลี่ยมคางหมู ลำไม่ใหญ่ จอดเรียงรายเป็นแถวๆ
อังศุมาลินสงสัยระคนสนใจ ว่ามันคือเรืออะไรหน้าตาชอบกล หญิงสาวปล่อยตัวให้ลอยตามน้ำไป แล้วว่ายพยุงไปทีละนิดๆ เลาะเลียบเกาะนั่นเกาะนี่ไปตามทางที่ลอยผ่าน
ที่บริเวณท่าเรือหน้าอู่ มีต้นไทรใหญ่แผ่กิ่งก้านไปทั่วบริเวณ อังศุมาลินว่ายข้ามลำประโดงมา แล้วมาเกาะที่แถวเรือท้องแบนลำใหม่ๆ ที่จอดเรียงราย แล้วชะเง้อเข้าไปดูในตัวอู่ อังศุมาลินมองไป เห็นตรงหน้า แถวๆนั้น มีเรือเร็วสีขาวจอดอยู่ลำหนึ่ง
อังศุมาลินดำน้ำลงไปก่อนจะมาโผล่ข้างๆ เรือสีขาว แล้วเกาะขอบเรือ ขยับตัวกระดึ๊บๆ พาตัวเองเข้าไปจนใกล้ตัวโรงงาน
พ้นท้ายเรือสีขาว อังสุมาลินโผไปที่รากต้นไทร เกาะรากต้นไทรที่ย้อยมาพยุงตัว ชะเง้อมองดูในโรงงงาน เห็นพวกคนงาน ราว 10 คน ซึ่งล้วนเป็นทหารทำงานกันอย่างขันแข็ง เร่งรีบ
คนที่ดูสูงอายุ ชี้สั่งพวกเด็กๆ ตะโกนดุๆ เสียงดังโหวกเหวก พวกทหารเด็กรับคำไฮ้ๆๆ อย่างขึงขัง
อังศุมาลินเอียงคอดู รู้สึกน่าสนใจ
ทันใดนั้นมีเสียงผู้ชาย สดใส ร่าเริง ถามเป็นภาษาญี่ปุ่น ดังมาจากข้างหลัง
“หนาวไหมครับ”
อังศุมาลินสะดุ้ง หันขวับไป เห็นบนเรือสีขาวลำนั้น โกโบรินอนคว่ำพังพาบกับพื้นกำลังซ่อมเครื่องจักรอยู่ ในมือข้างหนึ่งถืออุปกรณ์ กำลังไขอะไรอยู่ มือเปื้อนดำ หน้าตาสดใสร่าเริง ใส่ชุดทหารลำลอง ครึ่งท่อนสำหรับการทำงาน
โกโบริรีบลุกมานั่ง ยิ้มให้ พร้อมกับทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่น
“สวัสดีตอนเช้าครับ”
อังศุมาลินเบิกตาโพลง อึ้งๆ งงๆ ขณะที่โกโบริเยื้อนยิ้มอย่างเป็นมิตร
อังศุมาลินมองเบิกตาโพลงอยู่อย่างนั้น ขณะที่โกโบริทอดยิ้มมาด้วยหน้าตาเป็นมิตรสุดๆ
“คุณพูดภาษาอังกฤษไหมครับ”
อังศุมาลินไม่ตอบ แล้วค่อยๆ ปล่อยตัวให้จมลงใต้น้ำมิดถึงคอ แต่ยังจ้องเป๋งที่โกโบริ แบบระวังตัวเต็มที่ โดยตาไม่กระพริบ
โกโบริไม่ยอมแพ้ พูดเป็นภาษาอังกฤษแบบกะท่อนกะแท่น พยายามสื่อสารด้วยหน้าตาและมือไม้ ภาษากาย
“ยู-อันเดอร์สแตนด์-ว็อท-ไอ สปี้ค..ไอเซด..อาร์ยูโคลด์? กู๊ดมอร์นิ่ง...แอนด์...ไอเซด..แคนยูสปี้คอิงลิช”
อังศุมาลินยังจดสายตามองหน้าโกโบริเป๋ง ขณะที่พยายามเคลื่อนตัวไปในน้ำ ถอยไกลออกไปช้าๆ สงบๆ เหมือนเวลาเจอเสือสิงห์ที่เป็นอันตราย ที่อาจกระโจนใส่ ต้องค่อยๆ หนี ไม่ให้มันรู้ตัว และอย่าละสายตาจากมัน
โกโบริมองขำๆ แล้วนึกมุกได้ รีบชี้ไปหลังอังศุมาลิน “สเน็ค! สเน็ค! บีไฮนด์ยู!”
อังศุมาลินผวา ตกใจ รีบหันไปดูข้างหลัง
โกโบริหัวเราะชอบใจ “แด็ท’ส ไร้ท์!! ยูอันเดอร์สแตนด์ อิงลิช แอ็คชวลลี่!”
อังศุมาลินเสียฟอร์ม หันไปถลึงตามองแบบดุๆ โกรธใส่
โกโบริโน้มตัวเกาะขอบเรือ ยื่นหน้าออกมาเต็มที่ พูดญี่ปุ่นปนอังกฤษ
“คุณอาศัยอยู่ที่ไหนครับ อ้า..ไอ แคน น็อท สปี๊ก อิงลิช เวล”
อังศุมาลินแค้นใจ ลอยตัวห่างออกไป แล้วกะพอได้ระยะ ก็หันมาเอามือกระทุ้งน้ำอย่างแรง กะให้น้ำกระเด็นไปเปียกอีกฝ่ายให้มากที่สุด แล้วรีบว่ายหนีไปอย่างเร็ว
น้ำกระเด็นใส่โกโบริเต็มหน้าตา เพราะไม่ทันตั้งตัว
โกโบริร้อง “เฮ้!”
อังศุมาลินมั่นใจว่าว่ายหนีมาในระยะปลอดภัยแล้ว หันไปดูผลงาน
เห็นโกโบริกำลังเอามือเช็ดน้ำออกจากหน้า แต่มือนั้นป้ายน้ำมันเครื่องที่เปื้อนมืออยู่ไปบนหน้าจนดำเป็นปื้น
อังศุมาลินอดหัวเราะออกมาด้วยความสะใจไม่ได้
โกโบริมองมาเห็น หัวเราะตอบ แล้วโบกมือให้แบบสุดแขน
“ซาโยนารา”
อังศุมาลินหุบยิ้มทันควัน หันตัวกลับ แล้วรีบจ้วงแขนว่ายๆๆ หนีอย่างเร็วยังกะแข่งว่ายน้ำ
โกโบริมองตาม ยิ้มค้างบนใบหน้า
วันต่อมาชาวบ้านมารวมตัวกันอยู่ภายในวัด บนศาลาการเปรียญ เห็นกำนันนุ่มกำลังปีนช่วยติดเครื่องประดับต้นผ้าป่า ตามมีตามเกิด มีตาบัว ตาผล และตาแกละช่วยกันคนละไม้คนละมือ
วงสนทนาระหว่างนั้น ที่หยิบมาคุยกันมีแต่เรื่องที่ทหารญี่ปุ่นมาทำอู่ต่อเรือละแวกนี้
“อ๋อ อู่เรือข้างๆ บ้านหนูอังน่ะ พวกญี่ปุ่นมันมาเช่าไปทำอู่ต่อเรือท้องแบน และซ่อมบำรุงเรือของพวกมัน ที่สำหรับใช้ตามแม่น้ำลำคลองบ้านเรานี่แหละ” กำนันทำไปพูดไป
อังศุมาลินกำลังทำตัวชะนีจากผ้าขนหนูสีเหลืองสำหรับถวายพระ เพื่อเอาแขวนกับต้นผ้าป่า ซึ่งทำจากกิ่งมะขาม ส่วนแม่อร ยายศร แม่วัน ยายเมี้ยน แมว พับแบงค์เป็นตัวนก ตัวผีเสื้อ สำหรับติดต้นผ้าป่า กันอยู่
“เห็นมาอยู่กันเป็นกรมกองเลยค่ะ หลายวันมานี่...เห็นเรือขนกำลังพลผ่านหน้าบ้านเราไปไม่รู้กี่ลำ ท่าทางจะอยู่กันระยะยาว” แม่อรว่า
“เขาเช่ากันเป็นรายปี..เจ้าของอู่แกก็ได้สตางค์เป็นล้าน เลยไปทำอู่ใหม่แถวปทุมโน่น” กำนันว่าอีก
“นี่ อังศุมาลิน..ระวังให้ดีเถอะ บ้านเธอยิ่งอยู่กันแต่ผู้หญิงกะคนแก่ด้วย เขาว่ากันพวกนี้มันชอบแก้ผ้าอาบน้ำ ยืนฉี่กันข้างถนน ไปสอดแนมมันมาก ระวังจะตาเป็นกุ้งยิง” แมวปากไวเหมือนเคย
“พูดอะไรก็ไม่รู้ แม่แมว เป็นสาวเป็นนางแท้ๆ” ยายศรทนไม่ไหว
แม่วันหลุดปาก “ถ้าวนัสอยู่ก็คงจะดี..จะได้ให้ไปเดินให้มันเห็นมั่ง ว่าบ้านนี้มีผู้ชายอยู่”
ตาผลแทรกขึ้น “แล้วรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับอังกฤษอเมริกาแบบนี้ ฝรั่งเมืองอังกฤษเค้าไม่จับตัวพ่อวนัสไว้หรอกหรือ
“ก็คงจับกระมัง เพราะตำรวจบ้านเรายังช่วยพวกญี่ปุ่นจับคนอังกฤษ ฝรั่งเศศ เนเธอแลนด์ไปขังคุกเป็นพรวนเลย ฉันเคยเห็น” ตาบัวว่า
กำนันนุ่ม แม่วันและพวกบ้านอังศุมาลินฟังแล้วหน้าซีด
ตาแกละเสริมอีก “รัฐบาลไทยประกาศสงครามน่ะ มีเหตุผลแล้ว...ก็พวกอังกิดมันมาทิ้งบอมใส่เราก่อนทำไม คนฝั่งพระนครเขาตายกันไปเท่าไหร่ ตึกรามบ้านช่องพังพินาศ เห็นไหม พวกผู้ลากมากดีฝั่งคะโน้นเค้าต้องอพยพหนีระเบิดมาอยู่ฝั่งธนฯของเรานี่กันเท่าไหร่ๆ”
ตาผลแทรก “แต่ถ้าฉันเป็นอังกฤษ ฉันก็เคือง..รัฐบาลไทยอยากลงนามร่วมรบเป็นพวกเดียวกับญี่ปุ่น ให้ญี่ปุ่นมาใช้ประเทศทำไม”
ตาแกละเถียง “รัฐบาลเขาก็ทำถูก..อังกิดฝรั่งเศสมันมีดีอะไร มันมีแต่จะมารุกรานพวกเรา ฝรั่งเศสก็ยึดอินโดจีนของเรา อังกฤษก็มาเอาดินแดนมาลายูของเรา สมแล้ว ที่ญี่ปุ่นเขามาช่วยเราขับไล่ฝรั่งไป”
ยายเมี้ยนฟังอยู่นานขอแจมมั่ง “นั่นสิ รบไปรบมา ตอนจบ ฝรั่งเยระมัน กะญี่ปุ่นนี่แหละ ที่จะชนะ วันนั้นฉันไปดูหนัง เขาฉายข่าว ว่าที่เมืองอีหรอบ เยระมันที่ชื่อฮิตเล่อร์ก็เก่งกว่าอังกิด ฝรั่งเศสอะไรหมด แล้วแถวนี้..ญี่ปุ่นก็เก่งกว่าใครหมด”
ตาบัวฉุน “อีเมี้ยน ไอ้แกละ มึงเป็นฝ่ายอักษะใช่ไหม ดี งั้นมึงกะกูก็เป็นศัตรูกัน เพราะกูเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร”
ตาผลผสมโรงกับเกลอ ทันที “กูด้วย ใครเป็นพวกญี่ปุ่น เราจะถีบมัน เพราะเราคือพยัคฆ์ร้ายไทยถีบ ใช่ไหม ไอ้บัว มา เรามารุมถีบไอ้แกละกะอีเมี้ยนกัน”
หลวงพ่อเดินมาได้ยินพอดี
“เออ ดี..พวกประเทศนอกไม่ต้องทำอะไรให้เปลืองแรงแล้ว...เพราะคนไทยด้วยกันจะมาถีบกันเอง แบ่งฝ่ายกันเอง ฆ่ากันเองก่อนที่วัดนี้แหละ ตกลงผ้าป่าสามัคคีก็ไม่ต้องทอดกันแล้วนะ เพราะมันเป็นผ้าป่าแตกสามัคคีเสียแล้ว..ใช่ไหม..หา”
คู่กรณีสงบปาก เงียบจ๋อย กำนัน แม่วัน และบ้านอังศุมาลินสะใจ
ครู่ต่อมา แม่วันดึงอังศุมาลินมาที่ลับตาคน มีกำนันนุ่มเข้ามาร่วมวง
“แม่อัง..อย่าไปฟังปากชาวบ้านพูดให้มากนัก เท่าที่ป้ารู้มา นักเรียนไทยในอังกฤษ ไม่ได้อยู่ในฐานะนักโทษ หรือศัตรูอะไรของทางเมืองนั้นเลย”
กำนันลดเสียงเป็นกระซิบ “สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ก็ประทับที่นั่น ทรงเกื้อกูลพวกนักเรียนไทยมาก” กำนันว่าพลางยกมือพนมเหนือหัว “ลุงได้ยินมาว่า ทุกคนปลอดภัยดี ราชนิกูลหลายพระองค์ เป็นตัวตั้งตัวตีรวมพวกนักเรียนไทยที่เคมบริดจ์...ที่มีวนัสกับเพื่อนๆ ด้วย...ขึ้นเป็นกลุ่มที่ไม่ยอมรับการประกาศของรัฐบาลไทยกับญี่ปุ่น”
อังศุมาลินกระซิบตาม ตามองซ้าย ขวา กลัวใครมาได้ยิน
“ค่ะ..หนูเห็นที่มหาวิทยาลัยเขาก็พูดกัน ว่าตั้งแต่วันที่10 ธันวาคม ปีที่แล้ว ที่รัฐบาลไทยจับมือให้ญี่ปุ่นเข้ามาใช้ประเทศ ทูตไทยในสหรัฐ..มรว.เสนีย์ ปราโมช ก็ตั้งกลุ่ม free thai movement หรือที่มีคนเรียกว่า “เสรีไทย” ขึ้นก่อนแล้ว”
“ลุงเชื่อว่า..ที่อังกฤษ...พวกของวนัส ก็คงจะต้อง..พยายามหาทาง...ทำอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ”
อังศุมาลินดูเป็นกังวล แต่ก็มีความหวัง แม่วันจับมืออังศุมาลินไปบีบเบาๆ ปลอบใจ
เช้ามืดวันต่อมา หน้าบ้านอังศุมาลิน ฝนกำลังตกหนัก เสียงลมฝนผสมกันอื้ออึง ลมพัดแรง แลไปเห็นภาพเงาต้นไม้ในสวนโดนพัดลู่โอนเอนไปตามแรงลม
ส่วนที่บนเรือน ตะเกียงเจ้าพายุแขวนอยู่ที่ขื่อ แกว่งไกวไปมาเล็กน้อย ในแสงนั้น แม่อรกำลังสาละวนกับการเก็บตะกร้า กระบุง และข้าวของต่างๆ ที่ตากอยู่นอกชาน เพื่อไม่ให้โดนฝน จนเนื้อตัวเปียกปอน
ประตูห้องนอนอังศุมาลินเปิดออกมา อังศุมาลินอยู่ในชุดนอน ผ้าซิ่น สวมเสื้อแพร รีบวิ่งเข้ามาช่วยยกกระจาดที่ทำกล้วยตาก ตากไว้ออกไปให้พ้นสายฝน
“ยายอัง.. ไม่เป็นไร แม่ทำเองได้” แม่อรร้องบอก
“เดี๋ยวแม่ไม่สบายนะคะ หนูทำเองดีกว่า” อังศุมาลินว่า
ฝ่ายยายศรหยิบเอาผ้าคลุมหัวเดินออกมา แม่อรร้องเรียก
“แม่! ออกมาทำไม ยายอังๆ มาพาคุณยายกลับเข้าไปข้างในเร็ว”
อังศุมาลินกำลังลากเข่งส้มโอเข้ามาไว้ในบ้าน
“น้ำเหนือก็กำลังไหลบ่ามา.. นี่ฝนยังมาตกหนักอีก ป่านนี้สวนเราก็คง...”
ยายศรไม่อยากพูดต่อ แต่ดูหนักใจมากๆ
ฝนยังคงตกลงมาไม่ขาดสาย ข้างนอกลมยังคงพัดแรงอยู่อย่างนั้น อังศุมาลินหันมองออกไปยังสวน ด้วยความรู้สึกกังวลไม่แพ้กัน
ฝนตกหนักติดต่อกัน จนเกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วพระนคร ซึ่งตรงกับ “เดือน กันยายน พุทธศักราช ๒๔๘๕”
พวกทหารญี่ปุ่นแล่นเรือท้องแบนไปในถนนหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ส่วนอีกมุมหนึ่ง หน้าวัดพระแก้ว ทางด้านสนามหลวง โกโบริ ลุงมาซาโอะ ทาเคดะ เคสะเกะกับเพื่อนทหารอีก 3 คน ถ่ายรูปหมู่ร่วมกันในเรือเป็นที่ระลึก ยิ้มแย้ม หยอกล้อกัน โดยมีช่างภาพทหารคนหนึ่ง ถ่ายอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อบันทึกเป็นความทรงจำ
ภาพเหล่านั้น ถูกนำไปล้างกลายเป็นภาพนิ่งขาว ดำ พร้อมมีลายเซ็นของแต่ละคนกำกับ ในเวลาต่อมา
แสงสีทองจับที่ขอบฟ้าไกลยามอรุณรุ่งวันต่อมา เผยให้เห็นต้นไม้ในสวนที่ชอุ่มไปด้วยน้ำฝนที่เพิ่งตกมาใหม่ๆ
ที่ชายคาบ้านมีน้ำฝนค่อยๆ หยดตกลงมา
ระหว่างนั้นแม่อรกับยายศร นั่งเช็ดข้าวของและผลไม้ที่เปียกน้ำอยู่บนเรือนอย่างหมดอาลัย
“พวกส้มคงจะไม่รอดหรอก ไหนจะต้นจำปาที่ท้ายสวนอีก พวกนี้มันไม่ชอบน้ำ”
ยายศรเริ่มไอโขลกๆ เหมือนจะไม่สบาย
“ช่างเถอะแม่ ค่อยตั้งต้นเอาใหม่”
ยายศรเหม่อ จนไม่ได้ยินคำพูดของแม่อร
“หนูว่าเดี๋ยวเราลงพวกกล้วยก่อนก็ดีนะ จะได้เก็บผลได้ไวๆ”
อังศุมาลินเดินถือกระจาดใส่ตำลึงขึ้นมาจากบันได
“ต้นมะพร้าวน้ำหอมของเรายังอยู่ดี มะม่วงก็ไม่เป็นไรมาก นี่..ดูสิคะ..หนูได้อะไรมา”
พลางอังศุมาลินยกกระจาดที่มีผักตำลึงงามๆ อยู่เต็มกระจาดเพื่ออวดแม่กับยาย
“งามขนาดนี้เลย ดูสิแม่”
แม่อรชี้ชวนให้ยายศรดู
“ยังมีอีกเป็นดงเลยล่ะ ต่อไปหนูจะเป็นคนเก็บเอง แม่กำให้หนูก็แล้วกัน เดี๋ยวหนูจะเอาไปขายที่ตลาด...”
อังศุมาลินว่า พร้อมกับทำหน้าตาร่าเริงสดใส เพื่อปลอบใจทุกคน
เวลาต่อมา สองแม่ลูกพายเรืออยู่ในคลอง กำลังจะไปตลาดท่าเตียนเพื่อนำของไปขาย อังศุมาลินซึ่งใส่เสื้อแขนยาวกันแดดสีน้ำเงินตุ่น กำลังพายอยู่หัวเรือ แม่อรที่เสื้อสีสดใสกว่า นั่งพายอยู่ท้ายเรือ ทั้งสองสวมงอบกันแดด ประสาชาวสวนธนบุรี
พืชผักผลไม้และสิ่งละอันพันละน้อยเท่าที่พอจะเก็บหาจากสวนได้อยู่เต็มลำถูกนำมาขายบริเวณตลาดท่าเตียน
ใบหน้าอังศุมาลินแดงก่ำอยู่ใต้งอบ ผมลุ่ยลงมาอยู่สองข้างแก้ม ที่แม้จะออกแรงพายเรืออย่างสุดแรง แต่สีหน้าดูตั้งใจ แข็งขันอารมณ์ดี
“ไหวไหมยายอัง เดี๋ยวขากลับ แม่ไปพายหัวเรือให้ดีกว่า หนูพายไม่ไหวหรอก น้ำลงออกควัก”
เห็นชัดว่าน้ำค่อนข้างเชี่ยวทำให้ต้องพายหนักแรง
ระหว่างนั้นเห็นเรือเร็วสีขาววิ่งแซงผ่านไปด้วยความเร็วสูง แม่อรรีบคัดท้ายหันหัวเรือโต้คลื่นโดยเร็ว
น้ำกระเซ็นสาดขึ้นใส่อังศุมาลินที่นั่งอยู่หัวเรือจนเปียก
“โอ๊ย.. ขับเรือภาษาอะไรเนี่ย”
อังศุมาลินฉุน ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้า พลางถอดงอบออกสะบัด ใช้พายตีน้ำอย่างขัดใจ
คลื่นที่เกิดจากเรือนั้น พัดเรือของอังศุมาลินแทบปลิวไปติดริมฝั่งคลอง อังศุมาลินมองตามไป เห็นธงชาติอาทิตย์อุทัยปลิวไสวที่เรือขาวลำนั้น
อังศุมาลินประชด จิกกัดอย่างขัดใจ “อ้อ..เรือไอ้พวกมหามิตรนี่เอง! มิน่าล่ะ”
โกโบริ ที่นั่งอยู่ท้ายเรือสีขาวลำนั้น เหลียวหันมาดู อังศุมาลินมองตอบ จ้องตาถมึงทึง
พอโกโบริเห็นอังศุมาลิน ก็จำได้ ดีใจ หันไปสั่งทหารพลขับเรือ ให้ตีวงกลับมาหา
อังศุมาลินเห็นเรือนั้นตรงมา ก็อึ้ง สบตากับแม่อย่างวิตก แล้วรวบรวมกำลังใจ เตรียมพร้อมเผชิญ
เรือสีขาวพุ่งตรงดิ่งเข้ามา พอใกล้จึงชะลอเครื่องลง โกโบริส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร แล้วตะโกนทักทาย เป็นภาษญี่ปุ่น
“คุณ.. สบายดีไหม”
อังศุมาลินพยายามจับกาบเรือที่โคลงเคลงไปมา โกรธ จึงสะบัดหน้าหนี
ทหารคนอื่นๆ ลุ้นๆ เอาใจช่วยโกโบริ
โกโบริยิ้ม ถอดหมวก แล้วก้มหัวให้แม่อร “กำลังจะไปไหนเหรอครับ”
แม่อรงงๆ ฟังญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง ได้แต่ยิ้มรับไปอย่างแกนๆ
“จ้ะๆ”
อังศุมาลินรีบพายเรือจ้ำหนี
“พวกญี่ปุ่นที่มาต่อเรืออยู่ใกล้ๆ บ้านเราค่ะแม่”
แม่อรหันไปมอง แล้วหันกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เขายังมองอยู่เลย.. ท่าทางเขายังกับรู้จักกับหนูงั้นแหละ”
เรือโกโบริขับชะลอๆ เข้ามาแล่นเคียงข้างไปช้าๆ อังศุมาลินลอบมองด้วยหางตา ปั้นหน้าไม่สนใจ
โกโบริชะโงกมา ยิ้มกว้างอย่างจริงใจ พูดอย่างร่าเริง
“มีอะไรอยู่ในเรือหรือครับ ขายไหม”
อังศุมาลินจ้องดุๆ กระชากเสียงใส่ “ไม่ขาย!..Not for sale!”
โกโบริก้มมา จับกราบเรืออังศุมาลินไว้ แล้วหันมายิ้มให้แม่อรซื่อๆ คราวนี้พูดไทยด้วย
“ไป-ใน-มา-ครับ พวก-นี้-คาย-หรือ-เปล่า”
แม่อรยิ้ม พยักหน้า แล้วชี้มือบุ้ยใบ้กวาดมือไปทั่วลำเรือแล้วชี้ไปข้างหน้า
“ขาย..ไป ขาย ที่ ตลาด”
“ตะลาด.. อิชิบะ”
โกโบริมองหน้าอังศุมาลินเหมือนเป็นการถามให้แน่ใจ
อังศุมาลินเอาพาย ตีๆ ใกล้ๆ มือโกโบริ
โกโบริสะดุ้ง รีบชักมือกลับ อังศุมาลินคัดหัวเรือออกห่าง จ้วงพายลงน้ำอย่างแรง
“จ้ะๆ อิชิบะ” แม่อรเป็นฝ่ายบอก
อังศุมาลินหันมามองแม่หน้างอ
“แม่รู้ภาษาญี่ปุ่นกับเขาด้วยเหรอ”
แม่อรงงๆ ว่าทำไมลูกโกรธ เรือโกโบริแล่นแซงไป
ขณะที่ใบหน้าโกโบริยังหันมามองอังศุมาลินจนเหลียวหลัง
โปรดติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 2