....พระประมุขของเรานั้น ใช่ว่าจะเรืองพระบรมเดชานุภาพ เฉพาะแต่ทางโลกก็หาไม่ แต่ในทางธรรมก็ทรงบรรลุภูมิธรรมอันสูงยิ่ง
สมแล้วที่ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก เป็นหลักชัยที่ค้ำชูทำนุบำรุงพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในพระราชอาณาจักร ตลอดระยะเวลาอันช้านาน
เมื่อแรกเริ่มครองราชย์ ก็ทรงประกาศเป็นพระปฐมบรมราชโองการ อันยังก้องกังวานทั่วผืนฟ้าแผ่นดิน สิ้นถึงทุกวันนี้ว่า
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
นับเป็นพระปฐมบรมราชโองการที่ครบถ้วนบริสุทธิ์บริบูรณ์ หมดจดงดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด
พระราชกรณียกิจมากหลายกว่าครึ่งศตวรรษ ล้วนเป็นบทพิสูจน์อันปราศจากความสงสัยใดๆ ว่าทรงตั้งอยู่ในธรรม ทรงเคารพธรรม ทรงถือธรรมเป็นใหญ่ ทรงประพฤติปฏิบัติธรรม และธรรมทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
ทรงละ ทรงวาง ความสุขสบายส่วนพระองค์เป็นระยะเวลาอันยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ เพื่อประโยชน์และความสุขของพสกนิกร สมัยหนึ่งเมื่อครั้งที่พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังมีชีวิตอยู่ได้กล่าวว่า
พระเจ้าอยู่หัวของเรานั้น ทรงตรากตรำพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรของพระองค์อย่างหนักหนาสาหัส ถึงขนาดอาบพระเสโทต่างน้ำ
เพราะเหตุที่ทรงประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นแบบอย่าง เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ตลอดระยะเวลาอันยาวนานเช่นนี้ ได้เปิดหนทางอันกว้างใหญ่ ให้ทรงค้นและพบพระเถรานุเถระที่ทรงภูมิธรรมขั้นสูง ได้ศึกษาและรับแนวทางปฏิบัติอันถูกต้อง ในการถึงซึ่งวิชชาในพระพุทธศาสนา
กระแสพระราชดำรัสหลายครั้งหลายหนที่ทรงรับสั่งกับพระมหาเถระที่ทรงธรรม ทรงวินัย ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ภูมิธรรมในพระองค์นั้นได้บรรลุมรรคผลที่สูงมาก ทรงแจ่มแจ้งทั้งในทางปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ อย่างยากที่พุทธศาสนิกชนคนใดจะก้าวไปถึง
มีผู้กล่าวว่าภูมิธรรมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้น มิได้ย่อหย่อนไปกว่าพระเจ้าพิมพิสารในครั้งพุทธกาล และมิได้น้อยไปกว่าพระเจ้าอโศกมหาราชในยุคหลังพุทธกาล 300 ปี นั้นเลย
แต่คอลัมน์นี้กล่าวได้ว่า พระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์นั้นก็ไม่เคยแสดงทิพยอำนาจในพระองค์ ให้ปรากฏเหมือนกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยเรานี้เลยแม้แต่สักครั้งเดียว
เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และเพื่อความรับรู้ในหมู่พสกนิกรซึ่งมีความจงรักภักดี เห็นสมควรนำกรณีอันมีผู้รู้เห็นยืนยัน และแสดงถึงภูมิธรรมอันสูงยิ่ง ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแสดงดังนี้
เรื่องที่หนึ่ง พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ อดีตนายทหารประสานงานของราชสำนักซึ่งได้ถึงแก่กรรมแล้วเคยเล่าว่า สมัยหนึ่งเมื่อครั้งยังปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่ ได้รับพระราชกระแสให้ไปนิมนต์พระมหาเถระฝ่ายอรัญวาสีองค์สำคัญของภาคอีสาน เพื่อมาร่วมงานราชพิธีส่วนพระองค์ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ ได้ติดต่อไปทางจังหวัดประสานงานไปทางอำเภอ ตำบล และต้องให้คนขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่วัด แต่ปรากฏว่าพระมหาเถระรูปนั้นได้ออกธุดงค์ไปแล้ว ไม่สามารถติดต่อได้ จึงนำความมากราบบังคมทูลให้ทรงทราบ
ทรงรับสั่งว่าให้ไปเรียนพระศาสนโสภณให้ช่วยนิมนต์ให้ พระศาสนโสภณที่ว่านี้ก็คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช องค์ปัจจุบัน ดังนั้น พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ จึงนำความไปเรียนให้พระศาสนโสภณทราบ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายโมงเศษ พระศาสนโสภณได้แจ้งว่าให้มาฟังผลในเวลา 16 นาฬิกา แล้วเดินขึ้นไปบนกุฏิชั้นบน พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ ได้รอคอยจนถึงเวลา 16 นาฬิกา ก็ได้รับคำบอกกล่าวจากพระศาสนโสภณว่า ได้นิมนต์ตามพระราชประสงค์แล้ว ให้เอารถไปรับที่จุดนัดพบในเวลาที่นัดหมาย
พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ เดิมสำคัญว่าพระศาสนโสภณมีข่ายงานติดต่อพิเศษของคณะสงฆ์ แต่ก็รู้สึกแปลกใจ จึงสอบถามพระเลขานุการว่าการติดต่อได้ใช้วิธีใด ก็ได้รับคำบอกว่าเป็นการติดต่อทางโทรจิต
ผู้ที่รู้ว่าผู้อื่นมีภูมิธรรมในระดับที่สามารถใช้ทิพยอำนาจได้เช่นนี้ ก็ย่อมมีภูมิธรรมที่ห่างกันไม่มากนัก เพราะคนธรรมดาไหนเลยจะล่วงรู้ได้
เรื่องที่สอง ช่วง 3-4 ปีก่อนที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาสจะมรณภาพ หนังสือพิมพ์ต่างประเทศได้ลงข่าวว่าท่านเจ้าคุณป่วยหนัก รัฐบาลไทยไม่เหลียวแลเอาใจใส่ หนังสือพิมพ์ไทยได้นำความมาลงตีพิมพ์ เป็นเหตุให้คนไทยได้รับรู้ และความทราบถึงเบื้องพระยุคลบาท
ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณพุทธทาสป่วยหนักด้วยโรคน้ำท่วมปอด เส้นเลือดหัวใจตีบ มีอาการหัวใจวาย และความดันโลหิตสูงร่วม 300 หากเป็นคนทั่วไปก็เห็นได้ว่าเข้าขั้นโคม่า มีความตายเป็นเบื้องหน้าเป็นแน่แท้
ในครั้งนั้นหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับลงข่าวตรงกันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้แพทย์หลวงคณะหนึ่งเดินทางไปรักษาท่านเจ้าคุณพุทธทาสที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และให้นำความไปถวายท่านเจ้าคุณด้วยว่า
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขออาราธนาว่าท่านเจ้าคุณอย่าเพิ่งดับขันธ์ ขอให้อยู่ช่วยจรรโลงพระศาสนาต่อไป”
แล้วหนังสือพิมพ์ก็เสนอข่าวต่อไปว่า เมื่อคณะแพทย์ไปถึง และท่านเจ้าคุณได้รับทราบว่ามีกระแสรับสั่งมาถวาย ก็ได้พยายามลุกนั่งสมาธิบนเตียงพยาบาล เมื่อได้ทราบคำอาราธนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ท่านเจ้าคุณนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ แล้วกล่าวว่า
“อาตมารับอาราธนา แต่จะอยู่ไปเท่าที่สังขารจะทนไหวเท่านั้น”
ในชั่วคืนวันนั้นเหตุการณ์มหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เพราะอาการหัวใจวายและเส้นเลือดหัวใจตีบได้ทุเลาลง น้ำท่วมปอดได้ลดลง ความดันได้ลดลงเกือบปกติ พระซึ่งใกล้ชิดท่านเจ้าคุณได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากรับอาราธนาแล้วท่านเจ้าคุณได้ปฏิบัติสมาธิและอยู่ในอาณาปานสติวิหารตลอดทั้งคืน
ความนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะมีข่าวต่อมาว่า หนังสือพิมพ์ต่างประเทศฉบับหนึ่งได้ลงข่าวในเชิงตั้งข้อสงสัยนี้ว่า พระสงฆ์ไทยนี้แปลก ที่สามารถผัดผ่อนความตายได้
แต่คนไทยจำนวนหนึ่งมิได้สงสัย เพราะมีความในมหาปรินิพพานสูตรแสดงไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ใดได้เจริญอิทธิบาทสี่ให้มากแล้ว ทำให้เป็นประหนึ่งยานแล้ว ทำให้เหมือนกับเป็นพื้นแผ่นแล้ว มีใจตั้งมั่นบริสุทธิ์ หากปรารถนาจะมีอายุชั่วกัลป์หนึ่งหรือกว่านั้นก็ได้
ท่านเจ้าคุณพุทธทาส คนทั่วไปรู้แต่เพียงว่าท่านทรงปริยัติเสมอด้วยพระพุทธโฆษาจารย์ของลังกาในอดีต แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ดีว่าท่านบรรลุภูมิธรรมถึงวิชชาแปดประการในพระพุทธศาสนา มีทิพยอำนาจอยู่ในตัว และเจริญอิทธิบาทอยู่เนืองๆ อาการป่วยขั้นวิกฤตที่ทุเลาเบาบางลงก็ด้วยทิพยอำนาจนั้น ดังที่ปรากฏความในมหาปรินิพพานสูตรนั่นเอง
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่า ท่านเจ้าคุณมีภูมิธรรมเช่นนี้ อยู่ในวิหารธรรมเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรู้ได้ หากต้องมีภูมิธรรมและอยู่ในวิหารธรรมที่ใกล้เคียงกัน ท่านเจ้าคุณพุทธทาสบรรลุภูมิธรรมขั้นไหน ก็เห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีภูมิธรรมที่ใกล้เคียงกันนั้นเอง
ดังนั้น จะกราบพระบรมฉายาลักษณ์ครั้งใด ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือกำลังกราบพระอริยบุคคลนั่นเอง
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องราวของพลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนลงไว้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐด้วยตัวท่านเองว่า สมัยหนึ่งจะเดินทางไปผ่าตัดหัวใจที่ต่างประเทศ ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ท้ายที่สุดได้ทรงรับสั่งว่า ไปผ่าตัดครั้งนี้จะไม่ตาย ให้รีบกลับ
พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนไว้ว่า มีความเชื่อมั่นในขณะนั้น บังเกิดเป็นปีติอันเปี่ยมล้นว่า ครั้งนี้เห็นจะไม่ตายแน่ มีอาการขนลุกซู่ซ่า
คำรับสั่งที่เสมอด้วยสามารถตกลงกับพญามัจจุราชได้ดังนี้ ใช่ว่าผู้ที่มีภูมิธรรมธรรมดาจะกระทำได้ นี่เป็นวิชชาหนึ่งในพระพุทธศาสนา ที่มีแต่ผู้มีภูมิธรรมอันสูงส่งเท่านั้นที่จะกระทำได้
เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องของครูเอื้อ สุนทรสนาน หรือสุนทราภรณ์ ผู้มีสมญาว่านักร้องชั้นบรมครูผู้อมตะ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นพิเศษคนหนึ่งในวงการศิลปินไทย โปรดให้เข้าร่วมวง อส. ซึ่งเป็นวงดนตรีส่วนพระองค์
ครั้งที่ทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงพระราชนิพนธ์ ก็ทรงพระราชทานให้กับวงสุนทราภรณ์นำไปแสดง ครั้งที่เสด็จนิวัติกลับพระนครหลังจากเสร็จการศึกษาจากต่างประเทศ ครูเอื้อ สุนทรสนาน และครูแก้ว อัจฉริยะกุล ก็ได้ร่วมกันรังสรรค์บทเพลงเพื่อถวายการต้อนรับ คือเพลงราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น อันเป็นอมตะ
ทรงมีพระเมตตาต่อครูเอื้อ สุนทรสนาน มาก ถึงกับพระราชนิพนธ์เพลงไตเติ้ลให้กับวงดนตรีสุนทราภรณ์ ชื่อว่าเพลงพระมหามงคล และพระราชทานธง ภปร. สำหรับวงด้วย
ในเดือนธันวาคมปีก่อนที่ครูเอื้อ สุนทรสนาน จะถึงแก่กรรม ได้โปรดเกล้าฯให้ครูเอื้อ สุนทรสนาน ขึ้นไปร้องเพลงถวายที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ในบทเพลงพรานทะเล ซึ่งขณะนั้นครูเอื้อ สุนทรสนาน ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง ได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลไปร้องเพลงถวาย แต่ร้องได้เพียงครึ่งเพลงก็ต้องทรุดลง
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพฯ เข้าไปประคองครูเอื้อ สุนทรสนาน เข้ามานั่งใกล้พระเก้าอี้ แล้วรับสั่งถามอาการ ครู่หนึ่งเหมือนกับจะทรงรู้ว่าครูเอื้อ สุนทรสนาน ป่วยคราวนี้คงตายแน่ จึงมิได้ตรัสประการใดเหมือนกับที่เคยตรัสกับพลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
เป็นแต่ทรงถอดสร้อยซึ่งห้อยพระสมเด็จจิตรลดาออกจากพระศอ คล้องคอครูเอื้อ สุนทรสนาน พร้อมกับตบศีรษะด้วยพระเมตตาแล้วทรงตรัสว่า ให้เร่งรักษานะ
ครูเอื้อ สุนทรสนาน กลับจากงานครั้งนั้น ก็รู้ตัวว่าถึงเวลาใกล้จะตายแล้ว จึงได้ทำเพลงสุดท้ายสั่งลาแฟนเพลง ชื่อว่าเพลงพระเจ้าทั้งห้า ซึ่งสรรเสริญและรำลึกพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ พร้อมกับฝากบทเพลงสุนทราภรณ์ไว้อยู่คู่ฟ้าเมืองไทย
นี่ก็เป็นวิชชาอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา เพราะแสดงให้เห็นถึงอนาคตังสญาณที่มีอยู่ในพระองค์ ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงการที่เสด็จไปแห่งหนตำบลใด ถ้าหากฝนแล้งก็จะบังเกิดฝนตก หรือถ้าฝนตกหนักก็บังเกิดฝนหยุด อันเป็นพระบารมีที่มีแต่ภูมิธรรมอันสูง และถือเป็นทิพยอำนาจในพระองค์ ที่คนไทยทั้งประเทศได้รู้ได้เห็นกันตลอดมาแล้ว
และด้วยภูมิธรรมระดับนี้ย่อมเชื่อและหวังได้ว่า องค์พระประมุขของเรานั้นทรงสามารถเจริญอิทธิบาทสี่ บรรลุถึงมรรคและผลแห่งวิหารธรรมข้อนี้ในระดับที่สูง ก่อเป็นทิพยอำนาจในพระองค์ สมแก่ฐานะขององค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ซึ่งพสกนิกรทั้งประเทศสามารถกราบไหว้ และได้อานิสงส์อย่างเดียวกันกับการกราบไหว้พระอริยบุคคลนั้นแล
ขออำนาจสัตยาธิษฐาน ความมีอยู่จริง ความมีผลจริง ในวิชชาและวิมุตติในพระพุทธศาสนาและคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนอำนาจแห่งพระปริตร ได้คุ้มครองกำจัดและป้องกันสรรพภัย สรรพทุกข์ สรรพโรค อย่าได้กล้ำกรายพระองค์ ขอทรงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณในกาลทุกเมื่อเทอญ
บทความนี้ “สิริอัญญา” ได้เคยเขียนไว้ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันฉัตรมงคล ซึ่งธรรมลีลาได้นำบางส่วนมาลงให้อ่านอีกวาระหนึ่ง
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย สิริอัญญา)