xs
xsm
sm
md
lg

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 5

ส่วนเหตุการณ์ที่โรงพัก กระเต็นก้าวเข้ามาหน้าห้องขังเห็นกล้านั่งกลุ้ม กระเต็นถึงกับน้ำตาคลอ โกรธลูกก็โกรธ พอกล้าเห็นกระเต็นก็รีบลุกขึ้น

“แม่”
“แม่รู้แล้วว่าแกออกจากกุฏิไปทำอะไร”
“ผมขอโทษครับแม่ คือ”
“แกไม่ต้องพูดกล้า แกลงทุนยอมติดคุกเพื่อปกป้องผู้หญิงคนนั้น”
“ไม่ใช่นะครับแม่ แต่ว่าผมแค่ไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ”
“ไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจหรือกลัวแม่ไปยุ่งกับราชาวดี”
“แม่ครับ ผมแค่อยากจะขออโหสิกับเค้า ผมเป็นคนโทรไปหาเค้าเอง แล้วผมก็ไม่ได้พูดกับเค้าด้วยซ้ำ ผม”
“แกอาจจะเห็นคนอื่นที่สำคัญกว่าแม่ แต่สำหรับแม่ อนาคตของแกสำคัญที่สุด จำเอาไว้”
กระเต็นเดินออกไป
“แม่ครับ แม่”
กล้าเครียด

ที่ห้องทำงานสุพจน์ สุพจน์วางหูโทรศัพท์หันมาหากระเต็น
“ตอนนี้ผมประสานให้ท้องที่กระจายกำลังกันหาตัวสัปเหร่อกล่ำแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่พบ”
“แล้วช่วงนี้ ให้ประกันตัวกล้าออกมาก่อนไม่ได้เหรอคะ”
“ผมพยายามแล้ว แต่ศาลไม่อนุมัติเพราะพยานแน่นหนามาก”
“เอาเป็นว่า คุณช่วยหลานไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ซักอย่างงั้นฉันก็คงต้องช่วยตัวเอง”
กระเต็นลุกขึ้น
“เดี๋ยวซิครับ คุณเต็น”
ตำรวจเคาะประตู แง้มเปิดเข้ามา
“ขออนุญาตครับ”
“อั๊วมีแขกไม่เห็นเหรอ”
“มีเรื่องด่วนครับ”
กระเต็นไม่พูดไม่จาเดินออกไป สุพจน์ถึงกับเซ็ง
“มีอะไร ก็พูดซิ”
“ตำรวจที่ป้อมแถวพลับพลาชัย ถูกฆ่าตายครับ คนร้าย น่าจะเป็นชุดเดียวกับที่เราล่าตัวอยู่” สุพจน์อึ้ง
“บ้าที่สุด มันเหิมเกริมมากไปแล้ว”

ระหว่างนั้นตำรวจตั้งด่านสกัดจับขุนโชติกับลูกน้องแต่ก็ยังไม่เจอตัว ตำรวจที่ด่านก้มดูภาพสเก็ตช์ของขุนโชติ เสือดำ เสือไทในมือหน้าเครียด ทันใดลูกธนูของเสือดำก็พุ่งมาปักอกตำรวจล้มลงไปตาย 2 นาย ตำรวจที่เหลือในด่าน ตกใจรนราน ชักปืน เล็งไปรอบๆ ขุนโชติเดินถือดาบนำ เสือดำกับเสือไท ออกมา ตำรวจต่างระดมยิงด้วยความกลัว
ขุนโชติใช้ตวัดดาบประจุพราย ฟันกระสุนขาด ฉัวะๆ เสือดำกับเสือไทตรงเข้าฆ่าตำรวจที่เหลืออย่างโหดเหี้ยม ตำรวจผู้เป็นนายวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่ขุนโชติก็ไล่ตามทัน ตวัดดาบฟันฉับ จนคอขาดกระเด็น ขุนโชติมองอย่างสะใจ
“ต่อแต่นี้ พวกเอ็งอย่าได้อยู่เป็นสุขเลย ไอ้พวกโปลิศ”
ขุนโชติยิ้มเหี้ยม

ที่โรงพยาบาล ครูเริงนอนขดตัว กุมท้อง แข้งขาเกร็ง กระสับกระส่าย พลิกไปมา ปวดท้องหน้าซีดอยู่บนเตียง
พลางส่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย”
คะนึงนิจกับราชาวดีนั่งเฝ้าเริงอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียง
“หมอให้ยาไปแล้ว แต่อาการครูยังไม่ดีขึ้นเลย”
คำนึงนิจบอกอย่างหนักใจ ราชาวดีกุมมือพ่อเป็นห่วงมาก
“วดีมั่นใจว่าพ่อต้องหาย ไม่เป็นไรนะคะพ่อ วดีอยู่นี่แล้ว”
ภูมินทร์เดินเข้ามาแล้วพูดกับคะนึงนิจ
“พี่ขออยู่ดูอาการครูด้วยนะ” คะนึงนิจชักสีหน้าไม่พอใจ ภูมินทร์พูดกับครูเริง “เข้มแข็งไว้นะครับครู”
ครูเริงมองภูมินทร์อย่างไรเรี่ยวแรง พลางพยักหน้ารับ ภูมินทร์เดินออกไป ยืนกอดอกอยู่ห่างๆ ที่มุมหนึ่ง เงียบๆ คะนึงนิจชำเลืองมอง ไม่พอใจ

คะนึงนิจดึงภูมินทร์ออกมาคุยกันตามลำพัง
“บอกนิจมา พี่ภูต้องการอะไรจากวดีกันแน่”
“นิจ พี่รู้ ว่าพี่เคยทำไม่ดีมามาก แต่เรื่องราชาวดี พี่จริงใจ”
“แต่นิจไม่เชื่อ”
ทันใดมีเสียงร้องดังขึ้น
“ว้าย” คะนึงนิจกับภูมินทร์ตกใจ หันมองตามเสียงทันที คมวิ่งเข้ามาหาภูมินทร์หน้าตื่นแล้วแกล้เงทำเป็นตกใจ
“แย่แล้วครับนาย ครูเริงอาละวาดจับตัวพยาบาลแล้วหนีขึ้นไปดาดฟ้าแล้วครับ”

คะนึงนิจวิ่งไปทางที่คมชี้ทันที ภูมินทร์รีบวิ่งตาม

ครูเริงยืนอยู่ที่ริมดาดฟ้าของโรงพยาบาล ล็อคคอนางพยาบาลเอาไว้ ตาขวาง ใต้ตาคล้ำดำ มีรปภ.โรงพยาบาล 3 นาย ล้อมเอาไว้ ราชาวดีอยู่มุมหนึ่งพยายามเกลี้ยกล่อมพ่อ

“พ่อ พ่ออย่าทำแบบนี้สิคะ ปล่อยเค้าเถอะค่ะ เค้าไม่รู้เรื่อง”
“ไม่ นั่งนี่มันจะฆ่าฉัน” คะนึงนิจกับภูมินทร์และคม วิ่งเข้ามา ครูเริงเห็นตวาดลั่น “ถอยไป”

ที่ตำนักอาจารย์ยอด ภาพในขันน้ำมนต์เป็นภาพครูเริงคุ้มคลั่งปรากฏอยู่ อาจารย์ยอดชอบใจ
“ข้าทำพิธีผูกจิตเอ็งไว้แล้ว สั่งตายเอ็งก็ต้องตาย! ฮ่าๆๆ”
อาจารย์ยอดบริกรรมคาถาฟังไม่ได้ศัพท์ก่อนจะแล้วเป่ามนต์ลงไปที่ขัน ควันสีดำลอยออกจากปากอาจารย์ยอดตรงไปที่ขัน
ลมสีดำพัดวูบเข้ามาที่หน้าของครูเริง
“พวกแกจะฆ่าฉัน”
ครูเริงผลักนางพยาบาล แล้วปีนขึ้นไปบนสันของขอบดาดฟ้า ทุกคนต่างตกใจ ราชาวดีร้องห้ามพ่อลั่น “ไม่นะ”
ครูเริงตกอยู่ภายใต้อาคม ไม่สนใจ จะกระโดดตึกลงไป ภูมินทร์ที่ยืนรออยู่แล้ว อาศัยความไวพุ่งเข้าไปกระชากตัวไว้ได้ทันควัน ทั้งสองคนร่วงมากองอยู่กับพื้นดาดฟ้า

ครูเริงถูกนำตัวกลับมาที่ห้องพัก เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาครูเริงมองราชาวดีกับคะนึงนิจที่นั่งอยู่ข้างเตียง ราชาวดีกับคะนึงนิจพากันดีใจ
“พ่อ นิจพ่อฟื้นแล้ว”
ครูเริงกับราชาวดีจับมือกัน สองพ่อลูกต่างยิ้มให้กัน ภูมินทร์เดินเข้ามาหา
“ผมภูมินทร์ ครูจำผมได้ใช่ไหมครับ”
ครูเริงมองหน้าภูมินทร์ ภูมินทร์ยิ้มตอบอย่างมีน้ำใจแต่ปากภูมินทร์กำลังว่าคาถา
“จิตติ จิตตัง จิตติพันธะนัง ปิยังมะมะ อาคัจฉาหิ”
เหมือนมีคลื่นพลังเคลื่อนมาปะทะตัวครูเริงตะลึงๆ เพราะต้องอาคม

ก่อนหน้านี้อาจารย์ยอดยื่นกระดาษให้กับภูมินทร์พร้อมกับบอกว่า
“คาถานี้จะทำให้ไอ้ครูนั่นชื่นชม แล้วก็เชื่อเอ็งทุกอย่าง”
ภูมินทร์รับมาดู ชอบใจ คมมองตามอยากรู้อยากเห็น

เมื่อภูมินทร์ท่องคาถาทุกอย่างก็เป็นไปตามที่อาจารย์ยอดบอก ครูเริงพยักหน้ารับ ยิ้มให้ภูมินทร์
“ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ผมคงแย่”
ครูเริงดันตัวเองให้ลุกจะไหว้ ภูมินทร์รีบเข้าไปห้ามไว้
“ครูไม่ต้องไหว้ผมครับ เดี๋ยวผมอายุสั้นกันพอดี ครูนอนพักเถอะนะครับ เห็นครูดีขึ้นแบบนี้ผมก็โล่งใจ ส่วนเรื่อง
ค่าใช้จ่ายไม่กังวลนะครับ ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”
ครูเริงจับมือภูมินทร์ ชื่นชม
“คุณเป็นคนดีจริงๆ งั้นก็ ขอบใจมากนะ”
“แต่พ่อคะ” ราชาวดีจะแย้ง
“เอาน่าวดี อย่าให้เสียน้ำใจคุณเค้าสิ”
ราชาวดีมองพ่ออย่างแปลกใจ เพราะพ่อไม่เคยเป็นแบบนี้
“อย่าเกรงใจเลยครับ ผมยินดี”
ภูมินทร์ทำยิ้มจริงใจให้ราชาวดี คะนึงนิจมองอย่างสงสัย

“พี่ภูเค้าทำแบบนี้ ต้องหวังจะทำคะแนนกับวดีแน่ เสียดาย เงินเก็บเรามีไม่เท่าไหร่ ไม่งั้นเราไม่มีทางให้เค้ามายุ่งกับครูแน่”
คะนึงนิจบอกขณะอยู่กับราชาวดีตามลำพัง
“ไม่ว่าพี่ชายนิจจะทำเพราะเหตุผลอะไรเราก็ต้องขอบคุณเค้าที่ช่วยชีวิตพ่อเอาไว้ เรื่องเงิน เราจะรีบหามาคืนเค้าเอง”
คะนึงนิจพยักหน้ารับ
“เออจริงสิ เราลืมบอกเรื่องพี่กล้าไปเลย”
“พี่กล้า พี่กล้าเป็นอะไรไปอีกเหรอนิจ” ราชาวดีถามอย่างเป็นห่วง
“ตอนนี้คุณน้ากระเต็นรู้แล้วว่าใครจะเป็นพยานให้พี่กล้าพ้นผิดได้” ราชาวดีดีใจ
“จริงเหรอนิจ”
ภูมินทร์ยืนแอบฟังอยู่มุมหนึ่ง หน้าเครียดขึ้นมาทันที

เมื่อภูมินทร์กลับมาบ้าน เหล็งก็รายงานให้เสี่ยไพบูลย์กับภูมินทร์ฟัง ทั้งสองคนหน้าเครียด
“เป็นความจริงครับ สายของเราบอกว่าแม่ไอ้กล้ากำลังวิ่งเต้นกับตำรวจเจ้าของคดี ขอร้องยังไม่ให้ส่งสำนวนฟ้อง มันอ้างว่ายังมีพยานปากสำคัญเป็นสัปเหร่อที่วัด”
“ผมจะไปปิดปากมันเองครับพ่อเลี้ยง”
“เฮ้ย ใช้หัวคิดหน่อยสิวะ ขืนเราลงมือเอง ตำรวจมันจะสงสัยเอาได้”
ภูมินทร์เห็นด้วย
“งั้นคงต้องยืมมืออาจารย์ยอดอีกครั้ง”

คืนนั้นที่โกดังเก็บศพ ฝาโลงพะเยิบพะยาบแล้วเปิดออกตากล่ำลุกขึ้นมา มองรอบๆ
“มาอยู่ในนี้ได้ไงวะ”
ตากล่ำตะเกียกตะกายออกจากโลง แล้วเตะเอาขวดเหล้าเปล่าที่กลิ้งอยู่ ตากล่ำคว้าขวดเหล้าขึ้นมา ชี้นิ้วด่า “เฮ้ย ทำไมเอ็งไม่ปลุกข้ากลับบ้านวะ เด่วปั๊ด โถๆๆ ไม่ต้องร้องไห้ ข้าล้อเล่นไปๆ เดี๋ยวข้าเลี้ยงเอ็งสักกรึ๊บ”

ตากล่ำกอดขวดเหล้าเปล่าเดินโซซัดโซเซออกไป

ตากล่ำกอดขวดเหล้าเดินเซด้วยความเมา ร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี

“ลอย ลอยกระทง เอิ้ว ลอย ลอยกระทง เอิ้ว
ลอยกระทงกันแล้ว ขอเชิญน้องแก้วมาร่วมรำวง”
ระหว่างนั้นมีวิญญาณร้าย พุ่งเข้าหาตากล่ำทางด้านหลัง ตากล่ำรู้สึกตัวหันกลับไปมองแต่ก็ไม่มีอะไร จึงหันหลังกลับจะเดินไป แต่แล้วกลับถูกมือใครบางคนผลักกระแทกจนล้ม หน้าขมำ
“ใครมันผลักข้าวะ? อยากเจอดีรึไง”
ตากล่ำนอนคว่ำกับพื้นแล้วก็เห็นหัวเสือทับอยู่บนพื้น กำลังจ้องมองมองตากล่ำด้วยแววตาเหี้ยม
“เฮ้ย เอ็งเมาเหมือนข้ารึไงวะ ถึงมานอนอยู่ที่พื้นเนี่ย”
ทันใดก็มีมือจิกหัวเสือทับให้ลอยขึ้น จะเห็นว่าเป็นร่างของเสือทับที่ไร้หัว หยิบหัวตัวเองไปวางไว้บนคอ ตากล่ำตาค้าง หายเมาเป็นปลิดทิ้ง
“ผ...ผี... ผีหัวขาด”
ตากล่ำวิ่งหนีสุดชีวิต แต่แล้วต้องชะงักเพราะวิญญาณเสือทับมาดักหน้า พุ่งเข้าบีบคอ ตากล่ำพยายามดิ้นรน หายใจไม่ออก เสือทับแสยะยิ้ม แววตาเหี้ยม หักคอตากล่ำตายคาที่

ขณะนั้นเด็กวัดกำลังเดินนำหาญกับกระเต็นมาที่ศาลาท้ายวัด แต่ไม่มีใครอยู่เลย
“ไหนสัปเหร่อกล่ำ ไม่เห็นมีใครที่นี่เลย”
“เอ๊ะ ก็เมื่อกี้ยังนอนเมาอยู่แถวนี้ หายไปไหนซะแล้ว”
หาญเดินไปมองหารอบๆ แล้วหาญก็เห็นตากล่ำ เดินอยู่ไกลๆ เลี้ยวหายไป
“นั่นไง นายกล่ำอยู่นั่น”
ทั้งสองคนรีบตามตากล่ำไป

ตากล่ำเดินตาแข็งไร้แวว ที่คอมีรอยช้ำ หาญกับกระเต็นเดินตามมาจนทัน
“นายกล่ำๆ หยุดก่อน”
หาญตะโกนเรียก ตากล่ำหยุดนิ่ง หาญกับกระเต็นเข้าไปหา ทันใดนั้นตากล่ำก็หันกลับมา ดวงตาแดงกล่ำ พุ่งเข้าบีบคอกระเต็นโดยที่ทั้งสองคนไม่ทันตั้งตัว
“นายกล่ำ นายกล่ำ ปล่อย”
หาญกระชากตากล่ำออก อัดจนผงะไป จู่ๆ ร่างของตากล่ำก็ทรุดลงกองกับพื้น กระเต็นตกใจจะเข้าไปดู
“นายกล่ำอย่าเพิ่งตายนะ”
หาญรีบดึงกระเต็นไว้ แปลกใจ เอื้อมมือแตะชีพจรตากล่ำอย่างระมัดระวัง เพ่งจิตแล้วตาทิพย์หาญก็เห็น
วิญญาณเสือทับจ้องมอง แววตาอาฆาต หัวเราะสะใจ หาญทั้งตกใจทั้งประหลาดใจ คาดไม่ถึงทันใดนั้นศพของตากล่ำก็ลืมตาขึ้น คว้าหมับเข้าที่ข้อมือหาญ หาญสะบัดแขนแต่ไม่หลุด ตากล่ำเหวี่ยงแขนอีกข้างโจมตีใส่หาญและกระเต็น หาญผลักกระเต็นให้หลบได้ทัน ตากล่ำพุ่งเข้าบีบคอหาญแทน
“มึงต้องตาย ฮ่าๆๆ”
“นายกล่ำ เป็นบ้านอะไรเนี่ย”
“มันไม่ใช่นายกล่ำ นายกล่ำตายไปแล้ว”
ตากล่ำสะบัดกระเต็นออกไป หาญดึงลูกสะกดหัวใจสิงห์ขึ้นมากำไว้ในมือ ร่ายคาถา เป่า กระแทกใส่ตากล่ำ
“อ๊าก”
วิญญาณเสือทับกระเด็นออกจากร่างตากล่ำไป ศพตากล่ำทรุดลงกองกับพื้น
“ไอ้ทับ”
“เสือทับ เป็นไปไม่ได้ วิญญาณมันถูกสะกดเอาไว้แล้ว”
“เอ็งรู้มั้ยว่าข้าต้องทนทรมานแค่ไหน กว่าจะได้อิสรภาพ เพื่อกลับมาล้างแค้นเอ็ง ไอ้หาญ”
ดวงตาของเสือทับลุกวาว เพ่งไปที่หาญ เกิดลมพายุพัดมาอย่างแรง หาญกับกระเต็นยกมือป้องหน้า ทันใดเสือทับก็ตวัดมีดพร้าในมือ พุ่งเข้าโจมตี หาญผลักกระเต็นหลบ หาญสวมสนับเล็บเสือ ตั้งรับการโจมตีแต่เสือทับกลับหายวับไป หาญกับกระเต็นมองหาเสือทับ เสือทับปรากฏข้างหลังหาญ
“พ่อหาญ ระวัง”
กระเต็นร้องเตือน หาญหลบมีดพร้าแล้ว ได้จังหวะต่อยสนับเล็บเสือสวนไป แต่หมัดกลับทะลุร่างเสือทับ ไม่เกิดอะไรขึ้น
“ฮ่าๆๆๆ ข้าเป็นผี เอ็งทำอะไรข้าไม่ได้หรอกไอ้หาญ แล้วข้าจะทำให้เอ็งกลายเป็นผีเหมือนข้า”
เสือทับเหวี่ยงแขน หาญกระเด็นไปด้วยพลังบางอย่าง เสือทับตามมาซ้ำ พุ่งเข้าหา ทะลุร่างหาญไป หาญร้องอย่างเจ็บปวด ทรุดลง
“อ๊าก”
ร่างเสือทับหายไปแต่เสียงหัวเราะยังดังก้อง อาจารย์ยอดเดินเข้ามา
“คิดไม่ถึงว่าแรงอาฆาตของไอ้ทับที่มีต่อเสือหาญมันจะแรงถึงเพียงนี้”
กระเต็นมาประคองหาญ
“เอ็งเป็นใคร” หาญถามอย่างแปลกใจ
“ข้าคือคนถอนอาคม ที่สะกดวิญญาณของไอ้ทับไว้ ยังไงล่ะ”

อดีตเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ศพไร้หัวของเสือทับถูกห่อเอาไว้ด้วยผ้า นอนอยู่บนแคร่ ข้างๆ เป็นศีรษะที่ถูกผ้าห่อไว้เช่นกัน ยิ่งยศเข้ามาดูแกะห่อผ้าออกเห็นเป็นศีรษะเสือทับวางอยู่ ในมือยิ่งยศมีตะปูสีดำ ยิ่งยศร่ายคาถา เป่าลงบนตะปู แล้วใช้ฝ่ามือดันตะปูจมหายไปในหน้าผากของเสือทับ
“เอาร่างมันไปเผาทำลายซะ ส่วนหัวก็แยกไปฝังไว้ในป่าช้า ห้ามดึงตะปูนี้ออกเป็นอันขาด” ยิ่งยศสั่งการแล้วจ้องเสือทัยด้วยแววตาเหี้ยม “ตอนนี้ถึงมันเป็นผี ก็ไม่สามารถอาละวาด สร้างความเดือดร้อนให้ใครได้อีก”

ตำรวจสองนายรับคำสีหน้าหวาดๆ

ลูกศิษย์อาจารย์ยอดขุดหลุมในป่าช้าพบกะโหลกศีรษะของเสือทับ อาจารย์ยอดดีใจหยิบขึ้นมาดูจึงเห็นตะปูสีดำปักอยู่กลางหน้าผาก

อาจารย์ยอดเอากะโหลกศีรษะของเสือทับกลับมาทำพิธีที่ตำหนัก อาจารย์ยอดนั่งบริกรรมคาถาอยู่โดยมีหัวกะโหลกเสือทับวางอยู่บนพานหน้ากระถางไฟ เสียงสวดคาถาดังก้องขึ้น
“จิ เจรฺนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง
นิพพานนัง นะมะพะทะ ปัฐะวีระธาตุ
ทีฆังวา ภะกะสะจะ ชีวัง อฺตเตหิ อาคัจฉามิ”
ตะปูสีดำค่อยๆ เคลื่อนหลุดออกมาจากกะโหลกหน้าผาก ทันใดหน้าต่างห้องก็กระแทกเปิดออกอย่างแรง ลมพัดวูบเข้ามาไม่หยุด ไฟในกระถางโหมแรงขึ้นอย่างน่ากลัว อาจารย์ยอดลืมตาขึ้น วิญญาณร้ายเคลื่อนที่ผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง อาจารย์ยอดหันมองจึงเห็นร่างไร้หัวของเสือทับยืนตระหง่านอยู่
“เอ็งบังอาจเรียกวิญญาณข้ามา รู้ใช่มั้ยว่าข้าเป็นใคร”
“ข้าสู้ถอนอาคมที่สะกดเอ็งไว้ ก็เพราะข้ารู้น่ะสิว่าเอ็งเป็นใคร” อาจารย์ยอดชี้ไปที่หัวกะโหลกบนพาน“นี่ใช่มั้ย ของที่เอ็งต้องการ”
ร่างไร้หัวของเสือทับเดินมาที่พาน ยกหัวกะโหลกขึ้นไป ศีรษะของเสือทับถูกยกมาวางต่อบนคอ เสือทับต่อหัวตัวเองเข้ากับร่างเสร็จ ยิ้มเหี้ยม จ้องอาจารย์ยอดอย่างอาฆาต
“อย่าคิดจะแว้งกัดข้าได้ อาคมของข้ากำกับวิญญาณของเอ็งเอาไว้แล้ว ต่อแต่นี้เอ็งต้องเป็นทาสรับใช้ข้า”
เสือทับจำใจรับชะตากรรม อาจารย์ยอดหัวเราะด้วยความพอใจ

หาญจ้องอาจารย์ยอดด้วยความแปลกใจเมื่อรู้ว่าอาจารย์ยอดเป็นคนปลุกวิญญาณเสือทับขึ้นมา
“เอ็งกับข้าเคยมีความแค้นเคืองอะไรต่อกัน ถึงต้องมาลอบกัดข้าแบบนี้”
“ไม่มี เพียงแต่หลานของเอ็งกับพ่อเลี้ยงภูมินทร์ ลูกศิษย์ของข้า เป็นศัตรูกัน ไม่มีเอ็งซะคน คนอย่างไอ้กล้า มันก็แค่หมาตัวนึงเท่านั้น”
อาจารย์ยอดบริกรรมคาถา ซากศพนับสิบโผล่ขึ้นมาจากดินเข้าโจมตีหาญกับกระเต็น หาญสวมสนับเล็บเสือ ว่าคาถาปลุกเสือเผ่น ส่วนกระเต็นก็ชักมีดหมอ ทั้งสองคนกระโจนเข้าต่อสู้ ซากศพสู้ไม่ได้ โดนซัดกระเจิง แต่ก็ยังดาหน้ากลับเข้ามาสู้ใหม่ ไม่มีทีท่าจะหยุด
กระเต็นถูกซากศพรุม ใช้มีดหมอฟันซากศพจนสลายไป และจะเข้าไปช่วยหาญสู้ แต่เสือทับปรากฏกายขวางไว้ ใช้มีดพร้าเข้าต่อสู้กับกระเต็น
หาญถอยออกมาตั้งหลักว่าคาถาหมัดธนูมือ แล้วเป่าลงกำปั้นของตัวเอง
“หมัดธนูมือ”
หาญชกหมัดลงในดิน เงาหมัดพุ่งกระจายออกไปเป็นวงคลื่นกระแทกเข้าใส่ซากศพทั้งหมดสลายไป ทันใดนั้นอาจารย์ยอดก็พุ่งเข้ามา ใช้ไม้ครู (คฑาเล็กๆ) สู้กับสนับเล็บเสือของหาญอย่างสูสี เกิดเสียงปะทะสนั่นหวั่นไหว
กระเต็นสู้กำลังของเสือทับไม่ได้ ได้แต่ถอยตั้งรับจนติดต้นไม้ เสือทับได้ใจ ง้างมีดพร้าพุ่งเข้าหา กระเต็นฉวยจังหวะแทงสวนออกไป มีดหมอปักทะลุอกเสือทับ เสือทับเจ็บปวด กระเต็นสะใจ
“ไหนๆ แกก็ตายไปแล้ว ฉันจะส่งวิญญาณแกลงนรกเอง”
กระเต็นกระแทกมีดให้ลึกลงไปอีก แต่แล้วเสือทับกลับยิ้มเยาะ ไม่เป็นอะไร
“ผีอย่างข้าตายแค่ครั้งเดียวโว้ย ข้าเป็นคนฆ่าพ่อเอ็งกับมือคราวนี้คงถึงทีเอ็งบ้างแล้ว”
เสือทับสะบัดแขน เกิดพลังปะทะร่างกระเต็นจนถลาไป เสือทับตามไปอัดซ้ำจนกระเต็นกระอักเลือด ก่อนจะบีบคอกระเต็นแน่น
อีกด้านหนึ่งอาจารย์ยอดว่าคาถาชี้ไม้ครูใส่หาญ เกิดสายฟ้าฟาดตรงไปที่หาญ หาญกระโจนหลบแล้วพุ่งกลับมาหาอาจารย์ยอด หาญซัดกำปั้นเข้าที่หน้าจนอาจารย์ยอดกระเด็น อาจารย์ยอดกำทรายที่พื้นขึ้นมา ร่ายคาถา เป่ามนต์ แล้วซัดออกไปทรายกลายเป็นกระสุนไฟนับร้อยพุ่งเข้าโจมตีหาญ หาญใช้สนับเล็บเสือปัดป้องอย่างว่องไว ทันใดสายฟ้าจากไม้ครูก็พุ่งเข้าปะทะร่างหาญ หาญร้องอย่างเจ็บปวด
“อ๊าก” หาญรวบรวมกำลัง “พยัคโฆ พยัคฆา”
รอยสักเสือเผ่นเรืองแสงขึ้น หาญทะยานเข้าหาดุจเสือตะปบเหยื่อ แต่แล้วร่างหาญก็หายไป กระโจนผลุบโผล่ตามจุดต่างๆ อาจารย์ยอดมองหาสับสน
ทันใดร่างหาญก็ปรากฏตรงหน้าอาจารย์ยอด ชกหมัดคู่กระแทกเข้าที่หน้าอกอาจารย์ยอด อาจารย์ยอดกระอัก ลอยกระเด็นไป
ขณะนั้นกระเต็นพยายามดิ้นรนใกล้จะหมดลม เสือทับหัวเราะสะใจ ทันใดนั้นสร้อยที่ร้อยลูกสะกดตวัดรัดคอเสือทับ แล้วกระชากร่างเสือทับออกไปอย่างแรงจึงเห็นเป็นหาญที่เข้ามาช่วยกระเต็นไว้ เสือทับพุ่งกลับเข้ามาใหม่ หาญว่าคาถา
“ลูกสะกดหัวใจสิงห์”
หาญสะบัดลูกสะกดออกไป สร้อยลูกสะกดลอยไปรัดร่างของเสือทับไว้ เสือทับร้องโหยหวน ควันลอยออกจากตัว
“อ๊าก”
“อาคมข้าอาจจะทำอะไรผีอย่างเอ็งไม่ได้ แต่ลูกสะกดหัวใจสิงห์ ปราบเอ็งได้แน่ไอ้ทับ”
เสือทับเจ็บปวดไปทั้งตัว สลายร่างหนีไป ลูกสะกดลอยกลับเข้ามือหาญ หาญรีบพากระเต็นหนีไป อาจารย์ยอดสะบักสะบอมเข้ามา มองตามอย่างเสียดาย

ส่วนที่โรงพัก กล้านั่งเครียดอยู่ในห้องขัง สับสนกับชีวิต จนกระทั่งจ่าคนหนึ่งเข้ามาไขห้องขัง
“ลุกขึ้น” กล้างง “นายนั่นแหละ” กล้าลุกขึ้น
“ศาลอนุญาตให้ประกันตัวแล้วเหรอครับ”
จ่าดึงมือกล้ามาสับกุญแจมือ
“สารวัตรสั่งให้ เอานายไปสอบสวน”

จ่ากระชากร่างกล้าไป คนอื่นๆ มองตาม

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 5 (ต่อ)

จ่าลากกล้าเข้ามาในห้องขังเดี่ยวแล้วปิดประตู ดึงกล้าไปนั่งที่โต๊ะที่มีจดหมายกับปากกาวาง

“เขียนสารภาพผิดซะ”
“สารภาพอะไรครับ”
“ก็ที่นายยิงนักเรียนไทกนก สารภาพซะอะไรๆ จะได้จบ” กล้างง
“ผมไม่เข้าใจ ผมไม่ได้ทำ ทำไมต้องสารภาพ ตอนนี้แม่ผมเจอพยานที่จะช่วยยืนยันว่าผมไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุแล้วด้วย”
“ไอ้นั่นมันไม่มีโอกาสมาเป็นพยานให้นายหรอก”
กล้ามองจ่าที่แววตาเหี้ยมเกรียม เอาเชือกไนลอนออกมาจากกระเป๋า
“จ่าจะทำอะไร”
จ่าเข้ามาข้างหลังรัดคอกล้า
“ก็ทำให้นายผูกคอตายในห้องขังเพราะสำนึกผิดไง” กล้าดิ้นรน

รถกระบะตำรวจแล่นเข้ามาที่ลานจอดรถหน้าโรงพัก จ่ากำลังเปิดประตูลงจากรถกระบะตำรวจ แต่ต้องชะงัก
เมื่อเห็นขุนโชติปรากฏตัวกำลังเดินตรงเข้าโรงพัก พร้อมชักดาบประจุพรายในมือ จ่าเห็นขุนโชติเห็นถือดาบก็ตกใจ
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อน เข้าไปไม่ได้ ลื้อถือดาบมาแบบนี้ทำไมวะ”
ขุนโชติหันกลับมามองเหี้ยม
“ข้าก็จะมาปล้นคนน่ะสิวะ”
พูดจบขุนโชติก็ฟันตำรวจตายทันที ขณะนั้นมีดาบตรวจเดินผิวปากลงบันไดมาเห็นพอดี ดาบตำรวจหน้าซีดตกใจ
“มีคนร้าย”
ดาบตำรวจตะโกน พลางควักปืนจะยิง ทันใดลูกดอกหน้าไม้พุ่งเข้ามาเสียบที่คอ ตาเหลือกตาย เป็นฝีมือของเสือดำกับเสือไทจากอีกมุม ทั้งสามโจรสบตากัน

ภายในห้องขังเดี่ยวกล้าพยายามดิ้นรน เอื้อมไปด้านหลังจิกหัวจ่าแล้วดึงทุ่มลงมา กล้าพยายามลุกขึ้นแต่จ่าก็เตะตัดขากล้าลงไปแล้วชักปืน กล้าจับไว้ยื้อแย่ง
ด้านนอกปลายดาบของขุนโชติแทงทะลุแผ่นหลังของตำรวจคนหนึ่ง
“อ๊าก”
ตำรวจล้มลง ขุนโชติ เสือดำ เสือไทยืนตระหง่าน ชาวบ้านเห็นก็ต่างแตกตื่น กรีดร้อง วิ่งหาที่หลบกันจ้าละหวั่น ตำรวจที่เหลืออีก 4 นาย หลบในที่กำบัง ระดมยิงไม่ยั้ง แต่กระสุนไม่ระคายผิวทั้งสามโจรเลยซักนิด ตำรวจรีบวิทยุขอกำลังเสริม
“เรียกบชน. ขณะนี้เกิดเหตุคนร้ายบุก...”
ไม่ทันขาดคำก็ถูกเสือไทขว้างขวานมาปักที่หลัง ล้มลงตาย เสือดำกับเสือไทตามไปฆ่าตำรวจที่เหลืออีก 2 นาย อย่างเลือดเย็นและสนุกสนาน ขุนโชติเห็นคนซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะ เดินเหี้ยมเข้าหา ตวัดดาบฟัน โต๊ะกระจาย เป็นหญิงสาวที่หลบอยู่ หญิงสาวคุกเข่าไหว้ ตัวสั่นน้ำตานอง
“อย่าฆ่าฉันเลยนะจ๊ะ ฉันไหว้ล่ะจ๊ะ ปล่อยฉันกลับไปหาลูกเถอะนะ”
“ข้าไม่เคยฆ่าผู้หญิง เอ็งรีบไปเสียเถิด”
หญิงสาวรีบวิ่งหนีออกไปไม่คิดชีวิต ขุนโชติมองตาม แต่แล้วกลับชะงักเพราะมีตำรวจจ่อปืนกลางหลัง
“ทิ้งดาบซะ แล้วบอกให้พวกแกยอมแพ้ด้วย”
ขุนโชติหันกลับมาไม่กลัว
“เอ็งกล้าสั่งข้าเชียวรึ”
ตำรวจยิงปืนในมือ แต่กลายเป็นกระสุนด้าน ยิงเท่าไหร่ก็ไม่ออก ตำรวจกลัวมาก ตัวสั่น ขุนโชติตวัดดาบฟันตำรวจแขนขาด ร้องลั่น
“เอ็งบอกข้ามาว่าตะรางที่ขังนักโทษอยู่ที่ใด”

เสียงต่อสู้จากด้านนอกดังเข้ามาในส่วนขังผู้ต้องหา ผู้ต้องหางงๆ เสือดำ เสือไทเข้ามา เอาขวานจามกุญแจจนขาดแล้วกระชากประตูเปิด ขุนโชติก้าวเข้ามา ขุนโชติพูดกับผู้ต้องหา
“ข้าคือขุนโชติ ขุนโจรแห่งทุ่งกระกาฬ แต่นี้ไปพวกเอ็งจักเป็นไทแก่ตัว จงออกไป แก้แค้นพวกโปลิศให้สาสม ไป”
พวกนักโทษมองหน้ากันแล้วก็วิ่งหนีออกไป
“เผามันให้วอดเลยมั้ยพี่โชติ”
ขุนโชติยังไม่ทันตอบ ได้ยินเสียงโครมครามจากห้องขังเดี่ยว

ภายในห้องขังเดี่ยว ปืนถูกบิดร่วง กล้าอัดเข่าใส่จ่าจนกระเด็น จ่าคว้าเก้าอี้ฟาดกล้า กล้าทรุด จ่าอัดซ้ำแล้วคว้าปืนจ่อ
“จ่าเป็นตำรวจ ทำไมทำแบบนี้”
“เพราะเงินเดือนตำรวจมันไม่พอกินน่ะซิ” จ่ากดกล้าให้นอนคว่ำ จิกหัวกล้าขึ้นมา เอาปืนเหน็บแล้วชักมีดเล็กๆ ออกมา “แกไม่อยากผูกคอตาย งั้นก็ตายเพราะนักโทษด้วยกันฆ่าเถอะ”
จ่าทำท่าจะเชือด แต่ก็สะดุ้งเพราะเสียงประตูเปิดผาง พอหันไป ลูกดอกหน้าไม้ก็พุ่งเข้ามาปักหน้าผาก จ่าล้มลงไปตาย กล้าพลิกตัวขึ้นมองจึงเห็นขุนโชติยืนอยู่กับเสือดำ กล้าตกใจและแปลกใจที่เห็นพวกขุนโชติ
“น้า”
“ไอ้หนุ่ม เหตุใดเอ็งจึงถูกโปลิศทำร้ายเยี่ยงนี้”
“ผมถูกใส่ร้าย ว่าฆ่าคนตาย แล้วพวกน้า”
“พวกโปลิศ ไม่เวลาผ่านไปนานเท่าใด มันก็ยังหน้าซื่อใจคดเหมือนเดิม นับว่าเราสองคนมีวาสนาต่อกัน คงถึงคราวที่ข้าจักได้ตอบแทนน้ำใจเอ็งเสียที ไปกับข้าเถิด”
ขุนโชติดึงกล้าไป
“ไม่ ถ้าหนีก็เท่ากับยอมรับข้อกล่าวหาทั้งหมด ผมจะไม่ให้มันเป็นแบบนั้นแน่”
“แต่เอ็งไม่ใดทำผิดอันใด ก็ไม่สมควรถูกจองจำ”
“ไม่ ผมไม่หนี”
เสือดำรำคาญเอาอาวุธกระแทกต้นคอ กล้าทรุดลงไปนอนสลบกับพื้น
“น่ารำคาญ ปล่อยมันเอาไว้ที่นี่เถิดพี่โชติ”
“ไม่ ข้าจักพามันไปด้วย”

เสือดำมองหน้าไม่เห็นด้วย

เสือดำแบกกล้าที่สลบอยู่ตามขุนโชติออกมา เสือไทพาผู้ต้องหามาสมทบ ทั้งหมดมีอาวุธที่ยึดจากตำรวจ

“พี่โชติ พวกมันขโมยปืนของโปลิศ แลจักขอติดตามเราไปด้วย”
ขุนโชติมองพวกผู้ต้องหาอย่างพอใจ
“ดี”
ทันใด รถตำรวจหลายคันพุ่งเข้ามา ตำรวจกลุ่มหนึ่งพร้อมอาวุธลงจากรถมา เล็งปืน ล้อมไว้ ที่ปลายกระบอกปืนมีชายผ้าถุงผูกไว้หมดทุกคน
ขุนโชติ เสือไท และผู้ต้องหาหยิบอาวุธเล็งระวัง เสือดำรีบวางกล้าลงมุมหนึ่ง แล้วง้างธนูเล็งตำรวจเช่นกัน
รถตำรวจของสุพจน์เข้ามา สุพจน์ลงจากรถ เล็งปืนที่หลังประตูรถที่ปลายกระบอกปืนมีชายผ้าถุงผูกไว้เช่นกัน
“มอบตัวซะ ถึงพวกแกจะหนีก็หนีไม่รอดหรอก”
“หึ ข้าไม่ได้สนุกเยี่ยงนี้มานานแล้ว ฆ่ามันเสียให้สิ้นกันเถิดพี่โชติ”
ขุนโชติมองตำรวจ แค้นมาก
“ฆ่ามัน”
เสือไทเปิดฉากตวัดขวานขว้างไปที่ตำรวจ ขวานลอยคว้างฟันตำรวจล้มลงไปตาย ก่อนที่ขวานจะวนกลับมาที่มือ
เสือดำยิงลูกดอกหน้าไม้ปักอกตำรวจล้มลงไปตายสุพจน์นำตำรวจระดมยิงสวนไปที่รถทันที ผู้ต้องหาต่างหาที่กำบังแล้วพากันยิงตอบโต้ สุพจน์เล็ง แล้วยิงปืนไปที่เสือไท กระสุนถูกต้นแขนเสือไท
“โอ๊ย”
เสือไทมองแขนตัวเองข้างที่ไม่ได้ใช้ขวานมีเลือดออกเพราะถูกกระสุนเข้า
“ไอ้ไท มันแก้อาคมเราได้” ขุนโชติพาเสือไทหลบกระสุน มองตำรวจระดมยิงเข้ามาไม่หยุด “เราต้องถอยไปตั้งหลักเสียก่อน”
“แต่ไปกันหลายคน จักย่นระยะทางลำบากนะพี่” เสือดำบอก ขุนโชติคิดหาทาง
“เอ็งบังคับไอ้เกวียนเหล็กนี้ได้หรือไม่”
ขุนโชติถามผู้ต้องหาคนหนึ่ง ผู้ต้องหาพยักหน้ารับ แล้วรีบเปิดประตูรถเข้าไป

ในรถกระบะ ผู้ต้องหาต่อสายตรงสตาร์ทเครื่องยนต์อย่างชำนาญ ขุนโชติแบกร่างกล้าขึ้นท้ายกระบะ พร้อมๆกับเสือดำ เสือไท และผู้ต้องหาที่ต่างกระโดดขึ้นรถ สุพจน์เห็นพวกผู้ต้องหากรูกันขึ้นรถ พวกผู้ต้องหาบังทำให้ไม่เห็นขุนโชติที่แบกกล้า
“อย่าให้พวกมันหนีไปได้”
ผู้ต้องหาเร่งเครื่องพุ่งเข้าใส่รถตำรวจที่จอดขวางอยู่อย่างแรง ตำรวจต่างพากันตกใจ กระโดดหนีตาย รถพุ่งออกไป กล้านอนสลบไม่รู้เรื่องบนหลังรถกระบะ

รถของพวกขุนโชติขับหนีตำรวจมาอย่างเร็ว โดยมีรถตำรวจ 4 คัน ตามมาอย่างกระชั้นชิด ตำรวจที่กระบะท้าย ต่างพากันระดมยิงไม่หยุด ผู้ต้องหาช่วยกันยิงตอบโต้ แต่กลับถูกยิงร่วงไป 3 คน
รถตำรวจเร่งเครื่องเข้าประกบข้าง พลางเบียดกะจะให้ตกถนน เสือดำโมโหเล็งหน้าไม้ไปที่คนขับรถ ยิงเข้าช่องหน้าต่าง ลูกดอกโดนตำรวจที่ขับรถพอดี รถตำรวจเสียหลักตกถนนไป รถของขุนโชติเร่งเครื่องหนี รถตำรวจที่เหลือต่างเร่งเครื่องตาม พลางยิงใส่ไม่หยุด
“แย่แล้ว กระสุนหมด” ผู้ต้องหาบอก
“ของฉันด้วย”
ทันใดกระสุนของตำรวจก็พุ่งเข้ามา ถูกผู้ต้องหาทั้ง 2 ร่วงไป ขุนโชติโมโห บริกรรมคาถา เป่าลงบนดาบ อักขระสีเลือดบนดาบเรืองรองขึ้น ขุนโชติตวัดดาบใส่ที่รถตำรวจจนเกิดเงาดาบสีแดงพุ่งเข้าหารถตำรวจ ตำรวจพยายามหักหลบแต่เงาดาบสับเข้าที่หน้ารถจนเครื่องรถระเบิด รถตำรวจเสียหลักคว้างตกข้างทางไปอีกคัน
รถตำรวจที่เหลือมีสุพจน์นั่งอยู่ข้างคนขับ โดยที่สุพจน์ไม่รู้ว่ากล้าอยู่ในรถขุนโชติด้วย สุพจน์เห็นว่าเอาไม่อยู่จึง ตัดสินใจดึงสลักระเบิด แล้วขว้างเต็มแรง ระเบิดจะร่วงลงที่กระบะรถขุนโชติ แต่รถเบี่ยงหลบได้ทัน ระเบิดจึงตกลงที่ข้างรถ เฉียดไป ตู้ม
รถขุนโชติเสียหลัก ขุนโชติ เสือไท เสือดำคว้าตัวรถไว้ได้ แต่ผู้ต้องหาที่เหลือร่วงลงไปจากรถ ขุนโชติโมโหมาก กำหมัด ว่าคาถาควายธนู
“นะภาเวนะ โคสะวาหะ โสถิเต”
พลางสะบัดกำปั้นออกไปที่รถตำรวจ คลื่นพลังสีแดงพุ่งกระจายออกจากมือขุนโชติ สุพจน์เห็นควายธนูตัวดำทะมึนควบดิ่งตรงเข้ามาอย่างเร็ว
“เฮ้ย! หลบ”
รถตำรวจหักหลบควายธนูได้อย่างเฉียดฉิว สุพจน์โล่งอก แต่แล้วตำรวจที่เป็นคนขับก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นควายธนูสามตัววิ่งอยู่บนถนน ดิ่งตรงไปที่รถตำรวจและงัดรถตำรวจกระเด็น หงายกระจายกันไปทั้งหมด สุพจน์คลานออกมาจากรถ บาดเจ็บหัวแตกเลือดอาบ ขุนโชติยิ้มเหี้ยมสะใจ
“พวกเอ็งจงแจ้งแก่ลูกหลานไอ้หลวงณรงค์ ว่าถ้าอยากจับข้าล่ะก็ ข้าขุนโชติจักรอมันอยู่ที่ทุ่งพระกาฬ”
จากนั้นขุนโชติก็ว่าคาถาย่นระยะทาง รถของขุนโชติพุ่งเข้าช่องอากาศที่ถูกแหวกออกแล้วย่นระยะทางหายไป

หาญพากระเต็นกลับบ้าน กระเต็นนอนหมดสติอยู่ที่โซฟาในสภาพร่างกายฟกช้ำโดยเฉพาะที่ลำคอ หาญเข้ามาหากระเต็นพร้อมขันน้ำในมือ แล้วร่ายคาถารักษาบาดแผล
“วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโร”
หาญเป่ามนต์ลงไป น้ำในขันหมุนวน ก่อนจะเรืองรองขึ้น หาญประคองศีรษะกระเต็นขึ้นให้ดื่มน้ำมนต์ แล้ววางลงนอนตามเดิม
สักพักรอยฟกช้ำที่รอบคอและตามแขนขาของกระเต็นค่อยๆ หายไป หาญหยิบผ้าห่มจะห่มให้ ทันใดกระเต็นก็จับแขนหาญแน่น เพ้อออกมา
“กล้า กล้าต้องปลอดภัย แม่จะปกป้องกล้าเอง แม่จะไม่ยอมให้ลูกเป็นโจรเด็ดขาด กล้า”
กระเต็นเพ้อจบก็ปล่อยมือ หมดสติ หาญมองด้วยความสงสาร หนักใจ ห่มผ้าห่มให้ ทันใดก็มีเสียงรถแล่นเข้ามาจอด

หาญรีบออกไปดู ปล่อยให้กระเต็นนอนอยู่ลำพัง

ที่หน้าบ้านสุพจน์ลงจากรถ มีผ้าพันแผลที่ศีรษะ สภาพสะบักสะบอม หาญออกมาพอดี สุพจน์รีบเข้ามาหา ท่าทางร้อนใจ

“พี่สิงห์กับคุณเต็น รู้เรื่องกล้าหรือยังครับ”
หาญสังหรณ์ใจไม่ดี
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไอ้พวกขุนโชติมันบุกโรงพัก ฆ่าตำรวจตายเกลี้ยง แล้วก็ชิงตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไป กล้า กล้าก็หายไปด้วย”
หาญอึ้ง คิดไม่ถึงว่าขุนโชติจะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หวั่นใจ
“ขุนโชติอีกแล้วเหรอ”
“ผมใช้ผ้าถุงพันปากกระบอกปืนอย่างที่พี่สิงห์บอก แต่ก็ยังสกัดมันไม่ได้ มันเรียกฝูงควายมาไล่ขวิดรถตำรวจ อัศจรรย์มาก”
“ถ้ากล้าอยู่กับคนคนนี้ก็อันตรายมาก”
“มันยังบอกด้วยว่ามันจะรอหลวงณรงค์อยู่ที่ทุ่งพระกาฬ ผมว่ามันต้องเป็นคนวิกลจริตแน่” สุพจน์มองหากระเต็น “คุณเต็นล่ะครับ”
“กระเต็นบาดเจ็บ ตอนนี้นอนพักอยู่” สุพจน์ตกใจเป็นห่วงกระเต็น
“คุณเต็นบาดเจ็บเป็นอะไรครับ”
“เราไปตามหาพยานให้กล้า แต่พยานถูกฆ่าปิดปาก”
“อะไรนะ”
“คนที่ลงมือเป็นคนของพ่อเลี้ยงภูมินทร์ มันมีวิชาแก่กล้า จะต่อกรมันไม่ใช่ง่ายๆ ตอนนี้ข้าจะรีบไปที่ทุ่งพระกาฬ คุ้มครองกระเต็นด้วย”
“เดี๋ยวครับ ผมสั่งให้ประสานท้องที่ให้ยกกำลังไปที่นั่นแล้ว รอไปพร้อมกันดีกว่า อ้าว”
หาญใช้วิชาย่นระยะทางเดินหายไปต่อหน้าต่อตา สุพจน์มองหาอึ้ง
“หายไปได้ไง”

บนจอโทรทัศน์ปรากฏรายการข่าว ผู้ประกาศกำลังรายงานข่าวประจำวัน
“วันนี้ ได้เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญขึ้นกลางเมือง”
ภาพข่าว เจ้าหน้าที่กำลังลำเลียงศพตำรวจที่เสียชีวิตออกจากที่เกิดเหตุ/ ห้องขังว่างเปล่า ที่ประตูมีร่องรอย ถูกตัดทำลาย / ภาพผู้คนในเหตุการณ์จับกลุ่มคุยกันหน้าตาตื่น / ลูกธนูที่ตกในที่เกิดเหตุ
“โดยคนร้ายสามคน ใช้อาวุธคือ ขวาน หน้าไม้ และดาบโบราณ บุกสังหารตำรวจบนสถานีตำรวจหลักเขต และทำลายห้องขัง ช่วยผู้ต้องหาทั้งหมดออกไปอย่างอุกอาจ ทางตำรวจคาดว่าคนร้ายอาจจะเป็นพวกเดียวกันกับผู้ต้องหาและมีเจตนาช่วยพรรคพวกให้หลบหนี” ที่มุมจอ ปรากฏภาพของกล้าขึ้นมา “และหนึ่งในผู้ต้องหาที่หลบหนีไป มี นายกล้า ไพรีพ่าย ลูกชายของอดีตผู้การมือปราบ เพชร ไพรีพ่าย ที่ก่อคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญรวมอยู่ด้วย”

คะนึงนิจกับราชาวดีนั่งดูข่าวทีวีอยู่ที่ห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล ทั้งคู่สบตากัน เป็นกังวลและห่วงกล้า
“ขณะนี้ตำรวจได้ออกหมายจับผู้ต้องหาที่หลบหนี และกำลังเร่งสืบหาคนร้ายที่ก่อคดีมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป”
“พี่กล้าทำแบบนี้จริงเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“เราว่าอย่าเพิ่งปักใจกับข่าวเลยวดี ถ้าพี่กล้าคิดจะหนีแล้วจะยอมให้จับ ตั้งแต่ต้นทำไม”
ราชาวดีเห็นด้วยกับคะนึงนิจ ภูมินทร์ประคองครูเริงออกมาจากห้องน้ำพอดี
“ดูข่าวมันทำไมกัน” ครูเริงเอื้อมมือปิดโทรทัศน์ด้วยความไม่พอใจ “บอกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าไปสนใจคนแบบนี้ มันจะเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่เกี่ยวกับเรา”
ภูมินทร์แอบสะใจ
“แต่คนรู้จักมักคุ้นกัน แล้วเราก็แค่ตามข่าวเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเสียหายนี่คะ”
“เสียหายสิ เสียหายตั้งแต่ที่มันเข้ามาในชีวิตแล้ว นี่มันยังแหกคุกแหกตะรางหนีอีก เดี๋ยวตำรวจก็ต้องมาวุ่นวายกับเราเดือดร้อนกันไปทั่ว เพราะคนเลวๆ แค่คนเดียว”
“บางทีข่าวอาจจะคลาดเคลื่อนก็ได้นะคะพ่อ”
ภูมินทร์ไม่พอใจที่ราชาวดียังปกป้องกล้า ปากภูมินทร์ร่ายคาถา เป่ามนต์ใส่ครูเริง
“จิตติ จิตตัง จิตติพันธะนัง
ปิยังมะมะ อาคัจฉาหิ”
ครูเริงชะงักเพราะต้องอาคม จู่ๆ ครูเริงก็บันดาลโทสะ โกรธเป็นฟื้นเป็นไฟขึ้นมา
“นี่วดีกล้าเถียงพ่อแล้วเหรอ เพราะไอ้กล้าใช่มั้ย วดีเห็นมันสำคัญกว่าพ่อ ไม่รักพ่อ อยากให้พ่อตายใช่มั้ย ได้ อย่างนั้นพ่อจะตายให้ดู”
ทันใดครูเริงก็พุ่งเอาหัวโขกกับกำแพง ราชาวดีกับคะนึงนิจต่างตกใจที่ครูเริงคลุ้มคลั่งอีก รีบห้าม
“อย่าค่ะพ่อ อย่าทำอย่างนี้เลยนะคะ”
“ครูคะ หยุดเถอะค่ะ”
ครูเริงไม่ฟัง ไม่ยอมหยุด
“ไม่ต้องมาสนใจฉัน ฉันอยากตาย”
ครูเริงผลักทั้งสองสาวกระเด็น ภูมินทร์ต้องเข้าไปจับตัวครูเริงไว้ ดึงให้หยุด
“ใจเย็นๆ ก่อนครับครู” ครูเริงชะงัก ภูมินทร์หันบอกราชาวดี “วดีรับปากครูสิว่าจะไม่สนใจกล้าอีก”
ราชาวดีลังเล
“ปล่อย ปล่อยฉัน ฉันจะตายให้ดู”
ครูเริงพยายามสะบัดภูมินทร์ออก
“เร็วสิ ลังเลอะไรอีก”
ราชาวดีโดนบีบจนต้องรับปาก
“ตกลงค่ะพ่อ วดีให้สัญญา วดีจะไม่สนใจ จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพี่กล้าอีก ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น”
ครูเริงได้ยินแล้ว สงบลง ยิ้มได้
“ดีมากวดี ดีมาก อย่างนี้สิถึงเป็นลูกพ่อ”
ครูเริงดึงวดีมากอด คะนึงนิจเครียดแทน สงสารเพื่อน แต่ภูมินทร์กลับสะใจ

ราชาวดีประคองครูเริงให้นอนบนเตียง
“วดีต้องเข้าใจพ่อนะ พ่ออยากให้ลูกเจอแต่คนดีๆ นักเลงหัวไม้อย่างไอ้กล้า นอกจากคนเป็นพ่อเป็นแม่จะ
ช้ำใจแล้ว คนรอบข้างก็คงอยู่ไม่เป็นสุข” ครูเริงเหลือบมองภูมินทร์“สู้คนที่เอาการเอางาน มีความมั่นคงอย่างพ่อเลี้ยงภูมินทร์ไม่ได้”
คะนึงนิจสบตาภูมินทร์ รู้ดีว่าพี่ชายตัวเองมีเบื้องหลังอะไร
“ครูก็ชมผมเกินไป ผมไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอกครับ” ภูมินทร์ถ่อมตัว
“อย่าถ่อมตัวไปเลยพ่อเลี้ยง ผมก็แก่แล้ว ยิ่งมาเจ็บออดๆ แอดๆ แบบนี้ด้วย”
“พ่อพูดอะไรกันคะ เดี๋ยวพ่อก็หายดีแล้ว”
“พ่อพูดถึงอนาคตยังไงล่ะวดี” ครูเริงบอกแล้วหันไปพูดกับภูมินทร์ต่อ “ผมอยากจะขอ ฝากฝังลูกสาวผมไว้กับพ่อเลี้ยง ช่วยดูแลวดีให้ผมด้วยนะ”
ราชาวดีพูดอะไรไม่ออก
“พ่อ”
“ครับครู ครูไม่ต้องห่วง วดีสำคัญเท่าชีวิตของผม”
ครูเริงยิ้มอย่างสบายใจ แล้วหลับตานอน ราชาวดีห่มผ้าให้ครูเริง ภูมินทร์ถือวิสาสะจับมือราชาวดีมากุม
“วดีไว้ใจพี่ได้นะ ต่อจากนี้พี่จะเป็นคนดูแลวดีเอง”
ราชาวดีพยายามดึงมือออก
“ปล่อยมือวดีเถอะค่ะ”
แต่ภูมินทร์ไม่ยอม คะนึงนิจทนดูไม่ไหว ตรงเข้าไปดึงมือภูมินทร์ออกดื้อๆ
“พอได้แล้วพี่ภู อย่ามาทำรุ่มร่ามที่นี่ ดึกมากแล้วพี่ภูควรจะกลับ วดีจะได้พักผ่อน”
ภูมินทร์ไม่พอใจแต่เก็บอารมณ์ไว้ จำใจกลับ
“งั้นพี่ลาล่ะนะ ไว้พรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่”
ภูมินทร์กลับออกไป ราชาวดีทรุดลงหมดแรง ไม่เข้าใจพ่อตัวเอง

คะนึงนิจเข้ามากอดปลอบเพื่อน

รถขุนโชติขับหนีมาจอดอยู่ริมน้ำในป่า กล้านอนหนุนหินอยู่นอกรถ ค่อยๆ รู้สึกตัวฟื้น พยุงตัวลุกขึ้น มองรอบๆ จึงรู้ตัวว่าอยู่ในป่า

ขุนโชติใช้กระบอกไม้ไผ่ตักน้ำจากลำธาร เอาเข้ามายื่นให้ กล้ารับมาดื่มด้วยความกระหาย
“ผมมาอยู่ในป่านี่ได้ยังไง”
“ข้าเป็นคนพาเอ็งหนีพวกโปลิศมาเอง เดิมทีตั้งใจจะไปที่ทุ่งพระกาฬ แต่กลับมาโผล่กลางป่านี้ ข้าก็ยังไม่แจ้งว่าเป็นที่ใด”
กล้านึกทบทวนเหตุการณ์ แล้วภาพตอนที่ขุนโชติอัดกล้าจนสลบในห้องขังก็หวนเข้ามา
“ไม่ได้ ผมจะต้องกลับไป” กล้าบอก
“กลับไปให้โดนจองจำอีกน่ะรึ เอ็งไม่ผิดจักอยู่รับโทษด้วยเหตุใด”
“การหนีเท่ากับยอมรับความผิด แต่ผมไม่ได้ทำผิด ผมถึงต้องกลับไปพิสูจน์ตัวเอง”
เสือดำกับเสือไทเข้ามาสมทบ พร้อมฟืนในมือ
“ข้าไม่เคยพบผู้ใดโง่เยี่ยงเอ็งมาก่อน”
“เอ็งอย่าทำตัวเป็นคนดีนักเลยวะ ข้าเห็นตายมานักต่อนักแล้ว”
“ถ้ามันแลกกับการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ว่าผมบริสุทธิ์ ผมก็พร้อมจะตาย ผมเชื่อว่าความยุติธรรมมีอยู่บนโลกนี้”
“สิ่งที่เอ็งพูดถึง มันไม่มีอยู่จริงดอกไอ้หนุ่ม ไม่เช่นนั้น พวกข้าคงไม่ต้องเป็นโจร ตั้งศาลเตี้ยทวงความไม่เป็นธรรมกันเอง”
“มันก็แค่ข้ออ้างของคนที่คิดจะเป็นโจรเท่านั้นแหละ”
“เอ็งกล้าด่าพวกข้าเชียวรึ โอหังเกินไปแล้ว”
“พวกเราร่วมทางกันไม่ได้หรอก ปล่อยผมไปเถอะ”
“ไม่ได้ ข้าจะเอาเลือดหัวเอ็ง ล้างตีน ขอขมาพี่โชติ”
เสือไทกระโจนเข้าใช้ขวานโจมตีกล้า กล้าตั้งรับอย่างคล่องแคล่ว ขุนโชติยืนมองอยู่ ประหลาดใจที่กล้ามีฝีมือพอตัว กล้ามีความไวมากกว่า สวนหมัดกลับจนเสือไทหน้าหงาย เสือดำเข้ามาช่วยล็อกกล้าจากด้านหลัง กล้าอัดศอก แล้วจระเข้ฟาดหาง เสือไทขว้างขวานหมายสังหาร แต่กล้ากระโดดหลบทัน ขวานพุ่งไปปักกลางอกผู้ต้องหาที่เหลือรอดมาคนเดียวตาย เสือดำกับเสือไทจะเข้ามารุม แต่กล้ากำทรายในมือซัดเข้าหน้าแล้วฉวยโอกาสหนี เสือทั้งสองปัดทรายออกจากหน้า แล้วไล่ตามกล้าไป ขุนโชติไปตรวจดูผู้ต้องหาเห็นว่าตายแล้วจึงรีบตามพวกกล้าไป

กล้าวิ่งหนีพวกขุนโชติเข้ามาในป่าลึก มองหาทางออกจากป่า จู่ๆ ก็มีเสียงร้องของช้างดังขึ้นด้วยความตื่นตกใจ กล้าชะงักด้วยความงุนงง มองหาที่มาของเสียง
ทันใดกระสุนจากปืน M16 ก็สาดตามพื้นเข้าหากล้า กล้ามัวแต่ตกใจไม่ทันระวังตัว ขุนโชติเข้ามาผลักกล้าให้หลบผลวิถีกระสุน ร่างขุนโชติยืนจังก้ารับกระสุนแทน แต่กระสุนไม่ระคายผิว กล้ามองอึ้ง รู้ว่าขุนโชติอาคมแกร่ง เสือดำกับเสือไทตามมาสมทบ
“พี่ไม่น่าช่วยชีวิตคนเนรคุณเยี่ยงมัน”
“เพลานี่ เราไม่ควรบาดหมางกันเอง”
“พวกโปลิศมันตามเรามากระนั้นรึพี่โชติ”
“ยังไม่รู้แจ้ง แต่ข้าว่าควรหาที่กำบังก่อน”
ขุนโชติดึงกล้าให้หลบด้วยกัน ทั้งหมดกำบังกายหายไป สักพักสำริดกับชาวม่อนช้างเผือกและปันนา ก็วิ่งหนีตายออกมาจากในป่าลึก พร้อมกับต้อนช้างงาสวยมาด้วย 1 เชือก ศรีแพรแต่งเป็นผู้ชายขี่ช้างอยู่ ในมือมีหน้าไม้ สะพายคชกุศ สมุนของภูมินทร์นับสิบ ตามไล่ยิงชาวม่อนช้างเผือกล้มตายอย่างไม่ปราณี
“เอายังไงดีพ่อเฒ่า ขืนหนีอย่างเดียวคงมีแต่ตายกับตาย”
สำริดพยายาม คิดหาทาง
“ทำไงดีๆ จะเอาอะไรไปสู้วะ กำลังเราน้อยกว่า มันมีปืน ขืนสู้ก็มีแต่ตายเหมือนกัน”
ยังไม่ทันขาดคำลูกบ้านก็ถูกยิงล้มลง สำริดกับปันนาช็อก สมุนภูมินทร์เล็งปืนมาทางสำริด ศรีแพรหันไปเห็น ใช้หน้าไม้ยิงสวน สมุนคนที่เล็งปืนล้มลง ศรีแพรกระโดดลงจากคอช้าง
“บุญช่วย หลบไปด้านโน้นก่อน”
ศรีแพรตบขาช้าง ไล่ช้างให้หนีไปอีกทางแล้วจะดึงสำริดหนี แต่ต้องชะงักเมื่อเจอสมุนภูมินทร์ล้อมเข้ามา
“ฆ่าพวกมันให้หมด ระวัง! อย่าให้งาช้างเสียหาย”
ทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกัน

ขุนโชติปรากฏกายขึ้นหลังพุ่มไม้ ซุ่มดู เห็นชาวม่อนช้างเผือกถูกไล่ฆ่าล้มตายไปหลายคน
“ดูท่าทางแล้ว มันคงไม่ใช่พวกโปลิศกระมัง”
“ไม่ใช่หรอก คงเป็นพวกตัดไม้เถื่อนมากกว่า”
“เช่นนั้นก็ไม่ใช่กงการกระไรของพวกเรา”
กล้าเห็นภาพตรงหน้าแล้วทนไม่ได้
“แต่มันไล่ฆ่าชาวบ้านที่ไม่มีทางสู้ จะปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้”
“เอ็งจักทำการใดไอ้หนุ่ม”
กล้าไม่ตอบ แต่กระโจนออกไปช่วยพวกชาวม่อนช้างเผือก
“จะเอาเยี่ยงไรดีพี่โชติ” เสือดำถามขุนโชติ
“ข้าว่ามันแส่นัก ก็ปล่อยให้มันตายอยู่ตรงนี่แหละ”

เสือไทบอก ขุนโชติครุ่นคิด

เสือสั่งฟ้า 2 "พยัคฆ์ผยอง" ตอนที่ 5 (ต่อ)

สมุนภูมินทร์กำลังซุ่มยิงปืนใส่พวกชาวม่อนช้างเผือก กล้าแอบเข้ามาด้านหลัง ฟาดจนสลบ แย่งปืน M16 ไป ขณะนั้นศรีแพรกับสำริดกำลังใช้ตะขอคชกุศต่อสู้กับพวกสมุนภูมินทร์

สำริดถูกสมุนใช้มีดสปาต้าร์แทงถากแขนไป สมุนภูมินทร์ตามซ้ำ แต่เสียงปืนดังขึ้น มีดสปาต้าร์กระเด็นหลุดมือ เป็นกล้าที่ยิงแล้วพุ่งเข้ามา ใช้ด้ามปืนอัดซ้ำจนสมุนภูมินทร์สลบ สำริดมองกล้าด้วยความแปลกใจ
“ไม่ต้องกลัว ผมมาช่วยพวกคุณ”
กล้าบอกแล้วตามไปช่วยชาวม่อนช้างเผือกคนอื่นสู้ต่อ
ศรีแพรใช้ตะขอคชกุศรับมือสมุนภูมินทร์ ฝีมือคล่องแคล่ว ซัดสมุนภูมินทร์กระเด็นไป แล้วคว้าหน้าไม้ที่ติดตัวขึ้นยิงลูกธนูปักเข้าที่อกสมุนภูมินทร์ ก่อนล้มลงสมุนภูมินทร์ก็ขว้างมีดในมือตรงมาทางศรีแพร ศรีแพรมัวแต่เล็งหน้าไม้ยิงศัตรูเพื่อช่วยพรรคพวก จนไม่ทันระวังตัว
“ระวัง”
กล้ากระโจนเข้ารวบตัวศรีแพรให้พ้นวิถีของมีด ทั้งคู่กลิ้งไปกับพื้น กล้านอนทับร่างศรีแพรไว้ มือของกล้าวางอยู่บนหน้าอก กล้ารู้สึกได้ว่าศรีแพรมีหน้าอกก็แปลกใจ
“นี่นาย”
ศรีแพรเองก็ตกใจ โกรธ อาย
“เจ้า...”
ศรีแพรกำลังจะด่า แต่สมุนภูมินทร์อีกคนก็พุ่งเข้ามา ง้างสปาต้าร์ฟัน กล้าดึงศรีแพรหลบได้ฉิวเฉียด สมุนตามซ้ำ ดีที่กล้าใช้สองมือรับไว้ ศรีแพรเล็งหน้าไม้แต่ไม่กล้ายิง ทันใดร่างสมุนภูมินทร์ก็สะดุ้ง ล้มลง เพราะถูกดาบขุนโชติฟันกลางหลัง
ขุนโชติยื่นมือฉุดกล้าให้ลุกขึ้น สองคนสบตากัน แล้วหันหลังชนกันก่อนจะลุย ไม่ไกลกันนักเสือดำกับเสือไทกำลังฟาดฟันสมุนภูมินทร์อยู่เช่นกัน
ศรีแพรรีบมาประคองสำริดที่บาดเจ็บ
“พ่อเป็นยังไงบ้าง”
“ข้าไม่เป็นไร แต่ไอ้พวกที่มาช่วยเรา มันเป็นใครกัน”
สองพ่อลูกสบตากันด้วยความสงสัย มองไปทางพวกกล้าและขุนโชติ ขุนโชติร่ายคาถาปลุกกสิณไฟเสียงคาถาดังกังวาน เมฆสีดำเคลื่อนมาปกคลุม ไฟลุกพรึ่บขึ้นที่มือทั้งสองข้างของขุนโชติ ขุนโชติสะบัดลูกไฟออกไปโจมตีใส่สมุนภูมินทร์ที่เหลือ สมุนต่างวิ่งหนีไม่คิดชีวิต

กระเต็นนอนกระสับกระส่าย ลืมตาเห็นเพชรอยู่ข้างๆ อุ้มทารกในอ้อมแขน
เมื่อในอดีตตอนที่กระเต็นยังสาว เธออนอนเพลียให้น้ำเกลือหลังคลอดบนเตียงในห้องพักคนไข้ เพชรในชุดครึ่งท่อนอุ้มทารกยื่นให้กระเต็นดู
“เพชร ลูก ลูกเป็นยังไง”
เพชรพยายามยิ้มแย้ม
“นี่ไงเต็น ลูกเรา ลูกเราเป็นผู้ชาย”
“ลูก ลูกปลอดภัยแล้ว”
กระเต็นร้องไห้ด้วยความดีใจ พยายามจะอุ้มลูก
“อย่าเพิ่งขยับ เธอเสียเลือดไปมาก เอาไว้แข็งแรงกว่านี้แล้วค่อยอุ้มลูกนะ”
“ไม่ ฉันอยากแน่ใจว่าลูกไม่ตายจริงๆ ฉันได้ยินหมอบอกว่ารกพันคอลูก ลูกไม่หายใจ ถ้าลูกเป็นอะไรไป ฉันขอตายดีกว่า”
เพชรกลั้นความเศร้า
“เหลวไหล เธอหูฝาด ลูกเราแข็งแรงจะตาย” เพชรเอาลูกวางบนหน้าอกกระเต็น “ไม่เชื่อดูซิ เมื่อกี๊ร้องเสียงดังเลย”
“ลูกแม่”
กระเต็นดีใจ เพชรมองกระเต็นอย่างสงสาร

กระเต็นแต่งตัวสวยงามมาทำบุญทอดกฐิน เธอเข้ามาพร้อมกับสารวัตรชัยลูกน้องเพชรกับเมีย
“ต้องขอบคุณคุณนายมากนะครับที่อุตส่าห์มาเป็นประธานทอดกฐินให้วัดบ้านเกิดผม”
“ไม่เป็นไร เรื่องบุญกุศล ฉันเต็มใจอยู่แล้ว เพชรเค้าศรัทธาวัดนี้มาก ถ้าเพชรเขาไม่ติดราชการคงมาด้วยแล้ว เอ ไม่รู้ นายรุ่งไปตามกล้าถึงไหน หายไปเลย” พลขับรุ่งวิ่งมา
“แย่แล้วครับคุณนาย คุณหนูหายไปไหนก็ไม่รู้ผมหาจนทั่วก็ไม่เจอเลย”
“กล้า”

กระเต็นเข้ามาตามหากล้าที่เจดีย์เก็บอัฐิ
“กล้า กล้า อยู่แถวนี้หรือเปล่าลูก” แมวกระโดดผ่านไป กระเต็นสะดุ้ง “นั่นกล้าหรือเปล่าลูก”
กระเต็นเดินมาตรงเสียงเห็นแมวนั่งอยู่ จึงผิดหวังจะเดินต่อ แต่ก็ชะงักเมื่อมองไปที่เจดีย์ แล้วเดินไปใกล้เธอถึงกับตะลึงเมื่อเห็นเจดีย์เขียนว่า เด็กชาย กล้า ไพรีพ่าย ชาตะ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 มรณะ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 กระเต็นเอามือปิดปากอย่างตกใจสุดๆ
“แม่”
กระเต็นหันขวับไปหากล้า
“กล้า” กระเต็นโผเข้ากอดกล้า “ กล้าหายไปไหนมา แม่ตกใจ แทบแย่ทีหลังอย่าทำอย่างงี้รู้มั้ย”

กระเต็นกอดกล้าแน่น แต่ตายังมองไปที่เจดีย์

เมื่อกลับมาบ้านกระเต็นถามเพชรเรื่องนี้ เพชรจึงต้องยอมรับกับกระเต็นอย่างไม่มีทางเลือก

“ฉันขอโทษ กระเต็น”
“หมายความว่าลูกเราตายตั้งแต่วันคลอด แล้ว...กล้าที่อยู่กับเรา”
“กล้าเป็นลูกเสือผาด เสือที่ถูกชั้นวิสามัญ คืนวันที่เธอคลอด”
กระเต็นหมดแรงลงไปนั่ง
เพชรเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กระเต็นฟัง ที่ชุมโจรเสือผาด เพชรนำกำลังตำรวจล้อมกระท่อมหลังหนึ่งไว้ ยิงกันสนั่น จนเสียงปืนเงียบ ศพโจรนอนตายกันหลายคน เพชรโบกให้ลูกน้องตามไปหน้ากระท่อม
“เสือผาดอย่าต่อสู้อีกเลย ไม่มีประโยชน์หรอก ยอมออกมามอบตัวซะเถอะ”
พอถึงประตู เพชรถีบประตูเข้าไป เห็นเมียเสือผาดนั่งหน้าซีด ท้องแก่ เพชรเป็นห่วงรีบเข้าไปดู ตำรวจที่ตามมาถูกเสือผาดที่แอบอยู่หลังประตูล็อคคอแทงล้มลงตาย เพชรหันไป เสือผาดเตะเพชรปืนกระเด็นแล้วแทงสวนเพชรจับไว้ได้ ทั้งคู่ต่อสู้กันเพชรอัดเสือผาดลงไป เพชรพยายามจับเสือผาดคว่ำหน้าจะล็อคกุญแจ แต่เมียเสือผาดเข้ามาเอาไม้ฟาดเพชร เสือผาดคว้ามีดจะแทง แต่เพชรไวกว่า คว้าปืนที่ตกหันไปยิงเสือผาด ตำรวจที่เข้ามาก็ยิงซ้ำอีกหลายนัด จนเสือผาดตาย
“พี่ผาด โอย”
เมียเสือผาดเจ็บท้อง เพชรตกใจ
“ช่วยกันหน่อยเร็ว”

เสียงเด็กร้องไห้ดังออกมาจากในกระท่อม จากนั้นเพชรก็อุ้มเด็กที่ห่อผ้าขาวม้าออกมา
“รีบพาเมียเสือผาดไปโรงพยาบาล ฉันจะพาเด็กล่วงหน้าไปก่อน”
เสียงปืนดังขึ้นจากในกระท่อม เพชรกับตำรวจชะงัก วิ่งกลับเข้าไป จึงเห็นเมียเสือผาดที่เพิ่งคลอดนอนตาย ในมือมีปืน ที่ขมับมีเลือด ทุกคนตกใจ

กลับมาปัจจุบัน กระเต็นลุกพรวดขึ้นมา
“ไม่”
กระเต็นหอบหายใจ มองรอบตัว แล้วตัดสินใจลุกขึ้นโซเซไปที่ประตู รัก ยมปรากฏตัวกั้นประตูไว้ “ถอยไป รัก ยม”
“ไม่ได้ ปู่หาญสั่งไม่ให้แม่ออกไปจากห้อง”
กระเต็นว่าคาถาใส่มือวาดไป รักยมร้องแล้วหายวับ กระเต็นออกประตูไป

ขณะนั้นที่ห้องโถงบ้านกระเต็น ลูกน้องกำลังรายงานสุพจน์
“เรากระจายกำลังค้นทั่วทุ่งพระกาฬแล้ว แต่ก็ยังไม่พบตัวขุนโชติกับคุณกล้าเลยครับ บางทีทั้งหมดอาจจะหนีข้ามชายแดนไปแล้วก็ได้”
สุพจน์เครียด
“เพิ่มพื้นที่ค้นหาให้กว้างขึ้น เพิ่มกำลังคนอีกเท่าตัว แล้วก็สั่งทางท้องที่ให้ระดมกำลังค้นรถทุกคัน”
“แต่ไอ้พวกนั้นมันหายตัวได้ไม่ใช่เหรอครับ”
สุพจน์ไม่อยากให้ตำรวจกลัวเลยแกล้งไม่รับรู้เรื่องอาคม
“เหลวไหล ต่อให้มันมีฤทธิ์มีเดชแค่ไหน ก็ต้องตามจับมันมารับโทษตามกฎหมายให้ได้ ภายในคืนนี้ อั๊วต้องรู้ว่า ขุนโชติพากล้าหนีไปที่ไหน”
กระเต็นที่ลงมาฟังได้ยินทุกอย่างพรวดเข้ามา
“เมื่อกี๊คุณว่าอะไรนะ ขุนโชติพากล้าหนีไปเหรอ”
“คุณเต็น คุณยังบาดเจ็บนะครับนอนพักดีกว่า”
“ไม่ บอกมา เรื่องมันเป็นยังไง”
สุพจน์ลำบากใจ ตำรวจสองนายก็งงๆ

พิพิธภัณฑ์ทุ่งพระกาฬ หาญเดิยเข้ามาที่หน้าห้องจัดแสดงประวัติหลวงณรงค์ หาญเดินตรงไปที่ประตูห้องแต่แล้วต้องชะงักเพราะมีป้ายปิดปรับปรุงติดอยู่ หาญรอจนผู้เข้าชมอื่นเดินลับตาไปจึงเอื้อมมือไปผลักประตู แต่กลับถูกล็อกจากด้านใน
“ทำอะไรน่ะ” เจ้าหน้าที่เดินเข้ามา ท่าทางหงุดหงิด “คุณไม่เห็นป้ายรึไงว่าห้องนี้ปิด”
“ช่วยเปิดให้หน่อยได้ไหม ข้าต้องการค้นเรื่องบางอย่าง มันจำเป็นจริงๆ”
“จำเป็นแค่ไหน ผมก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเป็นคำสั่งจากตำรวจให้ปิดห้องนี้เอาไว้ ตั้งแต่ดาบถูกขโมยออกไปแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อยว่าดาบเล่มนั้นเป็นของใคร”
“ห้องนี้เป็นห้องแสดงประวัติและของใช้ส่วนตัวของหลวงณรงค์ ดาบก็ต้องเป็นของหลวงณรงค์สิ” หาญตกใจ
“หลวงณรงค์”
“เชิญคุณกลับไปดีกว่า ทางเราคงอนุญาตให้เข้าไปไม่ได้จริงๆ”

หาญยอมเดินออกไปแต่โดยดี ก่อนจะหันกลับไปมองอีกครั้งและคิดว่าต้องหาทางเข้าไปให้ได้

ที่ตำหนักอาจารย์ยอด ภูมินทร์เจ็บใจ เสียดายที่กล้าหนีไป

“เจ็บใจนัก ไอ้กล้ามันดวงแข็งจริงๆ อุตส่าห์ส่งนักฆ่าไปเก็บมันถึงในห้องขัง แทนที่จะตายกลับหนีรอดไปได้อีก”
“ปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำ ต่อจากนี้คงจะกำจัดมันได้ยากขึ้น”
“อย่างนี้สิ จะเป็นผลดีกับพวกเรา” ภูมินทร์กับเสี่ยไพบูลย์ต่างแปลกใจ “มันหนี ก็เท่ากับมันยอมรับว่าผิดเต็มประตู ตำรวจต้องตามล่าตัวมัน แล้วใครจะอยากญาติดีกับโจร ทีนี้ผู้หญิงที่พ่อเลี้ยงหมายปองจะเด็ดมาเชยชมเมื่อไหร่ก็ได้”
ภูมินทร์ยิ้มออกมาได้
“หึหึ จริงสิ”
“แต่คนที่ช่วยไอ้กล้าหนี จะใช่ไอ้เสือหาญรึเปล่า มันอาจมาช่วยหลานของมัน”
“ไม่ใช่หรอก เพราะตอนนั้นไอ้หาญมันประมือกับข้าอยู่”
“อาจารย์เจอกับมันแล้ว”
“ใช่” อาจารย์ยอกนึกแค้นเมื่อนึกถึงตอนที่ถูกหาญอัดด้วยหมัดคู่จนกระเด็น“ฝีมือมันแกร่งกล้าสมคำร่ำลือ แต่มันเองก็บาดเจ็บเพราะข้าไปไม่ใช่น้อย”
“ถ้าอย่างนั้นใครกันที่ช่วยไอ้กล้าหนี”
ทั้งสามต่างยังสงสัย ทันใดคมก็เข้ามา
“แย่แล้วครับนาย! ตำรวจบุกมาที่นี่”

ที่หน้าประตูทางเข้าตำหนัก สุพจน์พยายามปรามกระเต็น ตำรวจอีกสองนายตามมา
“อย่าเพิ่งวู่วามครับ คุณเต็น การที่อาจารย์ยอดทำร้ายคุณก็ไม่ได้หมายความว่า เค้าจะเอาตัวกล้าไป”
“แต่มันบอกฉันว่ามันเป็นพวกพ่อเลี้ยงภูมินทร์ ฉันแน่ใจว่าที่กล้าถูกปล้นตัวไปจากคุก ต้องเป็นฝีมือพวกมัน”
กระเต็นสะบัดเดินเข้าไป
กระเต็นเข้าไปในตำหนักจึงเห็นภูมินทร์
“ฉันคิดไว้ไม่ผิด ว่าพวกแกต้องมารวมหัวกันอยู่ที่นี่ จับมันเลยคุณพจน์”
“เดี๋ยวๆ มันเรื่องอะไรกัน พวกผมทำผิดอะไรไม่ทราบ”
กระเต็นเห็นเสี่ยไพบูลย์ก็แปลกใจ
“เสี่ยไพบูลย์! หึ นี่แกสมคบคิดกับพวกมันด้วยเหรอ ฉันเพิ่งเข้าใจคำว่า ฝนตกขี้หมูไหล มันเป็นแบบนี้นี่เอง”
“พูดดีๆ นะครับคุณนาย ผมเป็นลูกศิษย์อาจารย์ยอด การที่ลูกศิษย์จะมากราบอาจารย์มันผิดตรงไหน”
“ไอ้หมอผีนี่แหละค่ะคุณพจน์ ที่ส่งผีไอ้ทับไปฆ่าปิดปากพยานของกล้า”
“ผมเนี่ยเหรอฆ่าคน”
“แกบอกฉันเองว่าแกทำตามคำสั่งพ่อเลี้ยงภูมินทร์”
“ขอโทษนะครับ คุณมาเที่ยวกล่าวหาคนโดยไม่มีพยานหลักฐานแบบนี้ผมฟ้องกลับได้นะ” ภูมินทร์บอกอย่างไม่พอใจ
“เอาซิ ฉันไม่กลัวพวกแกหรอก ไอ้พวกหมาลอบกัด”
กระเต็นฉุนขาดจะเข้าไปเอาเรื่อง สุพจน์ต้องรีบดึงไว้แล้วกระซิบเตือน
“ถ้าไม่อยากให้เสียเรื่อง ก็ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่าครับ ให้ผมจัดการเอง” สุพจน์บอกแล้วหันไปพูดกับภูมินทร์ “คุณกระเต็นเค้าแจ้งความเอาผิดพวกคุณไว้ ยังไงเชิญทุกคนตามผมไปให้ปากคำที่กองปราบด้วยนะครับ”
“จะเอาผิดผมข้อหาเลี้ยงผีเหรอครับผู้การ ผมถือศีล ปฏิบัติธรรม เนื้อสัตว์ผมยังไม่แตะเลย วิชาของผมก็มีไว้
ช่วยแก้คุณไสยให้ชาวบ้าน ผมว่าเรื่องนี้คงจะมีการเข้าใจผิด เรานั่งคุยกันดีๆ จิบน้ำจิบท่ากันก่อนเถอะ” อาจารย์ยอดเข้ามาดึงแขนสุพจน์แล้วจ้องตา ปากพึมพำ สุพจน์ดูชะงักไปนิดนึง ตาลอย นั่งลงโดยดี “เอ้า สงสัยอะไรผมก็ว่าไปคุณตำรวจ”
“ไม่ ไม่มีอะไรสงสัย” อยู่ดีๆ สุพจน์ก็ลุกขึ้น “พวกเรากลับ”
ตำรวจสองนายงง อาจารย์ยอดยิ้มพอใจ
“จะกลับแล้วเหรอครับผู้การ งั้นผมไม่ส่งนะ เชิญครับเชิญ”
สุพจน์พยักหน้ารับ
“ครับ กลับครับ”
แล้วสุพจน์ก็หันหลังเดินกลับออกไปเลย กระเต็นและตำรวจต่างงุนงง
“คุณพจน์! คุณพจน์ จะไปไหนคะ คุณพจน์!”
ตำรวจที่มาด้วยรีบตามนายกลับไป
“ผู้การท่านคงมีธุระด่วน คุณนายจะอยู่คุยกับพวกผมต่อก็ได้นะครับ”
กระเต็นทั้งอึ้ง ทั้งโมโห
“แกเล่นไม่ซื่อ คอยดู ฉันไม่จบแค่นี้แน่”
กระเต็นมองอาจารย์ยอดกับภูมินทร์ แค้นมาก ก่อนจะตามสุพจน์กลับไป อาจารย์ยอดสะใจ “อาจารย์ยอด ยอดสมชื่อจริงๆ ครับ” ภูมินทร์บอกอย่างชื่นชม
“ยังไงก็ยังวางใจไม่ได้ อย่าลืมว่าไอ้เสือหาญยังอยู่ มันอาจจะกำลังไปตามหาหลานมัน”
“แล้วจะทำยังไงดี อาจารย์”
“เราก็ต้องทำให้มันไปตามหาไอ้กล้าไม่ได้”

อาจารย์ยอดหรี่ตาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม

ที่เรือนสำริด บ้านม่อนช้างเผือก ลำดวนกับเด็กสาวในหมู่บ้านเอาอาหารมาเลี้ยงรับรองพวกขุนโชติและกล้า เสือไทจ้องมองลำดวนตาเป็นมัน

“ข้าสำริด ผู้นำของชาวม่อนช้างเผือก ขอขอบใจพวกท่านจริงๆ ที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้”
“พวกข้าบังเอิญผ่านมา เห็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม ใยจักนิ่งเฉยอยู่ได้ นี่ไอ้ดำ ไอ้ไทน้องของข้า ส่วนนี่กล้า หลานชายของข้าเอง”
ขุนโชติบอก กล้างงๆ จำต้องเงียบเหมือนรับไปโดยปริยาย
“พวกข้าอาศัยกันอย่างสงบในป่าแถบนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่ไอ้เจ้าของปางไม้ใกล้ๆ นี่ มันชอบบุกรุกเข้ามาในเขตหมู่บ้าน แอบตัดไม้ ไม่ก็ล่าสัตว์ ช้างของพวกเราถูกลอบฆ่า เพื่อเอางาไปขายหลายเชือกแล้ว”
ลูกบ้านที่นั่งรายล้อมกันอยู่ข้างล่าง สีหน้าเศร้ากันหมด มีแต่คำพันกับพวกที่ดูเฉย ไม่ทุกข์ร้อนอะไร
“พวกเอ็งไม่ต้องห่วง ข้าขุนโชติแห่งทุ่งพระกาฬจักอยู่ที่นี่คอยช่วยปกป้องพวกเอ็งเอง”
ขุนโชติบอกเพราะเห็นว่าจะเป็นที่ซ่องสุมกำลังได้ เสือดำกับเสือไทที่กินข้าวอยู่ชะงัก มองหน้ากันงงๆ ส่วนกล้าเองก็อึ้งๆ ที่จะต้องอยู่ที่นี่ สำริดกับชาวบ้านต่างพากันดีใจ
“ขอบใจ พวกข้าขอบใจท่านทั้งสี่จริงๆ”
คำพันที่ยืนอยู่กับพวก 2 คน ไม่เห็นด้วย
“พ่อเฒ่า ท่านลืมไปรึเปล่า ว่าเรามีกฏไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่งย่ามในหมู่บ้าน กฎนี้มีมานานก่อนเราจะเกิดด้วยซ้ำ พวกมันเป็นใครก็ไม่รู้ ถ้าผีปู่ย่าโมโหจะทำยังไง”
ชาวบ้านเริ่มกระซิบกระซาบคล้อยตาม สำริดชักลำบากใจ ขุนโชติหรี่ตามองคำพัน ส่วนเสือไทไม่พอใจ ขยับตัวจะเอาเรื่อง แต่เสือดำดึงไว้ ส่งสายตาห้าม ศรีแพรโมโห เถียงคำพัน
“ก็พวกเค้าช่วยเราไว้ ผีป่าผีไพรเป็นพยานได้ จะกลัวอะไรนักหนา อย่าลืมสิว่าปู่ย่าก็สอนให้สำนึกคุณคนเหมือนกัน”
พวกชาวบ้านคล้อยตามศรีแพรอีก เห็นด้วยกับศรีแพร คำพันกับศรีแพรจ้องกันเขม็ง สำริดหย่าศึกอย่างใจเย็น
“ไม่เอาๆ จ้องกันแบบนี้ปวดตาเปล่าๆ เอ้า ทำตามข้า หายใจเข้าร่าเริง หายใจออกโล่งเบา” ลูกบ้านต่างทำตามสำริดยิ้มพลางคะยั้นคะยอศรีแพรกับคำพัน “เอ้า เร็วสิ เร็ว” ศรีแพรกับคำพันต่างต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้ “ดีมาก รักกันไว้ๆ ทีนี้ข้าขอตัดสินเองนะ ในเมื่อท่านเหล่านี้ช่วยเราไว้ พวกเขาก็ไม่ใช่คนนอก แต่เป็นผู้มีพระคุณต่างหากล่ะ”
ศรีแพรยิ้มเย้ยคำพัน สะใจ คำพันโมโหเดินออกไปกับพวก สำริดขอโทษพวกขุนโชติ
“ข้าขอโทษด้วย เชิญ เชิญพวกท่านกินกันตามสบาย”
พวกขุนโชติลงมือกินอาหาร ส่วนกล้าเหลือบเห็นศรีแพรกำลังมองมาทางตนแบบเคืองๆ ทั้งสองสบตากันพอดี ศรีแพรอาย ก้มมองหน้าอกตัวเอง รีบทำเป็นกอดอก ชักสีหน้าหงุดหงิด แอ๊บท่ายืดอกแบบผู้ชายใส่ จันทาเห็นท่าทีของศรีแพร เกาหัวงงๆ ว่าเป็นอะไร กล้าแอบอมยิ้ม

ตะขอคชกุศพุ่งเข้ามาปักกลางต้นไม้ จันทาวิ่งเข้ามาดึงตะขอออกแล้ววิ่งกลับเอาไปให้ศรีแพรขว้างระบายอารมณ์ใหม่
“ลูกพี่ จะร้อยรอบแล้วนะ ไม่คิดจะเหนื่อยบ้างเหรอ”
ศรีแพรยังไม่หายอารมณ์เสีย
“ทำไม ไม่อยากวิ่ง?” จันทากลัว แต่หมดแรง พยักหน้ารับหงึกๆ “งั้นไปยืนโน่น” จันทายิ้มดีใจ แต่พอมองตามทิศทางที่ศรีแพรชี้ก็ชะงัก เอียงคอสงสัย “เป็นเป้านิ่งไง ไม่เหนื่อยดี”
“ไม่เหนื่อยแต่เสียว”
ศรีแพรขำ ง้างจะขว้างคชกุศอีก แต่กลับต้องชะงัก เพราะกล้ายืนอยู่ตรงต้นไม้ที่เป็นเป้า
“ไอ้คนเมือง ถอยไป ข้าทำอะไรอยู่ไม่เห็นเหรอ”
ศรีแพรทำเสียงห้าว กล้าขำในท่าทีทำห้าวของศรีแพร
“ถ้าเป็นอย่างที่ผมคิด ผมคิดว่าคงต้องมาขอโทษคุณนะ”
ศรีแพรคิดไปถึงตอนที่กล้าโดนหน้าอกก็อายทำห้าวใหญ่
“อะไร จะมาผมๆ คุณๆ ขอโท่งขอโทษอะไร ไม่ต้อง ไม่เอา ไม่จำเป็น”
“แต่ผมเป็นสุภาพบุรุษ เมื่อล่วงเกิน ถึงไม่ตั้งใจ ก็ต้องขอโทษ”
“ล่วงเกิน มันแปลว่าอะไรเหรอลูกพี่”
ศรีแพรอาย พาลดุจันทา
“จันทา ไม่ต้องสงสัยซักเรื่องได้มั้ย” จันทาจ๋อย ศรีแพรหันไปที่กล้ายิ้มสนุก “เจ้าพูดอะไรข้าไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าอยากจะเป็นเป้านัก ก็อย่าหาว่าไม่เตือน”
ศรีแพรขว้างคชกุศใส่กล้า คิดว่ากล้าจะหลบ แต่กล้ากลับนิ่งเฉย จันทาตาโต ลุ้น คชกุศลอยคว้างไปที่กล้า ใกล้เข้าเรื่อยๆ จนศรีแพรตกใจ จันทาปิดตา ทันใดกล้าก็เบี่ยงตัวหลบอย่างง่ายดาย ตะขอคชกุศปักที่ต้นไม้ ศรีแพรกับจันทาต่างโล่งอก
“ทำไมเจ้าไม่หลบ ถ้าโดนจริงๆ ขึ้นมาจะทำยังไง”
กล้าไม่โกรธ ยิ้มให้ศรีแพร
“คุณไม่ใจร้ายอย่างนั้นหรอก หายโกรธหรือยัง ยกโทษให้ผมนะ”
ศรีแพรเขินเลยทำขึงขังใหญ่
“ไม่” ศรีแพรเดินงอนออกไป
“ลูกพี่” จันทาวิ่งตามออกไป
กล้ามองตาม ยิ้มขำในความดื้อของศรีแพร

ภายในห้องจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ เสียงสวดคาถาสะเดาะกลอนดังกังวานขึ้น
“ทะนะมะพะ สะระนิจจามะนิจจะตัง”
กลอนประตูที่ล็อกอยู่ ค่อยๆ เลื่อนออก สักพักประตูห้องก็เปิดออกได้เอง หาญเดินผ่านประตูเข้ามา มองไปรอบๆ ห้องจัดแสดง แล้วสะดุดตาเข้ากับผนังด้านหนึ่ง ที่มีผ้าคลุมปิดบัง อะไรบางอย่างเอาไว้ หาญจ้องมองผ้าคลุม เหมือนมีอะไรดึงดูดให้เดินเข้าไปหาด้วยใจระทึกแล้วเอื้อมมือไปดึงผ้าออก ผ้าคลุมหล่นลงมากองกับพื้น หาญจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยอาการตกตะลึง เพราะเป็นภาพวาดหลวงณรงค์ฤทธิโยธาที่ถูกฟันจนขาดเป็นเสี่ยงแต่ยังเห็นชัดว่ามีใบหน้าเหมือนกับตนราวกับฝาแฝด
“อะไรกันนี่”
หาญสังหรณ์ใจไม่ดี เอื้อมมือไปสัมผัสกับภาพวาด หลับตา แล้วหาญก็เหตุการณ์ตอนที่ขุนโชติถูกหลวงณรงค์ฆ่า/หลวงณรงค์ชิงดาบประจุพราย ของขลังต่างๆ และทรัพย์สมบัติมาเป็นของตน / ขุนโชติประกาศจะล้างแค้น ฟันภาพวาดของหลวงณรงค์ ขาดเป็นเสี่ยง
หาญลืมตาขึ้น หมดแรง ทรุด สำนึกได้ว่าตัวเองเคยก่อกรรมหนักหนาไว้กับขุนโชติ
“อดีตชาติของข้าคือหลวงณรงค์จริงเหรอ” หาญหันมองดูหน้าตัวเองในกระจกเงา “ขุนโชติ ข้านึกไม่ถึงเลยว่า จะเคยก่อกรรมทำเวรไว้กับเอ็งถึงเพียงนี้ นี่คงเป็นวิบากกรรมที่พ่อปู่พยายามจะบอก”
“ไอ้หัวขโมย แกเข้ามาได้ยังไง”
รปภ.ปรี่เข้ามาพร้อมไม้กระบองในมือ
“ข้าไม่ใช่ขโมย เอ็งฟังข้าก่อน”
รปภ.ไม่ฟังใช้กระบองฟาดใส่ หาญหลบ ตั้งรับด้วยมือเปล่า ไม่คิดทำร้าย แต่รปภ.สู้ขาดใจ สุดท้ายหาญผลักรปภ.จนเซ แล้วจะหนี แต่รปภ.ก็โดดเข้าล็อกคอหาญไว้จากด้านหลัง
“ปล่อยข้าก่อน เอ็งเข้าใจผิดแล้วไอ้หนุ่ม”
“ไอ้พวกชั่ว ขายสมบัติชาติกินอย่างแก เอาไว้ไม่ได้”
รปภ.รัดคอหาญแน่นขึ้นจนหาญต้องออกแรงสะบัด รปภ.ลอยไปที่ผนัง ศีรษะกระแทกอย่างแรง หมดสติไป
หาญตกใจ รีบเข้าไปดู เห็นเลือดไหลอาบหน้าไม่หยุด
“ข้า ข้าขอโทษ”
หาญร่ายคาถาห้ามเลือด แล้วเป่ามนต์ เลือดหยุดไหล หาญจะพยุงรปภ. แต่เจ้าหน้าที่กับรปภ.อีกคนตามเข้ามาซะก่อน
“จับมัน”
หาญไม่คิดสู้ วิ่งหนีไปทางประตู

หาญผลักประตูวิ่งออกไป เจ้าหน้าที่กับรปภ.ไล่ตามมาติดๆ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นทางที่หาญวิ่งไปเป็นทางเดินโล่งๆ ไม่มีแม้แต่เงาของหาญ ทั้งสองคนมองหน้ากัน เหวอไปเลย

เสือสั่งฟ้า 2 "พยัคฆ์ผยอง" ตอนที่ 5 (ต่อ)

วันต่อมาในป่า เขตบ้านม่อนช้างเผือก ศรีแพรแอบอยู่บนต้นไม้เห็นจันทาเดินเข้ามาชะเง้อมองหาศรีแพร ทันใดนั้นจันทาก็ถูกเชือกรวบขากระตุกขึ้นห้อยต่องแต่ง ลูกดอกหน้าไม้พุ่ง 5 ดอก พุ่งออกจากกลไกหน้าไม้ เฉียดผ่านตัวจันทาไปปักที่ต้นไม้ จันทาร้องเสียงหลงด้วยความกลัว

“ว้ากๆ ช่วยด้วย ผีป่าผีไพรจะฆ่าไอ้จันทาแล้ว”
เสียงหัวเราะของศรีแพรดังขึ้น
“ฮะๆ”
จันทางง มองตามเสียง เห็นศรีแพรนั่งอยู่บนต้นไม้ จันทารู้ว่าฝีมือศรีแพรก็เรียกเสียงหลง
“ลูกพี่”
ศรีแพรไต่ลงจากต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว มองจันทาชอบใจ
“สำเร็จ คราวนี้แหละ ถ้าพวกมันบุกเข้ามาอีก ข้าศรีแพรจะจับมันมาเลาะกระดูกเอาหนัง เหมือนกับที่มันทำกับเพื่อนๆ สัตว์ป่าของเรา คอยดู”
“อะ เอาฉันลงก่อนดีไหมจ๊ะ ลูกพี่ที่เคารพ”
จันทาพูดไปเวียนหัวไป ศรีแพรสนุก ชอบใจ แหย่แกล้งจันทา
“จะรีบไปไหนๆ ขอข้าลองกลไกอีกรอบก่อนซี๊”
“ศรีแพร” ศรีแพรมองไป สำริดเดินเข้ามา แต่นึกได้ว่าตัวเองโมโหอยู่จึงบอกกับตัวเอง “หายใจเข้าร่าเริง หายใจออกโล่งเบา” จันทาทำท่าตามด้วย สำริดค่อยๆ พูดปรามลูก “ลูกพ่อที่รัก เจ้าเล่นอะไรแบบนี้ ถ้าเกิดจันทาเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง อันตรายรู้ไหม เอามันลงมาเร็ว”
สำริดยิ้มสั่งใจเย็น ศรีแพรเซ็ง เอาจันทาลง จันทาพูดไปมึนไป
“โอย มึนๆ”
“ทำไมเจ้าถึงทะโมนแบบนี้น้า เมื่อไหร่จะแต่งตัวสวยๆ ทำตัวเรียบร้อยๆ แบบผู้หญิงคนอื่นเค้าบ้าง เฮ้อ...ตกลงนี่เจ้าเป็นลูกลิงหรือลูกคนกันเนี่ย ข้าล่ะกลุ้ม”
ศรีแพรยิ้ม กวนพ่อกลับ
“อันนั้นมันก็ต้องขึ้นกับหน้าตาพ่อแล้วล่ะ”
สำริดชี้หน้าตัวเอง ชักสงสัย
“งั้นก็ลูกลิง” จันทาบอก
“จันทา”
จันทาทำก้มหน้าคอตก
“ถ้าข้าเป็นลูกคนแล้วต้องอ่อนแอ โดนใครรังแกก็เอาแต่หนี ข้าขอเป็นลูกลิงดีกว่า”
“โธ่ ศรีแพร ถ้าเจ้าไม่เห็นแก่พ่อ ก็เห็นแก่แม่ศรีวรรณของเจ้าบ้าง”
ศรีแพรได้ยินชื่อแม่ก็จิ๊ดขึ้นมาทันที
“แต่ที่ข้าทำ ที่ข้าเป็นก็เพื่อแม่ แม่ถูกพวกลอบตัดไม้มันฆ่า ถึงตอนนั้นข้าจะยังเด็กแต่ข้าจำได้แม่นไม่เคยลืม พ่อต่างหากที่เอาแต่ยอมคน ไม่เคยคิดจะทำอะไรเพื่อแม่เลย”
ศรีแพรสะเทือนใจ วิ่งหนีออกไป จันทาวิ่งตามไป
“ลูกพี่ๆ” สำริดอึ้ง
“ศรีแพร”

ขณะนั้นกล้ากับขุนโชติเปลือยท่อนบนกำลังอาบน้ำให้ช้างบุญรอดอยู่ที่ธารน้ำ ส่วนปันนาอาบน้ำให้ช้างบุญช่วยอยู่ไม่ห่างจากกันนัก
กล้าวักน้ำใส่ตัวช้างบุญรอด ส่วนขุนโชติเอาอุปกรณ์ธรรมชาติที่ดัดแปลงให้เหมือนแปลงถูลงบนตัวบุญรอด
“น้า เคยทำแบบนี้ด้วยเหรอ?” กล้าถามขึ้นมา
“มันจะแปลกกระไรวะ ช้างก็ไม่ต่างกับม้า ข้าเองสมัยก่อนก็ต้องดูแลไอ้มงคลม้าคู่กาย” ขุนโชตินิ่งไป คิดถึงชีวิตในยุคของตน “ขี่มัน ก็ต้องรู้ใจมัน ดูแลให้หญ้าให้น้ำ มันถึงจะให้ใจเรา” กล้าคิดตาม
“คงคล้ายๆ กับเพื่อนผมคนนึง มันรักมอเตอร์ไซค์เหมือนลูก ขัดจนมันวับแถมตั้งชื่อให้อีกต่างหาก”
“มอเตอร์ไซค์? ไอ้ม้าเหล็กน่ะรึ”
กล้าได้ยินขุนโชติพูดก็ขำ
“ใช่ครับ ม้าเหล็กก็ม้าเหล็ก”
“ขำกระไรวะ ข้าไม่คุ้นกับไอ้ของพวกนี้นี่หว่า”
“หมู่บ้านน้าไม่มีมอเตอร์ไซค์เหรอ ยุคนี้แล้วจะกันดารห่างไกลแค่ไหน ก็น่าจะมีมอเตอร์ไซค์ใช้นะ คำพูดของน้าก็เหมือนกัน มันไม่เหมือนคนต่างจังหวัดแต่เหมือนคนสมัยโบราณย้อนยุคไปเป็นร้อยปี”
“แล้วหากข้าบอกว่าข้าเป็นคนมาจากเมื่อร้อยปีก่อนจริงๆ ล่ะ”
ทั้งคู่มองหน้ากัน ทันใดช้างบุญช่วยก็พ่นน้ำใส่กล้าและขุนโชติ ปันนากลัวพวกกล้าจะโกรธจึงรีบบอก
“บุญช่วยมันขี้เล่น พวกท่านอย่าถือสามันเลยนะ”
กล้ากับขุนโชติ มองบุญช่วย บุญช่วยยื่นงวงมาหยอกล้อกล้า ทั้งสองขำ ขุนโชติมองไปรอบๆ ใจคิดถึงลูกเมีย “ที่แบบนี้ ช่างทำให้ข้านึกถึงที่ที่เคยอยู่นัก” ขุนโชติมองสายน้ำแล้วเศร้าใจ “สายน้ำไม่อาจไหลกลับ เฉกเช่น
อดีตที่ไม่อาจหวนคืน”
ขุนโชติเห็นใบไม้เล็กๆ ลอยตามน้ำมา ขุนโชติหยิบขึ้นมาแล้วเป่าเป็นเพลง กล้ามอง ก่อนคว้าเด็ดใบไม้ที่กิ่งยื่นมาใกล้ๆ บ้าง และเป่าคลอไปกับขุนโชติ ขุนโชติกับกล้าเหลือบมองกัน รู้สึกสนิทกันมากขึ้น

ศรีแพรเดินโมโหเข้ามาอีกมุมหนึ่งของธารน้ำ
“พ่อนะพ่อ”
แต่แล้วศรีแพรกลับต้องตกใจแล้วรีบหลบเข้าที่พุ่มลับตาทันที ศรีแพรแอบมองผ่านพุ่มไม้ เห็นขุนโชติกับกล้าเปลือยอกอยู่กลางลำธาร สายตาของศรีแพรแอบจ้องมองไปที่กล้า

ขุนโชติหยุดเป่าใบไม้พลางถอนหายใจ กล้ามองขุนโชติ สงสัยว่ามีความในใจอะไร
“ถ้าน้ามีอะไรไม่สบายใจ ก็เล่าให้ผมฟังได้นะ”
ปันนาต้อนช้างบุญช่วยออกห่างไป
“หากลูกชายข้ายังอยู่ มันคงเป็นเช่นเอ็ง ที่เข้มแข็งแลห่วงใยผู้อื่น”
“ลูก”
“ใช่ ลูกเมียแลพี่น้องของข้าถูกพวกโปลิศฆ่าตายจนหมด ข้าชังพวกโปลิศมันนัก”
กล้าได้ยินก็อึ้งๆ เถียง
“แต่พ่อของผมพูดเสมอว่า หน้าที่ของตำรวจก็คือปกป้องประชาชน เป็นไปไม่ได้แน่ที่ตำรวจจะไปทำแบบนั้น”
ขุนโชติสะเทือนใจนักเมื่อพูดถึงอดีต
“พ่อเอ็งจะรู้กระไร โปลิศมันชั่วจ้องแต่จะรีดนาทาเร้น พอพวกข้าลุกขึ้นสู้ มันก็ลุแก่อำนาจ ใส่ความแลฆ่าทิ้งเสีย เช่นนี้จะหาว่าข้าพูดผิดกระนั้นรึ” กล้าอึ้ง “ที่ข้าทำก็เพื่อทวงคืนความเป็นธรรม ไม่มีผู้ใดดอก ที่อยากจะกลายโจร เรื่องนี้เอ็งก็น่าจะแจ้งแก่ใจ”
ขุนโชติเศร้าใจนัก กล้าสะท้อนใจ ที่พุ่มไม้ที่ศรีแพรหลบมีการเคลื่อนไหว ขุนโชติรู้สึกได้ หันขวับตามเสียง “เอ็งจงระวัง เราอาจมีภัย”
“เดี๋ยวผมไปดูเอง”

ศรีแพรเห็นกล้าเดินตรงเข้ามา รีบปิดปากเงียบ แล้ววิ่งหนีออกไปทันที

ศรีแพรวิ่งหนีออกไปทางปลายน้ำ สักพักกล้าวิ่งมามองหากหน้าเครียด แล้วจึงวิ่งตามออกไป ศรีแพรวิ่งรีบร้อนเข้ามา มองซ้ายขวาคิดว่าพ้นแน่แล้ว โล่งอก หยุดหายใจหอบเหนื่อย

“นึกว่าโจรที่ไหน?”
ศรีแพรหันไปตามเสียง เห็นกล้ายืนอยู่ต่อหน้า เปลือยอกยิ้มหล่อให้อยู่ ศรีแพรเห็นแผ่นอกก็เขิน ทำห้าว “ยิ้ม ยิ้มอะไรไอ้คนเมือง”
“แอบฟังคนคุยกัน มันไม่ดีนะ”
“ไกลจะตาย ได้ยินก็บ้าแล้ว”
“เอ ถ้างั้น...ก็แอบดูผู้ชายอาบน้ำสินะ?” ศรีแพรหน้าแดง
“บ้า ข้าเป็นผู้ชาย จะแอบดูเจ้าทำไม ฮะ ไอ้บุญรอดกับไอ้บุญช่วยมันเป็นช้างข้า ข้าแค่มาดูมัน ก็เท่านั้น”
กล้าอยากรู้ว่าศรีแพรจะอำว่าเป็นผู้หญิงอีกนานไหม
“ผู้ชาย?” กล้าจับแขนศรีแพร “งั้น ถอดเสื้อลงไปอาบน้ำพวกมันด้วยกันดีไหม”
“บ้าเหรอ”
กล้าแกล้งจะดึงศรีแพร ศรีแพรสะบัดจนพลาด ศรีแพรกับกล้าร่วงตกน้ำไปทั้งคู่ จันทาวิ่งเข้ามาพอดี เห็นตกน้ำลงไปก็หยุดมองใหญ่

กล้าโผล่ขึ้นมาจากน้ำก่อนแล้วตกใจมองหาศรีแพรแต่ศรีแพรยังเงียบกริบ ไม่โผล่ กล้าเป็นห่วงมาก แต่แล้วศรีแพรก็โผล่ขึ้นต่อหน้ากล้าซึ่งผ้าโพกหัวหลุดไปแล้ว สองคนอยู่ใกล้กันมาก ศรีแพรกับกล้าสบตากันนิ่ง เสียงหัวใจศรีแพรเต้นดังออกมา แต่พอรู้ตัวก็รีบผลักกล้าออก กล้ารีบถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้าง สำลักน้ำบ้างไหม”
“แค่นี้ ทำอะไรคนป่าคนดงอย่างข้าไม่ได้หรอก”
กล้าเห็นศรีแพรไม่เป็นไร โล่งใจ มองศรีแพร ยิ้ม
“แล้ว จะรับคำขอโทษของผมได้รึยัง”
ศรีแพรรีบจับหัวสำรวจก็รู้ว่าผ้าโพกหายไป ศรีแพรเขินที่ถูกจับได้
“ไม่ ยังไงก็ไม่”
ศรีแพรทำโมโห ว่ายหนีมาที่ริมลำธาร

ศรีแพรขึ้นจากน้ำมาหาจันทาแล้วดึงเอาผ้าโพกหัวของจันทามาพันหัวตัวเอง กล้าตามมาดึงแขนศรีแพรไว้
“คุณเป็นผู้หญิงที่สวยมากรู้มั้ย ทำไมต้องปลอมเป็นผู้ชาย” ศรีแพรสะบัดมือ
“เรื่องของข้า”
“หู สุดยอด ผีโขมดผีไพรไม่รู้ แต่พี่รู้ เก่ง เก่งจริงๆ คนทั้งหมู่บ้านยังไม่รู้เลยนะพี่ชาย” จันทาบอก
“จริงเหรอ? ไม่เห็นเข้าใจเลย ทำไมพวกผู้หญิงชอบปลอมเป็นผู้ชายกันนัก ทั้งๆ ที่เห็นครั้งแรกก็รู้แล้ว”
“เอ่อ ก็จริง เค้ารู้กันหมดแหละ แต่พี่ศรีแพรเป็นลูกหัวหน้าว่าไงก็ว่างั้น ใครจะกล้าพูดเรื่องจริงกันล่ะ” จันทาบอกทำให้ศรีแพรอายจึง ลากเสียงดุ
“จัน...ทา! นี่แน่ะ นี่แน่ะ”
ศรีแพรตีจันทา กล้าขำ ทันใด เสียงร้องของลำดวนดังขึ้น
“ว้าย”
กล้า ศรีแพร จันทาตกใจ

ขณะนั้นเสือไทกำลังฉุดลำดวนมาและพยายามปลุกปล้ำเธอแต่ลำดวนไม่ยอมจึงดิ้นขัดขืน เสือดำพยายามดึงห้ามเสือไท
“ไอ้ไทเอ็งจักหาเรื่องให้พี่โชติรู้ตัวรึไม่”
เสือไทสะบัด
“ก็ถ้าเอ็งไม่พูด พี่โชติจักรู้ได้เยี่ยงไร ปล่อย”
เสือไทพูดจบก็ดึงทึ้งเสื้อผ้าพลางซุกไซร้ลำดวนอย่างหื่นกระหายในอารมณ์ เสือดำมองหนักใจ
“พอซะที”
เสือไทชะงัก หันไปเห็นกล้าอยู่กับศรีแพรและจันทา ลำดวนรีบวิ่งไปแอบอยู่หลังศรีแพร ศรีแพรกอดไว้ มองเสือไทด้วยความโมโห เสือไทดึงดัน คิดว่าตนไม่ผิด
“พ่อเฒ่าของพวกเอ็งบอกให้ข้าทำตัวตามสบาย ข้าก็ทำ มีปัญหากระไรนักวะ”
ศรีแพรโมโหกำลังจะด่า แต่กล้าจัดซะก่อน
“แต่ที่น้าทำมันผิด เป็นลูกผู้ชายต้องไม่ทำเรื่องแบบนี้”
ศรีแพรมองกล้า ประทับใจในความแมนปกป้องผู้หญิง เสือไทโมโห หยิบขวานขึ้นมา
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน อย่าบังอาจมาสั่งสอนข้า”
“อย่าไอ้ไท”
เสือดำพยายามห้ามแต่ไม่ทัน เสือไทโผเข้าฟันกล้า กล้าหลบหลีกแต่ก็พลาดท่าถูกเสือไทถีบ เสือไทจะซ้ำแต่ขุนโชติวิ่งเข้ามาเอาดาบรับขวานไว้ เสือไทตกใจ ผงะออก
“พี่โชติ”
ขุนโชติมองเสือไท เสือดำ ด้วยความโมโหมาก

ทางด้านกระเต็น ขณะนั้นเธอชวนจ่าลุยมาที่โรงพยาบาล
“ขอบใจนะจ่าที่อุตส่าห์มาเป็นเพื่อน”
“อย่าขอบใจผมเลยครับ ผมเต็มใจทำทุกอย่างถ้าจะช่วยให้คุณกล้าปลอดภัย แต่คุณนายแน่ใจเหรอครับว่าผู้หญิงที่ชื่อราชาวดีจะรู้ว่าคุณกล้าอยู่ที่ไหน”
“กล้าหลงผู้หญิงคนนี้มาก กล้าต้องติดต่อมาหาแน่”
กระเต็นเลี้ยวมาอีกทางจะไปทางห้องครูเริง แล้วชะงักเมื่อเห็นราชาวดีประคองครูเริงเดินอยู่ที่ทางเดิน มีคะนึงนิจถือกระเป๋าเสื้อผ้าตามหลัง
“เราจะไปที่ปางไม้นั่นจริงๆ เหรอคะพ่อ วดีเกรงใจพ่อเลี้ยงเค้า”
“พ่อเลี้ยงภูมินทร์อุตส่าห์ออกปากชวนทั้งที ไม่ไปสิน่าเกลียด”
ราชาวดีสบตาคะนึงนิจ ไม่ค่อยอยากไป
“นั่นไง สงสัยคงจะกำลังออกจากโรงพยาบาลพอดี”
กระเต็นบอกแล้วจะเข้าไปหา แต่ภูมินทร์เดินมาสมทบที่ราชาวดี
“รอผมนานมั้ยครับ พอดีผมไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่”
คะนึงนิจไม่ค่อยไว้ใจพี่ชายตัวเอง
“ที่จริงครูเพิ่งได้ออกจากโรงพยาบาล ก็น่าจะให้พักผ่อนอยู่ที่บ้านก่อน ไม่น่าจะเดินทางไกลๆ ให้ลำบาก”
“อยู่แต่ที่บ้านก็อุดอู้สิ สู้ขึ้นไปพักที่ปางไม้ของเราไม่ได้หรอก นิจก็รู้นี่ว่าที่นั่นสะดวกสบาย มีทุกอย่างพร้อม”
กระเต็นอึ้งไปที่เจอภูมินทร์ที่นี่
“พ่อเลี้ยงภูมินทร์”
คะนึงนิจเถียงภูมินทร์ไม่ออก ภูมินทร์เข้าไปช่วยราชาวดีประคองครูเริง ทันใดกระเต็นกับจ่าลุยก็โผล่มา กระเต็นฉุนเฉียว
“อ๋อ ทีแท้ก็เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ใช่มั้ย แกถึงตามเล่นงานลูกชายฉันไม่เลิก”
กระเต็นต่อว่าภูมินทร์ ภูมินทร์ตกใจที่เจอกระเต็นที่นี่ ขณะที่ทุกคนต่างงุนงง
“อะไรกันอีกคุณนาย”
“เธอก็เหมือนกัน หว่านเสน่ห์ จับปลาหลายมือ ปั่นหัวให้ผู้ชายจะฆ่ากันตายแบบนี้ สะใจแล้วใช่มั้ย” กระเต็นต่อว่าราชาวดี
“คุณน้าคะ วดีไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลย คุณน้ากำลังเข้าใจผิด”
“ใจเย็นๆ ก่อนสิคะคุณน้า นี่มันเกิดอะไรขึ้น” คะนึงนิจถามอย่างสงสัย
“นั่นซิ ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” ครูเริงถามราชาวดี ภูมินทร์รีบขวางไม่ให้ได้คุย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ พวกเสียสติน่ะ”
“แกสิที่เสียสติ แกใส่ร้ายลูกชายฉันจนต้องติดคุก ฆ่าปิดปากพยาน แถมยังส่งคนไปปล้นตัวกล้าไป แค่ผู้หญิงคนเดียว ถึงกับทำเรื่องชั่วช้าตั้งมากมาย”
“พูดอะไรผมไม่รู้เรื่อง เราไปกันเถอะครับ”
ภูมินทร์จะไป กระเต็นขวาง ภูมินทร์โมโหผลักกระเต็นกระเด็น จ่าลุยโกรธ พุ่งเข้าไปชกหน้าภูมินทร์จนคว่ำ คมตามรปภ.เข้ามาพอดี รีบจับตัวจ่าลุย ภูมินทร์ลุกขึ้นมาจะเอาคืนแต่นึกได้ว่าราชาวดีอยู่จึงสั่งคมแทน

“รีบเอาไอ้พวกบ้านี้ออกไป ก่อนที่ฉันจะแจ้งตำรวจ”

รปภ.ช่วยกันลากตัวกระเต็นกับจ่าลุยไป

“ฉันจะตามราวีแกให้ถึงที่สุดไอ้พ่อเลี้ยง ฉันไม่ปล่อยให้แกลอยนวลแน่”
กระเต็นตะโกน ภูมินทร์โกรธมาก
“ตกลงมันเรื่องอะไรกัน” ครูเริงถามขึ้นมา
“เค้าเป็นแม่ของนายกล้าครับ เคยมีเรื่องมีราวกับผม นี่คงอาละวาดเพราะรับไม่ได้ที่ลูกตัวเองกลายเป็นโจร อย่าสนใจเลยครับ เราเดินทางกันดีกว่า”
ภูมินทร์นำราชาวดีกับครูเริงออกไป ราชาวดียังดูเป็นกังวลมองตามพวกกระเต็นไป คะนึงนิจมองตามพี่ชายยิ่งแคลงใจ ต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่

ที่หมู่บ้านม่อนช้างเผือก ขุนโชติกำลังด่าเสือดำกับเสือไท
“เอ็งสองคนจักทำให้เสียการรู้รึไม่”
เสือดำนิ่ง แต่เสือไทเถียง
“ก็ข้าอดใจไว้ไม่อยู่”
“ที่นี้ทำเลเหมาะนัก ข้าจักปั่นหัวพวกมันให้เชื่อฟัง แลซ่องสุมกำลังเพื่อเป็นชุมโจรใหม่ แค่นี้พวกเอ็งคิดไม่ได้เชียวรึ” เสือดำ เสือไท คิดตาม กล้าเดินเข้ามาอย่างร้อนใจ
“พวกน้าก่อเรื่องแล้วรู้ไหม”
ขุนโชติถึงกับเครียด

ที่เรือนสำริด คำพันกำลังปลุกระดมชาวบ้าน
“ข้าบอกแล้วว่าพวกมันจะก่อความเดือดร้อน เห็นไหม ยังไม่ทันไรก็ก่อเรื่อง เราต้องขับไล่พวกมันไป”
ลูกบ้านต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ๆๆ”
สำริดอยู่ที่ชานเรือนกับศรีแพร จันทา ต่างลำบากใจ ปันนา พ่อลำดวนและ แม่ลำดวน กำลังปลอบลำดวนที่ร้องไห้อยู่ คำพันสะใจ กระซิบกับลูกน้องทั้งสอง
“หึ ซักวันที่นี่ต้องกลับมาเป็นของข้า”
สำริดพยายามเกลี้ยกล่อมชาวบ้าน
“เรื่องนี้ข้าจัดการได้ พวกเจ้าใจเย็นๆ ก่อนนะ”
“พ่อเฒ่าจะทำอะไรได้ เหอะ เสียดายที่พ่อข้าตายไปตั้งแต่ข้ายังเด็ก ไม่งั้นคงไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่ ท่านเป็นน้องชายเค้า ปกครองต่อจากเค้า ทำได้แค่นี้เองเรอะ”
“ไอ้คำพัน”
ศรีแพรกำคชกุศโผเข้าไปเอาเรื่อง ลูกน้องคำพันทั้งสองถือคชคุศเข้าขวางหน้าไว้ สองฝั่งจ้องกันนิ่ง ขุนโชติเดินเข้ามากับเสือดำ เสือไทและกล้า ชาวบ้านต่างมองกระซิบกระซาบไม่พอใจ ศรีแพรกับพวกคำพันถอยออกจากกัน
“มาซะที ไอ้พวกตัวซวย”
คำพันบ่น ขุนโชติยืนมองทุกคนนิ่งก่อนจะกระชากตัวเสือไท เหวี่ยงลงไปคุกเข่าที่พื้น ทุกคนต่างตกใจ
“ในเมื่อคนของข้าผิด” ขุนโชติชักดาบออกจากฝัก “หัวของมันจักแทนการขอขมาจากข้า”
เสือไทอึ้ง ทุกคนตะลึง ขุนโชติง้างดาบขึ้น แล้วฟันลงทันที ปลายดาบเกือบถึงคอเสือไทแต่สำริดเข้ามากอดดึงขุนโชติไว้
“ไม่ได้ท่าน ไม่ได้ เป็นคนต้องไม่ฆ่ากัน ไม่ทำร้ายกันนะท่านนะ”
“แต่มันทำคนของเอ็ง”
“หายใจเข้าร่าเริง หายใจออกโล่งเบา ใจเย็นแล้วเก็บดาบก่อนเถอะนะ นะจ๊ะท่านขุนโชติ” ขุนโชติเห็นเข้าแผน ทำเป็นจำใจเก็บดาบ เสือไทลุกขึ้นโล่งอกสำริดหันไปพูดกับชาวบ้าน “อย่าให้ถึงกับฆ่าแกงกันเลยนะ เขาขอขมาเราแล้วเท่านี้ก็น่าจะพอ จริงไหม?”
ลูกบ้านต่างพยักหน้ารับเห็นด้วย คำพันกับลูกน้องเห็นปฏิกริยาลูกบ้านก็เซ็ง ปันนารีบพูดกับขุนโชติ
“พวกท่านมีบุญคุณกับเรา เราจะโกรธได้ยังไง ถ้าน้องท่านถูกใจลูกข้า ข้าก็ยินดีมอบมันให้ ขอแค่พวกท่านอยู่ที่นี่ช่วยคุ้มครองพวกเราก็พอ”
แม่ลำดวนกับลำดวนไม่เห็นด้วย
“พ่อ”
เสือไทยิ้มชอบใจ กล้า ศรีแพร จันทา อึ้ง
“แต่ผมไม่เห็นด้วย จะยกใครให้ใครก็ต้องถามเจ้าตัวซะก่อน”
ศรีแพรประทับใจกล้า แต่ไม่วายกระซิบ
“กัดฟันพูดรึเปล่า”
กล้าได้ยิน ตอบกลับแต่ทำเป็นพูดกับไท
“เกิดเป็นลูกผู้ชายจะมีเมียทั้งทีก็ต้องเพราะความรัก ไม่ใช่เพราะการข่มเหงย่ำยีแบบนี้”
เสือไทมองกล้าอย่างโมโห กำหมัดแน่น จันทาสะกิดศรีแพร แอบยกนิ้วให้กล้า
“พ่อช้างเผือก พ่อยอดชาย ไอ้จันทานับถือจริงๆ” จันทากระซิบกับศรีแพร ศรีแพรเอาศอกกระทุ้ง จันทาจุกไป “อูย”
ศรีแพรมองกล้า ประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษ

คมมารายงานอาจารย์ยอดเรื่องกระเต็น
“พ่อเลี้ยงกลัวว่า คุณราชาวดีกับคุณคะนึงนิจจะสงสัยถ้านังกระเต็นมันไปยุ่มย่ามบ่อยๆ ก็เลยอยากให้อาจารย์ช่วย”
“ดีเลย ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะล่อไอ้หาญมาได้ยังไง เอ็งไปหาเสี่ยไพบูลย์ เตรียมคนไว้ให้พร้อม”
“อาจารย์ จะให้ผมไปตามไอ้หาญเหรอครับ แล้วมันอยู่ที่ไหน”
“เอ็งไม่ต้องไปให้เหนื่อยแรงหรอก เอาไว้เป็นหน้าที่ข้า เอ็งรอฟังคำสั่งก็พอ”

ที่วัดแห่งหนึ่งในทุ่งพระกาฬ หาญนั่งพนมมือต่อหน้าองค์พระประธาน หาญไม่สบายใจเพราะรู้สึกผิด
“แม้ผมได้ละจากเพศบรรพชิตแล้ว จิตก็ยังผูกพันตั้งมั่นในคุณความดี แต่เพราะความจำเป็นทำให้ไม่อาจสำรวมระวัง ต้องผิดศีลอยู่หลายครั้ง”
แล้วภาพก็หวนกลับมาตอนที่หาญตัดสินใจที่จะสึกจากการเป็นพระ หาญนั่งพนมมืออยู่ในสมณะเพศเบื้องหน้าพ่อปู่บุญทา
“ผมสำนึกผิดและขออโหสิต่อเจ้ากรรมนายเวรที่ได้เคยล่วงเกินไป ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งที่รู้และไม่รู้ก็ตาม
อหํ ภนฺเต อิตฺถนฺนามํ อาปตฺตึ อาปนฺโน ตํ ปฏิเทเสมิ”
“ปสฺสสิ (เธอเห็นหรือ?)”
“อาม ปสฺสามิ (ขอรับ ผมเห็น)”
“อายตึ สํวเรยฺยาสิ (เธอพึงสำรวมต่อไป)”
“สาธุ สุฏฺฐุ สํวริสฺสามิ (ดีละ ผมจะสำรวมให้ดี)”

หาญก้มลงกราบพ่อปู่บุญทา

หาญเงยหน้าขึ้น นั่งพนมมืออยู่ต่อหน้าพระประธานเหมือนเดิม

“ขอให้วิบากกรรมที่ผมได้กระทำไว้ทั้งอดีตและปัจจุบัน อย่าได้ส่งผลกระทบถึงกล้าและครอบครัวเลย ผมจะขอ
รับกรรมทั้งหลายนั้นเอาไว้แต่ผู้เดียว”
“เอ็งได้รับกรรมตามที่เอ็งขอแน่ ไอ้หาญ”
หาญหันไปจึงเห็นเสือทับยืนถือพร้าอยู่ เสือทับแสยะยิ้ม
“ไอ้ทับ”
เสือทับจู่โจม เข้าฟันหาญ หาญหลบ ดึงลูกสะกดว่าคาถาสะบัดไป เสือทับหายตัวหนี

หาญวิ่งเข้ามามองหา
“ข้าอยู่นี่ไอ้หาญ”
เสือทับปรากฏตัว พุ่งเข้าใช้มีดพร้าในมือโจมตีหาญ หาญตั้งรับปัดป้อง ซัดลูกสะกดถูกเสือทับ เสือทับร้องหายไปอีก
“ไอ้ทับ วิญญาณเอ็งไม่ควรจะมารับใช้คนชั่ว ก่อกรรมทำเวรเช่นนี้”
“ข้าก็ไม่อยากเป็นขี้ข้ารับใช้ใครหรอก แต่เพราะเอ็ง เอ็งทำให้วิญญาณข้าต้องทุกข์ทรมานอย่างนี้”
“กลับตัวกลับใจซะข้าจะสวดส่งวิญญาณให้เอ็งไปผุดไปเกิด”
ข้าไม่ต้องการ สิ่งเดียวที่ข้าต้องการจากเอ็ง คือชีวิตเอ็ง ไอ้หาญ”
เสือทับปรากฎตัวข้างหลังฟันหาญ หาญหลบได้ หาญเอาลูกสะกดพันกำปั้นตัวเองไว้แล้วกระแทกหมัดไป หมัดเข้าหน้าเสือทับ เสือทับผงะเพราะอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ หาญร่ายคาถา เป่ามนต์ลงบนกำปั้น ลูกสะกดเปล่งประกายขึ้น หาญทะยานเข้าไปอัดหมัดชุดใส่เสือทับ
“อ๊าก”
หาญเสกลูกสะกดเป็นเชือกพันร่างเสือทับ
“เอ็งตายไปแล้วยังคิดอาฆาต ไม่สำนึกผิด วิญญาณเอ็งต้องลงไปชดใช้กรรมในอบายภูมิ”
“เอ็งก็ไม่ต่างกับข้าหรอก นึกว่าบวชแล้วจะชดใช้กรรมที่เคยทำร่วมมากับพวกข้าได้เหรอ รู้ไว้ซะด้วยตอนนี้ ลูกหลานเอ็งกำลังชดใช้กรรมแทนเอ็ง นังกระเต็นแล้วก็พวกพ้องมันต้องตายอย่างทรมาน”
“พวกแก ทำอะไรกระเต็น”
“อยากรู้ก็ไปดูศพมันให้เห็นกับตาซิ”
หาญตกใจเสียสมาธิ เสือทับสะบัดเชือกอาคมออก หายตัวไป

ที่อู่จ่าลุย จ่าลุยนึกแค้นแทนกระเต็น
“แค่หมัดเดียวมันยังไม่หายแค้น คนอย่างไอ้พ่อเลี้ยงนั่นควรจะให้กินลูกปืนแทนข้าว แผ่นดินจะได้สูงขึ้น”
“ฉันเอาคืนแน่ แต่เราต้องจัดการมันตามกฎหมาย จะได้ไม่เปิดช่องให้มันใส่ร้ายกล้าได้อีก”
นุกูลยังไม่อยากเชื่อเรื่องราชาวดี
“เป็นไปได้เหรอครับ ที่วดีจะเข้าข้างคนชั่วแบบนั้น”
“แต่ฉันกับจ่าลุยเห็นกับตา ว่าราชาวดีอยู่กับไอ้พ่อเลี้ยงภูมินทร์ ท่าทางจะสนิทสนมกันดีซะด้วย เงินน่ะซื้ออะไรก็ได้”
นุกูลเถียงไม่ออก
“พี่เต็นก็อย่าใส่อารมณ์นักสิ เด็กมันก็พูดไปตามที่รู้” จุกบอก กระเต็นค่อยสงบลง “แล้วนี่กล้าติดต่อกลับมาบ้างรึเปล่า ผมล่ะเป็นห่วงเหลือเกิน”
“ยังเลย ทางคุณพจน์ก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไร”
ทั้งหมดต่างกลุ้มใจ มีเสียงรถจอดหน้าอู่
“ใครมาน่ะ’
“ไม่รู้เหมือนกันจ่า”
ช่างที่ทำหน้าอยู่หน้าอู่บอก จ่าลุยจึงลุกไปเพ่งดู ทันใดกระสุนนับสิบก็สาดเข้ามาในอู่รถ ช่างโดนยิงบาดเจ็บ จึงรีบคลานหนี จ่าลุยถูกกระสุนบาดเจ็บที่ขารีบกะเผลกลากนุกูลหาที่หลบ จุกกับกระเต็นไปอีกทาง จ่าลุยหยิบปืนลูกซองยิงสวน มือปืน 2 คนออกมาจากความมืด กระหน่ำยิงไม่หยุด ข้าวของกระจุยกระจาย
หลังทุกอย่างเงียบสงบ มือปืนทั้งสองเดินเข้ามาสำรวจ กระเต็นออกจากที่ซ่อนเข้าล็อกตัว แย่งปืนมาได้ อัดมือปืนจนกระเด็น มือปืนอีกคนเล็งปืนยิงใส่กระเต็น แต่เป็นจ่าลุยที่พุ่งเข้ามาขวางถูกกระสุนไปหลายนัด นุกูลช็อก
“พ่อ”
จ่าลุยล้มฟุบ กระเต็นยิงสวนถูกมือปืนบาดเจ็บ แต่มือปืนทั้งสองยังไม่หยุดยิงหมายสังหารกระเต็น กระเต็นพยายามจะวิ่งออกไปนอกอู่ เพื่อล่อมือปืน แต่กลับถูกยิงเข้าที่แขน ทรุด มือปืนได้จังหวะสังหาร เล็ง ยิง หาญย่นระยะทางแหวกอากาศมาขวางพอดี ร่ายคาถา แล้วกางมือออก กระสุนทั้งหมดหยุดนิ่งกลางอากาศ มือปืนทั้งสองต่างอึ้ง ตกใจ
หาญสะบัดมือกลับกระสุนทั้งหมดพุ่งเข้าหามือปืนทั้งสอง แต่แค่ถูกแขนขา ไม่ถึงตาย มือปืนรีบหนีไป กระเต็นจะไล่ตาม
“อย่าตามไปเลย ดูจ่าลุยก่อน”
ขณะนั้นจุกยืนมองนุกูลด้วยความสงสาร นุกูลกอดร่างจ่าลุยร้องไห้
“พ่อ พ่ออย่าตายนะ”

วันต่อมารถตู้ของภูมินทร์แล่นผ่านซุ้มประตูปางไม้ขนาดใหญ่เข้าไปจนเห็นป้าย “ปางไม้ไพรพญา” ของภูมินทร์
คะนึงนิจชะโงกหน้าทางหน้าต่างรถมองทิวทัศน์ข้างทางที่ตัวเองจากไปซะนาน
รถตู้แล่นลัดเลาะไปตามทาง ผ่านท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่วางซ้อนเรียงรายอยู่สองฝั่งถนน คนงานกำลังทำงานขะมักเขม้น ที่หน้าบ้านหลังใหญ่ มีคนงานชายหญิงยืนเข้าแถวต้อนรับ รถตู้แล่นมาจอด คนงานเข้ามาเปิดประตูให้ ทุกคนทยอยลงมาจากรถ คนงานรับกระเป๋าสัมภาระไปราชาวดีมองธรรมชาติรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ ภูมินทร์เข้ามาหา
“เป็นยังไงบ้าง วดีชอบที่นี่มั้ย”
ราชาวดียิ้มรับ
“สวยดีค่ะ สงบ เป็นธรรมชาติ”
“พี่ดีใจที่วดีชอบ”
ครูเริงสูดอากาศบริสุทธิ์
“ที่นี่อากาศดีจริงๆ นะ” ครูเริงหันไปถามคะนึงนิจ “นิจว่ามั้ย เออ ครูลืมไปว่าที่นี่เป็นบ้านของนิจนี่”
คะนึงนิจมองบรรยากาศรอบๆ ตัวด้วยความคิดถึง
“จริงสิ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน บ้านของเรา” ภูมินทร์บอกกับคะนึงนิจ
คะนึงนิจไม่ตอบอะไร ทำเป็นเดินไปทางอื่น ภูมินทร์แก้เก้อด้วยการคุยกับครูเริงแทน
“ครูกับวดีทำตัวตามสบายเลยนะครับ คิดว่าเป็นบ้านของตัวเอง จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ ขาดเหลืออะไรก็บอกผม ไปดูบ้านพักกันดีกว่าครับ ผมสร้างไว้รับรองแขกอยู่หลายหลัง”
ราชาวดีประคองครูเริงตามคนงานไปทางบ้านพักรับรองภูมินทร์มองตาม ยิ้มมีแผนในใจ อินลูกน้องที่ปางไม้เข้ามา
“พ่อเลี้ยงครับ พวกเราปล้นช้างมาไม่ได้ มีคนมาช่วยพวกม่อนช้างเผือก”
ภูมินทร์มองซ้ายมองขวา
“ทีหลังเรื่องแบบนี้ อย่าเที่ยวมารายงานพร่ำเพรื่อ ฉันไม่อยากให้คุณนิจกับแขกของฉันได้ยิน”
“ขอโทษครับพ่อเลี้ยง”
“ตอนนี้เฉยไว้ก่อนอย่าเพิ่งทำอะไรทั้งนั้น เอาไว้ฉันจะสั่งอีกที”

ห่างออกมา คะนึงนิจจับตาดูอยู่ เพราะยังไม่ไว้ใจพี่ชายตัวเอง

ติดตาม เสือสั่งฟ้า 2 "พยัคฆ์ผยอง" ตอนที่ 6
กำลังโหลดความคิดเห็น