xs
xsm
sm
md
lg

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 1


กลางดึกคืนหนึ่ง ที่บริเวณด้านนอกเรือนจำมีสายตาของภูตผีจากอเวจีกำลังเคลื่อนที่ไปในความมืดมิด เสียงสวดคาถาแบบถอยหลังดังกังวานขึ้น น้ำเสียงฟังดูน่ากลัวชวนสยองขนลุกพองขน

“มิฉาคัจอา หิเตอุตะ
วังชี จะสะกะภะ วาฆังที
ตุธาระวีฐะปัฐ ทะพะมะนะ นังพานนิพ
ปังรู กังสิตะเจ ตังจิต นิระเจ จิ”
เหล่าภูตผีจากอเวจีเคลื่อนที่ไปข้างหน้าทะลุกลุ่มควันสีดำออกมาจึงเห็นว่าเบื้องหน้าเป็นกำแพงเรือนจำ
บนหอคอยรักษาการณ์มีผู้คุมพร้อมอาวุธคอยยืนตรวจตราอยู่ ภูตผีจากอเวจีเคลื่อนที่ในลักษณะล่องลอย เข้าหากำแพง พร้อมกับเสียงสวดคาถายังดังอย่างต่อเนื่อง
“จิ เจรฺนิ จิตตํง เจตะสิกํง รูปํง
นิพพานนํง นะมะพะทะ ปํฐะวีระธาตุ
ทีฆํงวา ภะกะสะจะ ชีวํง
อฺตเตหิ อาคํจฉามิ”

ที่ห้องพัศดี หนูและแมลงสาบจำนวนมากวิ่งหนีตายออกจากรอยแตกของกำแพงกันจ้าละหวั่น พัศดีและผู้คุมนักโทษที่เข้าเวรต่างตกใจ รีบยกเท้าหลบ
“เฮ้ย มันอะไรกันวะ”
ภูตผีจากอเวจีเคลื่อนที่ไปตามซอกในกำแพง ทะลุรอยแตกของกำแพงออกมาไล่หลังหนูและแมลงสาบ ผ่านห้องพัศดีออกไปสู่ทางเดินในเรือนจำ

ขณะนั้นมีอีกาตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ขอบหน้าต่างของหอคอยรักษาการณ์ ผู้คุมนักโทษที่อยู่ในหอคอยมองรอบๆ ตัว สีหน้าตื่นตระหนกเมื่อเห็นฝูงอีกานับร้อยตัวเกาะอยู่เต็มทั้งบนกำแพงเรือนจำและหลังคาของหอคอยรักษาการณ์
บนท้องฟ้ามีเมฆสีดำแผ่ขยายออกปกคลุมจนเต็มท้องฟ้าเหนือเรือนจำทำให้บรรยากาศมืดมิดจนน่าสะพรึงกลัว
ภูตผีจากอเวจียังเคลื่อนที่ต่อไปตามทางเดินในเรือนจำ ผ่านห้องขังของนักโทษคนอื่นๆ จนมาสุดทางที่ประตูเหล็กของห้องขังเดี่ยว เป็นเหล็กกล้าหนาทึบ มีอักขระอาคมขนาดใหญ่จารึกไว้ เสียงสวดคาถาดังออกมาจากด้านใน
ภูตผีจากอเวจีเคลื่อนที่ทะลุช่องส่งอาหารด้านล่างเข้าไป
ภายในห้องขังเดี่ยวที่ปิดทึบ ไม่มีช่องหน้าต่าง มีอักขระอาคมถูกจารึกไว้บนประตู เพดาน ผนัง พื้น ภูตผีจากอเวจีเคลื่อนไปตามพื้นเข้าหาทิวที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิ สวดคาถาปลุกผีแบบถอยหลังอยู่จะเห็นว่าทิวผมยาวปกหน้า หนวดเครารุงรัง แขนและขาถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ตรวน พื้นหมุนวนไปรอบๆ ตัวทิวจากนั้นก็มีควันสีดำลอยม้วนล้อมอยู่รอบร่างกายของทิว เสียงกรีดร้องของภูตผีดังขึ้นอย่างโหยหวน
นักโทษที่อยู่ห้องขังใกล้ๆ ต่างขนลุก หวาดผวา มองหาที่มาของเสียงด้วยความกลัว ทันใดเสียงเคาะผนังก็ดังขึ้นทุกทิศทุกทางพร้อมกับเงาดำของภูตผีหลายสิบตนเดินทะลุผนังเข้า-ออกไปมา

ทิวซึ่งหลับตาอยู่สัมผัสถึงอำนาจลี้ลับที่มารายล้อม หยุดสวดคาถา แสยะยิ้มทันใดควันสีดำก็พุ่งหายเข้าไปในจมูกทิว ทิวกางมือออก ตัวสั่นเทิ้ม ส่งเสียงร้องลั่นรับพลังอันมหาศาล
“อ๊ากก”
ทางเดินหน้าห้องขังเดี่ยว หลอดไฟที่ทางเดินเกิดระเบิดขึ้นพร้อมกันจนหมดไฟดับพรึ่บ
ควันสีดำหายเข้าไปในร่างทิวจนหมด ตัวทิวจึงหยุดสั่น คอตก นิ่ง ทันใดทิวก็ผงกหัวขึ้น ลืมตา จะเห็นว่าดวงตากลายเป็นสีแดงกล่ำ ร่ายมนต์คาถาบทใหม่เป็นภาษาเขมรอักขระอาคมที่จารึกไว้ในห้อง ค่อยๆ เลือนหายไปจดหมดสิ้นดวงตาของทิวกลับเป็นปกติ แต่ตาขวางเพราะความวิกลจริต แสยะยิ้มอย่างน่ากลัว ทิวลุกเดินแต่ติดโซ่ตรวนจึงว่าคาถา แล้วเป่ามนต์ใส่โซ่ตรวนที่พันธนาการไว้ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย ทิวมองไปที่ประตูเหล็ก ว่าคาถาเป่าลงฝ่ามือ สะบัดมือออกไปข้างหน้าทันใดบานประตูเหล็กก็กระเด็นออกไปอย่างแรง ทิวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าๆๆ ไอ้ผู้การเพชร ถึงเวลาชำระแค้นของข้าแล้ว”

อดีตเมื่อสิบปีที่แล้ว ทิวตอนที่ยังปกติแต่งตัวมีพวกสร้อยเครื่องราง ประคำ สะพายย่าม
“ผมชื่อทิวครับท่าน ผมชื่นชมท่านมาก อยากเรียนวิชาอาคมจากท่าน รับผมเป็นลูกศิษย์ด้วยนะครับ”
เพชรในชุดครึ่งท่อน ห้อยตะกรุดสามกษัตริย์ที่คอ ท่าทางดูสุขุม ภูมิฐาน รีบจับทิวที่ทำท่าจะคุกเข่ากราบ
“เดี๋ยวๆ คุณ เข้าใจผิดแล้วละ ผมไม่รับสอนใครอีกอย่างผมก็ไม่ได้ใช้คาถาอาคมมานานแล้ว”
“แต่ผมอยากเรียนจริงๆ ผมอยากเอาวิชาไปช่วยคน ไปปราบพวกโจรเหมือนท่าน นี่ผมก็ฝึกมาบ้างแล้ว
รับรองว่าผมต้องเรียนรู้เร็วแน่ๆ ผมจะทำให้ท่านดู”
ทิวถอยออกไป หยิบเอาขวดที่บรรจุผงกระดูกผีออกมา แล้วแขวนย่ามไว้ที่ต้นไม้ ก่อนจะบริกรรม เปิดจุกขวดโรยไปที่ดิน เสียงภูตผีหวีดดัง แล้วปรากฏเป็นร่างสีดำเลือนรางหลายตัวเข้ารุมล้อมเพชรๆ ร่างสีดำพุ่งไปมา เพชรรวบรวมสมาธิปลุกตะกรุด แล้วถอดออกชูไป เกิดแสงวาบผีลอยกระเด็นเข้าไปในตัวของทิวๆ ผงะ ตาลอยเหลือกเหลือแต่ตาขาว
“แย่แล้ว”
กระเต็นวิ่งออกมาจากบ้าน
“เกิดอะไรขึ้น” กระเต็นเห็นทิวก็ตกใจ
“กระเต็น ไปเอามีดหมอในห้องพระมา”
กระเต็นวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน ทิวกระโดดเข้าเล่นงานเพชร บีบคอ เพชรสู้สะบัดหลุด กระเต็นวิ่งถือมีดหมอออกมา โยนให้เพชรที่กดทิวไว้ เพชรเอามีดหมอจี้ที่หน้าผาก เงาสีดำพุ่งออกจากร่างทิว ทิวล้มลง
“ผู้ชายคนนี้เป็นใคร”
เพชรเดินไปหยิบย่ามมาดู ล้วงของข้างในออกมาเห็นพวกผ้ายันตร์ ตะกรุด เครื่องรางต่างๆ
“พวกคลั่งวิชาอาคม ไปตระเวนฝึกวิชาไสยดำเอง ไม่มีครูบาอาจารย์ นี่ไปเอาผงกระดูกผีตายโหงมาปลุกวิญญาณแล้วก็ควบคุมไม่ได้จนเข้าตัว ปล่อยไว้จะเป็นอันตราย”
เพชรแบะเสื้อทิวดูเห็นรอยสักอักขระขอมเต็มแผ่นอก เพชรส่ายหน้า
“แล้วจะทำยังไง”
“ต้องคัดถอนด้วยคาถามงกุฎแก้ว”

ทิวถูกนำตัวเข้ามาที่ห้องพระ ร่างทิวนอนอยู่บนพื้นขณะที้เพชรเริ่มว่าคาถา
“เอหินะโมพุทธายะ ออานุภาเวนะ ...”
เพชรท่องอาคมอังมือไปที่รอยสักโดยมีกระเต็นอยู่ข้างๆ ถือขันน้ำมนต์ รอยสักบนร่างทิวค่อยๆ เลือนไปหายไปหมด เพชรรับขันน้ำมนต์มาจากกระเต็นราดลงไปบนหน้าทิว ทิวฟื้นเด้งตัวลุกขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น”
“ฉันคัดถอนไสยเวทย์ทุกอย่างออกจากตัวนายหมดแล้วต่อไปห้ามฝึกคาถาอาคมสุ่มสี่สุ่มห้า กลับไปทำมาหากินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียซะ”
ทิวนึกถึงเครื่องรางที่ได้ มองหาย่าม
“ย่ามของผม” ทิวเห็นย่าม กองอยู่ แต่ล้วงดูไม่มีของ “ดินเจ็ดป่าช้า หุ่นพยนต์ เศษกะโหลกผี หายไปไหนหมด”
“ของในนั้นไม่ใช่ของดี มีแต่วิญญาณร้ายสิงสู่ เก็บไว้จะเป็นอันตราย ฉันทำลายทิ้งหมดแล้ว”
“ไม่ ผมทุ่มเทสะสมของขลัง ฝึกฝนอาคมตั้งหลายปีท่านจะทำอย่างงี้กับผมไม่ได้ เอาของของผมคืนมา
เอาอาคมของผมคืนมา”

ทิวโผนเข้าทำร้ายเพชรอีก แต่เพชรหลบ แล้วต่อยทิวร่วง

ทิวถูกตำรวจลากออกจากบ้านเพชร

“แกไม่ยอมสอนวิชาฉัน เพราะกลัวฉันจะเก่งกว่าแก ไอ้คนใจแคบเห็นแก่ตัว เสียแรงที่ฉันนับถือ คอยดู
ฉันจะต้องเป็นจอมขมังเวทย์ที่เก่งกว่าแกให้ได้”
ทิวถูกตำรวจลากออกไป เพชรกับกระเต็นมองตามอย่างไม่สบายใจ

เมื่อกลับมาบ้านคืนนั้นทิวนั่งขัดสมาธิ ข้างหน้าเป็นกะโหลกผีและซากงู ซากสัตว์เลื้อยคลานที่ถูกฆ่าเพื่อเอาเลือดมาผสมในน้ำมนต์ ทิวเงื้อมีดที่ใบมีดเป็นสีดำ กรีดงู บีบเลือดใส่อ่าง สุดท้ายทิวกรีดแขนตัวเอง เอาเลือดใส่ ก่อนจะเอาน้ำผสมเลือดกิน จังหวะนั้นเมียทิวอุ้มลูกเปิดประตูมาแต่เห็นทิวหันหลังให้
“พี่ทิว ออกมากินข้าวเถอะ”
ทิวหันมา เห็นเลือดไหลจากปาก ตาขวาง เมียตะลึง
“แก นังปีศาจ”
ทิวลุกขึ้น เมียถอยกรูด
“ฉัน บัว เมียพี่ไง พี่ทิว”
ทิวไม่มีทีท่าจำได้ เมียหันหลังจะหนี ทิวจิกหัวไว้จากนั้นก็เงื้อมีดจ้วงลงที่ร่างเมีย เมียหวีดร้อง ทิวแทงจ้วงหลายที

เพชรกับลูกน้องยกกำลังกันมาล้อมบ้านเพื่อจับทิว แต่พอบุกเข้าไปในบ้านตำรวจนายหนึ่งก็กระเด็นออกมาในสภาพกุมท้อง อ้วกเป็นตะขาบ ตำรวจอีกสองนายวิ่งมา ชักปืน แต่ยังไม่ทันยิง ควันสีดำพุ่งใส่ ปืนร่วง จับคอตัวเอง ก่อนจะอ้วกมาเป็นตะขาบเหมือนกัน เพชรถือปืนวิ่งเข้ามาหยุดมอง มีนายตำรวจเล็งปืนอยู่ข้างหลังสองคน ทิวยืนผงาด กางมือ หงายหน้า อ้าปากดูดวิญญาณกลับเข้าไป
“วิชาดูดวิญญาณ”
ทิวมองเพชร
“ไอ้ผู้การเพชร เห็นหรือยังว่า ฝีมือฉันร้ายกาจขนาดไหน ฮ่าๆๆ”
ทิวหยุดหัวเราะกะทันหัน เป่ามนต์ใส่มีดที่ถือก่อนจะขว้างใส่เพชร
“หลบ”
เพชรตะโกนบอกลูกน้อง นายตำรวจสองนายกระโดดหลบไปคนละทิศละทางแล้วยิงใส่ทิว แต่ทิวหายไป ยืนข้างหลัง มีดหมอลอยกลับมาอยู่ในมือ ทิวฟันตำรวจตายเหลือแต่เพชร
“วันนี้แกต้องตาย ฉันจะเป็นหนึ่งในแผ่นดินนี้”
ทิวกางแขนปล่อยวิญญาณออกจากปาก พุ่งมารุมล้อมเพชร เพชรหยิบตะกรุดสามกษัตริย์กระชากจากคอ ตวัดไปมาปรากฏเป็นสายเหมือนเชือกยาวฟาดพวกวิญญาณกระเจิดกระเจิง ร้องโหยหวน หนีหาย ทิวโกรธมาก กระโดดเข้าฟันเพชรแต่ไม่เข้า เพชรเหวี่ยงเชือกอาคมที่เกิดจากตะกรุด ฟาดไปที่มือ มีดหมอหล่น ทิวถอยหนีเข้าไปในบ้าน เพชรเหวี่ยงเชือก เข้ามัดร่างทิวกลิ้งไปกับพื้น ทิวดิ้นเร่าๆ กลิ้งไปเจอศพเมียที่มีลูกอยู่ในอ้อมกอด นอนตายอยู่
ทิวชะงักได้สติ
“บัว ลูก”
เพชรก้าวเข้ามาเห็น สะเทือนใจ
“ทิว ฉันเตือนนายแล้ว ว่าไสยดำจะทำลายชีวิตนาย”
“ไม่ ไม่ อ้ากก”
ทิวร้องโหยหวนที่เห็นเมียและลูกตายแล้ว

กลับมาปัจจุบัน ทางเดินหน้าห้องขังเดี่ยวคัตเอ๊าต์ไฟฉุกเฉินถูกเปิดขึ้นจึงเห็นว่าทางเดินหน้าห้องขังเดี่ยวสว่างขึ้นแต่ยังสลัวอยู่ ผู้คุมนักโทษเดินเข้ามาตรวจตราแล้วตกใจเมื่อเห็นประตูเหล็กห้องขังเดี่ยวถูกพัง ผู้คุมรีบวิ่งเข้าไปดูในห้องขัง
ผู้คุมมองไปรอบๆ ห้องขังมีแต่ความว่างเปล่า ไม่พบตัวทิว ผู้คุมหันกลับแต่ต้องสะดุ้ง เมื่อเจอทิวยืนขวางทางออกอยู่ ดวงตาแดงวาบ ทิวพุ่งเข้าหาผู้คุมแล้วกัดคอ
“อ๊าก”
ทิวกระชากเนื้อติดปากมา ถ่มทิ้ง ผู้คุมลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายกุมคอตัวเอง เลือดทะลัก ผู้คุมอีกคนตามเข้ามาพร้อมปืนในมือจะยิง ทิวกางฝ่ามือออก ร่ายคาถาเป็นภาษาเขมร เพ่ง ปรากฎว่ากระสุนยิงไม่ออก ผู้คุมประหลาดใจ พยายามจะยิงอีก แต่ปืนกลับระเบิดใส่หน้าตัวเอง

วิทยุสื่อสารในห้องพัศดีดังขึ้น
“เรียกศูนย์ เกิดเหตุฉุกเฉินที่แดน5 ขอกำลังเสริมด่วน”
“เกิดอะไรขึ้น”
“นักโทษอุกฉกรรจ์หนีออกมาได้ ฆ่าผู้คุมไป 2 นาย เรากำลังตามจับ อ๊ากก”
เสียงจากวิทยุสื่อสารเงียบหายไป
“แดน5 แดน5 ได้ยินวอมั้ย ตอบด้วย”
พัศดีเห็นถ้าว่าไม่ดีรีบกดสัญญาณเตือนภัย

ที่ลำโพงกระจายเสียงหอคอยรักษาการณ์ เสียงสัญญาณเตือนภัยดังลั่นไปทั่วทั้งเรือนจำ ผู้คุมที่อยู่บนหอคอยรักษาการณ์มองลงมาที่อาคารเรือนจำด้านล่าง เล็งปืน จึงเห็นผู้คุมคนหนึ่งลอยกระเด็นออกมาจากในตัวอาคาร เลือดท่วม ทิวย่างสามขุมตามออกมา ผู้คุมอีก 2-3 คนเข้ามารุมต่อสู้ แต่กลับถูกทิวหักแขนขา ฉีกเนื้ออย่างบ้าคลั่ง เสียงปืนดังขึ้น...เปรี้ยง!
ร่างของทิวโดนกระสุนเข้าเต็มๆ ผงะล้ม แต่ทันใดทิวกลับลุกขึ้นได้ ไม่มีบาดแผล แหงนมองขึ้นไปบนหอคอย อย่างแค้นๆ ผู้คุมแปลกใจ ยิงซ้ำอีก ทิวไม่หลบ กระสุนโดนเข้ากลางอกแต่ทิวยังนิ่ง จ้องมอง ร่ายคาถาเป็นภาษาเขมร ดวงตาแดงวาบขึ้นอีกครั้ง ปรากฎฝูงอีกาทั้งหมดบินเข้าหาผู้คุมบนหอคอย รุมจิก จนผู้คุมตกจากหอคอยลงมาตาย

ทิวเดินไปหยิบปืน M16 ของผู้คุมที่ตายเกลื่อนมาถือสองมือ แววตาเหี้ยม

รถขนนักโทษแล่นเข้ามาใกล้ถึงด่านตรวจ คนขับมัวแต่ฟังซาวด์อะเบ๊าต์ ไม่ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัย

เจ้าหน้าที่รีบวิ่งมากั้นรถไม่ให้ผ่าน คนขับเบรกตัวโก่ง
“เข้าไปไม่ได้ ข้างในมีเหตุฉุกเฉิน นักโท...ษ”
เจ้าหน้าที่พูดยังไม่ทันขาดคำก็ถูกยิงล้ม ตายคาที่ คนขับรถตกใจ หันไปดูจึงเห็นทิวยืนจังก้าอยู่พร้อมปืน M16ทิวกราดยิงคนขับรถจนตายคาที่

ทิวขับรถขนนักโทษออกมาที่ประตูทางออกจึงพบพัศดีและผู้คุมนักโทษนับสิบยืนขวางประตูทางออกไว้
พร้อมอาวุธครบมือ เล็งมาทางทิว พัศดีสั่งการ
“ยิง”
ผู้คุมทั้งหมดสาดกระสุนใส่รถ กระจกแตกกระจายแต่ทิวไม่เป็นไร ทุกคนต่างตกใจ ทิวเหยียบคันเร่งต่อ คว้าM16 มือเดียว ยิงสวนกลับ ผู้คุมล้มลงเป็นเบือ รถใกล้ถึงประตูทางออกทิวโยนปืนทิ้ง ร่ายคาถาเป็นภาษาเขมร เป่าลงที่มือตัวเองบังเกิดเป็นไฟลุกพรึ่บขึ้น ทิวสะบัดมือออกไป ลูกไฟพุ่งเข้าไปกระแทกประตูจนระเบิด สนั่นหวั่นไหว พัศดีและผู้คุมที่เหลือต่างกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง รถขนนักโทษแล่นฝ่าเปลวไฟหายไปในกลุ่มควัน

ที่ป้ายคัตเอ๊าต์ริมถนนรณรงค์งานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ตั้งอยู่หน้าเทคโนโลยีอาชีวะสหวิช
ด้านล่างคัตเอ๊าต์จะเห็นว่ามีสเปรย์สีดำพ่นคำว่า 9 สิงหา สถาปนา “สหวิช”
เมื่อถึงวันที่ 9 สิงหาภายในเทคโนโลยีอาชีวะสหวิชมีงานออกบูธแสดงนิทรรศการและผลงานของนักเรียนแต่ละแผนกกระจายอยู่ทุกมุม นอกจากนี้ยังมีการประกวดแข่งขันทำอาหารระหว่างนักเรียนกับประชาชนทั่วไป นักเรียนช่างไฟฟ้ากำลังสาธิตการใช้งานจักรยานไฟฟ้า นักเรียนแผนกการเรือนให้บริการตัดผม เสริมสวย แก่ประชาชน นักเรียนแผนกช่างยนต์กำลังให้บริการซ่อมรถยนต์และจักรยานยนต์ฟรี
ส่วนที่เวทีการแสดง กล้าอยู่บนเวที สะพายกีต้าร์ ร้องนำและมีนักศึกษาอื่นเล่นเป็นแบคอัพ
“แอบมองไปเจอ ฉับพลันนั้นเธอก็เหม่อมองสบสายตา
เธอต้องอุรา ให้ฉันคิดรักเธอในแรกเราพบกัน
ใจตรงกับใจ...สายตาที่บอก คิดยืนยันแอบรักเมื่อวันก่อน”
นักเรียนสาวๆ ที่ตรงขอบเวทีด้านล่าง ส่งเสียงกรี๊ดไปหากล้าที่ยืนเล่นกีต้าร์อยู่บนเวที
“เกิด..เป็นความรัก ความรักเมื่อแรกเจอ
จิตใจละเมอติดยังฝังตรึง ความรักมันเรียกร้อง
ทุกเวลาให้ฝันถึงวันก่อน...อยากบอกเธอ...รักครั้งแรก...”
นักเรียนสาวๆ ต่างร้องเพลงตามและตะโกนเรียกชื่อของกล้าไปด้วย
“พี่กล้าๆๆ”
กล้ายิ้มและขยิบตาให้นักเรียนสาวๆ รุ่นน้อง นักเรียนสาวร่างท้วมคนหนึ่งส่งเสียงกรี๊ดอย่างคลั่งไคล้จนเป็นลมไป แต่ดูเหมือนเพื่อนๆ จะไม่มีใครสนใจ

อีกด้านหนึ่งที่แผนกการเรือน เสียงเพลงไทยเดิมดังออกมาจากเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ท ราชาวดีกำลังซ้อมระบำอวยพรกับดวงใจและเพื่อนๆ อยู่ในโถงของแผนกการเรือน โดยราชาวดีรำอยู่แถวหน้า คอยนับจังหวะให้ทุกคนตาม
“ประเท้า ก้าวไขว้ เอียงขวา...”
ราชาวดีนอกจากจะหน้าตาสะสวยแล้วยังร่ายรำอย่างอ่อนช้อยและมีความชำนาญกว่าคนอื่นๆ

ที่เวทีการแสดง กล้าร้องเพลงท่อนสุดท้าย
“หวั่นใจเพียงใดไม่กล้าเผยคำพร่ำเอ่ยสุนทรวจี
อัดอั้นเต็มที จึงรอถามนิดว่าเธอรักใครรึยัง
คำเดียวที่คอย รักเช่นกันต่างรักเมื่อวันก่อน
เกิด...เป็นความรัก ความรักเมื่อแรกเจอ
จิตใจละเมอติดยังฝังตรึง ความรักมันเรียกร้อง
ทุกเวลาให้ฝันถึงวันก่อน ...อยากบอกเธอ..รักครั้งแรก”
กล้าจบเพลง ท่ามกลางเสียงกรี๊ด
“ขอบคุณเพื่อนๆ น้องๆ มากนะครับ ที่มาร่วมแรงร่วมใจกัน แสดงพลังของเราชาวสหวิช ...รักสหวิชมั้ย” สาวๆ กับนักศึกษาชาย ตะโกนตอบว่า... รัก “เจ๋งมาก แต่ถึงจะรักสหวิชแค่ไหน ก็อย่าลืมรักพี่กล้านะครับ รักน้อยกว่าก็ได้ แต่รักให้นานๆ”
สาวๆ กรี๊ด กล้าเอากีต้าร์ส่งให้แบ๊คอัพคนหนึ่ง เสียงคนดูข้างล่างตะโกนให้เอาอีกๆๆ
“สุดยอดพี่ ผมร้องสิบเพลง ยังได้เสียงกรี๊ดไม่เท่าพี่ร้องเพลงเดียวเลย อีกซักเพลงนะพี่”
“นัดน้องไว้ที่โรงยิม เดี๋ยวเสร็จธุระจะมาช่วย”
กล้าเดินลงจากเวที โดนสาวรุมล้อม ทันใดนักเรียนสาวอีกกลุ่มก็กรูเข้ามาหา
“พี่กล้าคะ ขอพวกเราถ่ายรูปด้วยนะคะ”
“เอาสิครับ”
สาวๆ เข้ามารุมล้อมโพสท่าถ่ายรูป ทำท่าคิกขุกัน
“พี่กล้ากลับมาช่วยงานโรงเรียนทุกปีเลย เหนื่อยมั้ยคะ”
“ไม่หรอก ในฐานะศิษย์เก่า อะไรที่พี่ช่วยโรงเรียนได้ พี่ก็ยินดี”
“หืม แมนมากเลยค่ะ” สาวเป็นปลื้มแล้วสาวก็เห็นเหงื่อที่ใบหน้ากล้า “ตายแล้ว เหงื่อเต็มหน้าเลยหนิงซับเหงื่อให้นะคะ”
สาวท้วมเข้ามากระแทกสาวที่ชื่อหนิงจนซไป
“พี่กล้า น้องซับให้ค่ะ”
สาวที่ชื่อหนิงโมโหแย่งผ้าเช็ดหน้าจากสาวท้วมมาขว้างทิ้ง
“มาแย่งฉันได้ไงยะ ฉันซับก่อนนะนังช้างน้ำ”
“แล้วจะทำไมนังไม้เสียบผี”
“อ๊ายย”
สองสาวผลักกันไปมากลายเป็นจลาจล ยกพวกจะตบกัน
“ใจเย็นๆ น้อง”
กล้าพยามห้ามแต่เอาไม่อยู่จึงมุดออกมาเจอเปี๊ยก
“พี่กล้า ทำไรอยู่นี่ ไอ้นุมันรออยู่”
“เผ่นก่อน”

กล้าลากเปี๊ยกวิ่งไป ขณะที่บนเวทีบรรเลงเพลงเร็ว ประกอบบรรยากาศชุลมุน

ที่แผนกการเรือน ราชาวดียังซ้อมรำอยู่กับเพื่อนๆ

“หยิบจีบ สอดสูง กระดกเท้า...” เพื่อนๆ ต่างรำตามราชาวดีอย่างพร้อมเพรียง ราชาวดีหยุดรำ เดินดูเพื่อน
“ดีมากดวง สวยมากเลย”
จู่ๆ เสียงเพลงไทยเดิมก็หยุดลง ทุกคนงง
“อ้าว เกิดอะไรขึ้น เทปเสียหรือเปล่าวดี”
ราชาวดีเดินไปที่วิทยุเห็นที่ใส่เทปเปิดอ้า เอะใจหันไปมองจึงเห็นงามตายืนถือเทป กอดอก กวนตีนอยู่ นงคราญยืนข้างๆ กับเพื่อนอีกสองคน
“งามตา เธอเอาเทปฉันออกทำไม ไม่เห็นเหรอว่าพวกเราซ้อมรำกันอยู่”
“เห็น แต่ตอนนี้หมดเวลาของเธอแล้ว เชิญไปรำที่อื่น ฉันจะซ้อมเต้น”
นงคราญเลื่อนพานทองที่วางบนโต๊ะออกไปเพื่อวางวิทยุเทปของตัวเองซึ่งเครื่องใหญ่และทันสมัยกว่าของราชาวดี
“รีบไปเร็วๆ เลย แล้วก็ช่วยเอาวัตถุโบราณพวกนี้ไปด้วย”
“จะมากไปมั้ง ห้องนี้ เราขออนุญาตอาจารย์แล้ว พวกเธอต่างหากที่ต้องไปเต้นกันที่อื่น” ดวงใจบอกอย่างไม่พอใจ
“จะซ้อมไปทำไมมากมาย รำโบราณคร่ำครึแบบนี้ไม่มีใครดูอยู่แล้ว รู้ตัวมั้ยว่าพวกเธอน่ะ เชยขนาดไหน มัวแต่
เอิงเงยๆ ยุคนี้เค้าดิสโก้กันแล้ว”
ราชาวดีชะงัก ไม่พอใจ
“ของพวกนี้ เป็นรากเหง้าของพวกเราทุกคนนะงามตาถึงเธอไม่ชอบก็ไม่ควรจะดูถูกเพราะเท่ากับเธอไม่
เคารพบรรพบุรุษของเธอ”
“เหรอ ขอโทษนะ เผอิญฉันไม่ได้มีแม่เป็นนางรำแบบเธอ”
ดวงใจโกรธแทนเพื่อน
“งามตา พูดอย่างนั้นได้ไง เธอก็รู้ว่าแม่วดีเสียไปแล้ว”
งามตาเชิดใส่อย่างไม่สนใจ สองฝ่ายทำท่า ฮึ่มๆ กัน
“ช่างเค้าเถอะ พวกเราย้ายไปซ้อมข้างตึกก็ได้” ราชาวดีบอกกับดวงใจ
“แต่”
“ดวงใจ”
“วันนี้วันมงคล ฉันยกให้ แต่ครั้งต่อไปมีเรื่อง”
ราชาวดีลากดวงใจออกไป เพื่อนที่ซ้อมรำเก็บของตามไปด้วย
“เดินระวังนะ คุณยาย แล้วก็อย่าซ้อมหนัก เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไป” กลุ่มงามตาหัวเราะ “คอยดูนะ เย็นนี้ การแสดงของเราต้องฆ่ารำไทยของยัยราชาวดีตายสนิท”
งามตาบอกอย่างมั่นใจ
“แล้วตกลง แกจะไปดูนุกูลชกมวยมั้ย” นงคราญถามงามตา
“เรื่องอะไรที่ฉันจะต้องไปด้วย”
“อ้าว ก็แกเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้ามันขึ้นชก แกจะรับรักมัน”
“เชื่อก็โง่แล้ว ทึ่มๆ อย่างงั้น ฉันจะเอามาทำอะไร บ้านฉันไม่มีที่นาซะด้วยสิ” สาวๆ หัวเราะกันสนุกสนาน “เอ้า เปิดเทป เริ่มซ้อมได้”
นงคราญกดเทปเพลง cant take my eyes นงคราญโพสต์แล้วเริ่มเต้นแบบยั่วยวนเปรี้ยวปรี๊ด

อีกด้านหนึ่งที่โรงยิมเล็ก ภายในโรงยิมมีส่วนที่มีไว้สำหรับฝึกมวยไทย นุกูลในชุดกางเกงวอร์ม เสื้อกล้าม ใส่นวม กำลังซ้อมเตะต่อยอยู่กับป๋องด้วยความตั้งใจสุดๆ ป๋องสวมล่อเป้ายาวที่แขนทั้งสองและใส่เป้าท้อง แต่นุกูลต่อยไม่ค่อยถูก เหงื่อของนุกูลแตกจนเปียกชุ่มไปหมด โป้งร้องแซวนุกูล
“พี่นุสู้ๆ พี่นุสู้ตาย พี่นุไว้ลาย เพื่อน้องงามตา”
นุกูลหยุดซ้อม
“โห อย่าล้อกันสิวะ ต่อยไม่ออกกันพอดี”
“แค่นี้ก็เขินซะแล้ว โธ่ ถ้าน้องนางมาเกาะเวทีเชียร์จริงๆ จะไม่หัวใจวายไปก่อนเหรอวะ ไอ้นุ”
“หัวใจวายไม่เป็นไร กลัวจะโดนหมัดน็อกกลางอากาศน่ะซิ ต่อยสิบหมัดถูกหมัดเดียวแบบนี้ จะรอดมั้ย”
“เฮ้ย ข้าหลอกล่อคู่ต่อสู้เว้ย ระดับนุกูล ศิษย์กล้า ไม่แพ้ใครอยู่แล้ว”
“เออ ให้มันจริงเถอะ แล้วทำไมพี่กล้ายังไม่มาอีกวะ ให้ไอ้เปี๊ยกไปตามก็หายจ้อย เดี๋ยวข้าไปดูดีกว่า”
โป้งเดินไปที่ประตู แล้วชะงักเมื่อเห็นโจ๊ก อริต่างโรงเรียนเดินเข้ามากับพวกอีก 6 คน ท่าทางหาเรื่องสุดๆ ทั้งหมดใส่เสื้อทับเป็นสีเดียวกันบ่งบอกสถาบัน ในมือแต่ละคนต่างมีมีด ท่อนเหล็ก ไม้ที เข็มขัดหัวเหล็ก
“เฮ้ย”
โป้งตกใจถอยมาเรื่อยๆ มารวมกับนุกูลและป๋องที่ยืนหน้าซีด โจ๊กเดินจิ๊กโก๋เข้ามา นุกูลหน้าซีด กลัว “อะ ไอ้โจ๊ก”
โจ๊กท่าทางกวนตีนสุดๆ
“เออ กูเอง โจ๊ก พ่อสหวิช ไหน ใครวะ ที่ชื่อไอ้กล้า”
โจ๊กถามหากล้า นุกูลหน้าเครียด

ขณะนั้นเปี๊ยกกลับกล้าเดินมาที่หน้าโรงยิม
“ไอ้นุฟอร์มเป็นไง เต็มร้อยรึเปล่า”
กล้าถามเปี๊ยก
“น่าเป็นห่วง ผมกลัวมันจะไม่พ้นยกแรกด้วยซ้ำ แทนที่จะชนะใจสาวจะกลายเป็นตรงกันข้าม ผมว่าพี่สอนคาถามหาระรวย หรือเมตตามหานิยมให้มันจะดีกว่า”
“คนเรานะเว้ยไอ้เปี๊ยก จะได้อะไรมามันต้องได้ด้วยความสามารถ ไม่ใช่คาถาอาคม”
ป๋อง โป้ง สะบักสะบอมออกมาจากโรงยิมแล้วฟุบกองที่พื้น สภาพน่วม
“พี่กล้า”
กล้าเห็นก็ตกใจรีบเข้าไปถาม
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
“ไอ้นุ ไอ้นุ แย่แล้ว พี่”

กล้ามองกับเปี๊ยกสีหน้าเครียด

 เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 1 (ต่อ)

กล้ากับเปี๊ยกวิ่งเข้ามาในโรงยิม โดยมีป๋อง โป้งที่บาดเจ็บตามเข้ามาด้วย กล้าเห็นนุกูลนอนกองกับพื้น ปากแตก สภาพน่วมไปทั้งตัว โดยมีโจ๊กนั่งรอ กวนตีน คนอื่นๆ ยืนบ้างนั่งบ้าง

“ไอ้นุ”
นุกูลแทบไม่มีแรงเรียกชื่อ
“พี่กล้า”
“มาแล้วเหรอวะไอ้กล้าสหวิชที่เค้าร่ำลือกัน”
“พวกแกทำแบบนี้ทำไม”
โจ๊กเช็ดมีดดาบที่ตัวเองถือด้วยท่าทางกวนประสาท
“ก็ ไม่มีอะไร ได้ยินเค้าร่ำลือกันมานาน ว่าแกมีของดีก็เลยอยากมาขอดูหน่อย”
“อาทิตย์ก่อน ไอ้นุกับฉันไปตีสนุ้ก แล้วเกิดเขม่นกับพวกมัน ไอ้นุมันอ้างชื่อพี่ บอกว่าพี่เป็นลูกผู้การจอมขมังเวทย์” เปี๊ยกบอก กล้าถึงกับเซ็ง
“ฉันไม่มีของดีอะไรทั้งนั้น”
“เฮ้ย อะไรวะ อุตส่าห์มาถึงนี่ ไม่ให้เกียรติเพื่อนต่างสถาบันเลยนี่หว่า เซ็งว่ะ เซ็งๆๆไ
โจ๊กลุกขึ้นเตะนุกูลอั้กๆๆ
“อย่า หยุดเดี๋ยวนี้”
“ถ้าไม่หยุดล่ะ” โจ๊กเหยียบมือนุกูลขยี้
“อ้ากก”
กล้าวิ่งพุ่งเข้ากระโดดเตะก้านคอโจ๊กร่วงไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เพื่อนโจ๊กเข้ารุม 3 คน ฟาดท่อนเหล็กใส่กล้า กล้าหลบอย่างคล่องแคล่วและเหนือกว่า เตะต่อยจนหงายกันไปแล้วแย่งท่อนเหล็กได้ ที่เหลือปรี่เอามีดเข้ามารุมฟันกล้าทันที กล้าเอาเหล็กรับไว้แล้วดันออกก่อนจะก้มหลบ แล้วเอาเหล็กฟาดที่เข่า ที่แขนบ้าง จนบางคนล้มลงไปเจ็บ
ลูกน้องโจ๊กอีกคนเอาเข็มขัดฟาดเข้ามาที่กล้า กล้าเบี่ยงตัวหลบแต่เสียหลัก อีกคนจึงเอาไม้ทีเหล็กฟาดที่แขนกล้าทันที เหล็กร่วงจากมือกล้า
โจ๊กลุกขึ้นแล้วเล่นทีเผลอง้างมีดดาบกะฟันเข้าที่ตัวกล้าเต็มๆ แต่กล้าใช้ความไวโยกหลบก่อนจะต่อยเสยคางโจ๊กเข้าเต็มรัก โจ๊กหน้าหงาย กล้าหลบแล้วแย็บใส่จนโจ๊กมึน แล้วจะเงื้อฟันอีกที กล้าทิ้งหมัดขวาเต็มกราม ตามด้วยหมัดชุดรัว พอหมดชุด โจ๊กทำท่าจะเงื้อแล้วล้มฟาดลงไปนอนกอง มีดหลุดมือ คนอื่นที่ลุกได้ทำท่าจะมาเล่นงานกล้า แต่ถูกเปี๊ยกที่ไม่บาดเจ็บเอาไม้ทีฟาดร่วง กล้าหยิบมีดดาบของโจ๊กขึ้นมา
“ไป ที่นี่มีแต่นักเรียนไม่มีนักเลง”
เหล่าลูกน้องโจ๊กรีบเข้าไปประคองลูกพี่ แล้วลากกันออกไป กล้าทิ้งมีดดาบลงพื้น เปี๊ยกกับป๋องและโป้งรีบเข้าประคองนุกูลลุกขึ้นนั่ง กล้าเข้าไปหา จับไปที่ไหล่ทั้งสองจะประคอง
“นุ เป็นไงบ้าง” นุกูลเจ็บไหล่
“โอ๊ย ไหล่ผม พี่กล้า ไหล่ผม”
กล้าหน้าเครียด มองกับพวก

ที่อพาร์ตเม้นต์กระเต็น ชั้นล่างเป็นห้องผู้จัดการใต้ตึก กระเต็นในวัยสี่สิบนั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังเช็คสมุดบัญชีอยู่ มีสมพรยืนนอบน้อมอยู่ข้างๆ กระเต็นปิดสมุดบัญชี นับปึกเงินที่วางอยู่ข้างๆ ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าถือ
“ขอบใจนะสมพร ได้เธอช่วยดูแล เก็บค่าเช่าให้ ฉันก็เลยไม่ต้องเหนื่อย”
สมพรไหว้กระเต็น
“อุ๊ย พรต่างหากล่ะค่ะที่ต้องขอบพระคุณคุณนาย ถ้าไม่ได้ท่านผู้การกับคุณนายช่วยไว้ละก็ ป่านนี้นังสมพรอาจต้องไปอยู่ตามโรงน้ำชา”
“อดีตมันผ่านไปแล้ว มาทำวันนี้ให้ดีดีกว่า เออ แล้วตกลงเด็กผู้หญิงที่ค้างค่าเช่าเข้ามาหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ จะให้พรทำยังไงดีคะ ขนของในห้องออกมาเลยมั้ย”
กระเต็นลุกจะกลับ
“รออีกสองสามวันแล้วกัน”
สมพรไหว้ลา กระเต็นรับไหว้แล้วเดินออกจากห้องไป

กระเต็นเดินกลับไปที่รถ ระหว่างนั้นมีวัยรุ่นขี้ยาเดินตามมา กระเต็นเอะใจรู้สึกตัวว่ามีคนสะกดรอยตาม รีบเดินไปที่รถเร็วขึ้น วัยรุ่นรีบเดินตาม กระเต็นอยากรู้ให้ได้ว่าใครกันแน่ที่ตามตน คิดหาทางจับ ก่อนจะรีบเดินไปหลบที่มุมตึก กระเต็นยืนแอบและรออย่างใจจดจ่อ ในมือหยิบบางอย่างในกระเป๋าถือ
กระเต็นเห็นเงาใกล้เข้ามาจึงโผล่พรวดออกไปทันที พร้อมกับหยิบปืนออกมา เล็ง แต่ไม่เห็นใคร แต่แล้วจู่ๆ วัยรุ่นขี้ยาก็พุ่งมาทุบที่ต้นคอกระเต็น กระเต็นเสียหลัก ปืนร่วงกระเด็นไปอยู่ใต้ท้องรถ วัยรุ่นขี้ยากระชากกระเป๋าถือ แล้ววิ่งหนีออกไปทันที กระเต็นรีบลุกแล้ววิ่งตามไป

วัยรุ่นวิ่งหนีเข้ามาในตรอกชนชาวบ้านที่เดินสวนจนล้ม กระเต็นวิ่งตามเข้ามาประคองชาวบ้านให้ลุกขึ้น ชาวบ้านทำท่าขอบใจ แล้วเดินออกไป กระเต็นมองตามวัยรุ่นจึงเห็นว่าเลี้ยวหายไปในอีกทาง กระเต็นคิด ก่อนจะรูดใบไม้จากต้นไม้ในกระถางใกล้ๆ พนมมือเป่ามนต์ลงไปมีแสงสว่างเรืองขึ้นที่มือ กระเต็นเปิดฝ่ามือทั้งสองออก ฝูงต่อ แตน บินออกไปทันที
วัยรุ่นวิ่งถือกระเป๋าหนีมาจนถึงทางตัน วัยรุ่นหันหลังกลับแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นตระหนกเมื่อเห็นฝูงต่อแตนพุ่งเข้ามาหา รุมล้อม วัยรุ่นปัดป้อง ร้องโวยวาย ล้มลง แต่แล้วต่อแตนกระจายตัวกันหายไป วัยรุ่นลืมตามองเห็นเป็นใบไม้ร่วงอยู่รอบตัว เงยหน้าขึ้นเห็นเท้ากระเต็นก้าวเข้ามาวัยรุ่นมองไล่จากเท้าขึ้นไปจนเห็นกระเต็นยืนยิ้มอยู่
“กระเป๋า เร็ว”
กระเต็นยื่นมือออกมาแต่วัยรุ่นไม่ยอมคืน แถมยังชักมีดพกออกมาตั้งท่าจะแทงกระเต็น
“ถอยไปดีกว่า ป้า”
วัยรุ่นพุ่งเข้าแทง กระเต็นเบี่ยงตัวหลบแล้วเข้าล็อกคอจากด้านหลัง
“หืย เรียกอะไรไม่โกรธเท่าเรียกป้า”
วัยรุ่นดิ้นไม่ยอม แรงเยอะ ถอยไปจนตัวกระเต็นชนฝาผนัง แล้วเอาศอกกระทุ้ง กระเต็นเจ็บจุก วัยรุ่นได้ที พุ่งเอามีดจะเสียบกระเต็น
“ย้าก”
กระเต็นจ้องมีดที่เข้ามาหาตัวพร้อมกับปากที่ว่าคาถา
“สุกิตติมา สุภาจาโร”
มีดเสียบเข้าไปที่ตัวกระเต็น แสงสว่างวาบขึ้นตรงที่แทง วัยรุ่นผงะถอยออกมา รีบมองดูมีดตัวเอง แต่ไม่มีเลือดเลยตกใจมาก กลัว มือสั่น มีดร่วง ทรุดลงไปกองกับพื้น
“ปะ ปะ เป็นไปได้ยังไง”

กระเต็นมองวัยรุ่นที่ตัวสั่นเป็นลูกนก ส่ายหัวเอือมระอา

ตำรวจใส่กุญแจมือวัยรุ่น วัยรุ่นคอตกหน้าสลด

“ขอบคุณคุณนายมากนะครับ ไอ้นี่มันฉกชิงวิ่งราวไม่เว้นวันจับกันไม่ได้ซักที ดี คราวนี้จะได้นอนซังเตสมใจ”
“งั้น หมดธุระแล้ว ฉันขอตัวนะจ่า”
“ครับพ้ม”
กระเต็นสะพายกระเป๋าถือเดินกลับออกมา ขณะนั้นทิวแอบมองกระเต็นจากมุมลับตา กระเต็นรู้สึกแปลกๆ หันกลับไปมองรอบๆ แต่ไม่เห็นใคร กระเต็นรู้สึกไม่สบายใจนัก รีบเดินกลับออกไป

กระเต็นเดินเข้าบ้านมา เรียกหาสาวใช้
“จวน จวน”
จวนรีบวิ่งเข้ามาพลางขานรับ
“ขา คุณนาย”
“ฉันจะเข้าห้องพระ ถ้าไม่จำเป็น ห้ามกวน เข้าใจไหม”
“ค่ะ รับรองจวนจะเงียบกริบ ไม่กวนคุณนายเลยค่ะ”
“วันนี้กล้าไปงานโรงเรียนเก่า คงกลับดึก จวนก็กินข้าวเย็นแล้วปิดครัว ปิดบ้านเลย ให้กล้าไขกุญแจเข้าบ้านเอง”
“ค่ะ คุณนายคะคือ คือ ตอนกลางวันที่คุณนายไม่อยู่จวนชอบได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่รอบๆ บ้านอ่ะค่ะ
แต่ออกไปดูก็ไม่มีใคร”
“แมวข้างบ้านมันเข้ามาวิ่งเล่นในนี้น่ะซิ”
“แต่จวนว่ามันไม่น่าใช่นะคะ”
“งั้นเราก็หูฝาด เพราะบ้านนี้ไม่มีขโมยที่ไหนกล้าเข้าหรอก”
กระเต็นเดินขึ้นข้างบน จวนทำท่าขนลุก
“ไม่ใช่แมว ไม่ใช่ขโมย มันก็ต้องเป็น อึ๋ย”
จวนมองรอบๆ อย่างหวาดๆโดยไม่รู้ว่าที่รั้วบ้านมีหุ่นพยนต์ใส่โจงแดง ถือดาบเดินเฝ้าอยู่

ส่วนที่งานสถาบัน บนเวทีมวยโฆษกประกาศใส่ไมค์
“เอาละครับ ถึงเวลาที่เราจะได้พบกับศึกสหวิช การแข่งขันชกมวยไทยประจำปี 2525 ของสถาบันเราเสียที”
รอบเวทีผู้คนเริ่มมารวมตัวกัน ทุกคนต่างตบมือส่งเสียงเฮฮาชอบใจ ที่ขอบเวที มีกรรมการสามคนนั่งอยู่ “กติกาของเราเหมือนเดิมทุกปี ใครอยู่บนเวทีได้นานที่สุดรับไปเลย ถ้วยแชมป์มวยสหวิช” โฆษกผายมือไปที่
ถ้วยรางวัล ซึ่งวางอยู่มุมหนึ่งบนแท่น “และมวยคู่แรกในวันนี้ มุมน้ำเงิน เสก ไทกนก”
เสกเดินแหวกผู้คนเข้ามาพร้อมกับกองเชียร์ของตัวเอง เสกถอดเสื้อคลุม แล้วกระโดดขึ้นบนเวที ก้าวเท้า รำมวย พลางทำท่าต่อยลม ท่าทางกวนๆ เพื่อนๆ เสกต่างผิวปาก ส่งเสียงเชียร์ พวกเด็กสหวิชทำเสียงโห่กลับบ้าง สองฝ่ายมองเหล่กันเคืองๆ โฆษกประกาศต่อ
“ส่วนมุมแดงได้แก่ นุกูล ศิษย์สหวิช” เด็กสหวิชโห่ร้องเกรียวกราวชอบใจ แต่นุกูลก็ไม่ปรากฏตัวทุกคนต่างชะเง้อมองหา โฆษกงงๆ ประกาศเรียกซ้ำอีกที “มุมแดง นุกูล ศิษย์สหวิช”
โฆษกและทุกคนต่างชะเง้อมองหานุกูล
“ฝากไปบอกนายนุด้วย ถ้าสหวิชกลัวไทกนกมากก็ให้ถอนตัวไปเลยสิครับ”
เสกบอก ทุกคนโห่ เรรวนเหมือนจะตีกัน กล้าวิ่งเข้ามา
“มาแล้วครับ” ทุกคนหันไป กล้าเหนี่ยวเชือกขึ้นไป “นายนุกูลประสบอุบัติเหตุ ผม กล้า ไพรีพ่าย ศิษย์เก่า สหวิช ขอชกแทน”

บริเวณงานออกร้าน บรรยากาศยังคงครึกครื้น ภูมินทร์ คม และสมุน 4 คน เดินเข้ามาในงาน ภูมินทร์พูดกับคมและสมุนเบาๆ
“แยกกันตรงนี้ หาตัวมาให้ฉันให้ได้ แล้วก็ระวังอย่าให้เอิกเกริก เข้าใจไหม?”
คมและสมุนทั้ง4 พยักหน้ารับ
“ไอ้มิ่ง แกไปแยกย้ายกันหา ฉันจะไปกับพ่อเลี้ยง”
มิ่งนำสมุนทั้ง3 เดินแยกย้ายออกไป ทิ้งคมอยู่กับภูมินทร์

ที่มุมร้านค้าพวกแนวอาร์ตๆ ฮิปปี้ๆ ร้านงานประดิษฐ์ กระเป๋า กำไลลูกปัด สร้อยข้อมือ คะนึงนิจนั่งวาดรูปเด็กสาวคนหนึ่ง แบบไม่ค่อยมีสมาธิ
“อูย ไม่ไหวแล้ว น้อง พี่ขอพักแป๊บได้มั้ย”
“ทำไมล่ะพี่ หนูจะรีบไป นัดกะแฟนไว้”
“ก็ให้รอซิ ถ้าไม่รู้จักอดทนก็เลิกมันเลย”
คะนึงนิจวางพู่กัน แล้วรีบวิ่งไป
“อ้าว เดี๋ยวซิ อะไรวะ” เด็กสาวเดินมาดู เห็นภาพลายเส้นที่วาดตัวเอง หน้าตาบูด คิ้วขมวด “เนี่ยเหรอรูปเรา ฝีมือห่วยแตกที่สุด”
ภูมินทร์กับคมเดินเข้ามาพยายามมองหาคะนึงนิจ

ภูมินทร์กับคมเดินตามหาคะนึงนิจจนได้ยินเสียงเชียร์มวย
“ทางนั้นมีอะไร”
“สงสัยเป็นเวทีมวยครับ”
ภูมินทร์สนใจ แหวกคนไปทางเวทีมวย อีกด้านหนึ่งงามตาก็กำลังแหวกคนเข้ามาที่เวทีมวยเหมือนกันโดยมี
นงคราญเดินตาม
“อะไรของแกเนี่ยงาม ไหนบอกว่าจะไม่มาดูนายนุกูลให้เสียลูกตาไง”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว นานๆ จะมีผู้ชายมายอมเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อฉันซักที อีกอย่างเวทีมวยก็มีแต่ ของสวยๆ
งามๆ ให้ดู หรือแกไม่สน”
“ยิ่งกว่าสนอีก”

สองสาวหัวเราะคิกคักไป พยายามแทรกชะเง้อชะแง้

ภูมินทร์แทรกคนเข้ามากับคม เห็นลีลาการชกของกล้าก็ประทับใจ กล้ากระโดดศอก เสกล้มลงตาลอย เด็กสหวิช เฮกันถล่มทะลาย ไทกนกจ๋อย กล้าเข้ามาประคองเสกลุกขึ้น

“ขอโทษ หวังว่าทุกอย่างจะจบบนเวทีนี้นะเพื่อน”
เสกมองกล้าอย่างประทับใจ งามตากับนงคราญ มองกล้าอย่างตะลึง
“ไม่ใช่นายนุนี่”
“เทพบุตรที่ฉันรอคอยเลย ใครกันน่ะ”
“ต๊าย นี่เธอไม่รู้จัก พี่กล้าสุดหล่อ ศิษย์เก่าสหวิชเหรอ เชยมาก”
สาวร่างท้วมบอก งามตาอยากเอาเรื่อง แต่เห็นตัวใหญ่เลยได้แต่ขมุบขมิบปากด่า โฆษกขึ้นมาชูมือกล้าขึ้น ประกาศ
“กล้า ไพรีพ่าย มุมแดง เป็นผู้ชนะครับ”
ทุกคนรอบๆ เวทีโห่ร้องยินดี
“พี่กล้า พี่กล้า กรี๊ดๆๆ”
ภูมินทร์ชอบใจกล้า แต่คมหมั่นไส้
“โธ่ ฝีมือหางแถว”
“แต่ฉันว่า มันใช้ได้ว่ะ”
“เอาละครับๆ ถึงคิวของผู้ท้าชิงที่เหลือแล้วครับ เพื่อความรวดเร็ว เป็นว่าใครพร้อมก็กระโดดขึ้นเวทีมาได้เลยครับ” ทุกคนต่างรอ ชะเง้อมองว่าจะมีคนไหนขึ้นไหม แต่ก็เงียบ “มีไหมครับ ผู้ท้าชิงคนใหม่”
โฆษกมองนาฬิกาข้อมือ สบตากับกรรมการที่นั่งอยู่ กรรมการทั้ง 3 คน หันมองกัน ต่างเห็นด้วยที่จะให้กล้าชนะ หนึ่งในกรรมการทำพยักหน้าให้โฆษก
“ไม่มีนะครับ ถ้าไม่มีใครแล้ว เราของประกาศให้ นายกล้า...”
“เดี๋ยว” ทุกคนหันมองไปทางภูมินทร์เป็นตาเดียว “ยังเหลือผู้ท้าชิงอีกคน” ภูมินทร์หันไปสบตากับคม คมรู้งาน กระโดดขึ้นเวทีไปทันที ภูมินทร์ถอดสร้อยทองที่คอออกแล้วถือสร้อยทองไว้ในมือชูให้ทุกคนดู “ถ้าใครชนะ ก็เอาทองเส้นนี้ไปได้เลย”
ทุกคนรอบๆ ต่างฮือฮา ตบไม้ตบมือ
“เอาละครับ มีรางวัลมาเพิ่มแบบนี้ ศิษย์สหวิชจะถอยได้ไง”
“พี่กล้า สู้ๆๆ” พวกสหวิชรวมทั้งงามตากับนงคราญตะโกน กล้าจำใจเดินเข้าไป
“เชิญไปพันมือแล้วใส่นวมด้วยครับ”
“ไม่ต้อง ใช้นวมมันไม่สะใจ ต้องชกมือเปล่า กล้า สมชื่อมั้ยไอ้น้อง” คมจ้องหน้ากล้า แววตาท้าทาย
“ตกลง”
คนดูเฮ กรรมการคนหนึ่งลุกจากโต๊ะ เดินไปที่ภูมินทร์
“ไม่ได้ พวกเราคงให้คุณเปลี่ยนกฏตามใจชอบแบบนี้ไม่ได้”
ภูมินทร์จับไหล่กรรมการพูดเบาๆข้างหู
“กฎอะไรมันก็เปลี่ยนได้ทั้งนั้น อย่าเข้มงวดนักเลย”
ภูมินทร์ดึงชายแจ๊กเก็ตตัวเองเปิดออก กรรมการจึงเห็นด้ามปืนที่เหน็บอยู่ที่เอว กรรมการถึงกับหน้าซีด
“ก็ได้”
กรรมการหันไปบอกโฆษก กรรมการที่เหลือมองหน้ากันงงๆ กรรมการจึงเข้าไปกระซิบบอกแล้วกรรมการให้คะแนนก็นั่งซีดกันหมด

กรรมการตีระฆัง กล้ากับคมกำลังเดินเข้าต่อยกัน ทั้งสองถอดนวมแล้ว กล้ามีลีลามวยไทยที่เก๋ากว่า เน้นหลบแล้วเตะจนคมถลำไปที่เชือก เสียงกองเชียร์เฮใหญ่ ภูมินทร์จ้องคมไม่พอใจ คมแค้นที่เสียหน้าจึงแอบท่องคาถาก่อนจะเป่าพรวดใส่กล้าตอนเงื้อหมัด กล้าชะงักค้าง มึน คมยิ้ม ต่อยโป้ง กล้าผงะติดเชือก สลัดหัว ข้างล่างเฮ งามตาปิดตา
ภูมินทร์ขมวดคิ้วนิดนึงรู้ว่าคมเล่นไม่ซื่อ กล้ารวบรวมสตินึกถึงตอนเป็นเด็ก

ในอดีตตอนที่กล้าเป็นเด็ก เพชรผู้เป็นพ่อเคยให้กล้าท่องคาถาจากหนังสือโบราณ
“อะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิ”
“บทนี้เรียกว่า นะจังงัง”
“นะ จัง งัง คืออะไรครับ”
“เป็นคาถาที่ทำให้ศัตรูที่จะทำร้ายเราหยุดชะงัก”
“แล้วถ้าเราถูกคาถานะจังงังซะเองละครับ พ่อ”
เพชรยิ้ม

กลับมาปัจจุบัน กล้าหันไปมองคมที่กวักมือให้เข้าหาแล้วนึกถึงคำพูดของผู้เป็นพ่อ
“พยายามรวบรวมสติ นึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จำไว้ พระรัตนตรัยเท่านั้นที่จะคุ้มครองเรา
กล้าสูดลมหายใจ ตั้งสติ หลับตา”
คมเข้ามา เงื้อหมัดต่อยแต่กล้าหลบได้ทั้งที่หลับตาคมต่อยไม่ถูกจึงโมโห กล้าลืมตาต่อยโป้ง คมลงไปนอน กรรมการนับ ภูมินทร์ถึงกับเซ็ง งามตากับสาวๆ กระโดดตัวลอย คมสบตาภูมินทร์ที่เข้ามาเกาะเวที
“ถ้าไม่ไหวก็ลงมา ก่อนที่ฉันจะขายหน้ามากกว่านี้”
คมแค้นลุกขึ้น ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หนีบเอาใบมีดเล็กๆ หนีบไว้ในมือแล้วลุกขึ้นพุ่งตัวเข้าคลุกวงใน แล้วแทงเข้าท้องกล้าแต่ปรากฏเป็นแสงวูบ คมถอยออกมา ตกใจ ที่อกกล้าเห็นยันต์ อิติปิโสแปดทิศ ที่สักน้ำมันไว้วูบออกมากล้าก้มดูท้องตัวเอง เป็นรอยแดง คมจู่โจมเข้ามากำหมัดแทงอีกแต่ก็ไม่เข้าอีก
“แกมีของนี่หว่า”
คมบอก กล้าหมุนตัว ศอกกลับเข้าปลายคาง คมลงไปนอน กรรมการเข้ามาแยกกล้าออกแล้วนับ
“1…2…3…4…5…6…7…8….9….”
คมยังจุกลุกไม่ขึ้นกรรมการทำสัญญาณมือว่าแพ้ แล้วหันไปชูแขนให้กล้าชนะ งามตา นงคราญและกองเชียร์รอบๆ ต่างปรบมือ ส่งเสียงดีใจ คมตบพื้นเวที หงุดหงิดเสียหน้ารีบลงมาจากเวที เข้ามาหาภูมินทร์
“ขอโทษครับพ่อเลี้ยง”
ภูมินทร์มองกล้าตาไม่กะพริบ
“ฉันเห็นนะไอ้คมว่าแกใช้อะไร” คมอึกอัก“ขนาดแกเล่นไม่ซื่อยังคลานเหมือนหมา แกนี่มันเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”

คมรู้สึกอายมาก

กล้ารับถ้วยรางวัลจากกรรมการอยู่บนเวที ผู้คนต่างแสดงความยินดีด้วยการปรบมือ เป่าปากด้วยความดีใจ

งามตามองกล้าตาไม่กะพริบ ภูมินทร์ที่ยืนอยู่ด้วยมอบรางวัลคือทองของตนให้กล้าแต่กล้าไม่รับ
“ผมขอโทษจริงๆ ครับ ผมชกมวยในฐานะที่มันเป็นกีฬา ไม่ได้คิดหวังเงินทองอะไร”
“แต่พี่ชื่นชมฝีมือน้องมาก รับไปเถอะ พี่เป็นผู้ใหญ่ อย่าให้ต้องเสียคำพูดเลย” กล้ามองทองในมือภูมินทร์ ยกมือไหว้ รับมา “พี่ชื่อ ภูมินทร์ เป็นเจ้าของปางไม้ไพรพญา ถ้าอยากได้งานดีๆ ก็ไปหาพี่ได้ทุกเมื่อ”
“ผมไม่ถนัดงานใช้ที่กำลังหรอกครับ”
กล้าบอกแล้วมองคม ภูมินทร์อึ้งๆ ไป แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องจึงเดินไป คมยังมองกล้าอย่างแค้น
“แกกับฉันต้องได้เจอกันอีกแน่” คมกระซิบบอกกล้า
“ถ้าเจอกันแบบแฟร์ๆ เมื่อไหร่ก็ได้”
กล้าลงมาจากเวที ผู้ชายยกนิ้วชื่นชมกัน งามตากับนงคราญเข้ามาหากล้า
“พี่กล้าคะ วันนี้พี่กล้าเก่งจังเลย งามตาทึ่งมากๆ”
“งามตาเหรอครับ” งามตาเกาะแขนกล้า
“ค่ะ งามตาอยู่แผนกการเรือนค่ะ พี่กล้าไปดูงามตาเต้นโชว์ต่อนะคะพี่กล้า นะคะ”
นงคราญที่ยืนบิดไปมา นึกได้
“เต้นโชว์”
กล้าจำได้ น่าจะเป็นงามตาที่นุกูลชอบ
“พี่อยากไปมากเลยนะครับ แต่เผอิญพี่มีธุระต้องไปเยี่ยมเพื่อน นุกูลน่ะครับที่จริงเค้าต้องขึ้นชก”
นงคราญดึงงามตาออกมา
“อะไรเล่า ยัยนง”
“ถึงเวลาต้องไปขึ้นเวทีแล้ว”
“แกก็ไปซิ ฮะ” งามตาดูนาฬิกาแล้วตกใจ
“ไม่ทันแล้ว”
ทั้งคู่วิ่งไป กล้ามองตาม สาวท้วมกับสาวอื่นเข้ามารุมอีก

คะนึงนิจเดินลูบท้องออกมาจากห้องน้ำหญิง
“โอ๊ย หมดแรงเลยเรา เพราะมะม่วงดองของโปรดแท้ๆ”
คะนึงนิจเดินมาตามทางแล้วชะงักเมื่อเห็นลูกน้องภูมินทร์สองคนยืนชะเง้อชะแง้ เดินมาทางคะนึงนิจ
คะนึงนิจรีบหลบหลังแผงเสื้อที่ขายเสื้อยืดหมวก คะนึงนิจมองเสื้อแล้วคิดได้ อาศัยคนขายเผลอ ขโมยเสื้อ หมวก กางเกง แล้ววิ่งย้อนกลับไปที่ห้องน้ำ คะนึงนิจตัดสินใจวิ่งเข้าห้องน้ำชาย

ภายในห้องน้ำชาย ประตูห้องส้วมเปิดออก กล้าออกมาแต่งตัวเรียบร้อย เอากางเกงมวยม้วนๆ วางไว้ ก่อนจะไปยืนที่โถจะฉี่ ขณะนั้นคะนึงนิจเดินออกมาจากอีกห้อง ใส่เสื้อผ้ากับหมวกที่ขโมยมาเรียบร้อยแล้ว มองเผินๆ ดูเป็นเด็กผู้ชาย คะนึงนิจอายก้มหน้า เดินผ่านหลังกล้าที่ยืนปัสสาวะอยู่ที่โถออกไปนอกห้องน้ำ แต่แล้วต้องชะงักรีบวิ่งกลับเข้ามาหน้าตาตื่น มองซ้ายมองขวาหาที่หลบ ลูกน้องของภูมินทร์สองคนเดินเข้ามา คะนึงนิจตกใจ แกล้งหันทำเป็นยืนฉี่ข้างๆ กับกล้า
“นี่มันห้องน้ำชายนะเว้ย จะเจอเหรอวะ”
“นายสั่งให้หา ก็หาไปเถอะน่า”
ลูกน้องภูมินทร์ไปเปิดห้องส้วมดู ไม่มีใคร กล้ามองด้วยความสงสัย เหลือบเห็นคะนึงนิจอยู่ที่โถปัสสาวะข้างๆแต่ไม่ได้ฉี่ ท่าทางหวาดกลัว เดาเรื่องราวได้ คิดจะช่วย แกล้งทำเป็นเมา เซไปกอดคอคะนึงนิจ คะนึงนิจตกใจผลักกล้าออก
“เอ๊ะ”
“หนีพวกมันอยู่ใช่มั้ย น้องชาย ไปมีเรื่องอะไรกัน”
กล้ากระซิบบอก คะนึงนิจตัดสินใจหาคนช่วย
“ผมเปล่านะครับ แค่เหยียบเท้ากัน มันก็จะเอาเรื่อง พี่ช่วยผมด้วย”
“พี่จะช่วยนายเอง ไม่ต้องกลัว ไปกินเหล้ากันต่อดีกว่าวะไอ้น้อง ไปๆ”
ทั้งสองคนประคองกันออกไปจากห้องน้ำ ลูกน้องภูมินทร์ยังเคาะห้องส้วมห้องอื่นๆต่อ

ที่แต่งตัวด้านหลังเวที ราชาวดีและเพื่อนๆอยู่ในเครื่องแต่งกายเต็มยศพร้อมสำหรับการร่ายรำ ทำสมาธิ รอเวลาออกไปหน้าเวที รุ่นพี่ที่ดูแลคิวการแสดงเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน ถามพวกเพื่อนของงามตาอีกสองคนที่เต้นชุดเดียวกัน
“เดี๋ยวจบเพลงนี้ ชุดดิสโก้ขึ้นเลย พร้อมมั้ย”
“งามตากับนงคราญยังไม่มาเลยพี่”
“อ้าว แล้วเค้าไปไหน”
“ไม่รู้ค่ะ”
รุ่นพี่ดูนาฬิกา
“ไม่มีความรับผิดชอบเลย เอางี้เปลี่ยนคิวเลย ราชาวดี พวกเธอล่ะ แต่งตัวเสร็จทุกคนรึยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“พวกหนูมืออาชีพ มาก่อนเวลาเสมอ” ดวงใจชิงตอบแล้วเชิดใส่เพียงพิศ เพื่อนงามตา
“งั้นเดี๋ยวเตรียมออกไปแสดงคิวต่อไปเลย พี่ไม่รอแล้ว”
“พวกเราตั้งสมาธิให้ดีนะ ไม่ต้องตื่นเต้น”
ราชาวดียกมือไหว้นึกถึงครู

หน้าเวทีการแสดงกำลังมีการบรรเลงดนตรี คนดูค่อนข้างหนาแน่นยืนออกันอยู่ กล้าเดินกอดคอคะนึงนิจเข้ามาทำท่าเป็นคนเมา คะนึงนิจมองรอบๆ เห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงเอามือกล้าที่กอดคอตัวเองออก
“พวกมันคงไม่ตามมาแล้วล่ะฮะ ผมต้องขอบคุณพี่มาก”
“เฮ้ย เล็กน้อย แต่ยังไง นายน่าจะออกกำลังกายให้มันแข็งแรงกว่านี้นะ เป็นผู้ชายกล้องแกล้งแบบผู้หญิง จะโดนรังแกง่ายๆ”
“ครับ พี่ งั้นผมลาเลยนะครับ”
“โชคดี”
คะนึงนิจเดินต่อ ถอดหมวกพัดๆ ตัวเอง ดันเจอภูมินทร์กำลังมองหามากับคม ภูมินทร์เห็นคะนึงนิจรีบตาม
คะนึงนิจเลยเอาหมวกใส่อีกที แล้ววิ่งหนีกลับมาทางกล้า
“อ้าว เฮ้ย” กล้าแปลกใจ
“พวกมันมาอีกแล้ว”
คะนึงนิจมองหาทางหนี กล้าเออออด้วยกอดคอคะนึงนิจ เดินแทรกเข้าหมู่คนดู ภูมินทร์รีบตามเข้ามาแต่ติดคนดูที่ทยอยมาหน้าเวทีเพิ่มขึ้น ภูมินทร์พยายามแทรก มองหา แต่ไม่เห็น
“เจอคุณนิจแล้วเหรอครับ”
“ฉันคิดว่าใช่ วิ่งเข้าไปหน้าเวทีแล้ว”
คมแทรกเข้าคนดู ภูมินทร์ตาม ผู้คนเบียดกันทำให้กล้าเซ แล้วอีกมือไปจับถูกหน้าอกคะนึงนิจ ทั้งคู่ต่างตะลึง“ นี่นาย” คะนึงนิจอายมาก ผลักกล้าออก มุดคนดูหายไป “เดี๋ยวซิ”
กล้าตาม ภูมินทร์กับคมยังอยู่ในหมู่คนดู

กล้าเข้ามาหลังเวทีมองหาคะนึงนิจ
“หายไปไหนแล้ว”
กล้าเหลือบเห็นที่พื้นมีอุบะดอกจำปีตกอยู่ กล้าหยิบขึ้นมา จังหวะนั้นราชาวดีเข้ามาด้วยท่าทางร้อนใจ
“ขอดอกไม้นั่นเถอะค่ะ”
กล้าเงยหน้าเห็นราชาวดีถึงกับตะลึง ราชาก็อึ้งในความหล่อของกล้า
“ของคุณเหรอครับ” กล้ายื่นอุบะดอกจำปีให้
“ค่ะ มันคงหลุดจากชฎาน่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ” ราชาวดียกมือไหว้กล้าอย่างสวยงาม “ฉันต้องขึ้นเวทีแล้ว”

ราชายิ้มแล้วเดินออกไป กล้ามองตาม

 เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 1 (ต่อ)

ส่วนที่หน้าเวที คมแทรกคนจนทำท่าจะมีเรื่องกับพวกเด็กช่างที่โดนเบียดเซไปผลักกันไปมา ภูมินทร์เข้ามาจับไหล่ปราม ขณะนั้นบนเวที นักดนตรีลงไปแล้ว พิธีกรกำลังประกาศ

“ฟังเพลงสากลสนุกๆ จากหนุ่มๆ แผนกช่างยนต์กันไปแล้ว ต่อไปมาชมการแสดงที่ละเมียดละไม สวยงามของสาวๆ จากแผนกการเรือนกันบ้าง เริ่มจาก การรำอวยพรชุด...เชิญชมกันเลยครับ”
เสียงเพลงไทยเดิมบรรเลงขึ้น เพื่อนๆ ของราชาวดีออกมารำก่อน ราชาวดีออกมาสุดท้าย อยู่ตรงกลาง
กล้าแอบดูอยู่ตรงด้านข้างเวทีอย่างประทับใจ ภูมินทร์อยู่ในหมู่คนดูชะงักมองเหมือนกัน ราชาวดียิ้มแย้ม ร่ายรำอย่างอ่อนช้อย

ขณะนั้นที่หลังเวทีงามตากำลังวีนรุ่นพี่อย่างไม่พอใจ
“อ้าว ทำไมพี่ทำอย่างนี้ล่ะคะ แค่ช้านิดช้าหน่อยจะรอกันก็ไม่ได้ งามไม่ยอมแสดงต่อจากยัยวดีหรอก”
“ถ้าเรื่องมากนักก็ไม่ต้องแสดง คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ พี่ไม่ง้อหรอกนะ”
งามตาโมโหมาก
“พวกเรากลับ ไม่ต้งไม่เต้นมันแล้ว” งามตาหันไปบอกเพื่อนแล้วเดินออกไป
“เอาจริงเหรองาม อุตส่าห์ซ้อมมาแทบตายนะ”
นงคราญวิ่งตาม เพื่อนอีกสองคนทำหน้าจะร้องไห้
“โอ๊ย นี่ต้องแต่งตัวเก้อเหรอเนี่ย”
เพื่อนๆ ต้องรีบตาม

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ห้องพระบ้านกระเต็น กระเต็นนั่งสมาธิอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาทันใดเสียงก้องแหลมของหุ่นพยนต์ก็ดังเข้ามา กระเต็นสะดุ้งเฮือกลืมตาขึ้น รู้สึกไม่สบายใจ รีบจุดธูปไหว้ภาพเพชรซึ่งตั้งอยู่บนชั้นเล็กๆ ใกล้กับโต๊ะหมู่บูชา ทันใดเสียงเหมือนแก้วหล่นแตกดังขึ้น เพล้ง กระเต็นหันขวับเงี่ยหูฟังหน้าเครียด
กระเต็นเดินลงมาที่ห้องรับแขกอย่างระวังตัวแล้วก็เห็นจวนนั่งสลบพิงฝาอยู่ ถาดหล่นอยู่ ส่วนแก้วน้ำแตกอยู่ที่พื้นกระเต็นรีบเข้าไปประคองเรียก
“จวน จวน
ทันใดเสียงโหยหวนดังขึ้น วู้...ฮู กระเต็นรีบไปที่ตู้โชว์ คว้าปืนที่ซ่อนไว้ในลิ้นชัก แล้ววิ่งออกไปที่หน้าบ้านทันที

กระเต็นวิ่งถือปืนออกมาที่สนามกหน้าบ้านเห็นหุ่นพยนต์ยักษ์ถูกไหม้ไฟ หุ่นพยนต์ส่งเสียงร้องโหยหวน หุ่น
พยนต์ถูกเผาจนกลายกลับเป็นหุ่นไม้ตัวเล็กๆ สภาพเดิมแล้วมอดไหม้จนดำเป็นถ่าน กระเต็นเล็งปืน มองไปรอบๆ
“แกจะเป็นใครก็ช่าง ฉันไม่กลัวแกหรอก ออกมา”
เสียงหัวเราะทิวดังขึ้น
“หึๆ” กระเต็นเล็งปืนตามเสียง ทิวที่กำบังกายปรากฏตัวขึ้น “ไอ้เพชรอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ไหน”
“ทำไม แกถามหาเค้าทำไม”
“ข้าจะทำให้มันได้รู้ ว่าข้าต่างหาก ที่เป็นที่หนึ่ง ไม่ใช่มัน”
กระเต็นคิดว่าทิวเป็นพวกมาขอท้าประลอง
“กลับไปซะ ผู้การเพชรเค้าตายไปแล้ว”
“ไม่จริง นังบ้า เอ็งโกหก”
“ฉันไม่ได้โกหก ถ้าเค้าอยู่ แกก็ต้องเห็นสิ ผู้การฯ เพิ่งตายไปเมื่อปีที่แล้ว”
“ข้าไม่เชื่อ ข้ารอวันนี้มาตลอด ไอ้เพชรต้องไม่ตาย มันต้องมาประลองอาคมกับข้าก่อน มันต้องชดใช้ชีวิตลูกกับเมียข้า”
ทิวตะโกนบ้าคลั่ง กระเต็นอึ้ง
“ลูกกับเมีย หรือว่า แกคือ...”

ภาพในอดีตเกี่ยวกับทิวหวนกลับมาในความทรงจำของกระเต็น กระเต็นมองจ้องแววตาแข็งกร้าวของทิว
“แกออกมาได้ยังไง เพชรจารึกยันต์อาคมขังแกไว้แล้วนี่”
ทิวแสยะยิ้มเหี้ยม
“ขอแค่ประลองกับมันอีกครั้ง ข้าต้องสวดคาถาสะกดมารถอยหลัง นับหมื่นนับแสนคาบ หึหึ ในที่สุดฟ้าก็ปราณี”
“แกมันบ้า ฉันจะจับแกเข้าคุกเอง”
“ไม่มีทาง ข้าจะต้องเจอกับไอ้เพชรให้ได้”
ทิวร่ายมนต์ เสียงสวดภาษาเขมรดังก้องไม่ได้ศัพท์ เกิดลมแรงขึ้น ดวงตาของทิวเป็นสีแดงวาบขึ้น ทิวเคลื่อนตัวอย่างเร็วเข้าหาตัวกระเต็น กระเต็นกดไกปืนทันที เสียงปืนดังลั่น 2 นัดซ้อน ทิวหยุด เอามือปัดๆ รอยกระสุนที่ยิงไม่เข้า หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าไปประชิดกระเต็นอย่างรวดเร็วแล้วตบจนตัวกระเด็นลอยไปชนกับผนังบ้าน ร่วงลงมา กระอักเลือด ทิวเดินเข้าหากระเต็นด้วยความใจเย็น กระเต็นพยายามพยุงตัวลุกขึ้น แล้ววิ่งหนีเข้าบ้านไป

กระเต็นวิ่งเข้ามาที่ห้องพระ หยิบมีดหมอที่วางอยู่ใต้โต๊ะหมู่บูชาออกมา พนมมือ พลางว่าคาถา “สักกัสสะ วะชิราวุธังฯ”
แล้วเป่ามนต์ลงไป แสงวาบขึ้นที่มีดหมอ ทันใดประตูห้องพระถูกถีบให้เปิดออก กระเต็นโผเข้าไปแทงทิวทันที
ทิวเบี่ยงตัวหลบ มีดหมอโดนเข้าที่แขนขวาของทิวอย่างจัง เลือดไหล ทิวชะงัก กุมแขนเจ็บ ผงะถอยออกไปจากห้อง

กระเต็นเดินตามทิวออกมา พลางถือมีดหมอขู่ไว้ ทิวมีสีหน้าเจ็บปวด ปากว่าคาถาขมุบขมิบ แขนที่เลือดไหลออกมาค่อยๆ ย้อนกลับไป กระเต็นมองอึ้ง ทิวเอามือที่กำแผลออกจึงเห็นว่าเนื้อที่ฉีกขาดออกจากกัน เคลื่อนเข้าสมานกันอย่างรวดเร็ว ทิวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าๆ ๆ”
ทิวมองจ้องที่กระเต็น ตาทิวกลายเป็นสีแดงเลือด ปรากฏเปลวไฟขึ้นในดวงตา
“กสินไฟ”

กระเต็นพุ่งตัวหลบกลับเข้าห้องพระ

ทิวตามเข้ามาในห้องพรแล้วเพ่งกสินไฟใส่กระเต็น ลูกไฟพุ่งถูกแจกันดอกไม้ กระเต็นหลบฉิวเฉียดตัวกระแทกกับผนังห้อง มีดหมอกระเด็นไป ทิวเหยียบไว้ เพ่งกสินไฟใส่อีก

กระเต็นกลิ้งหลบไปใกล้หน้าต่าง กระถางธูปของเพชรไหม้ โกฐเพชรตกลงมา โกฐแตก ผงกระดูกเพชรร่วงออก ทิวหยุดมองอย่างสงสัย ทิวเห็นรูปเพชรตั้งอยู่จึงหยุด อึ้ง
“ไอ้เพชร เอ็งตายแล้ว ไม่” ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “เอ็งจะตายไม่ได้ ไม่จริง ข้ายอมสูญเสียทุกอย่างในชีวิต
เพื่อรอวันนี้ ลุกมาสิวะ เก่งนักก็ฟื้นมาสู้กันสิวะ ไอ้เพชร ไอ้สารเลว”
ทิวหยิบโกฏิมา กระเต็นได้ทีหนีกระโดดออกทางหน้าต่างไป ทิวหันขวับ ขว้างโกฏิทิ้ง มองตามด้วยสายตาเคียดแค้น

กระเต็นตกลงมาขาซ้น พยายามเดินกะเผลกหนีอย่างทุลักทุเล ทิวกระโดดลงมามองหากระเต็น เห็นอยู่ไม่ไกล ตามเพ่งกสิณไฟใส่ทันที กระเต็นหลบได้อย่างฉิวเฉียด ต้นไม้ไฟลุกไหม้พรึ่บ ทิวไม่เลิกตามเพ่งกสินไฟใส่ไม่ยั้ง กระเต็นหลบจนจนมุม ทิวเพ่งกสินไฟลูกไฟกำลังจะลอยปะทะร่างกระเต็น แต่แล้วก็มีไฟดวงใหญ่พุ่งมาชนจนระเบิด...เสียงระเบิดสนั่น ทิวกระเด็นไป หันมองแล้วอึ้งเมื่อเห็นพระหาญยืนอยู่ พระหาญในวัย70 ปี แม้สังขารจะโรย แต่ยังดูแข็งแรง น่าเกรงขาม
“เป็นพระก็อยู่ส่วนพระ มายุ่งกับข้าทำไม”
กระเต็นดีใจมากที่เห็นพระหาญ
“หลวงพ่อหาญ”
“หยุดแค่นี้เถอะโยม อาตมาขอ”
“ไม่ เพราะไอ้เพชร ลูกเมียข้าถึงได้ตาย วันนี้ข้าจะฆ่าเมียมันบ้าง ฮ่าๆๆ”
“ไฟพยาบาท อาฆาต มีแต่จะเผาตัวเองให้มอดไหม้นะโยม”
ทิวกระเหี้ยนกระหือรือ อยากสู้ด้วย
“เฮ้ย หนวกหู ไม่ฟังโว้ย ถ้าเก่งนักก็ฆ่าข้าให้ได้สิวะ”
ทิวเพ่งกสิณไฟใส่พระหาญทันที ลูกไฟลอยพุ่งเข้าใส่พระหาญ พระหาญหลับตาว่าคาถากสิณดิน แล้วเป่าออกไปควันสีขาวลอยออก ทันใดดินที่พื้นก็ลอยขึ้นรวมตัวกันเป็นแผ่น ครอบลูกไฟที่ลอยเข้ามา ลูกไฟถูกหยุดกลางอากาศ ดินค่อยๆ บีบลูกไฟเข้าจนลูกไฟมอด ดินกระจาย ร่วงลงพื้น
ทิวจ้องพระหาญแค้นที่บังอาจต่อกรได้ พลางว่าคาถาภาษาเขมร เรียกภูตผีมารุมพระหาญ
“มิฉาคัจอา หิเตอุตะ วังชี จะสะกะภะ วาฆังที ตุธาระวีฐะปัฐ ทะพะมะนะ นังพานนิพ ปังรู กังสิตะเจ ตังจิต นิระเจ จิ”
เมฆดำเคลื่อนเข้ามารวมตัวกัน ลมแรงขึ้น แรงขึ้น จะเห็นว่าเหล่าวิญญาณลอยพุ่ง ทะลุผ่านเมฆดำ แล้วพุ่งรวมตัวกันลงมาที่บ้านเพชร
“คาถาสะกดมาร”
พระหาญเครียด เมื่อเห็นวิญญาณลอยพุ่งมารวมตัวกัน ม้วนตัวเป็นเกลียว กลายเป็นก้อนวิญญาณร้ายมหึมา พุ่งเข้าใส่พระหาญอย่างรวดเร็ว กระเต็นตกใจ
“หลวงพ่อ”
พระหาญหลับตา ภาวนาในใจ
“พุทธโธ ธัมโม สังโฆ”

รูปเพชรในห้องพระ เกิดแสงลอยมาจากรูปแล้วกลายเป็นลูกแก้วใสลอยออกไปทางหน้าต่าง
ขณะนั้นก้อนวิญญาณร้ายกำลังพุ่งเข้าปะทะตัวพระหาญ ทันใดลูกแก้วใสลอยเข้ามาครอบตัวพระหาญเอาไว้ “แล้วส่องประกายแสงจ้าสีขาวออกมาวิญญาณผีร้ายกรีดร้องโหยหวนแล้วกระจายหายไป
หนอย”
ทิวโมโหรวบรวมพลัง ว่าคาถาเขมร ฟังไม่ได้ศัพท์ รอบๆ ตัวของทิวปรากฏเป็นรังสีไฟสีแดง หลอดไฟที่รั้วบ้าน
และตามถนน แตกทันทีกระแสไฟถูกดูดเข้ามาที่ตัวทิว ตาของทิวเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ดวงไฟลูกเล็กที่ค่อยๆ กลายเป็นลูกใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น กระเต็นอึ้ง แต่พระหาญยืนสงบอยู่ในครอบแก้ว ลูกไฟลอยปะทะเข้าที่ครอบแก้ว เสียงปะทะดังสนั่น ลูกไฟลอยกระเด็น กระจายสะท้อนออกทุกทิศทาง กระเต็นวิ่งหาที่หลบแต่ไม่พ้น โดนหางเลขบาดเจ็บไปด้วย ไฟลูกหนึ่ง พุ่งเข้าปะทะร่างทิวกระเด็นไป ทิวกระอักเลือดรีบว่าคาถาย่นระยะทาง จะเห็นว่าอากาศแหวกออก ทิวกระโจนเข้าหายวับไป
ครอบแก้วหายไปพระหาญรีบมองไปรอบๆ เห็นกระเต็นนอนอยู่ พระหาญรีบเข้าไปดูกระเต็น กระเต็นถูกลูกหลงนอนกระอักเลือด อาการสาหัสร่างกายบอบช้ำ เต็มไปด้วยรอยไหม้ พระหาญหน้าเครียด

ที่โรงพยาบาล นุกูลนั่งบนเตียงคล้องผ้าที่ไหล่ข้างที่หลุด ป๋องถือถ้วยรางวัล โป้งยืนอยู่ด้วย ทำแผลปิดพลาสเตอร์ที่หน้าแล้ว เปี๊ยกมองทองในมือ กล้านั่งกอดอกอยู่
“เจ๋งสุดเลยพี่กล้า ได้ทั้งถ้วยทั้งทอง”
“เสียดายจริงๆ นี่ถ้าไม่ต้องพาเอ็งสองคนมาโรงพยาบาลข้าก็ได้อยู่เชียร์พี่กล้าที่ขอบเวทีแล้ว”
“นี่ถ้าชกเป็นอาชีพนะ รับรองรุ่ง”
“พี่กล้า แล้วงามตาล่ะเค้าว่าไง”
กล้านั่งคิดถึงราชาวดี แล้วยิ้มออกมา สามคนหันมามอง ยื่นหน้ามาเรียกพร้อมกัน
“พี่กล้า” กล้าสะดุ้ง
“ฮะ อะไรนะ”
“ใจลอยไปถึงไหนพี่ เอ๊ะ หรือว่า พี่ชอบงามตาของผมเข้าแล้ว ผมไม่ยอมนะพี่ อูย” นุกูลจะเขย่ากล้า เลยเจ็บไหล่
“เฮ้ย ใจเย็นน่ะไอ้นุ สวย เปรี้ยว ซ่าอย่างงามตาของแก ไม่ใช่เสปคพี่หรอก ของพี่มันต้องสวย อ่อนหวาน ดูแล้วเย็นตาเย็นใจ”
ป๋องมองหน้ากับเพื่อน
“เอ๊ะๆ มันชักจะยังไงๆ ซะแล้ว พี่กล้าไปปิ๊งใครเข้าหรือเปล่า”
“เฮ่ย อย่าเพิ่งนอกเรื่องได้มั้ยวะ ตกลงงามตาเค้ารู้มั้ยพี่ว่าผมบาดเจ็บ เลยขึ้นชกไม่ได้”
“เออ พี่บอกงามตาแล้ว ว่าแกเจออุบัติเหตุขึ้นชกไม่ได้”
“จริงเหรอพี่ ค่อยยังชั่ว”
“เรื่องงามตา เอาไว้ก่อนเถอะ พี่ว่าแกเป็นห่วงพ่อแกเถอะ แกจะบอกจ่าลุยว่าไง”
“ก็ต้องบอกว่า รถล้มนั่นแหละพี่ ขืนบอกว่าผมถูกอัดน่วม รับรองพ่อกระทืบซ้ำแน่”
“งั้นวันนี้แกไปค้างกับไอ้เปี๊ยกก่อน พรุ่งนี้ฉันจะไปที่อู่แก้ตัวให้แกเอง กลับก่อนนะ”
“เดี๋ยวพี่ ฉันขอไปค้างบ้านพี่ไม่ได้เหรอ”
“สภาพแบบนี้นะ ไม่กลัวถูกคุณนายกระเต็นอบรมก็ไปดิ”
ทั้งหมดมองหน้ากัน แล้วยิ้มแหะๆ

ห้องรับแขกบ้านกระเต็นมีขันน้ำมนต์วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ กระเต็นนอนอยู่และพระหาญยืนร่ายคาถาอยู่
“วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโรฯ”
พระหาญเป่ามนต์ลงไป น้ำในขันน้ำมนต์เรืองขึ้น พระหาญมองไปที่ขันน้ำมนต์ ใช้มือขวาสะบัดออกเหมือนมีลมหมุนพัดออกจากมือ ที่ขันน้ำเหมือนมีลมช้อนน้ำมนต์ขึ้น น้ำมนต์กระจายเป็นเม็ดใส งาม ค่อยๆ ลอยขึ้นไปอยู่เหนือร่างกระเต็นและร่วงลงอาบร่าง แสงเรืองขึ้น จากนั้นร่องรอยบอบช้ำ ค่อยๆ เลือนหายไป

กระเต็นหายเป็นปกติก้มกราบพระหาญด้วยความซึ้งใจ พระหาญมองด้วยความพอใจ
“เด็กในบ้านโยมไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ตกใจจนสลบไปเพื่อไม่ให้รับรู้เรื่องนี้ อาตมาใช้มนต์สะกดไว้ รุ่งเช้าตื่นขึ้นก็จะจำอะไรไม่ได้”
“ถ้าไม่ได้หลวงพ่อช่วยไว้ ลูกคงแย่”
“ไม่ใช่เพราะอาตมาหรอก”

กระเต็นทำหน้าสงสัย

พระหาญกับกระเต็นขึ้นมาที่ห้องพระ พระหาญหยิบรูปเพชรออกมาเห็นห่อตะกรุดแขวนซ่อนอยู่หลังรูป

กระเต็นตกใจที่กล้าไม่พกตะกรุด
“ตะกรุดทำไมอยู่ที่นี่ ลูกให้กล้าแขวนไว้กับตัวนี่”
“โชคดีที่หลานกล้าซ่อนไว้ที่นี่ อานุภาพของตะกรุดดอกนี้จึงช่วยพวกเราไว้”
“นายทิว หนีไปได้แบบนี้ จะทำยังไงดีคะหลวงพ่อ คนคนนี้อันตรายมาก”
“อาตมาจะตามหาไอ้ทิวเอง แต่โยมกับเจ้ากล้าก็ต้องระวังตัวด้วย อย่าลืมว่าเจ้ากล้าอายุครบเบญจเพสในปีนี้”
“จริงซิ หรือว่าที่ไอ้ทิวกลับมาคราวนี้ จะเป็นเคราะห์ร้ายของกล้าคะหลวงพ่อ ทิวมันจะไปทำร้ายกล้าหรือเปล่า”
กระเต็นพยายามจะลุก
“อย่าเพิ่งร้อนใจไป ไอ้ทิวบาดเจ็บมาก มันยังทำร้ายใครไม่ได้”
“แต่ต่อไปละคะหลวงพ่อ ต่อไปจะเป็นยังไง”

กล้าขี่มอเตอร์ไซด์กลับมาบ้านแล้วกล้าก็เห็นพระหาญยืนอยู่หน้าบ้าน พระหาญหันมามองกล้าแล้วเดินไป
กล้าเร่งเครื่องไปถึงหน้าบ้าน มองไป ไม่เห็นใครแล้ว กล้าไขประตูเปิด เห็นสภาพหน้าบ้านที่มีร่องรอยการต่อสู้ หุ่นพยนต์ที่ไหม้ไฟ
“แม่”
กล้าวิ่งหน้าตาตื่นเข้าบ้านมา มองหาแม่แล้วก็กระเต็นกำลังเก็บกวาดบ้าน กล้าปรี่เข้าไปหาแม่ “แม่ เกิดอะไรขึ้น ทำไมไฟที่ถนนกับที่รั้วถึงได้แตกหมด แถมต้นไม้ยังโดนเผาด้วย”
“มีคนโรคจิตมันบุกเข้ามาลองของน่ะ แต่แม่เล่นงานจนมันเผ่นไปแล้ว”
“หะ จริงเหรอ แล้วแม่แจ้งตำรวจรึยัง”
“แค่คนบ้า แม่ไม่อยากให้มันยุ่งยาก”
“บ้าก็ต้องจับ ผมละเบื่อที่สุดไอ้พวกชอบลองของเนี่ยวันนี้ผมก็เจอ”
“แล้วเป็นไงบ้าง”
“ผมก็ใช้แม่ไม้มวยไทยสั่งสอนไปน่ะซิฮะ ดีนะผมไม่ได้พกตะกรุดไป ไม่งั้นมันคงหาว่า ผมชนะเพราะมีของดี
อุบ...” กล้านึกได้ว่าหลุดปากไป
“แกก็เลยเอามาซ่อนไว้หลังรูปพ่อ” กระเต็นยกตะกรุดในมือขึ้นมา
“ผมรำคาญนี่แม่ มีแต่คนมาถาม มาขอดู จนผมไม่เป็นอันทำอะไร ตอนผมเด็กๆ ผมต้องเข้าโรงเรียนประจำก็เพราะพวกชอบมาลองของกับพ่อเนี่ย”
“แต่นี่เป็นของมีค่า เป็นมรดกของปู่ของพ่อ ที่ตกทอดมาถึงแก ที่สำคัญตะกรุดเนี่ยช่วยคุ้มครองชีวิตพ่อกับแม่ให้รอดมาจนมีแก”
“ทำไมไม่คิดบ้างล่ะว่า เพราะพ่อกับแม่เก่งถึงไม่มีใครทำอะไรได้”
“ตกลงแกจะเถียงให้ชนะแม่ให้ได้ใช่มั้ย”
“เปล่า โธ่ ใครจะกล้าเถียงคุณนายมือปราบ สวมก็สวม”
“ดีมาก”
กล้ารับตะกรุดมาไหว้แล้วสวม
“เออแม่ เมื่อกี๊ ผมเห็นพระสงฆ์อยู่หน้าบ้านเรา เหมือนหลวงปู่มาก”
“ไม่ใช่หรอก หลวงปู่ท่านอยู่ในป่าลึกคงเป็นพระองค์อื่นท่านคงมาธุดงค์แถวนี้”
“เสียดายผมนึกว่าจะได้กราบหลวงปู่ ตั้งแต่ท่านมาเป่ายันต์ให้ตอนผมป่วยหนักคราวนั้น ก็ไม่เคยเจอกันอีกเลย”
คำพูดของกล้าทำให้กระเต็นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกล้าอายุ16-17
กล้าถอดเสื้อ ใส่กางเกงขาสั้น ห้อยตะกรุดที่คอ นอนป่วยอยู่ กล้ามีอาการกระสับกระส่าย มีผ้าวางบนหน้าผาก เพชรจุดธูปเทียนมีผ้ายันต์วางอยู่เป็นลายอิติปิโสแปดทิศ พระหาญนั่งอยู่บนอาสนะหลับตาภาวนา
“กล้ายังเรียนไม่จบมอปลาย ให้สักยันต์จะเหมาะเหรอเพชร”
“หลวงพ่อจะเป่ายันต์เกราะเพชรให้กล้า ไม่ได้สัก”
พระหาญลืมตา
“ยันต์นี้คืออิติปิโสแปดทิศ เมื่อรับแล้วจะปลอดภัยจากไสยเวทย์ทุกชนิด ดวงเจ้ากล้ามันแรงมาก เจ็บป่วยคราวนี้อาจเพราะถูกกระทำจากวิญญาณชั่วร้าย ยันต์จะช่วยปัดเป่าให้ทุเลาขึ้น”
“กล้าๆ พนมมือ ตั้งใจนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะลูก”
กล้าพนมมือทั้งสะลึมสะลือ
“เมื่อรับยันต์นี้แล้ว ต่อไปเจ้าต้องไม่ดื่มเหล้า ไม่ลักขโมย หมั่นสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน ทำได้มั้ย”
“ได้ครับ”
พระหาญพนมมือว่าคาถา ยันต์ลอยเข้าไปในหน้าอกกล้า

เมื่อกลับเข้าห้องกล้ายืนถอดเสื้ออยู่หน้ากระจกนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ชกมวยกับคม
“ขอบคุณนะครับหลวงปู่ สำหรับยันต์เกราะเพชร แต่ถ้าเป็นไปได้ผมอยากเป็นคนธรรมดาที่เอาตัวรอดด้วยความสามารถของตัวเองมากกว่า”

พระหาญกลับเข้าป่า และในนิมิตของพระหาญก็เห็นทิวในสภาพบาดเจ็ดสะบักสะบอมเดินอยู่ พระหาญปรากฏตัวดักอยู่
“ทิว เอ็งหยุดซะเถอะ อย่าก่อกรรมต่อไปเลย”
“ไม่มีทางตราบใดที่ข้าไม่ตาย ข้าจะจองล้างจองผลาญพวกเอ็งจนกว่าข้าจะหมดลมหายใจ ข้าจะฆ่าล้างตระกูลพวกเอ็งให้ได้”
ทิวพรวดเข้าบีบคอพระหาญ อ้าปาก ให้เงาดำของวิญญาณพุ่งใส่พระหาญ พระหาญกระอักเลือด ทรุดลง นอน มองไปจึงเห็นชัดและสมุนเสือเมฆที่ตายเพราะถูกทลายชุมโจรเดินรุมเข้ามา
“พี่หาญ ผ้าเหลืองคุ้มครองพี่ไม่ได้หรอก พี่กับไอ้กล้าต้องชดใช้ชีวิตให้ฉันกับพี่น้องของเรา”

สำนักป่าอิสุโร พระหาญกำลังนั่งหลับตาเข้าฌานเหงื่อเต็มหน้า พระหาญลืมตาขึ้นหอบหายใจ ลุกขึ้นเดินครุ่นคิดด้วยความเครียด ก่อนจะก้มกราบองค์พระประธานในโบสถ์ร้างเพ่งจิตระลึกถึงพ่อปู่บุญทา สักพักจะเห็นพ่อปู่บุญทาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพระหาญ
“ใจท่านรุ่มร้อนจิตที่เป็นสัมมาสมาธิต่างหากจึงจะเกิดปัญญา”
พระหาญรู้ตัวว่าตนเองไม่มีสมาธิ
“ผมไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่เป็นห่วงหลาน มีวิธีไหนไหมครับที่จะช่วยให้กล้า พ้นจากเคราะห์กรรมครั้งนี้ได้”
“กรรมย่อมติดตามผู้กระทำเหมือนเงาตามตัว ไม่มีทางหนีได้หรอก”
“จะหนักหนาถึงชีวิตรึเปล่าครับ”

“รู้หรือไม่รู้ จะแตกต่างกันยังไง ในเมื่อผลย่อมไม่เปลี่ยนแปลง ท่านปล่อยวางเสียเถิด”

พระหาญเครียดที่พ่อปู่บุญทาไม่ยอมบอก

“ถ้าอย่างนั้นผมจะขอลาสิกขา”
“ถึงท่านลาสิกขาไปก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้”
แต่หาญยังยืนยันคำเดิม
“ผมคิดอย่างรอบครอบแล้วครับ ถึงจะห้ามวิบากกรรมครั้งนี้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยผมอาจช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา”
พ่อปู่บุญทาเข้าใจดีว่าหาญคงหมดบุญที่จะครองผ้าเหลืองแล้ว

โบสถ์ร้าง สำนักป่าอิสุโร ผงดินถูกโรยลงมาจนกลายเป็นกองดินขนาดย่อมๆ กระบอกไม้ไผ่ถูกเทออกมีน้ำไหลออกมา แต่หยดน้ำกลับลอยค้างอยู่เหนือพื้น พ่อปู่บุญทาเป่าลมลงพื้นเกิดเป็นลมหมุนลอยนิ่งอยู่กับที่เหนือพื้นโบสถ์
พ่อปู่บุญทาเป่ามนต์ใส่มือ เกิดเป็นเปลวไฟขึ้น เพดานโบสถ์ทะลุเห็นดวงอาทิตย์สาดแสงบนท้องฟ้า หาญในวัยชรานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง ถอดเสื้อใส่แต่กางเกงขาว
“ถึงแม้จะไม่ได้ครองเพศสมณะแล้ว แต่จงหมั่นรักษาศีล ให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ อย่าให้ความดีที่ทำมาต้องสูญเปล่า”
“มีอีกเรื่องที่ผมจะขอร้อง ผมอยากทำพิธีอมฤตเทวา”
“เจ้ารู้ใช่มั้ยว่า ผู้ผ่านพิธีนี้ต้องแลกด้วยอะไร”
“ผมทราบครับ แต่ผมตัดสินใจแล้ว”
มีวัตถุธาตุทั้งสี่ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) ล้อมอยู่รอบตัวหาญ ทั้งสี่มุม พ่อปู่บุญทาถอยออกไปนอกรัศมี พนมมือ หลับตาว่าคาถาเสียงสวดคาถาดังกังวาน สักพักดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเกิดการย้ายตำแหน่ง เคลื่อนที่ถอยหลังย้อนไปทางทิศตะวันออกจนตกลับขอบฟ้าไป แล้วดวงดาวก็เคลื่อนถอยหลังย้อนขึ้นมา กลายเป็นกลางคืนแทน เป็นการย้อนเวลาวนไปแบบนี้เรื่อยๆ
วัตถุธาตุทั้งสี่ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น แล้วหมุนทวนเข็มนาฬิกา เป็นวงกลมไปรอบๆ ตัวหาญ ฝุ่นดิน หยดน้ำ สายลม และเปลวไฟ ไหลรวมกันเป็นเนื้อเดียว ก่อเป็นกำแพงล้อมรอบตัวหาญ
ที่ผนังของโบสถ์เหนือหาญขึ้นไปจะเห็นเถาวัลย์ที่เหี่ยวแห้งกลับมาสดใสใบเขียวอีกครั้ง มืออันเหี่ยวย่นของหาญค่อยๆ เต่งตึงขึ้น ร่องตีนกาบนใบหน้าค่อยๆ หายไป กำแพงที่เกิดจากวัตถุธาตุทั้งสี่ ค่อยๆ จางไป เห็นหาญยืนเด่นอยู่ แต่กลายเป็นวัยหนุ่ม

เท้าหาญก้าวเดินออกจากสำนักอิสุโร หาญมองรอบแล้วก้มมองที่คอซึ่งห้อยลูกสะกดอยู่แล้วนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้หลังจากทำพิธีเสร็จแล้ว
พ่อปู่บุญทานั่งอยู่ หาญพนมมือแล้วแบมือ พ่อปู่บุญทายื่นลูกสะกดที่มีสายไว้คล้องคอเรียบร้อย
“ลูกสะกด”
“ใช่ ลูกสะกดหัวใจสิงห์ ทำจากเหล็กไหล มีพุทธคุณทั้งมหาอำนาจ คลาดแคล้ว คงกระพันชาตรี ตราบใดที่เจ้ายึดมั่นในศีล ลูกสะกดนี้จะคุ้มครองรักษาเจ้าจนกว่าจะถึงเวลานั้น”
“ขอบคุณครับพ่อปู่”

หาญเดินไปในป่าอย่างมุ่งมั่นพร้อมกับเสียงพ่อปู่บุญทาที่ดังขึ้นในหัว

“เจ้าตัดสินใจทิ้งทางธรรมก้าวกลับไปสู่ทางโลก สู่วังวนของกิเลสตัณหา ดุจเรือที่แล่นทวนน้ำ น้ำมีแต่จะ พัดพา เรือไหลลงสู่ที่ต่ำ จิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้นจะต้านกระแสแห่งกรรมชั่วได้”

ที่ย่านค้าขายพระเครื่องข้างกำแพงวัดมหาธาตุ จุกอยู่ที่แผงของตัวเองซึ่งเป็นแผงเล็กๆ ลูกค้าคนหนึ่งเดินมาหยุดดูที่แผงจุก หยิบพระแล้วใช้กล้องส่งพระส่องดู

“สนใจเช่าบูชาองค์ไหนได้เลยครับเฮีย ผมจุก บึงกร่าง มีให้เฮียบูชาตั้งแต่พระกรุ พระกริ่ง พระเกจิ แล้วก็เครื่องรางของขลัง ถึงมีของไม่มาก แต่รับรอง” จุกชี้นิ้วชี้ขึ้นฟ้าแล้วงอลง “ไม่มีซาลูตู้แน่”
ลูกค้ามองจุกงงๆ
“อะไรของลื้อวะ ซาลูตู้”
“อ้าว เฮียไม่ค่อยได้มาแถวนี้น่ะสิ ซาลูตู้ก็หมายถึง(กระซิบ) พระเก๊นั่นแหละเฮีย คนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยคิดถึงบาปถึงกรรม เฮียต้องระวังๆ ไว้ ขนาดเซียนพระที่ว่าเก๋าๆ ยังเกือบโดนมาแล้วเลย นี่ถ้าผมไม่ไปช่วยไว้ มีหวัง หมดตัว”
ลูกค้าพยักหน้ารับ ชอบใจ พลางดูพระต่อ ทันใดมีมือถือปืนกระแทกวางข้างหน้า
“แล้วไอ้นี่ล่ะ ของจริงหรือเก๊” เหล็งลูกน้องเสี่ยไพบูลย์ถาม จุกกลืนน้ำลายมอง
“แหม ดูไม่ออก เครื่องรางรุ่นนี้รูปร่างแปลก หลวงพ่อวัดไหนปลุกเสกน่ะ ลูกพี่”
“ไปถามยมบาลดีมั้ย” เหล็งเล็งปืนไปที่จุก
“ดะ ดะ เดี๋ยวก่อนสิพี่ชาย มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน พี่หล่อเหมือนสมบัติ เท่เหมือนสรพงษ์ ดูยังไงก็คงไม่ใจร้าย จริงไหม?”
“ไม่ต้องมาเล่นลิ้น เอ็งใช่ไหม ที่ทะลึ่งไปบอกเซียนเพ้งว่าได้พระปลอม ฮะ” เหล็งตะคอกถาม จุกนึกได้
“ตายละวา”
“ของที่นายอั๊วปล่อย ไม่มีทางปลอมโว้ย จำเอาไว้”
เหล็งกำลังจะลั่นไก จุกชี้ไปอีกทางพร้อมตะโกน
“ตำรวจ”
เหล็งหันมองตาม จุกเอาเก้าอี้ของตัวเองกะฟาดเต็มที่แต่เหล็งเก่งกว่าเอี้ยวตัวหลบทัน ก่อนจะยันจุกล้มหงายลงไป เหล็งเล็งแล้วยิงทันที เปรี้ยง! กระสุนเข้าที่หน้าอกจุก จุกผงะหงายนอนแผ่

 เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 1 (ต่อ)

กระเต็นเดินเข้ามาพอดี เห็นคนแถวนั้น หลบๆ กลัวๆ กัน เหล็งวิ่งมากระโดดขึ้นมอเตอร์ไซด์ที่มีคนขับรออยู่ ซิ่งออกไป

“ช่วยด้วย เซียนจุกถูกยิง”
กระเต็นวิ่งไป เห็นจุกนอนอยู่ก็ตกใจมาก
“ไอ้จุก” กระเต็นเข้ามาประคองจุก “จุก จุก จุก” กระเต็ยเขย่าตัวเรียกคนเข้ามามุง “ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลที เร็วซิวะ ยืนดูอะไรกัน” จุกลุกขึ้นมานั่ง คนฮือฮา ตะลึงกัน “ก็บอกให้ช่วยโทรเรียก...”
“พี่เต็น ไม่ต้อง”
“เอ๊ะ ไอ้นี่ เฮ้ย ไอ้จุก”
จุกจับที่อกตัวเอง
“จุกจริงๆ จุกสมชื่อเลย”
“เซียนจุกเหนียวจริงๆ โว้ย”
ผู้คนฮือฮา ยกนิ้ว จุกยกมือประมาณเล็กน้อย

จุกกับกระเต็นมานั่งคุยที่ศาลาท่าน้ำของวัด จุกเปิดเสื้อให้กระเต็นดู กระเต็นจึงเห็นจุกใส่เสื้อเกราะกันกระสุนของตำรวจอยู่
“ถุย ไอ้เซียนจุก เนี่ยเหรอของขลังของเอ็ง”
“อย่าดูถูกนะพี่ เสื้อเกราะนี่ ตำรวจที่ซี้กันขายให้ถูกๆ ใส่ไว้หน่อย เผื่อท่องมหาอุดไม่ทันไงพี่”
“แล้วถ้าคราวหน้าโดนที่หัวล่ะ จะทำยังไง บอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิก ให้เลิก มันอันตราย”
จุกทำหน้าเป็น ส่ายหน้า
“ไม่อ่ะ ก็ฉันรักของฉันนี่นา เป็นผีสนามอยู่ที่นี่ตั้งนานกว่าจะไต่เต้ามามีแผงของตัวเองได้ คนเรียนน้อยแต่ หน้าตาดีอย่างฉัน คงจะไปทำอย่างอื่นไม่ได้หรอกพี่”
กระเต็นถอนใจ
“ก็ตามใจเอ็งละกัน”
“แล้วนี่พี่มาหาฉัน มีอะไรรึเปล่า”
“ข้าอยากจะปรึกษาเอ็ง เรื่องบวช”
“ฮ้า พี่เนี่ยะ จะบวช”
กระเต็นทนไม่ไหว เขกหัวจุก
“ไอ้บ้า ข้าจะบวชให้ลูกโว้ย”
“ไอ้กล้าเหรอ”

หน้าตึกแผนกการเรือนของสหวิช สาวๆ เดินเข้าแผนก กล้าเข้ามามองๆ สาวๆ เห็นกล้าก็เขิน กล้ายิ้มให้แล้วมองหาราชาวดี อาจารย์สมใจมายืนข้างหลังแล้วกระแอม กล้าหันไปเห็นแล้วสะดุ้ง
“อุย สวัสดีครับ”
“เธออยู่แผนกไหน มาทำอะไรแถวนี้”
“ผมเป็นศิษย์เก่า แผนกช่างยนตร์ครับ ผมมารอเพื่อน”
“แต่นี่เป็นแผนกการเรือน ไม่น่าจะมีเพื่อนเธออยู่แถวนี้”
“จริงด้วย แหม ผมไม่ได้เข้ามานานเลยลืม ขอโทษครับ”
กล้าเดินไป อาจารย์สมใจเดินแยกไปอีกทาง พออาจารย์สมใจไปแล้วกล้าจึงเดินกลับมาอีกพร้อมกับถอนหายใจ
“เรานี่ท่าจะบ้าจริงๆ ด้วย น้องชื่ออะไรก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ”
“ราชาวดี” กล้าได้ยินเสียงเรียกจึงหันไปมอง เห็นดวงใจวิ่งไปหาราชาวดีที่เพิ่งเดินมา “ทำไมเพิ่งมา”
“เธอนั่นแหละทำไมมาเช้านัก”
“ชุดที่เราเนาเข้าหุ่นไว้เตรียมส่งอาจารย์ ถูกใครไม่รู้มาเลาะออกหมดเลย”
“อะไรนะ”
ทั้งคู่วิ่งขึ้นไปบนตึก ไม่เห็นกล้า
“ราชาวดี” กล้าทวนชื่อ

ในห้องเรียนตัดเย็บ ราชาวดีถูกดวงใจฉุดมาดูชุดราตรีที่อยู่บนหุ่นซึ่งถูกเลาะแขนเลาะเอวออก เป็นช่วงๆ พาดๆ หุ่นไว้
“ทำไมเป็นแบบนี้”
“มันต้องมีคนแกล้งเราแน่”
“ใครล่ะ”

มุมหนึ่งในตึกงามตามาจับกลุ่มกับเพื่อนสะใจกัน
“สมน้ำหน้าเล่นกับใครไม่เล่น ในเมื่อมันอยากเด่นก็ให้เด่นซะให้พอใจเลย”
“แล้วมันจะไม่รู้เหรอว่าเป็นฝีมือเรา”
“รู้แล้วทำไม จะจับเราติดคุกหรือไง” ทั้งหมดหัวเราะ
“แค้นอะไรไม่แค้นเท่าไม่ได้อยู่คุยกับพี่กล้าต่อ เมื่อไหร่จะได้เจออีกก็ไม่รู้” นงคราญบอก
“พี่กล้าเป็นเนื้อคู่ฉัน ยังไงก็ต้องได้เจอกันอีก พนันกันมั้ย” งามตาบอกอย่างมั่นใจ

ขณะนั้นราชาวดีและดวงใจกำลังช่วยกันเนาชุดบนหุ่น
“โอ๊ย ยิ่งรีบมือยิ่งสั่น”
“ใจเย็นๆ ดวง”
“อุ๊ย”
ดวงใจทำกระดุมที่กำลังติดหล่น
“เห็นมั้ยบอกแล้ว”
ดวงใจก้มลงหากระดุม
“กระดุมกลิ้งไปไหนไม่รู้”
“ไปดูในล็อคเกอร์ของเราซิ เราซื้อมาเผื่อไว้”

“เดี๋ยวมานะ”

ดวงใจวิ่งออกจากห้องไป ขณะนั้นกล้าเข้ามามองหาราชาวดี กล้าเดินผ่านหน้าห้องแล้วชะงักแอบมองราชาวดีที่เย็บชุดอยู่ กล้ายิ่งนึกรักราชาวดีจึงเดินเข้าไปเหมือนต้องมนต์

“มาแล้วเหรอ ช่วยส่งเข็มหมุดให้เราที” ราชาวดีถามโดยไม่หันมามอง กล้าหยิบเข็มหมุดส่งให้หนึ่งอัน แต่เอาทางคมออก ราชาวดีเอื้อมมือไปรับจึงโดนตำ “โอ๊ย”
“ขอโทษครับ”
ราชาวดีหันกลับมามองแล้วตกใจที่เป็นกล้ายืนยิ้มอยู่ กล้ารีบคว้ามือราชาวดีไปดูเห็นมีเลือดไหลที่ปลายนิ้ว จึงใช้นิ้วตัวเองกดเลือดไว้
“เจ็บมั้ยครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
ราชาวดีดึงมือกลับ ถอยหนีแต่สะดุดขาเก้าอี้จะหงายหลัง กล้ารีบประคองตัวราชาวดีเอาไว้ สองคนสบตากัน ใจสั่น จังหวะนั้นงามตากับเพื่อนเดินเข้ามา
“ป่านนี้คงเย็บกันจนมือหงิกแล้ว ฮะๆๆๆ” งามตาเข้ามาเห็นกล้ากับราชาวดีก็ชะงัก “อะไรกันน่ะ” ทั้งสองคนต่างอ้ำอึ้ง “เห็นหงิมๆ แต่ไวไฟใช่เล่นนะยะ กล้านัดผู้ชายมาพลอดรักถึงในห้องเรียน”
งามตาเห็นแต่ด้านหลังของกล้า
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
กล้าหันหน้ามาคุยกับทุกคน งามตาถึงกับอึ้ง
“พี่กล้า”
“อย่าเข้าใจผิด มันเป็นอุบัติเหตุ เป็นความผิดของพี่เอง”
ดวงใจวิ่งเข้ามาในห้อง
“วดีๆ อาจารย์มาแล้ว อุ๊ย”
“พี่ไปก่อนนะครับ”
กล้าเดินออกสวนกับอาจารย์ที่ทางเดิน กล้าไหว้ อาจารย์รับไหว้มองงงๆ พวกสาวๆ รีบเข้าที่เรียน งามตามองราชาวดีด้วยสายตาอาฆาต

เมื่อหมดชั่วโมงเรียนราชาวดีเดินมากับดวงใจ
“ตกลงพี่กล้าเค้าเข้ามาทำอะไร”
“เค้าคงมาหาเพื่อนน่ะ”
งามตากับพวกมาดักผลักราชาวดีจนกระเด็น
“บอกมา พี่กล้ามาหาฉันใช่มั้ย ฮะ เค้ามาหาฉัน แต่เจอเธอ เธอเลยฉวยโอกาสยั่วเค้า หน้าไม่อาย”
“เราจะทำอย่างนั้นไปทำไม เราไม่รู้จักเค้าด้วยซ้ำ”
“ไม่ต้องรู้จักหรอก หล่ออย่างนั้น”
ดวงใจเข้ามาขวาง
“พูดถึงตัวเองเหรอนั่น ขอแค่เป็นผู้ชายหน้าตาดีก็พร้อมยอมทุกอย่าง ใครนะที่หน้าด้าน”
งามตาตบเปรี้ยง ดวงใจเซ ราชาวดีเข้าห้าม
“อย่า”
งามตาตบราชาวดี ดวงใจโผเข้าจิกงามตา พวกนงคราญรุมดวงใจ พวกเพื่อนๆ วิ่งกันเข้ามา มองตกใจแล้วช่วยกันแยก งามตายังจ้องราชาวดีอย่างอาฆาต
“จำไว้อย่ามายุ่งกับของ ของฉัน ไม่งั้นเสียโฉมแน่”

เย็นวันนั้นเมื่อกลับถึงบ้านราชาวดีจับแก้มเจ็บๆ คะนึงนิจตกใจเมื่อรู้ว่าราชาวดีถูกตบ
“หะ ถูกตบ ใครๆ ตบวดี เป็นพวกนักเลงใช่มั้ย นี่มันบุกเข้าไปในโรงเรียนเลยเหรอ มันมาตามหาตัวเราใช่มั้ย”
“เดี๋ยวๆ นิจ นักเลงที่ไหน ไม่ใช่ เรามีเรื่องเข้าใจผิดกับเพื่อนนิดหน่อยน่ะ”
“เพื่อนเหรอ”
“ใช่ เพื่อนผู้หญิง เอ๊ะ นิจพูดเหมือนกำลังมีใครตามล่าตัวอยู่แบบนี้ใช่มั้ย เมื่อวาน นิจถึงเข้ามาแอบอยู่หลังเวที แล้วก็ขอมาค้างกับเรา”
“มันก็ไม่ถึงอย่างงั้น...คือ คือ เมื่อวานพอดีเราท้องเสีย วาดรูปให้คนที่มาจ้างไม่ค่อยดี ก็เลยกลัวเค้าตามมาเอาเรื่อง”
“ที่จริง นิจมาอยู่กับเราเลยก็ได้นะ เป็นผู้หญิงแล้วไปเช่าห้องอยู่คนเดียวแบบนั้นเราป็นห่วง”
“ไม่ได้หรอก สมบัติบ้าเราเยอะ แค่ครูสอนให้เราฟรีๆ นี่เราก็เกรงใจจะแย่”
“งั้นครูคิดค่าสอนแพงๆ ดีมั้ย”
คะนึงนิจหันไปมองจึงเห็นครูเริง พ่อของราชาวดีสะพายย่ามเข้ามา
“พ่อ วันนี้กลับเร็วจัง”
ราชาวดีไปรับย่ามจากพ่อ คะนึงนิจพนมมือไหว้ครูเริง
“เมื่อคืนนักเรียนมันยกพวกตีกัน วันนี้เลยต้องปล่อยลูกศิษย์กลับบ้านเร็วหน่อย กลัวพวกอริมันมาดักแก้แค้น”
“ทำไมเดี๋ยวนี้ คนถึงอารมณ์ร้อนกันจังเลยนะคะ พ่อ”
“มันไม่รู้ตัวว่าเป็นสัตว์ประเสริฐที่มีสมองเอาไว้คิด มีมือเอาไว้สร้างสรรค์สิ่งดีดีให้โลก มันก็เลยใช้แต่อารมณ์เดรัจฉาน มันต่อสู้กันเพื่อเอาตัวรอด แต่คนสู้กันเพื่อสนองความโกรธ เจ็บตายกันไปก็ไม่ได้อะไร อายเดรัจฉาน”
“ใช่ค่ะ ยิ่งพวกที่ปล้น ฆ่า ทำทุกอย่างได้เพื่อเงินยิ่งเลวมากมนุษย์พวกนี้ไม่สมควรเกิดมาด้วยซ้ำ”

คะนึงนิจบอกแล้วนึกถึงพี่ตัวเอง

ที่บ้านเสี่ยไพบูลย์ เสียงเสี่ยไพบูลย์หัวเราะดังออกมา

“ฮ่าๆ”
ภายในบ้านเสี่ยไพบูลย์ที่ตาขวาบอด คาดปิดตาไว้ ถือไม้เท้า สภาพโทรม นั่งอยู่ที่โซฟากับภูมินทร์ บนโต๊ะ มีพระเครื่อง พระบูชา เทวรูป เหรียญต่างๆ วางเรียงราย ภูมินทร์ส่องกล้องดูด้วยความสนใจ เลือกองค์ที่ชอบวางบนถาด
“ผมเอาหัวเป็นประกันเลยนะครับพ่อเลี้ยง เป็นของจริงทุกชิ้น เพราะผมไปขุดจากกรุด้วยมือตัวเอง อย่างเทวรูปองค์นี้เอามาจากปราสาทหินฝั่งโน้น กว่าจะได้มาต้องฝ่าระเบิดไม่รู้กี่ลูก สะเก็ดยังฝังอยู่ในลูกตานี่เลย ฮ่าๆๆๆ”
“เสี่ยอยู่ในวงการมานาน ผมเชื่อเครดิตเสี่ย เสือไม่กินเนื้อเสือด้วยกันอยู่แล้ว ผมเช่าทั้งหมดนี่”
ภูมินทร์ส่งถาดที่วางพระและเหรียญหลายอันให้
“ผมหาคนใจป้ำอย่างพ่อเลี้ยงมานาน ทั้งตาถึง ใจถึง มามา ต้องดื่มฉลองมิตรภาพกันซักหน่อย เฮ้ย เด็กๆ ไปรินน้ำอมฤตมาสองแก้ว”
“เรื่องฉลองเอาไว้ก่อนก็ได้ ผมอยากให้เสี่ยดูตัวอย่างสินค้าที่ผมจะฝากให้เสี่ยส่งนอกหน่อย”
คมกับลูกน้องยกหีบใหญ่เข้ามา เปิดเห็นข้างในเป็นงาช้างคู่หนึ่ง หนังเสือและเขาสัตว์ เสี่ยไพบูลย์ตาโตตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาดู
“อา ของดีดีมูลค่ามหาศาลทั้งนั้น เป็นบุพเพสันนิวาสจริงๆ ที่ทำให้เราสองคนมาเจอกันแบบนี้เราคงทำการค้า
กันได้อีกนาน”
“ผมยังมีเรื่องที่จะรบกวนเสี่ยสองเรื่อง เรื่องแรกอยากให้เสี่ยช่วยหาบ้านในกรุงเทพให้ซักหลัง ผมมีธุระสำคัญที่ต้องอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่”
“ไม่มีปัญหา แล้วอีกเรื่อง”
“ผมอยากให้เสี่ยช่วยสืบหาคนให้ผม”
ภูมินทร์รับรูปจากคมให้เสี่ยไพบูลย์ซึ่งเป็นรูปคะนึงนิจ
“ผู้หญิง”
“น้องสาวผมเอง หนีออกจากบ้านมาเกือบปีแล้ว ผมได้ข่าวว่ามารับจ้างวาดรูปอยู่แถวโรงเรียนสหวิช”
“ไม่มีปัญหา แถวนั้น ถิ่นของลูกน้องผมเหมือนกัน”
เหล็งกับลูกน้องเสี่ยไพบูลย์เดินเข้ามา
“เสี่ยครับ มีเรื่องด่วนครับ” เหล็งกระซิบกับเสี่ยไพบูลย์ เสี่ยไพบูลย์ตบหัวเหล็ง
“ไอ้โง่เอ๊ย ทำงานแค่นี้ไม่สำเร็จ แล้วมึงจะไปทำอะไรกินวะ”
“ผมยิงมันเผาขนเลยนะเสี่ย แต่ไม่เข้า คนแถวนั้นบอกว่ามันลุกขึ้นเดินปร๋อ แล้วผมก็เพิ่งรู้ว่าไอ้เนี่ย มันเป็นลูกศิษย์พระหาญ”
“พระหาญ ไอ้เสือหาญน่ะเหรอ แสดงว่ามันเป็นพวกมีวิชาอาคมน่ะซิ”
“นี่พูดถึงใครกันอยู่หรือเสี่ย”
“ศัตรูเก่าของผมน่ะ พ่อเลี้ยง มันเป็นคนที่ทำให้ผมต้องหนีไปกบดานหากินเสี่ยงกับระเบิดอยู่ชายแดน ต้องเสียทั้งตา ทั้งขาข้างนี้” เสี่ยไพบูลย์ถกให้เห็นขาเทียม “ชาตินี้ ผมไม่มีวันลืมมัน ไอ้เสือหาญ”
“เสือหาญ” ภูมินทร์ทวนชื่ออย่างสนใจ

ในป่าตามแนวตะเข็บชายแดน หาญกำลังวิ่งลัดเลาะไปในป่าด้วยท่าทางรีบร้อนแล้วสลับหยุดนิ่งเอามืออังกระแสความร้อนจากกสิณไฟของทิวว่าผ่านไปทางไหนบ้าง
ภาพจากกระแสจิตของหาญเข้ามาจะเห็นทิวกำลังกัดและฉีกเนื้อหญิงสาวชาวป่าคนหนึ่ง เหวี่ยงไป
ทิวดูดเลือดที่เปรอะมือตัวเอง ก่อนจะหันมาหัวเราะอย่างสะใจ
หาญย่นระยะทางมาถึงก็เห็นร่างหญิงสาวนอนคว่ำหน้าอยู่ หาญตกใจ เข้าประคองจึงเห็นหญิงสาวมีแผลที่คอ แต่ทันใดหญิงสาวก็กลายร่างเป็นสมิงปอบแยกเขี้ยวใส่ เข้ากัดคอหาญ แต่แสงจากลูกสะกดวาบขึ้น สมิงปอบกระเด็นออกไป หมอบ
“สมิงปอบ”
สมิงปอบตัวอื่นไต่ลงมาจากต้นไม้ คลานออกมาจากพงหญ้า ล้อมหาญไว้ คำรามกันใหญ่ หาญควักสนับมือเสือขึ้นมาเป่าอาคม สมิงกระโดดเข้าหาหาญ หาญต่อยด้วยสนับบ้าง ตีลังกาหลบบ้าง สมิงถูกสนับเลือดไหลเป็นสีเขียว ร้องโหยหวน สมิงปอบที่เหลือรุมโจมตี หาญต่อสู้แค่ป้องกันตัวแต่ไม่คิดฆ่า หาญถอยไปจนชนต้นไม้ว่าคาถาปลุกเสือ
“พยัคโฆ พยัคฆา”
สมิงปอบทั้งหมดกระโจนเข้ามารุมกัด หาญกระโดดแผลวขึ้นต้นไม้ สมิงปอบแปลกใจมองหา หาญคำรามแล้วกระโดดลงมาหมุนตัววาดมือวาดเท้าใส่สมิงปอบ แต่ละตัวกระเด็นหายเข้าไปในต้นไม้ด้วยความกลัว เหลือเพียงตัวที่โดนสนับของหาญนอนเจ็บอยู่ หาญเด็ดใบไม้ แล้วเคลื่อนตัวลงจากกิ่งไม้ใหญ่ ไปที่สมิงปอบ สมิงปอบมองหาญ แววตาแค้น แยกเขี้ยวขู่ กลัวหาญซ้ำ หาญเป่ามนต์ใส่ใบไม้ในที่กำอยู่ยื่นให้
“ใช้นี่สมานแผลของเอ็งซะ” สมิงปอบมองงงๆ ไม่ไว้ใจ “พวกเอ็งถูกปลุกขึ้นมาด้วยความไม่เต็มใจ ไอ้ทิวสะกด
พวกเอ็งให้คอยรับใช้มัน” สมิงปอบรับใบไม้มาเคี้ยว แผลที่อกก็ค่อยๆ สมานจนหายเป็นปกติ สมิงหมอบขอบคุณหาญ”จำไว้ จิตที่ตั้งมั่น จะช่วยให้เอ็งมีพลังคลายมนต์สะกดของมันได้”
สมิงปอบมองตาม หลับตาตั้งจิต มนต์สะกดสีดำของทิวไหลออกมาจากร่าง กระจายหายไป สมิงปอบลืมตาขึ้น ดวงตาสีเขียวอันโหดร้ายเปลี่ยนเป็นดวงตามนุษย์ปกติ
“ข้ารู้ว่าคนที่ท่านตามหาอยู่ไหน ข้าจะนำทางท่านเอง”
หาญยิ้มให้ พยักหน้ารับ ทันใดนั้นสมิงปอบก็กลายร่างเป็นเสือลายพาดกลอนตัวหนึ่งกระโจนนำหน้าหาญออกไป
หาญตาม ทันใดมีลูกไฟลอยมาหาเสือ มอดไหม้เป็นจุณท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน

หาญมองไปทางลูกไฟ“ไอ้ทิว”

 เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 1 (ต่อ)

หาญวิ่งไปแล้วก็เจอแต่ศพชาวบ้าน หญิงชาย ทั้งแก่ สาว หนุ่ม มีแผลถูกกัดที่คอ อกถูกแหวะ ตายเกลื่อน กระท่อมสองหลัง ไฟลุกโชน ทันใดก็มีลูกไฟพุ่งข้ามหัวหาญมาตกใส่หินระเบิด เสียงระเบิดดังลั่น

หาญหันหลังกลับไปดูก็เห็นทิวกำลังยืนจังก้าตาขวาง มือเต็มไปด้วยเลือด
“ไอ้ทิว ทำไมเอ็งต้องฆ่าคนมากมายขนาดนี้”
“เลือดและหัวใจมนุษย์เท่านั้นที่จะทำให้ข้ามีพลัง”
“เอ็งกำลังถูกมารเข้าครอบงำ หยุดซะเถอะ”
ทิวจ้องหน้าหาญ แล้วทิวก็นึกถึงคอนที่สู้กับพระหาญวัยชราเข้ามา
“เอ็งคือหลวงพ่อเฒ่าคนนั้น ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้”
“เอ็งไม่ต้องสนใจว่าข้าคือใคร เอาเป็นว่า ฟ้าคืนวันเวลาให้ข้า เพื่อมาจัดการกับเอ็ง ตามข้ากลับไปรับโทษทัณฑ์ซะเถอะ”
“ข้าไม่ผิด ไอ้เพชรต่างหาก มันเป็นฆาตกร มันทำให้ลูกเมียข้าต้องตาย”
“เมียกับลูกเอ็งตายเพราะโมหะของเอ็ง เอ็งฝึกอาคมจนสติฟั่นเฟือน ไม่เกี่ยวกับเพชรหรือใครทั้งสิ้น”
ทิวคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีก
“ไม่จริง ข้าไม่ได้บ้า” ทิวพุ่งเข้าหาหาญอย่างรวดเร็ว “ย้ากกกก”
หาญสวมสนับเล็บเสือพร้อมสู้ แต่แล้วร่างทิวก็หายไป มาโผล่อีกทีด้านหลัง ขย้ำคอหาญ หาญเบี่ยงหลบ เสยคางทิวจนลอยกระเด็นไปด้วยสนับเล็บเสือ ทิวมีแผลเหวะหวะ แต่ก็สมานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว พุ่งกลับไปโจมตีหาญ
ทั้งสองคนปะทะกัน ทิวสู้อย่างบ้าคลั่ง ไม่เป็นกระบวนท่า
ทิวร่ายคาถาภาษาเขมร ดวงตากลายเป็นสีแดงเลือด ปรากฎเปลวไฟขึ้นในดวงตา ลูกไฟพุ่งเข้าใส่หาญ หาญหลบได้ทัน
“เอ็งบอกว่าฝึกมาตั้งหลายปี แต่ฝีมือเอ็งมีแค่นี้เหรอ”
ลูกไฟพุ่งใส่หาญอีกลูก หาญกลิ้งหลบได้อีก หาญตัดสินใจล่อทิวไปอีกทาง ทิวไล่ตาม

หาญวิ่งหนีไปตามลำธาร ทิวไล่มากระชั้น หาญวิ่งมาสุดทางเป็นหน้าผาขวางกั้นไว้ ด้านล่างเป็นน้ำตกไหลเชี่ยว หาญหันกลับมาเผชิญหน้ากับทิว
“ข้าจะควักหัวใจเอ็งออกมาเซ่นวิญญาณลูกเมียฆ่า”
“เข้ามาซิไอ้ทิว”
หาญแหวะเสื้อออก ว่าคาถาปลุกเสือเผ่น รอยสักเสือเผ่นที่หน้าอกเรืองแสงขึ้น หาญพุ่งเข้าหาทิว ทิวเพ่งมองมือตัวเองเป่ามนต์ภาษาเขมรเกิดเปลวไฟลุกขึ้นที่มือ สะบัดเข้าใส่หาญ ลำธารระเบิดเป็นทางยาว น้ำกระจาย หาญหลบได้หวุดหวิด พลิกกลับมาโจมตีทิว รัวหมัดที่สวมสนับเล็บเสือไม่ยั้งจนทิวกระอัก ช้ำใน ทิวโกรธ พุ่งเข้าสู้กับหาญอย่างบ้าคลั่ง หาญตั้งตัวไม่ทัน โดนทิวอัดกระเด็น
ทิวสะใจ คราวนี้เป่ามนต์ลงที่มือทั้งสองข้าง เกิดเปลวไฟลุกพรึ่บขึ้น สะบัดลูกไฟโจมตีใส่หาญอีก แต่หาญหลบได้อย่างฉิวเฉียด ทิวร่ายคาถาภาษาเขมรอีก ในแววตาทิวปรากฎเปลวไฟขึ้น เสียงคาถาภาษาเขมรกังวาน เมฆสีดำเคลื่อนตัวมาปกคลุมท้องฟ้า ทิวกางมือทั้งสองข้างออก เกิดลูกไฟขนาดใหญ่ลุกพรึ่บบนฝ่ามือทั้งสอง ค่อยๆ ยกลูกไฟทั้งสองลูกขึ้นสูงเหนือหัว หาญรู้ว่าทิวกำลังรวมพลังจึงตัดสินใจว่าคาถา
“พยัคโฆ พยัคฆา”
รอยสักเสือเผ่นเรืองแสงขึ้นอีก หาญทะยานเข้าหาทิวอย่างรวดเร็วดุจเสือตะปบเหยื่อ แต่แล้วร่างหาญก็หายไป กระโจนผลุบโผล่ตามจุดต่างๆ ทิวมองหา สับสน
ทันใดร่างหาญก็ปรากฎตรงหน้าทิว จับแขนทั้งสองข้างของทิวกระแทกกัน ทำให้ลูกไฟทั้งสองปะทะกันอย่างแรง เสียงระเบิดดังลั่น ทั้งสองคนร่างกระเด็นไปคนละทาง แต่ร่างกายทิวกลับติดไฟ ดิ้นทุรนทุราย
“อ๊ากก ร้อนๆ”
ทิวจุ่มตัวลงในน้ำ แต่กระแสน้ำกลับซัดทิวไปทางหน้าผา
ร่างทิวไหลไปกับน้ำกำลังจะตกหน้าผา หาญรีบกระโจนตามไปคว้ามือทิวเอาไว้
“จับมือข้าให้แน่นๆ”
หน้าทิวยังมีไฟลุกติดอยู่ ทิวยังแค้นหาญ
“ข้าไม่ยอมลงนรกคนเดียวหรอก”

ทิวจับแขนหาญแน่น แล้วกระชากให้หลุดไปด้วยกัน ร่างทั้งสองคนหล่นจากหน้าผาหายไปในผืนน้ำเบื้องล่าง

  ติดตาม "เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง" ตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น