เสือสมิง ตอนที่ 3
เมื่อภราดรเดินผ่านม่านควัน เขาเห็นบาเยงโบ กษัตริย์ของพุกามเมื่อ 800 ปีก่อน กำลังเดินมาที่บ่อน้ำร้อนพุร้อนที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ชะเวมะรัต มเหสีรอต้อนรับพร้อมนางกำนัล
“เชิญพ่ออยู่หัวเสด็จลงสรงเพคะ”
บาเยงโบชวน....
“เราหาได้อยากสรงน้ำคนเดียวไม่ เจ้าจงลงมาสรงด้วยเราเถิดชะเวมะรัตมเหสีข้า”
“แต่นี่เป็นบ่อแห่งบุญญาธิการของกษัตริย์นะเพคะ หม่อมฉันหาอาจเอื้อมไม่ มันผิดกฎมณเฑียรบาล”
”เราเป็นกษัตริย์กฎทุกอย่างเราเป็นคนกำหนดทั้งสิ้น เจ้าอย่าได้รอช้าเลยลงมาสรงน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันเถิด”
นางสนมถอดเสื้อคลุมของชเวมะรัตออก นางลงไปสรงน้ำเคียงข้างบาเยงโบ ห่างออกไปอิระวดีมองดูอยู่กับนางสนองพระโอษฐ์คนสนิท
“ดูสิเพคะ...พระองค์ทรงหลงนางชะเวมะรัตขนาดยอมให้สรงน้ำในบ่อบุญญาธิการด้วย ที่พระสนมจะเรียกให้สรงด้วยก็หาไม่”
“เจ้าไม่ต้องตอกย้ำ...นังชะเวมะรัตมันต้องใช้เสน่ห์ด้วยงะดินเดบิดาจอมขมังเวทของมัน พระองค์ถึงได้ลุ่มหลงมันขนาดนี้”
“แล้วพระสนมจะคิดการเช่นไรเพคะ”
“เรื่องนี้เราไม่ปล่อยไว้แน่”
อิระวดีแววตากร้าวอย่างริษยา
ระรินเดินหาภราดรอย่างแปลกใจ เพราะเมื่อควันหายไป เขาก็หายไปด้วย
“หมอคะ...หมอ...”
ไม่มีเสียงตอบรับ ประเดิมเข้ามาถาม
“มีอะไรหรือครับคุณระริน”
“หมอภราดรน่ะสิ...ไม่รู้หายไปไหน”
ประเดิมมองไปรอบๆ พลางร้องเรียก
“หมอ..หมอครับ...”
“ไปไหนของเขานะ”
“ผมว่าเราลองเดินตามหาแถวๆนี้ดีกว่า”
ระรินเห็นด้วย ทั้งคู่แยกกันตามหา
บริเวณต้นไม้ใหญ่ที่สมรตาย มีศาลเตี้ยๆ ที่ผุพังตั้งไว้ไม่ห่างกันนัก แม่หมอกับกินรีนำเครื่องเส้นมาวาง
“บูชาผีป่า ผีบรรพบุรุษซะ เอ็งจะได้ผ่อนบาปที่เอ็งได้กลืนเข้าไปจากการรักษาผู้คน” แม่หมอสั่ง
กินรียกมือไหว้ แม่หมอกล่าวคำสรรเสริญ
“ข้าแต่ผีป่าผีบรรพบุรุษ ละวิญญาณสัมภเวสีทั้งหลาย ข้าขอบมอบเครื่องเส้นไหว้เป็นบรรณาการต่อทุกท่านขอให้ท่านโปรดรับไปด้วยเกิด”
ไหว้เสร็จกินรีลุกขึ้น แล้วหันมาถาม
“ทำไมยายไม่อยากให้หมอภารดรมาที่หมู่บ้านเราจ๊ะ”
“เอ็งคงจะคิดว่ายายใจดำ ที่ไล่เข้าไปอย่างไม่มีเยื่อใย ใช่มั้ย...ยายจำเป็นต้องทำอย่างนั้น เขาเป็นคนทำให้หน้ากากผีฟ้าตกลงมาจากใบหน้าเอ็ง ก็เท่ากับว่า เขาคือลางร้าย ที่จะมาทำลายครอบครัว เขาไม่เหมาะที่จะมาที่นี่อีก”
“เขาอาจจะไม่ตั้งใจก็ได้นะยาย”
“ตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว มันเป็นไปอย่างที่ ปูย่าตาทวดของเราทำนายเอาไว้ เขาคือบุรุษผู้จะกลับมาทำลายล้างพวกเรา”
“แต่หนูไม่เชื่อเรื่องพวกนี้นะยาย มันจะเป็นไปได้อย่างไร เรื่องคำทำนาย เรื่องโชคลางพวกนี้ หนูดูแล้วรู้สึกว่าเขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง ไม่ได้ชั่วร้ายอะไร เขาอยากช่วยพวกเราด้วยซ้ำ”
“ถ้าเอ็งไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แล้วทำไมเอ็งถึงรับเป็นร่างทรงเจ้าแม่หน้าทองล่ะ เอ็งก็รู้อยู่กี่ใจนี่ว่า เวลาเจ้าแม่เข้ามาสิงร่างแล้วเป็นอย่างไร ไม่อย่างนั้นเอ็งจะรักษาคนเจ็บ คนป่วยได้หรือ”
“แต่เขา...”
แม่หมอขัดขึ้นมาน้ำเสียงเริ่มแข็ง
“เอ็งไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายคนนี้อีก เราเพิ่งพบเขาไม่นาน ลืมเขาไปได้นั่นแหละดี อย่าลืมว่าชั่วชีวิตนี้ เอ็งจะรักใครไม่ได้อีก”
“ยาย...”
กินรีเสียใจ แม่หมอยกมือขึ้นลูบศีรษะกินรีเบาๆอย่างปลอบโยน
“เชื่อยายเถอะ...ยายทำทุกอย่าง เพื่อปกป้องเอ็งกับน้องทั้งสองคนจริงๆ”
กินรีพยักหน้าอย่างยอมรับ แล้วเดินกลับบ้านไปกับแม่หมอ
ประเดิมกับระรินต่างตามหาภราดรมาตามชายป่า ต่างก็ช่วยกันร้องเรียก สักครู่ก็เห็นภราดรนอนหมดสติอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่
“หมอ...หมออยู่นั่น” ประเดิมร้องบอก
ระรินเข้าไปช่วยปฐมพยาบาล จนภราดรฟื้น
“ทำไมคุณหมอมานอนอยู่ตรงนี้ครับ” ประเดิมถามอย่างเป็นห่วง
“มีใครมาทำร้ายหรือเปล่า” ระรินกังวลเช่นกัน
“ไม่รู้สิ อยู่ดีๆผมก็วูบไปแล้ว..เอ่อ..ฝัน....” ภราดรยังงงๆ
“ฝันหรือ...แสดงว่าหมอคงง่วงนอนจัดเลยสิคะ..หอมฝันว่าอะไรหรือ..ฝันเห็นงูหรือเปล่า..เขาว่าจะเจอเนื้อคู่นะ”
ระรินพูดเล่นเข้าข้างตัวเอง ประเดิมแกล้งแหย่
“แต่ถ้าฝันเห็นแรดล่ะก็...เขาว่าต้องไปสะเดาะเคราะห์ 9 วัดเลยนะ”
ระรินทำตาเขียวใส่ประเดิม ภราดรยังงงอยู่กับความฝัน เพราะมันเหมือนจริงมาก
สมรักษ์นอนหลับอยู่ ขณะที่หินกับแก้วนั่งหลับอยู่ใกล้ๆ เมื่อจงใจผลักประตูเข้ามาทั้งสองก็ผวาตื่นขึ้นมาทันที จงใจเห็นร่างสมรักษ์บางส่วนถูกพันผ้าก๊อตเอาไว้ จนขาวโพลนเหมือนมัมมี่ ก็หัวเราะออกมาอย่างขำๆ
“ใครทำแผลให้เขาน่ะ”
หินกับแก้วจะยกมือ แต่รู้สึกเอะใจในสีหน้าของคนถาม ก็เลยลังเล ทั้งสองคนกึ่งยกมือและไม่อยากยก เพราะกลัวถูกล้อเลยหันไปมองตากันปริบๆ
“อ้าว...ทีนี้ทำดี แต่ไม่มีใครยอมรับแฮะ”
หินกับแก้วสบตากันอีกที แล้วคราวนี้ต่างคนต่างชิงกันยกมือ
“นั่น....ว่าแล้ว...”
เสียงหัวเราะของจงใจสะกิดให้สมรักษ์รู้สึกตัว ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างงง พยายามจะลุกขึ้น แต่ไม่ไหว เพราะขัดยอกไปทั้งตัว
“โอย...”
จงใจรีบบอก
“แก้วกับหินกลับไปก่อนเดี๋ยวใครจะสงสัย ทางนี้พี่จัดการเอง”
แก้วกับหินออกไป สมรักษ์ยังไม่ทันเห็น จงใจกดไหล่เขาเอาไว้ด้วยความห่วงใย
“อย่าเพิ่งลุกขึ้นสิคุณ สลบไปตั้งนาน ฟื้นมาใหม่ๆมันจะมึนหัว”
สมรักษ์นอนลงอย่างว่าง่าย มองดูจงใจที่กำลังมองตนอยู่อย่างมึนงง
“ผมอยู่ที่ไหนนี่”
“เอ่อ...คุณอยู่ที่หมู่บ้านกะเหรี่ยงน่ะ” จงใจตอบเลี่ยงๆ
สมรักษ์พยักหน้ารับรู้ พลางถอนหายใจยาว มองดูสภาพร่างกายของตนเองแล้วตกใจ ชายหนุ่มเอื้อมมือคลำไปตามร่างกาย
“คุณไม่เป็นอะไรมากนักหรอก แต่คนของฉันทำแผลไม่ค่อยเก่ง”
“ขอบคุณครับที่ช่วยผมไว้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องขอบคุณหรอก ถ้าใครเจอคุณในสภาพนั้นก็คงต้องช่วยเหมือนกันนั่นแหละ”
“สภาพไหน”
“คุณสลบอยู่ที่ริมลำธาร เลือดเต็มตัวไปหมด”
“ผมโดนเสือทำร้าย จนพลัดตกลงไปในห้วย ไม่คิดว่าจะโดนน้ำพัดมาถึงที่นี่”
พูดจบแล้วนึกขึ้นได้ สมรักษ์รีบคลำไปที่เอวของตนเอง พบว่าซองปืนว่างเปล่า
“ปืนผม...”
“เราไม่เจออะไรเลย นอกจากตัวคุณที่นอนสลบอยู่ริมห้วย ก็ช่วยกันหามมาไว้ที่นี่....หิวไหม”
สมรักษ์พยักหน้าอย่างเกรงใจ จงใจหยิบเอาย่ามที่สะพายไหล่ขึ้นมา ล้วงเอาห่อข้าวกับปลาแห้งออกมายื่นให้
“หวังว่าคุณคงจะกินได้”
สมรักษ์ยิ้มให้จงใจอย่างขอบคุณ พยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่ไม่ไหว ร้องโอยจนต้องล้มตัวลงไปนอนเหมือนเก่า
“อย่าพยายามลุกเลยค่ะ”
“ผมแค่จะลุกขึ้นกินข้าวที่คุณเอามาให้....รบกวนเอาข้าววางไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้ รอให้ผมมีแรง หายปวดก่อน เดี่ยวผมกินเอง”
“กว่าคุณจะหายคง อดตายก่อนพอดี...มาฉันป้อนให้ก็ได้”
จงใจหยิบเข้าเหนียวในห่อใบตองขึ้นมา แกะปลาแห้ง ติดข้าวเหนียวในมือแล้วยื่นส่งให้โดยไม่กล้ามองสบตาเขา มือจึงยื่นไปที่หู สมรักษ์ขำๆ
“เอ่อ...คุณครับ ผมไม่ได้ใช้หูกินข้าวนะครับ ผมใช้ปาก...”
จงใจหันไปดูพบว่าตนเองยื่นข้าวไปที่ใบหูของสมรักษ์แทนที่จะยื่นเข้าปาก ก็ยิ้มอายๆ ส่งเข้าปากเขาไป พลางบ่นพึมพำ
“ปากมัวแต่พูด ใช้หูกินก็ดีแล้ว”
สมรักษ์หัวเราะขำ พลางมองดูจงใจอย่างรู้สึกชอบ
“คุณนี่ดูเหมือนจะดุ แต่ก็น่ารักดีนะครับ”
จงใจหันมาทำตาขวางใส่กลบเกลื่อนความอาย
“จะกินข้าวหรือจะพูด”
“กินข้าวสิครับ สวยๆอย่างนี้ไม่น่าจะดุมากมายเลย...”
จงใจปั้นข้าวเหนียว กับปลาแห้ง ใส่ยัดเข้าปากสมรักษ์เป็นการปิดปาก เขารีบกินเข้าไป แต่จงใจก็ปั้นก้อนใหม่ยื่นยัดใส่ปากจนกินแทบไม่ทัน
“ช้าๆหน่อยสิคุณ จะฆ่าผมให้ตายหรือไง”
จงใจชะงักมือ แต่ทำตาแข็งใส่ เพราะไม่อยากให้เขารู้ว่าเขินมากที่อยู่ใกล้ๆเขา
“คนสวยๆไม่น่าใจร้ายนะ...”
จงใจมองดูเขาอย่างตรงๆ แล้วถอนหายใจออกมา เพราะรู้ว่าเขาแกล้งแหย่
“จะแหย่ชั้นไปถึงไหนนี่ เดี่ยวก็ให้กินเองซะเลยนี่”
สมรักษ์ยิ้ม
“ไม่แหย่ล่ะ ไหนป้อนมาสิ จะกินล่ะ อ้า...”
สมรักษ์แกล้งอ้าปาก แต่จงใจไวกว่า รีบยัดก้อนข้าวเหนียวเข้าใส่ปากเขาทันที จนชายหนุ่มร้องลั่น และหญิงสาวก็หัวเราะชอบใจที่เอาคืนเขาได้ ด้านนอกแก้วแอบมองสมรักษ์ผ่านช่องประตูเข้าไปหินสะกิด
“ไปเถอะพี่”
แก้วกับหินเดินจากไป
จ่าชิตสั่งให้ตำรวจลูกน้องเก็บข้าวของขึ้นรถ โดยมีผู้ใหญ่สนและเสนยืนดูอยู่ใกล้ๆ
“จ่าว่าหมวดสมรักษ์ยังมีชีวิตอยู่ไหม” ผู้ใหญ่สนถาม
“ผมมั่นใจว่าหมวดยังไม่ตาย”
เสนร้องเพ้อขึ้นมา
“ ตำรวจตายแล้ว...ตำรวจตายแล้ว...”
ผู้ใหญ่สนปราม
“เสน พูดอะไรอย่างนั้นละลูก”
“ตำรวจโดนเสือกัดตาย แม่หนูโดนเสือกัดตาย ทุกคนตายแล้ว...”
จ่าชิตยังคงมั่นใจ
“อย่าไปถือสาเสนเลยผู้ใหญ่”
ผู้ใหญ่สนดึงลูกชายมากอดไว้ มองลูกอย่างเห็นใจ
“ผมจะต้องตามล่าไอ้เสือตัวนี้ให้ได้”
“ยังไงๆ ผู้ใหญ่ก็อย่าเพิ่งผลีผลามละกัน ประสานงานกับเจ้าหน้าที่เขาด้วยล่ะ เสือตัวนี้มันทำร้ายคนไปแล้วสองคน มันไม่ใช่เสือธรรมดา แต่ว่ามันเป็นเสือกินคน ที่อาจจะฉลาดกว่าเสือตัวอื่นๆ”
“มันจะใช่เสือสมิงอย่างที่พม่าอองไชยพูดหรือเปล่า”
จ่าชิตรู้สึกขนลุกซู่ ในใจหวั่น
“ผมภาวนาอย่าให้เป็นอย่างนั้น....เอาเถอะเรื่องนั้นค่อยคิด แต่ตอนนี้ผมจะไปขอกำลังในเมืองช่วยกันออกติดตามหมวดก่อน”
ผู้ใหญ่พยักหน้าเห็นด้วย
พะอูนั่งอยู่บนก้อนหินใต้ต้นไม้ใหญ่ ใช้เท้ากระทุ้งน้ำแรงๆอย่างไม่พอใจ ใบหน้าที่อัปลักษณ์ของเด็กชายวัยสิบสี่ปีมีแววตาที่ดุดัน จนไม่เหมือนพะอู ผู้อ่อนโยนเวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้คน เสียงกิ่งไม้หักดังกร๊อบ พะอูหันขวับกลับไปมอง พบมะค่ากำลังยืนยิ้มเผล่อยู่บนตลิ่ง
“นั่นแน่...มาหลบอยู่ที่นี่เอง”
มะค่าก้าวกระโดดมาบนก้อนหินอย่างคล่องแคล่วว่องไว สีหน้าของพะอูเปลี่ยนจากเจ้าอารมณ์เมื่อครู่นี้ เป็นยิ้มแย้มขึ้นมาทันที
“ออกมาไม่ชวนกันเลย กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ”
พะอูส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เชื่อหรอก ไม่อย่างนั้นพะอูก็ชวนเราแล้วสิ”
พะอูหยุดยิ้มเมื่อนึกถึงภราดร แล้วทำสัญญาณมือบอก มะค่าพูดตาม...
“พะอูไม่ชอบหมอคนนั้น ที่มาหมู่บ้านเรา...เขาเป็นคนไม่ดี...เขาทำหน้ากากตก...หมู่บ้านเราจะวิบัติ”
พะอูพยักหน้ารับ
“แล้วพะอูรู้ได้ไงว่าเขาเป็นคนไม่ดี เขาเป็นหมอรักษาคน หมอทุกคนต้องเป็นคนดีสิ”
พะอูร้องโวยวาย เสียงดังอืออา สีหน้าเปลี่ยนไป ขณะที่ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่พอใจ เพื่อเป็นการคัดค้านความคิดของมะค่า
“อะไรนะ...พะอูเคยเห็นเขามาก่อน”
พะอูทำสัญญาณมืออธิบายให้ดู
“พะอูเคยเจอหมอเขาเมื่อไหร่ เขาเพิ่งจะมาหมู่บ้านของเรานี่”
พะอูส่ายหน้า พลางส่งเสียงอืออา คล้ายกับว่า บอกไม่ถูก แต่พยายามชี้ไปที่หน้าอกของตัวเอง
“อยู่ในใจอะไร หมายถึงพะอูรู้ด้วยใจอย่างนั้นหรือ”
พะอูรีบพยักหน้า มะค่าถอนหายใจยาวๆ พลางดูพะอูอย่างเวทนา
“พะอู กลัวเขาจะมาพาพี่กินรีไป...ไม่หรอก...พี่กินรีจะไม่ทิ้งพวกเราไปเด็ดขาด มะค่าก็เหมือนกัน มะค่าจะอยู่ที่นี่กับพะอูเป็นเพื่อนพะอูตลอดไป”
พะอูแสดงให้เห็นว่าใบหน้าเขาอัปลักษณ์ มะค่าร้องไห้ออกมาอย่างสงสาร
“ไม่หรอก...ความอัปลักษณ์มันแค่ภายนอก แต่ภายในจิตใจพะอูเป็นคนดี”
พะอูยื่นมือมาปาดน้ำตาที่หน้าของมะค่า พร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ ส่งเสียงอืออาอย่างปลอบประโลม มะค่ายิ้มออกมาทั้งๆที่น้ำตายังรื้นอยู่ คว้ามือของพะอูขึ้นมา
“เรากลับหมู่บ้านกันเถอะ มันจะค่ำแล้ว”
พะอูยิ้มได้ ทั้งสองพากันกลับไป
กินรีนั่งเหม่ออกไปข้างนอกอย่างเลื่อนลอย ใกล้ๆกันนั้น แม่หมอนั่งมวนใบพลูกับหมาก สายตาจับจ้องมองดูกริยาของหลานสาวด้วยความเป็นห่วง
พะอูและมะค่ามาถึง เห็นท่าทางของกินรีก็ชะงัก
“เกิดอะไรขึ้น”
มะค่าสงสัย
พะอูส่ายหน้า สายตามองดูพี่สาวอย่างไม่เข้าใจ ในท่าทีที่เปลี่ยนไป แม่หมอมองเห็นทั้งสองคนหยุดยืนอยู่ตรงนั้นก็ร้องถาม
“อ้าว....จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย”
“จ๊ะๆ”
มะค่ากับพะอู เดินไปนั่งใกล้ๆกับแม่หมอ
“เกิดอะไรขึ้นหรือยาย ทำไมพี่กินรี ท่าทางแปลกๆ” มะค่าสงสัย
“สนใจเรื่องคนอื่นทำไม ว่าแต่พวกเอ็งไปทำอะไรกันที่ไหน ถึงได้กลับบ้านเอาป่านนี้ แล้วเอ็ง อีมะค่า ไม่รู้จักเข้าบ้าน เข้าช่อง เดี่ยวพ่อแม่เอ็งก็ฟาดหลังลายหรอก”
มะค่างอนๆ
“ข้ากลับเรือนก็ได้ แล้วเจอกันนะพะอู”
มะค่าเดินลงจากเรือนไปอย่างขัดใจ แม่หมอหันมาทางพะอู มองดูสารรูปมอมแมมของหลานชายแล้วส่ายหน้า
“ไปซนที่ไหนมาละเอ็ง มอมแมมเชียว”
พะอูทำสัญญาณมือบอกยายว่าไปในป่ามา
“ไปในป่า นี่เอ็งไม่รู้เลยหรือว่าเขากำลังตามล่าเสือกันน่ะ มันอันตรายรู้มั้ย ทำไมถึงซนอย่างนี้”
กินรีหันมามองน้องชายอย่างเห็นใจ
“ยายอย่าดุพะอูมันเลย มันเป็นเด็กผู้ชาย มันก็ต้องซนเป็นธรรมดา”
“ยายไม่ดุมันไม่ได้หรอก ในป่านั่น มันมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดี ยายรู้...ยายไม่อยากให้พวกเอ็งเข้าไปเกี่ยวข้อง”
“แต่น้องคงไม่เข้าใจหรอก”
แม่หมอถอนใจด้วยความเป็นห่วง ในใจปิดบังอะไรไว้บางอย่าง
“เอ็งก็ช่วยดูพะอูมันหน่อย มันพูดไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นมา ใครก็อาจจะช่วยไม่ทัน ยายไม่อยากให้มันเจอเรื่องร้ายๆ เหมือนอดีตของมัน”
ในอดีต...แม่หมอถือกระชุเดินลงไปไปตักน้ำที่ลำธาร เสียงเด็กทารกร้องไห้จ้าขึ้นมา
“เสียงเด็กที่ไหน...”
แม่หมอหยิบกระชุที่ใส่น้ำจนเต็มแล้วขึ้นมาถือไว้ เดินกลับขึ้นมาจากลำห้วย สายตามองหาที่มาของเสียง พลางเดินตามไปเรื่อยๆ กระทั่งได้เห็นร่างทารกน้อยนอนจมกองเลือด ดิ้นอยู่ในห่อผ้า
“คุณพระช่วย !”
แม่หมอทิ้งกระชุที่ในมือ น้ำหกกระจาย วิ่งไปที่ใต้โคนไม้ ช้อนเด็กขึ้นมาอุ้มอย่างเวทนา
“หนูเอ้ย...ลูกใครละเนี่ย แล้วนี่พ่อแม่เอ็งอยู่ที่ไหน”
เด็กทารกเห็นเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล โชกชุ่มด้วยเลือดที่หลั่งไหลออกมา ที่ใบหน้านั้น มีรอยถูกทำร้าย จนแทบไม่เป็นหน้าผู้คน
เด็กทารกที่แม่หมอนำมารักษาอาการบาดเจ็บ คือพะอูที่มีใบหน้าอัปลักษณ์ในวันนี้...แม่หมอนั่งมองพะอูอย่างรักใคร่....
“ยายเลี้ยงเอ็งทั้งสองคนมาตั้งแต่เด็กๆ แม้พวกเอ็งจะไม่ใช่พี่น้องที่คลานตามกันมา แต่การที่เราได้มาเจอกันในชาตินี้ ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ยายว่าเป็นเพราะเรามีบุพเพกันมาตั้งแต่ชาติก่อน”
พะอูทำมือทำไม้ว่ารักยายมาก แม่หมอลูบศีรษะเขาอย่างเมตตา
“ยายก็รักเอ็งพะอู ชีวิตเอ็งมันน่าเวทนา ยายถึงไม่อยากให้เอ็งต้องพบกับอะไรอีก ยายจะพยายามทำทุกอย่าง เพื่อให้เอ็งสองพี่น้องได้มีชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
กินรีฟังแล้วแปลกใจ
“ยายหมายถึงอะไรจ๊ะ จะเกิดอะไรขึ้นกับพะอูกับหนูอย่างนั้นหรือ”
แม่หมอตัดสินใจที่จะไม่พูด
“ไม่มีอะไรหรอก ยายก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ยายแค่เป็นห่วงเอ็งทั้งสองคนเท่านั้น”
“การที่ยาย...เอ่อ...ห้ามคุณหมอ...”
“ยายห้ามไม่ให้หมอมาที่นี่อีก เพราะไม่อยากจะให้เกิดลางร้ายตามคำทำนาย ผู้ชายคนนั้น ไม่เหมาะกับที่นี่ เขาจะนำพาความตายมาให้คนที่นี่”
“แต่เขาเป็นหมอนะจ๊ะยาย”
“สำหรับคนอื่นเขาอาจเป็นหมอ แต่สำหรับเราเขาเป็นคนต้องคำสาป เหมือนกับเรา ที่ต้องชดใช้เวรกรรม ด้วยการกินบาปให้คนอื่นมาหลายชั่วอายุ”
“ยาย...” กินรีตกใจ
“เอาไว้สักวันหนึ่ง เอ็งจะเข้าใจ ว่าทำไมยายถึงห้ามไม่ให้เขามาที่นี่อีก”
“ยายกลัวว่า เขาเป็นหมอ แล้วเขาก็จะมารักษาชาวบ้านแทนที่จะให้เรารักษา ยายกลัวว่า ต่อไป ชาวบ้านเขาจะไม่เชื่อเราอีกใช่มั้ย”
แม่หมอโมโหที่กินรีพูดแบบนี้
“กินรี.... ยายไม่คิดเลยว่าเอ็งจะกล้าพูดคำนี้กับยาย เพราะผู้ชายคนหนึ่ง”
กินรีหน้าเสีย เพราะไม่เคยถูกยายดุมาก่อน
“เอ็งพูดอย่างนี้ เหมือนกับดูถูกตัวเอง เหมือนกับดูถูกสิ่งที่เอ็งทำลบหลู่เจ้าแม่ เอ็งคิดว่า เขาจะรักษาคนไข้ได้เหมือนอย่างเรามั้ย เขาเป็นหมอ ยายรู้ แต่ที่เรารักษาคนไข้ เราไม่ได้ใช้ยา แต่ว่าเราใช้ตัวเราเองไปชดใช้กรรมให้พวกเขา มันต่างกัน เพราะฉะนั้น อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก”
พะอูมองดูพี่สาวกับยายด้วยความสงสัยและตกใจ เพราะเกิดมาไม่เคยเห็นยายโมโหใครมาก่อน จึงสะกิดพี่สาวให้สงบคำพูด แล้วที่หน้าอกตนเอง และชี้ไปที่สมอง พลางทำสัญญาณมืออธิบาย แม่หมอพูดตาม
“เอ็งไม่ชอบหมอ...เอ็งรู้ด้วยใจ และสัมผัสของตนเอง...ดูสิ แม้แต่น้องที่พูดไม่ได้ ไม่เคยสนใจอะไรมาก่อน มัน
ยังรู้เลยว่า อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหมอคนนั้นมาที่นี่อีก”
“ยายกลัวว่า หนูจะรักเขา แล้วทิ้งยายไป ไม่ยอมเป็นร่างทรงอีกใช่มั้ย”
แม่หมอมองดูหลานสาวอย่างรักใคร่ สายตาที่ดุดันเมื่อครู่ลดลง
“ไม่ใช่หรอกลูก ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แต่การที่ร่างทรงไปรักใคร ก็จะทำให้จิตใจไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป ไม่สามารถรักษาใครได้อีก”
“มันซับซ้อนมากกว่านั้น เกินกว่าที่ยายจะอธิบายได้ เอาไว้สักวันเอ็งจะเข้าใจ ว่าทำไม ยายถึงไม่ให้หมอคนนั้น กลับมาที่หมู่บ้านนี้อีก”
พะอูกับกินรี มองดูแม่หมออย่างแปลกใจ สายตาของทั้งสองคนเต็มไปด้วยคำถาม แต่แม่หมอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
สมรักษ์กินข้าวอิ่ม จงใจเอายาให้กิน พลางบอก
“คุณนอนพักในนี้ก่อนนะ ห้ามออกไปไหนทั้งสิ้น”
“ตกลงผมเป็นคนป่วยหรือผู้ต้องหาครับเนี่ย”
“ถ้าคุณอยู่ที่นี่ คุณต้องเป็นทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
“เอ่อ...ผมแค่อยากจะขอบคุณ คุณพ่อ คุณแม่ของคุณ”
จงใจบอกความจริง
“ฉันจะพ่อและให้คนในหมู่บ้านนี้รู้ไม่ได้ว่า ฉันให้คุณหลบอยู่ที่นี่”
“ทำไม”
“เพื่อความปลอดภัยของคุณ...ไม่ต้องถามอะไรอีก แค่พาคุณมาฉันก็เสี่ยงมากพอแล้ว นอนซะแล้วอยู่เงียบๆ เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะเอาข้าวมาให้....ไป..หิน...แก้ว”
จงใจชวนหินกับแก้วออกไป สมรักษ์ได้แต่ถอนใจ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
ระริน มองภราดรอย่างเป็นห่วง ขณะที่ประเดิมขับรถกลับ
“เป็นยังไงบ้างคะหมอ”
“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ...ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง ผมนี่แย่จริงๆทำตัวให้เป็นภาระอยู่เรื่อยเลย”
ประเดิมรีบบอก
“เป็นภาระที่ไหนกันครับคุณหมอ แค่คุณหมอเสียสละมาอยู่ที่นี่มันก็เป็นบุญของชาวบ้านทุกคนอยู่แล้วครับ”
“ยกเว้นบ้านแม่หมอ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงห้ามไม่ให้ผมไปที่นั่นอีก”
“โอ๊ยคุณหมอ...อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ พวกมันกลัวว่าคุณหมอจะไปรักษาคนไข้แข่งกับมันสิคะ...พวกนี้น่ะมัน 18 มงกุฎทั้งนั้น พอเจอของจริงก็ต้องกลัวต้องกันท่าเป็นธรรมดาค่ะ”
ภราดรนิ่งไม่ตอบ แต่ในใจไม่ได้คิดอย่างระรินพูด
“วันนี้เชิญ คุณหมอทานข้าวเย็นที่บ้านระรินนะคะ...”
“อ๋อ...ได้สิครับ..เกรงใจจังเลยที่รับปากมาตั้งหลายครั้งแล้วไม่ได้ไปสักที”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ประเดิมสอดขึ้นมา
“ทานข้าวเสร็จ แล้วจะให้ผมไปรับไหมครับ”
“อ้าว...ไม่ไปด้วยกันหรือ ประเดิม”
ระรินขัดทันที
“จะไปทำไมเกะกะเปล่าๆ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จระรินมาส่งคุณหมอเองค่ะ”
“นั่นสินะ...เขาไม่ได้เชิญจะไปทำมั๊ย....ตามสบายครับหมอ ผมขอผักผ่อนดีกว่า”
ประเดิมบอกอย่างไม่ได้นึกอยากไปด้วยสักนิด
เสือทศ เสือดำ เสือเข้ม และเสือชินนั่งล้อมวงอยู่ด้วยกัน...
“ข้าไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมพ่อเสือถึงคิดแต่จะปล้นเสี่ยรงค์ คนอื่นมีเยอะแยะไปดันไม่ไปปล้น” เสือทศพูดขึ้นอย่างสงสัย
“ก็ในละแวกนี้เสี่ยรงค์รวยที่สุดมั้ง...ปล้นทีเดียวอยู่ไปได้เป็นสิบปี” เสือชินออกความเห็น
เสือทศครุ่นคิด
“ตอนแรกข้าก็คิดอย่างนั้น แต่มันก็ไม่น่าจะใช่...เหมือนกับว่ามันแค้นส่วนตัวกันมากกว่า”
“มันจะแค้นส่วนตัวอะไรกันพี่ทศ พ่อเสือแกรู้จักเสี่ยรงค์ซะที่ไหน...ฉันว่าไอ้ชินมันพูดถูก”
“บางทีมันอาจจะมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราไม่รู้ก็ได้”
เสือทศดื่มเหล้าต่ออย่างครุ่นคิด
แววต้มข้าวต้มอยู่ในครัว จงใจอยู่ข้างๆมองดูข้าวต้มอย่างกังวล
“สุกหรือยังน้าแวว”
“หนูจงใจจะเร่งไปถึงไหน เข้าเพิ่งจะแตกเม็ด” แววแปลกใจ
“ได้แล้วมั้ง...ป่านนี้พ่อเสือคงหิวไส้ขาดแล้ว”
“อีกแป๊บก็จะได้แล้วล่ะ...แต่น้าไม่เข้าใจจริงๆว่าพ่อเสือนึกยังไงถึงอยากกินข้าวต้ม”
จงใจอึกอักหาคำตอบ หินเดินเข้ามากับแก้วช่วยตอบ
“เห็นลุงเสือบ่นว่าปวดฟันเคี้ยวอะไรไม่ค่อยได้ เลยอยากกินข้าวต้มมั้ง”
จงใจรับมุก
“ชะ..ใช่...พ่อเสือปวดฟันน่ะ”
แววไม่สงสัย พอดีข้าวต้มสุก
“เอาล่ะใช้ได้แล้ว”
จงใจยิ้มออก
เสือทศ เสือชินเสือเข้ม และเสือดำยังคงดื่มเหล้าอยู่...
“พี่ทศ ฉันว่าถ้าเราปล้นไอ้เสี่ยรงค์มันได้นะ งานนี้พ่อเสือต้องชูพี่ขึ้นเป็นหัวหน้าแน่เลย” เสือชินยุ
“พวกเอ็งคิดอย่างนั้นหรือวะ” เสือทศสนใจ
“ฉันว่าจริงอย่างที่ไอ้ชินมันพูด ตอนที่เราจะแอบไปปล้นมันแล้วไอ้เข้มดันถูกลูกดอกอาบยาพิษ พ่อเสือไม่เห็นว่าอะไรพี่เลย”
“มันก็ใช่....เออ..เดี๋ยวมา”
เสือทศลุกเดินไปหลังบ้านจะปลดทุกข์เบา แล้วชะงักเมื่อเห็นแสงไฟจากตะเกียง ก็มองอย่างสงสัยพบจงใจถือชามข้าวและกับ เดินไปที่ยุ้งข้าวเก่า
“จงใจ....จะไปไหนหรือจ๊ะ...แน่ะ...มีข้าวด้วย”
จงใจหันมาเห็นเป็นเสือทศก็อึ้งไป
เสือสมิง ตอนที่ 3 (ต่อ)
จงใจเห็นเสือทศเดินมาใกล้ก็เครียด พยายามหาทางออก
“ว่าไงจ๊ะน้องจงใจ”
“เอ่อ...จะเอา...ข้าวไปให้หมาน่ะพี่ทศ พอดีพ่อเสือปวดฟันกินข้าวไม่หมด จงใจก็เลยจะเอาไปให้หมาแถวยุ้งข้าวเก่าโน่นน่ะ”
ก่อนเสือทศจะเดินมาถึง จงใจรีบเอากับข้าวทุกอย่างเทรวมกันลงในชามข้าว
“ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่ต้องหรอก แค่เอาข้าวให้หมาเอง พี่ทศไปกินเหล้าต่อเถอะ”
“ก็ได้...”
เสือทศเดินกลับไปที่วงเหล้าจงใจโล่งอก
เสี่ยรงค์เห็นระรินพาภราดรมาที่บ้าน จึงออกมาต้อนรับ
“สวัสดีครับคุณหมอภราดร” เสี่ยรงค์ทักทาย
ระรินแนะนำ
“นี่คุณพ่อของระรินค่ะ”
“สวัสดีครับ เสี่ยรงค์”
ภราดรไหว้แล้วมองไปรอบๆ เห็นว่ามีของโบราณอยู่รอบบ้าน เป็นการจัดวางและตกแต่งอย่างสวยงาม
“ท่าทางเสี่ยจะชอบสะสมของเก่านะครับ”
ระรินตอบแทนอย่างประชด
“เข้าเส้นเลยค่ะหมอ ที่ไหนมีของเก่า มีของที่ชอบตะเวนไปหามาจนได้ บางทีถึงกับลืมไปเลยว่ามีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง”
เสี่ยรงค์หัวเราะชอบใจ
“นี่ยังน้อยครับ...ผมยังเก็บไว้อีกตั้งเยอะ ...ไปทานข้าวกันดีกว่าผมให้คนจัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ไปค่ะหมอ...”
เสี่ยรงค์เดินนำไปที่ห้องทานอาหาร แล้วเดินผ่านตุ๊กตาไม้ที่ชาวพม่าเอามาขาย ภราดรสะดุดกึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาเรียก ทำให้ระรินพลอยสงสัยไปด้วย
“เป็นอะไรไปคะหมอ”
ภราดรจ้องไปที่ตุ๊กตาไม้ตัวนั้นราวมีมนต์สะกด ระรินสังเกตเห็น
“มองอะไรหรือคะ”
เสี่ยรงค์มองตาม
“อ๋อ...ตุ๊กตาของอาณาจักรพุกามน่ะครับ คุณหมอสนใจหรือ”
ภราดรรู้สึกตัว
“เอ่อ...ไม่รู้เหมือนกันครับ อยู่ดีๆก็นึกสะดุดใจขึ้นมา”
“โอ๊ย...ใครเห็นก็ต้องสะดุดครับ ของชิ้นนี้ อายุตั้ง 800 กว่าปีเห็นจะได้ ผมเพิ่งจะได้มาเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง เห็นว่าเป็นเทพของพวกเขาน่ะครับ”
ภราดรสังเกตเห็นว่าในมือยังมีสิ่งที่ขาดหายไป
“ที่มือขวาน่าจะมีอะไรหายไปนะครับ”
“แหม..คุณหมอนี่ช่างสังเกตนะครับ...อืม..ผมว่าน่าจะเป็นดาบ หรืออาวุธประจำกายอะไรสักอย่าง เหมือนกับว่าถูกดึงออกไปน่ะครับ...”
ระรินขัดขึ้นมาด้วยความรำคาญ แต่รักษามรรยาท
“จะทานข้าวกันได้หรือยังคะ...”
เสี่ยรงค์ยิ้มแล้วมองพยักหน้าให้ภราดรอย่างเชิญชวน
จงใจนำข้าวต้มที่ผสมกับข้าวลงไป วางตรงหน้าสมรักษ์
“ตกลงนี่มันของคนหรือของ...เอ่อ...สุนัขครับเนี่ย” สมรักษ์ถามขำๆ
จงใจอมยิ้ม แล้วกลบเกลื่อน
“เอาเถอะน่า...มีให้กินก็กินเถอะ กว่าฉันจะเอามาได้เนี่ยมันลำบากไม่ใช่เล่น...ฉันไปก่อนนะ”
จงใจจะลุกไป สมรักษ์ดึงแขนเอาไว้เบาๆ
“เดี๋ยวก่อนสิครับ...ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
“ฉันชื่อจงใจ”
“จงใจ...ชื่อแปลกดี ผมชื่อ...”
“สมรักษ์...เป็นตำรวจยศร้อยตำรวจโท” จงใจแทรก
“โอ้โห...ไม่เบานี่คุณ จำกันแม่นแบบนี้สนใจอะไรผมหรือเปล่า”
จงใจเขินหน้าแดง
“จะบ้าหรือไง...ฉันแค่ดูจากป้ายชื่อกับเครื่องแบบคุณก็รู้แล้วว่าคุณเป็นใคร...ฉันไปล่ะเดี๋ยวพ่อฉันจับได้...อย่าลืมกินยาล่ะ พรุ่งนี้จะมาหาใหม่...แล้วอย่าออกไปเพ่นพ่านเด็ดขาดนะ...ไปล่ะ”
จงใจลุกออกไป สมรักษ์มองตามยิ้มอย่างชอบพอ...แล้วก้มดูที่ชามข้าว
“เป็นหมาสักวันวะ...”
สมรักลงมือกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
กินรีนั่งเหม่อมองท้องฟ้าที่มืดมิดอยู่อย่างเหงาๆ พะอูเดินเข้ามาหาแล้วสังเกตเห็นกินรีนั่งเหม่อเศร้าเขานั่งลงข้างๆ
“ยังไม่นอนอีกหรือพะอู”
พะอูส่ายหน้าทำท่าบอกว่าไม่ง่วง
“พี่ก็ไม่ง่วง”
พะอูทำท่าถามว่าโกรธยายหรือ
“พี่ไม่ได้โกรธยายหรอก แต่พี่ไม่เข้าใจว่าทำไม...ยายชอบพูดอะไรก็ไม่รู้เหมือนกับว่ายายมีอะไรปกปิดเรา”
พะอูพยักหน้าเห็นด้วยแล้วบอกว่ายายรักพวกเรา กินรีพยักหน้า
“อืม...ใช่พี่ก็ว่ายายรักพวกเรา โดยเฉพาะพะอู พี่ว่ายายรักและเป็นห่วงพะอูมากกว่าพี่เสียอีก ....ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะพะอูอาภัพกว่าพี่มั้ง”
พะอูพอเข้าใจ แล้วทำท่าถามว่าชอบหมอภราดรหรือเปล่า กินรีหน้าแดง
“พะอูคิดเหมือนยายอีกแล้ว...ชอบหาว่าพี่ชอบหมอภราดร”
พะอูทำท่าถามต่อว่าแล้วชอบหรือเปล่าล่ะ
“พี่ชอบหมอภราดรเพราะว่าเขาเป็นคนดี เป็นคนที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และอีกอย่างพี่รู้สึกเหมือนว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน....แต่..พี่คงคิดไปเองมั้ง”
พะอูทำท่าบอกว่าเขาก็เหมือนกัน และรู้สึกว่าหมอภราดรเป็นคนไม่ดี
“พะอูก็รู้สึกเหมือนกันหรือ....เอาอีกแล้วไปว่าหมอเขาอีกแล้ว พี่ไม่อยากให้พะอูเอาความคิดที่อคติมาตัดสินอีกแล้ว...ไม่เอาละ ไปนอนดีกว่า”
กินรีลุกเข้าไปในบ้าน พะอูยังคงนั่งคิดไปเรื่อยๆคนเดียว
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ระรินเดินคุยกับภราดรมาที่หน้าบ้าน
“อาหารเป็นยังไงบ้างคะ”
“อร่อยมากครับ”
“อร่อย...แต่เห็นหมอทานนิดเดียวเอง”
“ผมเป็นคนทานน้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ”
“รักษาสุขภาพบ้างนะคะคุณหมอ เอาแต่รักษาคนอื่น”
ภราดรยิ้มรับความห่วงใยของระริน
“ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง...เอ่อ...คุณพ่อคุณคุยสนุกดีนะครับ”
“เหรอคะ...ระรินคิดว่าหมอจะเบื่อเสียด้วยซ้ำ”
“ไม่หรอกครับ ผมชอบฟังเรื่องของเก่า ผมรู้สึกสนใจเองรูปไม้แกะสลักของพุกามนั่นน่ะครับ...ว่าๆผมมาขอความรู้จากท่านได้ไหมครับ”
“ยินดีค่ะ...ระรินอยากให้หมอมาทุกวันเลย”
“ขอบคุณครับ”
ยังไม่ทันที่จะสนทนากันต่อ ประเดิมก็ขับรถมาจอดที่หน้าบ้าน ภราดรหันมาบอก...
“ประเดิมมาแล้ว ผมขอตัวนะครับ”
“เชิญค่ะ...พรุ่งนี้พบกันค่ะ”
ภราดรเดินไปขึ้นรถไป ระรินมองตามแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
เสี่ยรงค์นั่งดื่มกาแฟ พักผ่อนหลังอาหารที่ห้องรับรองพลางดูของโบราณอย่างมีความสุข ระรินเดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี
“แหม...วันนี้ทานข้าวอร่อยจริงๆ” เสียรงค์แหย่
“พ่อน่ะ....แหม...คนมันกำลังจะสมหวังนี่”
“คิดว่าคนนี้ใช่แล้วใช่ไหม”
ระรินตอบอย่างมั่นใจ
“แน่นอนค่ะ....หรือว่าพ่อไม่ชอบเขา”
“พ่อชอบเขานะ เขาชอบอะไรคล้ายๆพ่อ”
“โดยเฉพาะ เรื่องวัตถุโบราณ คร่ำครึ”
“ก็มีส่วน....แต่..เอ..พ่อรู้สึกว่าเขาจะสนใจรูปปั้นไม้แกะสลักนี่เป็นพิเศษนะ”
เสี่ยรงค์มองรูปปั้นที่ไม่มีดาบอย่างเสียดาย
“เสียดายที่ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่”
อองไชยเดินมาตามป่าทางขึ้นเขา เมื่อเลือกที่พักได้ จึงหยิบมีดดาบเล่มเล็กทำด้วยทองคำสวยงามออกมาจากสร้อยคอ บริกรรมคาถาอย่างสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยอาคม
เสียงคาถาอาคมของอองไชย แหวกผ่านอากาศมาเข้าหูงะดินเด ที่กำลังนั่งบริกรรมคาถาเช่นกัน งะดินเดลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“บังอาจนักไอ้พรานกระจอก...ไปจัดการมัน”
คนรูสองผัวเมียออกไปทันที งะดินเดพึมพำ
“ดูสิแค่ไอ้มีดเล่มกระจิ๋วของเอ็งจะต่อกรอะไรกับข้าได้”
ระหว่างที่อองไชยจัดที่นอน เขาได้ยินเสียงสวบสาบ จึงนิ่งฟังอย่างตั้งใจ คนรูลอบมาตามพุ่มไม้แม้จะด้วยความชำนาญแต่ก็ไม่พ้นโสตประสาทของอองไชย
คนรูเตรียมเอาใบไม้มาพันเพื่อจะใส่ลูกดอกอาบยาพิษ ทันใดมีเสียงเสือคำราม อองไชยรีบวิ่งขึ้นต้นไม้ใหญ่ไปอย่างรวดเร็วและชำนาญ
“มาเลย...ข้ากำลังรอแกอยู่”
คนรูทั้งสองคนได้ยินเสียงเสือและนึกหวั่น หันปรึกษากัน
“ท่านมาแล้วจะเอายังไงดี”
“ดูเหตุการณ์ไปก่อน”
คนรูยังคงแอบซุ่มดูอยู่ เมื่อเสียงเสือเงียบไป คนรูได้จังหวะเป่าลูกดอกอาบยาพิษใส่อองไชยทันที ทันใดอองไชยพลิ้วหลบลูกดอกแล้วยิงปืนใส่หน้าอกตัวเมียเต็มๆ เสียงมันกรี๊ดร้องลั่น
คนรูตัวเมียยังไม่ตายแต่บาดเจ็บสาหัส ตัวผู้พามุดหนีตามพุ่มไม้อย่างขลุกขลัก อองไชยโดดลงมาจากต้นไม้แล้วตามไป
“คิดว่าจะเล่นกับข้าได้ง่ายๆหรือ...”
อองไชยตามไปอย่างกระชั้น เขายิงปืนใส่คนรูแต่พลาดเป้า แล้วเขาก็ต้องหยุดนิ่งปล่อยให้คนรูหนีไปเพราะมีเสียงเสือคำรามขึ้นข้างหลัง อองไชยหันไปทางต้นเสียงอย่างช้าๆ ทันทีที่หันกลับมาเสือโคร่งร่างใหญ่ยืนประจันหน้ากับเขาพร้อมคำรามใส่เขาอย่างดุร้ายและพร้อมที่จะขย้ำเขาได้ทุกเมื่อ
อองไชยยิง เปรี้ยง...!!
เสือโคร่งกระโดดสวนลูกปืนเข้าไปหาอองไชย ลูกปืนไม่ระคายผิว เสือเข้าไปตะปบอองไชยที่หน้าอก แต่ก่อนจะถึงตัว มีรัศมีเป็นแสงเรืองออกมาเป็นม่านกำบังให้อองไชย เสือกระเด็นออกไปทำอะไรเขาไม่ได้ เสือลุกขึ้นแล้วคำรามก่อนที่จะหนีไป
ดาบเล่มเล็กที่คอของอองไชย คือที่มาของแสงกำบังนั้น เขากำดาบที่ห้อยคอ ใจฮึกเหิมแล้วรีบตามเสือไป
“คราวนี้เอ็งไม่รอดแน่...”
ภราดรนอนหลับอยู่บนเตียง ระหว่างนั้นเขาฝันว่ากำลังหนีบางอย่างมาที่ปางไม้ของเสี่ยรงค์ ระหว่างนั้นพบลูกน้องเสี่ยรงค์สองคน เขาตะโกนบอก
“หนีเร็ว...หนี...”
ไม่ทันที่ลูกน้องจะหนีเสือก็เข้ามาขย้ำลูกน้องสามคน คนหนึ่งบาดเจ็บ คนหนึ่งตาย แล้วลากคนหนึ่งไปต่อหน้าต่อตา
ภราดรร้องลั่นตกใจสุดขีด
“ไม่...”
เสือลากศพไป ภราดรเห็นด้านหลังว่าเสือกลายเป็นผู้หญิงเดินหายไปในความมืด ภราดรสะดุ้งตื่นหน้าซีดเหงื่อท่วมตัวหายใจหอบ รู้สึกว่าความฝันช่างเหมือนจริง!
คนรูตัวผู้พาตัวเมียมาที่ถ้ำอย่างทุลักทุเล งะดินเดกำลังนั่งสมาธิอยู่ แล้วลืมตาดูคนรูตัวเมียที่โชกไปด้วยเลือด
“ช่วยเมียข้าด้วย...” ตัวผู้ร้องบอก
“ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกัน...ฝีมือมันไม่เลวเลย...ต่อไปนี้ข้าคงจะประมาทใครไม่ได้อีกแล้ว...ถอยไป”
งะดินเดสั่งให้คนรูตัวผู้ถอยออกไป แล้วรักษาคนรูตัวเมียด้วยการยื่นใบหน้าอันน่าเกลียดไปจ่อที่ใบหน้าของตัวเมียแล้วใช้พลังดูดลำแสงบางอย่างออกมา แบบเดียวกับที่กินรีใช้รักษาคน ลำแสงออกจากตัวเมียหมด มันเริ่มรู้สึกตัว บาดแผลกลับหายสนิทไม่มีร่องรอย ตัวผู้ดีใจวิ่งเข้ามากอด
“แกรอดตายแล้ว...ขอบคุณนายท่าน..ขอบคุณมาก”
“ไปได้แล้ว”
สองผัวเมียทำตามคำสั่ง ทันทีที่สองผัวเมียออกไป งะดินเดทรุดลงแล้วสำรอกเอาเลือดสดๆออกมา
“พลังข้ายังไม่พออีกหรือนี่...”
วันใหม่...ที่อนามัยมีชาวบ้านมารออให้หมอรักษาอยู่หลายคน มีชาวกะเหรี่ยงที่ป่วยหนักมารออยู่ด้วย เดือนกำลังง่วนอยู่กับการจดบันทึกรายละเอียดของผู้ป่วย
“ลงชื่อเสร็จแล้วก็ไปให้พยาบาลเขาตรวจนะคะ”
เดือนบอกคนป่วย พลางชี้ไปที่ระริน ซึ่งกำลังนั่งเซ็งอยู่
“จะป่วยอะไรกันนักกันหนาตั้งแต่เช้าเชียว”
คนไข้ที่เดินมาหาหน้าเจื่อน เมื่อระรินพูดอย่างนั้น
“อ้าว...จะยืนอยู่ทำไมล่ะ นั่งลงสิ จะได้ตรวจให้เสร็จๆ เป็นอะไรมา”
“ไม่ค่อยสบายครับ สงสัยเป็นหวัด”
“อ้าว...เป็นหวัดก็ซื้อยาแก้หวัดมากินก็ได้นี่ ไม่เห็นจะต้องถ่อมาถึงอนามัยเลย”
เดือนละสายตาจากคนป่วยอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังลงทะเบียน หันไปมองด้วยสายตาที่ระอา แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไร ระรินตรวจคนไข้อย่างลวกๆ ด้วยการใช้สายตาสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้น เดินไปที่ตู้ยา จัดยาชุดหนึ่ง เอามาวางลงบนโต๊ะต่อหน้าคนไข้
“ยาเนี่ย กินวันสี่ครั้ง หลังอาหารนะ”
คนไข้งงๆ
“อ้าว...อะไรอีกล่ะ”
“ผมกินข้าววันละสองมื้อเองครับ แล้วที่เหลือทำยังไงดีครับ”
“จะกินข้าวกี่มื้อก็ได้ แต่ก่อนกินยาเนี่ย ให้กินอะไรลงท้องไปสักคำสองคำก่อนก็แล้ว เอาล่ะ ออกไปได้แล้ว”
คนไข้รับยาแล้วลุกออกไป คนไข้อีกคน เดินเข้าไปแทน เดือนมองไปยังกะเหรี่ยงสองสามีภรรยาที่นั่งป่วยอยู่ข้างนอกแล้วกวักมือเรียก
“สองคนนั้นเข้ามาได้แล้วจ๊ะ”
สามีชาวกะเหรี่ยงช่วยประคองภรรยาให้เดินเข้ามาในห้อง ระรินซึ่งกำลังจะถามอาการของคนไข้ที่นั่งลงตรงหน้า เหลือบสายตามาเห็นพอดี
“อุ้ย...นั่นไม่ได้นะเดือน พวกนี้เป็นกะเหรี่ยง เป็นคนเถื่อน ไม่มีบัตร ไม่รู้ว่าเป็นคนไทยหรือพม่า รักษาไม่ได้นะ เงินภาษีทุกบาทที่จ่ายค่ายาค่ารักษานี่เป็นของคนไทยนะ”
เดือนมองดูคนป่วยที่นั่งสั่นอยู่ข้างหน้าด้วยความสงสาร
“แต่เขาป่วยหนักนะเธอ จะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นได้อย่างไรล่ะ”
“มันเป็นเรื่องของคนต่างด้าว เธอก็บอกให้เขาไปคลินิกหมอที่ในตลาดสิ”
“ริน...”
“ทำตามที่ฉันบอกเถอะน่า ถึงเธอรับฉันก็ไม่ตรวจให้หรอก”
เดือนละล้าละลังไม่รู้จะทำอย่างไร สงสารคนป่วย แต่ก็ไม่กล้าหือกับระริน พอดีกับสายตาระรินมองเห็นภราดรเดินผ่านประตูรั้วหน้าสถานีอนามัยเข้ามาพอดี จึงรีบเดินมาที่กะเหรี่ยงสองสามีภรรยาด้วยท่าทีที่ผิดไปจากเดิม กลายเป็นนางพยาบาลผู้แสนดี เอาใจใส่คนไข้ขึ้นมาทันที
“ไหน...อาการเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ เงยหน้าขึ้นดูสิ ตายล่ะตัวร้อนมากๆเลย”
เดือนมองดูท่าทีของระรินกับคนไข้อย่างแปลกใจ เหมือนไม่เชื่อสายตาของตนเอง ภราดรเดินผ่านประตูห้องอนามัยเข้ามา เดือนหันไปมองดูก็เข้าใจทันที
“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง”
เดือนเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่งแอบยิ้มขำ ภราดรเดินเข้ามาที่ข้างโต๊ะของทั้งสอง มองดูคนป่วยที่รออยู่ด้านนอก และมองดูสองกะเหรี่ยงที่นั่งอยู่เบื้องหน้าที่ระรินกำลังดูแลอยู่
“ท่าทางไม่สู้ดีนะ เป็นไข้ป่าหรือเปล่า”
ระรินเงยหน้าขึ้นมา แสร้งทำเป็นเหมือนว่าเพิ่งเห็น
“สงสัยอยู่ค่ะ นี่ระรินกำลังตรวจดูอยู่ น่าสงสารจริงๆค่ะ ตัวร้อนมากๆเลย”
“ลุงพาภรรยานอนที่เตียงนั่นไป เดี๋ยวหมอดูให้”
กระเหรี่ยงพาเมียไปนอนที่เตียง ภราดรเตรียมเครื่องมือโดยมีระรินอยู่ช่วยอย่างใกล้ชิด ภราดรเดินมาตรวจอาการของกระเหรี่ยง ขณะเดียวกันนั้นลูกน้องของเสี่ยรงค์ กระหืดกระหอบเข้ามาแล้วบอกภราดร
“หมอครับ เสี่ยรงค์วิทยุมาบอกว่าเชิญคุณหมอที่ปางไม้หน่อยครับ”
ระรินแทรกมาทันที
“พ่อฉันเป็นอะไร”
“เสี่ยไม่ได้เป็นอะไรครับ แต่คนอื่นเอ่อ...”
ลูกน้องไม่กล้าพูด ภราดรนึกสังหรณ์ใจบางอย่าง
ลูกน้องคนหนึ่งถูกเสือกัดตายอยู่หลังที่พัก เบิ้มกับหัวหน้าคนงาน กันคนงานออกไปห่างๆ เสี่ยรงค์ดูอย่างพินิจ
“ผมคิดว่ามันต้องเป็นเสือ ตัวนั้นแน่” เบิ้มบอกอย่างมั่นใจ
หัวหน้าคนงานหันมาถามเสี่ยรงค์
“ทำยังไงดีนาย คนงานเสียขวัญกันหมดแล้ว”
“เพิ่มเงินเข้าไปอีก ใครมีปัญหายิงทิ้งให้หมด”
เบิ้มกับหัวหน้าคนงานรับรู้ ภราดร ระริน ประเดิมเดินเข้ามา
“มีอะไรหรือพ่อ...”
“เสือมันเข้ามาลากคนไปกินเมื่อคืน”
ภราดรมองคนที่ตายแล้วตกใจเพราะมันเป็นคนคนเดียวกันกับคนที่เขาเห็นในฝัน ภราดรหน้าซีด แล้วตั้งสติ
“แล้วคนที่บาดเจ็บล่ะครับ”
“เบิ้ม หัวหน้าคนงานแปลกใจว่าภราดรรู้ได้ยังไง”
“หมอรู้ได้ยังไง”
ระรินกับ ประเดิมรู้สึกแปลกใจเหมือนกัน ภราดรตัดสินใจไม่บอกความจริง
“เอ่อ...ผม...ผมเดาเอาน่ะ เหตุการณ์แบบนี้อย่างน้อยก็น่าจะมีคนเจ็บ”
เสี่ยรงค์เข้าใจแล้วสั่งเบิ้ม
“พาหมอไปดูไอ้นั่นซิ”
เบิ้มพา ภราดร ระรินและประเดิมไป หัวหน้าคนงานหันมาหาเสี่ยรงค์
“เราจะทำยังไงดีนาย”
“คงต้องจัดทีมไล่ล่ามัน แกมีมือดีๆไหม”
ไม่ทันที่เสี่ยรงค์กับหัวหน้าคนงานจะคุยกันต่อ อองไชยก็เข้ามา
“พวกเจ้ารับมือมันไม่ไหวหรอก”
เสี่ยรงค์หันมามองอย่างสงสัย
“แกเป็นใคร”
“คนที่จะมาช่วยเจ้าจับเสือตัวนี้ไง”
อองไชยบอกอย่างมั่นใจ เสี่ยรงค์สนใจเป็นอย่างมาก
จ่าชิตยังคงนำตำรวจหลายนายค้นหาสมรักษ์ ทั้งหมดเดินมาตามลำธาร
“นี่จ่า เราตามหามาไกลมากแล้วนะ จ่าคิดว่าหมวดจะมาถึงนี่เลยหรือ” จ่าคนหนึ่งถามขึ้น
“มันไม่แน่...บางทีหมวดอาจจะเดิน ไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายก็ได้”
จ่าคนนั้นหน้าเสีย
“อย่าบอกนะจ่าชิตว่า หมวดสมรักษ์หลงป่า”
“ผมไม่อยากคิด”
จ่าชิตก็คิดแบบเดียวกับจ่าคนนั้นแต่เก็บอาการ เขาภาวนาในใจว่าอย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย แล้วเดินนำหน้าต่อไป ทุกคนเดินตาม
ในชุมเสือ...ผู้คนแบกจอบเสียมออกไปทำไร่ จงใจยืนรอหินกับแก้วอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างกระวนกระวาย ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึง
“ทำไมมาช้ากันจัง”
“แม่น่ะสิ กว่าจะออกไปที่ไร่ได้...” แก้วซึ่งแต่งตัวทะมัดทะแมงเหมือนผู้ชายบ่น
“น้าแววไปไร่แล้วใช่ไหม...ดีล่ะ...เอางี้นะ แก้วไปดูหมวดสมรักษ์ก่อน พี่จะไปต้มข้าวต้ม หินไปดูต้นทางให้พี่เผื่อน้าแววกลับมา”
“ได้เลยลูกพี่”
ทั้งสามคนแยกกันไป
จ่าชิตเดินนำตำรวจมาตามลำธาร กระทั่งถึงจุดที่จงใจพบสมรักษ์ เห็นว่าร่มรื่นจึงสั่งพัก
“พักตรงนี้ก่อน”
ทุกคนแยกกันพัก หมู่คนหนึ่งเดินห่างออกไปร้องบอก...
“จ่า...จ่าชิต...มาดูนี่”
ทุกคนวิ่งไปตามเสียง สิ่งที่หมู่หยิบมาให้ดูคือปืนพกของสมรักษ์ จ่าชิตคว้ามาดู
“ไหนดูซิ...นี่มันปืนหมวดนี่”
จ่าชิตมองไปรอบๆอย่างมีความหวัง
สมรักษ์นอนไข้ขึ้นอยู่ในยุ้ง เขารู้สึกหนาว ห่างออกไปแก้วกำลังรีบเดินมาที่ยุ้ง ขณะเดียวกันนั้น เสือทศกับเสือชินก็กำลังเดินมาทางยุ้งข้าวเหมือนกัน เสือชินหันๆไปถามเสือทศ
“พี่จะออกไปนอกชุมอีกหรือ”
“เออสิวะ อยู่ในนี้น่าเบื่อจะตาย ใครอยากจะไปขุดดินทำไร่...ไป...ไปหาเหล้ากินแถวหมู่บ้านกระเหรี่ยงดีกว่า”
เสือชินพยักหน้าเอาด้วย ทั้งคู่เดินผ่านหน้ายุ้งข้าวไป...สมรักษ์ไอ เสียงดังลอดออกมา เสือทศหูไวหยุดกึก
“เสียงใครไอวะ...ดังมาจากในยุ้งนี่”
แก้วกำลังเดินมาพอดี ก็ชะงักแอบดู
“ซวยแล้วสิ”
เสือทศจะเดินเข้าไปในยุ้ง เสือชินถาม
“มีอะไรหรือพี่”
“ข้าว่าข้าได้ยินเสียงคนไอในนี้”
สมรักษ์ได้ยินเสียงคุยกันและกำลังเดินเข้ามาในยุ้ง เขาพยายามหาทางออก
เสือสมิง ตอนที่ 3 (ต่อ)
เสือทศเปิดประตูยุ้งเข้าไป เสือชินตาม ทั้งคู่มองไปรอบๆไม่เห็นใคร แล้วสะดุดตากับจานข้าวต้มของจงใจที่เอามาให้สมรักษ์กินเมื่อคืน เขาก้มหยิบมันขึ้นมาดูแล้วมองไปรอบๆ
“นี่มันจานข้าวที่จงใจเอามาให้หมานี่”
“ไม่เห็นมีใครเลยพี่ หรือว่าเสียงที่พี่ได้ยินเป็นเสียงหมาของจงใจ”
เสือทศยืมมองไปรอบๆขณะที่สมรักษ์เกาะอยู่บนขื่อ มองลงมาข้างล่างอย่างจำเสือทศได้ แก้วแอบดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอกอย่างอย่างลุ้นๆ
“ฉันช่วยไม่ได้จริงๆ...หมวด”
เสือทศกับเสือชินเห็นว่าไม่มีอะไรจึงเดินออกไป
“เสียเวลา...กินเหล้าหมดกู”
เมื่อสองเสือเดินลับไปแล้ว แก้วรีบวิ่งเข้าไปในยุ้ง แต่มองไม่เห็นใครจึงเรียกเบาๆ
“หมวด...หมวดอยู่ไหน”
ทันใดนั้น สมรักษ์ตกลงมาจากด้านบนลงบนกองฟางดังตุ๊บ แก้วหันไปด้วยความตกใจแล้วเข้าไปประคอง
“หมวด...เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ฉันไม่เป็นอะไรน้องชาย”
แก้วประคองให้นอนลง สมรักษ์คิดว่าเธอเป็นผู้ชาย แก้วเอามืออังที่หน้าผากเห็นว่าตัวร้อน
“ตายจริง...ตัวร้อนจี๋เลย”
สมรักษ์เริ่มหนาวสั่นกอดแก้วไว้ แก้วรู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก
บนเตาไฟที่ทำจากก้อนหินสามเส้า มีหม้อต้มข้าวต้มกำลังเดือดพล่าน ควันจากเตาพวยพุ่งโขมงไปทั้งครัว จงใจใบหน้ามอมแมมไปด้วยเขม่าควันไฟ กำลังนั่งพัดเตาอยู่ข้างๆอย่างตั้งใจ
ห่างไปไม่ไกล กลุ่มเด็กกำลังดูปลากัดที่กัดกันอย่างเมามัน หินซึ่งเฝ้าต้นทางอยู่หน้าบ้าน มองด้วยความสนใจแล้วตัดสินใจเดินเข้าไปร่วมวง ไม่นานนักแววเดินกลับมาในบ้าน
“แค่ต้มข้าวต้ม ทำไมมันยากยังงี้นะ...แต่ก็ไม่เลวนะเรานี่ก็มีฝีมือเหมือนกัน” จงใจบ่น
แววเดินมาหยุดหน้าประตูครัว มองดูอย่างสงสัยกึ่งขำ
“มันไม่ยากหรอก ถ้าเรารู้จักเข้าครัวบ่อยๆ”
จงใจตกใจและเจื่อนไปนิดหนึ่ง ก่อนที่จะปรับหน้าตาเป็นปกติ แววเดินมานั่งลงใกล้ๆ เขี่ยฟืนในเตาให้กระจายออกเล็กน้อย หยิบบางดุ้นออกมาดับทิ้งแล้ววางไว้ข้างเตา ไฟในเตาลุกโชนขึ้นมาทันที ควันที่ลอยฟุ้งไปทั่วเริ่มจางหายไป
“ก่อนอื่นเราต้องรู้จักติดไฟในเตาให้เป็นเสียก่อน ใส่ฟืนเข้าไปแน่นเกินไปมันจะไม่ติดไฟ แต่จะมีควันเยอะ เราก็ต้องเอาออกมาให้ในเตามันโล่ง อากาศถ่ายเทได้ ไฟมันจะลุกเต็มที่ ควันมันก็จะไม่มี”
จงใจมองดูแววอย่างรู้สึกทึ่ง
“น้าแววเก่งจัง”
“มันเป็นหน้าที่ของผู้หญิงอย่างเราที่จะต้องเรียนรู้ เวลาที่ออกเรือนไป ผู้ชายเขาจะได้ชื่นชม ว่าเราเป็นเมียที่ดี เป็นแม่บ้านที่ดี”
จงใจมองดูแววยิ้มนิดๆ แววหันมามองอย่างสงสัย
“มีอะไรหรือ”
“เปล่า...หนูก็คิดแค่คิดว่า ถ้าใครได้น้าแววไปเป็นเมีย คงจะมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว”
“แม่หม้ายอย่างน้า แค่พ่อเสือเมตตา ให้อยู่ในหมู่บ้าน คอยดูแลน้ากับเจ้าสองตัวนั่นเป็นอย่างดี แค่นี้น้าก็ดีใจแล้วล่ะ”
“แล้วน้าไม่คิดที่จะย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับพ่อหนูเหรอ”
แววหน้าแดงเล็กน้อย
“นี่มันไม่ใช่เรื่องของเด็กนะ”
ก่อนที่จะคุยกันต่อไปข้าวต้มในหม้อเดือดพลั่กๆ จนเกือบทะลักออกมา แววมองดูหม้อข้าวต้ม แล้วนึกขึ้นมาได้
“พ่อเสือยังไม่หายปวดฟันอีกหรือ”
จงใจเกือบสะดุ้ง เมื่อได้ยินคำถามหน้าตากระอักกระอ่วน
“พี่...พี่...พี่จงใจ เกิดเรื่องแล้ว...!”
แก้วตะโกนลั่นมาจากหน้าบ้าน ก่อนที่จะหน้าตื่นเข้ามาในครัว พอเห็นแม่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยก็ชะงักกึกด้วยความตกใจ
“อุ้ย...แม่...”
แววมองดูหน้าลูก แล้วหันมามองดูหน้าจงใจที่ตกตะลึงอยู่
“มีอะไร...ใครเป็นอะไร”
แก้วอึกอัก แววมองดูจงใจ สายตาค้นหาความจริง
จงใจ หิน แก้ว นั่งหน้าสลดอยู่ในยุ้งข้าว ขณะที่แววกำลังตรวจดูอาการของสมรักษ์อย่างกังวล ใบหน้าของสมรักษ์ซีดเผือดแทบไม่มีสีเลือด เขากระสับกระส่าย เริ่มเพ้อ ส่งเสียงเหมือนคนละเมอ อยู่ตลอดเวลา
“รู้มั้ย ว่าพวกเอ็งกำลังทำอะไร” แววถามอย่างหนักใจ
“น้าแวว ก็ช่วยดูเขาหน่อยสิ ไหนๆ เราก็ช่วยเขาแล้ว อยากจะให้ช่วยให้ตลอด” จงใจบอก
“แต่เขาเป็นตำรวจนะ รู้มั้ยว่าถ้าพ่อเสือรู้เข้า จะเกิดอะไรขึ้น”
“ถ้าน้าแววไม่พูด หินกับแก้วไม่พูด ใครจะไปรู้ละจ๊ะ”
แววทั้งกลัวและเป็นห่วงทุกคน
“คิดเหมือนเด็ก วันนี้อาจจะไม่รู้แต่ พวกเอ็งไม่มีทางที่จะปิดเขาไปได้ตลอดหรอก”
“เราจะเอาเขาไปส่งข้างนอก...เมื่อเขาหายดีแล้ว”
แววตกใจ
“พวกเอ็งกำลังคิดอะไรกันนี่...ปล่อยตำรวจคนนี้กลับออกไปอย่างนั้นหรือ เขารู้จักชุมของเราแล้ว แล้วถ้าวันนึงเขาย้อมกลับมาจับพ่อเสือล่ะ”
จงใจรู้สึกผิดไม่รู้จะหาทางออกยังไง
“น้าแวว...”
“จงใจ...หนูทำเรื่องใหญ่ เกินที่น้าจะรับไว้ไหวจริงๆ”
“น้าแววหนูขอร้องล่ะ อย่าบอกพ่อ อย่าบอกใครได้มั้ย ถ้าน้าไม่อยากให้ทุกคนเป็นอันตราย หนูก็จะพาเขาไปจากหมู่บ้าน”
แววหนักใจ
“แม่ ช่วยพี่จงใจสักครั้งเถอะนะจ๊ะ สงสารพี่จงใจเขาน่ะ” แก้วอ้อนวอน
“ใช่....ข้าจะไม่ดื้อกับแม่อีก ข้าสัญญา...” หินขอร้อง
แววมองดูเด็กทั้งสามที่นั่งน้ำตาไหลด้วยความเวทนา แล้วหันไปมองดูร่างของสมรักษ์ที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่อย่างครุ่นคิด ก่อนที่จะถอนหายใจยาว
“เอาเถอะ...ถือว่าข้าไม่รู้ ไม่เห็นเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
แววมองเมินไปด้านอื่น ไม่อยากเห็นน้ำตาของทุกคน
“ตำรวจคนนี้ ป่วยเป็นไข้ป่า แล้วแผลตามตัวก็อักเสบ เราต้องส่งเขาไปหาหมอ ไม่อย่างนั้น เขาไม่รอดแน่”
จงใจตกใจ
“แล้วทำอย่างไรดีล่ะน้าแวว พวกเราเข้าเมืองไม่ได้ด้วย”
แววนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
“ไอ้หิน เอ็งไปกับแม่แม่จะจัดยาหม้อให้เขาสักหม้อหนึ่ง เดี๋ยวแกเอามาให้เขากิน พอประทังไปก่อน คืนนี้ พอไม่มีคนแล้ว ค่อยเอาเขาขึ้นม้า ไปหาซะยาที่บ้านสาง ซะยาที่นั่นเขาเก่ง เขาช่วยรักษาได้แน่”
พูดจบแววก็เดินออกจากประตูกระท่อมไป หินรีบเดินตามแม่ออกไป ปล่อยให้จงใจกับแก้วนั่งอยู่ในกระท่อมทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน ต่างยิ้มมีความหวัง
บริเวณหมู่บ้านกระเหรี่ยงเป็นชุมชนแลกเปลี่ยนสินค้าชายแดน ตั้งอยู่ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน กฎหมายของไทยใช้ที่นี่ไม่ได้ จึงมีแต่คนเถื่อน และทหารรับจ้าง ชาวบ้านกระเหรี่ยงและพวกเผ่าอื่นแลกเปลี่ยนสินค้ากัน ขณะที่เสือทศกับเสือชินนั่งดื่มเหล้า ในร้านเพิงไม่ใหญ่นัก
“ข้าอยากจะเหมาฝิ่นที่นี่กลับไปขายจริงๆ” เสือทศพูดขึ้น ขณะที่มองไปรอบๆ
“เอาอย่างนั้นเลยหรือพี่ มันเสี่ยงนะ”
“เสี่ยงเพื่ออำนาจ เสี่ยงเพื่อเงินมันไม่คุ้มหรือไงวะ”
เสือชินเห็นด้วยแต่ยังติดที่เสือใจ
“แต่พ่อเสือคงไม่ยอมแน่”
“ก็อย่าให้รู้สิวะ วันหนึ่งพอร่ำรวยแล้วแกก็คงจะไม่ว่าอะไร ข้าก็จะถือโอกาส ขอจงใจแต่งงานซะที ข้ารอมานานแล้ว”
“ฉันขอให้พี่สมหวัง...เอ้า...ดื่ม”
ทั้งคู่ยกเหล้าดื่ม พลันสายตาไปพบกับจ่าชิตและตำรวจเดินมาแต่ไกล
“ไอ้จ่านั่น...”
เสือชินหันไปดู
“มันมากันถึงนี่เลยหรือ...เอาไงดีพี่”
“เฉยไว้...”
ทั้งสองเตรียมอาวุธประจำกายพร้อมรบอย่างช้าๆและแนบเนียน จ่าชิตกับตำรวจเดินสอบถามชาวบ้านกระเหรี่ยง ตำรวจบางคนแยกไปถามชาวบ้านคนอื่น พวกชาวบ้านส่ายหน้า แล้วทั้งหมดกับมารวมกัน จ่าชิตถามพรรคพวก
“ได้เรื่องไหม”
“ไม่ครับ พวกนี้บอกว่าไม่เคยเห็นตำรวจมาแถวนี้เลย”
จ่าชิตถอนใจ จ่าอีกคนมองไปที่ร้านเหล้าแล้วชวน
“ไม่เปรี้ยวปากบ้างหรือจ่า เติมอะไรหน่อยไหม”
จ่าชิตหันไปมองที่ร้านเหล้าที่ห่างออกไป เสือทศกับเสือชินเห็นจ่าชิตมองมาคิดว่ามองมาที่ทั้งสองเตรียมลุย แต่จ่าชิตส่ายหน้า
“ไม่ดีกว่า ที่นี่มันไม่ใช่เมืองเรา...กลับกันเถอะ”
จ่าชิตนำลูกน้องเดินกลับไป เสือทศโล่งใจ แล้วลุกมาที่ร้านค้าที่จ่าชิตมาถาม
“ตำรวจพวกนั้นมาทำไม”
“มาถามว่าเห็นตำรวจไทยบาดเจ็บมาแถวนี้บ้างไหม”
เสือทศแปลกใจ
“ตำรวจไทยบาดเจ็บหรือ...” เสือทศหันไปเห็นเครื่องประดับที่ขายอยู่ “ฉันเอาอันนี้อันหนึ่ง”
เสือทศซื้อกำไลหยกไปชิ้นหนึ่ง ตั้งใจจะเอาไปฝากจงใจ
จงใจชุบผ้าในมือลงในอ่างน้ำอุ่น แล้วบิดพอหมาด เอาขึ้นมาเช็ดใบหน้าให้กับสมรักษ์อย่างอ่อนโยน ใบหน้าของเขาขาวซีด ด้วยพิษไข้ป่าและความระบมจากบาดแผลตามร่างกาย แม้จะสมองมึนอยู่บ้าง แต่ก็เริ่มรู้สึกตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มมองดูมือที่ถือผ้า ไล่ตามแขนไปยังใบหน้าที่สวยงามและอ่อนโยนนั้นด้วยความรู้สึกที่ตื้นตัน
“ลำบากคุณอีกแล้ว...”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
สมรักษ์กวาดสายตามองไปยังทุกคนที่รายล้อมอยู่ หินและแก้ว ยิ้มให้
“ขอบคุณครับ”
" ค่อยยังชั่วแล้วสิคุณ” แววถาม
สมรักษ์พยักหน้า
“นี่คือน้าแวว ยาหม้อของน้าแวว ช่วยทำให้คุณฟื้นจากไข้ป่า” จงใจแนะนำ
สมรักษ์ยกมือขึ้นไหว้
“ขอบคุณมากครับ”
แววรับไหว้ด้วยสายตาที่เฉยเมยจนสมรักษ์รู้สึกสัมผัสได้
“ไม่เป็นไรหรอก คุณค่อยยังชั่วแล้ว เด็กๆพวกนี้จะพาคุณไปส่งที่หมู่บ้านสาง ที่นั่นมีซะยา ที่พอจะช่วยคุณได้”
สมรักษ์สงสัย
“ซะยา...คืออะไรครับ”
“ซะยาเป็นภาษาพม่าค่ะ น้าแวว เขาหมายถึงพวกหมอผี หมอยาน่ะ” จงใจอธิบาย
สมรักษ์นึกถึงใบหน้าของเสือทศ เขาคิดว่าต้องอยู่ในชุมเสือนี้แน่นอนจึงพยายามยื้อ
“ให้ผมพักที่นี่ต่ออีกสองสามวันไม่ได้หรือครับ”
“ไม่ได้...ฉันให้คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ” แววหันไปบอกลูก “หิน แก้ว ไปเตรียมม้าไป...แล้วอย่าให้ใครเห็นนะ”
แก้วยิ้มรับ
“รับรอง...เงียบที่สุด...ไปหิน”
สองพี่น้องออกไป จงใจหันมาบอกสมรักษ์
“ฉันกับน้องสองคนจะไปส่งคุณที่หมู่บ้านคืนนี้ ไปถึงที่นั่นแล้วคุณจะปลอดภัย”
“คืนนี้เลยหรือครับ”
“ใช่...คุณต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง”
สมรักษ์มองดูจงใจด้วยความสงสัย
“ทำไมครับ”
“เอ่อ...”
แววรีบแทรกเข้ามา
“ที่นี่เป็นชายแดนพม่า มีคนมากมาย ไม่ชอบตำรวจ”
สมรักษ์พูดอย่างรู้ทัน
“พวกเสือ พวกโจรก็ไม่ชอบตำรวจเหมือนกัน”
แววกับจงใจหน้าเจื่อนเก็บอาการ แววตัดบท
“พักผ่อนเอาแรงซะ...คืนนี้ฉันจะมารับ”
สมรักษ์นิ่งฟังแต่ยังไม่หายข้องใจ เขามองดูจงใจ เพื่อขอคำยืนยัน ใจพยักหน้าเห็นด้วยกับน้าแวว
ภราดรฉีดยาให้คนที่บาดเจ็บ ระรินพันแผลให้เสร็จพอดีเหมือนกัน ประเดิมเก็บข้าวของ
“ปลอดภัยแล้ว กินยาตามที่หมอบอกนะ แล้วให้เขาพักผ่อนมาก” ภราดรสั่งเบิ้ม
เบิ้มรับคำเดินนำหน้าระรินออกมานอกเต็นท์...อีกด้านหนึ่ง...เสี่ยงรงค์นั่งคุยกับอองไชย ทั้งคู่สนทนามาได้สักครู่หนึ่งแล้ว
“ข้าเจอเสือตัวนั้นเมื่อคืน มันไม่ใช่เสือธรรมดา มันคือเสือสมิงตัวที่ 11 ที่ข้ากำลังตามล่า” อองไชยเล่า
“แสดงว่าท่านอองไชยมีวิชาพอตัว” เสี่ยรงค์สนใจมาก
“แน่นอน...แต่เสือตัวเมื่อวานมันก็แก่กล้าน่าดู ถ้าไม่ได้ไอ้นี่ข้าคงเสร็จมันเหมือนกัน”
อองไชยเอาดาบด้ามเล็กที่ห้อยคอออกมาให้ดู เสี่ยรงค์สนใจและนึกว่าดาบแบบนี้เหมือนกับว่ามันน่าจะอยู่ที่ไหน...ภราดรเดินเข้ามากับระริน เสี่ยรงค์หันไปถาม
“เรียบร้อยแล้วหรือครับหมอ”
“ครับ...คนป่วยปลอดภัยแล้ว”
“ขอบคุณมากครับหมอ”
ระรินหันไปถามพ่อ
“แล้วเราจะจัดการกับเสือนี่ยังไงคะพ่อ”
เสี่ยรงค์แนะนำอองไชย
“ไม่ต้องห่วงพรานอองไชยจะช่วยเราปราบเสือเอง”
อองไชยยิ้มให้ทั้งคู่แล้วสะดุดตาที่ภราดร เขาเห็นประคำที่แม่หมอให้ที่คอของภราดร
“เจ้าไปเอาสร้อยนั้นมาจากไหน”
“อ๋อ...ผีฟ้าที่บ้านสางให้ข้ามา”
อองไชยนิ่งไม่พูดอะไร ในใจคิดอะไรบางอย่าง
เสือใจพ่นบุหรี่เป็นทางยาวอย่างครุ่นคิด เสือทศกับเสือชินนั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างๆ
“มีตำรวจบาดเจ็บมาหรือ...เป็นไปไม่ได้ มันบาดเจ็บจากอะไร ทำไมถึงมาคนเดียว”
“ฉันว่าจริง ท่าทางมันจะเป็นคนสำคัญด้วยไม่อย่างนั้นมันไม่ยกขบวนตามกันมามากมายหรอกพ่อ” เสือทศเล่า
“จริงพ่อเสือ” เสือชินเสริม
“มันคงไม่ได้เข้ามาในนี้นะ”
เสือทศส่ายหน้า
“โอ๊ย...พ่อคงยาก มันจะมีคาถาเปิดป่าได้ยังไง”
เสือใจรู้สึกติดใจสงสัยบางอย่าง
“ยกเว้นจะมีคนพามันเข้ามา...ช่างเถอะ...ไอ้ชินเอ็งไปเตรียมม้าให้เรียบร้อย ไป พรุ่งนี้เช้าข้าจะออกไปดูรอบๆหน่อย”
“ครับพ่อเสือ”
เสือชินลุกออกไป เสือทศถามถึงจงใจ
“จงใจล่ะพ่อ”
“ไม่รู้สิ...ข้าไม่เห็นหน้าทั้งวันเลย สงสัยขลุกอยู่กับนังแววมั้ง”
ไม่ทันขาดคำจงใจก็เดินเข้ามาพอดี
“นินทาอะไรจงใจหรือพ่อ”
“เปล่า...พี่ทศเขาถามถึงพ่อแค่บอกว่าน่าจะอยู่กับนังแววมัน”
“แน่นอนอยู่แล้ว วันๆฉันจะไปไหนล่ะ...พี่ทศมีอะไรหรือจ๊ะ”
ทศหยิบกำไลที่ซื้อจากหมู่บ้านกระเหรี่ยงออกมายื่นให้
“พี่ซื้อกำไลมาฝากจ้ะ...”
“สวยจังเลย...ขอบคุณพี่ทศมากนะ...จงใจไปก่อนนะ”
เสือใจสงสัย
“อ้าว...เพื่อจะมาจะออกไปไหนอีก นี่จะมืดค่ำอยู่แล้ว”
“ฉันมาเอาเนื้อที่ตากเอาไว้ จะไปทำกับข้าวบ้านน้าแวว”
จงใจเดินเข้าไปในบ้าน เสือทศมองตามตาเยิ้ม เสือใจเข้าใจดีว่าเสือทศคิดยังไงกับจงใจ
เสือชินตรงมาที่คอกม้า แล้วสั่งชาวบ้านที่ดูแลอยู่
“ดูม้าให้ ห้าตัว พรุ่งนี้พ่อเสือจะใช้”
ชาวบ้านสงสัย
“อ้าว...เมื่อกี้มาเอาไปสามตัว บอกว่าพ่อเสือใจใช้...อ๊ะ...มันยังไงกัน ได้...เดี๋ยวจัดให้”
เสือชินสงสัยขึ้นมาทันที...
ม้า 3 ตัวยืนตะคุ่มอยู่ท่ามกลางพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน หินกับแก้วยืนรออยู่ สมรักษ์เดินมากับจงใจและแวว เด็กทั้งสองก็ปรี่เข้ามาช่วยพยุงไปที่ม้า จงใจหน้าเศร้าสลด รู้สึกเหมือนตนเองขาดอะไรไปสักอย่าง แต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงอะไรออกมา เพราะกลัวแววจะจับได้ว่าชอบพอผู้ชายคนนี้
“พยุงเขาขึ้นมาไปเร็ว” แววหันไปสั่งลูก
หินกับแก้วช่วยกันดันให้สมรักษ์ขึ้นไปนั่งบนหลังม้า หินกระโดดขึ้นหลังม้าอีกตัว แก้วก็ดึงม้าอีกตัวมาทำท่าจะขึ้นขี่
“กลับกันได้แล้ว” แววสั่ง
แก้วหยุดชะงัก แปลกใจ
“อ้าว...แม่ไม่ให้ไปส่งคุณตำรวจเขาเหรอ”
จงใจนิ่งเงียบ มองดูสมรักษ์อย่างเป็นห่วง สมรักษ์มองมา ทั้งสองประสานสานตากัน
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
จงใจหันไปมองดูแวว เหมือนจะขอความเห็นใจ หินกับแก้วมองดูแม่ พอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“แต่เขาไม่รู้จักทางนะ”
แววเบือนหน้าไปทางอื่น พอมองออกว่า จงใจรู้สึกอย่างไรกับผู้ชายคนนี้ แล้วทำใจแข็ง
“ให้เขาขี่ม้าขึ้นไปตามต้นน้ำ ไปเรื่อยสักสิบกิโลเมตร ก็จะเห็นทางเดินในป่า ขี่ม้าไปตามทางนั้นน่ะ คุณก็จะถึงหมู่บ้านสางก่อนตะวันขึ้น”
แก้วมองดูสายตาของจงใจที่เหมือนจะร้องไห้ แล้วมองดูสภาพของสมรักษ์ในยามนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะขัดขึ้น
“แม่...แม่เป็นอะไรไปนี่ คุณเขาเจ็บหนักถึงขนาดนี้ ใจคอแม่จะปล่อยให้เขาขี่ม้าไปคนเดียวอย่างนั้นหรือ”
แววหันขวับกลับมาทันที หน้าเคร่งเครียด
“แล้วแกจะทำไง จะให้แม่ปล่อยให้พวกแกพาหนูจงใจไปเสี่ยงอันตรายกลางทางอย่างนั้นหรือ”
“ถ้าแม่ไม่อยากให้พี่จงใจไป ให้ข้ากับไอ้หินไปส่งคุณเขากลางทางก็ได้”
หินเห็นด้วย
“ใช่แม่ พวกข้าสัญญาเลยว่าจะไม่พูดอะไร ไปส่งเสร็จก็จะกลับมา”
“ใครไปส่ง หรือไปส่งแค่ไหน มันก็เหมือนกันนั่นแหละ พวกเอ็งไม่ใช่แม่ ไม่มีวันเข้าใจหรอก”
สมรักษ์ตัดบท
“อย่าเถียงกันเลยครับ ขอบคุณที่ทุกคนที่เป็นห่วง ผมไม่เป็นไรหรอก น้าแววพูดถูกแล้ว ผมไปเองได้ ผมถูกฝึกมาอย่างดี ผมไม่ตายง่ายๆหรอก”
สมรักษ์เอื้อมมือไปแตะมือของจงใจซึ่งจับบังเหียนม้าอยู่ เธอเงยหน้าขึ้นมองดูเขา แววตาห่วงใยฉายชัด แก้วมองดูภาพนั้น แล้วเบือนหน้ามองไปทางอื่นอย่างรู้สึกบาดตา
“ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะดูแลม้าตัวนี้อย่างดี จนกว่าเราจะได้เจอกันอีก ผมสัญญา...”
ขาดคำสมรักษ์ก็ใช้เท้ากระตุ้นม้าให้วิ่งเหยาะๆออกไปทันที จงใจกลั้นน้ำตาเอาไว้ต่อไปไม่ไหว ปล่อยให้มันพร่างพรูออกมาทันที แก้วมองลูกพี่ที่ร้องไห้ แล้วหันไปมองหน้าแม่ที่เจื่อนไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ สายตาของแก้วมองแม่อย่างขุ่นเคือง ก่อนที่จะมองตามหลังม้าของสมรักษ์ที่กำลังจะหายไปในความมืด ด้วยความรู้สึกห่วงใยเช่นเดียวกับจงใจ
“แม่...แม่อาจจะกลัวพี่จงใจได้รับอันตราย เพราะไปส่งเขา แต่ข้าไม่กลัวหรอก แม่พาพี่เขากลับหมู่บ้านเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วข้าจะกลับมา”
พูดจบ แก้ว ก็ตวัดปืนลูกซองขึ้นบ่า กระโดดขึ้นหลังม้า ควบตามสมรักษ์ไปทันทีท่ามกลางความตกตะลึงนึกไม่ถึงของทุกคน หินเห็นพี่สาวขี่ม้าออกไป ก็รู้สึกเป็นห่วง ขยับม้าจะตามไปด้วย แต่แววห้ามเอาไว้เสียก่อน
“หยุดนะไอ้หิน”
หินรั้งบังเหียนม้าเอาไว้ ด้วยความกลัวที่นำเสียงของแม่เปลี่ยนไป ดุดัน สั่นเครือ
“พี่แกทิ้งแม่ไปคนหนึ่งแล้ว แกยังจะติดทิ้งแม่ไปอีกคนใช่มั้ย”
หินหน้าเสีย
“เปล่าแม่...ข้าแค่เป็นห่วงไอ้แก้วมันน่ะ”
แววมองตามหลังม้าของลูกสาวที่ขี่ตามสมรักษ์หายไปในความมืด
“ห่วงคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ดีกว่า ว่าเราจะทำอย่างไรกันดี ไอ้แก้วหายไปอย่างนี้ ลุงเสือต้องสงสัยแน่ๆ”
แววหันมามองดูจงใจซึ่งยืนปาดน้ำตาอยู่ พลางถอนหายใจยาว ขณะที่ใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้
“น้าเป็นผู้หญิง น้ารู้ว่าหนูรู้สึกอย่างไร แต่น้าอยากจะเตือนหนูเอาไว้ เราเกิดมาเป็นลูกใคร และเขาเป็นใคร ทำงานอะไร หนูย่อมรู้ดีแก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
จงใจโผเข้าสู่อ้อมกอดของแวว เช็ดน้ำตากับหัวไหล่ของผู้ที่เลี้ยงดูตนเองมาตั้งแต่เล็ก ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“น้าแวว...หนูไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนี้เลย”
“ตัดใจเสียเถอะ ตั้งแต่ตอนนี้ ไม่เช่นนั้นหนูอาจจะต้องเสียใจมากกว่านี้”
หินมองดูแม่ที่กอดจงใจเอาไว้ ด้วยความรักใคร่เอ็นดูเหมือนลูกอีกคนหนึ่ง ก่อนที่จะพึมพำเบาๆทีเล่นทีจริง
“ทีข้าละไม่เห็นจะกอดอย่างนี้บ้างเลย...”
เสือทศยังคงนั่งดื่มเหล้ากับเสือใจที่หน้าบ้าน เสือใจเปรยๆ
“ไอ้ทศปีนี้เอ็งอายุเท่าไหร่แล้ว”
“24 ย่าง 25 พ่อ”
เสือใจคำนวณเวลา
“จงใจอายุ 18...ข้าอยู่นี่มา 20 ปีแล้วหรือ”
“มันเหมือนเมื่อไม่นานมานี้เองนะพ่อเสือ ฉันยังจำวันที่น้าจันทร์เสียได้เลย”
เสือทศถอนใจแต่ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ เสือชินก็เดินเข้ามาหน้าเครียด
“พ่อเสือ...พี่ทศ...ฉันว่าเกิดเรื่องแล้วล่ะ”
เสือใจ กับเสือทศสงสัย
เสือสมิง ตอนที่ 3 (ต่อ)
จงใจและหิน มองไปยังชายป่าที่อยู่ห่างออกไปขณะที่แววทรุดตัวลงนั่งร้องไห้
“ทำไมแกทำอย่างนี้...ไอ้แก้ว...ทำไมถึงทิ้งแม่ไปได้ลงคอ”
“น้าแวว...”
จงใจกับหินเข้าไปปลอบ
“อย่าคิดมากนะจ๊ะ เดี่ยวแก้วมันคงจะกลับมา มันไม่หนีน้าไปไหนหรอก”
“มันคงไม่คิดจะกลับมาอีกแล้ว สายตามันบอก น้ารู้ดี ไม่อย่างนั้นมันคงไม่ตัดสินใจตามเขาไปหรอก”
หินกอดแม่เอาไว้
“แก้วมันต้องกลับมาแม่ ข้ารู้ มันต้องกลับมา มันไม่ทิ้งข้า ไม่ทิ้งแม่ไปไหนหรอก”
สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้ จงใจรีบบอก
“เรากลับเข้าหมู่บ้านกันเถอะน้าแวว เดี่ยวมีคนมาพบเข้า มันจะไม่ดี”
ทั้งสามคนตัดสินใจกลับเข้าไปในหมู่บ้าน
แม่หมอนั่งบริกรรมคาถา อยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา ครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้น...
“ทุกอย่างมันควรยุติได้แล้ว”
แม่หมอหยิบย่ามเล็กๆที่วางอยู่ข้างๆผ้าคลุมผม ขึ้นมาสะพายคล้องไหล่ แล้วหยิบผ้าคลุมขึ้นมาคลุมศีรษะเอาไว้ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วหยิบไฟฉายมาถือไว้
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น กินรีกับพะอูนอนหลับสนิทอยู่ใกล้ๆกัน กินรีได้ยินเสียงใครบางคนก้องเข้ามาในหู
“ถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาแก้แค้นแล้ว...เจ้าต้องแก้แค้น...แก้แค้นให้สาสมกับที่มันทำกับพวกเรา...”
เสียงนั้นวนเวียนซ้ำซ้อนอยู่ในสมอง ราวกับว่ามีใครมากระซิบอยู่ใกล้ๆ กินรีสะดุ้งตื่นขึ้นแล้วลุกขึ้นจากที่นอน เสียงนั้นเงียบหายไป
“ผันไปหรือ...”
กินรีเดินไปรับลมที่หน้าต่าง เธอเห็นแม่หมอในชุดสีดำเดินออกจากบ้านไปในความมืด
“ยายเขาออกไปไหนของเขานะ ท่าทางลึกลับพิกล” กินรีมองอย่างสงสัย
ตะเกียงกระป๋องไม้ไผ่ถูกปักไว้รอบปางไม้เสี่ยรงค์ คนงานคอยระมัดระวัง อองไชยเดินดูทั่วๆ แล้วบริกรรมคาถา ก่อนจะเป่าพรวดไปรอบๆ แสงสีแดงกระจายไปรอบๆ เบิ้มกับเหล่าคนงานมองอย่างทึ่งๆ
“ห้ามทุกคนออกนอกเขตที่ข้าสะกดคาถาเอาไว้เด็ดขาด” อองไชยสั่ง
ทุกคนพยักหน้ารับ อองไชยจะเดินออกนอกเขต เบิ้มร้องทัก
“อ้าว...แล้วท่านจะไปไหน”
“ไปทำงาน”
อองไชยเดินหายเข้าไปในป่า...
ประเดิมจัดอาหารจากปิ่นโต ใส่จานให้ภราดรพลางชวนคุย
“หิวหรือยังครับหมอ...ดูสิวันนี้อาหารน่าทานทั้งนั้นเลย”
ภราดรเหม่อมองไปด้านนอก
“ที่นี่มีอะไรแปลกๆนะ...เดี๋ยวพิธีกรรมประหลาด นี่ยังมีเสือผีอีก”
“เขาเรียกเสือสมิงครับหมอ ว่ากันว่าจริงๆแล้วมันเป็นคนนี่แหละแต่ถึงเวลามันจะกลายเป็นเสือสมิงออกล่าเหยื่อ”
“ไม่รู้ว่าต่อไปจะเจออะไรอีก ไม่อยากเชื่อเลยว่า ผมมาที่นี่ไม่นาน ต้องพบกับอะไรแปลกๆหลายอย่าง เหมือนว่าที่นี่ไม่อยากจะต้อนรับผม”
“โธ่หมอ...ไม่มีใครคิดอย่างนั้นหรอกครับ คนที่นี่อยากมีหมอจะตาย แต่ไม่มีใครมาจนกระทั่งคุณหมอมานี่แหละครับ ไม่อย่างนั้นชาวบ้านก็คงรักษากับแม่หมอ ผีฟ้าอะไรนั่นไปจนตาย”
“มันก็แปลกที่เขารักษาชาวบ้านให้หายได้ ถ้าผมไม่เห็นกับตาคงไม่เชื่อ”
“ยังมีอีกหลายอย่างที่คุณหมอยังไม่รู้ครับ บางครั้งมันลึกลับซับซ้อนเกินกว่าเราจะเข้าถึงมัน”
ภราดรยิ้มนิดๆ
“จะเรียกมันว่าอะไรดีล่ะ...ศรัทธา...หรืองมงาย”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างแหละครับ แต่มันเป็นหน้าที่ มันเป็นธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานานแล้วครับ ผมได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว”
“ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า ยังมีหมู่บ้านอะไรที่ยัง...เป็นแบบนี้”
“เห็นคนรุ่นก่อนนะครับ เล่าว่า บรรพบุรุษของคนพวกนี้ อพยพมาจากเมืองพุกาม แล้วนำเอาความเชื่อเหล่านั้น มาถ่ายทอดให้ลูกหลานรุ่นต่อๆมา”
“แล้ว...ก็สืบทอดมาถึงกินรี...ผมอยากรู้จังว่าเขารักษากันได้ยังไง”
“ผมก็ไม่ทราบครับ ผมรู้แต่ว่า พวกร่างทรงเขาจะสืบทอดพิธีกรรมนี้กันในตระกูล เด็กคนนั้นคงจะเป็นลูกหลานยายแม่หมอคนนั้นมั้งครับ”
ภราดรพยักหน้าแล้วนิ่งไป ประเดิมมองดูกริยาของเขาอย่างแปลกใจ
“คุณหมอสนใจเด็กคนนั้นหรือครับ”
ภราดรรีบปฏิเสธ
“เปล่าๆ ผมแค่สงสัยเท่านั้นเอง”
ประเดิมยิ้มขำในท่าทางของหมอ เหมือนจะรู้ทันความคิด
“แต่เขาก็สวย น่ารักดีเหมือนกันนะครับ เพียงแต่ดูน่ากลัวไปหน่อย”
ภราดร รีบตักอาหารเข้าปาก ชิม
“อืมๆ...นั่งลงทานด้วยกันสิ ฝีมือใครทำเนี่ย อร่อยดีเหมือนกัน”
“ฝีมือแม่ผมเองครับ”
ประเดิมยิ้มๆ รู้ว่าภราดรกลบเกลื่อน เขาดูออกว่าหมอจะชอบกินรี แต่ไม่ถามอะไรอีก
แม่หมอเดินเข้าไปในป่า เสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นจากด้านหลัง จึงหันไปมองหาความผิดปกติ กินรีที่แอบตามมา หันหลังหลบแนบติดกับโคนต้นไม้ใหญ่
ขณะเดียวกันนั้นเสียงนกแสกร้องดังขึ้น กินรีสะดุ้งเฮือก รีบเอามือขึ้นมาปิดปากของตนเองเอาไว้ หวุดหวิดที่จะกรีดร้องออกไป แม่หมอเงยหน้าขึ้นไปดูนกแสกตัวนั้นด้วยสายตาประหลาดๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันหลังกลับ เดินขึ้นเขาต่อไป
กินรีถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นร่างของแม่หมอ ค่อยๆเดินขึ้นเขา
“ไอ้นกบ้าเอ๊ย...”
หญิงสาวชะโงกออกมามอง เห็นแม่หมอเดินขึ้นไปตามเส้นทางบนไหล่เขาจนลับตา
“ยายเขาจะไปที่ไหนของเขานะ”
กินรีแอบตามขึ้นไปอย่างเงียบๆ
จงใจ แวว และหิน เดินจูงม้าเข้าไปในหมู่บ้าน แล้วต่างก็ชะงัก เมื่อเห็นว่าชาวชุมโจร ออกมายืนแถวเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ตรงซุ้มประตูเข้าหมู่บ้าน ทุกคนถือคบเพลิงสว่างไสว แต่ที่เห็นเด่นชัดกว่าใคร ก็คือเสือใจ ทีท่าทางเคร่งขรึม เสือทศ เสือชิน เสือเข้ม เสือดำ
“ข้าว่ามันมีอะไรผิดปกติแล้วล่ะ” หินหวั่นๆ
แววหันไปบอกจงใจ
“สงสัยพ่อหนูคงรู้แล้วละว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี่ยวหนูรับผิดชอบเอง ทุกคนไม่ต้องพูดอะไร”
จงใจเดินนำ มองดูท่าทีของพ่อ แล้วตีหน้าตายเดินเข้าไปถาม
“มีอะไรกันหรือจ๊ะพ่อ ทำไมยกคนออกมามากมายอย่างนี้”
เสือใจมองดูลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ก่อนที่จะกวาดสายตามายังแววกับหิน สองแม่ลูกรีบหลับสายตาอย่างมีพิรุธทันที
“เกิดอะไรขึ้น” เสือใจถามเสียงเข้ม
จงใจย้อนถาม
“นั่นสิ เกิดอะไรขึ้น มาชุมนุมอะไรกันกลางดึกแบบนี้”
เสือทศทำท่าจะขยับออกมาข้างหน้า เสือใจยกมือกันเอาไว้ พร้อมกับปรามด้วยสายตา
“พ่อว่า ลูกลองถามตัวเองดีกว่ามั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือลูกมีอะไรปิดบังพ่ออยู่อีก”
“ปิดบังอะไร ใครมาฟ้องอะไรพ่ออย่างนั้นหรือ”
จงใจมองไปยังทุกคนด้วยสายตาที่เอาเรื่อง ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่เสือทศ
“พี่ทศเหรอ”
เสือทศขยับตัวอย่างอึดอัด หันไปมองดูเสือใจเพื่อขอให้ออกหน้าแทน
“ใครจะฟ้องพ่อ หรือไม่ ไม่สำคัญ แต่ว่าพ่ออยากรู้ว่า เกิดอะไรขึ้น ลูกพาใครเข้ามาในหมู่บ้าน โดยที่ไม่บอกพ่ออย่างนั้นหรือ”
“หนูไม่ได้เอาใครเข้ามา...”
“แล้วถ้าอย่างนั้น วันนี้ นังแววมันต้มยาไปให้ใคร ลูกเอาเสื้อผ้าพ่อไปให้ใคร เอาข้าวไปให้ใคร...และคนที่ลูกส่งออกไปจากหมู่บ้านคือใคร”
จงใจนิ่งเงียบ เพราะรู้ดีว่าคงจะโกหกพ่อต่อไปไม่ได้เสือใจหันไปสั่งลูกน้อง
“ไอ้ชิน ไอ้ดำ เอ็งจับตัวไอ้หินกับนังแววไปขังไว้ก่อน”
เสือชินกับเสือดำจะเข้าไปควบคุมตัวแววกับหิน จงใจรีบเข้ามาขวางทันที
“พ่อทำอย่างนี้ ไม่ได้นะ น้าแววกับหินไม่เกี่ยว”
เสือใจมองดูลูกสาวแล้วสั่งหน้านิ่ง
“ไอ้ทศ เอ็งพาคนของเรา ตามไปจับไอ้แก้วกับไอ้คนนั้นกลับมาให้ได้”
“ครับพ่อ”
เสือทศรีบหันไปทางลูกสมุนโจรที่ยืนเรียงรายอยู่ตรงนั้น แล้วออกคำสั่ง
“พวกเอ็ง 5 คนไปกับข้า”
ขาดคำเสือทศก็หันหลังกลับ เดินออกจากกลุ่มไปโดยมีลูกสมุนห้าคนติดตามออกไปด้วย จงใจปราดเข้ามาเกาะแขนพ่อเอาไว้
“พ่อ...อย่าทำแบบนี้ได้มั้ย ข้าปล่อยพวกเขาไปเอง พ่อจะลงโทษอะไรก็ลงโทษข้าคนเดียวสิ”
เสือชินกับเสือดำ รีบเข้าควบคุมตัวแววกับหินเอาไว้ ซึ่งทั้งสองคนก็ยอมจำนนแต่โดยดี เสือใจมองดูแววด้วยสายตาที่ผิดหวัง
“ข้าไว้ใจเอ็งนะนังแวว เอ็งไม่น่าจะทำแบบนี้กับข้า”
แววเสียใจ
“ข้าขอโทษ...แต่พี่ปล่อยลูกข้าไปได้มั้ย มันยังเด็กอยู่”
เสือใจมองดูหิน แล้วนิ่งอึ้ง จงใจพูดขึ้น
“ถ้าพ่อจะจับน้าแววกับหิน พ่อก็ต้องเอาตัวข้าไปขังรวมกับพวกเขาด้วยเหมือนกัน”
“เอ็งอย่ามาบังคับพ่อนะ”
“ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อพ่ออยากจับพวกเขาไปขังมากนักก็ ข้าเป็นคนทำผิดเอง พวกเขาไม่รู้เรื่อง ถ้าจะเอาผิด พ่อก็ต้องจับข้าไปด้วย”
เสือใจหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นมาทันที เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร เสือชินกับเสือดำได้แต่มองดูทั้งสองฝ่ายสลับไปมา จะจับลูกสาวหัวหน้าไปขังด้วยก็ใช่ที่ ดีไม่ดีจะกินลูกปืนเอาเปล่าๆ เสือดำกระซิบกับเสือชิน
“เอาไงดีวะ”
เสือชินฉุนๆ
“ข้าจะรู้มั้ยล่ะ ถามหัวหน้าดูสิ”
เสือดำหันไปถามเสือใจ
“เอาอย่างไรดีครับ พ่อเสือ จะจับ หรือจะปล่อย”
เสือใจมองดูลูกสาวอย่างหงุดหงิด ที่ใช้ไม้นี้มาบีบเขาให้จนตรอก สุดท้ายก็ตัดสินใจ
“จับ! จับไปขังทั้งหมดเลย”
ทุกคนตกใจ จงใจร้องออกมาด้วยความผิดหวังกิริยางอนๆ
“พ่ออ่ะ...!”
แม่หมอเดินมาหยุดบนเขา แล้วท่องคาถา เบื่องหน้าจึงปรากฏปากถ้ำที่งะดินเดใช้อาคมบดบังจากคนภายนอก กินรีแอบหลบหลังโขดหินมองดูอย่างอัศจรรย์ใจ ทันใดนั้นเสียงคนรูร้องคำรามดังลั่นมาจากด้านใน
“โหวว....”
คนรูค่อยๆคลานออกมา แล้วชันกายยืนขึ้นตรงหน้าแม่หมอ กินรีมองอย่างตะลึง นึกไม่ถึงว่าจะยังมีคนครึ่งสัตว์ที่น่ากลัวแบบนี้หลงเหลืออยู่ในป่า คนรูแยกเขี้ยว คำรามลั่น จะปรี่เข้ามาหาแม่หมอ ทันใดนั้นเสียงงะดินเดตวาดลั่น
“ถอยไป!”
คนรูร้องงี๊ดๆ เชื่องเหมือนแมว มันหดตัว หดหัวลง ก่อนที่จะรีบคลานไปซุกอยู่มุมหนึ่งของถ้ำด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังไม่วายมองมาที่แม่หมอด้วยสายตาที่ประสงค์ร้าย ร่างที่ผอมชะลูดเหมือนซากศพของงะดินเด เดินออกมาจากเงามืดภายในถ้ำ แม่หมอรีบคุกเข่าลงก้มกราบทันที
“ในที่สุด เอ็งก็ขึ้นมาหาข้าจนได้ หรือตอนนี้ เอ็งกำลังจะยอมรับความจริง และเลิกต่อต้านข้าเสียที”
แม่หมอเงยหน้าขึ้นมอง
“หลานไม่เคยคิดต่อต้านท่าน”
“ไม่ต่อต้านข้าเรอะ ...แต่พวกเอ็ง กี่รุ่นๆ มาแล้ว ก็ไม่เคยคิดที่จะพาข้าออกไปจากที่นี่”
“หลานทำไม่ได้ หลานไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอย่างไร”
กินรีซึ่งซ่อนตัวแอบดูอยู่หลังก้อนหินมองอย่างสงสัย เธอพึมพำเบาๆ
“ทำไมยายต้องเรียกตัวเองว่าหลานด้วย”
“เอ็งก็รู้ ว่าร่างทรงของลูกสาวข้า มันสามารถที่จะช่วยเอาตัวข้า ออกไปจากถ้ำนี่ได้” งะดินเดเกรี้ยวกราดขึ้น “แต่เอ็งก็ไม่เคยคิดที่จะกล้ำกรายขึ้นมาหาข้า แม้แต่สักครั้งเดียว”
“แต่หลานไม่ได้เป็นร่างทรงมานานแล้ว”
“โกหก !...เอ็งกล้าโกหกข้าเชียวหรือ”
ร่างผอมชะลูด รุงรังไปด้วยผมเผ้าหนวดเคราที่ยุ่งเหยิงสกปรก ก้าวเท้าออกมาสู่แสงจันทร์ด้วยความโมโห เผยให้เห็นหน้าตาที่น่าเกลียดราวกับซากศพแห้งกรังที่ตายมาแล้วนับร้อยๆปี แม่หมอรีบคลานถอยหลังกรูดด้วยความกลัวและตกใจ ประกายไฟลุกพรึ่บขึ้นมาทันทีในช่องระหว่างกลางแม่หมอกับงะดินเด ร่างนั้นรีบชักเท้ากลับด้วยความตกใจ กินรีรีบโผล่ออกมาจากหลังโขดหินด้วยความเป็นห่วงแม่หมอ
“ยาย...!!”
แม่หมอหันมามองดูกินรีด้วยความตกใจ นึกไม่ถึงว่าเธอจะตามมาถึงที่นี่
“อย่าเข้ามาลูก หยุดแค่ตรงนั้น อย่าเข้ามาเด็ดขาด”
กินรีหยุดชะงักเท้า ละล้าละลัง
“แต่ยาย...”
“ยายไม่เป็นไร เขาทำอะไรยายไม่ได้หรอก”
งะดินเดหันมามองดูกินรีอย่างตะลึงงัน ยืนนิ่งขึงเหมือนถูกสาป สักครู่ก็ค่อยๆทรุดกายลงคุกเข่าลงกับพื้น ตีอกชกหัว พลางกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวนด้วยความยินดีและอาดูร ก่อนที่จะเงยหน้าที่นองไปด้วยน้ำตามองมายังหญิงสาว
“ชะเวมะรัต...ชะเวมะรัต...ลูกพ่อ...”
กินรีมองอย่างไม่เข้าใจ
ภราดรยืนรับลมอยู่ที่ระเบียงเหม่อมองไปในความมืด ลมเย็นพัดมาสัมผัสวูบหนึ่ง ทันใดนั้น ชะเวมะรัตปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง
“ในที่สุดเราก็มาพบกันจนได้พ่ออยู่หัวบาเยงโบ”
ภราดรสะดุ้ง หันไปมอง...
“กินรี...นี่เธอทำไมถึงแต่ตัวอย่างนี้ ...”
“ข้าหาใช่หญิงกินรีที่ท่านอ้างไม่ ข้าคือชะเวมะรัต มเหสีของพ่ออยู่หัว...”
ภราดรยืนตะลึง มองชะเวมะรัตที่มีใบหน้าสวยงาม
แม่หมอยกมือห้ามกินรี ที่จะขยับไปดูงะดินเด พลางบอก...
“แกไม่ใช่ลูกสาวท่าน แกเป็นแค่ร่างทรงเท่านั้น”
งะดินเดหันมาทางแม่หมอ สายตาแปรเปลี่ยนจากเศร้าสร้อย เป็นดุดัน
“ทำไมข้าจะจำลูกสาวข้าไม่ได้ ถึงจะตายตกนรกหมกไหม้ไปแล้วกี่ชาติ ข้าก็ไม่เคยลืมชะเวมะรัตลูกข้า และที่ข้าเฝ้ารอมา ก็เพื่อวันนี้ วันที่ข้าจะได้เจอลูกข้าอีกครั้ง เพื่อการแก้แค้นที่สุมอยู่ในใจข้ามา 800 กว่าปี”
“หลานขอร้องท่าน ให้ลดละเลิกความแค้นในอดีตที่ผ่านมา ท่านเอาชีวิตข้าไปแทนเถิด ถือว่าข้าชดใช้ให้กับท่าน ให้ทุกอย่างมันจบลงแค่นี้ อย่าทำร้ายพวกเด็กๆเหล่านี้อีกเลย”
กินรีชะงักตกใจ
“ยาย...ทำไมยายพูดอย่างนั้น ยายทำอย่างนั้นไม่ได้นะ”
แม่หมอหันกลับมามองดูกินรี
“ถ้ายายไม่ตาย ความแค้นของเขาก็จะไม่หาย มันเป็นกงกรรมกงเกวียนลูก ยายจะไม่มีวันยอมให้เขาทำลายชีวิตพวกเจ้า”
“ข้าจะทำลายชีวิตพวกเขาทำไม ข้ารอวันนี้ ก็เพื่อที่จะพบหน้าเจ้า ชะเวมะรัต”
กินรีหันไปมองงะดินเด แววตาของงะดินเดเปล่งประกายขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด กินรีสะดุ้งนิดหนึ่ง ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งเพราะต้องมนต์
“เข้ามาหาพ่อสิลูก”
กินรีก้าวเดินเข้าไปหาเพราะถูกสะกดจิต แม่หมอร้องห้าม
“อย่าเข้ามาลูก ถอยออกไป ไม่อย่างนั้นคำสาปจะถูกถอน วิญญาณพยาบาทของเขาจะหลุดออกไปทุกคนจะพบกับความวิบัติ”
กินรียังคงก้าวเท้าเดินเข้าไปเรื่อยๆเหมือนไม่ได้ยินเสียงทัดทาน จนใกล้จะถึงเงามืดที่หน้าถ้ำ แม่หมอละล้าละลังไม่รู้จะทำอย่าง รีบลุกขึ้นยืนทันที
“พวกเจ้า...จัดการกับมันซะ!” งะดินเดสั่งการเสียงเข้ม
คนรูที่หมอบอยู่กับพื้นชันกายขึ้นอย่างว่องไว มันย่อตัว งอพุงที่ยืดหยุ่นเหมือนหนอน ก่อนที่จะดีดเด้งเข้ามาใส่ร่างของแม่หมอซึ่งกำลังถลันเข้ามาขวางกินรีเอาไว้อย่างจัง ร่างแม่หมอในเสื้อผ้าชุดดำคลุมกายแตกสลายกลายเป็นอากาศธาตุทันที ร่างของคนรูทะลุผ่านร่างแม่หมอ ปะทะเข้ากับร่างของกินรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แรงปะทะของคนรู ทำให้กินรีรู้สึกตัวขึ้นมา
หญิงสาวมองดูร่างของแม่หมอที่แตกสลายกลายเป็นอากาศธาตุอย่างตะลึง
ขณะเดียวกันภราดรยังคงคุยกับชะเวมะรัตอยู่ที่ระเบียงบ้าน
“กินรีหมายความว่าอะไร”
“วันหนึ่งท่านจะเข้าใจเอง”
ภราดรยังไม่ทันที่จะถามอะไรต่อ ร่างของชะเวมะรัตก็แสดงความเจ็บปวด แล้วสลายหายเข้าไปในป่า
“ช่วยด้วย...อย่า...”
เสียงหัวเราะของงะดินเด ก้องตามมาแล้วประกาศลั่น
“แน่จริงก็ตามมาช่วยคนรักของเจ้าสิ...”
ภราดรวิ่งลงไปด้านล่างแล้วจะตามชะเวมะรัตไปในป่า
“กินรี...กินรี”
ทันใดนั้นมีเงาปีศาจพุ่งมาวนรอบตัวเขา ท่าทางมันดุร้ายพร้อมจะเอาชีวิต กรีดร้องเสียงโหยหวน ภราดรรู้สึกปวดหู เขาเอามือปิดหู แล้วเมื่อนึกขึ้นได้จึงเอาประคำชูขึ้น เงาปีศาจร้องกรี๊ดแล้วสลายไป ภราดรหายใจหอบทุกอย่างสงบลง แล้วเขาก็หันหน้ามาด้านหลังพบอองไชยมองอยู่
“เจ้าเป็นใครกันแน่...”
“ก็เป็นหมอไง...ไปเถอะ...รีบไปช่วยกินรีกัน”
อองไชยแปลกใจ
“เจ้าจะไปช่วยนางที่ไหน”
“ข้ารู้...”
ภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวของภราดรคือป่าเชิงเขา
“ป่าเชิงเขา...เร็วรีบไปเร็ว”
อองไชยตัดสินใจวิ่งไปขึ้นรถกับภราดรทันที
คนนรูพุ่งเข้าปะทะกับร่างของกินรี
“อย่า...!”
กินรีร้องกรีดร้องลั่น ยกมือทั้งสองขึ้นปกป้องตนเองไว้จากการปะทะ แต่ทว่าต้านแรงคนรูไม่ไหว จนล้มหงายหลังตึงลงไปกับพื้น กรงเล็บที่แหลมคมของคนรู จิกลงไปที่ไหล่ของเธอ ตรึงเอาไว้กับพื้นดิน กินรีพยายามดิ้นรนต่อสู้ แต่ต้านแรงเอาไว้ไม่ไหว เธอเริ่มอ่อนแรง คนรูแสยะยิ้มเขี้ยวในปากวาววับ มันหันหน้ากลับไปมองงะดินเดว่าจะทำต่อไปอย่างไรดี
กินรีที่แน่นิ่งพลันลืมตาขึ้นมา แววตาของเธอลุกโชนอย่างน่ากลัว ร่างเจ้าแม่หน้าทองที่แต่งกายเหมือนชาวพม่าโบราณ สวมใส่หน้ากากทองคำ ซ้อนทับกับร่างกินรีแสยะยิ้ม แววตาอำมหิต
“แก...บังอาจเกินไปแล้ว”
คนรูหันขวับกลับมาด้วยความตกใจ งะดินเดซึ่งยืนอยู่ข้างหลังคนรูภายในถ้ำตกใจ ผงะถอยหลังออกไป เจ้าแม่หน้าทองตวัดมือซึ่งสวมปลอกนิ้วแหลมยาวเข้าที่คอของคนรู จับกระชากเหวี่ยง จนกระเด็นไปปะทะเข้ากับก้อนหินในถ้ำ คนรูร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด แล้วคลานหนีหายเข้าไปซุกตัวอยู่ในถ้ำด้วยความหวดากลัวสุดขีด เจ้าแม่หน้าทองยืนขึ้นเดินออกมาจากร่างของกินนรีมาหยุดยืนที่หน้าถ้ำ ประจันหน้ากับงะดินเด
“ท่านหาได้เคยเปลี่ยนแปลงเลยท่านพ่อ”
งะดินเดแหงนหน้าขึ้นหัวเราะ ดังกังวานด้วยความคับแค้นใจ
“เจ้าว่าข้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงเยี่ยงนั้นหรือ เจ้าดูสารรูปข้าตอนนี้สิ ข้าเหมือนงะดินเด บิดาเจ้าในอดีตบ้างไหม”
“ข้าหาได้หมายถึงรูปลักษณ์ของท่านไม่ แต่ข้าหมายถึงจิตใจของท่านต่างหาก ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง หมกมุ่น คิดแค้น จนวิญญาณไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
“ว่าแต่ข้า แล้วเจ้าล่ะ ชะเวมะรัต เจ้าแตกต่างไปจากข้ากระนั้นรึ” งะดินเดหัวเราะ “จนป่านนี้ เจ้าก็หาได้หลุดพ้นบ่วงกรรมไปผุด ไปเกิดได้เช่นกัน”
“เราแตกต่างกันท่านพ่อ ข้าบำเพ็ญกุศล ช่วยเหลือผู้คน ทนรับบาปแทนพวกเขา มาหลายชั่วอายุคน ข้าหลุดพ้นแล้ว แต่ท่านยัง...”
ใบหน้าของงะดินเด เปลี่ยนแปลงไปเป็นบิดเบี้ยวด้วยความขุนเคืองทันที
“เพราะบาเยงโบสามีเจ้า ที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้”
งะดินเดหัวเราะทั้งน้ำตา ชี้หน้าเจ้าแม่หน้าทองด้วยความคั่งแค้น
“สามีเจ้าทำลายครอบครัวเรา ชีวิตข้าถูกสาปเพราะพวกเจ้า ข้าจะไม่มีวันให้อภัยมันเด็ดขาด”
งะดินเดเดินถอยหลังโซซัด โซเซ กลับเข้าไปในความมืดในถ้ำ แต่ยังคร่ำครวญ
“ข้าจะไม่มีวันให้อภัยมันอย่างเด็ดขาด...ข้าไม่มีวันให้อภัยมัน...”
เจ้าแม่หน้าทองฟังคำรำพันของพ่ออย่างเสียใจ ก่อนที่ร่างนั้นจะสลาย กลายเป็นเงาจางๆ ลงไปทอดทับบนร่างของกินรี ก่อนที่จะหายวับไปเป็นคนเดียวกัน
ควันธูปลอยกรุ่นขึ้นมาจากหน้าโต๊ะหมู่บูชา สายลมพัดวูบเข้ามา จนเปลวเทียนเอนลู่ ร่างของแม่หมอนั่งอยู่หน้า โต๊ะหมู่บูชา ใบหน้าซีดเผือด มีเหงื่อซึมไหลออกมาเต็มหน้า ร่างของแม่หมอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะสั่นเทิ้มขึ้นมาแล้วล้มลงกระแทกพื้นห้องดังโครมดิ้นทุรนทุราย พร้อมกับกรีดร้องเสียงลั่น
“กินรี...”
พะอูนอนขดคลุมโปงอยู่ที่บนเสื่อตรงมุมห้อง ผวาตื่นขึ้นมาแล้ว มองซ้ายมองขวาด้วยความมึนงง เสียงแม่หมอดังออกมาจากในห้องบูชา
“อย่า...กินรี...หนีไป...!”
พะอูรีบลุกขึ้นจากที่นอน คว้ามีดเดินป่าที่แขวนอยู่อย่างข้างฝา มาเหน็บเอาไว้ แล้วรีบเข้าไปในห้องเห็นร่างของแม่หมอนอนอยู่กับพื้น กำลังโบกมือไล่อะไรสักอย่างหนึ่ง ทั้งๆที่ยังหลับตา ราวกับว่ากำลังตกอยู่ในฝันร้าย
“กินรี...อย่าทำอะไรกินรี...ออกไป...ออกไป...”
พะอูรีบตรงเข้าไปเขย่าร่างของแม่หมอ ปากก็พยายามร้องเรียก แต่ไม่เป็นภาษา
“อื้อ...อื้อ...”
แม่หมอซึ่งเริ่มรู้สึกตัว หยุดดิ้น แต่หายใจหอบแรง ด้วยความเหนื่อย ก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ
“ยายไม่เป็นไรแล้วลูก ยายไม่เป็นไรแล้ว...”
แม่หมอค่อยๆชันกายขึ้นมานั่ง สมองยังมึนงง มองไปรอบๆห้อง ก่อนที่จะมาหยุดที่รูปปั้นของเจ้าแม่หน้าทองที่ประดิษฐานอยู่บนแท่นบูชาเบื้องหน้า แม่หมอหน้าซีดตกใจ เมื่อนึกขึ้นมาได้ ว่าเกิดอะไรขึ้น
“แย่แล้ว...กินรี”
ติดตาม "เสือสมิง" ตอนที่ 4