xs
xsm
sm
md
lg

รักเกิดในตลาดสด ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 3
 
      
คืนนั้น กิมลั้งเดินถือถุงยาหงุดหงิดงุ่นง่านไปมาอยู่ในห้อง พอนึกถึงภาพต๋องกับณดาที่หน้าสถานีตำรวจเมื่อช่วงบ่ายแล้วอดใจหายไม่ได้ ครู่หนึ่งเสียงมือถือดังขึ้น กิมลั้งหยิบขึ้นมาดูเห็นว่าเป็นเบอร์ต๋อง ที่แอบเก็บเบอร์ไว้ยิ่งดีใจ แต่แล้วเกิดอาการว้าวุ่นว่าจะรับสายดีหรือไม่ ในที่สุดตัดสินใจรับสาย แต่ทำเสียงคล้ายว่าไม่รู้ว่าใครโทรมา
 
“ฮัลโหลค่ะ...” กิมลั้งทำฟอร์ม
“แหม พูดซะเพราะเชียว นี่ชั้นเอง ต๋อง” ต๋องรีบรายงานตัว
“เอ้า ต๋องเองเหรอ เผอิญไม่ได้เมมชื่อไว้น่ะ ว่าไง มีอะไรรึเปล่า” กิมลั้งแกล้งเหมือนไม่ได้เก็บเบอร์ต๋องไว้
“โอ้โห พูดซะห่างเหินเชียว” ต๋องแอบน้อยใจ
“ชั้นกับเธออยู่กันคนละที่ มันก็ต้องห่างกันอยู่แล้วล่ะ” กิมลั้งแกล้งเฉไฉ
“ใครบอกล่ะ ออกมาที่ระเบียงดิ” ต๋องท้า
“อะไรนะ!” กิมลั้งตกใจแต่ลึกๆแอบดีใจไปพร้อมๆกัน เธอรีบเดินออกมาหน้าบ้าน เห็นต๋องยืนจังก้าอยู่
“ไม่ต้องดีใจขนาดนั้น” ต๋องแซวกิมลั้ง
กิมลั้งออกมาที่ระเบียงพร้อมทำแอ็กติ้งหน้ายักษ์ใส่ต๋อง ทั้งคู่ยังคุยกันผ่านโทรศัพท์มือถือ
“ใครบอกว่าดีใจ ชั้นตกใจต่างหากว่าเธอทำบ้าอะไรของเธอ”
“มาหาเธอแล้วมันบ้าตรงไหน”
“ไม่กลัวแม่ชั้นเห็นรึไง” กิมลั้งถามต๋อง
“ดีใจจังที่เธอเป็นห่วง” ต๋องอมยิ้ม
“ชั้นก็แค่ไม่อยากให้มันมีเรื่อง ที่ผ่านมายังปวดหัวไม่พออีกรึไง” กิมลั้งเฉไฉ
“เธอเพิ่งบอกชั้นไม่ใช่เหรอว่าให้อดทน แล้วทุกคนก็จะเห็นเองว่าชั้นเป็นคนยังไง แล้วนี่ชั้นก็กำลังทำอยู่”
“เรื่องตลาด...ที่เธอจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นน่ะเหรอ” กิมลั้งถาม
“ใช่” ต๋องรีบตอบ
“ว่าแต่เธอจะทำยังไง” กิมลั้งยังสงสัย
“ขอปิดไว้เป็นความลับก่อนละกันนะ ที่มานี่ คืนนี้ก็เพราะอยากได้กำลังใจน่ะ”
กิมลั้งแอบดีใจแต่พอคิดถึงภาพณดากับต๋องขึ้นมาถึงกับอดประชดไม่ได้
“ชั้นว่าเธอน่าจะได้กำลังใจล้นเหลืออยู่แล้วนะ”
“กำลังใจล้นเหลือ” ต๋องไม่เข้าใจ และยังงงว่ากิมลั้งหมายถึงใคร
“ล้นซิ ก็เป็นกำลังใจจากระดับลูกสาวเจ้าของตลาดเลยนี่นะ”
“อ๋อ....คุณณดาน่ะเหรอ เอ้อ ชั้นลืมบอกเธอไปว่าคุณณดาเป็นคนช่วยเอาตัวชั้นออกมาจากโรงพักเองล่ะ”
“เห็นมั้ย ยัยคุณหนูนั่นเค้าออกจะเอาใจช่วยเธอเป็นพิเศษ”
“คิดอะไรของเธอนี่ เค้าก็แค่มีน้ำใจกับชั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องกำลังใจ ชั้นว่ามันหาได้จากเฉพาะบางคนเท่านั้นนะ”
“แล้วจะมาหาอะไรแถวนี้ บ้านชั้นน่ะขายปลา ไม่ได้ขายกำลังใจ”
กิมลั้งยิ้มอายใจหวิวขึ้นมาแต่พยายามปกปิดอาการ
“ขายปลาอะไรล่ะ ปรา - กฎ - ว่า เธอก็แอบเอาใจช่วยชั้นอยู่ใช่มั้ย ถ้าใช่ แค่นี้ชั้นก็ชื่นใจแล้ว” ต๋องเริ่มหยอด
กิมลั้งเขินหนักจนรู้สึกว่าตัวเองจะเก็บอาการไม่อยู่จึงยกเรื่องมาอ้าง แกล้งหันไปมองด้านอื่น
“ เอ่อ มีคนมาแล้ว เธอรีบไปก่อนไป”
“ก็ได้ๆ แล้วเจอกันนะ”
ต๋องวางสายแล้วยิ้มแฉ่งโบกมือบ๊ายบายให้กิมลั้งก่อนจะเดินกลับบ้านไป กิมลั้งเขินจนตัวม้วเก็บอาการไม่อยู่
“คนบ้า”
กิมลั้งอายแต่แอบดีใจไม่น้อยกับสิ่งที่ต๋องบอกเธอ

พอเดินเข้ามาในห้อง กิมลั้งต้องช็อกเมื่อเห็นกิมแชยืนอยู่
“ว้าย มายืนตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะกิมแช”
“ก็ตั้งแต่...แล้วจะมาหาอะไรแถวนี้ บ้านชั้นน่ะขายปลา ไม่ได้ขายกำลังใจ”
กิมแชเลียนแบบท่าเขินของกิมลั้งจนอีกฝ่ายเขินอาย
“อะไรของลื้อฮะกิมแช” กิมลั้งเขิน
“นั่นใช่มั้ยพี่ต๋องคู่ปรับของม้า เค้าจีบกับเจ้อยู่อ่ะดิ” กิมแชเอ่ยขึ้น
“จีบเจิบอะไร มีคำไหนที่อั๊วพูดกับต๋องไปแล้วทำให้ลื้อรู้สึกแบบนั้น” กิมลั้งเปลี่ยนเรื่อง
“โอ๊ย ถึงวันๆอั๊วจะอยู่แต่ในบ้าน แต่อั๊วก็ดูซีรีส์เกาหลีประจำนะ ไอ้ท่าทางสะเทิ้น หงึกๆหงักๆ พูดไม่ตรงกับใจน่ะ มันเป็นอาการของนางเอกปากแข็งชัดๆ แหม แล้วคิดว่าเล่นเรื่องโรมิโอจูเลียตกันอยู่รึยังไง พระเอกถึงต้องแหงนคอยคุยกับนางเอกบนระเบียง” กิมแชย้อนพี่สาว
“หรือลื้อจะให้ชวนเค้าเข้ามาจิบชาในห้องรับแขก” กิมลั้งประชดกลับ
“ตกลงยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าเจ้กับพี่ต๋องนี่ยังไงๆกันอยู่”
“ถ้ายังจะมาคาดคั้นเรื่องไร้สาระนี่ อั๊วก็ไม่มีอะไรจะคุยกับลื้อแล้วนะ” กิมลั้งลุกขึ้นเดินหนี
“เจ้ๆ”
“อะไร”
กิมแชหยอกล้อพี่สาว แถมทำท่าเลียนแบบกิมลั้งตอนเขินต๋อง
“คนบ้า”
กิมลั้งหยิบของขว้างใส่กิมแชด้วยความอาย กิมแชมองตาม หัวเราะชอบใจกับท่าทางของพี่สาวที่กำลังมีความรักกับคู่ปรับของแม่ตัวเอง

บ่ายวันใหม่ รถกระบะคันหนึ่งจอดลงใกล้ซอยในตลาด รถกระบะบรรทุกคนมาหลายคน ทั้งหมดลงมาจากรถพร้อมถุงกระดาษ มีกระเป๋า บ้างมีย่ามในมือ เลื่อนกับรักเร่ใส่หมวกอำพรางใบหน้ากำลังเดินมองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังขณะเดินมาหาคนกลุ่มนี้ เลื่อนกับรักเร่นัดแนะกับคนในกลุ่ม สักครู่ทั้งหมดเดินแยกย้ายสลายกันไปคนละทิศละทาง

ต่อจากนั้น เพื่อนของเลื่อนกับรักเร่กระจายเข้าไปยังจุดต่างๆของตลาด เลื่อนกับรักเร่ถอดหมวกออก เข็นรถเข็นของตัวเองเข้ามา ผ่านหน้าต๋องที่ยืนดูดโอเลี้ยงแต่แอบส่งซิกว่าเรียบร้อยเป็นไปตามแผน จากนั้นแยกย้ายกันไปคนละทาง

บรรดาเพื่อนๆของเลื่อนกับรักเร่กระจายไปตามแผงต่างๆในตลาด แต่ละคนเข้าไปซื้อของด้วยท่าทีปกติที่สุด แต่พอคนขายเผลอแอบหยิบกล้องมาแอบถ่ายพ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้น ทั้งร้านป้าพิณ ร้านคำมูล ร้านกาแฟอาโก ร้านทำผมของชมพู่กับน้อยหน่าโดนกันทั่วหน้า

สาวกของเลื่อนกับรักเร่ไปที่ร้านขายของชำของจะเด็ด สภาพร้านดูรก เก่า มีหยากไย่เต็มไปหมด เพราะจะเด็ดเน้นเข้าทรงไม่เน้นขายของ กลุ่มสายสิบเข้าไปในร้านปรากฏว่าไม่มีคนขาย จนไปเห็นกลุ่มควันมาจากหลังร้าน จึงเดินตามควันไป ท่ามกลางกลุ่มควันจะเด็ดนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูปและเครื่องรางของขลังทั้งหลาย ซึ่งกำลังเอาเศษเหล็ก เศษผมยัดใส่เข้าไปในฟองไข่ สายสืบจำเป็นสงสัยว่าจะเด็ดทำอะไรจึงเรียกขึ้น
“ลุง...”
จะเด็ดสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย”
ด้วยความตกใจจะเด็ดรีบกระโดดนั่งคร่อมกองไข่ประมาณครึ่งโหลที่วางไว้แล้ว แต่ยังทำไม่เสร็จ
“ทำอะไรน่ะลุง” สายสืบของต๋องถามขึ้น
“เอ่อ กกไข่” จะเด็ดตอบหน้าตาเฉย
“ฮะ คนนะไม่ใช่ไก่”
“ก็ไข่พวกนี้ไว้สำหรับใช้ในพิธีของข้าก็ต้องเสกคาถาอาคมกันหน่อยซิ”
“คาถาไม่เสื่อมหมดเหรอใช้ท่านี้” สายสืบถามด้วยความสงสัย
“เอ็งนี่ไม่รู้อะไร เสกไข่มันก็ต้องใช้ไข่เสกซิวะ” จะเด็ดหลบไปน้ำขุ่นๆ
“อะไรนะ”
“เอ็งเลิกถามซักทีเถอะ ตกลงจะเอาอะไร จู่ๆก็บุกเข้ามาในสำนักข้าแบบไม่นัดล่วงหน้าอย่างนี้”
จะเด็รีบเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวความแตก
“ชั้นจะซื้อของ เห็นไม่มีใครอยู่ก็เลยเดินเข้ามา”
เพื่อนของรักเร่กับเลื่อนที่มาช่วยหลอกถามจะเด็ดไปเรื่อย ส่วนจะเด็ดเริ่มมองหาลูกศิษย์อย่างบะหมี่กับเกี๊ยวคนต้นทางที่ตอนนี้หาไม่เจอ
“บะหมี่ เกี๊ยวมันหายไปไหนของมันอีกแล้วนี่ ว่าแต่เอ็งจะซื้ออะไร”
กลุ่มเพื่อนของเลื่อนกับรักเร่กระซิบบอกเบาๆ จะเด็ดถึงกับสะดุ้ง ไม่นานจะเด็ดยื่นกล่องถุงยางให้ด้วยความกระอักกระอ่วน โดยไม่รู้ว่าโดนแอบถ่ายภาพของบางอย่างในร้านไว้เรียบร้อยแล้ว

หลายวันผ่านไป จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ที่ตลาดพ่อค้าแม่ค้ากำลังเก็บร้าน เลื่อนเที่ยวเดินป่าวประกาศทางโทรโข่งกับชาวตลาด
“กระจ๊องง้อง กระจ๊องง้อง เจ้าข้าเอ๊ย กระจ๊องง้อง กระจ๊องง้อง เจ้าข้าเอ๊ย”
ทุกคนในตลาดหันมามองที่เลื่อนเป็นสายตาเดียวกัน
“วันนี้ลุงชวนชมใจดีเหมือนผีเข้า ก็เลยจะชวนทุกคนไปชมหนังฟรีที่โรงหนังตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลยจ้ะ” เลื่อนรีบอธิบาย
“ลุงชวนชมอมทุกข์นี่นะ พูดจริงเหรอเลื่อน” คิตตี้ถามอย่างสงสัยเพราะปกติลุงชวนชมเจ้าของโรงหนังเก่ามักไม่ค่อยสุงสิงกับใคร จนโดนเม้าท์อย่างเสียหายจากชาวตลาดเสมอ
“จริงซิพี่คิด ก็หมู่นี้แทบจะไม่มีคนเข้าโรงหนังแกเลย แกก็เลยจะแก้เคล็ดด้วยการให้คนเข้าโรงหนังกันมากๆ” เลื่อนตอบ ชาวตลาดเริ่มคุยกันด้วยความสนใจ
“ม้าอยากไปดูมั้ย” กิมลั้งถามกิมฮวย
“ผีดิบอย่างอาชวนชมอีเคยแจกของฟรีที่ไหน ถ้าไม่ดูก็โง่แล้วกิมลั้งเอ๊ย”
กิมฮวยตื่นเต้นจะได้ดูหนังฟรีของลุงชวนชม ที่หน้าตาดุ และไม่เคยพูดคุยกับใครในตลาดแห่งนี้และโดนมองเป็นตัวประหลาดด้วยซ้ำไป

อีกฟากหนึ่งรักเร่ที่กำลังป่าวประกาศอยู่หน้าโรงหนัง ขณะชาวตลาดกลุ่มใหญ่กำลังรี่กันเดินไปที่โรงหนัง
“เชิญเลยครับทุกคน ของฟรีมีรอบเดียวเท่านั้น สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามา”
ต่อจากนั้นในโรงหนังกำลังฉายสนุกสนาน หัวเราะชอบใจ ชาวตลาดมาดูกันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่จู่ๆหนังเกิดขาดขึ้นมา
“โห่....” คนดูโวยวาย ต๋องพูดผ่านไมค์เข้ามา
“ใจเย็นๆครับใจเย็นๆ เครื่องมันแก่แล้วก็ต้องเหนื่อยบ้างเป็นธรรมดา เอาเป็นว่าระหว่างรอการแก้ไข ขอให้ทุกท่านดูอะไรสนุกๆไปพลางๆก่อนละกันนะครับ”

ต๋องพูดผ่านไมค์เข้ามา โดยที่จอภาพเห็นภาพตลาดร่วมใจเกื้อปรากฏขึ้น พอคนดูเห็นตลาดตัวเองในจอยิ่งงงแต่ยิ่งสนใจเพราะเป็นภาพบรรยากาศที่ดีของตลาดที่กำลังขายของกันอยู่ พอคนดูเห็นตัวเองจอเริ่มชี้ชวนกันดูอย่างชอบใจ
“วู้ว”

ภาพในตลาดเริ่มฉายขึ้นบนจอ ทั้งหมดเป็นมุมกล้องที่แอบถ่ายมาโดยเพื่อนๆของเลื่อนกับรักเร่ ในภาพเห็นลูกค้าสั่งของแม่ค้ามะพราวขูด แต่พอคนซื้อหันไปเลือกดูของร้านใกล้ๆ แม่ค้าแอบเทน้ำเติมใส่มะพร้าวที่ขูดแล้ว แล้วรีบตัดใส่ถุงขึ้นชั่งตาชั่งด้วยความรวดเร็ว
ชาวตลาดที่กำลังดูหนังอยู่เหล่ไปมองแม่ค้ามะพร้าวขูดที่นั่งดูหนังอยู่ แม่ค้าคนดังกล่าวทำตัวไม่ถูก ในขณะที่แม่ค้าอีกเจ้าที่กำลังวางผักขายเป็นกอง แต่วางผักเน่าไว้ด้านล่างแล้ววางผักดีโปะทับด้านบนพอคนมาซื้อชี้ไปที่กองดังกล่าวที่เพิ่งจัดเสร็จแม่ค้ารีบรวบผักใส่ถุงไม่ให้ลูกค้าเห็นผักเน่า จนแม่ค้าผักในโรงหนังนั่งทำตาปริบๆที่ถูกจับได้
จอเห็นภาพหมูที่ยังไม่ถูกแล่กองอยู่กับพื้นมีหนูกำลังรุมตอดแทะเนื้อ สักครู่มีมือมือหนึ่งมาแบกหมูไป ที่แท้คนแบกคือเต๊กไฮ้ แล้วเต๊กไฮ้กับลักษณ์ช่วยกันแล่เนื้อหมูที่หนูรุมกัดขายต่อให้ลูกค้า คนดูในโรงหนังทำหน้าขยะแขยง เต๊กไฮ้กับลักษณ์มองไปทางอื่นด้วยความอาย
จนมาถึงแผงของกิมฮวย ในจอภาพกิมลั้งกำลังจัดของอยู่ กิมฮวยแอบตักของขึ้นตาชั่งแต่ดันใส่น้ำแข็งเข้าไปด้วย เพื่อให้น้ำหนักมากขึ้น กิมฮวยนั่งดูอยู่ด้วยในโรงหนังทั้งโกรธทั้งอาย

ต่อด้วยร้านของจะเด็ด ที่ยื่นกล่องถุงยางให้เพื่อนเลื่อนที่เข้าไปซื้อ แต่พอหงายกล่องดูจึงพบว่าหมดอายุแบบข้ามปีไปแล้ว สายสืบของต๋องแกะซองถุงยางออกดูปรากฏว่าถุงยางเสื่อมจนฉีก
เขียวหวานซึ่งนั่งอยู่ข้างป้าพิณและคำมูลในโรงหนังเห็นภาพแล้วโพล่งขึ้นเป็นภาษากะเหรี่ยง
“ที่แท้มันก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
“นั่นซิ ก็ทำกันอย่างนี้ แล้วใครจะอยากเข้าตลาดเรา” ป้าพิณเสริม
คำมูลมองไปที่จอตื่นเต้น พูดกรุงเทพโก้เก๋แต่สำเนียงอีสาน
“ว้าว มีร้านป้าพิณด้วย เห็นชั้นตำปาปาย่าป๊อกๆอยู่หน้าร้านด้วยอ่ะ”
ช่วงที่กล้องกำลังแพนถ่ายอาหารต่างๆดูร้อนๆ สีสันน่ากินเชียว แถมคนแน่นร้าน
“เห็นมั้ย เค้าถ่ายมาให้เห็นว่าเป็นตัวอย่างของร้านที่ดี”
ป้าพิณเอ่ยชมร้านตัวเอง ขึ้นมาปราฎว่าในจอภาพเห็นเขียวหวานกำลังตักกับข้าวใส่จานให้ลูกค้าแต่คันหัวเลยเกา ปรากฏว่าผมร่วงใส่อาหาร ป้าพิณ ที่โพกผ้ากันผมหันมาเห็นเลยด่าให้
“เอ๊ะ นังเขียวหวานมาเกาหัวแถวนี้ผมก็ตกใส่กับข้าวซิ บอกหลายทีแล้วให้โพกผ้าแบบข้า”
ด่าเขียวหวานเสร็จ ป้าพิณหันไปตักกับข้าวตรงที่มีผมของเขียวหวานร่วงใส่ทิ้งลงถังขยะ
“โอ้โห ป้าพิณ มีสำนึกรักลูกค้าสุดๆ”
คำมูลเห็นในภาพจึงแซวป้าพิณกลับ ในจอภาพป้าพิณทำจมูกฟุดฟิดแล้วในที่สุดก็จามใส่อาหารทั้งหมดตรงหน้าโดยยังมีน้ำมูกเยิ้มคาจมูกอยู่ ชาวตลาดในโรงหนังที่เป็นลูกค้าประจำป้าพากันทำหน้ายี้ ป้าพิณหน้าแตกจนอยากแทรกแผ่นดินหนี แล้วภาพในจอดับไป จากนั้นต๋องจึงค่อยโผล่มายืนแทนที่
“ไอ้ต๋อง...” กิมฮวยโพล่งขึ้นด้วยความโกรธ
ในขณะที่ต๋องยืนพูดอยู่หน้าแท่นเครื่องฉายอย่างไม่มีท่าทางหวาดกลัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นเพื่อให้ความจริงปรากฏ
“ทีนี้ทุกคนคงรู้กันแล้วนะว่าตัวซวยของตลาดน่ะเป็นใคร”
พอไฟสว่างจากหน้าจอ จึงเห็นว่าต๋องยืนจังก้าอยู่หน้าจอฉาย ทุกคนตะลึงพูดไม่ออกคล้ายน้ำท่วมปากเพราะการกระทำของตนถูกฟ้องด้วยหลักฐาน
“อาต๋อง ลื้อเล่นสกปรกชัดๆ” เต๊กไฮ้รีบโวยวายกลบเกลื่อน
“ชั้นเอาความจริงมาให้ทุกคนเห็นต่างหาก หลักฐานฟ้องขนาดนี้ยังจะมีใครกล้าเถียงอีกมั้ยว่าตัวเองไม่ได้ทำให้คนเข้าตลาดน้อยลง” ต๋องอธิบาย
“นั่นซิ คนที่เคยด่าๆพี่ต๋องไว้ยังมีอะไรจะแก้ตัวอีกมั้ย” ชมพู่ปกป้องต๋องอีกครั้ง
“ชมพู่ พี่ขอบใจนะที่เรายืนอยู่ฝั่งเดียวกับพี่” ต๋องเอ่ยขึ้น
ชมพู่ถึงกับยิ้มแฉ่งหน้าบาน
“ด้วยรักและเต็มใจจ้ะพี่ต๋อง”
“แต่สายพี่บอกมาว่าพวกอุปกรณ์ในร้านเสริมสวยของชมพู่น่ะสกปรกมาก น่าจะทำความสะอาดซะหน่อยนะ” ต๋องเอ่งอย่างตรงไปตรงมา
“เอ่อ ขอบคุณจ้ะพี่ที่เตือน” ชมพู่กับน้อยหน่ามองหน้ากันอย่างอายๆ
“นี่เอ็งคิดว่าเอ็งเป็นใครฮะไอ้ต๋อง ถึงได้มาเที่ยวจับผิดคนอื่นแบบนี้” จะเด็ดเดือด
“แล้วไอ้ที่ทุกคนทำอยู่น่ะมันดีมั้ยล่ะ มัวแต่พากันไปไหว้เจ้าไว้ผี แถมยังโยนขี้มาให้ชั้น สรุปแล้วที่แท้ก็เป็นเพราะความไม่รับผิดชอบต่ออาชีพของตัวเองกันทั้งนั้น” ต๋องโพล่งอย่างเหลือ
ณดาเห็นท่าทีจริงจังและเฉลียวฉลาดของต๋องยิ่งประทับใจ ทำให้ศักดิ์ชายที่แอบสังเกตการณ์อยู่รู้สึกไม่พอใจ
กิมฮวยมึนอยู่ครู่หนึ่ง แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“อาต๋อง ลื้อนี่เก่งจริงๆ หานั่นหานี่มาเบี่ยงประเด็นให้พ้นตัวเอง คิดว่าอั๊วจะยอมรับไอ้คลิปบ้าบอที่ลื้อทำมาเหรอ เดี๋ยวนี้น่ะใครๆก็ตัดต่อให้ขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวได้ ใช่มั้ยพวกเรา..” กิมฮวยเริ่มหาพรรคพวก
ชาวตลาดได้โอกาสรีบเห็นด้วยขึ้นมาทันที
“ใช่” พ่อค้าแม่ค้าบางคนเริ่มส่งเสียงเข้าข้างกิมฮวยบ้าง
“ลื้อมาทำซี้ซั้วต่า อั๊วฟ้องได้เลยนะโทษฐานทำลายชื่อเสียง” กิมฮวยขู่
“น้าต่างหากที่ทำลายชื่อเสียงตัวเอง แล้วก็กำลังทำลายชื่อเสียงของตลาดเหมือนกับที่อีกหลายคนทำ แล้วถ้ายังคิดว่าจะเป็นแบบนี้กันต่อไป ก็อย่าหวังว่าจะดึงลูกค้าคืนมาจากห้างเวรี่แฮปปี้ของเสี่ยชายศักดิ์เลย” ต๋องรีบแจง
ศักดิ์ชายมองต๋องที่นับวันจะเห็นว่าต๋องเป็นเสี้ยนหนามหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
“ไอ้ต๋อง ลื้อไม่ต้องมาสั่งสอนพวกอั๊วหรอก พวกอั๊วอยู่ที่นี่ตั้งแต่ลื้อยังไม่ชิงหมามาเกิดด้วยซ้ำ ทำไมจะไม่รู้ว่าต้องแก้ไขเรื่องปากท้องตัวเองยังไง ไปกันเถอะพวกเรา เสียเวลากับเรื่องงี่เง่านานเกินไปแล้ว” กิมฮวยรีบเฉไฉไปเรื่องอื่น
กิมลั้งจำต้องลุกตามแม่ไป แต่แอบมองต๋องด้วยความลำบากใจ ชาวบ้านเดินตามออกไปเช่นกัน ต๋องมองตามด้วยความเซ็ง

บ่ายนั้น ต๋องเดินด้วยอารมณ์เซ็งออกมาที่มุมหนึ่งของโรงหนัง ลุงชวนชมที่ทำหน้าเหมือนไม่สนใจโลกกำลังเงยหน้าจากหนังสือที่นั่งอ่านอยู่
“เป็นไง เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ข้าจะได้ทำมาหากินต่อซักที” ลุงชวนชุมเอ่ยขึ้น ต๋องรีบยกมือไหว้
“ก็ไม่เรียบร้อยนักหรอกลุง แต่ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ยังไงชั้นต้องขอบคุณลุงชวนชมมากเลยนะจ๊ะที่ให้ยืมใช้โรงหนัง”
“ข้าก็แค่สนับสนุนให้ผู้คนมันแหกตามองความจริงบ้างเท่านั้น เพราะคนแถวนี้มันถนัดโทษคนอื่นมากกว่าตัวเอง” ต๋องมองลุงชวนชมแล้วยิ้มชอบใจ
“แปลกจัง ทำไมคนอื่นชอบหาว่าลุงเป็นคนประหลาด ชั้นไม่เห็นว่าจะเป็นแบบนั้นเลย” ต๋องเอ่ยอย่างแปลกใจ
“เป็นเพราะเอ็งรู้จักข้าน้อยไปน่ะซิ แต่ก็ช่างเถอะ ใครจะคิดกับข้ายังไงข้าไม่เห็นจะเดือดร้อน ไม่ได้ขอใครกินซักหน่อย” ลุงชวนชมพูดอย่างไม่สนใจใคร
“มันไม่ได้เกี่ยวกับขอใครกินไม่ขอใครกินหรอกลุง บางทีการมีใครซักคนที่เข้าใจเรา มันก็ทำให้ชีวิตมีความหมายขึ้นนะ” ต๋องโพล่งความในใจ
“หมดธุระแล้วใช่มั้ย งั้นเอ็งก็รีบๆไปซะที” ลุงชวนชมคล้ายจะขอตัวไปมุมของตัวเองเช่นเคย
ต๋องไม่อยากกวนใจจึงเดินออกมาจากโรงหนัง

ต๋องเดินออกมาที่หน้าโรงหนัง เห็นณดายืนรออยู่
“ต๋อง วันนี้คุณทำเรื่องที่เจ๋งมากเลยนะ” ณดารีบพูด
“นี่คุณก็เข้าไปดูด้วยเหรอครับ” ต๋องถามกลับ
“ค่ะ...ไม่คิดเลยนะคะว่าคุณจะลงทุนขนาดนี้ ทั้งแอบถ่าย ทั้งตัดต่อนี่ถ้ารู้แผนคุณตั้งแต่แรกชั้นจะได้ช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายบ้าง” ณดาเอ่ยอย่างอยากช่วย
“อุย ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ทั้งหมดนี้ที่เสร็จออกมาได้เพราะผมก็ให้เพื่อนนิเทศที่มหาลัยช่วยทำให้น่ะครับ พวกนี้เค้ามีเครื่องมือพร้อมอยู่แล้ว” ต๋องรีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ณดาพยักหน้ารับรู้ แต่อดกังวลไม่ได้
“ไม่คิดเลยนะคะว่าเบื้องหลังตลาดจะเป็นแบบนี้ ถ้าคุณแม่รู้คงโกรธน่าดู”
“คุณนายสดศรีไม่มีทางรู้หรอกครับเพราะวันๆสนใจแต่เก็บค่าเช่า” ต๋องลืมตัวหลุดพูดออกมาเหมือนกำลังกัดแม่ณดาอยู่
“อุ้ย ผมขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ณดาเข้าใจ ว่าแต่คุณคิดว่าพวกเค้าจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองมั้ย”
“ตอนนี้แค่เปลี่ยนตัวเองยังน้อยไปด้วยซ้ำครับ ผมว่าเราต้องหากลยุทธอะไรบางอย่างเพื่อดึงดูดใจลูกค้าให้กลับมาเร็วที่สุด” ต๋องรีบพูด
“จะทำอะไรล่ะคะ ณดายินดีให้ความร่วมมือเต็มที่” ณดายังแสดงเจตจำนงชัดเจน แต่ต๋องยังไม่เข้าใจ
“ผมขอเวลาคิดนิดนึงละกันครับ แล้วจะบอกคุณอีกที”
ต๋องยังมีโครงการช่วยตลาดอย่างตั้งมั่น แต่ยังไม่อยากบอกณดา

เวลาเดียวกันที่สวนสาธารณะใกล้ตลาด ศักดิ์ชายกับจาตุรงค์นั่งคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของต๋องอย่างมีอารมณ์
“ไอ้ต๋องมันกล้าฉีกหน้าทุกคนในตลาดขนาดนั้นเลยเหรอ” จาตุรงค์ถามขึ้น
“ก็ใช่น่ะซิ นับวันมันชักจะเป็นตัวอันตรายสำหรับชั้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว” ศักดิ์ชายพูดอย่างกังวล
“ชั้นน่าจะพูดคำนี้มากกว่านะ วันก่อนมันทำร้ายชั้นกับพ่อ แล้ววันนี้มันยังทำให้พ่อแม่ชั้นอับอายอีก ไม่เห็นแกจะโดนมันทำอะไรเลย”
“แกลืมไปแล้วเหรอว่าชั้นมาที่นี่เพื่ออะไร” ศักดิ์ชายย้ำ
“ก็เพื่อทำทุกอย่างให้ได้ตลาดมาไง จริงด้วยแต่ไอ้ต๋อง มันกำลังทำทุกอย่างเพื่อให้ตลาดยังอยู่” จาตุรงค์สวนขึ้น
“ที่สำคัญดูท่าทางณดาจะปลื้มมันมากขึ้นเรื่อยๆ” ศักดิ์ชายสีหน้ากังวลชัดเจน
“ถ้าคุณณดาเกิดลงเอยกับมันขึ้นมาก็แปลว่า...แผนแกจบแน่ๆ” จาตุรงค์สรุปให้เพื่อน
“นึกเหรอว่าชั้นจะยอมให้มีวันนั้น” ศักดิ์ชายย้ำอย่างจริงจัง
“งั้นแกก็ต้องจับมือกับชั้นทำสงครามกับมัน” จาตุรงค์เข้าร่วมด้วยอีกแรง
“ชั้นไม่ทำอะไรโง่ๆแบบนั้นหรอก”
“ช่วยกันสองแรงแล้วมันโง่ยังไงวะ” จาตุรงค์ไม่เข้าใจ
“วิธีจัดการศัตรูที่แยบยลที่สุดก็คือ ไม่ให้มันรู้สึกว่าเราเป็นศัตรูกับมันเว้ย”
ศักดิ์ชายทำหน้าเจ้าเล่ห์ อย่างมีแผนการในใจ


อ่านต่อหน้า 2




“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 3 (ต่อ)
 
 
เวลาต่อจากนั้น กิมลั้งนั่งเหม่ออยู่ริมคลองหลังตลาด  ครู่หนึ่งต๋องมายืนข้างๆ

“นั่งด้วยคนได้มั้ย” ต๋องเอ่ยถามขึ้น แล้วรีบนั่งลง
“ใครไปห้ามล่ะ” กิมลั้งเอ่ยอย่างงอนๆ
“โกรธชั้นรึเปล่าที่แฉแม่เธอวันนี้” ต๋องถามอย่างห่วงความรู้สึกกิมลั้ง
“ชั้นจะโกรธได้ยังไง” กิมลั้งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พูดเหมือนน้อยใจเลยนะ” ต๋องย้อนถาม
“ชั้นก็แค่ไม่สบายใจตามประสาคนเป็นลูกน่ะ  แต่ที่แม่ชั้นทำผิดก็อีกเรื่องหนึ่ง”
“ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะจับผิดใครหรอกนะ  แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ หลายคนก็จะลืมหันกลับมามองว่าตัวเองมีส่วนทำให้เกิดปัญหายังไงบ้าง” ต๋องพยายามอธิบาย
“ชั้นเข้าใจต๋อง ที่จริงเธอกล้าหาญมากเลยนะ ยอมให้คนอื่นเกลียดทั้งๆกำลังทำประโยชน์เพื่อพวกเค้าด้วยซ้ำ” 
กิมลั้งเอ่ยอย่างเข้าใจ ต๋องแอบดีใจ จนเผลอไปจับมือกิมลั้ง
“ขอบคุณนะที่เข้าใจชั้น” ต๋องพูดพลางยิ้ม
กิมลั้งสะดุ้ง ใจวูบวาบ รีบดึงมือตัวเองออกทันที ต๋องเริ่มรู้สึกตัว
“อุ๊ย...ขอโทษ  เออนี่ ช่วยคิดหน่อยดิ  ชั้นกำลังหาวิธีเรียกคนเข้าตลาดอยู่  เธอว่าเราน่าจะทำอะไรถึงจะแข่งกับห้างเวรี่แฮปปี้ได้”  ต๋องรีบเอ่ยขึ้น
“แข่งกับห้างเวรี่แฮปปี้นี่นะ สงสัยเธอต้องติดแอร์ให้ตลาดเป็นอันดับแรก”  กิมลั้งว่า
“นั่นก็เกินไป  ไอ้เรื่องความเย็น ความสวยงามน่ะเราสู้เค้าไม่ได้อยู่แล้วล่ะ เธอลองคิดซิว่าอะไรที่สู้กันแล้วจะพอฟัดพอเหวี่ยง” กิมลั้งเริ่มคิดตาม
 “ราคาเหรอ  ใช่..ยังไงซะของในตลาดเราก็ถูกกว่า” 
“มันถูกกว่าก็จริงนะ  แต่ชั้นว่าราคาของในตลาดกับห้างก็ยังทิ้งกันไม่เท่าไหร่  ทุกวันนี้ลูกค้าถึงยอมจ่ายแพงกว่าหน่อย  เพราะมันแลกกับความสะดวกสบาย 
“ถ้าราคายังสู้ไม่ได้  แล้วเราจะเอาอะไรไปสู้ล่ะ”กิมลั้งถามขึ้น
จู่ๆต๋องยิ้มออกมาเหมือนคิดอะไรออก
“ก็ราคานี่ล่ะ” ต๋องยืนยัน
“ฮะ!”
กิมยังลั้งยังงงว่าต๋องจะแข่งขันกับห้างแฮปปี้ด้วยวิธีไหนกันแน่
 
 
 
 บ่ายวันใหม่  กิมฮวยตะโกนขึ้นมาท่ามกลางที่ประชุมของพ่อค้าแม่ค้ามากันพร้อมหน้า กิมลั้งลอบมองต๋องด้วยความเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา
“จะให้ทุกคนลดราคาของในตลาดลงอีกเพื่อเรียกคนเข้าตลาด  อาต๋อง..นี่ลื้อยังมีหน้ามาขอให้พวกอั๊วทำอะไรอีกเหรอ   พวกอั๊วไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์นะ  ถึงจะลืมไปแล้วว่าเมื่อวานในโรงหนังนั่นลื้อทำพวกอั๊วแสบยังไง” กิมฮวยเปิดฉากใส่ต๋องก่อน
“น้ากิมฮวย...ที่จริงชั้นไม่ได้ตั้งใจจะแฉอะไรใครนะ” ต๋องพยายามอธิบาย
“แต่ลื้อก็แฉพวกอั๊วไปแล้ว” กิมฮวยเถียง
“แสดงว่าน้ายอมรับแล้วใช่มั้ยว่าทำผิดจริง” ต๋องรีบสวน กิมฮวยพลั้งปากยอมรับโดยไม่รู้ตัว ใช้เสียงดังข่ม
“อั๊วหมายถึงที่ลื้อกล่าวหาพวกอั๊วเว้ย” กิมฮวยเปลี่ยนเรื่อง
“คุณต๋องเค้าไม่ได้ต้องการจะเล่นงานใครหรอกนะคะ” ณดาโพล่งขึ้น กิมฮวยกับพรรคพวกลดท่าทีแข็งกร้าวลง
“เค้าก็แค่ก็อยากให้ทุกคนลองคิดให้ดีว่าตัวเองมีส่วนทำให้คนเข้าตลาดน้อยลงมั้ย แล้วเรื่องลดราคาสินค้าที่บอก
 คุณต๋องเค้าก็มาปรึกษาณดาแล้ว  ณดาเองก็เห็นด้วยเพราะมันน่าจะเป็นวิธีดึงลูกค้าที่ง่ายที่สุด”
“แต่อาคุณณดา   ทุกวันนี้พวกเราขายของก็ไม่ค่อยได้กันอยู่แล้ว  ขืนให้ลดราคาอีกก็ซี้กันพอดี” เต๊กไฮ้รีบค้าน
“เราไม่ได้ลดราคาตลอดไปนะน้า แค่จัดขึ้นมาเป็นช่วงเทศกาลเท่านั้น” ต๋องอธิบาย 
“แต่....” กิมฮวยอ้าปากจะอธิบายแต่ณดาขัดขึ้น
“ทุกคนลองฟังต๋องเค้าอธิบายดูก่อนดีมั้ยคะ”                                              
ศักดิ์ชายรู้สึกหมั่นไส้เวลาที่เห็นณดาเป็นปากเป็นเสียงแทนต๋อง
“คืออย่างนี้นะจ๊ะทุกคน  ที่ชั้นวางแผนไว้คร่าวๆคือ เราจะจัดสัปดาห์  “ยกธงขาว” ที่ลานตรงนี้  โดยที่ทุกร้านจะชักธงขาว  เพื่อบอกว่าพ่อค้าแม่ค้ายอมขายของราคาพิเศษเพื่อสมนาคุณลูกค้า   เราอาจจะมีการแสดงดนตรีในงาน  จะได้ช่วยเรียกคน  ซึ่งชั้น เลื่อน รักเร่ก็เล่นฟรีให้ได้อยู่แล้ว”
“แต่ถ้าจะให้ตระการตา  เดี๋ยวชั้นชวนเพื่อนๆที่ชอบเต้นมาเต้นโชว์ด้วยก็ได้ต๋อง   เรื่องเงินไม่ต้องห่วงเพราะพวกนี้มันชอบโชว์อยู่แล้ว” คิตตี้เสนอ
“ได้  ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย...” ชมพู่กลัวน้อยหน้าเสริมขึ้นอีก
“งั้นชั้นกับพี่น้อยหน่าช่วยแต่งหน้าทำผมให้เพื่อนแกก็ได้นังคิด” ชมพู่ด่าขึ้น
 คิตตี้ไม่พอใจที่เรียกสมคิดชื่อเก่า รีบแก้ต่างทันที
“คิตตี้”
“มันก็คนเดียวกับไอ้สมคิดน่ะล่ะ  เดี๋ยวก็ไม่ช่วยซะเลย” ชมพู่เถียง
“อย่าทะเลาะกันน่า  เรากำลังจะทำเรื่องดีๆกันไม่ใช่เหรอ” ต๋องว่า
“งั้นเรื่องจัดสถานที่ ทั้งทำแผงทำเวทีเดี๋ยวทางตลาดจะช่วยอำนวยความสะดวกให้  เพียงแต่ว่าคงต้องขอแรงพวกเรามาช่วยกันทำ” ณดาเสนอช่วยเต็มที่ แต่จาตุรงค์รีบค้าน
“โอ้โห พวกเราคงทำกันเองไม่ไหวมั้งครับ” 
“ไม่ไหวก็ต้องไหว  ไม่งั้นเราต้องไปจ้างช่างมาทำ  แล้วก็เรี่ยไรเงินจากทุกคน  คงไม่มีใครเลือกวิธีนี้แน่ใช่มั้ย” ศักดิ์ชายกลัวน้อยหน้าต๋อง รีบเสนอตัวช่วยณดาขึ้นมาทันที
“ไม่เป็นไรต๋อง งั้นผมอาสาช่วยคุณณดาละกันครับ  เดี๋ยวผมจะประสานกับทุกคนที่นี่ให้อีกทอดหนึ่ง  อ้อ  แล้ววันงานผมอาจจะเอาผลไม้มาปอกแช่น้ำแข็งขายด้วย  ลูกค้าจะได้ซื้อกินกันง่ายๆ” ศักดิ์ชายรีบเสนอตัวเอาหน้า แต่
ณดาไม่ได้ปลื้มอะไรกับการเสนอตัวช่วยของศักดิ์ชายเป็นพิเศษ 
“หม่าม้า ถ้างั้นนอกจากของสดแล้ว  เราเอาพวกอาหารทะเลไปเผาขายด้วยดีมั้ย   น่าจะขายดี” กิมลั้งเสนอ
กิมฮวย ส่วนพ่อค้าแม่ค้าฟังแล้วชักจะคึกคักตามไปด้วย แต่กิมฮวยยังเก๊กอยู่
“กิมลั้ง ใครบอกว่าอั๊วจะเข้าร่วมงานบ้าบอนี่ด้วย เอาเข้าจริงๆ ไม่รู้จะมีคนมาซักกี่มากน้อย  ของก็ต้องลดราคา  แถมต้องวิ่งรอกขายทั้งแผงในตลาดนอกตลาด  อั๊วไม่ว่างมากขนาดนั้น” กิมฮวยรีบพูด
“อั๊วก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน  อยู่เฉยๆก็ดีแล้ว  ไม่รู้จะทำให้ตัวเองเหนื่อยไปทำไม”  เต๊กไฮ้ไม่เข้าร่วมด้วยเช่นเดียวกับกิมฮวย   ครู่หนึ่งจะเด็ดกับบะหมี่และเกี๊ยวเดินเข้ามา 
“อ้าว มารวมตัวกันอยู่ตรงนี้เอง  ชั้นเพิ่งปลุกเสกปลัดขลิกรุ่นใหม่เสร็จ  ถ้าเอาไปใส่ตะกร้าเงินรับรองขายของดีเป็นเทน้ำเทท่า   สนใจกันมั้ย” จะเด็ดรีบพูด กิมฮวยได้ยินตาลุกวาว
“สนซิอาจะเด็ด”
“งั้นก็ตามมา…”
จะเด็ดยิ้มเยาะต๋องก่อนจะเดินออกไป กิมฮวยกับเต๊กไฮ้  และพ่อค้าแม่ค้าครึ่งหนึ่งออกจากที่ประชุมตามจะเด็ดไปแบบไม่ต้องคิด  กิมลั้งยืนงงๆอยู่เพราะอยากจะช่วยเหลือต๋อง  แต่แล้วกิมฮวยกลับเดินมาคว้ามือกิมลั้งให้ตามไปด้วย
“ปลัดขลิก! ไม่เอามาห้อยเป็นโมบายแขวนหน้าร้านซะเลยล่ะ ไม่ดูกันเลยว่าข้าวของที่ร้านน้าจะเด็ดน่ะขายได้บ้างมั้ย” ต๋องโพล่งขึ้นด้วยความโกรธ
“มีคนไม่เห็นด้วยแบบนี้  แล้วเราจะเอายังไงต่อกันดีล่ะต๋อง”
 ณดาถามขึ้น ต๋องจึงหันไปถามพ่อค้าแม่ค้าตรงหน้าบ้าง
“ว่าแต่คนที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ยังสนใจจะร่วมโครงการกับชั้นอยู่ใช่มั้ย”
“เท่าที่ฟังดูก็เข้าทีดีนะต๋อง” แม่ค้าคนหนึ่งตะโกนบอก
“งั้นมีแค่ไหนก็ทำกันแค่นั้น  แล้วก็ช่วยกันทำให้ดีที่สุด  พวกนั้นจะได้รู้ว่ากำลังคิดผิด”  
ต๋องมองกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ตามจะเด็ดไปด้วยท่าทีมุ่งมั่น ซึ่งณดาเห็นแล้วยิ่งปลื้มในตัวต๋องมากขึ้นไปทุกที แต่ดูเหมือนว่าศักดิ์ชายไม่ปลื้มกับแววตาที่ณดามองต๋องแม้แต่น้อย               
 
 
 
คืนนั้น ต๋องกับณดาถือเอกสารเดินออกมาจากส่วนสำนักงานของตลาดร่วมใจเกื้อ 
“มัวเล่าแผนการจัดงานซะยืดยาว  ผมเลยทำให้คุณณดากลับบ้านช้าเลย” ต๋องรีบพูด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  ดีซะอีกที่อยู่ๆณดาก็มีคนมาช่วยคิดแผนมาร์เก็ตติ้ง” ณดารีบชม
“งั้นเดี๋ยวผมรีบเอาแบบที่จะทำใบปลิวโฆษณาไปให้โรงพิมพ์ที่คุณณดาแนะนำเลยดีกว่า   เค้าเปิดดึกอยู่แล้วใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ..ความจริงคุณนั่งรถไปกับณดาก็ได้ ทางผ่านบ้านพอดี” ณดาเอ่ยชวนต๋องกลับด้วยกัน
ทันใดนั้น ศักดิ์ชายโผล่มาพร้อมกระดาษในมือ แล้วรีบเรียกณดา
“คุณณดาครับ” ณดางงเมื่อเห็นศักดิ์ชาย
“ว่าไงคะ”
“เห็นงานจะมีอาทิตย์หน้าแล้ว  ผมเลยรีบเขียนผังการจัดสถานที่มาให้คุณดูน่ะครับ  มีอะไรจะได้แก้ไขทัน” ศักดิ์ชายรีบเสนอหน้า แต่ณดารู้ทันรีบดับฝันเสียก่อน
“เอาไว้พรุ่งนี้ได้มั้ยคะ ชั้นต้องไปโรงพิมพ์”
“ไม่เป็นไรครับคุณณดา ผมไปเองได้ ชายเค้าอุตส่าห์ทำมาแล้ว  จะได้ไม่เสียความตั้งใจ” ต๋องเสนอณดาเชื่อแต่โดยดี
“ก็ได้ค่ะ...” ณดาต้องจำใจ
 “งั้นผมขอตัวนะครับ” ต๋องพูดแล้วเดินออกไป  ศักดิ์ชายรีบยื่นกระดาษอธิบายให้ณดาฟังทันที
“คือมันจะเป็นอย่างนี้นะครับ” ศักดิ์ชายรีบทำคะแนน
“ชั้นขอนั่งก่อนได้มั้ยคะ” ณดาเอ่ยขึ้นอย่างเซ็งๆ
“ขอโทษครับ”
ณดากับศักดิ์ชายหาที่นั่งคุยงานแถวนั้นตามลำพัง
 
 
 
คืนเดียวกัน ที่บ้านกิมลั้ง นาฬิกาบอกเวลาประมาณสามทุ่ม  กิมแชนอนหลับคาหนังสือเพลงที่ครอบหน้า อีกเตียงกิมลั้งนั่งอ่านหนังสือ  สักครู่มือถือกิมลั้งสว่างวาบขึ้น พอเห็นเป็นชื่อต๋องกิมลั้งดีใจรีบรับสายทันที
“ฮัลโหล ว่าไง” กิมลั้งเอ่ยทัก
“เอ้า เมมชื่อชั้นไว้แล้วเหรอ” ต๋องรีบทัก กิมลั้งหลุด พอรู้ตัวก็รีบเก็บอาการ
“หรือจะให้ลบออกจากเครื่องเดี๋ยวนี้เลยมั้ยล่ะ” กิมลั้งขู่
“ถ้ากล้าทำแบบนั้นก็แสดงว่า เธอเมมเบอร์ชั้นไว้ขึ้นใจแล้ว” ต๋องแอบหยอด กิมลั้งเขิน แต่ยังคงเก็บอาการ
“ถ้าจะกวนประสาทกันก็แค่นี้นะ”
“เดี๋ยวซิ   ชั้นก็แค่อยากให้เธอหายง่วง  ว่าแต่เธอรู้มั้ยว่าชั้นอยู่ไหนตอนนี้”
“จะไปรู้เหรอ อย่าบอกนะว่า...”
ยังไม่ทันพูดจบกิมลั้งลุกไปดูที่ระเบียงหน้าบ้าน ต๋องยืนยิ้มโบกมือให้อยู่นอกรั้ว
“ป่านนี้ทำไมยังไม่กลับบ้าน  ดึกแล้วนะ” กิมลั้งถามแต่ในใจดีใจจนพูดไม่ออก
“ชั้นเพิ่งไปสั่งพิมพ์ใบปลิวเทศกาลมาน่ะ  พรุ่งนี้ว่าจะเอาไปตระเวนแจก” ต๋องพูดผ่านสายโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี
“แล้วเธอไปแจกกับใครล่ะ” กิมลั้งถามอย่างอยากช่วย
“ก็คงไปคนเดียว  คนอื่นๆเค้าต้องขายของกัน”
“เอ้า แล้วเธอไม่ต้องขายผักเหรอ” กิมลั้งรีบถาม
“ก็ฝากเธอช่วยขายไง” ต๋องยิ้ม
“ไม่กลัวแม่ชั้นพังร้านเธออีกก็เอา”
“พูดเล่นน่า ชั้นก็ฝากเลื่อนกับรักเร่ให้มาผลัดกันช่วยขายน่ะ”
 กิมลั้งรู้สึกผิด
“แย่จังนะ ชั้นช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย”
“ไม่เป็นไรหรอก  แค่ช่วยเป็นกำลังใจให้กันก็พอแล้ว” ต๋องพูดจากใจ
“ชั้นก็คงทำได้แค่นั้นล่ะ  งั้นก็สู้ๆละกันนะ  ทำให้คนที่ไม่ชอบเธอเค้าเห็นว่าเธอทำได้” กิมลั้งให้กำลังใจต๋อง
“โชคดีจังที่เธอไม่ได้เป็นพวกเดียวกับคนที่ไม่ชอบชั้น”
“แล้วเรื่องอะไรชั้นถึงต้องไม่ชอบเธอ” กิมลั้งหลงกล
 “งั้นก็แปลว่าเธอชอบชั้น” ต๋องรีบโมเม ไล่กิมลั้งจนตกหลุมพราง กิมลั้งพอรู้ตัวรีบโวยวายด้วยความอาย
“พูดบ้าอะไรของเธอนี่” กิมลั้งอายม้วน
ต๋องเห็นอาการของกิมลั้งแล้ว อดหัวเราะชอบใจไม่ได้
 
 
เวลาต่อจากนั้น กิมลั้งวางสายจากต๋องไปแล้วเดินหน้าตากังวลมานั่งที่เตียง ครู่หนึ่งมีเสียงเล็ดรอดมาจากใต้หนังสือที่ครอบหน้ากิมแชอยู่
“อยากไปช่วยแฟนแจกใบปลิวอ่ะดิเจ้” กิมแชแซว
 “แอบฟังอีกแล้วใช่มั้ย” กิมลั้ง รีบคว้าหนังสือออกจากหน้ากิมแช
“จะอายทำไมล่ะ  เราน่ะแก้ผ้าอาบน้ำกันมาตั้งแต่เด็กจนโตนะเจ้ ยังต้องมีความลับอะไรกันอีก” กิมแชรีบเอ่ย
“อย่าเรียกต๋องว่าแฟน  เจ้ไม่ชอบ” กิมลั้งบอก
“เมื่อกี้เจ้ยังบอกพี่ต๋องอยู่เลยว่า เรื่องอะไรชั้นต้องไม่ชอบเธอ” กิมแซล้อเลียนพี่สาว
“กิมแช...” กิมลั้งอาย
“น้องล้อเล่นน่ะ  นี่ ถ้าเจ้อยากไปช่วยพี่ต๋องเค้าก็ไปดิ  แจกใบปลิวคนเดียวเหนื่อยตาย”  กิมแชยุ
“ลื้อพูดง่าย แต่มันทำได้ง่ายๆที่ไหน  ถ้าม้ารู้  มีหวังถูกแหกอกแน่” กิมลั้งพูดด้วยความกลัว
“เอ้า แล้วจะให้ม้ารู้ทำไมล่ะ” กิมแชเอ่ยขึ้น
“ลื้อหมายความว่ายังไง”  กิมลั้งยังงง
กิมแชอมยิ้ม ทำหน้าเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนการ
 
 
คืนนั้น ที่ลานจอดรถในตลาด ณดากับศักดิ์ชายจอดรถไม่ไกลกันนัก ทั้งคู่เดินคุยมาด้วยกัน
“ตกลงว่าแก้ไขตามที่บอกละกันค่ะ  จะได้ดูเป็นสัดเป็นส่วนหน่อย” ณดาเอ่ยขึ้น
“ได้ครับ เดี๋ยวคืนนี้ผมจะรีบแก้เลย”  ศักดิ์ชายรีบทำคะแนน
“เป็นน้องใหม่ไฟแรงดีเหมือนกันนะคะคุณน่ะ” ณดาเอ่ยหน้าตานิ่งๆ
“ก็ต้องทำตัวให้น่ารักไว้น่ะครับ  เดี๋ยวเจ้าของตลาดจะไม่เอ็นดู” ศักดิ์ชายหยอด แต่ณดาไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย
“งั้นชั้นไปก่อนนะคะ” ณดาเอ่ยลา
“ครับ”
ทั้งคู่แยกกันขึ้นรถตัวเองไป    แต่พอศักดิ์ชายสตาร์ทรถไม่ติด  ศักดิ์ชายลงจากรถปิดประตูรถอย่างมีอารมณ์
ณดาขับรถมาหยุดใกล้ๆรถศักดิ์ชายแล้วเปิดกระจกถาม
“สตาร์ทไม่ติดเหรอคะ”
“ครับ มันทำท่าจะแย่มาหลายวันแล้ว  ก็ช่างเลือกมาตายเอาวันที่กลับบ้านดึกซะด้วย” ศักดิ์ชายรีบเอ่ย
“ให้ชั้นโทรเรียกช่างประจำของชั้นให้มั้ยคะ” ณดาอยากช่วย
“ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวรอให้เพื่อนผมมาซ่อมให้ตอนเช้าดีกว่า” ศักดิ์ชายรีบแสดงละคร
“เอ่อ แล้วบ้านคุณอยู่ไหนคะ”  ณดารีบถาม
“แถวอ่อนนุชครับ”
“งั้น ติดรถชั้นไปก็ได้   บ้านชั้นอยู่แถวนั้น”
“จะดีเหรอครับ” ศักดิ์ชายแกล้งเกรงใจ
“แล้วมันมีอะไรไม่ดีล่ะ” ณดาไม่ได้คิดเป็นอื่นแต่อยากแสดงน้ำใจ
“คือ....ผมกลัวจะลำบากคุณน่ะครับ”
“ถ้าจะลำบากก็เพราะต้องมาเสียเวลาคุยกับคุณอยู่ตรงนี้มากกว่า”
“งั้นก็ขอบคุณมากครับ”
ศักดิ์ชายล็อกรถตัวเองแล้วรีบขึ้นรถณดาทันที
 
 
ที่ห้องนอนคืนนั้น กิมแชยังคงเล่าแผนการให้กิมลั้งฟัง
“ฮะ ลื้อจะให้เจ้โกหกม้าว่าไม่สบายจะได้ไม่ต้องไปขายของเนี่ยนะ” กิมลั้งเอ่ยอย่างตกใจ
“ใช่ เดี๋ยวม้าก็จะให้ป๊าไปช่วยขายของที่ตลาดแทน  คราวนี้ที่บ้านก็ปลอดโปร่งโล่งสบาย  เจ้จะแอบออกไปช่วยพี่ต๋องยังไงก็ไม่มีใครรู้” กิมแชรีบเล่าแผน
“ทำแบบนี้จะดีเหรอกิมแช” กิมลั้งไม่มั่นใจ
“ไม่ดียังไง นี่เจ้กำลังจะไปช่วยพี่ต๋องเค้าหาคนเข้าตลาดนะ แถมยังได้ไถ่บาปที่ม้าไปทำอะไรไม่ดีไว้กับพี่ต๋องเค้าด้วยไง” กิมแชบอกวิธีการเสร็จสรรพ กิมลั้งเริ่มเคลิ้มตามกิมแชบอก
“แล้วอีกเหตุผลที่สำคัญก็คือ เจ้จะได้อยู่กับพี่ต๋องสองต่อสองทั้งวันเลยไง”
“พูดอะไรน่ะกิมแช” กิมลั้งอาย รีบเดินหนีกิมแชเข้าห้องน้ำ
กิมแชพึมพำกับตัวเอง
“ก็พูดถูกใจดำเจ้ไงล่ะ แหม”
 
คืนนั้น ณดาขับรถมาส่งศักดิ์ชายที่แกล้งรถเสีย ทั้งคู่นั่งเงียบกันอยู่ในรถจนณดารู้สึกอึดอัดเอง
“พูดบ้างก็ได้นะ”
“ผมนึกว่าคุณคงจะไม่อยากคุยกับผมซักเท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็น” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“ชั้นดูใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“คุณคงเลือกใจดีกับคนที่ถูกชะตาด้วยมั้งครับ”
“แล้วคุณคิดว่าชั้นจะถูกชะตากับคนแบบไหน” ณดาเอ่ยขึ้น
ศักดิ์ชายเอามือจับหน้าอกตัวเองที่เหมือนแน่นหน้าอก ก่อนตอบ
“ถ้าเทียบระหว่างผมกับ อืม ต๋อง  คงไม่ใช่ผมแน่นอน” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
ณดาไม่ปฏิเสธ
“คุณคงเข้าใจนะ  ชั้นไม่ใช่นางฟ้า  ก็เลยชอบทุกคนไม่ได้”
“แค่คุณให้ติดรถมาด้วย   ผมก็ดีใจยิ่งกว่าเจอนางฟ้าแล้วล่ะครับ”
จู่ๆศักดิ์ชายเกิดอาการหายใจแรงขึ้นมา  จนณดาตกใจ
“คุณเป็นอะไร”  ณดารีบถามเพื่อเห็นศักดิ์ชายเริ่มหายใจติดขัด
“ผมเป็นโรคหอบน่ะครับ แต่ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องห่วง”
ไม่ทันพูดจบ ศักดิ์ชายหายใจแรงกว่าเก่าจนณดาต้องหยุดรถด้วยความเป็นห่วง
“คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะ  แล้วคุณไม่มียาพ่นเหรอ”
“มีครับ..แต่ผมลืมเอามา”
“งั้นไปโรงพยาบาลมั้ย”  ณดาตกใจ
“ไม่ต้องครับ  ซอยข้างหน้านี่ก็บ้านผมแล้ว” ศักดิ์ชายตอบเสียงเบาคล้ายหมดแรง
“งั้นชั้นไปส่งคุณที่บ้านเลยละกัน” ณดาเอ่ยขึ้น
เธอรีบขับรถด้วยความรวดเร็ว  ขณะที่ศักดิ์ชายหอบหนักขึ้นเรื่อยๆจนมาถึงหน้าบ้านซึ่งเป็นทาว์นเฮ้าส์หรูระดับหนึ่งจนณดายังแปลกใจ รถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านด้วยความรวดเร็ว  ณดารีบลงจากรถวิ่งอ้อมไปเปิดประตูให้ศักดิ์ชาย  เข้ามาในบ้าน
“ยาพ่นคุณอยู่ไหน เดี๋ยวชั้นไปหยิบให้” ณดารีบถามขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวผมหยิบเอง”  
ศักดิ์ชายแกล้งจะไปหยิบเอง แต่รีบเดินหายไปซอกหลืบหนึ่ง  ณดายืนรอดูอยู่สักครู่ศักดิ์ชายจึงค่อยเดินออกมาด้วยอาการที่ดีขึ้น
“เป็นยังไงบ้าง” ณดาถามด้วยความห่วงใย
“ดีขึ้นเยอะเลยครับ  ผมเลยทำคุณณดาลำบากเลย  ต้องมาส่งถึงบ้าน” ศักดิ์ชายเกรงใจ
“ไม่เป็นไรหรอก  ชั้นก็ไม่อยากให้ใครมาเป็นอะไรในรถชั้น” ณเดารีบตอบ
ศักดิ์ชายรับรู้ได้ว่าณดาพูดไปอย่างนั้น
“ยังไงก็ต้องขอบคุณมากนะครับ   อุ้ย ผมลืมไปเลย  คุณณดาดื่มอะไรดีครับ” 
“ไม่ต้องหรอกค่ะ   ดึกแล้วชั้นกลับบ้านเลยดีกว่า”
“งั้นผมไปส่งครับ”
 
ณดาเดินออกมาจากประตูรั้ว  แต่สายตายังมองไปที่ตัวบ้านด้วยความสงสัยซึ่งศักดิ์ชายสังเกตเห็น
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ ก็แค่สงสัยว่าคุณต้องขายผลไม้มากขนาดไหนถึงเก็บเงินซื้อทาวน์เฮ้าส์ขนาดนี้ได้” ณดาแปลกใจ
“อ๋อ หลังนี้ผมเช่าเจ้านายเก่าอยู่น่ะครับ   รับใช้ท่านอยู่นาน   ท่านเลยเมตตาให้เช่าราคาถูก” ศักดิ์ชายรีบอธิบาย กลัวณดาสงสัย
“งั้นชั้นกลับก่อนนะคะ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” ศักดิ์ชายเอ่ย
ณดาไม่ได้ตอบอะไร  ขึ้นรถขับออกไป ศักดิ์ชายมองตามด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“วันนี้เอาแค่มาส่งที่บ้านก่อนละกัน”
 
 เช้าวันใหม่ กิมลั้งนอนห่มผ้าห่มตัวร้อน คล้ายไข้ขึ้น แต่ในผ้าห่มเธอแอบแต่งตัวพร้อมออกจากบ้านซุกตัวอยู่ แล้วเอาไดร์เป่าผม เป่าหน้า เป่าคออยู่บนเตียง กิมแชอยู่ด้านนอกพูดเสียงดังกับกิมฮวยเพื่อให้พี่สาวได้ยิน
“เมื่อคืนน่ะเหงื่อท่วมตัวเจ้เลยม้า” กิมแชรายงานอาการ
พอได้ยินเสียงกิมแช  กิมลั้งรีบเอาไดร์เก็บลิ้นชักหัวเตียงแล้วลงนอน ประตูเปิดออกกิมลั้งรีบส่งเสียงไอ  กิมฮวย กิมแช  และเคี้ยงเดินเข้าห้องมาหากิมลั้งที่เตียง
“ลื้อเป็นไงบ้างอากิมลั้ง” กิมฮวยถามอย่างห่วงใย กิมลั้งตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ม้า”
กิมฮวยลงนั่งบนเตียงเอามือแตะหน้าผากกิมลั้งแล้วต้องตกใจ
“ไอ๊หยา ทำไมตัวร้อนจี๋อย่างงี้”
 เคี้ยงเอามือจัวตัวกิมลั้ง
“โอ้โห ตัวร้อนอย่างนี้รีบพาไปโรงบาลดีกว่า” เคี้ยงพูดอย่างห่วงลูกสาว
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกป๊า   อั๊วกินยาไปแล้วเดี๋ยวนอนพักซักวันน่าจะหาย” กิมลั้งรีบเอ่ยขึ้น
“กินยาพารามันจะไปพออะไร   ไปให้หมอดูอาการน่ะชัวร์ที่สุด”
กิมฮวยห่วงลูกสาวเช่นกัน ส่วนกิมลั้งมองหน้ากิมแชขอความช่วยเหลือ
“ให้เจ้นอนพักอีกซักหน่อยละกันม้า  ถ้ามีอะไรเดี๋ยวอั๊วพาไปหาหมอเองก็ได้  ม้ากับป๊ารีบไปขายของเถอะ เดี๋ยวจะสายนะ” กิมแชรีบช่วย  เคี้ยงเริ่มมองดูนาฬิกา
“จริงด้วยอากิมแช  งั้นลื้อก็ดูแลเจ้ให้ดีนะ  ถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็ให้รีบโทรบอกป๊ากับม้าทันที” กิมฮวยรีบสั่ง
“จ้ะ”
 กิมแชรับปาก แต่แอบดีใจที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผน
 
อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น. 




“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 3 (ต่อ)
 
 
ไม่นานนักกิมฮวยกับเคี้ยงออกไปแผงปลาที่ตลาด กิมแชชะโงกดูที่หน้าต่าง พอเห็นเคี้ยงขับรถกระบะออกจากบ้านไปแล้วรีบหันมาบอกกิมลั้ง
 
“ป๊ากับม้าไปแล้ว”
กิมลั้งจึงตวัดผ้าห่มลุกขึ้นจากเตียง พร้อมเสื้อผ้าที่ใส่ไว้เตรียมพร้อมออกนอกบ้านแล้ว แต่แทนที่จะเริงร่ากิมลั้งดูมีสีหน้ากังวล
“กิมแช เจ้รู้สึกไม่ดีเลยที่ทำแบบนี้”
“โกหกพ่อแม่มันเรื่องดีที่ไหนล่ะ” กิมแชเอ่ยขึ้น
“อ้าว...” กิมลั้งงงเพราะกิมแชเพิ่งช่วยอยู่เมื่อครู่
“แต่ฟังนะเจ้ไม่ได้กำลังจะไปทำชั่วนะ ถ้าการแจกใบปลิวของเจ้วันนี้ทำให้คนเข้าตลาดมากขึ้นได้ คนในตลาดก็จะขายของได้มากขึ้น” กิมแชเอ่ยอีกรอบ
“ถ้าหมายถึงเรื่องนั้นมันก็ดีอยู่แล้วล่ะ” กิมลั้งว่า
“เอ้า แล้วเจ้หมายถึงเรื่องไหน อ๋อ เรื่องที่เจ้แอบหนีแม่ออกไปกับผู้ชายน่ะเหรอ”
กิมแชรีบโพล่ง กิมลั้งหน้าชาไป
“กิมแช...” กิมลั้งพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ
“เจ้ นี่เจ้ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ เจ้มีสิทธิ์ที่จะเลือกผู้ชายที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตด้วยตัวเอง” กิมแชว่า
“เอ้ย นี่เจ้ยังไม่ได้คิดจะเป็นอะไรกับต๋องเลยนะ” กิมลั้งรีบปฏิเสธ
“แต่ถ้าเจ้ไม่เริ่มศึกษาพี่ต๋องตั้งแต่ตอนนี้ แล้วเจ้จะรู้ได้ไงว่าเค้าจะเป็นคนที่ใช่ของเจ้รึเปล่า”
“แต่ว่า...” กิมลั้งอึกอัก
“แน่ะ ยังจะลังเลอีก หรือเจ้อยากจะลงเอยกับผู้ชายที่ม้าเลือกให้อย่างพี่จาตุรงค์อะไรนั่น”
กิมแชเข้าใจพี่สาว ส่วนกิมลั้งพอได้ยินชื่อจาตรุงค์ออกอาการผวาขึ้นมาทันทีทันใด

เวลาต่อจากนั้น ต๋องสะพายเป้ออกมายืนรอริมถนนเตรียมทำภารกิจ ครู่หนึ่งกิมลั้งเดินเข้ามา
“ต๋อง” กิมลั้งเรียก
ต๋องหันหลังไปเห็นกิมลั้งยิ้มดีใจ
“กิมลั้ง”
“คอยนานมั้ย” กิมลั้งถาม
“ไม่เลย ขอบคุณมากนะที่มาช่วย ว่าแต่เธอจะไม่มีปัญหากับแม่แน่นะ” ต๋องถามขึ้น
กิมลั้งยิ้มเพื่อให้ต๋องสบายใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าชั้นช่วยทำให้งานนี้สำเร็จได้ บางทีม้ากับพรรคพวกอาจจะเข้าใจสิ่งที่เธอพยายามทำอยู่ก็ได้” กิมลั้งย้ำ
“ได้...เราจะทำให้ทุกคนเห็นนะ” ต๋องพูดอย่างมีกำลังใจ
“แล้วเราจะไปแจกใบปลิวที่ไหนบ้างเหรอ” กิมลั้งถามขึ้น
“ก็เริ่มจากแถวใกล้ๆตลาดก่อนละกัน แล้วค่อยไล่ไปที่ถนนใหญ่” ต๋องตอบ
“งั้นไปกันเลย”
“เดี๋ยวซิ ก่อนที่จะแจก เราต้องทำตัวให้เป็นจุดสนใจหน่อย” ต๋องเอ่ยขึ้น
“ยังไงเหรอ” กิมลั้งยังไม่เข้าใจ

ไม่นานต่อจากนั้น ต๋องแต่งตัวใหม่ในชุดคลุมผ้ากันเปื้อนสีสดใส ใส่ที่คาดหัวที่มีรูปผักอันใหญ่ ต๋องเหลียวไปด้านหลัง กิมลั้งอยู่ในชุดคลุมผ้ากันเปื้อนสีสดใสอีกสี และใส่ที่คาดหัวเป็นรูปปลาตัวใหญ่ แต่กิมลั้งยังดูเคอะๆเขินๆ
“ไหวมั้ย” ต๋องถาม
“ก็เขินๆอยู่เหมือนกัน” กิมลั้งตอบ
“ทำไมล่ะ น่ารักดีออก” ต๋องชม
“ก็ดีแหละ แต่มันดูเป็นจุดเด่นไปมั้ย” กิมลั้งเขินเพราะไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน
“เอ้า นั่นล่ะที่ต้องการ ไม่งั้นคนจะสนใจเราเหรอ เอาน่ะ เธอต้องมั่นใจในตัวเองซิ เพราะถ้าเราไม่มั่นใจ คนที่รับใบปลิวไปเค้าก็ไม่มีทางมั่นใจในตัวเรา แล้วก็พลอยไม่มั่นใจกับสิ่งที่เรากำลังนำเสนอด้วย” ต๋องเอ่ย กิมลั้งคิดแล้วเห็นด้วยจึงเลิกอาย
“โอเค เข้าใจแล้ว”
“งั้นพร้อมมั้ย” ต๋องโพล่งขึ้น
กิมลั้งสูดหายใจเต็มปอด
“พร้อมที่สุด”
“งั้นไป”
ต๋องกับกิมลั้งออกไปแจกใบปลิว ด้วยความกระตือรือร้น ต๋องอธิบายรายละเอียดกับผู้คนแทนที่จะเอาแต่แจกอย่างเดียว กิมลั้งทำแบบนั้นเช่นกัน ทั้งคู่ช่วยกันแจกใบปลิวไม่ห่างกัน ต่างหันมามองให้กำลังใจกันเป็นระยะ
พอไปอีกที่ ต๋องมองไปฝั่งตรงข้ามเห็นคนเยอะจึงพูดกับกิมลั้งว่าไปฝั่งนั้นดีกว่า ทั้งคู่จะข้ามถนน แต่ด้วยเหตุที่รถเยอะ ต๋องเลยจูงมือกิมลั้งข้ามถนน และแอบรู้สึกดีเหมือนมีคนปกป้องดูแล

พออากาศเริ่มร้อน กิมลั้งเริ่มมืออาการเพลียจึงเดินมานั่งที่เก้าอี้ ครู่หนึ่งมีน้ำที่เปิดขวดใส่หลอดยื่นมาตรงหน้า กิมลั้งยิ้มหวานดีใจขอบคุณต๋องแล้วรับขวดน้ำมา ขณะที่กิมลั้งดื่มน้ำ ต๋องเห็นเหงื่อเต็มหน้ากิมลั้งจึงหยิบทิชชู่มาซับหน้าให้ กิมลั้งเขินจะคว้าทิชชู่จากมือต๋องมาเช็ดเอง แต่ดันพลาดไปคว้ามือต๋องแทนทิชชู คราวนี้ยิ่งเขินหนักเข้าไปอีก ทั้งคู่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ต๋องส่งกล่องข้าวให้กิมลั้ง สองคนนั่งกินข้าวกล่องกันริมถนนอย่างมีความสุข

เวลาต่อจากนั้น จาตุรงค์กำลังขับรถฟังเพลงอยู่ขับรถผ่านมา เห็นกิมลั้งแจกใบปลิวอยู่ด้วยกัน แต่ขณะนั้นใบปลิวตก ต๋องเลยก้มลงเก็บ จาตุรงค์จึงไม่ทันเห็นต๋อง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่รถของจาตุรงค์กำลังแล่นผ่านมา พอดี
“เฮ้ย น้องกิมลั้งรึเปล่า” จาตุรงค์อุทานขึ้นแล้วหันตามไปมอง แต่เห็นเพียงด้านหลังของกิมลั้งเท่านั้น
“แล้วน้องเค้าจะมาทำอะไรแถวนี้”

เวลาต่อจากนั้น ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ กิมฮวยกับเคี้ยงช่วยกันขายของอยู่ ครู่หนึ่งจาตุรงค์ถือกล่องขนมมีชื่อเดินเข้ามา
“สวัสดีคร้าบ...” จาตุรงค์เอ่ยทักทาย
กิมฮวยหันมาพอรู้ว่าเป็นจาตุรงค์ ยิ้มหน้าบานดีใจ
“เอ้า อาจาตุรงค์”
จาตุรงค์รีบยื่นขนมให้
“ผมซื้อขนมมาฝากน่ะครับ”
“ขอบใจมากจ้ะ” กิมฮวยรีบตอบ
“เจ้านี้อร่อยมากนะครับ ต้องยืนเข้าคิวกันเป็นสามสี่ชั่วโมงกว่าจะซื้อได้”
เคี้ยงคิดตาม เลยเผลอลืมตัวพูดขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจ
“อืม คนซื้อนี่ก็บ้าดีนะ เสียเวลาสามสี่ชั่วโมงเพื่อขนมกล่องเดียว”
“ครับ...”
จาตุรงค์เออออไปแบบไม่ทันฟัง แล้วจู่ๆเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนด่ารึเปล่า กิมฮวยตวัดสายตาใส่เคี้ยงทันทีที่พูดไม่รู้จักคิด จึงรีบหันไปแก้ต่าง
“เฮียเค้าหมายความว่า ถ้าขนมเค้าไม่ดีจริง คงไม่มีใครบ้าไปยืนรอซื้อแน่” กิมฮวยพูดอย่างเสียอารมณ์
“อ๋อ ครับ เอ๊ะ ว่าแต่น้องกิมลั้งไม่ได้มาขายของเหรอครับ มิน่า ผมถึงเห็นคนหน้าเหมือนน้องกิมลั้งในซอยเมื่อกี้นี้” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
“ผิดคนแล้วอาจาตุรงค์ วันนี้อากิมลั้งไม่ค่อยสบายน่ะเลยนอนอยู่ที่บ้าน”
กิมฮวยยืนยันว่ากิมลั้งป่วยนอนอยู่ที่บ้านแน่นอน จาตุรงค์พอรู้ว่ากิมลั้งป่วยจึงตกใจแต่เกินเหตุ
“ไม่สบาย เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ”
“อุย แค่ไม่สบาย ไม่ได้ตายอาจาตุรงค์” เคี้ยงเบรก จนโดนกิมฮวยหันไปมองค้อนใส่อีกรอบ
“อีก็อาการดีขึ้นบ้างแล้วล่ะ เมื่อกี้อากิมแชโทรมาบอกว่าไข้ลดลงแล้ว”
กิมฮวยมองกล่องขนมในมือแล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“เอ้อ อาจาตุรงค์ ถ้าลื้อว่าง น้าฝากขนมนี่ไปให้อากิมลั้งหน่อยซิ เผื่ออีอยากกินอะไรอร่อยๆ”
“ได้เลยครับน้ากิมฮวย”
จาตุรงค์รีบรับปากเพราะเข้าทางพอดี ส่วนเคี้ยงมองกิมฮวยอย่างไม่เห็นด้วย

เวลาต่อจากนั้น ที่บ้าน กิมแชเปิดเพลงเสียงดัง ที่ศีรษะมีดอกไม้ปักอยู่หลายดอกกวาดบ้านไป ร้องเพลงฝรั่งไป เต้นไปโดยใช้ไม้กวาดเป็นไมโครโฟน ขณะเต้นเธอดึงคอเสื้อตัวเองให้ไหลเทไปด้านข้างจะได้ดูเซ็กซี่ เต้นๆไปคว้าเอาเถาวัลย์ปลอมที่พันต้นไม้มาคล้องคอประกอบการเต้น ซึ่งลีลาการร้องการเต้นของกิมแชไม่แพ้ใคร เรียกว่าลืมไปเลยว่าอ้วน ครู่หนึ่งเสียงกริ่งบ้านดังขึ้น

กิมแชเต้นมาเรื่อยจนถึงประตูรั้วแล้วเปิดประตูออกจึงเห็นว่าเป็นจาตุรงค์กิมแชถึงกับช็อก ตกอยู่ในภวังค์ เพราะดูเป็นหนุ่มเกาหลี ตรงสเปก จาตุรงค์อึ้งเช่นกันเมื่อเห็นกิมลั้งเพราะจากสภาพคล้ายคนไม่เต็ม
“เบยองจุน...” กิมแชเพ้อ
“เป็นไรคุณ” จาตุรงค์เรียกทัก แต่กิมแชยังตกอยู่ในภวังค์ ยังไม่หายอึ้ง
“เบยองจุน” กิมแชยังเพ้อต่อ
“เป็นไรคุณ” จาตุรงค์ชักรำคาญ กิมแชได้ยินเสียงดังจึงสะดุ้งขึ้น
“เอ่อ...ไม่ทราบมาหาใครคะ” กิมแชได้สติรีบถาม
“น้องกิมลั้งอยู่มั้ย” จาตุรงค์ถามขึ้น

ครู่หนึ่ง ต่อจากนั้น กิมแชรีบเชิญจาตุรงค์เข้าบ้าน เอาน้ำมาเสิร์ฟด้วยอาการเริงร่า
“ที่แท้...พี่ก็คือพี่จาตุรงค์นี่เอง” กิมแชรีบเอ่ยขึ้น
จาตุรงค์เหลือบไปมองไหล่อันเปล่าเปลือยของกิมแชด้วยสายตาแปลกๆ กิมแชเห็นเข้ารีบขยับคอเสื้อ
“อุ๊ย...ขอโทษค่ะ”
“แล้วน้องกิมลั้งไปหาหมอที่ไหน”
“เอ่อ...ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
“ความจริงคุณก็ไม่น่าจะปล่อยเจ้านายไปหาหมอคนเดียวแบบนั้น เค้ายิ่งไม่สบายอยู่” จาตุรงค์คิดว่ากิมแชเป็นคนใช้เพราะรูปร่างหน้าตาต่างจากกิมลั้งมาก
“เจ้านาย ?” กิมแชงง
“ก็น้องกิมลั้งไง”
“เจ้กิมลั้งเป็นพี่สาวของกิมแชเองค่ะ ไม่ใช่เจ้านาย” กิมแชรีบตอบ
จาตุรงค์แปลกใจเพราะรูปร่างหน้าตาของกิมลั้งและกิมแชแตกต่างกันมาก
“เอ้า ที่แท้ก็กิมแชเองเหรอ ทำไมหน้าตาคนละเรื่องกับน้องกิมลั้งเลย”
กิมแชฟังแล้วจ๋อยไป เพราะรู้ทันทีว่าจาตุรงค์หมายถึงที่ตนหน้าตาไม่สวย
“คือกิมแชหน้าตาเหมือนอากงน่ะค่ะ ว่าแต่….พี่จาตุรงค์จะฝากขนมไว้เฉยๆ หรือจะอยู่รอเจอเจ้คะ” กิมแชถามกลับ
“มีเบอร์มือถือน้องกิมลั้งมั้ย” จาตุรงค์ขอเบอร์กิมลั้ง
“เอ่อ...เจ้ไม่ได้เอาไปด้วยน่ะค่ะ คือเจ้ไม่ค่อยชอบใช้มือถือ”
“งั้นเดี๋ยวพี่จะรอซักพักนึงละกัน”
“อืมนี่ก็เที่ยงแล้ว งั้นเดี๋ยวพี่จาตุรงค์...” กิมแชเอ่ยขึ้น
“เรียกพี่รงค์ก็ได้ กิมแชจะต้องออกไปไหนรึเปล่า”
“อ๋อ ไม่ใช่ค่ะ..คือกิมแชจะถามพี่รงค์ว่าจะทานข้าวด้วยกันมั้ยคะ เพราะนี่ก็บ่ายแล้วกิมแชยังไม่ได้ทานข้าวเลย” จาตุรงค์งง
“นี่จะชวนพี่ออกไปทานข้าวเหรอ”
“เปล่าค่ะ กิมแชหมายถึงทานที่นี่ ปกติกิมแชทำกับข้าวทานเองอยู่แล้ว”
“ถ้างั้นพี่...” จาตุรงค์ลังเล แต่ท้องเจ้ากรรมดันร้องดังขึ้นมาจนกิมแชเองยังตกใจ
“คงปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะ” กิมแชยิ้ม
จาตุรงค์อาย แต่กิมแชหัวเราะชอบใจ เพราะเวลานี้จาตุรงค์ทำอะไรยิ่งน่าเอ็นดูไปเสียหมด

อีกฟากหนึ่งเวลาเดียวกัน ริมถนนใหญ่ ต๋องกับกิมลั้งแจกใบปลิวหมดพอดี
“เย้...ในที่สุดก็แจกหมดแล้ว” กิมลั้งดีใจ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเราจะแจกใบปลิวสองพันใบหมดได้” ต๋องพูดอย่างดีใจไม่แพ้กัน
“ถ้าเราตั้งใจจริง ไม่มีอะไรทำไม่ได้หรอกกิมลั้ง” ต๋องว่า กิมลั้งยิ้มอย่างเชื่อมั่น
“ชั้นเชื่อเธอแล้วล่ะ ว่าแต่เราจะกลับกันเลยมั้ย” กิมลั้งถามต่อ
“อืม ไหนๆก็มีโอกาสได้ออกมาข้างนอกแล้ว เธอไม่อยากชวนเพื่อนเธอไปเที่ยวบ้างเหรอ” ต๋องเอ่ยขึ้น
“เพื่อนชั้น ?” กิมลั้งยังไม่เข้าใจ
ต๋องยกมือขึ้นแล้วกระดิกนิ้วไปมา
“ก็พวกเจ้าโป้ง ชี้ กลาง นาง ก้อย ของเธอไง”
“อ๋อ แล้วเธอไม่ต้องรีบกลับไปขายผักเหรอ”
“ผักน่ะชั้นขายทุกวันอยู่แล้ว” ต๋องตอบตรงๆ แต่กิมลั้งนึกว่าต๋องกวนประสาท
“แล้วชั้นไม่ขายปลาทุกวันรึยังไง”
“ก็เพราะวันๆเราเจอกันแต่ผักแต่ปลาไง เราถึงต้องหาเวลาไปเจออย่างอื่นบ้าง โลกของเราจะมีแค่ตลาดไม่ได้หรอกนะกิมลั้ง”
“งั้นเธอจะไปไหนล่ะ ดูหนังเหรอ”
“หนังน่ะไม่ต้องให้ชั้นพาไป เธอกับเพื่อนก็ไปดูกันเองได้”
“อ้าว...ถ้างั้นจะไปไหน” กิมลั้งถามอย่างสงสัย
“ไปดูดาวกันมั้ย” ต๋องชวน
“ดูดาว ? กลางวันแสกๆเนี่ยนะ” กิมลั้งถามขึ้นด้วยความงง
ต๋องพยักหน้า แถมทำหน้าทะเล้นใส่

ต่อจากนั้น ต๋องกับกิมลั้งเดินเข้ามาในห้องห้องหนึ่งของท้องฟ้าจำลอง กิมลั้งดูตื่นตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากเพราะเห็นบรรยากาศในห้องฉายดาว มีดวงดาวมากมายที่ถูกฉายค้างอยู่บนเพดานอย่างสว่างไสว
“มานี่ซิ...” ต๋องพูดพลางจูงมือกิมลั้งไปนั่ง
“ต๋อง เชื่อมั้ย? นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ชั้นได้เข้ามาที่นี่ทั้งๆที่บ้านชั้นอยู่ใกล้แค่นี้ ตอนเด็กๆชั้นร้องให้ม้าพามาท้องฟ้าจำลองทุกครั้งที่ขับรถผ่าน แต่ม้าบอกว่าไม่มีเวลา ต้องขายของ พอชั้นโตพอที่จะมาเองได้ ม้าก็ยังไม่ให้มาเพราะชั้นต้องช่วยม้าขายของ ชั้น...” กิมลั้งเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
ต๋องเข้าใจความรู้สึกของกิมลั้งดี
“ไม่ต้องพูดแล้วกิมลั้ง เพราะตอนนี้เธอได้เข้ามานั่งอยู่ที่นี่แล้วนะ”
กิมลั้งมองต๋องอย่างซึ้งใจ ครู่หนึ่งไฟในห้องค่อยๆมืดลง จอฉายดาวสว่างชัดขึ้นเรื่อยๆที่ท้องฟ้าจำลอง แล้วการแสดงเริ่มต้นขึ้น กิมลั้งชมภาพตรงหน้าน้ำตาคลอด้วยความตื้นตันในสิ่งที่ต๋องทำให้อย่างสุดซึ้ง

บ่ายนั้น จาตุรงค์นั่งกินข้าวอยู่กับกิมแชอยู่ในครัวที่บ้านอย่างเอร็ดอร่อย ข้าวในจานจาตุรงค์เกือบหมดแล้ว กิมแชจึงทำท่าจะเติมข้าวให้อีก แต่จาตุรงค์รีบห้าม
“เติมข้าวอีกนะคะ” กิมแชรีบถาม
“พอแล้วจ้ะพี่ทานสองจานนี่ก็มากเกินไปแล้ว เดี๋ยวอ้วนแล้วเสียบุคลิก” จาตุรงค์ตอบอย่างรวดเร็ว
“เสียบุคลิก ?” กิมแชพึมพำกับตัวเอง แล้วหันมามองรูปร่างอวบอ้วนของตัวเองแบบหน้าเสียๆ แต่จาตุรงค์ไม่ได้สนใจมอง
“นี่ ว่าแต่พี่ไม่คิดเลยนะว่ากิมแชจะทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้” จาตุรงค์ชมจนกิมแชดีใจ
“คือ กิมแชทำกับข้าวให้คนในบ้านทานตั้งแต่เด็กๆแล้วน่ะค่ะ”
“พี่ไม่ได้ยอนะ แต่เนี่ยน่ะรสมือที่พี่ค้นหาเลย พี่กะว่าถ้าพี่แต่งงานมีครอบครัวนะ ผู้หญิงอย่างกิมแชนี่ล่ะ..”
จาตุรงค์ชม กิมแชลุ้นแอบเขินคิดว่าอีกฝ่ายชื่นชอบ จึงเผลออมช้อน
“...ที่พี่จะจ้างไว้เป็นแม่ครัว” จาตุรงค์รีบตอบ กิมแชอารมณ์สะดุดอารมณ์ เลยรวบช้อนส้อมอิ่มข้าวทันที
“เอ่อ เดี๋ยวเชิญพี่รงค์นั่งรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนละกันนะคะ เดี๋ยวกิมแชจะเอาของว่างไปให้” กิมแชรีบเดินไปหาของหวานมาให้ ทำเอาจาตุรงค์ถึงกับตื่นเต้น
“นี่มีของว่างตบท้ายด้วยเหรอ”

หลังจากอิ่มข้าว ทั้งจาตุรงค์และกิมแชย้ายไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น จาตุรงค์ฮัมเพลงตามไป ในขณะที่กำลังยืนไล่ดูแผ่นซีดีเพลงที่วางอยู่ที่ชั้นด้วยความสนใจ ครู่หนึ่งกิมแชเดินถือถ้วยของหวานเข้ามาให้
“มาแล้วค่ะ”
“ซีดีเพลงพวกนี้เป็นของน้องกิมลั้งเหรอครับ พี่ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะชอบฟังเพลงเหมือนกันขนาดนี้ สงสัยจะเป็นพรหมลิขิต” จาตุรงค์รีบถาม
“อ๋อ ซีดีพวกนี้เป็นของกิมแชน่ะค่ะ” กิมแชอบพลางยิ้ม
“อ้าว ?”
จาตุรงค์สงสัยคิดว่าเป็นของกิมลั้งเผลอปล่อยซีดีตกพื้นด้วยความตกใจ กรอบพลาสติกเลยแตก ทั้งจาตุรงค์ทั้งกิมแชรีบก้มลงเก็บแผ่นพร้อมกัน จนศีรษะของทั้งคู่ชนกัน กิมแชเสียหลักเซไปหาจาตุรงค์ทั้งคู่ล้มไปนอนกับพื้นโดยที่ร่างกิมแชล้มทับจาตุรงค์ ปากชนปาก ทั้งคู่นิ่งอึ้งด้วยความตกใจ พอได้สติจาตุรงค์รีบผลักร่างกิมแชออกไป กิมแชอึ้งแต่ยังห่วงเสื้อผ้าของจาตุรงค์ที่เลอะไปด้วยขนมหวานที่เธอถือมาให้ในตอนแรก
“ตายแล้ว เสื้อพี่รงค์เลอะหมดเลย” กิมแชตกใจ จะเข้าไปจับเสื้อจาตุรงค์ จาตุรงค์รีบหักหลบ แต่ใจยังสั่นอยู่
“ไม่ต้องจ้ะ ดีนะเนี่ยที่น้องกิมลั้งไม่บังเอิญมาเห็นเข้าไม่งั้นเข้าใจผิดแย่” จาตุรงค์รีบเอ่ย
กิมแชน้อยใจกับคำพูดของจาตุรงค์แต่ยังเป็นห่วงเป็นใย
“พี่รงค์จะไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก่อนมั้ยคะ เดี๋ยวกิมแชเอาผ้าไปซักให้” กิมแชว่า
“โอ้ ไม่ล่ะจ้ะ ถ้าพี่ต้องใส่ผ้าขนหนูอยู่ในบ้านสองต่อสองกับกิมแชคงไม่งามแน่ วันนี้ท่าจะฤกษ์ไม่ดีซะแล้ว งั้นพี่กลับก่อนละกัน ไปนะ...” จาตุรงค์พูดจบรีบออกไปจนกิมแชอ้าปากลาไม่ทัน
“จูบแล้วหนีกันง่ายๆแบบนี้เหรอ” กิมแชพึมพำกับตัวเอง จู่ๆจาตุรงค์เดินกลับเข้ามา กิมแชแอบดีใจ
“กิมแช...” จาตุรงค์รีบหันหลังกลับมาเรียก
“คะ ?” กิมแชเอ่ย เพราะคิดว่าจาตุรงค์จะพูดเรื่องเผลอจูบไปเมื่อครู่
“ขนมที่เอามาให้น่ะ อย่าแกะกินก่อนน้องกิมลั้งมานะ” จาตุรงค์รีบสั่ง และดับฝันค้างของกิมแชแล้วเดินออกไป กิมแชหน้าจ๋อย

ส่วนต๋องกับกิมลั้งที่ท้องฟ้าจำลอง การฉายดาวจบลงพอดี กิมลั้งมีความสุขคล้ายได้รับการเติมเต็ม เธอหันหน้ามามองต๋องด้วยความซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล ต๋องตกใจต้องรีบหยิบทิชชู่ซับน้ำตาให้
“เอ๊ะ นี่ชั้นพาเธอมาดูหนังดราม่าหรือดูดาวกันแน่นี่” ต๋องเอ่ย
“ก็ชั้นตื้นตันนี่ คิดดูซิ ชั้นลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยอยากมาที่นี่มากแค่ไหน แต่จู่ๆวันนี้ความรู้สึกที่เคยหายไปมันก็กลับมาแบบไม่คิดไม่ฝัน” กิมลั้งรีบเอ่ย
“กิมลั้ง บางทีความต้องการลึกๆที่เรียกร้องอยู่ในตัวเราน่ะมันเป็นเรื่องสำคัญนะ อย่ากดเก็บมันแล้วแขวนตัวเองไว้กับโชคชะตา ไม่งั้นเราจะเป็นแค่สิ่งมีชีวิต แต่ไม่มีวิญญาณ” ต๋องพูดจากใจ กิมลั้งมองต๋องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ขอบคุณเธอมากนะสำหรับทุกอย่างวันนี้”
“ถือว่าเป็นการตอบแทนที่เธอมาช่วยชั้นแล้วกัน นี่ไหนๆก็มาที่นี่แล้ว เราไปทัวร์กันรอบๆดีกว่ามั้ย เธอจะได้ถ่ายรูปกับเพื่อนๆด้วยไง” ต๋องเอ่ย

ต๋องพากิมลั้งเดินชมรอบท้องฟ้าจำลอง สองคนเดินทัวร์จุดแสดงนิทรรศการต่างๆ ต๋องตามเอามือถือแอบถ่ายกิมลั้งในมุมธรรมชาติจนเธอเขินอาย กิมลั้งกำลังเขียนหน้าตาให้กับนิ้วตัวเองเตรียมถ่ายรูป ต๋องมาช่วยวาดหน้าตาตลกๆใส่นิ้วกิมลั้ง จู่ๆต๋องก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“กิมลั้ง...” ต๋องเรียก
“หืม ?” กิมลั้งตอบ
“นี่เธอก็ถ่ายรูปกับเพื่อนนิ้วของเธอไปเยอะแล้วไม่ทราบว่าพอจะให้เกียรติถ่ายรูปกับเพื่อนคนอย่างชั้นได้บ้าง
มั้ย” ต๋องเอ่ยถาม กิมลั้งแอบอมยิ้ม
“แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ”กิมลั้งรีบตอบ
คราวนี้ต๋องยิ้มหน้าบาน แล้วรีบมายืนเคียงข้างกิมลั้งเพื่อถ่ายรูปคู่กัน ต่างคนต่างเขิน

วันเดียวกัน ที่ตลาด ศักดิ์ชายกำลังเลื่อยไม้เหงื่อโทรมอยู่บริเวณเวทีจัดงานยกธงขาว ชาวตลาดช่วยกันตอกตะปูเลื่อยไม้เพื่อทำร้านต่างๆแบ่งเป็นล็อกๆ ศักดิ์ชายแอบชะเง้อหาณดา
“เมื่อไหร่จะออกมาเนี่ย เลื่อยจนเหงื่อท่วมแล้ว ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“อะไรออก?” ณดาโพล่งขึ้น ศักดิ์ชายหันไปเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ข้างหลังถึงกับสะดุ้ง
“ผม บ่นไม้น่ะครับ เลื่อยตั้งนานแล้วไม่ยอมออก สงสัยใบเลื่อยไม่ค่อยดี”
“แล้วคุณหายดีแล้วเหรอที่หอบน่ะ มาทำงานหนักแบบนี้จะไหวเหรอ” ณดาถาม
“ไหวครับ ถ้าเหนื่อยมากเดี๋ยวผมก็พักได้ คุณณดาไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
“ชั้นไม่ได้เป็นห่วงคุณหรอก แค่ไม่อยากได้ตำแหน่งเจ้าของตลาดหน้าเลือด กดขี่ใช้แรงงานคนป่วย”
“โทษทีครับ ผมก็หลงดีใจ” ศักดิ์ชายแอบน่อยใจ ณดาทำหน้าเชิดใส่ศักดิ์ชายเพราะไม่อยากให้ความหวัง

เวลาเดียวกัน ในส่วนสำนักงานตลาดร่วมใจเกื้อ ลุงอ่ำกำลังง่วนอยู่กับเอกสาร สดศรีเปิดประตูเข้ามาพร้อมกวาดสายตาหาณดา
“สวัสดีครับคุณนาย” ลุงอ่ำเอ่ยทัก
“คุณณดาไปไหน” สดศรีรียบถาม
“คุณหนูไปดูเค้าเตรียมสถานที่จัดงานยกธงขาวน่ะครับ” ลุงอ่ำรีบตอบ
สดศรีเปิดรีบเดินไปหาณดาที่บริเวณจัดงานยกธงขาวด้วยสีหน้ากังวล
 
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00น.




“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 3 (ต่อ)
 
 
เวลาต่อจากนั้น อีกมุมของตลาด สดศรียืนคุยกับณดาอย่างไม่พอใจ
 
“ตอนแรกที่ลูกบอกแม่ว่าจะจัดงาน แม่ไม่คิดเลยนะว่าจะลงทุนถึงขนาดนี้” สดศรีเริ่มใส่ณดาทันที
“ณดาก็ไม่ได้ลงทุนอะไรมากนี่คะคุณแม่” ณดารีบชี้แจง
“เห็นทำเวทงเวที ซื้อไม้อัดมาตั้งสองสามแผ่น ตะปูงี้ใหม่ขึ้นวาวเชียว แล้ววันงานนี่ไม่รู้ต้องใช้ไฟใช้น้ำอีกเท่าไหร่” สดศรีฉายแววความงก
“คุณแม่ขา มันก็ต้องมีลงทุนบ้าง นี่เรากำลังหาวิธีดึงคนเข้าตลาดอยู่นะคะ แล้วคนที่มาช่วยเราเค้าก็ไม่ได้คิดค่าแรงกันเลย” ณดาอธิบาย
“แต่แม่ว่า...” สดศรีอ้าปากจะเถียง
“ณดาขอลองใช้วิธีของณดาก่อนนะคะ ถ้ามันได้ผลจริงๆนี่ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่ถูกที่สุดแล้วล่ะค่ะคุณแม่” ณดายืนยันหนักแน่น
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ แม่ชักสงสัยแล้วว่าคิดถูกมั้ยที่ให้หนูมาคุมตลาด” สดศรีพูดอย่างกลัวเปลือง
“ก็ต้องคิดถูกซิคะคุณแม่”
ณดารีบเอ่ย แล้วโผกอดสดศรีอย่างออดอ้อน เพราะอยากช่วยต๋องอีกทาง

สดศรีเสร็จธุระแล้วเดินไปที่ลานจอดรถ จึงสวนกับกิมฮวยที่เดินผ่านมาแถวนั้นพอดี
“เอ้า หวัดดีค่าอาคุณนาย” กิมฮวยทัก
“หวัดดีจ้ะ นี่ กิมฮวย ได้ข่าวว่าจะไม่เอาของออกมาขายวันงานยกธงขาวเหรอ” สดศรีถามกลับ
“อ๋อ ไม่หรอกค่ะอาคุณนาย อั๊วไม่อยากร่วมวงไพบูลย์กับโครงการของไอ้ต๋องสติเฟื่อง กลัวเจ็บตัว” กิมฮวยแจง
“นี่ ไม่ต้องกลัวคนไม่มาซื้อของหรอก เค้าวางแผนโฆษณากันจริงจังเลยนะ มีแจกใบปลิว เห็นว่าจะขับรถจักรยานประกาศโทรโข่งอีกด้วย” สดศรียังชักชวนกิมฮวยต่อ
“อาคุณนายไม่รู้เหรอคะว่าอาต๋องน่ะลองหยิบจับอะไรเป็นได้โลกาวินาศ อั๊วว่าคุณนายไหว้พระไหว้เจ้าเผื่อไว้ให้ดีละกันค่ะ งานนี้หนักจะได้กลายเป็นเบา”
กิมฮวยบอกสรรพคุณต๋องให้สดศรีฟังแบบเสร็จสรรพ

ต่อจากนั้นสดศรี ยังนั่งครุ่นคิดกับคำพูดของกิมฮวยอยู่ในรถ แต่พอรถจะเคลื่อนออกจากตลาด เวลาเดียวกันนั้นชายศักดิ์กับรัศมียืนด้อมๆมองๆบริเวณจัดงานธงขาวในตลาดร่วมใจเกื้อ
“ท่าทางจะทำกันเป็นจริงเป็นจังเหมือนกันนะคะเนี่ย” รัศมีเอ่ย
ระหว่างนั้นมีลมพัดใบปลิวงานที่พื้นถนนมาตกตรงหน้าชายศักดิ์ เขาจึงหยิบขึ้นมาดู ในใจแอบหวั่นไหวกับแผนการยกธงขาวอยู่ไม่น้อย
“นี่นะเหรอไอเดียของไอ้เด็กชื่อต๋องนั่น” ชายศักดิ์เอ่ย
ในรถ สดศรีหันมาเห็นชายศักดิ์กับรัศมีเข้าถึงกับโกรธ สั่งเปาเปาเสียงดัง
“จอดรถ!”
สดศรีเปิดประตูรถแล้วปรี่ไปที่ชายศักดิ์กับรัศมี
“ใครอนุญาตให้เข้ามาในที่ของชั้น ออกไป...” สดศรีเสียงดัง
“อะไรกันศรี นี่ชั้นมาดีนะ” ชายศักดิ์รีบตอบ
“อย่านึกว่าชั้นไม่รู้ทัน พอเห็นตลาดชั้นจะจัดงานเข้าหน่อยถึงกับต้องมาดูลาดเลาเชียวว่าพวกชั้นจะทำอะไร กลัวเหรอ” สดศรีเอ่ยอย่างรู้ทัน
“ถ้าจะกลัว ก็คงกลัวว่าจะไม่มีคนมางานคุณพี่มากกว่าค่ะ” รัศมีกวนประสาทสดศรีอีกตามเคย
“ถ้ามันจะไม่มีก็เพราะคำพูดเสนียดๆที่พ่นมาจากปากของเธอนี่ล่ะ ออกไปได้แล้วทั้งคู่เลย แล้วก็อย่าเหยียบเข้ามาให้เป็นอัปมงคลตลาดชั้นอีก” สดศรีด่าซ้ำอีก
“มันจะมากไปแล้วนะศรี” ชายศักดิ์เดือดขึ้น
“มันน้อยไปด้วยสำหรับความเลวของเธอ ออกไป๊!” สดศรีด่าไม่ยั้ง ชายศักดิ์กับรัศมียังยืนนิ่ง
“ไม่ออกใช่มั้ย” สดศรีคว้าสายยางจากคนงานที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่มาฉีดไล่ชายศักดิ์กับรัศมี
“อ๊าย!” รัศมีร้องกรี๊ด
ชายศักดิ์ถอยร่นออกไปอย่างหมดสภาพและเคียดแค้น สดศรีสะใจกลับไปนั่งรถ แต่ไม่วายตวัดสายตาดูถูกใส่ชายศักดิ์กับรัศมีที่ยืนเปียกปอนอยู่ตรงนั้น

เวลาเดียวกันนั้น ต๋องเดินมาส่งกิมลั้งที่บ้าน หลังจากดูดาวที่ท้องฟ้าจำลองเสร็จ ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันมาจนถึงหน้าบ้าน
“เฮ้อ ได้เวลากลับสู่โลกความเป็นจริงแล้วซินะ ถ้าหยุดเวลาไว้ได้ก็ดีซิ” กิมลั้งหน้าจ๋อย
“คนที่เก่งน่ะไม่ใช่คนที่หลบอยู่ในโลกของตัวเองหรอกกิมลั้ง แต่เป็นคนที่ยังเลือกที่จะสู้กับปัญหาในโลกแห่งความจริงมากกว่า” ต๋องเอ่ยขึ้น
“ก็จริง บางทีเราก็ต้องมีชีวิตเพื่อคนอื่น” กิมลั้งพูดอย่างเข้าใจชีวิต
“ใช่ แต่ก็ต้องไม่ลืมให้รางวัลตัวเองนะ เหมือนวันนี้ไง พอได้ชาร์จแบต เธอก็จะได้มีแรงเดินต่อ” ต๋องยังให้กำลังใจกิมลั้งต่อ
“แล้วเธอล่ะ วันนี้ได้ชาร์จแบตมั้ย หรือว่าหมดแรงเพราะพาชั้นไปนั่นนี่”
“แค่ได้อยู่ใกล้เธอชั้นก็ไฟลุกท่วมแล้ว” ต๋องหยอด
“ฮะ?” กิมลั้งงง
“ก็ แหม วันนี้เธอมีความสุข ชั้นก็ต้องซึมซับพลังความสุขจากเธอมาด้วยเป็นธรรมดา แค่ยิ้มของเธอก็เติมไฟให้ชั้นแล้ว” ต๋องพูดด้วยสีหน้ามีความสุข กิมลั้งยิ้มเขิน
“หยุดยิ้มเถอะกิมลั้ง ไฟไหม้ชั้นเกรียมไปหมดแล้วเนี่ย” ต๋องเล่นมุข
“บ้า งั้นชั้นเข้าบ้านแล้วดีกว่า” กิมลั้งอายจนต้องรีบขอตัวเข้าบ้าน
“จ้ะ บ๊ายบาย แม่สาวไฟแรงสูง” ต๋องพูดส่งท้าย
กิมลั้งหันมาทำหน้าหงิกใส่ต๋องด้วยความอาย แล้วเดินยิ้มเข้าบ้านไป ต๋องเดินกลับไปอย่างมีความสุข

ภายในบ้านกิมแชยังคงนั่งเหม่อ เอานิ้วลูบริมฝีปากที่เพิ่งจูบกับจาตุรงค์ไปเมื่อบ่าย เธอแอบเคลิ้มคิดถึงภาพที่ล้มจูบกันไม่เลิก กิมลั้งเดินเข้ามาเห็นอาการน้องสาวถึงกับงง จึงแกล้งเรียกชื่อใกล้หูเสียงดัง
“กิมแช!” กิมลั้งตะโกนเสียงดัง
“พี่รงค์” กิมแชเผลอตัวเรียกชื่อจาตุรงค์เสียงดังด้วยความตกใจ
“ใครอ่ะ พี่รงค์ ?” กิมลั้งงง ส่วนกิมแชเฉไฉไปได้
“อ๋อ ก็วันนี้พี่จาตุรงค์เค้ามาเยี่ยมไข้เจ้ที่นี่” กิมแชตอบ
“ฮะ ?” กิมลั้งตกใจ
“ยังเจ้ แผนยังไม่แตก อั๊วบอกพี่รงค์เค้าว่าเจ้ไปหาหมอฉีดยา” กิมแชรายงาน
“แล้วไป” กิมลั้งโล่งใจ
“ว่าแต่เจ้ล่ะ วันนี้เป็นไงบ้าง” กิมแชรีบถามกลับ
“ก็ดี” กิมลั้งอาย อมยิ้มตอบ
“สงสัยจะดีมาก” กิมแชรู้ทัน จนกิมลั้งชวนเปลี่ยนเรื่องคุย
“เอ้อ ลื้อเจอพี่จาตุรงค์แล้วนี่ เป็นไงบ้างล่ะ”
“ก็ดี” คราวนี้กิมแชแอบอมยิ้มบ้าง
“หึ ?” กิมลั้งสงสัย
“ก็ เค้ามานั่งรอเจ้ด้วยนะ ท่าทางจะคลั่งไคล้เจ้เอามากๆ” กิมแชตอบ
“พูดแล้วขนลุกน่ะ แล้วลื้อก็ทนนั่งคุยกะเค้าเนี่ยนะ” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“ก็ แหม เราเป็นเจ้าบ้าน แขกมาถึงเรือนชานก็ต้องต้อนรับ นี่ แล้วเค้าเอาขนมมาฝากเจ้ด้วยนะ แถมมีกำชับอั๊วว่าห้ามเปิดกินก่อนที่เจ้จะมา โธ่ เห็นอั๊วอ้วนแล้วคิดว่าจะต้องตะกละรึไง ดูถูกกันชัดๆ” กิมแชเอื้อมไปหยิบกล่องขนมส่งให้กิมลั้ง
“แล้วเค้าดูถูกมั้ย” กิมลั้งถามกลับ
“ก็ ดูถูกอ่ะ” กิมแชยิ้มอาย
กิมลั้งเปิดกล่องขนมดูเห็นว่าเหลือแค่ 2-3 ชิ้น จึงหันไปมองกิมแชอึ้งๆ เพราะแอบกินไปหลายชิ้นจนเกือบหมดกล่อง
“แหมก็มันอร่อยนี่” กิมแชรีบหันมาตอบแบบอายๆ

บ่ายนั้น หลังตลาด พอส่งกิมลั้งเสร็จ ต๋องมานั่งร้องเพลงดีดกีตาร์ที่ริมคลอง พร้อมทั้งแต่งเพลงใหม่
ร้องไปเขียนเนื้อเพลงเขียนคอร์ดใส่กระดาษไป ณดาเดินอยู่ใกล้ๆนั้น พอเห็นต๋องจะเดินไปหา แต่เห็นว่าต๋องกำลังร้องเพลงเล่นดนตรีอยู่ณดาดูสนใจเพราะไม่เคยเห็นต๋องในอารมณ์นี้มาก่อน จึงแอบยืนมองอยู่ที่มุมหนึ่ง
ระหว่างนั้นศักดิ์ชายที่เดินตามหาณดาแอบเห็นเข้าจึงไม่พอใจ ต๋องร้องเพลงท่อนที่เหลือจนจบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แล้วก้มมองเนื้อเพลงในมืออย่างมีความสุข
“นี่แต่งให้โดยเฉพาะเลยนะไม่รู้เธอจะชอบมั้ย ไว้รอฟังวันงานละกัน” ต๋องเอ่ยพลางมองเนื้อเพลงในมือ
ณดาได้ยินแล้วดีใจ คิดว่าต๋องแต่งเพลงให้ตัวเองจึงแอบดีใจ ต๋องรีบลุกขึ้น ขณะที่ณดาพยายามหลบไม่ให้ต๋องเห็น ณดายิ้มเขินกับตัวเองอย่างมีความสุข ซึ่งศักดิ์ชายเห็นแล้วรู้สึกรับไม่ได้
“มันมีดีอะไรวะ?”
ศักดิ์ชายโกรธเตะกองไม้ที่อยู่ใกล้ๆระบายอารมณ์ แต่โชคร้ายเตะไปโดนตะปูที่ตอกติดอยู่กับไม้เข้า
“โอ๊ย” ศักดิ์ชายร้องลั่น
ณดาหันตามเสียงไปเห็นศักดิ์ชายทรุดลงนั่งจึงรีบวิ่งไปหา
“เป็นอะไร” ณดาถาม
ศักดิ์ชายแกะร้องเท้าออกดูเห็นว่าเลือดไหล ณดาตกใจแต่พยายามตั้งสติ
“เจ็บมากมั้ย” ณดาถามด้วยความห่วงใยเพราะตกใจที่เห็นเลือด
ศักดิ์ชายพยักหน้ารับแทนคำตอบ แล้วณดารีบเอื้อมมือไปจับเท้าศักดิ์ชายขึ้นมาที่ตักของตนอย่างไม่รังเกียจ แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตัวเองมาซับเลือดที่เท้าให้ศักดิ์ชายอย่างใส่ใจ ศักดิ์ชายเห็นแล้วถึงกับอึ้ง

ต่อจากนั้น ณดาพาศักดิ์ชายมาที่สำนักงานของตลาด ทำแผลที่เท้าให้ศักดิ์ชายที่ยังคงนั่งมองอย่างตะลึงงันที่ณดาช่วยอย่างไม่รังเกียจ
“ไปทำท่าไหนของคุณนี่ฮะถึงได้เหยียบตะปูเข้าได้” ณดาถาม
“ผมไปหาไม้เก่ามาทำเวทีน่ะครับ ไม่ทันระวังเลยได้เรื่อง” ศักดิ์ชายตอบไปอีกเรื่องเอาดีเข้าตัว
“เดี๋ยวคุณต้องไปฉีดยากันบาดทะยักกันไว้หน่อยนะ” ณดาสั่ง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ศักดิ์ชายแกล้งทนได้
“จะไม่เป็นไรได้ยังไงตะปูขึ้นสนิมขนาดนั้น เดี๋ยวชั้นให้ลุงอ่ำพาไปหาหมอ”
ณดาหันมองหาลุงอ่ำแต่ไม่พบใครแล้ว
“เอ้า สงสัยกลับบ้านกันหมดแล้ว”
ศักดิ์ชายพยายามลุกขึ้น
“งั้นไม่เป็นไรครับคุณณดา”ศักดิ์ชายแกล้งบ่ายเบี่ยง
“ไม่เป็นไร ชั้นพาคุณไปเอง” ณดารีบอาสาเพราะไม่มีทางอื่นแล้ว
ศักดิ์ชายรู้สึกเกรงใจ
“แต่ว่าผม....”
“อย่าทำให้ให้ชั้นเสียเวลาน่ะ” ณดาช่วยพยุงศักดิ์ชายไปหาหมอที่โรงพยาบาล

ดึกคืนนั้น ที่บ้านชายศักดิ์ ศักดิ์ชายเดินกลับเข้าบ้านมาเห็นชายศักดิ์กับรัศมีนั่งหน้าบึ้งรออยู่
“กลับมาแล้วเหรอ มัวแต่ไปขลุกอยู่กับตลาดบ้านั่น รู้บ้างมั้ยว่าพ่อกับแม่โดนสาดน้ำไล่เหมือนหมูเหมือนหมา”ชายศักดิ์ด่าลูกชายทันที
ขณะที่ศักดิ์ชายกำลังงงๆกับสิ่งที่ชายศักดิ์พูด รัศมีร้องทักขึ้นเมื่อเห็นเท้าที่มีผ้าพันแผล
“เอ๊ะ เท้าไปโดนอะไรมาลูก” รัศมีเอ่ยถาม

แต่พอรัศมีรู้เรื่องจากศักดิ์ชายจึงรีบโวยวาย พาลูกมานั่งที่โต๊ะรับแขก
“เห็นมั้ยอยู่ดีไม่ว่าดี ปลอมตัวจนได้เรื่อง เจ็บเนื้อเจ็บตัวแบบนี้ คุ้มกันมั้ย” รัศมีบ่น
“ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ว่าคนที่ทำแผลที่เท้าให้ผมคือณดา คิดว่ามันยังคุ้มอยู่มั้ยล่ะครับ” ศักดิ์ชายตอบ
ชายศักดิ์กับรัศมีดูชะงักไปเมื่อได้ยินที่ศักดิ์ชายบอก
“แล้วต้องให้พ่อกับแม่รอนานอีกแค่ไหนกว่าแผนทำลายตลาดของแกจะสำเร็จ รู้มั้ยว่าชาวบ้านเค้ารู้ข่าวไอ้งานยกธงขาวนั่นไปทั่วแล้ว แบบนี้คนไม่แห่กันไปเหรอ” ชายศักดิ์เอ่ย
“ยิ่งแห่กันมาซิครับยิ่งดี” รัศมีงง
“หมายความว่ายังไง” ชายศักดิ์ถามกลับ
“อย่าบอกนะว่าลูกจะทำให้ไอ้เทศกาลเรียกคนเข้าตลาดของมันกลายเป็นเทศกาลไล่คน” รัศมีรู้ทันแผนลูกชาย
“คุณแม่ผมฉลาดที่สุดเลยครับ” ศักดิ์ชายเอ่ยชม
“เอ้า นี่หาว่าพ่อโง่เหรอชาย” ชายศักดิ์ย้อนถาม
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” ศักดิ์ชายรีบโต้ รัศมีเข้าไปลูบพุงชายศักดิ์อย่างออดอ้อน
“โถๆ ทำไม่พูดอย่างงั้นล่ะคะเสี่ย ลูกจะถอดรหัสพันธุกรรมฉลาดจากใครถ้าไม่ใช่เสี่ย ดูเงาหัวเสี่ย...เอ๊ย..ดูหัวเสี่ยซิคะ นี่น่ะโตเพราะมันสมองไม่ใช่หนองนะคะ ลูกถึงได้รับไปเต็มๆ” รัศมีเอ่ยชมสามี ชายศักดิ์ฟังแล้วยิ้มปลาบปลื้ม เอามือไปลูบหัวศักดิ์ชาย
“ก็เพราะอย่างนี้ไง ลูกชายศักดิ์ถึงต้องชื่อศักดิ์ชาย เพราะมันเพอร์เฟ็กต์เหมือนพ่อแทบทุกจะกระเบียดนิ้ว” ชายศักดิ์ยิ้มอย่างภูมิใจในตัวลูกชาย
“แล้วเป็นเพราะมีแม่ชื่อรัศมี แม่ถึงมีหน้าที่ช่วยลูกเปล่งรัศมีความฉลาดเข้าไปอีกไงจ๊ะ เอาล่ะงานธงขาวนี่มันงานชี้อนาคตของเรากับมัน คิดจะตีงูต้องตีให้ตาย ไหนว่าแผนของลูกมาซิ แม่จะได้ช่วยอุดช่องโหว่” รัศมีพูดจริงจัง ศักดิ์ชายเห็นดีเห็นงามกับแม่ยกใหญ่
“คืองี้ครับ....”
ศักดิ์ชายเล่าแผนการให้พ่อกับแม่ฟังอย่างมีความสุข

เช้าวันใหม่ ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ บริเวณงานยกธงขาว ร้านต่างๆกำลังถูกชักธงขึ้นเสาพร้อมๆกัน
ต๋องยืนพูดโทรโข่งปลุกใจพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ในชุดมีผ้ากันเปื้อน ผ้าโพกหัว โดยมีณดายืนให้กำลังอยู่ที่มุมหนึ่ง
“เอาล่ะครับ และแล้วงานยกธงขาวของเราก็เกิดขึ้นได้ในที่สุด แต่เกิดแล้วจะอยู่ หรือเกิดแล้วจะดับ อนาคตของตลาดก็อยู่ในกำมือของทุกคนแล้วล่ะครับ ขอให้ทุกท่านทำหน้าที่ของตนให้สมศักดิ์ศรีเพื่อไว้ลายให้กับตลาดร่วมใจเกื้อของเรา ขอแค่นี้ได้มั้ยคร้าบ” ต๋องหาแนวร่วม ชาวบ้านพ่อค้าแม่ค้า พร้อมใจกันตะโกน
“ได้”
ศักดิ์ชายประจำอยู่ที่ร้านผลไม้แช่น้ำแข็งปอกขายพยายามเออออให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวไปด้วย
“ไม่ค่อยได้ยินเลย ขอแค่นี้ได้มั้ย...” ต๋องเอ่ยอีกรอบ
“ได้” ชาวตลาดช่วยกันตอบ
“ค่อยชื่นใจหน่อย เอาล่ะครับและเพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย ผมขอเปิดงานด้วยเวลาดี และเพลงดีๆที่เราจะร้องร่วมกันนะครับ” ต๋องเอ่ย
ทุกคนงงต๋องว่าจะร้องเพลงอะไร ต๋องหันไปมองนาฬิกาแล้วพูดขึ้นว่า
“เอานะครับ ทุกคนมานับถอยหลังพร้อมกัน สิบ.... เก้า.....”
ชาวบ้านช่วยกันนับต่อ
“แปด....เจ็ด.....หก.....ห้า.....สี่.....สาม.....สอง.....หนึ่ง”
แล้วเสียงจากลำโพงใหญ่ดังขึ้น เป็นเสียงจากวิทยุ
“เวลา...แปดนาฬิกา”
จากนั้นเพลงชาติดังขึ้น ทันใดนั้นทุกคนฮึกเหิมเหมือนได้พลัง แล้วทั้งหมดร้องเพลงชาติร่วมกันด้วยหัวใจพองโต
“ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติ เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมาย รักษาสามัค...คี ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโย”

lส่วนพวกคนที่ไม่เห็นด้วยกับต๋อง อย่างกิมฮวย เคี้ยง เต๊กไฮ้ ลักษณ์ และจะเด็ด ยืนรวมตัวกันอยู่เหมือนรออะไรบางอย่าง กิมลั้งนั่งขายของอยู่แอบดูอย่างลุ้นๆ ครู่หนึ่งจาตุรงค์เป็นม้าเร็ววิ่งเข้ามา
“สถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไงบ้างอาจาตุรงค์” กิมฮวยถามขึ้น
“เริ่มงานกันแล้วครับ แต่บรรยากาศยังโหวงเหวงวังเวงอยู่ ผมว่าคนคงมาไม่เยอะแน่นอนครับ”
จาตุรงค์รายงาน กิมลั้งนั่งลุ้นอยู่ดูหน้าเสีย
“นั่นซินะ ลูกค้าในนี้ก็ไม่เห็นใครจะสนใจออกไปดูงาน ไอ้ต๋องซี้แน่” เต๊กไฮ้ได้ที จะเด็ดรีบเสริม
“เห็นมั้ย สุดท้ายฟ้าก็มีตา เล่นงานไอ้คนที่สมควรได้รับโทษ” กิมฮวยว่า
ครู่เดียวเท่านั้นเสียงเพลงจังหวะเร้าใจจากลำโพงด้านนอกดังขึ้นมา ทั้งหมดรวมทั้งลูกค้าในตลาดต่างชะงักแล้วหันไปที่ต้นเสียงเป็นสายตาเดียวกัน

ที่เวทีงานทีมเต้นซึ่งเป็นเพื่อนๆของคิตตี้ขึ้นเต้นกันสนุกสนานเร้าใจมาก พ่อค้าแม่ค้าชะเง้อมองการแสดงด้วยความสนใจ ลูกค้าวิ่งมาจากมุมต่างๆเพื่อมาดูการแสดง คนจากในตลาดพากันออกมาดูการแสดง ต๋องกับณดาเห็นคนเริ่มเข้างานมายิ่งดีใจ

คนในตลาดวิ่งมาดูการแสดงกันหนาตา บ้างวิ่งหน้าพวกกิมฮวยเพื่อออกไปดูการแสดงกันยกใหญ่จนกิมฮวยเกือบถูกผลักล้ม ดีที่ลักษณ์ช่วยรับร่างกิมฮวยไว้
“โอ๊ย” กิมฮวยเซ
“ระวังเจ๊” ลักษณ์รีบเข้ามาช่วย
กิมฮวยเริ่มโมโห
“จะอะไรกันนักหนา วิ่งไปดูสุริยุปราคากันรึไงฮะ” กิมฮวยด่า
“เอาไงดี ท่าทางมันจะเริ่มปล่อยของแล้ว” จะเด็ดกังวลใจพอเห็นคนวิ่งออกไปดูงานธงขาว
“ปล่อยของน่ะไม่เท่าไหร่ แต่มันกวาดลูกค้าในนี้ออกไปด้วยนี่ซิที่แย่” เต๊กไฮ้เริ่มกังวล
“ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ คนไทยน่ะ มีของฟรีมาประเคนให้ดูถึงที่มันก็ต้องดู แต่ไอ้ที่จะยอมควักตังค์ซื้อของรึเปล่าน่ะอีกเรื่อง ยิ่งถ้าเป็นการแสดงกะหลั่วๆ เดี๋ยวมันก็ไล่ลูกค้าไปเอง” กิมฮวยใจดีสู้เสือ
“งั้นเดี๋ยวผมออกไปดูลาดเลาต่อให้นะครับ” จาตุรงค์จะเดินออกไปดู แต่เต๊กไฮ้ห้ามไว้เพราะอยากเห็นกับตาตัวเอง
“ไม่ต้องอาตี๋ ไหนๆก็ไหนๆ อั๊วว่าออกไปให้เห็นกับตาดีกว่ามั้ยพวกเรา” เต๊กไฮ้รีเดินออกไปเอง

ผู้คนมุงดูการแสดงหนาตาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสียงกรี๊ดเสียงปรบมือชอบใจดังเป็นระยะ
กิมฮวยยืนอยู่อีกมุมกำลังเบะปากเมื่อเห็นการแสดง
“อีโธ่ ไม่เห็นจะมีอะไร ดูงิ้วยังเร้าใจกว่าตั้งเยอะ พวกลื้อว่ามั้ย” กิมฮวยโพล่งขึ้น
ปรากฏว่าเงียบไม่มีคำตอบ กิมฮวยจึงหันไปดู จะเด็ดกับเต๊กไฮ้กำลังเผลอขยับตัวตามสาวๆที่เต้นบนเวทีด้วยอาการตาค้าง กิมฮวยตวาดขึ้นทันที
“เฮ้ย พวกลื้อเป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย”
จะเด็ดกับเต๊กไฮ้ สะดุ้งจากภวังค์ แก้ตัวไปต่างๆนานา
“คือ ชั้นกำลังคิดน่ะว่าไอ้ท่าทางพวกนี้มันดีตรงไหน น่ามองยังไง ไม่เห็นจะเข้าท่าว่ามั้ยเต๊กไฮ้”
เต๊กไฮ้รีบรับลูกทันที
“นั่นน่ะซิ มาทำเต้นซู่ซ่า ไม่เห็นจะน่ากรี๊ดตรงไหน”
บนเวทีการแสดงจบลงพอดี ชมพู่ในฐานะพิธีกรขึ้นมาบนเวที รีบกล่าวขึ้น
“จบไปแล้วนะคะการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจของเรา”
คนดูส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
“เอาอีก เอาอีก...”
“คุณได้สิทธิ์นั้นแน่นอนค่ะ เดี๋ยวได้ดูอีกแน่ๆ แต่ตอนนี้ขอเบรกให้นักเต้นเปลี่ยนชุดสวยๆกันซักสิบห้านาทีนะคะ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ระหว่างนี้ทุกท่านสามารถเลือกหาสินค้าที่พ่อค้าแม่ค้ายอมยกธงขาวขายให้คุณในราคาพิเศษได้เลยค่ะ” ชมพู่เอ่ย

อีกมุมหนึ่งเขียวหวานคนงานประจำร้านป้าพิณส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
“ข้าวแกงร้อนๆจ้ะข้าวแกงร้อนๆ”
คำมูลเข็นรถส้มตำมาบังหน้าร้าน ทำตากรุ้มกริ่มใส่เขียวหวาน
“ว่าแต่ร้อนเท่าคนขายได้มั้ยจ้ะ” คำมูลหยอด
ป้าพิณเท้าเอวเตรียมฉะ
“ร้อนซิ ร้อนมาก พร้อมจะเพ่นกบาลเอ็งอยู่แล้วนี่”
“โธ่ ป้าพิณ” คำมูลหันมาทำหน้าจ๋อย
“เอ็งมาจอดรถขวางหน้าร้านข้าทำไมไอ้คำมูล อยู่ห่างอีเขียวหวานซักวันสองวันใจมึงจะขาดรึไง” ป้าพิณเอ่ย
“ป้าใส่รองเท้าข้างเดียวเดินได้มั้ยล่ะ ฉันใดก็ฉันนั้น เขียวหวานก็เหมือนรองเท้าอีกข้างของชั้นที่หายไป” คำมูลเถียง
“งั้นเอาของข้าไปอีกข้างมั้ย ไปเลยนะ เอ็งเข็นไปขายตรงอื่น ลูกค้าข้าจะได้ซื้อสะดวกๆ”
ป้าพิณแทบจะขว้างรองเท้าใส่คำมูลไปอีกข้าง ลูกค้ากำลังมุ่งหน้ามาที่ร้านป้าพิณกันหนาตา
“เอ้า เชิญค่ะเชิญ ทานอะไรดีจ๊ะ อร่อยทุกอย่าง แถมวันนี้ราคาพิเศษยกธงขาวด้วยนะคะ” ป้าพิณตะโกนเรียกลูกค้า คำมูลเลื่อนรถเข็นเพื่อให้ลูกค้าเข้าร้านสะดวก ไม่นานนักมีคนมาซื้อส้มตำคำมูลด้วยเหมือนกัน

ทวีกับเครือฟ้าหิ้วตะกร้าลั้นลาตื่นตาตื่นใจเดินเข้ามาในตลาด
“โอ้โห ของขายเต็มไปหมดเลย” ทวีสาวสำเนียงใต้เอ่ยขึ้น
“อุ๊ย ตรงปู๊นมีแคบหมูน้ำพริกหนุ่มบ้านเฮาด้วยน่ากินมาก” เครือฟ้าอู้คำเมืองมาเช่นเดียวกัน
ทวีมองตามไปที่ร้านที่เครือฟ้าพูดถึง พอเห็นหนุ่มคนขายรูปหล่อก็ตาลุกวาว
“ว๊าย คนขายก็น่ากิน งั้นวันนี้สะตอจะขอลองจิ้มน้ำพริกหนุ่มดูซักวัน”
สองสาวรีบไปหาเป้าหมายทันที แต่มีมือมือหนึ่งเอื้อมมาคว้าแขนทวีไว้
“เอ้า...ทวี” กิมฮวยทักขึ้น
“วันนี้อาคุณนายสดศรีปล่อยลื้อออกมาจ่ายกับข้าวได้แล้วเหรอ” กิมฮวยดักคอ
“เผอิญของหมดตู้เย็นแล้วน่ะเจ๊กิมฮวย ถ้าคุณนายไม่ยอมจ่ายค่ากับข้าว ทั้งบ้านก็เหลือแต่อาหารไอ้ดิ๊กกี้” ทวีรีบตอบ
“วันนี้ที่แผงอั๊วมีปลาสดๆลงเต็มเลยนะ ไปดูเลยมั้ย” กิมฮวยรีบชวน
“เดี๋ยวชั้นตามไป ว่าแต่แผงเจ๊อยู่ตรงไหนของงานล่ะ” ทวีถามกลับเพาะคิดวิ่มฮวยเข้าร่วมงานด้วย
“เอ่อ อั๊วไม่ได้เอาออกมาขายในงานด้วยหรอก” กิมฮวยตอบ
“อ้าวเหรอ งั้นวันนี้ชั้นคงต้องขอบายเจ๊ซักวันนะ เห็นเค้าบอกว่าของในงานถูกกว่าในตลาดไม่ใช่เหรอ” ทวีเอ่ย
“ถูกกว่าซิ ก็คุณหญิงของเฮาได้รับแจกไปปลิวมา ขนาดกับข้าวหมดตั้งแต่เมื่อวาน คุณหญิงยังยอมกินมาม่าแขวนท้องรอให้มาซื้อของวันนี้” เครือฟ้ารีบเสริม
“แหม คุณหญิงคุณนายแถวบ้านเรานี่เค็มรสเดียวกันจริงๆ ไป รีบไปซื้อของดีกว่า เดี๋ยวจะได้ไปจองที่นั่งปิกนิกกันหน้าเวทีแสดง” ทวีกับเครือฟ้าจูงมือกันเดินไปปล่อยให้กิมฮวยยืนหน้าเครียด
“ดูซิ ขาประจำยังนอกใจ อั๊วว่าเราต้องทำอะไรซักอย่างแล้วล่ะ ไม่งั้นวันนี้ขายของไม่ได้แน่”
กิมฮวยหันไปบ่นกับพรรคพวก ก่อนจะมีแผนในใจที่ต้องทำอะไรซักอย่างต่อจากนี้


จบตอนที่ 3 
 
อ่านต่อตอนที่ 4 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.



กำลังโหลดความคิดเห็น