xs
xsm
sm
md
lg

รักเกิดในตลาดสด ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 5
 
     
ต่อจากนั้นในงานหมั้น เสียงดนตรีอินโทรเพลงดังขึ้น คนในงานตั้งใจรอฟังเพลงด้วยใบหน้าชื่นบาน กิมแชในชุดกี่เพ้าแหวกออกมาจากหลังม่านแล้วเริ่มร้องเพลงรักซึ้งใจแฝงเศร้าที่กิมแชอยากจะถ่ายทอดให้จาตุรงค์รับรู้ถึงความรู้สึกภายในใจ กิมแชร้องเพลงได้กินใจและมีพลัง ยิ่งปรากฏกายในแสงไฟ ยิ่งดูสวยตรึงใจเป็นคนละคน ผู้ร่วมงานดูตะลึงไปกับเสียงของกิมแชราวต้องมนต์ โดยเฉพาะจาตุรงค์ถึงกับอ้าปากค้าง เผลอปล่อยมือที่กำลังเกาะกุมกิมลั้งไปโดยไม่รู้ตัว

“เพลงโปรดเลย” จาตุรงค์เผลอเคลิ้ม
“นี่ล่ะนักร้องหญิงของวงที่หายไป” อาแปะต๋องที่นั่งฟังอยู่ที่มุมหนึ่งดูประทับใจกับเสียงกิมแชมาก
ป้าพิณ เขียวหวาน และคำมูล อึ้งไปกับเสียงของกิมแช
“เสียงร้องกิมแชนี่มันบาดหัวใจข้าจริงๆว่ะ สายตาที่อีมองไปที่อาจาตุรงค์นี่ราวกับจะกลืนกิน” ป้าพิณเอ่ยขึ้น
“สงสัยพี่กิมแชจะสมมติว่าตัวเองเป็นพี่กิมลั้งมั้งจ๊ะ จะได้ส่งความรู้แทนพี่สาว” เขียวหวานเอ่ยขึ้น
“ฟังแล้วได้อารมณ์จนพี่แทบจะอยากจัดงานแต่งเราตามไปวันนี้พรุ่งนี้เลยนะจ๊ะเนี่ย” คำมูลพูดพลางจับมือเขียวหวาน ป้าพิณเห็นแล้วไม่สบอารมณ์รีบกระชากเขียวหวานออก แล้วเข้าไปนั่งกลางระหว่างทั้งคู่แทน
“ไอ้คำมูล งานน่ะเอ็งได้จัดแน่” ป้าพิณเอ่ย
“จริงนะป้า” คำมูลยิ้มนึกว่าป้าพิณอนุญาต
“จริงซิ แต่เป็นงานศพนะ” ป้าพิณโพล่งขึ้น
“โธ่ ป้า” คำมูลหน้าจ๋อยไปตามระเบียบ
ส่วนอีกมุมหนึ่งคิตตี้ ชมพู่ และน้อยหน่านั่งอยู่ใกล้ๆกัน ชมพู่นั่งถ่ายรูปบรรยากาศรอบงานไม่หยุดแถมคอยยื่นกล้องไปเกะกะวุ่นวายกับคิตตี้ที่นั่งอยู่ใกล้ๆจนอีกฝ่ายหงุดหงิด
“นี่นังชมพู่ แกทำไมไม่ผลักหัวชั้นเลยล่ะ ไม่รู้จะถ่ายอะไรนักหนา” คิตตี้ว่า
“คนไม่มีโอกาสมีผัวอย่างแกจะไปเข้าใจอะไร ผู้หญิงอย่างชั้นน่ะมันก็ต้องศึกษางานแบบนี้เอาไว้ ถึงงานของตัวเองกับพี่ต๋องเมื่อไหร่ อะไรมันจะได้ราบรื่น” ชมพู่สวนกลับ
“โถๆ ถ้าต๋องจะแต่งน่ะ เค้าต้องแต่งกับคนเว้ย ไม่ใช่ชะนี” คิตตี้ไม่ยอม
“แต่งกับชะนี ก็ดีกว่ากระซู่กูปรีอย่างแกละกัน” ชมพู่ย้อน
น้อยหน่าเริ่มรำคาญเพราะจะฟังเพลง รีบหย่าศึก
“เถียงกันอยู่ได้ คิดเหรอว่าต๋องเค้าจะเอาแกสองคน”
คิตตี้ ชมพู่ฟังน้อยหน่าพูดแล้วทำหน้าเซ็งไปตามๆกัน

บรรยากาศงานหมั้นยังคงคึกคัก จาตุรงค์ทักทายเฮฮาอยู่กับเพื่อนๆ ต่างจากกิมลั้งมองมาที่จาตุรงค์ด้วยท่าทีเหนื่อยใจ จึงหันหลังกลับจะเดินหนีไปทางอื่นแต่ปรากฏว่าจ๊ะเอ๋กับอาแปะต๋องที่เดินเข้ามาหาพอดี
“อุ๊ย” กิมลั้งตกใจเดินชนอาแปะต๋อง
อาแปะจับมือกิมลั้งแล้วยื่นกุหลาบแดงไปให้หนึ่งดอก กิมลั้งรู้สึกวูบวาบแปลกๆเมื่อสัมผัสมืออาแปะคนนี้
“เดี๋ยวมันก็จะผ่านพ้นไป” อาแปะพูดแล้วยิ้มก่อนเดินออกไป กิมลั้งมองตามด้วยอาการเพ้อๆงงๆ ระหว่างนั้นณดาเดินเข้ามาหา
“กิมลั้ง” ณดาเรียก
กิมลั้งหันมาเห็นณดา สะดุ้งตกใจเพราะไม่คิดว่าจะเห็นณดาในงานของตน
“คุณณดา”
“ชั้นยินดีด้วยนะ” ณดาทักและดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แต่กิมลั้งกลับทำตัวไม่ถูก
“เอ่อ...ขอบคุณ”
ทันใดนั้นจาตุรงค์เดินเข้ามากับกลุ่มเพื่อน
“น้องกิมลั้งจ๊ะ มาถ่ายรูปกับเพื่อนๆพี่หน่อยซิ”
กิมลั้งดูอึกอักเพราะไม่อยากไป
“ไปเถอะ ตามสบาย” ณดาว่า
กิมลั้งหันมามาพยักหน้ากับณดาแล้วเดินไปหาจาตุรงค์ กิมลั้งออกไปณดาหันมาอีกทีต้องสะดุ้งเมื่อเห็นศักดิ์ชายยืนอยู่ใกล้ๆ
“เห็นผมแล้วทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยครับ” ศักดิ์ชายเอ่ย
“ชั้นก็แค่ไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรชวนหดหู่ตั้งแต่เช้าขนาดนี้” ณดาย้อน
“หน้าผมมันคงจะมากลบหัวใจพองโตของคุณไม่ได้มั้งครับ เพราะดูๆแล้วงานวันนี้นี่น่าจะทำให้คุณดีใจกว่ากิมลั้งซะอีก” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้นอย่างประชด
“หมายความว่ายังไง” ณดาเริ่มโมโห
“เอ้า ลองกิมลั้งลงเอยกับเพื่อนผมได้ ก็เท่ากับคุณหมดเสี้ยนหัวใจไปคน” ศักดิ์ชายรีบแจง
“ถ้าชั้นจะคิดอย่างนั้นมันก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอ” ณดายิ้มเยาะ
“เอ้า แล้วคุณเอาผมไปทิ้งไว้ที่ไหนล่ะ” ศักดิ์ชายรีบป่วนกลับ
“อย่าเรียกว่าทิ้งเลย เพราะชั้นไม่เคยหยิบคุณขึ้นมาเลยซักครั้ง” ณดาพูดจบแล้วเดินเชิดออกไป ทิ้งให้ศักดิ์ชายมองตามอย่างแค้นๆ
“คิดว่าอะไรๆมันจะง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ”

มุมหนึ่งในงาน จาตุรงค์กระหายน้ำเดินหันซ้ายหันขวา พอเห็นคนเสิร์ฟน้ำกำลังจะเดินผ่านมาตะโกนเรียก
“น้องๆ”
แต่คนเสิร์ฟไม่ได้ยิน เลยหยิบน้ำแก้วสุดท้ายที่เหลือในถาดให้แขกที่เข้ามาขอพอดี จาตุรงค์มองตามอย่างเซ็ง
“ตกลงจะไม่มีน้ำให้ว่าที่เจ้าบ่าวกินซักแก้วเหรอใช้มั้ยวันนี้”
ครู่หนึ่งมีน้ำแก้วหนึ่งยื่นมาตรงหน้า จาตุรงค์หันไปมองคนที่ยื่นแก้วมาให้อย่างงงๆ
“อั๊วขอแสดงความยินดีกับลื้อด้วยนะ” อาแปะในร่างต๋องอวยพร จาตุรงค์รับแก้วน้ำมาดื่ม
“ขอบคุณครับแปะ” จาตุรงค์รีบรับน้ำมาดื่ม
“ไอ้ลูกหมา ขอให้ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรนะ”อ าแปะขยี้หัวจาตุรงค์แบบแอบแกล้ง
“ยังครับแปะ ผมยังไม่ได้แต่ง นี่งานหมั้น” จาตุรงค์รีบเอาหัวหลบอาแปะ
“เอ้าเหรอ คนก็แก่ก็สมองเบลออย่างนี้ล่ะ เดี๋ยวอั๊วไปคุยกับญาติๆทางนู้นก่อนนะ” อาแปะรีบเดินออกไป ต๋องยิ้มมีเลศนัยกับขวดยาดองเล็กๆในมือที่แอบหยดในแก้วน้ำ
“เจอยาดอง ม้าดีดกะโหลกช้างสูตรบ้านไอ้ต๋องเข้าไป ไม่รอดแน่” อาแปะต๋องพูดแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
จาตุรงค์ทำท่าจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แต่พอหันไปเห็นกิมลั้งยืนปาดเหงื่ออยู่อีกมุมหนึ่งก็ชะงัก มองแก้วน้ำในมือ แล้วรีบเดินไปหากิมลั้ง อาแปะต๋องที่แอบอยู่มองตามจาตุรงค์อย่างงงๆ

“น้องกิมลั้ง ดื่มน้ำหน่อยนะ จะได้หายเหนื่อย” จาตุรงค์ส่งน้ำให้กิมลั้ง
“ขอบคุณ” กิมลั้งรับมาแบบไม่ให้เสียมารยาท
อาแปะตามมาเห็นว่าแก้วน้ำอยู่ในมือกิมลั้งแล้วตกใจ รีบวิ่งเข้ามาหา กิมลั้งกำลังจะยกแก้วดื่ม อาแปะต๋องตัดสินใจเดินไปชนกิมลั้งจนน้ำหกใส่เสื้อผ้าเปียกไปหมด
“ไอ้หยา อั๊วขอโทษนะอากิมลั้ง อั๊วไม่ทันมอง” อาแปะต๋องรีบขอโทษ
“ไม่เป็นไรค่ะแปะ เดี๋ยวชั้นขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะพี่รงค์” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“จ้ะ” จาตุรงค์มองตามด้วยความห่วงใย
กิมลั้งเดินออกไป อาแปะรีบหันไปจับไม้จับมือจาตุรงค์
“อั๊วขอโทษนะอาจาตุรงค์ เดี๋ยวนี้ตามันฝ้าฟางเลยมองไม่ค่อยเห็นอะไร” อาแปะต๋องแกล้งเข้ามาวนเวียนกับจาตุรงค์อีก
“น้องเค้าก็บอกแล้วไงครับแปะว่าไม่เป็นไร” จาตุรงค์เริ่มหงุดหงิด
“กำเสี่ยนะ ลื้อสองคนนี่งามทั้งหน้า งามทั้งใจ สมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก เกิดมาเพื่อกันและกันโดยแท้” อาแปะต๋องเริ่มชม
“ขนาดนั้นเลยเหรอแปะ” พอได้รับคำชมจาตุรงค์เริ่มชอบใจ
“ก็ใช่น่ะซิ ไปๆ เพื่อเป็นการไถ่โทษ เดี๋ยวอั๊วหาน้ำให้ลื้อใหม่ดีกว่า” อาแปะต๋องรีบมองหาวิธีจัดการจาตุรงค์
“ไม่เป็นไรแปะ” จาตุรงค์รีบเอ่ย
“แสดงว่าลื้อไม่ให้อภัยอั๊ว อั๊วชีช้ำ” อาแปะทำท่าจะร้องไห้
“ก็ได้ครับ ก็ได้” จาตุรงค์หลงกล
อาแปะต๋องดีใจ รีบจูงจาตุรงค์ออกไปอีกมุมหนึ่งของงานหมั้น

จาตุรงค์นั่งรอ ครู่หนึ่งอาแปะเดินเข้ามาพร้อมน้ำสองแก้วในมือ แล้วยื่นให้จาตุรงค์แก้วหนึ่ง จาตุรงค์รับไป
“เอ้า ฉลองกันหน่อย แด่ว่าที่เจ้าบ่าวที่น่าอิจฉาที่สุดในปฐพี” อาแปะเอ่ยขึ้นแล้วยกแก้วขึ้นดื่ม จาตุรงค์ยกแก้วขึ้นตามอย่างชอบใจ ทั้งคู่ชนแก้วกัน แต่แล้วจู่ๆจาตุรงค์ยื่นแก้วของตัวเองไปจ่อตรงหน้าอาแปะเหมือนจะป้อนให้ดื่ม อาแปะชะงักไปรีบบ่ายเบี่ยง
“วันนี้วันดี ดื่มให้ผมเป็นเกียรติละกันนะแปะ” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
จาตุรงค์พยายามชักชวนให้อาแปะดื่มแก้วของตัวเอง แต่แล้วอาแปะคล้ายคิดอะไรขึ้นได้
“แหม ถ้าให้เกียรติกันมันต้องมันกว่านี้”อาแปะต๋องหาวิธีจัดการจาตุรงค์จนได้
อาแปะต๋องยื่นแก้วให้จาตุรงค์บ้าง แล้วตวัดมือกลับมาเป็นคล้องแขนจาตุรงค์เพื่อจะได้ดื่มจากแก้ว แล้วลอบมองจาตุรงค์อย่างยิ้มร้าย
อีกมุมของงานหมั้นกิมลั้งกับจาตุรงค์ เลื่อนกับรักเร่แอบยืนมองอาแปะในร่างต๋องกันอย่างฮาเฮ
“ไอ้เลื่อน ไหนพี่ต๋องเค้าบอกว่าจะมาพังงานวันนี้ไงวะ แล้วไหงถึงได้ไปคุยกระหนุงกระหนิงหงุงหงิงหงุงหงิงกับจาตุรงค์มันขนาดนั้น” รักเร่เอ่ยขึ้นอย่างงงๆว่าต๋องจะจัดการเรื่องงานหมั้นอย่างไรกันแน่
“ตอนนี้ข้าก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น รู้แต่ว่าระดับพี่ต๋องแล้วรับรองว่าอะไรๆมันต้องไม่ธรรมดาแน่” เลื่อนพูดอย่างรู้นิสัยต๋องดี

ภายในงาน แขกเหรื่อยังอยู่กันเต็มงาน จู่ๆเสียงคล้ายเสียงม้าดังขึ้น
“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่”
แขกในงานหันไปที่ต้นเสียงด้วยความตกใจ จาตุรงค์ทำท่าควบม้ามาแต่ไกลในอาการเมา คึกคักเกินกว่าเหตุ
“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่กับๆ ฮี่กับๆ ฮี่กับๆ”
จาตุรงค์กระโดดขึ้นโต๊ะไปทำท่าควบม้า ใช้เชือกในมือตวัดฟาดนั่นนี่ไปมาราวแส้ กิมฮวย เคี้ยง เต๊กไฮ้ และลักษณ์วิ่งออกมาดู
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” กิมฮวยถึงกับช็อก
จาตุรงค์โวยวายคึกไม่หยุด กิมลั้งโผล่มาเห็นตกใจ
“น้องกิมลั้ง”
จาตุรงค์เดินไปหากิมลั้ง แต่ดันเดินเลยกิมลั้งไปหากิมแชที่ยืนถัดมา แล้วจับมือกิมแช
“กิมลั้ง วันนี้กิมลั้งสวยมากเลยรู้มั้ยจ้ะ ร้องเพลงก็เพราะถูกใจพี่รงค์”จาตุรงค์เมาจนจำใครไม่ได้

“แต่ว่า....” กิมแชทำหน้าไม่ถูก
“ไม่มีคำว่าแต่...” จาตุรงค์เอานิ้วแตะที่ริมฝีปากกิมแชไม่ให้พูดต่อ
จาตุรงค์จูงมือกิมแชไว้
“ลื้อเป็นบ้าอะไรของลื้อฮะอาใจอัง” เต๊กไฮ้รีบเดินเข้ามาขวาง
“ใครเอาแปะยิ้มมาปล่อยแถวนี้เนี่ย งานนี้ไม่มีเชิดสิงโตเว้ย หลบไป” จาตุรงค์ผลักเต๊กไฮ้ไปให้พ้นทาง จำไม่ได้ว่าเป็นพ่อตัวเอง เต๊กไฮ้กับลักษณ์มองหน้าอย่างมึนงง แล้วจาตุรงค์รีบพากิมแชขึ้นเวทีไป
“ในงานมงคลสำคัญแบบนี้พี่ว่าเรามาร้องเพลงคู่ให้แขกผู้มีเกียรติฟังดีกว่านะจ๊ะ” จาตุรงค์พูดบนเวที แล้วรีบกดรีโมททีวีเพื่อเปิดเพลงคาราโอเกะ แล้วอินโทรเพลง “นกเขาคูรัก” ดังขึ้น
“เฮ้ย นี่มันเพลงเก่งประจำตัวข้าเลยนะ” ป้าพิณชอบใจ หันไปพูดกับเขียวหวานและคำมูล
“หวังว่าจะถูกใจวัยดึกกันนะครับ” จาตุรงค์พูดบนเวที ป้าพิณได้ยินคำว่าวัยดึกเข้าถึงสะอึก คำมูลกับเขียวหวานหัวเราะชอบใจ
“โน่นแน่ะนกเขาคูจุ๊ก จุ๊กกรู นกมันเฝ้าคูหาชู้มัน”
จาตุรงค์เข้าเพลง แล้วยื่นไมค์ให้กิมแชที่ทำท่าจะหันหนี จาตุรงค์จับหัวกิมแชให้กลับมาพร้อมกับทำหน้าดุขู่ กิมแชเลยต้องร้อง
“โถ โก่งคอทำเสียงหวาน ช่างน่าสงสารนะกระไร ใจข้า”
จาตุรงค์ยิ้มชอบใจ คนดูเห็นทั้งคู่ร้องเพลงแล้วกลับชอบใจ
“ก็พี่ปักใจใฝ่รักๆ เจ้าใยไม่เห็นใจ เมตตา”
จาตุรงค์ร้อง กิมแชเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ร้องท่อนของตัวเองทันที
“นกมันรักกัน รักมันก็มีแต่จ๊ะจ๋า ไม่มีมารยาเสมือนร้อยลิ้นคนพร่ำ”
อาแปะต๋องยืนยิ้มหัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นภาพบนเวที เลื่อนกับรักเร่ที่เห็นเหตุการณ์แล้วอดอมยิ้มไม่ได้เช่นกัน
“ข้าบอกแล้วไง ระดับพี่ต๋อง ต้องไม่ธรรมดา”
เลื่อนว่า กิมฮวย เคี้ยง เต๊กไฮ้ และลักษณ์ จับกลุ่มคุยกันหน้าเครียด
“แล้วเราจะเอายังไงต่อกันดี” เคี้ยงถามขึ้น เต๊กไฮ้ยังยืนคงมึน
“อาเต๊กไฮ้ ตกลงลื้อจะทำอะไรซักอย่างมั้ยเนี่ย”กิมฮวยโวยวาย
บนเวทีจาตุรงค์ยังคงเริงรื่นอยู่กับการร้องเพลงกับกิมแช
“แน่ะใคร” จาตุรงค์ร้อง
“ไหนใคร” กิมแชต่อ
“โน่นไง แฝงตัวร่มเงาไม้ใหญ่”
“ใช่ใครนกเขาคู่มัน”
“เสียงใคร
“ไหนกัน”
“เสียงนั่น”
จาตุรงค์เริ่มจับผมของกิมแชด้วยท่าทีหลงใหล
“อ๋อ...นกมันพรอดคำรำพัน ฝากชีวันรักกันไงเล่า”
กิมแชเห็นแววตาของจาตุรงค์แล้วเคลิ้ม
“ใยรู้”
“ดูเอา พี่เห็นมันเฝ้าหยอกเย้าต่อกัน”
“พี่ต้องเอาอย่างมัน”
จาตุรงค์เชยคางกิมแชอย่างหลงรัก
“พี่จะเอาอย่างมัน มิเปลี่ยนแปรผันเลยเอย”
จาตุรงค์โน้มหน้าไปหากิมแช กิมแชเองตะลึงแต่ร่างไม่ไหวติง เคี้ยง กิมฮวย เต๊กไฮ้ และลักษณ์เห็นเข้าตาลุกวาว ในที่สุดเต๊กไฮ้รีบวิ่งไปที่หน้าเวที ในจังหวะที่ริมฝีปากจาตุรงค์จะประทับลงบนฝีปากกิมแช เต๊กไฮ้ตัดสินใจกระชากขาจาตุรงค์ จนเสียหลักร่วงลงมาจากเวทีอย่างแรงจนหัวน็อกพื้นสลบไป
“ว้าย!” ลักษณ์ร้องลั่นเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น
ในช่วงที่ทุกคนแตกตื่นอาแปะต๋องรีบเดินเลี่ยงไปอีกทางของงาน

ในมุมลับตา ของโรงหนังของลุงชวนชม ที่ถูกเนรมิตเป็นงานหมั้นของกิมลั้งกับจาตุรงค์แต่เวลานี้วุ่นวายไปหมด อาแปะต๋องเดินเลี่ยงออกมาจากงาน ปรากฏว่าลุงชวนชมโผล่ออกมา
“เอ้า เสร็จเรื่องแล้วก็จะชิ่งเลยเหรอ” ลุงชวนชมเอ่ยทักต๋องอย่างจำได้
“ลื้อพูดอะไรของลื้อ” ต๋องยังแกล้งไก๋
“หลอกใครก็หลอกไป แต่อย่ามาหลอกข้าเลยเว้ยไอ้แปะต๋อง” ลุงชวนชมเอ่ยขึ้น
“นี่ลุงรู้”ต๋องอึ้งไปเมื่อถูกลุงชวนชมจับได้
“เรื่องบัดสีบัดเถลิงแบบนี้น่ะจมูกข้าไวอยู่แล้ว” ลุงชวนชมเอ่ย
“บัดสีเหรอ? ชั้นมาขัดขวางงานหมั้นที่ขโมยแฟนชั้นมา มันผิดตรงไหน” ต๋องเอ่ยขึ้นจากใจ
“เอ็งก็ดีแต่โทษคนอื่นละวะ” ลุงชวนชมบ่นต๋อง
“เอ๊ะ ยังไงเนี่ยลุง การที่ชั้นชอบพอกับกิมลั้งนี่มันผิดยังไง” ต๋องชักหัวเสีย
“เอ็งเคยใช้กะลาหัวคิดดูบ้างมั้ยว่าทำไมกิมฮวยถึงไม่ยอมยกลูกสาวให้เอ็ง” ลุงชวนชมเอ่ยถาม
“ลุงก็รู้ว่าน้ากิมฮวยน่ะเกลียดชั้นเข้าไส้” ต๋องรีบตอบ
“แล้วไง แทนที่จะหาทางชนะใจเค้า ทำให้เค้าเห็นว่าเอ็งคู่ควรกับกิมลั้งยังไง เอ็งก็เลือกใช้วิธีแย่ๆแบบที่เค้าคิดว่าเอ็งเป็นน่ะเหรอ งั้นข้าก็ว่ากิมฮวยคิดถูกแล้วล่ะ ที่ไม่ยกลูกสาวให้ผู้ชายอย่างเอ็ง” ต๋องโดนลุงชวนชมแอบด่าชุดใหญ่จนอึ้งไป
“ลุงไม่มีวันเข้าใจชั้นหรอก” ต๋องเถียง
“ไม่ต้องมาตีหน้าเศร้า เอ็งน่ะต้องเข้าใจคนอื่น ไม่ใช่ให้คนอื่นเข้าใจเอ็งเว้ย” ลุงชวนชมเตือนสติส่งท้าย
พูดจบลุงชวนชมเดินออกไป ทิ้งให้ต๋องยืนอยู่ครู่หนึ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเดินออกไปอีกทาง

เวลาต่อจากนั้น ต๋องล้างหน้าล้างตาอยู่อีกมุมหนึ่งของตลาด เตรียมชุดอาแปะใส่ถุงเตรียมจะขึ้นซาเล้ง แต่ทันใดนั้นกิมฮวยโพล่งขึ้น
“ดีใจมั้ยละที่งานมันพังลงได้” กิมฮวยโผล่มายืนจังก้า
“น้ากิมฮวย”ต๋องตกใจ รีบซุกถุงเสื้อผ้าไว้ในรถซาเล้ง
“จะตกใจทำไม ทีอั๊วยังไม่แปลกใจเลยที่เห็นลื้อวนเวียนอยู่แถวนี้เพื่อรอดูความพินาศ” กิมอวยประชด
“ชั้นขายของอยู่แถวนี้ แล้วจะให้ไปวนเวียนแถวไหน” ต๋องไม่ยอมรับ
“ไม่ต้องมาเล่นลิ้น ลื้ออย่าคิดนะว่าจะมีโอกาสมีหวังกับอากิมลั้งอีก” กิมฮวยรู้ทัน
“เรื่องแบบนี้มันคงห้ามไม่ได้หรอกน้า มันเป็นเรื่องของพรหมลิขิตน่ะ” ต๋องย้อน
“พรหมจะลิขิตยังไงอั๊วไม่รู้ อั๊วรู้แต่ว่าจะชาตินี้ชาติหน้า อั๊วก็ไม่มีทางยอมให้ลื้อลงเอยกับอากิมลั้งเด็ดขาด” กิมฮวยยืนยัน
“ไอ้ที่น้าทำๆไป เคยถามลูกสาวซักคำมั้ยว่าต้องการรึเปล่า น้าไม่ได้ทำร้ายชั้นคนเดียวหรอกนะ แต่น้ากำลังทำร้ายหัวใจของกิมลั้งด้วย หรือว่านี่เป็นวิธีแสดงความรักของน้า” ต๋องเอ่ยขึ้นเสียงดัง
“ไอ้ต๋อง มันจะมีใครที่รักอากิมลั้งมากไปกว่าอั๊วอีกฮะ ลื้อเหรอ ?ไม่มีทาง” กิมฮวยเอ่ยกลับเสียงดังไม่แพ้กัน
“ถึงชั้นจะรักกิมลั้งไม่ได้เท่ากับที่คนเป็นแม่อย่างน้า แต่ในฐานะคนรัก ชั้นก็ทำทุกอย่างให้กิมลั้งได้ละกัน” ต๋องกร้าว
“ไม่จริง ลื้อไม่ได้รักอากิมลั้ง ลื้อก็แค่อยากได้ลูกสาวอั๊วไปเป็นของของลื้อ ต้องการให้อีทำให้ลื้อมีความสุข ทำให้ลื้อมีกำลังใจสู้ชีวิต ลื้ออยากได้อีก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น ลื้อมันเห็นแก่ตัว” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“มันไม่ใช่อย่างงั้น….” ต๋องเถียง
“ใช่ซิ เพราะถ้าลื้อรักอีจริง ลื้อก็ต้องปล่อยให้อีไปมีชีวิตที่ดี ที่มีอนาคตกว่าจมปลักอยู่กับคนอย่างลื้อ อาจาตุรงค์น่ะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีที่สุดสำหรับอากิมลั้งหรอก แต่อีคือคนที่จะดูแลกิมลั้งต่อไปได้ในวันที่ไม่มีอั๊วแล้ว” กิมฮวยย้ำ
ต๋องยืนอึ้งไม่ต่อปากต่อคำ กิมฮวยหันหลังให้แล้วแอบยิ้มร้ายที่ต๋องเสียศูนย์กับคำพูดของตน

บ่ายนั้น จาตุรงค์ได้รับบาดเจ็บหัวแตก มีผ้าพันที่หัว แขนขาใส่เฝือกนอนหลับอยู่บนเตียงที่ดรงพยาบาลโดยมีกิมฮวย เคี้ยง เต๊กไฮ้ และลักษณ์ ยืนดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาล
“ลูกแม่ ทำไมต้องมาเป็นแบบนี้ด้วยนะ” ลักษณ์พูดด้วยความเป็นห่วงลูกชายอย่างมาก
“อาเคี้ยง อากิมฮวย อั๊วขอโทษแทนอาจาตุรงค์ด้วยนะที่อีทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น” เต๊กไฮ้ขอโทษแทนลูกชาย
“เรื่องมันผ่านมาแล้วก็แล้วไปเถอะ อีเองก็เจ็บตัวไม่น้อย” เคี้ยงรีบตอบ
“ถ้างั้นเรื่องจาตุรงค์กับกิมลั้ง เราจะเอายังไงต่อไปดี” ลักษณ์เอ่ยขึ้น
“อั๊วว่ารอให้อีหายดีก่อนละกันแล้วเราค่อยพูดเรื่องนี้กันอีกที”
ครู่หนึ่งโทรศัพท์เคี้ยงดังขึ้น ทุกคนหันมองเป็นตาเดียว เคี้ยงหยิบมาดูพอเห็นเบอร์เริ่มมีอาการรุกรี้รุกรน แต่รีบรับสาย
“ครับ สวัสดีครับ อะไรนะครับ สัญญาณไม่ค่อยดี”
เคี้ยงรีบออกไปคุยนอกห้อง กิมฮวยมองตามแต่ไม่ได้สงสัย

เวลาเดียวกันนั้น กิมแชนั่งแกะผมหน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยอาการใจลอย คิดถึงตอนที่จาตุรงค์จะจูบปากบนเวที กิมลั้งเปลี่ยนชุดล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำเห็นกิมแชใจลอย จึงเดินมาหา
“กิมแช” กิมลั้งเรียกพลางเอื้อมมือไปจับตัวกิมแชให้ตื่นจากภวังค์
“อุ๊ย เจ้” กิมแชสะดุ้ง
“ลื้อเป็นอะไร ทำไมนั่งเหม่อขนาดนั้น” กิมลั้งถามขึ้น
“เอ่อ คือ อั้วก็คิดถึงงานหมั้นวันนี้ของเจ้ไง ไม่น่าเชื่อเลยนะอยู่ๆงานมงคลก็มาจบแบบเลือดตกยางออกไปซะได้” กิมแชเปลี่ยนเรื่องทัน
“ถ้าเต๊กไฮ้ไม่ทำให้จบแบบนั้น วันนี้ก็อาจจะกลายเป็นงานหมั้นของพี่รงค์กับลื้อแทนอั๊วก็ได้นะ” กิมลั้งเอ่ยขึ้นจนกิมแชลนลาน
“อั๊วไม่ได้ตั้งใจนะเจ้ อั๊วก็แค่เล่นตามน้ำไปไม่ให้มีเรื่อง แต่ที่ไหนได้” กิมแชรีบแก้ตัว
“นี่กิมแช อั๊วไม่ได้ว่าอะไรลื้อซักหน่อย ลื้อทำดีที่สุดแล้ว จะว่าไปแล้วอั๊วโล่งใจด้วยซ้ำนะที่งานวันนี้ล่มลงได้” กิมลั้งยิ้มอย่างไม่คิดอะไร
“อั๊วก็โล่งใจ” กิมแชเอ่ยกิมลั้งที่มองอยู่ยิ่งลนเข้าไปอีก กลัวพี่สาวจับได้ว่ามีใจให้จาตุรงค์
“อั๊วโล่งใจที่ในที่สุดเจ้ก็ไม่ต้องหมั้นกับคนที่เจ้ไม่ได้รักยังไงล่ะ ถ้าพี่ต๋องรู้เรื่องวันนี้คงดีใจน่าดูเลยนะ” กิมแชเอ่ยขึ้นอย่างโล่งใจ

บ่ายนั้นที่ร้านขายของเก่า ต๋องซ้อมร้องเพลงจังหวะกระแทกกระทั้นพูดถึงความอัดอั้นเกี่ยวกับรักที่มีอุปสรรค เลื่อนกับรักเร่เห็นอาการต๋องแล้วรู้สึกแปลกๆใจแอบคุยกันระหว่างซ้อม
“ลูกพี่เราเป็นอะไรไปวะ กลับมาแทนที่จะดีใจที่แผนสำเร็จ กลับร้องเพลงเหมือนโดนหักอกซะงั้น” เลื่อนเอ่ยขึ้น
“พี่ต๋องอาจจะแก้เคล็ดก็ได้เว้ย ร้องเพลงตัดพ้อโชคชะตาเข้าไว้ เทวดานางฟ้าจะได้สงสาร ดลบันดาลให้สมหวังในรักแบบจัดหนัก” รักเร่ตอบกลับ
“คงจริงของเอ็ง อย่าว่าแต่เทวดาเลย ตอนนี้ข้าเห็นข้ายังหดหู่ห่อเหี่ยว ตามพี่แกไปด้วยเลยว่ะ” เลื่อนยังงงกับอาการของต๋องในเวลานี้

เวลาต่อจากเวลานั้น หน้าร้านขายของเก่าที่ต๋องและพรรคพวกชอบมาร้อง ทีมงานรายการของดีเจนุ้ย อีเอฟเอ็ม โดยการนำทีมของคิตตี้มาถึงหน้าร้าน
“นี่ล่ะค่ะพี่นุ้ย ที่ที่ต๋องกับวงใช้ซ้อมเพลง” คิตตี้รีบรายงาน
“ว่าแต่ต๋องจะอยู่แน่เหรอคะ” นุ้ยถามกลับ
“อยู่ซิคะ ลองมีเสียงเพลงดังเล็ดรอดออกมาแบบนี้ ไม่พลาดแน่ ตามคิตตี้มาเลยค่ะ”
คิตตี้พาทีมงานเดินเข้ามายืนแอบมองที่มุมหนึ่ง ทีมงานเห็นการซ้อมที่ออกมาจากจิตวิญญาณของต๋องถึงกับพากันอึ้ง ต๋องเล่นจนจบเพลง คิตตี้และทีมงานของนุ้ยปรบมือกันดังลั่น ต๋องและพรรคพวกยังงงเมื่อเห็นทุกคนปรบมือ


อ่านต่อหน้า 2 




“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 5 (ต่อ)
 
     
ไม่นานต่อจากนั้น นุ้ยชวนวงของต๋องเพื่อให้ไปออกทีวี
 
“พี่จะเอาวงผมไปออกทีวี” ต๋องรีบโพล่งขึ้น
 “ใช่ค่ะ คือรายการไชโยโห่ฮิ้วของพี่เนี่ยจะมีช่วง “คนมีของ” ที่เปิดโอกาสให้คนชอบโชว์ได้แสดงความสามารถ  ความจริงเทปต่อไปของรายการน่ะจะออกเสาร์อาทิตย์นี้แล้ว   แต่พอเมื่อคืนพี่ได้เห็นการแสดงของต๋องกับเพื่อนๆ พี่ก็ตัดสินใจจะตัดต่อแก้ไขเพื่อเอาการแสดงของน้องต๋องออนแอร์แทนทันที” นุ้ยรีบแจง
 “เดี๋ยวนะครับ พี่บอกว่าเมื่อคืนเห็นการแสดงของพวกผม” ต๋องยังคงงง
 “ก็ในยูทิวบ์ไงจ๊ะ ต๋องไม่ได้เอาไปลงไว้เหรอ  ยอดคนดูเป็นหมื่นในชั่วข้ามคืนเลยนะ” นุ้ยรีบเล่า
 “จริงๆต๋อง  ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ  เมื่อกี้พี่นุ้ยเค้าเพิ่งเปิดให้คิตตี้ดูเอง  คนชอบการแสดงของพวกต๋องมากเลยนะ” คิตตี้รีบเสริมอย่างดีใจ
 “พี่ก็เลยคิดว่านี่จะเป็นโอกาสที่ดีที่ต๋องกับเพื่อนจะได้เปิดตัวกับคนทั้งประเทศ   รายการพี่น่ะเรตติ้งดีมากเลยนะ  ตกลงว่ารับปากนะ” นุ้ยรีบเล่า
“ครับ” เลื่อน รักเร่ และลูกวง รีบตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด
มีเพียงต๋องที่นั่งคิดอะไรในใจ
 “เดี๋ยวครับ” 
เพื่อนหันมามองต๋องอย่างไม่เข้าใจว่าต๋องคิดอะไรอยู่
“แล้วพวกผมจะต้องไปอัดรายการที่ไหนครับ” ต๋องถามขึ้น
“ก็ในสตูดิโออันสวยระเบิดระเบ้อของรายการพี่ไงจ้ะ  รับรองว่าทั้งฉาก แสง สี เสียง พี่จะจัดให้ต๋องกับเพื่อนได้เกิดกันสามชาติเจ็ดชาติเลยคอยดู”นุ้ยรีบรายงาน
“เอ่อ พี่มาถ่ายพวกผมในตลาดแทนได้มั้ยครับ” ต๋องโพล่งขึ้น
“ฮะ ในตลาดมันจะไปสวยเท่าในสตูได้ยังไงกันล่ะจ๊ะต๋อง” นุ้ยตกใจ
“วงผมน่ะเกิดในตลาด  ถ้าไม่เปิดตัวที่นี่แล้วมันจะไปมีความหมายอะไรล่ะครับ” ต๋องยืนยันกับนุ้ยว่าอยากถ่ายทำรายการที่ตลาด
 
บ่ายนั้น ต๋องปั่นซาเล้งพร้อมบรรทุกเพื่อนมาเต็มคัน
 “โธ่ ต๋องนะต๋อง ยื่นเงื่อนไขให้เค้าปฏิเสธแท้ๆ  เป็นคนอื่นน่ะเค้าต้องขอไปออกรายการ   แต่นี่เค้าเอาโอกาสมาประเคนถึงที่” นุ้ยว่า
 “ปกติชั้นว่าชั้นเข้าใจพี่นะ  แต่เที่ยวนี้งงไม่หายจริงๆ” คิตตี้ถามต๋องอย่างไม่เข้าใจแผน  
 “นั่นซิ ได้ไปถ่ายในห้องแอร์เย็นๆ  ฉากสวยๆ  มันต้องทำให้วงเราดูดีกว่าถ่ายในตลาดเห็นๆ” รักเร่รีบเสริมคิตตี้ 
 “พวกเอ็งน่ะไม่ได้รู้อะไรเลยจริงๆ  นี่น่ะเป็นโอกาสเดียวที่เราจะช่วยกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ตลาดอีกครั้ง”   ต๋องเล่า
 “ยังไง” คิตตี้ยังสงสัย
 “ก็ถ้าเราโปรโมทว่าวงเราน่ะเล่นประจำอยู่ในตลาด ถ้ามีคนชอบใจเค้าก็จะตามมาดู  ลองเหยียบมาถึงในตลาดแล้วใจคอเค้าจะไม่ซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้างก็ประหลาดล่ะ” ต๋องรีบอธิบาย 
 “ต๊าย ต๋องฉลาดที่สุด”  คิตตี้แอบปลื้มในตัวต๋องมากขึ้นไปอีก
 “นั่นไง ชั้นไม่เคยผิดหวังในตัวพี่จริงๆ” เลื่อนเอ่ยชมอย่างปลาบปลื้มในตัวลูกพี่
 “ความคิดพี่น่ะดี   แต่รายการเค้าเล่นด้วยซะที่ไหน  มัวแต่ห่วงโปรโมทตลาด       เลยอดโปรโมทวงตัวเองเลยเป็นไง” รักเร่ว่า
 “แล้วเอ็งคอยดูไป” ไม่ทันไรเสียงมือถือต๋องดังขึ้น  ต๋องจอดรถแล้วกระโดดลงไปรับโทรศัพท์
 “สวัสดีครับ  อ๋อ ครับพี่นุ้ย   จริงเหรอครับๆ  ครับๆ  วันพรุ่งนี้นะครับ   แล้วเจอกันครับ”  ต๋องยิ้มดีใจ
ทั้งหมดกระโดดลงรถไปหาต๋องด้วยความตื่นเต้น
 “พี่นุ้ยว่าไงต๋อง” คิตตี้รีบถาม
 “ตกลงรายการยอมมาถ่ายเราที่ตลาด   พี่นุ้ยเค้าไปเจรจากับเจ้าของมาให้” ต๋องรีบตอบ
 “เฮ” เลื่อนกับรักเร่ดีใจ เอามือประสานตบเสียงดังอย่างสะใจ
 
 
 
 
บ่ายนั้น ณดากับต๋องนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟอาโก ณดาดีใจพอรู้ข่าวว่าต๋องจะได้ออกทีวีพร้อมวงดนตรีและมีโอกาสมาถ่ายทำที่ตลาด
“จริงๆเหรอคะ” ณดาถามดว้ยน้ำเสียงดีใจ
 “จริงครับ   พรุ่งนี้ทีมงานจะมาเตรียมการถ่ายทำตั้งแต่เช้า”   ต๋องตอบ
 “ขอบคุณ คุณมากนะคะที่นึกถึงตลาดของเราอยู่ตลอด  ทั้งๆที่คุณเพิ่งจะถูกคุณแม่ไล่ออกไปแท้ๆ” ณดาเอ่ยจากใจ
 “ไม่เป็นไรหรอกครับ   คราวก่อนก็เป็นเพราะผมเองที่ทำให้คนไม่เข้าตลาดถือซะว่านี่เป็นโอกาสให้ผมได้แก้ตัวละกันนะครับ” ต๋องเอ่ย
 “เรื่องสถานที่คุณไม่ต้องห่วงนะคะ   เดี๋ยวณดาจะอำนวยความสะดวกให้เอง” ณดายินดีช่วยเต็มที่
ครู่หนึ่งเสียงมือถือต๋องดังขึ้น  ต๋องหยิบขึ้นมาดูเห็นเป็นชื่อกิมลั้งแต่ต๋องยังไม่รับสาย
 “ไม่รับก่อนเหรอคะ” ณดาถามขึ้น
 “ไม่เป็นไรครับ  มาว่าธุระของเราต่อดีกว่า” ต๋องคุยกับณดาต่อ
 
 
 กิมลั้งนอนกังวลอยู่ในบ้าน เธอสงสัยว่าต๋องไม่รับสาย
“ทำไมโทรเท่าไหร่ๆก็ไม่รับซักทีนะ” กิมลั้งพึมพำกับตัวเอง
กิมแชเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าทำท่าจะออกไปข้างนอก
 “เอ้า จะออกไปไหนเหรอกิมแช” กิมลั้งรีบถามน้องสาว
 “เอ่อ จะไปทำธุระนิดหน่อยนะเจ้” กิมแชตอบ
กิมลั้งมองชุดที่กิมแชใส่ บวกกับการแต่งหน้าแต่งตาจึงอดสงสัยไม่ได้ 
“ท่าจะไม่นิดหน่อยมั้ง” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
กิมแชลนเมื่อโดนพี่สาวมองอย่างสงสัย
“ แหม อั๊วเป็นผู้หญิงนะ  ถึงจะอ้วนดำยังไงก็ต้องอยากแต่งตัวบ้าง”
“อั๊วก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย  แค่จะชมว่าสวย” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
 
“จริงเหรอเจ้” กิมแชยิ้มเขิน
“อั๊วจะโกหกทำไม  ลื้อรีบไปเถอะ  เดี๋ยวหนุ่มจะรอ” กิมลั้งรีบดักคอแซว จนกิมแชหลงกลเออออ
“จ้ะๆ เอ๊ย ไม่ใช่นะ  อั๊วไปหาเพื่อน” กิมแชลืมตัว
 “เออๆ ลื้อไปเถอะ”  กิมลั้งหัวเราะชอบใจ กิมแชรีบออกจากห้องไป  แต่กิมลั้งยังคงก้มมองมือถืออีกครั้งด้วยความคาใจที่ต๋องไม่รับสาย
 
 
 เวลาเดียวกันนั้น ที่โรงพยาบาล กิมแชถือช่อดอกไม้มาเยี่ยมจาตุรงค์ พอเห็นสภาพจาตุรงค์ที่นอนหลับมีผ้าพันแผลเต็มตัว กิมแชตกใจไม่น้อย
 “โธ่ พี่รงค์   อาการหนักขนาดนี้เลยเหรอ” กิมแชพึมพำขึ้นมา
จาตุรงค์สะลึมสะลือตื่นขึ้น พยายามพูดผ่านลำคอด้วยเสียงแผ่วเบา
 “น้ำ หิวน้ำ”
กิมแชรีบวางดอกไม้  แล้วรินน้ำใส่แก้วเอาหลอดใส่ให้จาตุรงค์ที่สะลึมสะลือดื่ม จาตุรงค์ยังสายตาพร่ามัว คิดว่ากิมแชเป็นกิมลั้ง จึงจับมือสาวตรงหน้าไว้แน่น
“กิมลั้ง  กิมลั้ง” จาตุรงค์คิดว่ากิมแชเป็นกิมลั้ง
พอลืมตาขึ้นภาพเริ่มชัดเห็นว่าเป็นกิมแชจาตุรงค์ถึงกับผิดหวัง
 “กิมแช”
จาตุรงค์รีบปล่อยมือออกจากกิมแช  อีกฝ่ายอึ้งไปแต่พยายามเก็บอาการ
 “จ้ะ กิมแชเองพี่รงค์” กิมแชรีบรายงานตัว
 “แล้วกิมลั้งล่ะ  กิมลั้งอยู่ไหน  ทำไมไม่มาเยี่ยมพี่” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
 “คือ เจ้ไม่ว่างน่ะจ้ะ   เลยฝากให้อั๊วมาเยี่ยมพี่แทนไง” กิมแชตอบ
 
 “ไม่จริง  กิมลั้งไม่มาเพราะกิมลั้งโกรธพี่ที่ทำเรื่องบ้าๆไปวันนี้   พี่มันไม่ดีเอง”จาตุรงค์เริ่มฟูมฟาย
 “ไม่หรอกจ้ะพี่รงค์   พี่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นซักหน่อยนะ”
กิมแชกุมมือจาตรงค์ด้วยความเป็นห่วง
 “จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ  มันก็ทำให้กิมลั้งมองพี่ไม่ดีไปแล้ว  กิมลั้งต้องคิดว่าพี่เป็นผู้ชายที่ไม่เอาไหน  ไม่ได้เรื่อง  ไม่เหมาะสมคู่ควร” จาตุรงค์พูด
กิมแชเห็นอาการฟูมฟายของจาตุรงค์แล้วนึกน้อยใจในความรักที่จาตุรงค์มีต่อกิมลั้งไม่ใช่ตน
 
 
 
คืนนั้นที่บ้านกิมฮวย ต๋องเดินมาถึงหน้าบ้านแล้วแหงนหน้ามองที่ห้องกิมลั้งอย่างเศร้าๆ พาลให้นึกถึงภาพวันเก่าๆของทั้งคู่ และคิดถึงคำพูดของลุงชวนชม ที่พูดกับตัวเองในวันหมั้นของกิมลั้ง
“เอ็งเคยใช้กะลาหัวคิดดูบ้างมั้ยว่าทำไมกิมฮวยถึงไม่ยอมยกลูกสาวให้เอ็ง”
 “ ลุงก็รู้ว่าน้ากิมฮวยน่ะเกลียดชั้นเข้าไส้”  
“แล้วไง ?  แทนที่จะหาทางชนะใจเค้า  ทำให้เค้าเห็นว่าเอ็งคู่ควรกับ กิมลั้งยังไง    เอ็งก็เลือกใช้วิธีแย่ๆแบบที่เค้าคิดว่าเอ็งเป็นน่ะเหรอ  งั้นข้าก็ว่ากิมฮวยคิดถูกแล้วล่ะ ที่ไม่ยกลูกสาวให้ผู้ชายอย่างเอ็ง”
ต๋องอยากลืมคำพูดของลุงชวนชมและพยายามสลัดความคิดนั้นทิ้งเสีย แต่เหมือนยิ่งสับสนวุ่นวายในตัวเอง  คิดถึงคำพูดของกิมฮวยขึ้นมาอีก
“ไม่จริง ลื้อไม่ได้รักอากิมลั้ง  ลื้อก็แค่อยากได้ลูกสาวอั๊วไปเป็นของ ของลื้อ   ต้องการให้อีทำให้ลื้อมีความสุข   ทำให้ลื้อมีกำลังใจสู้ชีวิต  ลื้ออยากได้อีก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น  ลื้อมันเห็นแก่ตัว”
 “มันไม่ใช่อย่างงั้น” ต๋องพยายามเถียง
 “ใช่ซิ เพราะถ้าลื้อรักอีจริง  ลื้อก็ต้องปล่อยให้อีไปมีชีวิตที่ดี  ที่มีอนาคตกว่าจมปลักอยู่กับคนอย่างลื้อ อาจาตุรงค์น่ะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีที่สุดสำหรับอากิมลั้งหรอก แต่อีคือคนที่จะดูแลกิมลั้งต่อไปได้ในวันที่ไม่มีอั๊วแล้ว”
ต๋องไม่ได้เถียงกิมฮวยสักคำในวันนั้น
 
 ต๋องยังยืนอยู๋หน้าบ้านกิมลั้ง แต่ไม่กล้าเรียก ได้แต่ยืนหงอยมองห้องกิมลั้งอยู่อย่างนั้น
 “นี่เราเห็นแก่ตัวขนาดนั้นจริงๆเหรอ” ต๋องพูดกับตัวเองเชิงถามใจ
ครู่หนึ่งมือถือต๋องดังขึ้นอีกครั้ง    พอเห็นชื่อกิมลั้งปรากฏขึ้นต๋องเริ่มเครียดที่ต้องต่อสู้กับใจตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วต๋องตัดสินใจกดรับสาย
 “ฮัลโหล” กิมลั้งดีใจมากที่ต๋องรับสาย
 “ต๋อง นึกว่าเธอจะไม่รับสายชั้นซะแล้ววันนี้”  กิมลั้งเอ่ยขึ้น ต๋องยืนอยู่หน้าบ้านกิมลั้ง  แต่ยังไม่ยอมบอก
 “อ๋อ  ชั้นมัวขายของยุ่งๆน่ะเลยไม่ได้สนใจโทรศัพท์”  ต๋องรีบบอก กิมลั้งได้ยินแล้วแกล้งแหย่ต๋องทันที
 “ยุ่งขายของน่ะเป็นไร  อย่าไปยุ่งกับสาวที่ไหนละกัน”
ต๋องเงียบ  ไม่กล้าพูดเล่นโต้ตอบ
 “เป็นอะไรน่ะ   ทำไมเงียบเชียว” กิมลั้งถามอย่างสงสัย
 “ก็ คิดอะไรไปเรื่อยน่ะ” ต๋องตอบน้ำเสียงเรียบ
 “คิดอะไรเหรอ   คิดถึงชั้นรึเปล่า    เอ๊ะ ว่าแต่ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน อย่าบอกนะว่าเธอ” กิมลั้งรีบไปที่ระเบียงด้วยอาการเริงร่าแต่กลับไม่เห็นต๋อง
 “เอ้า เธอไม่ได้อยู่หน้าบ้านชั้นหรอกเหรอ”  กิมลั้งผิดหวังไม่เห็นต๋องอย่างเคย จึงถามกลับ
 “ชั้นเพิ่งจะถึงบ้านน่ะ” ต๋องไม่บอกความจริง และยืนแอบอยู่หลังเสาไฟฟ้า
 “ต๋อง เธอรู้เรื่องงานหมั้นวันนี้แล้วใช่มั้ย” กิมลั้งถามขึ้น
 “ไม่รู้ก็ต้องรู้ล่ะ  คนพูดกันให้แซ่ดขนาดนั้น” ต๋องเอ่ยขึ้น
“แล้วเธอดีใจมั้ยที่มันล่มลงได้” กิมลั้งถาม
“แต่แม่เธอคงไม่ดีใจ” ต๋องตอบ
“ชั้นถามว่าเธอดีใจมั้ย” กิมลั้งพยายามย้ำในสิ่งที่เธออยากรู้
“ดีใจก็เท่านั้น  เพราะปัญหามันก็ไม่จบอยู่ดี” ต๋องตอบด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย
“น้ำเสียงเธอดูปลงๆชอบกลนะ  รู้มั้ยตอนอยู่ในพิธีชั้นภาวนาตลอดเลยว่าขอให้เธอมาดึงชั้นออกไปจากที่นั่น   แต่ชั้นก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ กลายเป็นโชคที่ช่วยชั้นไว้   แต่กลับไม่ใช่เธอ”   กิมลั้งพูดอย่างดีใจ
“ผู้ชายอย่างชั้นมันคงไม่มีปัญญาช่วยอะไรเธอได้หรอกกิมลั้ง” ต๋องพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“จริงซินะ ทุกวันนี้เธอก็เหนื่อยมากพอแล้วกับเรื่องของตัวเอง ถ้ามีเรื่องของชั้นเพิ่มเข้ามาอีก  ก็เป็นภาระดีๆนี่เอง” กิมลั้งพูดไปทั้งที่อยากให้ต๋องปฏิเสธ ยิ่งฟังต๋องยิ่งเจ็บปวดแต่ไม่กล้าหลุดพูดอะไรที่ตรงกับใจออกไป
 “ชั้นว่าเราพักผ่อนกันก่อนดีกว่านะ  ตอนนี้สมองชั้นล้าเกินกว่าจะพูดเรื่องอะไรแล้วล่ะ”   ต๋องวางสายไป
 “ได้  งั้นแค่นี้นะ” กิมลั้งวางสายด้วยอาการงงๆไม่ต่างกัน
กิมลั้งเดินกลับเข้าห้องไปด้วยความรู้สึกเสียใจลึกๆ ต๋องโผล่ออกมาจากหลังเสา ไฟ มองหลังกิมลั้งที่เดินเข้าห้องไปไวๆด้วยความรู้สึกตื้อๆอย่างบอกไม่ถูก
 
 
 
 เช้าวันใหม่ ที่โรงพยาบาล กิมแชเปิดประตูเข้ามาพร้อมปิ่นโต  และดอกไม้ช่อใหม่
 “พี่รงค์” กิมแชทักทายจาตุรงค์แต่อีกฝ่ายกลับมองหากิมลั้ง
 “กิมลั้งล่ะ” จาตุรงค์ถามขึ้นทันทีแล้วรีบมองไปที่ประตู
 “เอ่อ เจ้ต้องขายของน่ะ  เลยมาไม่ได้” กิมแชรีบตอบ
 “มาไม่ได้หรือไม่อยากมา ทำไมกิมแชไม่บอกน้องกิมลั้งว่าพี่อยากเจอแค่ไหน”   จาตุรงค์น้อยใจกิมแชรีบแก้ตัวให้เพราะไม่อยากให้จาตุรงค์เสียใจ
 “คือ เจ้เค้าก็อยากมาน่ะล่ะแต่ขายของที่ตลาดยุ่งจริงๆ”   กิมแชรีบแก้ต่างแทนกิมลั้งอีก
 “ทำไมน้องกิมลั้งไม่ห่วงพี่เลย” จาตุรงค์เริ่มฟูมฟาย
“ห่วง ห่วงซิจ๊ะพี่รงค์ ไม่งั้นเจ้จะสั่งให้กิมแชทำอาหารในปิ่นโตนี่มาให้พี่เหรอ” กิมแชพูดไปแกะปิ่นโตไป จาตุรงค์เริ่มยิ้มออก
“จริงเหรอ ?” จาตุรงค์ถามด้วยความดีใจ
“จริงซิ” กิมแชตอบ
“แน่นะ ?” จาตุรงค์ถามขึ้นอีก
“แน่ซิ  แล้วกิมแชจะโกหกพี่ทำไม   เอาเป็นว่าวันนี้พี่รงค์ต้องทานข้าวให้หมดนะ   เจ้จะได้ดีใจ”กิมแชหว่านล้อมจนสำเร็จ
“ได้ซิได้” จาตุรงค์ดีใจ 
กิมแชตักอาหารป้อนจาตุรงค์ เขารีบกินอย่างเอร็ดอร่อยเพราะคิดว่ากิมลั้งเป็นคนสั่งให้กิมแชเอาอาหารมาให้จริงๆ
 
 
 
เวลาเดียวกันที่ตลาด  กิมลั้งจัดของอยู่กับกิมฮวยที่แผงปลาตัวเองเหมือนเช่นทุกวัน
 “อากิมลั้ง ใจคอลื้อจะไม่ไปเยี่ยมไข้อาจาตุรงค์อีหน่อยเหรอ  อีเจ็บอยู่นะ” กิมฮวยโพล่งถามขึ้น
 “ม้าก็ให้กิมแชไปเยี่ยมแทนอั๊วแล้วไงล่ะ” กิมลั้งตอบอย่างเซ็งๆ
 “มันเหมือนกันที่ไหน ลื้อน่ะเป็นคู่หมั้นคู่หมายนะ  ไม่ใช่อากิมแช  คนที่ไม่ใช่แฟนน่ะทำแทนทุกเรื่องไม่ได้หรอก” กิมฮวยโพล่งขึ้น
 “นี่ม้ายังจะอยากให้อั๊วเป็นอะไรกับผู้ชายที่พังงานหมั้นของตัวเองจนเละไม่เป็นท่าอีกเหรอ   แล้วชีวิตอั๊วจะพังตามไปมั้ย” กิมลั้งได้ที
 “แหม ก็เมื่อวานอีเมา”  กิมฮวยเข้าข้างจาตุรงค์
 “แล้วถ้าแต่งงานอยู่กินกันไป   อีเกิดเมาคึกขึ้นมาอีกแล้วจะเกิดอะไรขึ้น  อยู่ๆอีเกิดเตะเกิดตบอั๊วขึ้นมา  แล้วอั๊วจะเป็นยังไง” กิมลั้งได้ทีรีบใส่จาตุรงค์ไม่ยั่ง
 “เอาน่า ลื้อก็ต้องให้โอกาสอีพิสูจน์ตัวเองหน่อยซิ” กิมอวยว่า
ขณะที่กิมฮวยกับกิมลั้งกำลังคุยกัน พวกชาวตลาดแตกตื่นวิ่งตามกันไป กิมฮวยแปลกใจจึงพยายามเรียกถาม
 “นี่ๆพวกลื้อวิ่งหน้าตื่นไปไหน ไฟไหม้อีกแล้วเหรอ”
 “ไม่ใช่เจ๊ วันนี้มีรายการทีวีมาถ่ายทำวงดนตรีที่ตลาดเราน่ะ   ชั้นไปก่อนนะ  จะรีบไปตีตั๋วมุงด้านหน้าซักหน่อย” แม่ค้าคนหนึ่งตอบขึ้น แล้วรีบวิ่งออกไปจับจองที่ กิมฮวยกับกิมลั้งหันมามองหน้ากันด้วยความสนใจ
 
 
 
 ทุกคนวิ่งกันไปยังสถานที่ถ่ายทำรายการในตลาดร่วมใจเกื้อ ชาวตลาดมุงดูทีมงานถ่ายทำรายการของนุ้ย ณดากำลังพูดคุยนัดแนะอะไรบางอย่างกับนุ้ย ครู่หนึ่งศักดิ์ชาย  เต๊กไฮ้ ลักษณ์  กิมฮวย  และกิมลั้ง เดินมาสมทบอย่างงงๆ
 “เอ้า อากิมฮวย  นี่ลื้อก็เดินมาดูกับเค้าเหมือนกันเหรอ” เต๊กไฮ้เอ่ยทักขึ้น
 “ก็เดินมาดูให้รู้น่ะว่าวงดนตรีบ้าบออะไร  ที่สวยๆมีตั้งเยอะไม่ถ่ายมาถ่ายในตลาด” กิมฮวยยังฟอร์ม
 “ช่วยหลีกทางหน่อยนะคะ  ขอบคุณค่ะ” นุ้ยเดินมาพร้อมทีมงานที่เดินมา ต๋องและวงดนตรีในชุดเต็มยศ เดินด้วยลีลาสะดุดตาเข้ามา ชาวตลาดมองต๋องด้วยอาการตะลึง   กิมฮวย ศักดิ์ชาย และเต๊กไฮ้  ดูแปลกใจมาก  ขณะที่กิมลั้งอึ้งไปเพราะไม่คาดคิดว่าจะเป็นต๋อง เพราะเมื่อคืนต๋องไม่ได้เล่าเรื่องอะไรให้ฟังแม่แต่น้อย
 “ที่แท้มันเองเหรอเนี่ย”   กิมฮวยเอ่ยขึ้น
ต๋องเข้ามาประจำเครื่องดนตรีที่ตั้งเซ็ทไว้  คิตตี้รีบเข้ามาซับหน้า ส่วนชมพู่เข้ามาเซ็ทผมช่วยกันยกใหญ่
 “คิตตี้ ชมพู่ พี่ต๋องเค้าหล่อแล้วจะทำอะไรให้มาก   มาดูแลพวกจิตใจดีแต่หน้าตาแย่แบบพวกชั้นนี่” เลื่อนตะโกนบอกคิตตี้กับชมพู่ สองคนเดินสะบัดสะบิ้งไปหาเลื่อนกับรักเร่แทน
 “เอาล่ะค่ะ ทุกฝ่ายพร้อมนะคะ   ขอเคลียร์ผู้ไม่เกี่ยวข้องออกด้วยค่ะ” นุ้ยเอ่ยขึ้น ทีมงาน คิตตี้ ชมพู่ รีบเดินออก
“ห้า.....สี่.....สาม....สอง....”
นุ้ยสั่งพร้อมอัดรายการ ดนตรีเริ่มขึ้น   เพลงที่ต๋องร้องเป็นเพลงรักเนื้อหาทำนองทำให้เธอลองมาทำความรู้จักชั้น แต่แฝงไปในการร้องเพลงเชิงโปรโมทให้ผู้คนได้มารู้จักตลาดร่วมใจเกื้อแห่งนี้
 
 
 ไม่นานต่อจากนั้นการถ่ายทำรายการเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางพ่อค้าแม่ค้าในตลาดที่มุงดูแน่นขนัด เริ่มที่แผงผักของต๋องกับวงดนตรี ร้อง เต้น เล่นดนตรีอยู่ท่ามกลางผักสด ทีมงานและชาวตลาดยืนดูอยู่ด้วยความชอบใจ ในการแสดงของต๋องและพรรคพวกอย่างมาก ป้าพิณมองต๋องอย่างเป็นปลื้ม
“ต๋องมันเท่ว่ะ”
 “นี่ป้ากำลังคิดอะไรกับต๋อง”คิตตี้กับชมพู่ที่อยู่ใกล้ๆเหล่ไปที่ป้าพิณทันที
 “ป้าคงไม่อยากจะเป็นศัตรูกับพวกชั้นใช่มั้ย” คิตตี้ถาม
 “เชอะ ถ้าข้าจะเอาจริง   เต็มที่พวกเอ็งก็ได้แค่กางเกงลิงไอ้ต๋องล่ะวะ” ป้าพิณตอบกลับ จนคิตตี้กับชมพู่ร้องเสียงหลง
 “อ๊าย”
 
 การถ่ายรายการยังคงดำเนินต่อไป ขยับไปที่แผงผลไม้ ต๋องยังคงร้องเพลงไปโยนลูกส้ม  3 ลูก โชว์ไป  พรรคพวกโยนลูกแอปเปิ้ลมาให้ต๋อง  ต๋องรับไว้โดยทิ้งส้มไปแล้วเลี้ยงผลไม้ทั้ง 3 ลูกต่อ   พอเพื่อนโยนสาลี่มา  ต๋องสามารถรับได้แล้วดำเนินการแสดงต่อ   ตามด้วยเพื่อนโยนทุเรียนมาให้ต๋องรีบกระโดดหนีทันที
 
รถนักดนตรีคันหนึ่งเข็นผ่านแถวแผงหมูแผงไก่ที่เรียงรายกันอยู่  คนขายตามแผงต่างๆที่รถเข็นผ่านโยกตัวตามจังหวะของเพลงไปด้วย  พอรถเข็นไปถึงหน้าแผงหมูของเต๊กไฮ้เห็นลักษณ์เผลอตัวส่ายตามจังหวะไป  จนเต๊กไฮ้ต้องเอาปังตอสับลงบนเขียงเป็นการดึงสติลักษณ์กลับมา
พอมาถึงแผงปลาและอาหารทะเลของกิมฮวย  ต๋องและเพื่อนร่วมวงที่ใส่แว่นดำน้ำ สน็อคเกิล  ห่วงยาง  เพื่อสร้างบรรยากาศทะเลทำเป็นว่ายน้ำเข้าเฟรมมา พอเดินเข้าไปใกล้กิมลั้งที่กำลังจัดปลาอยู่พวกต๋องทำเป็นล้อมหน้าล้อมหลัง  แล้วแต่ละคนแผ่แขนออกรอบตัวกิมลั้งแล้วสะบัดไปมาราวกับกิมลั้งเป็นสาหร่ายหรือดอกไม้ที่เคลื่อนตัวตามกระแสน้ำ  แต่ละแล้วจู่ๆกิมฮวยโผล่เข้ามาเท้าเอวพร้อมแผ่รังสีอำมหิต   พวกต๋องรีบทำท่าดำน้ำหนีไป
 
เสร็จจากแผงปลาของกิมฮวย ต๋องและเพื่อนมาโผล่ที่แผงดอกไม้ของคิตตี้   ครู่หนึ่งคิตตี้ที่ประโคมตัวเองด้วยดอกไม้โผล่เข้าฉากมาเป็นแดนเซอร์ประกอบการแสดง   จู่ๆชมพู่ที่ประโคมตัวเองด้วยดอกไม้เช่นกันโผล่เข้ามาเป็นแดนเซอร์เต้นคู่ด้วย    คิตตี้เต้นหนี  ชมพู่เต้นตาม คิตตี้โลมไล้ต๋องด้านขวา  ชมพู่โลมไล้ด้านซ้าย   คิตตี้เห็นชมพู่แล้วหมั่นไส้ต่างสะบัดหน้าใส่กัน  ต๋องจึงใช้จังหวะนั้นชิ่งออกไป   พอคิตตี้กับชมพู่หันมาอีกทีเห็นว่าเลื่อนกับรักเร่เสนอหน้ามายืนแทนที่ต๋องแทน  คิตตี้กับชมพู่จะเดินหนีแต่เลื่อนกับรักเร่ดึงตัวทั้งคู่กลับมาราวกับท่าเต้นรำ  แล้วพาทั้งคู่ร้องและเต้นไปด้วยกัน
 
ต๋องยืนร้องเพลงอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านดอกไม้ มองชมพู่และคิตตี้อย่างอารมณ์ดี จนถึงท่อนสุดท้ายของเพลง ต๋องจึงพูดปิดท้าย
“พบกับวงร่วมใจเกื้อของพวกเราได้ทุกวันที่ตลาดร่วมใจเกื้อ  ตลาดดี  ของถูกอก  ราคาถูกใจ  ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ”
นุ้ยมองหน้าจอมอนิเตอร์มองการแสดงด้วยอาการปลาบปลื้ม
 “คัท”
เสียงปรบมือของชาวตลาดและทีมงานดังสนั่น เต๊กไฮ้กับกิมฮวย ยืนดูอยู่ข้างนอกดูหมั่นไส้มากที่ทุกคนชื่นชอบการแสดงของต๋อง แต่ณดากลับรู้สึกดีใจรีบวิ่งไปจับมือต๋อง
“เยี่ยมมากเลยต๋อง” ณดาเอ่ยขึ้น
 “ขอบคุณครับ” ต๋องตอบกลับ
ศักดิ์ชายกับกิมลั้งเห็นณดาจับมือต๋องเริ่มรู้สึกไม่พอใจ
 
อ่านต่อหน้า 3 




“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 5 (ต่อ)
 
     
หลังการถ่ายทำเสร็จสิ้น  นุ้ยยื่นซองให้ต๋อง แต่ดูเหมือนกับว่านักดนตรีมือใหม่ยังไม่กล้ารับ
 “อะไรเหรอครับ”
 “ค่าตัวไงจ๊ะ หรือจะไม่เอา” นุ้ยพูดติดตลก แต่ต๋องตอบกลับอย่างจริงจัง 
 “ไม่เอาครับ”  ต๋องตอบ
 “ฮี ไม่เอา นี่จะมาซ้อนมุขกันเหรอจ้ะ” นุ้ยถึงกับงง
 “ผมไม่เอาจริงๆนะครับ”   ต๋องยืนยันตามเดิม
 “บ้ารึไงต๋อง  มีที่ไหนให้เงินแล้วไม่เอา นี่มันเงินค่าตัวเล่นดนตรีของพวกเธอนะ ไม่ได้ให้ด้วยความพิศวาส” นุ้ยว่า
 “คือ ถ้าแลกได้ผมขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนได้มั้ยครับ” ต๋องมีข้อแลกเปลี่ยน
 “อุ้ย เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น  อย่าพูดเล่นนะ พี่เอาจริง” นุ้ยใจสั่นคิดเป็นอย่างอื่น 
 “ผมอยากเปลี่ยนเป็นให้รายการพี่ช่วยโปรโมทตลาดร่วมใจเกื้อแทนได้มั้ยครับ”
 “อ้าว เหรอ   แต่คงไม่ได้หรอก รายการพี่นี่มันช่วงคนมีของนะเราแนะนำคนเก่ง คนดีมีผีมือไม่ได้แนะนำกุ้ง หอย ปู ปลาในตลาดสด”นุ้ยผิดหวัง 
 “ก็แค่แทรกเป็นสกู๊ปแนะนำรวมไปกับเพลงของพวกผมก็ได้นี่ครับ  ถ้าทำได้ พี่ไม่ได้ช่วยแค่ผมนะ แต่ช่วยพ่อค้าแม่ค้าตาดำๆที่หาเช้ากินค่ำทั้งตลาดให้มีเงินใช้จ่ายประทังชีวิต แล้วพี่เองนะแหละ จะคือที่สุดของคนมีของตัวจริง” ต๋องยกยอนุ้ยจนอีกฝ่ายเริ่มเคลิ้ม
 “ก็ได้   ที่พี่ช่วยนี่ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะ พี่เห็นต๋องเป็นคนดีมีน้ำใจเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว  ซึ่งมันก็เหมือนกับนิสัยส่วนตัวของพี่เลย” ต๋องรีบเดินเข้าไปกอดนุ้ย
 “ขอบคุณมากครับพี่”             
 “เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่จัดการให้ละกัน  แล้ววันอาทิตย์นี้บอกคนในตลาดให้เฝ้าหน้าจอกันได้เลย”
นุ้ยเอ่ยก่อนเดินจากไป   ต๋องยิ้มตาเป็นประกายอย่างเชื่อมั่นกับผลที่จะได้รับต่อจากนี้
 
 
 เช้าวันใหม่ ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ  เลื่อนกับรักเร่ เข็นรถเข้ามาในตลาดอย่างรีบเร่ง คอยหลบพ่อค้าแม่ค้าและคนซื้อของที่ยืนขวางทางอยู่
“ขอทางหน่อยจ้า ขอทางหน่อย   กำลังรีบ” เลื่อนตะโกนเสียงดัง
“จะมายืนกันอยู่ทำไมจ๊ะ  ไปอยู่หน้าจอทีวีกันได้แล้ว  วงร่วมใจเกื้อของเราใกล้จะออกสื่อแล้ว” รักเร่รีบเอ่ยขึ้น
“มัวชักช้าเดี๋ยวไม่ได้เห็นหน้าตัวเองในทีวีนะ”
บรรดาพ่อค้า แม่ค้าที่ยืนอยู่รีบวิ่งไปยืนหน้าจอทีวีตามแผงต่างๆ ด้วยความตื่นเต้น
 
กิมฮวย เต็กไฮ้ ยืนคุยกับจะเด็ดอยู่หน้าร้านและมองดูคนในตลาดด้วยความหมั่นไส้ 
“แค่ออกทีวีนิดหน่อยทำเป็นตื่นเต้น  ลืมกันไปหมดแล้วหรือไงว่าไอ้ต๋องมันทำอะไรไว้กับตลาดเราบ้าง” กิมฮวยรีบพูดดักคอ
“คนในตลาดก็งี้  สมองปลาทอง ลืมง่าย” เต๊กไฮ้รีบเสริมกิมฮวย
“เชื่อมั้ยล่ะ เดี๋ยวเรื่องไอ้ต๋องวันนี้ก็ลืมง่ายพอกัน” จะเด็ดรีบเห็นด้วย        
 “ตกลงว่าไม่มีใครดูนะ”
ลักษณ์พูดไปพลางจะปิดทีวี แต่กิมฮวย เต๊กไฮ้ และจะเด็ดรีบร้องทัก
 “ดู” กิมฮวยรับแก้เก้อ  
“ดูหน่อยก็ดี  จะได้รู้ว่ามันจะทำเรื่องงามหน้าอะไรให้เราอีก”
 
เวลาต่อจากนั้นทุกแผงร้านค้าในตลาดร่วมใจเกื้อ เปิดดูมิวสิควิดีโอของต๋องทางทีวี ซึ่งในฉากมีหลายมุมของตลาดอยู่ด้วยแทบทั้งสิ้น ติ๋มอุ้มท้องอยู่หน้าจอทีวีที่บ้าน รีบตะโกนเรียกเต๋าเสียงลั่น
 “พี่เต๋า มาดูต๋องออกทีวีเร็ว”
เต๋าวิ่งออกมาจากหลังบ้านเห็นต๋องในทีวีเริ่มแปลกใจ
ที่แผงขายปลา กิมลั้งนั่งดูทีวีอยู่ด้วยความปลาบปลื้มและมองไปรอบๆตัวเห็นทุกคนกำลังดูทีวีอย่างจดจ่อด้วยแววตามีความสุข  กิมลั้งยิ่งรู้สึกมีความสุขไปด้วย
 
เช่นเดียวกันกับที่ร้านป้าพิณ  ที่ถือตะหลิวค้างมองดูภาพในทีวี    เขียวหวานกับคำมูลยืนกรี๊ดกร๊าดกันอยู่หน้าจอ ยิ่งพอเห็นป้าพิณอยู่ในจอทีวียิ่งตื่นเต้น
 “นั่นไง เห็นป้าด้วย  ออกทีวีแล้วสาวขึ้นเยอะนะ”
ป้าพิณยังฟอร์มทำหน้านิ่ง
 “ก็ปกติ ไม่เห็นจะเปลี่ยนอะไรเลย”
 “ใช่ นิสัยน่ะไม่เคยเปลี่ยน” คำมูลว่า
ป้าพิณเอาตะหลิวเคาะหัวคำมูลแล้วหันไปดูทีวีต่อ
 
 
 ที่ร้านเสริมสวย ชมพู่กำลังเป่าผมให้ลูกค้าอยู่ ส่งเสียงกรี๊ดทุกครั้งที่เห็นหน้าต๋อง ทำเอาลูกค้ากับน้อยหน่าต้องเอามือมาอุดหู
 “กรี๊ด พี่ต๋อง”
ชมพู่มองเพลินถือไดร์เป่าผมค้างที่หัวลูกค้าจนควันขึ้น  ลูกค้าถึงกับร้องลั่น 
 
 
ที่ร้านกาแฟอาโก คนในร้านดูทีวียิ้มน้อยยิ้มใหญ่  อาโกเห็นตัวเองในทีวีถึงกับเอามือปิดหน้าอาย ไม่เว้นแม้แต่สดศรี ที่เดินผ่านทีวีในห้องรับแขกยังต้องมองตาม เมื่อเห็นทวีนั่งโซฟาดูทีวีอย่างสบายใจราวกับเจ้าของบ้าน
 “ทวี” สดศรีเรียกขึ้น
ทวีตกใจรีบกระโดดลงมานั่งที่พื้นอย่างรวดเร็ว
 “นี่มันอะไร”   สดศรีถามขึ้นเมื่อเห้นภาพในทีวี
 “ขอโทษค่ะ พอดีอินไปหน่อยขึ้นมานั่งบนนี้ได้ยังไงไม่รู้ตัวเลยคะ” ทวีคิดว่าโดนตำหนิเรื่องขึ้นไปนั่งบนโซฟา
 “ชั้นถามว่าในทีวีนี่มันอะไร”  สดศรีจ้องไปที่ทีวี
 “อ๋อ ตลาดไงคะ ตลาดของเราดังใหญ่แล้ว ได้ออกทีวีกันแทบทุกคน” ทวีรายงาน
สดศรีมองด้วยความแปลกใจ  ณดานั่งดูทีวีในห้องตัวเอง ยิ้มมองภาพในทีวีอย่างชอบใจ 
 
 
ในทีวีชมพู่ออกมาเต้นเป็นแดนเซอร์ พ่อค้าแม่ค้าที่มุงดูอยู่หน้าจอยิ้มอย่างมีความสุข  ตื่นเต้นที่เห็นตัวเองในทีวี คิตตี้ลุกขึ้นมาเต้นตามเพลงด้วยความคึกคัก
ภาพในจอทีวี เห็นนุ้ยยืนพูดกับกล้อง
 “ได้รู้จักคลื่นลูกใหม่อย่างวงร่วมใจเกื้อไปแล้ว  คราวนี้เราลองมาทำความรู้จักกับตลาดร่วมใจเกื้อซึ่งเป็นเบ้าหลอมสร้างตัวตนคนดนตรีกลุ่มนี้จากสกู๊ปพิเศษของเราค่ะ” นุ้ยพูดจบในรายการตัดเข้าบรรยากาศของตลาดร่วมใจเกื้อ
 
 
ที่บ้านชายศักดิ์ จ้องจอทีวีหน้าเครียดกันทั้งบ้าน
“นี่ถึงกับมีสกู๊ปโปรโมทตลาดด้วยเหรอ  อ๊าย” รัศมีกดรีโมทปิดอย่างทนไม่ได้
 “มันเกิดเรื่องบ้าบอนี่ขึ้นได้ยังไงฮะชาย” รัศมีถามขึ้นอย่างโมโห
 “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันล่ะครับคุณแม่   ใครมันจะไปคิดว่าไอ้ต๋องที่โดนเฉดหัวออกไปไม่กี่วันมันจะกลับมาเป็นขวัญใจตลาดได้”  ศักดิ์ชายตอบ
 “ลองอีหรอบนี้แล้ว  ตลาดร่วมใจเกื้อได้กลับมาคึกคักอีกครั้งแน่   ตอนนี้ก็ไม่ต้องหวังจะเป็นเจ้าของที่ดินนั่นกันแล้ว” ชายศักดิ์เริ่มวิตก             
 “ชาย ลูกปล่อยให้อะไรมันเลยตามเลยแบบนี้ไม่ได้นะ  แล้วตกลงยัยณดานั่นล่ะ  จัดการไปถึงไหนแล้ว  ทำอย่างที่แม่บอกรึเปล่า”รัศมีเอ่ยถามขึ้น
 “ผมไม่ได้เสกอะไรได้ปุ๊บปั๊บนะครับคุณแม่  ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา”  ศักดิ์ชายรีบตอบกลับ
 “เฮ้อ ตกลงไอ้ที่ทำๆไปนี่สูญเปล่าใช่มั้ย” ชายศักดิ์เจ็บใจ  
 “ไม่มีทาง  ผมไม่วันยอมให้มันเป็นอย่างงั้นแน่” ศักดิ์ชายไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
รัศมีเครียด หน้านิ่งอย่างมีแผนร้าย
 
เช้าวันใหม่ ผู้คนมาซื้อของพลุกพล่านในตลาดร่วมใจเกื้อ กิมฮวยแบกถังน้ำแข็งหน้าตาเหยเก  ครู่หนึ่งต๋องเอื้อมมาช่วยยก กิมฮวยยอมให้ช่วยเพราะยังไม่ทันมองหน้า
 “ขอบใจนะ” กิมฮวยเอ่ยขอบคุณ
แต่พอกิมฮวยหันไปเห็นว่าคนที่ช่วยตนคือต๋อง  กิมฮวยปล่อยมือทันที
 “ใครใช้ให้ลื้อมาช่วยอั๊ว” กิมฮวยหันไปว่าต๋อง
 “ถ้าให้ใครใช้แล้วมันจะเรียกว่าช่วยเหรอน้า” ต๋องย้อน
 “นี่ ถึงคนในตลาดจะพากันชูหางลื้อ  มันก็ไม่ได้หมายความว่าอั๊วจะต้องระริกระรี้ตามนะ   คนอย่างอั๊วน่ะมันจำขึ้นใจว่าใครทำอะไรเลวๆให้” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
 “น้าคงแยกไม่ออกมั้งว่าทำอะไรเลวๆกับทำอะไรไม่ถูกใจมันไม่เหมือนกันจะให้ชั้นเออออกับน้าไปทุกเรื่องได้ยังไง   ถ้ามันไม่ถูกไม่ควร” ต้องย้อนอีก
 “ลื้อไม่ต้องมาเออออ  ไม่ต้องทำอะไรกับอั๊วทั้งนั้น  อั๊วไม่ต้องการ” กิมฮวยโพล่งเสียงดัง
 “แล้วอะไรล่ะที่น้าต้องการ  ที่ผ่านมาชั้นก็พยายามแล้ว  แต่ทำอะไรไปมันก็ไม่เคยเข้าตาน้าเลย” ต๋องเถียง
 “ต่อให้ลื้อทำดีแทบตายก็ไม่ได้มีความหมายกับอั๊วหรอก  มันไม่ได้ช่วยทอดสะพานให้ลื้อเดินไปหาลูกสาวอั๊วแน่นอน   ถ้าอยากให้อั๊วเชื่อว่าลื้อรักลูกสาวอั๊วจริงมันมีวิธีเดียวเท่านั้นล่ะ ปล่อยอีไปซะ”
 กิมฮวยพูดจบเดินเชิดออกไป  ปล่อยให้ต๋องยืนเครียดกับสิ่งที่กิมฮวยตอกย้ำอีกครั้ง
 
 
 ต่อจากนั้น ต๋องเดินหน้าจ๋อยไปร้านกาแฟอาโก
“โก โอเลี้ยงแก้ว” ต๋องสั่งอย่างไร้อารมณ์
“ได้เดี๋ยวนี้เลยอาต๋องคนดัง” อาโกตะโกนแซวกลับ
“โกก็พูดเกินไป” ต๋องรีบท้วงขึ้น
 “ก็มันจริงๆนี่  แถมดังคนเดียวไม่พอ  ยังทำให้อั๊ว ให้ตลาดเราดังไปด้วย ลื้อรู้มั้ย ขนาดอั๊วได้ออกทีวีแว้บเดียว   คนแถวบ้านนี่ทักกันทั้งซอย” อาโกพูดไปพลางยื่นโอเลี้ยงให้ต๋อง
 “ก็ดีแล้ว จะได้มีลูกค้ามาอุดหนุนโกเยอะๆ”
 ต๋องรับโอเลี้ยงมาแล้วเดินมาทำท่าจะนั่งที่โต๊ะ ใกล้กันนั้นกิมลั้งกางหนังสือพิมพ์อ่านอยู่ กิมลั้งกับต๋องจ้องมองกันอย่างอึ้งๆ แต่ดูต๋องจะมีอาการลนมากกว่า
 “กิมลั้ง” ต๋องเอ่ย พร้อมเดินไปที่โต๊ะกิมลั้ง
 “นี่ถ้าไม่บังเอิญ   คงไม่มีโอกาสได้พบเธอจังๆ  แปลกดีนะ อยู่ๆเราก็เหมือนเป็นคนอื่นกันไปซะแล้ว” กิมลั้งพูดอย่างน้อยใจ จนต๋องเริมอึกอัก
 “พูดอะไรอย่างนั้นกิมลั้ง” ต๋องพูดไม่เต็มปาก
 “หรือไม่จริง  แค่เรื่องเกี่ยวกับตัวเธอ เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าชั้นกลับรู้พร้อมๆกับคนอื่น”   
กิมลั้งตัดสินใจถาม
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอต๋อง ตั้งแต่วันงานหมั้น ทำไมจู่ๆเธอถึงเปลี่ยนไป” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
 “คือ ช่วงนี้ชั้นเหนื่อยๆกับเรื่องขายของน่ะ  ก็เลยเครียดๆ”  ต๋องตอบแต่ไม่ยอมสบตา
 “นึกว่าเธอเครียดเฉพาะตอนที่เห็นหน้าชั้นซะอีก” กิมลั้งเอ่ยทิ่มแทงใจดำ
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ” ต๋องอ้ำอึ้ง จนกิมลั้งโพล่งออกมาทันที
“ต๋อง เธอเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนขอร้องให้ชั้นบอกว่าชั้นรู้สึกกับเธอยังไง  เพราะเธอจะได้มีกำลังใจทำอะไรต่อไปกับชีวิต   แต่ทุกอย่างทำไมกลับตาลปัตร  ที่เคยบอกว่าจะจับมือชั้นต่อสู้กับทุกปัญหา เธอยังจำมันได้มั้ย” กิมลั้งเอ่ยออกมาอย่างน้อยใจ
ต๋องอึ้งไป  แล้วทำเฉไฉพูดเรื่องอื่น
“ตอนนี้ตลาดเราทำท่าว่าจะเป็นไปด้วยดี   ชั้นว่าเราเอาเวลามาช่วยกันคิดเรื่องตลาดก่อนที่จะมาสนใจเรื่องส่วนตัวดีกว่านะ”
“สรุปว่าชั้นมันเห็นแก่ตัว  มัวแต่คิดเรื่องของตัวเอง” กิมลั้งพูดด้วยความน้อยใจ
 “โธ่เอ้ย ไปกันใหญ่แล้ว” ต๋องเอ่ยขึ้น
ขณะที่ต๋องกับกิมลั้งเถียงกันด้วยอารมณ์ขุ่นข้อง  ณดาโผล่เข้ามาพอดี  แต่แกล้งเหมือนไม่เห็นอะไร ทักเสียงใสขึ้นมา
 “มาอยู่ที่นี่เอง” ณดาเอ่ยทัก
 “เอ่อ คุณณดามีอะไรรึเปล่าครับ” ต๋องออกอาการตกใจ
 “คุณแม่ให้มาตามน่ะค่ะ” ณดาเอ่ยขึ้น
 “คุณนายสดศรีให้มาตามผม” ต๋องแปลกใจ 
 “ค่ะ ท่านรออยู่ในตลาดแล้ว” ณดาเร่งต๋องไปในตัว
 “ครับๆ”
ต๋องมองกิมลั้ง ก่อนจะเดินออกไป ณดาเพิ่งนึกได้แล้วหันมาบอกกิมลั้ง
 “อ้อ ลืมไป   เชิญเธอด้วยนะ  เพราะคุณแม่เรียกประชุมทั้งตลาดเลย” ณดาว่า
กิมลั้งยังปรับอารมณ์ไม่ถูก  แต่พยักหน้าตามมารยาทก่อนจะเก็บงำสิ่งอัดอั้นไว้ในใจ
 
 
 เวลาต่อจากนั้น สดศรีเรียกพ่อค้าแม่ค้าในตลาดประชุมพร้อมหน้าพร้อมตา          
 “ขอบคุณทุกคนมากที่สละเวลาค้าขายมาร่วมประชุม  งั้นขอรวบรัดตัดความเลยละกัน  ที่ชั้นมาวันนี้ก็เพราะว่าอยากจะขอบคุณนายต๋อง เรื่องที่ช่วยหาคนเข้าตลาดให้พวกเรา” สดศรีเอ่ยขึ้นกลางที่ประชุมแล้วหันไปที่ต๋อง  ทุกคนมองตาม  ต๋องยังงงๆทำตัวไม่ถูก ขณะที่กิมฮวยไม่พอใจนัก ส่วนศักดิ์ชายเก็บอาการหมั่นไส้ หายใจหายคอไม่ถูก  ยิ่งเห็นณดาปลื้มต๋องยิ่งคลั่ง
 “จริงอยู่ คราวก่อนต๋องทำเรื่องผิดพลาดจนทำให้คนที่นี่ต้องเดือดร้อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็น่าจะพิสูจน์พอเพียงแล้วว่าเค้าตั้งใจจะทำทุกอย่างเพื่อชดเชยเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ  แล้วก็ทำได้ดีมากทีเดียว  ถ้าทุกคนเห็นด้วย  ชั้นขอเสียงปรบมือให้ต๋องซักครั้งแทนคำขอบคุณจากพวกเราจะได้มั้ย” สดศรีพูดเสียงดังขึ้น
คิตตี้กับชมพู่ ปรบมือเป็นเสียงแรกทันที  จากนั้นเสียงปรบมือของคนอื่นๆตามมาเป็นสาย  กิมฮวย เต๊กไฮ้ และจะเด็ดมองหน้ากันไม่พอใจ  ศักดิ์ชายแอบยืนกัดฟันกรอดๆ
 “ขอบคุณทุกคนมากนะจ๊ะ” ต๋องก้มหัวแทนคำขอบคุณให้ชาวตลาด
กิมลั้งแม้จะรู้สึกตื้อๆอยู่เรื่องต๋องแต่อดยินดีไปด้วยไม่ได้ 
 “เอาล่ะ  คราวนี้ก็มาถึงเรื่องสำคัญ  อยากถามความเห็นทุกคนว่า ถ้าชั้นจะให้ต๋องกลับมาขายผักในตลาดเหมือนเดิม  พวกเราจะอนุญาตมั้ย” สดศรีเอ่ยถาม
 “อนุญาตจ้ะ” ชาวตลาดตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด
 “ได้ยินแล้วใช่มั้ยต๋อง  ถ้างั้นก็ ขอต้อนรับสู่อ้อมอกตลาดร่วมใจเกื้ออีกครั้งจ้ะ”  สดศรีเอ่ยขึ้นแล้วหันไปทางต๋อง
“เย้” ชาวตลาดส่งเสียงดีใจกันยกใหญ่
เลื่อนกับรักเร่กระโดดกอดต๋องด้วยความดีใจ ต๋องยกมือขึ้นไหว้สดศรี  แล้วหันไปไหว้คนในตลาดด้วยความซาบซึ้งใจ
 “เอาล่ะ ชั้นหมดธุระแล้ว  รีบกลับไปชายของกันได้  ลูกค้ายืนรอกันใหญ่แล้ว” สดศรีปิดท้ายการประชุม พ่อค้าแม่ค้าพากันแยกย้ายกลับแผงขายของด้วยอาการดีใจไม่น้อยเมื่อต๋องจะได้กลับมาขายผักอีกครั้ง
 
 
 ต่อจากนั้น สดศรี ณดา และต๋อง เดินออกมาจากด้านในตลาดพร้อมกันและคุยกันอย่างสนิทสนมกว่าทุกครั้ง
 “ขอบพระคุณคุณนายอีกครั้งนะครับสำหรับเรื่องวันนี้” ต๋องเอ่ยขึ้น
 “ไม่เป็นไร  ถือซะว่าชดเชยที่ชั้นไล่เธอออกไปจากตลาดวันก่อน  ชั้นรู้ว่าเธอน่ะเป็นพวกช่างคิด   ซึ่งมันก็ดี   แต่บางทีการมองแต่แง่ดีจนลืมมองแง่ร้ายเผื่อไว้มันก็อาจจะเกิดปัญหาเหมือนคราวก่อนได้  ต่อไปจะทำอะไรก็ตีลังกาคิดให้รอบคอบ  ประวัติศาสตร์จะได้ไม่ซ้ำรอย” สดศรีตอบ
 “ครับคุณนาย” ต๋องดีใจที่ได้กลับมาขายของอีกครั้ง
 “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณแม่   ต่อไปนี้ถ้าคุณต๋องมีกิจกรรมอะไรเกี่ยวกับตลาดขึ้นมาอีก   ณดาจะคอยตามประสาน ประกบคุณต๋องไม่ให้คลาดสายตา  จะได้คอยรายงานความเคลื่อนไหวให้คุณแม่ทราบดีมั้ยคะ” ณดาอาสาออกนอกหน้าจนผิดปกติ
 “ก็ดี  อยากทำอะไรก็มาคุยกันก่อน แต่เอ๊ะ ว่าแต่ชั้นคงไม่ต้องจ่ายค่าที่ปรึกษาให้เธอใช่มั้ยต๋อง    ตลาดเราไม่มีงบนะ” สดศรีย้ำโดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ
 “คุณแม่อ่ะ” ณดาแอบอายในความงกของแม่ จึงรีบพูดขึ้น จนต๋องอดขำไม่ได้
 “ไม่ต้องหรอกครับคุณนาย  ถ้าผมทำตลาดให้ดี  ลูกค้าก็มาซื้อของมากขึ้น  เดี๋ยวผมก็ได้ตังค์เอง”
สดศรีรีบยิ้มพอใจไม่ต้องเสียเงิน
 “นี่ มันต้องคิดให้ได้อย่างนี้”
สดศรีตบแก้มต๋องเบาๆด้วยความชอบอกชอบใจ  ทั้งหมดหัวเราะขำขันดูเป็นครอบครัวอีก จนศักดิ์ชายที่แอบมองภาพตรงหน้าด้วยความเคียดแค้น รีบหยิบมือถือขึ้นมาทันที
“คุณแม่เหรอครับ”
 
 
บ่ายวันเดียวกัน ที่ห้องทำงานรัศมี ในห้างแฮปปี้คู่แข่งตลาดร่วมใจเกื้อรัศมียืนคุยโทรศัพท์กับลูกชายหน้าตาตื่น
 “ฮะ ?   ไอ้ต๋องมันได้กลับมาขายของในตลาดอย่างเดิมแล้ว” รัศมีโวยวาย
ชายศักดิ์ฟังแล้วหน้าเครียดขึ้นมาทันที
 “ให้มันได้อย่างนี้ซิ   แล้วตกลงว่าเรื่องคลิปล่ะไปถึงไหนแล้ว  ลูกต้องตามบี้ให้ถึงที่สุดซิ”
ชายศักดิ์ผุดลุกผุดนั่ง รัศมีเริ่มอาการไม่เป็นส่ำไปด้วย
“ชาย งั้นแค่นี้ก่อนนะลูก  แต่อย่าลืมที่แม่พูดนะ”  รัศมีวางหูอย่างอารมณ์เสีย
 “ตกลงเด็กนั่นมันกลับมาขายของจริงๆเหรอ”
 “จริงน่ะซิคะ   ทั้งหมดเนี่ยมันเกิดขึ้นเพราะความสาระแน...เอ๊ย...ความแส่ ของเมียเก่าเสี่ย” รัศมีรีบใส่ไฟ
 “สดศรีเนี่ยนะ” ชายศักดิ์ยังไม่เข้าใจ
 “ใช่น่ะซิคะ  ตั้งแต่นายต๋องเอาตลาดไปออกทีวีนี่  หลงใหลได้ปลื้มถึงขั้นอัญเชิญเข้าตลาดกันเลยทีเดียว   ลองเข้าขากับไอ้ต๋องขนาดนี้   อีกหน่อยมันคงช่วยกันขยายตลาดเป็นซูเปอร์มาเก็ตมาแข่งกับห้างเราแน่” รัศมีเอ่ยขึ้น
ศักดิ์ชายไม่รอช้าฟังแล้วรีบเดินออกจากห้อง
 “ไปไหนคะเสี่ย”
รัศมีร้องทักศักดิ์ชายที่หุนหันพลันแล่นออกไป
 
 
 
 ต่อจากนั้น สดศรีนั่งพิงเบาะมองตลาดของตนอย่างสบายใจ ก่อนจะออกจากตลาด
 “หวังว่าจะเข้าที่เข้าทางกันซักทีนะ ชั้นจะได้มีค่าเช่าให้เก็บ” สดศรีพึมพำกับตัวเอง
แต่แล้วจู่ๆรถเบรกกะทันหันจนสดศรีหน้าไปกระแทกเบาะหน้า
 “โอ๊ย ขับรถยังไงเนี่ยเปาเปา” สดศรีรีบโวยวาย
 “คือ...”คนขับรถทำหน้าเหยเก ก่อนจะมองไปที่หน้ารถ
สดศรีหันมองตามเปาเปาไปเห็นชายศักดิ์ยืนจังก้าอยู่หน้ารถ สดศรีเปิดประตูรถลงไปทันที    
 “นี่ ถ้าอยากตายก็วิ่งไปถนนใหญ่  ไม่ใช่มาตัดหน้ารถชั้น  เดี๋ยวมันจะเปื้อนเลือดชั่วๆ” สดศรีด่าใส่ทันที
 “ก็เพราะปากเป็นแบบนี้ไงชั้นถึงอยู่กับเธอได้ไม่นาน”  ศักดิ์ชายย้อน
“งั้นก็เลิกมาวนเวียนใกล้ๆชีวิตชั้นซักทีซิ  นึกว่าชั้นอยากจะพูดถึงคนเลวอย่างเธอให้เสียปากนักรึไง” สดศรีทั้งผลักทั้งทุบอีกฝ่ายด้วยความโมโหชายศักดิ์รั้งแขนสดศรีไว้แน่นให้เลิกทุบตีทำร้ายตน
 “พอซักทีเถอะน่ะ ที่อุตส่าห์มายืนให้เธอด่านี่ก็เพราะชั้นมีเรื่องมาเตือนเธอหรอกนะ” ชายศักดิ์เอ่ยขึ้น
รัศมีเดินมา ชายศักดิ์รีบปล่อยแขนสดศรีแล้วทำท่าซีเรียส  สดศรีแอบน้อยใจที่ชายศักดิ์ทำอย่างนั้น
 “ก็เรื่องนายต๋องยังไง” ชายศักดิ์รีบเปลี่ยนเรื่อง
 “ต๋องทำไม ?” สดศรีถามกลับ
 “เธอคิดดีแล้วเหรอที่ให้ตัวซวยอย่างนายต๋องนั่นกลับเข้ามาในตลาดอีก” ชายศักดิ์เอ่ยขึ้น
 “นั่นซิคะคุณพี่ ได้ข่าวว่านายต๋องน่ะออกจะเพี้ยนไม่ใช่เหรอคะ  ช่วงนี้คนก็กำลังแห่กันเข้าตลาดคุณพี่ดีๆ  ถ้านายต๋องยังอยู่  เดี๋ยวก็ได้คิดนั่นนี่พิลึกพิลั่นมาไล่ลูกค้ากันพอดี” รัศมีรีบเสริม
 “ดูท่าทางเธอจะรู้เรื่องตลาดชั้นดีเหลือเกินนะ” สดศรีสวนกลับ รัศมีสะดุ้ง
 “แหม นี่มันเรื่องในตลาดนะคะไม่ใช่ป่าช้า  มีอะไรนิดอะไรหน่อย พวกปากนกกระจิบกระจอกก็เที่ยวบอกกล่าวกันให้แซ่ดแล้ว” รัศมีรีบตอบ
 “สรุปว่าพวกเธอเป็นห่วง” สดศรีย้อนถามอย่างประชด
 “ก็ใช่....”  ชายศักดิ์กับสดศรีตอบ
 “.....ห่วงว่าต๋องจะช่วยทำให้ตลาดชั้นรุ่งไปกว่านี้” สดศรีโพล่งขึ้น
 ชายศักดิ์กับรัศมีมองหน้ากันทำตัวไม่ถูกที่สดศรีเริ่มรู้ทัน
 “นึกว่าคนอย่างชั้นไม่รู้จักสันดานของพวกเธอดีเหรอ  สันดานของพวกโลภ ไม่รู้จักพอ  จ้องแต่จะตะครุบของคนอื่นเค้า  เจ็บใจล่ะซิที่ตลาดชั้นมันไม่ล่มสมใจซักที   นี่ แทนที่จะนั่งสาปแช่งชั้น  เอาเวลาไปคิดหาวิธีทำให้ห้างของตัวเองรุ่งดีกว่ามั้ย ถ้าตลาดสดของชั้นเกิดดังเปรี้ยงปรางข้ามหน้าข้ามตาขึ้นมา  เดี๋ยวจะหาปี๊บมาคลุมกันไม่ทัน” สดศรีพูดจบเดินไปขึ้นรถ  ปล่อยให้สองสามีภรรยายืนแค้นอยู่ตรงนั้น
 “แกจะได้เห็นดีกับชั้นแน่”
รัศมีโกรธ จ้องสดศรีเขม็งอย่างมีแผนการชั่วร้ายบางอย่างในใจ    
 
ภายนอกตลาด ต๋องกับณดาเดินคุยกันมาอย่างสนิทสนม   โดยมีศักดิ์ชายแอบมองอยู่
 “ตกลงคุณจะกลับมาขายของวันพรุ่งนี้เลยใช่มั้ยคะ” ณดาถามต๋อง
 “เร็วไปเหรอครับ” ต๋องตอบ
 “ใครบอกคะ  ช้ากว่าที่ใจชั้นคิดอีก” ณดาส่งสายตามีความหมายบางอย่างไปให้ต๋อง  ต๋องอึ้งไป  ณดาเห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้ 
 “เอาเถอะค่ะ คุณรีบไปสั่งของดีกว่า  ขืนไปช้าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีผักงามๆมาขาย”  ณดาเอ่ยขึ้น
 “งั้นเจอกันพรุ่งนี้ครับ” ต๋องลา
 “ค่ะ” ณดาโบกมือให้
หลังจากต๋องเดินออกไป ศักดิ์ชายรีบเข้าไปลากณดาจนอีกฝ่ายตกใจ
 “ปล่อยชั้นนะ ปล่อย” ณดาตกใจเพราะกลัวคนอื่นเห็น
เธอเหลียวหน้าแลหลังด้วยความกลัว ศักดิ์ชายลากณดาออกมาโดยไม่สนคำทัดทาน
 
อ่านต่อหน้า 4 




“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 5 (ต่อ)
 
     
ต่อจากนั้น ศักดิ์ชายพาณดามาหยุดยืนที่มุมลับตาในตลาด ณดารีบสะบัดมือจะเดินออกไป ศักดิ์ชายรีบคว้าตัวไว้
 
“นี่ เลิกทำแบบนี้ซักที คุณไม่มีสิทธิ์มาลากชั้นไปมานะ” ณดาสั่ง
“ไม่มีสิทธิ์เหรอ ? สงสัยผมต้องช่วยเตือนความจำคุณหน่อยแล้วมั้ง” ศักดิ์ชายทำท่าจะเข้าไปจูบ ณดารีบผลักออก
“อย่านะ จะบ้าเหรอ” ณดาตวาด
“ทำไม ทีกับไอ้ต๋องล่ะหัวร่อต่อกระซิกระริกระรี้ ช่วงนี้ยิ่งได้ช่องหาเรื่องตามประกบติดมันเลยล่ะซิท่า” ศักดิ์ชายประชด
“แล้วมันแปลกตรงไหน ชอบใครก็ประกบคนนั้น” ณดายั่วโมโห
“แต่เสียดายนะที่นายต๋องเค้าอยากประกบกับคนอื่น” ศักดิ์ชายตอกย้ำณดาอีก
“ถ้าหมายถึงกิมลั้งล่ะก็ คุณคงลืมไปแล้วนะว่าเค้ากลายเป็นคู่หมั้นเพื่อนคุณไปแล้ว” ณดาย้อน
“เลิกหลอกตัวเองเถอะน่ะ คุณก็เห็นว่าพิธีวันนั้นมันล่มไม่เป็นท่า เห็นมั้ย ฟ้ายังไม่เข้าข้าง เพราะเบื้องบนเค้าลิขิตไว้แล้วว่ากิมลั้งกับต๋องต้องคู่กัน” ศักดิ์ชายรีบสวน
“งั้นก็มาดูกันต่อไปว่าชั้นกับเบื้องบนน่ะใครจะแน่กว่ากัน” ณดาไม่ยอมแพ้
“คุณคิดว่าคนอย่างต๋องเค้าจะอยากเป็นชู้กับเมียคนอื่นรึไงฮะ” ศักดิ์ชายหยิบมือถือขึ้นมาโชว์ขู่อีก
“เอ แล้วถ้าเค้าได้เห็นคลิปหวามของคุณกับผมในนี้ ผมนึกภาพไม่ออกเลยนะว่าต๋องจะรู้สึกยังไง”
ณดาโกรธมาก คว้ามือถือจากมือศักดิ์ปาลงพื้นแตกกระจาย
“คุณคงไม่คิดว่าไอ้วิธีแบบนี้มันจะทำลายหลักฐานได้หรอกนะ” ศักดิ์ชายกลับยิ้มเยาะเย้ย
“ใครบอกชั้นจะทำลายหลักฐาน ชั้นรำคาญ ถ้าคุณอยากใช้ไอ้วิธีไล่งับชายกระโปรงผู้หญิงแบบนี้ก็ทำต่อไป แค่ชั้นบอกว่ามันเป็นการตัดต่อก็จบ มันไม่มีใครเชื่อหรอกว่าผู้หญิงสูงส่งอย่างชั้นจะลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับผู้ชายอย่างคุณ” ณดาหันหน้าสู้ไม่กลัวเช่นเดียวกัน
“แต่ถ้ากับไอ้ต๋องน่ะคุณทำได้ใช่มั้ย” ศักดิ์ชายพูดด้วยอารมณ์แค้น
“แน่นอน เพราะมูลค่าของต๋องกับคุณน่ะมันผิดกันลิบลับ” ณดาย้ำ
“ก็ได้ ถ้าคุณคิดว่าจะไม่มีใครเชื่อๆง่าย ผมจะได้ลองพิสูจน์ ดูซิว่าคนในตลาดเห็นกันแล้วจะยังคิดว่าเป็นการตัดต่ออยู่อีกมั้ย” ศักดิ์ชายขู่
“ก็เอาซิ ถ้าอยากประจานความชั่วช้าของตัวเองก็เอา ชั้นจะได้ใช้มันเป็นหลักฐานลากคอคุณเข้า
คุกด้วย เพราะภาพมันต้องฟ้องอยู่แล้วล่ะว่าชั้นถูกกระทำในสภาพขาดสติ เพราะถ้าชั้นมีสติ น้ำหน้าอย่างคุณไม่มีทางได้แอ้มแม้แต่ของที่ต่ำที่สุดอย่างปลายเท้าชั้น” ณดาโกรธแต่พยายามเก็บอาการ
เธอมองหน้าศักดิ์ชายแบบไม่กลัวเช่นกัน พูดจบเธอเดินเลี่ยงไปอีกทาง ส่วนศักดิ์ชายโกรธจัดเตะซากมือถือด้วยความเจ็บใจ

ค่ำคืนนั้น ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ รถกระบะคันหนึ่งพร้อมด้วยชายฉกรรจ์ 4-5 คนบุกเข้ามา
ยามเฝ้าตลาดนั่งฟังรายการวิทยุเล่าเรื่องผีอยู่ด้วยความอิน จู่ๆไฟดับ วิทยุเงียบไป
“เอ้าเฮ้ย กำลังขนลุกขนชันเลย” ยามตกใจเอ่ยขึ้น
มือบางคนเอื้อมมาจับที่บ่ายาม แถมมีไฟส่องหน้าหลอกผีจนยามตกใจช็อกสุดขีด
“เฮ้ย!” ยามเป็นลมหมดสติไป
ชายฉกรรจ์ดับไฟฉายที่ส่องหน้าตัวเอง แล้วดึงหน้ากากผีออก ซึ่งเป็นลูกน้องของชายศักดิ์ ยามถูกลากออกไปนอกตลาด คืนนั้น ลูกน้องชายศักดิ์แบกกระสอบเข้ามาในตลาดร่วมใจเกื้อหลายใบอย่างมีเงื่อนงำ

เช้าวันใหม่ ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ ต๋องจอดรถซาเล้งบรรทุกผักมาเต็มคันรถ เขายืนมองดูตลาดด้วยแววตาเปี่ยมสุข
“ในที่สุดก็ได้กลับมายืนที่เดิมนะไอ้ต๋อง” ต๋องพูดกับตัวเอง
ต๋องแบกเข่งผักเข้าตลาดไป พอผ่านแผงปลาหันไปยิ้มให้กิมลั้งที่กำลังจัดแผงอยู่ แต่พอกิมฮวยหันมาเห็นต๋องรีบเอาตัวบังไม่ให้ต๋องมองกิมลั้ง
“กรี๊ด!” ชมพู่กับคิตตี้ส่งเสียงมาแต่ไกล
ต๋องยิ้มดีใจเมื่อได้ยินเสียงกรี๊ดคิดว่าทุกคนมาต้อนรับ แต่ปรากฏว่า คิตตี้กับชมพู่ วิ่งนำขบวนชาวตลาดพร้อมส่งเสียงกรี๊ดพุ่งหน้ามาทางต๋องอย่างมุ่งมั่น
“กรี๊ด!”
“โอ๊ย ไม่ต้องมาต้อนรับชั้นกันขนาดนี้ก็ได้” ต๋องเข้าใจว่าทุกคนมากรี๊ดตนเหมือนอย่างเคย
“ไม่ใช่ต๋อง มันไม่ใช่อย่างงั้น” คิตตี้รีบตอบ
“เอ้า แล้วร้องกรี๊ดวี้ดว้ายกันทำไม” ต๋องถามด้วยความสงสัย
“จะไม่ให้กรี๊ดได้ยังไงล่ะพี่ต๋อง ก็หนูมันวิ่งมาเป็นโขยงขนาดนั้น” ชมพู่รีบตอบ แล้วชาวตลาดวิ่งแยกออกเป็นสองฝั่ง
“เฮ้ย!” ต๋องตกใจเห็นกองทัพหนูที่กำลังวิ่งมุ่งหน้ามา
ชาวตลาดวิ่งหนีหนูกันให้วุ่น หลายคนจวนตัวกระโดดขึ้นแผงที่อยู่ใกล้ๆ ไม่เว้นแม้แต่ตัว
ต๋องเองที่เผลอกระโดดไปกอดกิมลั้งที่อยู่ไม่ไกล จนกิมฮวยต้องรีบผลักต๋องออกไปแต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากเพราะต่างหนีหนูอยู่ไม่ต่างกัน ทวี สาวใช้บ้านสดศรีกระโดดเกาะเสาแน่น โดยที่หูยังแนบมือถือรายงานสถานการณ์ไปด้วย
“ฮัลโหล แย่แล้วค่ะคุณนาย” ทวีรีบรายงานสดศรี

จากนั้นไม่นาน คนในตลาดทั้งหมด ร่วมประชุมกันอย่างเร่งด่วน
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง ชั้นย้ำนักย้ำหนาใช่มั้ยว่าให้ทุกคนช่วยกันรักษาความสะอาด แล้วกองทัพหนูโสโครกพวกนั้นมันมาได้ยังไงกันฮะ” สดศรีโพล่งขึ้นอย่างโมโห
“มันก็เพิ่งมาวันนี้ล่ะค่ะคุณนาย ที่ผ่านมาน่ะแทบจะนับจำนวนหนูที่ป้วนเปี้ยนอยู่ในตลาดเราได้ เพราะตั้งแต่วันที่ไอ้ต๋องมันแฉทุกคนออกโรงหนัง พวกเราก็ช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดตลาดเป็นอย่างดี” ป้าพิณรีบตอบ
“แล้วมันมาได้ยังไงมากมายขนาดนี้” ณดายังคงสงสัย
“คุณณดาเดินตลาดอยู่ทุกวันก็ไม่เคยเห็นมันใช่มั้ยล่ะคะ แต่ไม่รู้วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น”
คิตตี้ตอบออกไป
“อั๊วรู้แล้ว มันต้องเป็นเพราะเสนียดจัญไรมันกลับเข้ามาสิงสู่ที่นี่อีกแน่นอน” กิมฮวยมองไปที่ต๋องก่อนจะพูดขึ้น
“จริงด้วย พอกาลกิณีมา พวกสัตว์น้อยใหญ่มันก็พากันแตกฮือ” จะเด็ดรีบเสริม
“นั่นซิ ขนาดสัตว์มันยังรับไม่ไหว แล้วพวกเราจะไม่แย่กันเหรอ” เต๊กไฮ้ว่า
“แหม ร้องรับกันเป็นฉิ่งฉับกรับโม่งเลยนะ ถนัดกันนักเรื่องโยนขี้ให้พี่ต๋องเนี่ย ชั้นว่าพี่ต๋องเค้าก็ไม่เคยไปทำให้อะไรให้หนักหัวน้าๆเลยนะ” ชมพู่สวนแทน
“อ๊าย อาชมพู่” กิมฮวยโวย
“พอๆเลิกเถียงกันได้แล้ว ตอนนี้ที่ต้องรีบช่วยกันทำก็คือจับหนูพวกนี้ออกไปจากตลาดให้เร็วที่สุด ก่อนที่ลูกค้าจะมาเจอพวกมัน” สดศรีว่า
“แต่นี่ลูกค้าก็ทยอยกันมาแล้วนะครับ ช่วงนี้คนยิ่งเข้าตลาดเยอะขึ้นด้วย กว่าจะจับหนูหมดลูกค้าไม่พากันขวัญผวาเหรอครับ” คำมูลบอก
“ชั้นว่าต้องให้น้าจะเด็ดใช้วิธีลัดแล้วล่ะ เสกคาถาไล่หนูไง จะได้เร็วขึ้น” เขียวหวานเริ่มเสนอความคิด
“จริงด้วย” ทุกคนพากันเห็นด้วย
จะเด็ดรีบปฏิเสธ
“จะบ้าเหรอนังเขียวหวาน จอมขมังเวทย์อย่างข้าไม่ลดตัวมาใช้วิชากับสิงสาราสัตว์ให้คาถาเสื่อมหรอกเว้ย”
“ที่ไม่ทำนี่ไม่ใช่เพราะทำไม่ได้เหรอน้า” ต๋องรีบตอบ
“มึงอยากมีปัญหากับกูใช่มั้ยไอ้ต๋อง” จะเด็ดโวย
กิมลั้งเห็นท่าไม่ดีรีบแทรกขึ้น
“เอาอย่างนี้มั้ยทุกคน ชั้นว่าถ้าจะให้ดี วันนี้เราปิดตลาดกันซักวันดีกว่า ยอมเสียรายได้หนึ่งวันเพื่อจัดการเรื่องหนู ดีกว่าไม่มีโอกาสแก้ตัวกับลูกค้าอีกเลย”
“เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะ มีใครไม่เห็นด้วยมั้ย” สดศรีถามความสมัครใจ ต๋องรีบตอบทันที
“ไม่มีครับ เฮ้ยเลื่อน รักเร่ เดี๋ยวเองไปเขียนป้ายติดหน้าตลาดเลยว่า “ขออภัย งดให้บริการหนึ่งวัน”
“ได้พี่” เลื่อนกับรักเร่รีบขันอาสา
กิมฮวยหันไปแยกเขี้ยวใส่ต๋องด้วยความหมั่นไส้ ครู่หนึ่งลุงอ่ำวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“คุณนายครับคุณนาย” ลุงอ่ำรีบรายงาน
“มีอะไรนายอ่ำ หน้าตาตื่นเชียว” สดศรีรีบถาม
“กรมอนามัยโทรมาบอกว่าจะขอเข้ามาตรวจ เพราะได้รับแจ้งจากลูกค้าว่าตลาดเรามีหนูเต็มไปหมดครับ” ลุงอ่ำรีบแจ้ง
“ฮะ!”
สดศรีตกใจ พ่อค้าแม่ค้าหน้าเครียดไปตามๆกัน

บ่ายนั้น เจ้าหน้าที่จากกรมอนามัย เข้ามาตรวจตลาดร่วมใจเกื้อเพราะข่าวหนูบุกตลาด เจ้าหน้าที่เดินสอบถามข้อมูลกับณดาและสดศรีโดยมีชาวตลาดล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ไม่ไกล และต่างพากันลุ้น
“คุณนายคงเข้าใจนะครับว่าพวกผมต้องทำตามหน้าที่ ยิ่งตลาดคุณนายมีปัญหาตั้งแต่งานธงขาวคราวก่อนเรื่องอาหารเป็นพิษ ทางกรมก็เลยต้องมาตรวจสอบด่วน” เจ้าหน้าที่คนแรกเอ่ยกับสดศรี
“ดิชั้นเข้าใจค่ะ ความจริงเรื่องหนูเรื่องแมลงสาบเนี่ยคงไม่มีตลาดไหนที่ไม่มีหรอกนะคะ” สดศรีรีบตอบ
“ใช่ครับ มีนิดมีหน่อยก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้ามีเป็นฝูงอย่างที่ได้รับรายงานก็แสดงว่าภาวะสุขอนามัยของที่นี่ก็ต่ำกว่ามาตรฐานมากจนไม่ควรเปิดให้บริการอีกต่อไป ผมสองคนขอตัวปฏิบัติหน้าที่ก่อนนะครับ” เจ้าหน้าที่อีกคนรีบสวนขึ้น
“เชิญค่ะเชิญ” สดศรีรีบเอ่ย
พอเจ้าหน้าที่เดินออกไป สดศรีถอยทัพกลับปรึกษาชาวตลาดอีกครั้ง
“เราจะรอดมั้ยเนี่ยต๋อง” สดศรีใจดีสู้เสือ
“พวกเราจะช่วยกันปกป้องตลาดสุดชีวิตครับคุณนาย” ต๋องนำทีมอย่างแข็งขัน
จากนั้นต๋องส่งซิกกับชาวตลาดให้กระจายกันไปช่วยกันทำหน้าที่พิทักษ์ตลาด

ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่เดินสำรวจตลาดร่วมใจเกื้อ ตามมุมต่างๆ เจ้าหน้าที่เริ่มเดินมาถึงแยกทางเดินซึ่งหนูกำลังจะวิ่งแถวผ่านหน้า เลื่อนรีบเข็นรถมาบังไม่ให้เจ้าหน้าที่เห็น เจ้าหน้าที่ขยับจะเดินหลบไปอีกทางเลื่อนขยับรถตาม เจ้าหน้าที่เริ่มงง
“อุ๊ย ขอโทษครับ” เลื่อนเอ่ยและพยายามทำให้เป็นเรื่องบังเอิญ
เจ้าหน้าที่คนแรกพยายามหลบไปอีกทาง เลื่อนตามไปบังอีกเพราะหนูเดินยังไม่พ้นแยก
“อุ๊ย ใจตรงกันอีกแล้ว” เลื่อนพูดไปยิ้มไป
เจ้าหน้าที่ขยับหลบไปอีกทางเลื่อนรีบตาม ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่คนที่สอง ไม่ได้ขยับไปด้วย ในจังหวะหวาดเสียวนั้นหนูโผล่มาให้เจ้าหน้าที่คนที่สองเห็น รักเร่เข็นรถเข็นอีกคันมาบังหนูไว้ได้ทัน ทำให้หนูข้ามแยกได้ทันเวลาพอดี เลื่อนกับรักเร่จึงค่อยๆเข็นรถเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองเดินต่อแล้วเลื่อนกับรักเร่แอบถอนหายใจใส่กันในความหวาดเสียว

เจ้าหน้าที่คนแรกเดินมาแถวร้านข้าวแกงป้าพิณกับร้านส้มตำของคำมูล ทั้งป้าพิณ เขียวหวาน และคำมูลยืนตัวเกร็ง
“เอ็งไล่หนูไปแล้วแน่นะนังเขียวหวาน” ป้าพิณหันไปกระซิบเขียวหวาน
“แน่ซิป้า” เขียวหวานตอบ
ขณะที่เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาใกล้ร้านมากขึ้น ปรากฏว่าหนู 4-5 ตัวปีนขึ้นมาอยู่บนโต๊ะ ป้าพิณกับคำมูลหันมาเห็นแทบช็อก
“เฮ้ย ไหนเอ็งบอกไล่ไปแล้วไงนังเขียวหวาน” ป้าพิณเอ่ยขึ้น
“สงสัยมันลืมของน่ะป้า เลยกลับมาเอา” เขียวหวานตอบ
คำมูลรีบคว้าถ้วยชามส่งให้ป้าพิณกับเขียวหวานช่วยกันครอบหนู เจ้าหน้าที่มองด้วยความสงสัย คำมูลรีบแจง
“พวกเรากำลังซ้อมมายากลไปออกงานน่ะครับ”
คำมูลรีบหยิบชามมาเพิ่ม แล้วหยิบมะเขือเทศมาลูกหนึ่งแล้วเอาชามครอบ จากนั้นโชว์เคลื่อนชามที่ครอบใส่มะเขือเทศสลับกันมั่วไปมากับชามที่ครอบหนูอยู่ แต่โชคร้ายเจ้าหน้าที่คนแรกดันนึกสนุกด้วย
“ผมว่ามะเขืออยู่ในชามนี้แน่” เจ้าหน้าที่คนแรกเอ่ยขึ้น
แล้วเอื้อมมือจะไปเปิดชาม คำมูลรีบเอามือกดไว้แน่นเพราะเป็นชามที่มีหนูอยู่
“แน่ใจเหรอครับ” คำมูลถามให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยนใจ
“งั้นชามนี้” เจ้าหน้าที่เอื้อมจะไปเปิดอีกชามที่มีหนู
“ไม่เปลี่ยนใจนะคะ” เขียวหวานรีบเอามือกดชามไว้
“งั้นชามนี้แน่ๆ” เจ้าหน้าที่จะเอื้อมไปเปิดอีกชามซึ่งมีหนู
“ป้าให้โอกาสอีกทีนะ” ป้าพิณรีบพูดพลางคว้าชามหมับเข้าให้
เจ้าหน้าที่ยกมือขึ้นจากชามแล้วใช้ความคิดครู่ใหญ่ ขณะที่ป้าพิณ เขียวหวาน และคำมูลลอบมองหน้ากันด้วยความเครียด แล้วเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งสามต้องเครียดหนักขึ้น เมื่อชามหนึ่งในนั้นเกิดมีการเคลื่อนที่ เจ้าหน้าที่เห็นแล้วตกใจ
“อะไรน่ะ” เจ้าหน้าที่ถามขึ้นอย่างสงสัย
“มันเป็นกลระดับแอ็ดวานซ์ของเราน่ะครับ นี่ไงครับ” คำมูลรีบตอบ
ป้าพิณและเขียวหวานรีบเอานิ้วมาจิ้มอยู่บนชามที่กำลังเคลื่อนที่พร้อมกัน
“เหมือนผีถ้วยแก้วที่เราเล่นกันตอนเด็กๆเลย” คำมูลรีบเบี่ยงประเด็น
“แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรอยู่ในนั้น” เจ้าหน้าที่ชักสงสัย
“แน่ใจ” สามคนตอบพร้อมเพรียงกัน
“งั้นผมขอดู” เจ้าหน้าที่เอ่ยขึ้น
ขณะที่เจ้าหน้าที่เอื้อมมือไปเปิดชาม เสียงเจ้าหน้าที่อีกคนดังขึ้น
“เป็นไงบ้างสรพงศ์”
จังหวะที่เจ้าหน้าที่กรมอนามัยสองคนหันไปคุยกัน คำมูลรีบสลับเอาชามที่มีหนูวิ่งออกไปแล้วเลื่อนอีกชามเข้ามาวางแทนที่ตำแหน่งเดิมด้วยความรวดเร็ว
“แถวนี้ใกล้เรียบร้อยแล้วสมบัติ ชั้นขอตรวจอะไรอีกนิด” เจ้าหน้าที่อีกคนรีบรายงาน
เจ้าหน้าที่คนเดิมหันกลับมาเปิดชาม ที่คิดว่าเป็นชามใบเดิม พบว่ามีมะเขือเทศอยู่
“เอ้า มาอยู่ชามนี้นี่เอง”
“ไป ไปดูด้านนู้นได้แล้ว”
เจ้าหน้าที่คนที่สองเรียกให้เจ้าหน้าที่อีกคนเดินไปด้านอื่น ป้าพิณ เขียวหวาน และคำมูล เหงื่อเต็มหน้า ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เจ้าหน้าที่กรมอนามัยจับไม่ได้ว่ามีหนู

ตรวจตราตลาดจนเสร็จ เจ้าหน้าที่เดินมาแถวแผงผักต๋องกับแผงปลาของกิมฮวย ซึ่งกิมฮวยกับกิมลั้ง และคนแถวนั้นกำลังไล่หนูที่วิ่งวุ่นอยู่ ต๋องรีบพยักหน้าให้ชมพู่กับคิตตี้ และชาวตลาดอีก 3-4 คน เอื้อมมือไปกดวิทยุ แล้วเพลงจังหวะมันๆดังขึ้น จากนั้นต๋องและพรรคพวกที่กระจายกันอยู่ตามทางเดินเริ่มออกท่าเต้นเพื่อดึงความสนใจจากเจ้าหน้าที่
“ทำอะไรกันน่ะคุณ ?” เจ้าหน้าถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เอ้า พี่ไม่เคยเห็นตามร้านสุกี้เหรอครับ ที่เค้ามีพนักงานมาเต้นให้ลูกค้าดู พวกผมเลยจำมาใช้บ้างจะได้ดึงคนเข้าตลาด ช่วงนี้ซ้อมกันทุกวันเลย ยังไงรบกวนพี่ช่วยติชมด้วยนะครับ” ต๋องเต้นไปอธิบายไปอย่างไม่มีพิรุธ

ชาวตลาดร่วมเต้นตามไปด้วย บ้างรีบพยายามกวาดต้อนหนูไปให้พ้นบริเวณนั้นด้วยวิธีต่างๆบ้างเอาอาหารโรยล่อหนูให้เดินตาม หรือบางคนใช้ไม้กวาดกวาดพื้นแต่จริงๆแอบกวาดหนู พอจวนตัวจะเต้นรุมเจ้าหน้าที่เพื่อกันไม่ให้มองเห็นหนูที่ป้วนเปี้ยนอยู่ บริเวณนั้น ช่วงคับขันต๋องต้องดึงกิมลั้งมาเต้นเพื่อบังหนูที่วิ่งไปมา กิมฮวยจะเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน นักเต้นที่เหลือช่วยกันดึงออกไปอย่างมีลีลาเพื่อไม่ให้กิมฮวยขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของต๋อง

ในขณะที่ตลาดกำลังวุ่นวายเรื่องหนู อีกฟากหนึ่งของโรงพยาบาล จาตุรงค์กำลังเดินกายภาพอยู่ในสวนของโรงพยาบาลโดยมีเจ้าหน้าที่ช่วยประคอง กิมแชเดินถือตะกร้ากวาดตามองหาจาตุรงค์ซึ่งกายภาพอยู่ กิมแชวางตะกร้าไว้ที่โต๊ะใกล้ๆแล้วขยับเดินไปหาจาตุรงค์ที่กำลังเดิน จาตุรงค์ทำท่าจะล้ม กิมแชรีบพุ่งไปรับจาตุรงค์ไว้ได้ทัน

กิมแชพาจาตุรงค์มานั่งเก้าอี้ พร้อมยื่นผลไม้ให้จาตุรงค์ ท่ามกลางผู้ป่วยที่กำลังออกกำลังกายในสวนของโรงพยาบาล
“กิมแชไปหาพี่ที่ห้องน่ะจ้ะ พยาบาลบอกว่าพี่มาทำกายภาพก็เลยตามมา” กิมแชรีบเอ่ย
“นี่กิมแชว่างมากเหรอถึงมาเยี่ยมพี่ได้ทุกวัน” จาตุรงค์ถามขึ้นลอยๆ แต่ทำเอากิมแชสะอึก
“ก็ ม้ากับเจ้ส่งกิมแชมาเป็นตัวแทนให้คอยดูแลพี่ไงจ๊ะ” กิมแชน้อยใจแต่ยังเก็บอาการ
“น้องกิมลั้งไม่ว่างอีกตามเคยซินะ” จาตุรงค์พูดขึ้นอย่างน้อยใจและทำหน้าไม่เชื่อ
“จริงๆนะพี่รงค์ ตอนนี้ทั้งม้าทั้งเจ้น่ะยุ่งมือเป็นระวิงเลยจริงเพราะที่ตลาดน่ะมีคนมาซื้อของเยอะขึ้น” กิมแชรีบอธิบาย
“คนที่ไหนจะเยอะ อย่ามาโกหกพี่เลยกิมแช ตลาดเราน่ะร้างตั้งแต่ตอนที่ไอ้ต๋องมันทำให้เสียชื่อแล้ว” จาตุรงค์ย้อนเพราะนอนโรงพยาบาลจนไม่ได้รู้ข่าวใดๆ
“แต่คราวนี้พี่ต๋องคนเดิมนี่ล่ะจ้ะที่เรียกคนกลับเข้าตลาด” กิมแชรีบรายงาน
“ไม่จริง” จาตุรงค์รีบค้าน
“จริงจ้ะ พี่ต๋องน่ะพารายการทีวีมาถ่ายทำวงดนตรีของพี่ต๋องที่ตลาด แล้วก็ให้ช่วยโปรโมทตลาดเราให้ด้วย รุ่งขึ้นคนก็แห่มากันเยอะแยะ” กิมแชรีบอธิบาย
“แบบนี้ไอ้ต๋องก็ทำคะแนนกับน้องกิมลั้งแซงหน้าพี่ไปแล้วซิ ไม่ได้การแล้ว พี่จะรีบไปขอหมอออกจากโรงพยาบาลก่อนกำหนด ไม่งั้นกิมลั้งโดนไอ้ต๋องคาบไปกินแน่” จาตุรงพูดจบค์คว้าไม้ค้ำรีบลุกขึ้นเดินทั้งที่ขากระเผลก
“เดี๋ยวพี่รงค์” กิมแชรีบตามไปประคองจาตุรงค์ด้วยความห่วงใย แม้ในใจจะนึกน้อยใจในความรักที่จาตุรงค์มีให้กิมลั้งก็ตาม

เวลาต่อจากนั้น ที่ตลาด เจ้าหน้าที่จากกรมอนามัยตรวจตลาดร่วมใจเกื้อเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมาหาสดศรี
“ขอบคุณคุณนายแล้วก็ทุกคนมากนะครับที่ให้ความร่วมมือกับพวกเรา” เจ้าหน้าที่คนแรกเอ่ยขึ้น
“ด้วยความยินดีค่ะ ว่าแต่ผลการตรวจสอบเป็นยังไงบ้างคะ” สดศรีรีบตอบ
“ตอนนี้จำนวนหนูที่เราพบก็อยู่ในจำนวนที่รับได้ ไม่ใช่อย่างที่ได้รับแจ้งมา ยังไงผมผมขอตัวกลับไปทำงานต่อนะครับ” เจ้าหน้าที่คนที่สองเอ่ยเสริม
“เชิญค่ะเชิญ” สดศรีรีบเชิญเจ้าหน้าที่กลับ
เจ้าหน้าที่จากกรมอนามัยกลับไป ต๋องมองตามด้วยความคาใจ
“เฮ้อ!” ชาวตลาดทั้งหมดพร้อมใจถอนหายใจเสียงดังพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย
“ขอบคุณทุกคนมากนะที่ช่วยกันทำให้ตลาดเรารอดไปได้อย่างหวุดหวิด” สดศรีเอ่ยขอบคุณ
“มันก็แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าน่ะค่ะคุณแม่ ถ้าเรายังหาสาเหตุไม่ได้ว่าหนูพวกนั้นมาจากไหน เดี๋ยวก็ต้องมีคนโทรแจ้งกรมอนามัยอีกอยู่ดี” ณดาเอ่ยขึ้น
“แต่ที่ผมสงสัยก็คือพวกเราเจอหนูกันได้ไม่เท่าไหร่ ทำไมกรมอนามัยถึงรู้เรื่องเร็วนัก” ต๋องโพล่งขึ้น พอนึกบางอย่างได้ ต๋องรีบวิ่งออกไป หาเจ้าหน้าที่อนามัยทันที

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังเดินขึ้นรถ แต่เจ้าหน้าที่อีกคนกำลังคุยโทรศัพท์อย่างน่าสงสัย
“จริงๆครับหัวหน้า ตกลงว่าไม่เจอหนูมากมายอย่างที่ได้รับรายงานเลย” เจ้าหน้าที่รีบรายงานปลายสาย ต๋องแอบซุ่มฟังอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ถ้าคุณรัศมียืนยันอย่างนั้นก็คงต้องให้เธอบอกให้แน่นอนล่ะครับว่าเห็นหนูที่ไหน อะไรยังไง”เจ้าหน้าที่คนที่สองคุยโทรศัพท์ต่อ
“รัศมี ?” ต๋องแปลกใจเมื่อได้ยินชื่อรัศมี
ขณะนั้นมีคนถือถุงถึงห้างเวรี่แฮปปี้ผ่านหน้าต๋องไป ต๋องจึงนึกขึ้นได้ว่ารัศมีเป็นใคร
“อ้อ”
ต๋องเดินมุ่งหน้าไปที่ห้างเวรี่ทันทีอย่างเอาเรื่อง

ครู่หนึ่ง ต๋องเดินมาถึงหน้าห้าง มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งมีเสื้อแจ็คเก็ตกับหมวกแก็ปวางพาดอยู่เลยถือวิสาสะหยิบมา ต๋องที่ใส่เสื้อและสวมหมวกแก็ปเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในห้าง แล้วมองไปยังด้านหลังที่เป็นทางเดินไปสู่ส่วนสำนักงาน ต๋องเดินมาเจอพนักงานที่เฝ้าอยู่ด้านหน้า
“เอาของมาส่งคุณรัศมีครับ” ต๋องเอ่ย
“เดินไปด้านนู้นเลยน้อง” พนักงานคนหนึ่งรีบตอบ
“ขอบคุณครับ” ต๋องยังเนียนไม่มีพิรุธ
เขารีบเดินมาโผล่ตรงหัวมุมแต่พอเห็นรัศมีผลักประตูออกมาเลยรีบหลบ รัศมีเดินหน้าเครียดมาหาชายศักดิ์ที่กำลังเดินออกมาจากลิฟต์พอดี แล้วดึงชายศักดิ์มาคุยที่มุมปลอดคนซึ่งต๋องแอบตามไป
“คนที่กรมอนามัยโทรมาบอกว่าไม่เจอฝูงหนูที่เราไปปล่อยเอาไว้ค่ะ เห็นแค่ไม่กี่ตัว” รัศมีเอ่ยขึ้น
ต๋องฟังแล้วแอบเจ็บใจ
“จะเป็นไปได้ยังไง มันไม่น่าจะเก็บกวาดทัน เธอโทรเช็คลูกรึยังว่าเกิดอะไรขึ้น” ชายศักดิ์เอ่ยขึ้น
“ลูกจะไปเช็คได้ยังไงล่ะคะก็เมื่อวานเค้าเพิ่งบินไปสั่งของที่ใต้ขึ้นมาให้เราไง แต่รัศมีก็บอกกรมไปนะคะว่าเดี๋ยวจะเก็บหลักฐานส่งไปให้ดูเอง” รัศมีเอ่ย
ครู่หนึ่งพนักงานวิ่งหน้าตามีพิรุธรี่เข้ามาหา
“ของมาส่งแล้วครับ”
รัศมีกับชายศักดิ์พยักหน้ารับทราบ แล้วพากันเดินลงบันไดฉุกเฉินไปด้วยท่าทีมีพิรุธ ต๋องแอบตามไปอีก
 
จบตอนที่ 5


อ่านต่อตอนที่ 6 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.


กำลังโหลดความคิดเห็น