xs
xsm
sm
md
lg

รักเกิดในตลาดสด ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 4
 
     
เวลาต่อจากนั้น กิมฮวยเดินมาที่มุมหนึ่งของงาน แล้วพยักหน้าให้พรรคพวกเป็นการส่งซิก ทั้งหมดลอบมองกันแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆของตลาด กิมฮวยแอบเล็งลูกค้าคนหนึ่งที่เดินไปที่แผงขายปลาในงาน แล้วรีบแอบเข้าไปจูงมือลูกค้าออกมาก่อนจะเดินไปถึงร้านนั้น
 
“วันนี้มาซื้ออะไรจ้ะ” กิมฮวยทัก
“ว่าจะซื้อปลากะพงกับกุ้งก้ามกรามน่ะจ้ะ” ลูกค้าตอบกิมฮวย
“งั้นก็ไปซื้อที่แผงอั๊วซิ” กิมฮวยเชื้อเชิญ
“เอ๊ะ แต่ซื้อในงานนี่มันถูกกว่าไม่ใช่เหรอเจ๊” ลุกค้าตอบกลับ
“ใครบอกลื้อ ตลาดเดียวกันมันก็ราคาไม่ต่างกันหรอก ไป เดี๋ยวอั๊วลดราคาพิเศษให้อีกต่างหาก ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวลื้อออกมาถามราคาเปรียบเทียบกันได้เลย”
กิมฮวยจูงลูกค้าเข้าตลาดไปแบบไม่รอให้ตัดสินใจ

ส่วนเต๊กไฮ้ จูงมือป้าคนหนึ่ง อีกมือจูงชายหนุ่มมาที่แผงพร้อมตะโกนสั่งลักษณ์
“อาลักษณ์ เอาหมูสามชั้นให้ป้าแกสองโล แล้วก็เอาสันนอกให้สุดหล่อโลนึง นี่ เดี๋ยวอั๊วฝากบอกคนข้างนอกด้วยนะว่าหมูในตลาดถูกกว่าในงาน ให้รีบมาซื้อ”

อีกมุม กิมฮวยเอื้อมมือไปคว้าแขนลูกค้าอีกคนที่กำลังจะเดินไปที่แผงขายปลาในงาน เสียงต๋องดังขึ้นเหมือนตั้งใจประจานกิมฮวย ผู้คนแถวนั้นหันมองตามเสียง
“กิ๊วๆ หน้าไม่อาย กิ๊วๆ หน้าไม่อาย”
กิมฮวยหันหลังขวับ พอเห็นว่าเป็นต๋องควันออกหูขึ้นมาทันที
“ลื้อว่าใครหน้าไม่อายฮะไอ้ต๋อง” กิมฮวยอารมณ์ขึ้น
“ก็น้ากิมฮวยน่ะล่ะ จับได้คาหนังคาเขา นึกว่าชั้นไม่รู้รึไงว่าพวกน้าน่ะกำลังกระจายกำลังกันแอบฉกลูกค้าคนอื่นอยู่” ต๋องสวนกลับ
“ทำไม มันมีกากบาทแปะไว้ที่หน้าผากด้วยเหรอว่าคนไหนลูกค้าใครเค้าเห็นของร้านไหนถูกกว่าดีกว่า เค้าก็เร่ไปซื้อเองล่ะโว้ย” กิมฮวยเฉไฉ
“ไหนน้าบอกว่าจะไม่ยอมลดราคาของที่ขายไง ทีชั้นชวนให้มาตั้งแผงในงานก็ไม่ให้ความร่วมมือ พอเห็นคนมางานเยอะเข้าหน่อยก็มาแอบตัดราคาแล้วก็ขโมยลูกค้าเค้าไป” ต๋องย้อนกิมฮวย
“อั๊วจะทำอะไรมันก็เรื่องของอั๊ว วันนั้นอั๊วบอกไม่ลด แต่วันนี้อั๊วเปลี่ยนใจแล้วใครจะทำไม” กิมฮวยไม่ยอมรับ
“ใครจะไปทำอะไรน้ากิมฮวยได้ ถ้าคิดว่าจะเอาศักดิ์ศรีของตัวเองมาแลกกับการทำอะไรแบบนี้ก็ตามใจ”
ต๋องพูดเสร็จเดินออกไป ปล่อยให้กิมฮวยยืนแค้นอยู่ตรงนั้น แต่พอกิมฮวยกวาดสายตาไปรอบๆเห็นสายตาพ่อค้าแม่ค้ากำลังมองตนอย่างตำหนิอยู่เลยถอยทัพกลับไป

อีกมุมหนึ่งของตลาด คนขายคนซื้อกำลังเพลิดเพลินกับการชะเง้อมองการเต้นบนเวที ศักดิ์ชายพยักหน้าให้คนกลุ่มหนึ่งที่จ้างมา 4-5คน ทั้งหมดเดินแยกกันไป อาศัยจังหวะที่คนสนใจการแสดงบนเวทีแอบเทยาลงในหม้อบ้าง เหยือกน้ำบ้าง หม้อก๋วยเตี๋ยวบ้าง ศักดิ์ชายยิ้มชอบใจ พอเดินกลับมาที่ร้านขายผลไม้แช่ของตนพบกับจาตุรงค์ที่กำลังเดินหน้าเครียดมาหาพอดี
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าไอ้ต๋องมันจะเรียกคนเข้างานได้ขนาดนี้” จาตุรงค์โพล่งขึ้น
“ก็เรียกเข้ามามากๆเถอะ จะได้มาช่วยกันฆ่าตัวมันเอง” ศักดิ์ชายยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ยังไงวะ” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
“แกยังไม่ต้องรู้หรอก ว่าแต่เรื่องที่แกรู้น่ะจัดการให้ชั้นเรียบร้อยรึยัง” ศักดิ์ชายเอ่ย
“เรื่องอะไรวะ” จาตุรงค์ยังงง จนศักดิ์ชายอารมณ์เสีย
“เอ้า เฮ้ย”
“ชั้นล้อเล่น ไอ้ซีนซื้อใจของแกน่ะเหรอ ทุกอย่างพร้อมแล้ว รอชั้นปล่อยคิวเท่านั้นเอง”
จาตุรงค์หัวเราะ ส่วนศักดิ์ชายยิ้มชอบใจ

ต๋องเดินตรวจตราบริเวณงาน พอผ่านมุมหนึ่งไดยินเสียงกิมลั้งดังขึ้น
“ต๋อง”
ต๋องรีบหันไปที่ต้นเสียงทันทีที่ได้ยิน กิมลั้งยืนส่งยิ้มให้อยู่พร้อมถุงโอเลี้ยงในมือ
“กิมลั้ง” ต๋องดีใจแทบหายเหนื่อย
“ซื้อมาฝาก” กิมลั้งยื่นถุงโอเลี้ยงให้
ต๋องรับถุงโอเลี้ยงมาดูดท่าทางมีความสุข
“ชื่นใจจริงๆเลย”
“เหนื่อยมั้ย” กิมลั้งถามอย่างห่วงใย
“หายเป็นปลิดทิ้งเพราะโอเลี้ยงของเธอนี่ล่ะ” ต๋องตอบกลับ
“เว่อร์อีกแล้ว เอ้อ ชั้นขอโทษแทนม้าด้วยนะเรื่องที่แย่งลูกค้าไป” กิมลั้งพูด
“ช่างมันเถอะ คิดซะว่าก็ยังดีที่มีลูกค้าให้แย่ง ว่าแต่เธอเห็นแล้วดีใจมั้ย ที่คนเข้าตลาดเราเยอะขนาดนี้” ต๋องตอบแบบไม่คิดอะไร
“ดีใจซิ นี่ฝีมือเธอแท้ๆเลยนะเนี่ย” กิมลั้งเอ่ยชม
“ไม่หรอก เป็นเพราะทุกคนที่ร่วมมือกันต่างหาก เอ้อ เดี๋ยววงชั้นจะขึ้นเล่นแล้วนะ เธออย่าลืมไปให้กำลังใจนะ”
“ไม่ต้องให้กำลังใจแล้วมั้ง คนรอดูรอเยอะขนาดนั้น”
“มันสำคัญว่าใครมาดูต่างหาก” ต๋องตอบ
“เดี๋ยวชั้นทำอะไรเสร็จแล้วจะตามไปดูละกัน” กิมลั้งให้สัญญา
“เอาเป็นว่าถ้ายังไม่เห็นเธอ ชั้นจะไม่เริ่มคอนเสิร์ตนะ” ต๋องบีบบังคับกิมลั้งไปในตัว
“เรื่องมาก” กิมลั้งพูดแก้เขินแต่แอบดีใจ ต๋องได้แต่ยืนยิ้มมองกิมลั้งเดินเลี่ยงไป

ต๋องยืนดูดโอเลี้ยงอย่างสบายใจ แต่ทันใดนั้นมี ชาย 2 คนเข้ามาถามหาต๋อง
“ชื่อต๋องใช่มั้ย” ชายคนหนึ่งถามขึ้น
“ใช่ มีอะไรเหรอ” ต๋องตอบ
ชายคนหนึ่ง ต่อยเข้าที่ปากต๋องจนหน้าหงาย แล้วอีกคนเข้ามาช่วยซ้ำจนถุงโอเลี้ยงแตกกระจาย ผู้คนฮือฮากันครู่หนึ่งศักดิ์ชายกับณดาวิ่งเข้ามาดู จากนั้นผู้คนทยอยกันเข้ามามุงดู
“ตายแล้วต๋อง” ณดาเอ่ยขึ้น
ต๋องโดนล็อกตัว โดนชกเข้าที่ท้อง ศักดิ์ชายรีบเข้าไปกระชากชาย คนที่สองออกมาจัดการจึงเป็นจังหวะให้ต๋องเอาศอกกระทุ้งท้องคนที่จับล็อกอยู่ คราวนี้ทั้งต๋องทั้งศักดิ์ชายต่างแยกกันเข้าจัดการฝั่งตรงข้ามอย่างถนัด ณดาเห็นศักดิ์ชายช่วยต๋องแบบเคียงบ่าเคียงไหล่รู้สึกดีขึ้น ศักดิ์ชายกระชากคอเสื้อชายคนนั้นเข้ามาใกล้ตัวแล้วกระซิบเบาๆ
“ไปได้แล้ว” ศักดิ์ชายกระซิบให้ลูกน้องออกรีบออกไป
ชายคนนั้น แกล้งผลักอกศักดิ์ชายแล้ววิ่งหนีไป ศักดิ์ชายเห็นต๋องกำลังขยุ้มคนที่จ้างมา เลยกลัวว่าคนร้าย จะเสียทีแล้วถูกจับคาดคั้น ศักดิ์ชายรีบเข้าไปกระชากชายคนดังกล่าวออกมาจากต๋องแล้วผลักออกไปอย่างแรงให้ไกลแล้วแอบส่งซิกให้วิ่งหนีไป ก่อนที่ศักดิ์ชายจะแกล้งเข้าไปหาต๋อง
“นายเป็นอะไรรึเปล่าต๋อง”
ต๋องเช็ดเลือดที่ซึมอยู่มุมปาก
“แค่นิดหน่อยน่ะ” ต๋องตอบ
“คุณต๋อง พวกนั้นเป็นใครกันคะ ทำไมอยู่ๆมาทำร้ายกันแบบนี้” ณดาถามขึ้น
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คงเป็นพวกที่เหม็นหน้าผมมั้งครับ ขอบใจนายมากนะที่ช่วยชั้น” ต๋องเข้าไปจับไหล่ศักดิ์ชาย
“ไม่เป็นไรหรอก” ศักดิ์ชายตอบ
ระหว่างนั้นรักเร่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“พี่ต๋อง ถึงคิววงเราแล้ว”
“เอ้าเหรอ ? ไปๆ”
ต๋องรีบวิ่งออกไปกับรักเร่ด้วยความกระตือรือร้นเหมือนลืมไปว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ ต๋องออกไปแล้วณดาจึงรีบตามออกไป บรรดาไทยมุงเริ่มสลายตัว แล้วจาตุรงค์จึงเดินเข้ามาประกบศักดิ์ชาย
“เจ็บมั้ยวะ พ่อฮีโร่” จาตุรงค์ถามขึ้นอย่างรู้กัน
“เจ็บแค่นี้แลกกับความไว้ใจน่ะมันเกินคุ้มเว้ย” ศักดิ์ชายตอบทันที
ศักดิ์ชายดีใจกับแผนการที่ทำให้ณดารู้สึกดีกับตนเริ่มได้ผล

เวลานี้บนเวทีการแสดงในงานยกธงขาว เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมเสียงกรี๊ด
“ครับ สำหรับเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมแต่งขึ้นใหม่ เพื่อส่งผ่านความรู้สึกดีๆให้กับใครบางคน และหวังว่าคนคนนั้นเค้าจะ รับรู้ได้นะครับ”
ต๋องเอ่ยถึงเพลงที่แต่งให้กิมลั้งแต่ไม่ได้เอ่ยชื่อ ต๋องเข้าเนื้อเพลง คนดูฟังแล้วซึ้งปรบมือให้ต๋องด้วยความประทับใจเป็นระยะ ระหว่างที่ร้องเพลง ดูเหมือนต๋องมองไปทางณดาส่งยิ้มตลอด ณดาแอบเขิน ยิ้มตอบให้ต๋อง ซึ่งศักดิ์ชายที่ลอบมองอยู่รู้สึกขัดหูขัดตามาก แต่ดูไปดูมาณดาเพิ่งรู้สึกแปลกใจว่าตนอาจจะเข้าใจผิด แล้วก็หันมองไปด้านหลังตนเอง ณดาจึงได้พบความจริงว่ากิมลั้งยืนอยู่ด้านหลัง กำลังโบกไม้โบกมือทักทายให้กำลังใจต๋อง
ณดาอึ้งกับสิ่งที่กับเห็นถึงกับช็อกและเกิดอาการหน้าชา ศักดิ์ชายเห็นอาการณดาเริ่มรู้สึกแปลกใจ แต่พอมองตามไปถึงได้รู้ว่าที่แท้ต๋องมองใครอยู่ ศักดิ์ชายเผลอยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อรู้ว่าที่แท้แล้วคนพิเศษของต๋องคือกิมลั้ง

พอต๋องลงจากเวที คิตตี้ ชมพู่ แฟนคลับและสาวๆร้องกรี๊ดกร๊าดเอาดอกไม้มาให้กันไม่ขาดสาย บ้างก็ขอถ่ายรูปราวกับเป็นซูเปอร์สตาร์ ต๋องกวาดสายตาหากิมลั้งจนเห็นว่ายืนอยู่ไกล กิมลั้งชูนิ้วหัวแม่โป้งให้ต๋องแทนคำชม ต๋องเป็นปลื้มมาก แล้วกิมลั้งเดินออกไปด้วยอาการเขิน ณดามองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความช้ำใจ ทนยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ไหวถึง ตัดสินใจเดินออกไป แต่พอหันหลังเดินกลับ ณดาเห็นลุงอ่ำที่เดินหน้าตั้งเข้ามาหา
“คุณหนูครับคุณหนู เกิดเรื่องแล้วครับ” ลุงอ่ำรายงานณดาอย่างหน้าตาตื่น
“มีอะไรลุงอ่ำ” ณดารีบถามกลับ
“ลูกค้าหลายคนที่มางานเราท้องเสียกันเป็นแถวเลยครับ บางคนถึงกับนอนปวดท้องตัวงอกันเลย”
ณดาได้ยินถึงกับช็อก
“ฮะ”
ไม่ทันขาดคำลูกค้าหลายคนในงานร้องปวดท้อง บางคนทนไม่ไหวจนต้องวิ่งไปเข้าห้องน้ำ บ้างต้องดมยาดม เพื่อนต้องหิ้วปีก สถานการณ์ภายในงานดูวุ่นวาย
“ไม่ไหวแล้ว” ลูกค้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ต๋องเห็นผู้คนในงานเกิดอาการปวดท้องยิ่งรู้สึกงงและกังวล
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
ศักดิ์ชายยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง มองเหตุการณ์แล้วยิ้มชอบใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
บ่ายวันเดียวกัน ลูกค้าในตลาดหลายคนถูกนำส่งโรงพยาบาลเข้าห้องฉุกเฉิน ซึ่งแต่ละคนอาการหนักไม่แพ้กัน บ้างให้น้ำเกลือบนเตียง บ้างดมยาดมตลอดเวลา หมอ พยาบาลวิ่งวุ่น ต๋อง กิมลั้ง และณดา ยืนเครียด ครู่หนึ่งหมอเดินออกมาคุยกับณดา
“ตกลงว่าเป็นอย่างที่เราคาดการณ์กันไว้เลยครับ คนไข้ทั้งหมดมีอาการอาหารเป็นพิษซึ่งเกิดจากเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในอาหารที่ทานเข้าไป” หมอออกมารีบแจ้งอาการทันที
“ทุกคนก็กระจายกันซื้ออาหารจากหลายร้านนะครับหมอ แต่ทำไมมีอาการเดียวกันหมด” ต๋องรีบแย้ง
“ถ้างั้นก็แสดงว่าอาหารแทบทุกร้านมีสิ่งปนเปื้อน” หมอชี้แจงต่อ
“เป็นไปได้ยังไง ปกติที่ตลาดก็ไม่เคยมีปัญหานี้” ต๋องยังงงว่าอาหารไม่สะอาดได้อย่างไร
“ตอนนี้ถือว่าทุกคนพ้นขีดอันตรายรึยังคะคุณหมอ” ณดาถามขึ้น
“หมอคิดว่าควบคุมอาการได้หมดแล้วนะครับ ทางเราก็ให้การรักษาแตกต่างกันตามความหนักเบาของอาการแต่ละคนไป” หมอบอก
“ยังไงรบกวนคุณหมอดูแลทุกคนให้เต็มที่แล้วกันนะคะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดณดาจะรับผิดชอบเอง”
ต๋องยิ่งรู้สึกผิด เมื่อได้ยินณดาพูดอย่างนั้น
“ได้ครับคุณณดา ไม่ต้องห่วง งั้นหมอขออนุญาตไปดูแลคนไข้ต่อนะครับ” หมอรีบพูดแล้วเดินออกไป
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
ณดา ต๋อง และกิมลั้ง ยกมือไหว้ขอบหมอด้วยใบหน้าเครียด

เวลาต่อจากนั้น ณดานั่งถอนหายใจที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล ครู่หนึ่งต๋องเดินตามมาหา
“ผมขอโทษนะครับที่พลอยทำให้คุณต้องมาเดือดร้อนรับผิดชอบเรื่องค่ารักษาพยาบาลไปด้วย” ต๋องเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ช่างมันเถอะค่ะ ใครจะคิดล่ะคะว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มันสุดวิสัยจริงๆ” ณดาเอ่ยขึ้น
ครู่หนึ่งกิมลั้งเดินถือกาแฟร้อนเข้ามา 2 แก้ว
“ดื่มกาแฟหน่อยนะ” กิมลั้งส่งกาแฟให้ณดา
ณดายังตึงใส่กิมลั้ง แต่เก็บอาการรักษามารยาท เพราะรู้แล้วว่าต๋องมีใจกับกิมลั้ง
“ไม่เป็นไร ชั้นจะกลับแล้ว ณดากลับก่อนนะคะ อยากรีบไปพักผ่อน” ณดาตอบแบบรักษามารยาท
“งั้นผมไปส่งที่รถนะครับ” ต๋องรีบพูด แต่ณดาปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงก็ฝากคุณช่วยดูแลทุกคนด้วยละกัน ไปนะคะ”
ณดารีบเดินออกไปโดยไม่ปลายตามอง ส่วนกิมลั้งส่งกาแฟอีกแก้วให้ต๋อง
“ขอบใจนะ”
ต๋องลงนั่งที่เก้าอี้ถอนหายใจอย่างหมดแรง และฟุ้งซ่านกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“แทนที่งานนี้จะช่วยเรียกลูกค้า ชั้นกลับทำให้ตลาดเสียชื่อหนักเข้าไปอีก ชั้นมันสะเพร่าเอง ถ้าใส่ใจตรวจตราเรื่องอาหารอีกซักนิด เรื่องมันก็คงไม่เกิดขึ้น”
กิมลั้งนั่งลงใกล้ต๋อง พร้อมกับยื่นมือไปจับแขนปลอบใจ
“เธอทำดีที่สุดแล้วต๋อง เลิกโทษตัวเองซักทีไม่งั้นก็เหมือนเธอดูถูกความตั้งใจที่ดีของตัวเองนะ ถ้าคนนำยังท้อแท้แบบนี้ คนที่เป็นแนวร่วมกับเราเค้าจะรู้สึกยังไง” กิมลั้งพูดให้กำลังใจต๋อง
ต๋องนิ่งเมื่อฟังคำพูดของกิมลั้ง และเอามือไปแตะกับมือของกิมลั้งที่จับตนอยู่
“ขอบใจนะที่เตือนสติชั้น” ต๋องพูดกับกิมลั้ง
ณดาแอบมองทั้งคู่อย่างขมขื่นใจ เธอทนไม่ได้ เสียใจจนต้องวิ่งออกไป

ณดาวิ่งไปที่ลานจอดรถ ศักดิ์ชายมองเห็นจากอีกมุมหนึ่งของโรงพยาบาลยิ้มชอบใจ ครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ครับคุณแม่” ศักดิ์ชายตอบปลายสาย
รัศมีรีบโทรมาถามข่าวคราวทันที
“เป็นยังไงลูก ตกลงว่าเรียบร้อยมั้ย”
“เอาเป็นว่า หลังจากนี้ตลาดร่วมใจเกื้อคงกลายเป็นป่าช้าพักใหญ่เลยล่ะครับ” ศักดิ์ชายตอบ
รัศมีได้ยินดังนั้นดีใจจนออกนอกหน้า
“ต๊าย คืนนี้แม่ต้องนอนฝันดีแน่ๆ แล้วนี่ชายจะกลับบ้านรึยังลูก จะได้มาฉลองกัน”
“ยังฉลองไม่ได้หรอกครับ เพราะภารกิจผมยังไม่เสร็จ” ศักดิ์ชายยิ้มอย่างมีเลศนัย
“อ้อ ต้องเป็นเรื่องลูกสาวยัยคุณนายสดศรีแน่เลยใช่มั้ย” รัศมีรู้ทัน
“มีอะไรที่คุณแม่ไม่รู้บ้างมั้ยครับเนี่ย” ศักดิ์ชายชมแม่ตัวเอง
“อย่าลืมซิจ๊ะ ว่าแม่เป็นแม่ของชาย ไม่ว่าลูกกำลังจะทำอะไรก็ตาม แม่เชื่อว่ามันต้องสำเร็จ” รัศมีให้กำลังใจลูก
“เป็นพรที่ประเสริฐที่สุดเลยครับคุณแม่” ศักดิ์ชายเอ่ย
“งั้นแค่นี้ก่อนละกันนะครับคุณแม่ ผมต้องรีบไปแล้ว”
ศักดิ์ชายเห็นณดาขึ้นไปในรถ จึงรีบกดวางสาย แล้วขึ้นรถตัวเองที่จอดอยู่ใกล้ๆขับตามรถณดาออกไป

คืนวันเดียวกัน ต๋องมาส่งกิมลั้งที่หน้าบ้านหลังจากกลับจากโรงพยาบาล
“วันนี้เธอเลยต้องมาเหนื่อยกับชั้นไปด้วยทั้งวัน ขอโทษทีนะ” ต๋องเอ่ยขึ้น
“ชั้นจะเหนื่อยก็เพราะได้ยินคำพูดเธอนี่ล่ะ” กิมลั้งย้อนกลับ
“เอ้า ทำไมล่ะ ก็ชั้นรู้สึกผิดจริงๆนี่” ต๋องยืนยันความรู้สึก
“เธอพูดเหมือนชั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานวันนี้ ก็นึกว่าเห็นเราเป็นกำลังสำคัญ”
กิมลั้งงอน เบี่ยงหน้าหนี ต๋องรับวิ่งไปดักหน้า
“สำคัญซิ ถ้าไม่สำคัญชั้นจะแต่งเพลงวันนี้ให้เธอเหรอ” ต๋องรีบง้อ
พอได้ยินต๋องพูดอย่างนั้น กิมลั้งเขินขึ้นมาทันทีแต่ยังฟอร์ม
“เพลงอะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ถ้าไม่รู้เรื่อง เธอคงไม่ฟังเพลงไปหน้าแดงไปแบบนั้นหรอกมั้ง” ต๋องย้อน
“ตกลงว่าตอนนั้นเธอร้องเพลงหรือจ้องหน้าชั้นอยู่กันแน่” กิมลั้งสวนขึ้นบ้าง
“เอ้า ก็ตั้งใจร้องให้ใคร ก็ต้องจ้องคนนั้นซิ”
ต๋องหันไปจ้องหน้ากิมลั้ง จู่ๆความเงียบเกิดขึ้นฉับพลัน ในที่สุดต๋องตัดสินใจจะพูดอะไรบางอย่างกับกิมลั้ง
“กิมลั้ง เธอรู้ใช่มั้ยว่าชั้นรู้สึกกับเธอยังไง ชั้น...” ต๋องเอ่ย
กิมลั้งกลัวในสิ่งที่ต๋องกำลังจะพูดจึงรีบตัดบท
“อย่าเลยต๋อง อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยนะ ชั้นคิดว่าชั้นยังไม่พร้อมที่จะฟังน่ะ ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่ชั้นอยากได้ยินก็ตาม”
ต๋องเอื้อมไปจับมือกิมลั้ง
“ก็ได้ชั้นจะรอให้เธอพร้อมนะ ต่อให้มีอะไรจะบอกเธอมากมายแค่ไหน...เอาเป็นว่าชั้นจะรอ” ต๋องเอ่ยขึ้น
ทันใดนั้นกิมฮวยเปิดประตูออกมา เห็นทั้งคู่กำลังจับมือกันอยู่พอดี จึงโวยวายเสียงดังลั่น
“อากิมลั้ง ลื้อทำอะไรของลื้อฮะ”
กิมลั้งเห็นแม่เข้ามายิ่งตกใจ รีบดึงมือออกจากมือต๋อง
“ต๋อง รีบกลับบ้านไปเร็ว” กิมลั้งรีบพะเพราะกิมฮวยเดินลงมาจากบ้านแล้ว
“จะให้ชั้นปล่อยให้เธอเผชิญหน้ากับแม่คนเดียวงั้นเหรอ ชั้นทำไม่ได้” ต๋องเอ่ยขึ้น
“แต่ถ้าเธออยู่ อะไรๆมันจะเลวร้ายไปยิ่งกว่านี้ รีบไปเถอะ เร็วเข้า” กิมลั้งรีบไล่กลัวต๋องเจอศึกหนัก
ต๋องจำใจกลับไปทั้งที่อยากอยู่ปกป้องกิมลั้งใจแทบขาด ระหว่างนั้นกิมฮวยส่งเสียงดังมาแต่ไกลขณะก้าวออกมาจากประตูรั้วพร้อมกับเคี้ยงและกิมแชอย่างเสียอารมณ์
“ไอ้เวรต๋อง ลื้อตายแน่” กิมฮวยเดินออกมาด้วยอารมณ์โกรธสุดชีวิต
เคี้ยงรีบดึงมือกิมฮวยไว้ แต่โดนสะบัดออก
“ใจเย็นๆน่ะกิมฮวย”
“อั๊วไม่ใช่ผีตายซากอย่างลื้อนี่ ไอ้ต๋องมันอยู่ไหนกิมลั้ง” กิมฮวยรีบถาม
“เค้ากลับไปแล้วม้า” กิมลั้งรีบตอบ
กิมฮวยมองหาด้วยอารมณ์โกรธ
“หนอย ลูกไม่รักดี เข้าบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ”

กิมฮวยกระชากกิมลั้งเข้าบ้าน ส่วนเคี้ยงกับกิมแชมองดูด้วยความห่วงใย
“นี่ลื้อทำอะไรลงไป ลื้อรู้บ้างมั้ยอากิมลั้ง” กิมฮวยถามด้วยความโกรธ
“มันไม่ได้มีอะไรอย่างที่ม้าคิดนะ” กิมลั้งเถียง
“นั่นซิ” เคี้ยงกับกิมแชรีบสนับสนุน แต่เจอสายตากิมฮวยพิฆาตจึงต้องเงียบไป
“คิดว่าหลบอยู่ในเงามืดแล้วอั๊วจะมองไม่เห็นรึไง อั๊วไม่ได้ขาดวิตามินเอนะ ไอ้ต๋องมันจับมือลื้อขนาดนั้นยังบอกว่าไม่มีอะไร ต้องให้มันจูบปากรึไง มันถึงจะชัด” กิมฮวยเริ่มเสียงดังเพราะเห็นต๋องจับมือกิมลั้งกับตา
“ไปกันใหญ่แล้วม้า ต๋องเค้าก็แค่จับมือขอบคุณที่อั๊วช่วยพาคนที่ตลาดไปโรงบาล” กิมลั้งรีบเอ่ย
เคี้ยงกับกิมแชรีบประสานเสียง
“ก็แค่นั้น”
กิมฮวยหันไปที่เคี้ยงกับกิมแชอีก คราวนี้ทั้งคู่เอามือปิดปากตัวเอง
“ลื้อกล้าพูดมั้ยว่ามันจับมือขอบคุณทุกคนที่ช่วยมันแบบนี้ โดยเฉพาะผู้หญิง” กิมฮวยโพล่งขึ้น
กิมลั้งอึ้งไป
“กิมลั้ง ลื้อปล่อยให้ไอ้เรื่องบ้าๆนี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงในเมื่อลื้อก็รู้ว่าอั๊ว เกลียดไอ้ต๋องแค่ไหน อั๊วเกลียดมันเข้าไส้ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอด้วยซ้ำ เข้าใจมั้ยว่าชาตินี้อั๊วไม่มีวันญาติดีกับไอ้ต๋องมันเด็ดขาด เพราะฉะนั้นลื้อก็อย่าทำให้อั๊วต้องไปเป็นญาติกับมัน ผู้ชายคนเดียวที่ลื้อจะสนใจได้ก็มีแต่อาจาตุรงค์เท่านั้น” กิมฮวยสาธยาย
“แต่อั๊วไม่ได้ชอบเค้า” กิมลั้งตอบ
“ไม่ได้ชอบเค้าแล้วลื้อชอบใคร ไอ้ต๋องเหรอ มันมีอะไรดีฮะ ถนัดแต่สร้างปัญหา เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตลาดวันนี้ก็เป็นเพราะมัน พรุ่งนี้ถ้าไม่มีคนเข้าตลาดก็เพราะมัน เห็นรึยังว่ามันทำให้ใครเดือดร้อนบ้าง” กิมฮวยเริ่มโกรธ
“ต๋องเค้าก็ไม่ได้อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกม้า” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“ไม่ทันไรลื้อก็ออกตัวแทนมันแบบไม่แตะเบรกแล้วเห็นมั้ย ฟังให้ดีนะ ถ้าลื้อคิดจะเอาไอ้ตัวซวยนี่มาทำผัว ก็เตรียมมีเรื่องกับอั๊วได้เลย”
พูดจบกิมฮวยเดินขึ้นบันไดไปด้วยความโมโห เคี้ยงรีบเดินตามไป กิมแชเดินมาจับมือให้กำลังใจกิมลั้ง

เวลาต่อจากนั้น กิมฮวยเปิดประตูห้องนอน เข้ามานั่งที่เตียงอย่างเสียอารมณ์ ครู่หนึ่งเคี้ยงเข้าห้องมานั่งข้างๆ
“อั๊วคงต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว” กิมอวยโพล่งขึ้น แต่เคี้ยงยังงง จึงโดนกิมฮวยดุ
“เมื่อกี้นี่ยังไม่เรียกว่าทำอะไรอีกเหรอ”
“เฮียเคี้ยง” กิมฮวยตะคอก
“อั๊วอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องเสียงดังก็ได้” เคี้ยงเสียงเบาลงด้วยความกลัว
“ลื้อนี่ไม่ได้เรื่อง ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย เห็นมั้ยว่าไอ้ต๋องมันกำลังจะทำเรื่องบัดสีกับอากิมลั้ง” กิมฮวยพูด
“ลื้อก็พูดเกินไป เค้ายังไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นกันซักหน่อย” เคี้ยงพยายามอธิบาย
“แค่มันคิดจะยุ่งกับลูกสาวเราก็บัดสีแล้ว อั๊วจะต้องหาทางทำให้ไอ้ต๋องออกไปจากชีวิตกิมลั้งก่อนที่อะไรจะสายไปกว่านี้” กิมฮวยพูดจบหยิบมือถือขึ้นมากดทันที
“อาเต๊กไฮ้เหรอ อั๊วมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยหน่อย” กิมฮวยเอาจริง
เคี้ยงมองกิมฮวยอย่างไม่ค่อยสบายใจกับการบังคับจิตใจลูกเรื่องแต่งงานกับจาตุรงค์

 
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00น.




“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 4 (ต่อ)
 
     
กิมลั้งหลังจากโดนกิมฮวยดุเรื่องต๋อง เธอเดินเข้าห้องมาด้วยอารมณ์เซ็ง ครู่หนึ่งเสียงมือถือดังขึ้น พอเห็นเป็นต๋องกิมลั้งรีบกดรับ

“ฮัลโหล”
ต๋องยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ห้องตัวเองด้วยความกังวล
“เป็นยังไงบ้างกิมลั้ง น้ากิมฮวยทำอะไรเธอรึเปล่า” ต๋องถามอย่างห่วงใย
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ม้าก็แค่ดุตามประสา” กิมลั้งตอบเพื่อให้ต๋องสบายใจ
“ชั้นทำให้เธอเดือดร้อนอีกแล้ว” ต๋องรู้สึกผิด
“อย่าคิดมากซิต๋อง ชั้นจัดการได้น่ะ เธอมีเรื่องให้ปวดหัวเยอะแล้ว อย่ามากังวลกับเรื่องแค่นี้เลย”
กิมลั้งอยากให้ต๋องสบายใจจึงตอบไปแบบนั้น
“กิมลั้ง ชั้นเป็นห่วงเธอนะ” ต๋องตอบ
“ชั้นรู้” กิมลั้งแอบดีใจ
“แม่เธอคงห้ามไม่ให้ยุ่งกับชั้นใช่มั้ย” ต๋องตอบด้วยความเข้าใจ
กิมลั้งอึ้งไปที่ต๋องรู้ทัน
“เธอก็รู้นี่ว่าม้าไม่ชอบเธอมากแค่ไหน” กิมลั้งเอ่ย
“เธอว่าชั้นจะเอาชนะความเกลียดของแม่เธอได้มั้ย” ต๋องอยากพยายามเอาชนะใจกิมฮวย กิมลั้งถอนใจ
“มันก็เหมือนที่เธอพยายามจะเอาชนะใจคนในตลาดน่ะล่ะ มันคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ชั้นเชื่อว่าสุดท้ายแล้วความดีก็ต้องชนะทุกอย่าง”
“ชั้นไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆหรอก ถ้ายังมีเธอเป็นกำลังใจ” ต๋องหนักแน่น
“ความดีต่อให้ไม่มีกำลังใจก็ต้องทำไม่ใช่เหรอ” กิมลั้งว่า
“แต่ถ้าได้จากเธอซักนิด มันก็ทำให้ชีวิตกระชุ่มกระชวยขึ้นนะ” ต๋องยังยืนยันจะทำเพื่อกิมลั้ง
“ชั้นก็ให้เธออยู่ตลอดเวลา ไม่ได้รู้อะไรบ้างเลย” กิมลั้งตอบ
“ก็แค่อยากได้ยินชัดๆน่ะ” ต๋องยิ้ม
“ไป ไปพักผ่อนเถอะ วันนี้เธอเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” กิมลั้งพูดอยู่ดีๆ จู่ๆหน้าจอโทรศัพท์ดับไป ขณะที่กิมแชเดินเข้าห้องมาพอดี
“ฮัลโหล เอ้า ดับอีกแล้ว เป็นอะไรนักหนาเนี่ย” กิมลั้งบ่นและพยายามเปิดมือถืออีกครั้ง แต่ไม่ติด
“อะไรเหรอเจ้” กิมแชถามขึ้น
“มือถืออั๊วดิ เดี๋ยวดับเดี๋ยวดับประจำ ดูซิ เปิดไม่ได้แล้ว ท่าทางจะเจ๊งสนิท” กิมลั้งตอบ
กิมแชหยิบมือถือของตัวเองส่งให้พี่สาว
“งั้นเอาของอั๊วไปใช้ก่อนก็ได้ อั๊วมีเครื่องสำรอง”
“งั้นเอาเครื่องสำรองลื้อมาก็ได้ เครื่องนี้มันแพง” กิมลั้งไม่อยากใช้ของน้อง
“เครื่องนี้น่ะล่ะ ไม่เป็นไรหรอก เจ้เอาไปเล่นบ่อยๆน่าจะคุ้นมือกว่า”
“ขอบใจนะ”
“ว่าแต่เจ้โอเคมั้ยเรื่องพี่ต๋อง” กิมแชถามขึ้น
“เฮ้อ อั๊วก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป” กิมลั้งตอบแบบไม่รู้อนาคต
“เจ้คงไม่ยอมให้ม้าจับคลุมถุงชนกับพี่รงค์เค้าใช่มั้ย” กิมแชรีบยุพี่สาว
กิมลั้งนั่งลงบนเตียงอย่างทอดถอนใจกับเรื่องต๋องและการบังคับให้รักกับจาตุรงค์ของกิมฮวย

คืนนั้น ณดาเสียใจเรื่องต๋อง จึงแวะเข้าผับ ดื่มเหล้าจนเมาหมดไปหลายแก้ว ศักดิ์ชายสะกดรอยตามมาแกล้งเดินผ่านมาทำเป็นเพิ่งเห็น
“เอ้า คุณณดา นี่มาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ” ศักดิ์ชายถามขึ้น
ณดามองศักดิ์ชายอย่างจับผิด
“ไม่คิดเลยนะว่าจะมาเจอคุณในผับหรูๆแบบนี้” ณดาเอ่ยขึ้นอย่างดูกถูกเพราะเข้าใจว่าศักดิ์ชายเป็นพ่อค้าผลไม้ธรรมดา
“อ๋อ ลำพังผมคงไม่มีปัญญาหรอก เผอิญมีเพื่อนรวยน่ะครับ ก็เลยได้ติดสอยห้อยตามมาด้วย” ศักดิ์ชายตอบ
ณดาแอบไล่เพราะวันนี้เธอไม่สบอารมณ์
“งั้นรีบไปเถอะ เพื่อนคุณคงรอแล้ว”
พูดจบณดาหันไปจะกระดกเหล้าเข้าปาก ศักดิ์ชายถือวิสาสะเข้าไปจับแก้วรั้งไว้
“คุณณดา ผมว่าคุณดื่มเยอะไปแล้วนะครับ เดี๋ยวจะกลับบ้านลำบาก”
ณดามองมือศักดิ์ชายที่จับมือตนที่ถือแก้วอยู่แล้วสะบัดออกอย่างแรง
“รู้สึกว่าจะไม่ใช่เรื่องของคุณนะ” ณดาเมาเริ่มใส่อารมณ์กับศักดิ์ชาย
“โธ่ นี่ผมเป็นห่วงนะครับ” ศักดิ์ชายตอบกลับ
“เป็นห่วงทำไม ชั้นก็มีความสุขดี” ณดาประชด
“สุขเหรอครับ ผมนึกว่าคุณทุกข์จนต้องมากินเหล้าย้อมใจซะอีก” ศักดิ์ชายพูดแทงใจดำ
“พูดอะไรของคุณ” ณดาเฉไฉ
“ไม่ใช่เรื่องของต๋องกับกิมลั้งเหรอครับที่ทำให้คุณต้องมานั่งตรงนี้” ศักดิ์ชายรีบตอบ
ณดาอึ้งไปครู่ใหญ่ แล้วรีบยกเหล้าแก้วใหม่ที่พนักงานเพิ่งมาเสิร์ฟเข้าปากทันที
“ประชดตัวเองแบบนี้มันไม่ทำให้ต๋องหันมาชอบคุณหรอกครับ” ศักดิ์ชายพูด
“มันจะมากไปแล้วนะ นี่มันเรื่องส่วนตัวของชั้น” ณดาเอยขึ้นอย่างโมโห
“เผอิญผมไม่ชอบเห็นผู้หญิงต้องมาเจ็บเพราะผู้ชายน่ะครับ จะแคร์อะไรกับคนที่เค้าไม่ได้มีใจให้คุณ ผมไม่เชื่อนะครับว่าคนสวย แล้วก็ฉลาดอย่างคุณจะหาคนที่เหมาะสมคู่ควรกว่านี้อีกไม่ได้” ศักดิ์ชายโพล่งขึ้น
“พอได้แล้ว” ณดาโมโหที่โดนแทงใจดำ แล้วหยิบเงินในกระเป๋าวางที่บาร์เดินเซออกไป ศักดิ์ชายร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง
“คุณณดา”
ศักดิ์ชายยิ้มร้ายอย่างสะใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

ณดาเปิดประตูผับออกมา เมามายจนต้องหลบไปอาเจียนที่มุมหนึ่งของผับ ศักดิ์ชายตามมารีบเข้ามาช่วยลูบหลังให้
“เป็นยังไงบ้างครับคุณณดา” ศักดิ์ชายรีบถาม
พอเห็นว่าเป็นศักดิ์ชาย ณดาสะบัดตัวหนี
“ผมว่าคุณขับรถกลับบ้านไม่ไหวแน่ ให้ผมไปส่งนะครับ” ศักดิ์ชายเสนอตัว
“เลิกยุ่งกับชั้นได้แล้ว” ณดาตวาด พยายามจะเดินหนี แต่เดินไปไม่กี่ก้าวด้วยฤทธิ์เหล้าเธอจึงล้มลง ศักดิ์ชายวิ่งเข้าไปช้อนร่างไว้ทันแบบใจหาย
“คุณณดา...” ศักดิ์ชายโพล่งขึ้น
ณดาอยู่ในอ้อมกอดศักดิ์ชาย ทั้งคู่ใกล้ชิดกัน ศักดิ์ชายมองณดาด้วยความไหวหวั่น ศักดิ์ชายมองณดาในอ้อมแขน แล้วรีบช้อนร่างณดาขึ้นมา

ต่อจากนั้น ศักดิ์ชายขับรถณดา ไปยังคอนโดสุดหรูของตน และหันมองดูณดาที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ข้างๆแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แม่บ้านเปิดประตูให้ศักดิ์ชายซึ่งอุ้มร่างสลบ ไม่ได้สติของณดาเข้ามาในคอนโดศักดิ์ชายอุ้มณดาขึ้นบันไดไปชั้นบน แล้ววางร่างของณดาลงบนเตียง พร้อมกวาดตาสำรวจเรือนร่างอันเซ็กซี่ของเธอด้วยความรู้สึกวูบไหว ศักดิ์ชายปลดกระดุมเสื้อที่อกตัวเองแล้วค่อยๆโน้มหน้าลงไปหาหน้าณดา

ศักดิ์ชายไล่จูบณดาอย่างแผ่วเบาอย่างช้าๆที่หน้าผาก จมูก แต่ในขณะที่ริมฝีปากของเขากำลังจะประกบริมฝีปากของเธอ ศักดิ์ชายเกิดชะงักขึ้นมานึกถึงภาพณดาจับเท้าทำแผลให้ขึ้นมาที่ตักของตนอย่างไม่รังเกียจตอนศักดิ์ชายเตะตะปู แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตัวเองมาซับเลือดที่เท้า นึกได้อย่างนั้น ศักดิ์ชายถอนหน้าตัวเองออกจากหน้าของ
ณดา แล้วอยู่ในอาการสับสน แต่ในที่สุดตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องไป ก่อนจะลงมาเจอกับแม่บ้าน
“ขึ้นไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้คุณณดาด้วยนะ จะได้นอนหลับสบาย” ศักดิ์ชายสั่ง
“ค่ะ” แม่บ้านขานรับแล้วรีบเดินขึ้นไปหาณดาทันที
สั่งการเสร็จศักดิ์ชายเดินเข้าห้องนอนอีกห้องหนึ่ง และไม่ได้เป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้

เช้าวันใหม่ ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ กิมลั้งกับกิมฮวยช่วยกันจัดปลาอยู่ที่แผง ครู่หนึ่งเต๊กไฮ้กับจาตุรงค์เดินเข้ามาและส่งเสียงมาแต่ไกล
“สวัสดีคร้าบ น้ากิมฮวย” จารุงค์ร้องทักทายอย่างอารมณ์ดี
“เอ้า อาจาตุรงค์มาแล้ว เดี๋ยวน้าฝากร้านกับน้องด้วยนะจ๊ะ” กิมฮวยอวยจาตุรงค์เต็มที่
“ไม่ต้องห่วงครับน้ากิมฮวย” จาตุรงค์รีบอาสา
“นี่ม้าจะไปไหน” กิมลั้งรีบถาม
“เดี๋ยวม้ากับเต๊กไฮ้จะไปทำธุระกันหน่อย ก็เลยให้อาจาตุรงค์มาอยู่แผงเป็นเพื่อนลื้อ” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรม้า ให้พี่เค้าไปช่วยแม่ที่แผงหมูเถอะ อั๊วอยู่คนเดียวได้” กิมลั้งรีบเอ่ย
“ให้อาจาตุรงค์อยู่นี่ล่ะดีแล้วอากิมลั้ง จะได้หัดขายปลา วันข้างหน้าจะได้ช่วยลื้อได้เต็มที่” เต๊กไฮ้พูดพลางหัวเราะกับกิมฮวยชอบใจ ก่อนที่กิมฮวยจะหันไปสั่งกิมลั้ง
“นี่ ต่อไปลื้อก็ต้องไปหัดขายหมูไว้เหมือนกันนะ เพราะอีกไม่ช้าแผงปลากับแผงหมูของพวกเราก็ต้องรวมเป็นแผงเดียวกัน ไป...รีบไปกันดีกว่าอาเต๊กไฮ้ เดี๋ยวจะสาย”
“ดูแลน้องให้ดีนะลื้อน่ะ” เต๊กไฮ้ย้ำ
“คร้าบป๊า” จาตุรงค์รับปากอย่างแข็งขัน
กิมฮวยกับเต็กไฮ้เดินยิ้มออกไป จาตุรงค์ยิ้มหวานกับกิมลั้ง แต่กิมลั้งหน้าเครียด เลื่อนกับรักเร่ที่เฝ้าแผงผักแทนต๋อง มองเห็นเหตุการณ์แล้วอดกังวลไม่ได้และรู้ทันแผนของกิมฮวยและเต๊กไฮ้

เวลาต่อจากนั้น ต๋องยืนอยู่บริเวณจัดงานยกธงขาว มองธงขาวที่เหี่ยว มีลมพัดเบาๆคล้ายหมดแรง ต๋องนั่งประจำแผงผักอย่างหงอยๆ
“เฮ้อ ขนาดธงยังหงอย”
ต๋องลุกขึ้นยืนมองบริเวณงานซึ่งมีคนมาซื้อของเบาบางมากจนพ่อค้าแม่ค้านั่งหาว
“จะไม่มีคนเข้างานเลยจริงๆเหรอเนี่ย”
ครู่หนึ่งเลื่อนกับรักเร่เดินมาหาหน้าเครียด
“พี่ต๋อง มีเรื่องกวนหัวใจมาบอก”
ต๋องทำหน้างง พร้อมถามกลับ
“อะไรวะ”

ครู่หนึ่ง ที่แผงปลาของกิมฮวย กิมลั้งรำคาญจาตุรงค์เพราะไม่ว่าจะหยิบจับอะไรตรงไหนจาตุรงค์จะตามไปช่วยหยิบเสียหมด
“ไม่ต้องจ้ะ พี่รงค์ช่วยยก” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
กิมลั้งเลยหนีมายกถังน้ำแข็ง แต่จาตุรงค์ยังตามมาอีก
“อุ๊ยๆ พี่รงค์ช่วยแบก”
กิมลั้งถอยออกมาแล้วเกาหัวด้วยความเซ็ง พอจาตุรงค์หันมาเจอรีบพุ่งไปหากิมลั้งอีก
“มา พี่รงค์ช่วยเกา” จาตุรงค์จะเอื้อมมือไปช่วยเกา กิมลั้งหลบหนี
“ว่างมากรึไงฮะ” ต๋องโพล่งมาแต่ไกล
จาตุรงค์ชะงัก หันไปที่ต้นเสียงทันที ต๋องทำไก๋หันไปคล้ายพูดกับเลื่อนกับรักเร่ที่ตามกันมา
“ถ้าพวกเอ็งว่าง ก็ไปหาอะไรทำซะซิวะ” ต๋องเอ่ย
เลื่อนกับรักเร่เล่นตามน้ำ จาตุรงค์มั่นใจว่าเมื่อกี้ต๋องพูดกับตน จึงเดินเข้าไปหา หวังมีเรื่องโชว์สาวด้วย
“อยากมีเรื่องเหรอ” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
ต๋องไม่กลัว รีบย้อน
“เรื่องน่ะมีเยอะอยู่แล้ว ถ้าจะมีอีกซักเรื่องคงไม่เป็นไร”
“ทำไม ทนไม่ได้เหรอที่เห็นชั้นมาช่วยงานน้องกิมลั้ง” จาตุรงค์เย้ย
“จะช่วยใครไม่ถามเค้าหน่อยเหรอว่าอยากให้ช่วยมั้ย” ต๋องแก้เก้อ
“แกคงไม่รู้ซิน่ะว่าอีกไม่ช้าไม่นานน้องกิมลั้งกับชั้นจะเป็นอะไรกัน” จาตุรงค์แสดงความเป็นเจ้าของ
ต๋องถึงกับอึ้งไป หันไปที่กิมลั้งที่คล้ายอาการน้ำท่วมปาก ต๋องรีบพูดแก้เกม
“หันไปดูหน้าน้องกิมลั้งที่แกพูดถึงดีกว่าว่าเค้าเป็นปลื้มกับเรื่องที่แกพูดรึเปล่า”
จาตุรงค์หันไปมองกิมลั้ง สีหน้าเจื่อนๆ เลยพลอยหน้าเสียไปด้วย
“ก็ ก็น้องกิมลั้งเค้าเป็นผู้หญิง จะให้มาทำเป็นระริกระรี้ปลากระดี่ได้น้ำ ได้ยังไง ใช่มั้ยจ๊ะ”
“พอเถอะพี่รงค์ เถียงกันอยู่ได้อายคนอื่นเค้า” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“พี่ไม่เถียงไม่ได้หรอกจ้ะ ไอ้โง่บางคนมันจะได้รู้บ้างว่าน้องกิมลั้งน่ะมีเจ้าของแล้ว” จาตุรงค์ย้ำ
แล้วเอื้อมไปจับมือกิมลั้ง ต๋องโกรธถึงกับต้องเดินออกไป ก่อนที่จะใช้กำลังกับจาตุรงค์ กิมลั้งเป็นห่วงความรู้สึก
ต๋อง รีบสลัดมือออกจากจาตุรงค์
“นี่พี่รงค์ ชั้นยังไม่ได้เป็นของของใครทั้งนั้นนะ”
กิมลั้งเดินโมโหกลับไป ปล่อยให้จาตุรงค์ยืนงงอยู่ตรงนั้น

เวลาเดียวกันนั้น ที่คอนโดของศักดิ์ชาย ณดาหลับอยู่งัวเงียตื่นขึ้นแบบมึนๆเพราะปวดหัว เสียงเคาะประตูดังขึ้นศักดิ์ชายเดินเข้ามา
“เอ้า คุณตื่นพอดีเลย” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“นี่ชั้นอยู่ที่ไหน” ณดาถามด้วยความแปลกใจ
“เมื่อคืนคุณเมาหนักจนหลับไปน่ะครับ ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ผมไม่รู้จะส่ง คุณที่ไหน เลยพามานอนพักที่คอนโดเพื่อนน่ะครับ ทานอะไรรองท้องหน่อยนะครับ” ศักดิ์ชายอธิบาย
และวางอาหารลงบนเตียง ณดาเพิ่งจะรู้สึกว่าเนื้อตัวโล่งๆ เลยก้มลงสำรวจใต้ผ้าห่ม แล้วพบว่าร่างกายตัวเองเปลือยเปล่า
“นี่แกทำอะไรชั้นน่ะ” ณดาทั้งช็อกทั้งโกรธ
“คือผม” ศักดิ์ชายทำหน้างง
ณดายังไม่ทันฟังความด่าศักดิ์ชายทันที
“ไอ้คนเลว”
ณดาคว้าจานชามขว้างใส่ศักดิ์ชายจนเลอะเทอะ
“ทำกับชั้นอย่างนี้ได้ยังไง แกยังเป็นคนอยู่รึเปล่า” ณดาโกรธปาแก้วน้ำไปโดนหน้าศักดิ์ชายจนเลือดไหล แล้วขว้างปาของใส่ศักดิ์ชายมายั้ง จนอีกฝ่ายโกรธมากเข้าไปจับข้อมือณดา
“พอซักที” ศักดิ์ชายตวาด ณดาดิ้นหนี
“ปล่อยชั้นนะ เอามือสกปรกๆของแกออกไปจากตัวชั้น” ณดาด่าต่อ
ยิ่งได้ยินสิ่งที่ณดาพูดศักดิ์ชายยิ่งโมโห จึงกดร่างณดาไปกับที่นอนแล้วสวมรอยว่าตัวเองปล้ำณดาไปแล้วให้สมแค้น
“หยุดบ้าได้แล้ว ยังไงคุณก็ไม่มีวันได้สิ่งที่เสียให้ผมไปคืนหรอก” ศักดิ์ชายสวมรอย
ณดาน้ำตาเอ่อด้วยความแค้น
“สารเลว ชั้นคิดแต่แรกว่าแกต้องเป็นคนแบบนี้” ณดาด่าศักดิ์ชายด้วยความโกรธ
ศักดิ์ชายสะอึก จนต้องปล่อยมือณดา
“ถึงผมจะเป็นคนแบบไหน แต่ก็ได้เป็นผัวคุณละกัน” ศักดิ์ชายโต้ตอบบ้าง
ณดาตบหน้าศักดิ์ชายอย่างแรง
“ตีค่าตัวเองสูงไปแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นชั้นก็แค่คิดว่า ให้หมามันกิน” ณดาน้ำเสียงจริงจัง
ศักดิ์ชายหน้าชาแต่ยังคงปากดี
“ถ้างั้นผมก็คงเป็นหมาที่โชคดีที่สุด”
“อ๊าย” ณดาถึงกับกรี๊ด
ศักดิ์ชายเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ณดาร้องกรี๊ดและปาหมอนใส่ประตูด้วยความโกรธและเข้าใจว่าตัวเองตกเป็นเมียของศักดิ์ชายแล้ว

ศักดิ์ชายลงไปด้านล่างอย่างอารมณ์เสีย เจอกับแม่บ้านกำลังทำความสะอาดอยู่จึงโพล่งขึ้น
“รีบเอาเสื้อผ้าไปให้คุณณดาใส่ด้วย เมื่อคืนเช็ดตัวเค้าแล้วปล่อยให้เค้า ล่อนจ้อนอยู่ได้ยังไง”
สั่งเสร็จศักดิ์ชายรีบเดินออกไปทันที

บ่ายนั้นที่บ้านสดศรี กิมฮวยกับพรรคพวกกำลังเจรจาที่หน้าประตูอยู่กับทวี
“ไม่ได้จริงๆเจ๊ วันนี้คุณนายสั่งไว้ว่าไม่รับแขก คุณนายแกอยากพักผ่อน”
ทวีต่อรองกับกิมฮวยและพรรคพวก
“ลื้อก็ไปบอกคุณนายซิว่านี่มันเรื่องความเป็นความตายของตลาด” กิมฮวยเอ่ย
“กลัวว่าบอกแล้วมันจะกลายเป็นเรื่องความเป็นความตายของชั้นแทนน่ะซิ” ทวีตอบกลับทันที
“มีอะไรกันน่ะ” สดศรีโพล่งขึ้น แล้วเดินออกมาถึงรั้วบ้านพอดี
“อาคุณนาย” กิมฮวยทักทายสดศรีทันทีรีบรายงาน สดศรีตกใจเมื่อได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ตลาด
“ตายแล้ว ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ หมดกันชื่อเสียงของตลาดชั้น”
“ทั้งหมดนี่มันก็เป็นเพราะไอ้ต๋องคนเดียว อั๊วเคยเตือนอาคุณนายแล้วไงฮ้า”
“ชั้นก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นถึงขนาดนี้น่ะซิ ก็เห็นเค้าแข็งขันตั้งใจกับงานที่จัดนี่จริงๆ”
“ไอ้ต๋องมันก็ท่าดีทีเหลวแบบนี้ทุกครั้งล่ะครับอาคุณนาย แต่คราวนี้มันทำให้พวกเราทุกคนในตลาดเดือดร้อนไปด้วย” เต๊กไฮ้เสริม
“ดวงกาลกิณีของให้ต๋องมันแรง ขืนคุณนายให้มันอยู่ต่อไปก็เหมือนจุดไฟเผาตลาดตัวเองนะครับ”
จะเด็ดแทรกขึ้นสดศรีฟังแล้วยิ่งหน้าเครียด ระหว่างนั้นณดาเข้าบ้านมาพอดี
“เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย” ณดากลับมามองด้วยความเซง
ทุกคนหันไปมองณดา สดศรีเริ่มกระอักกระอ่วน
“เอาเป็นเดี๋ยวชั้นจะจัดการทุกอย่างให้เอง ทุกคนกลับไปก่อนละกัน”
สดศรีเอ่ยขึ้นหลังจากณดากลับเข้ามาในบ้าน

กิมฮวย เต๊กไฮ้ จะเด็ด และชาวตลาดส่วนหนึ่ง เดินออกมาจากบ้าน โดยมีทวีเดินมาส่ง
“เออ อาทวี ทำไมคุณณดายังใส่ชุดเมื่อวานอยู่เลย อั๊วจำได้” กิมฮวยถามขึ้น
“ตั้งแต่เมื่อวาน คุณณดาก็เพิ่งจะกลับเข้าบ้านนี่ล่ะ” ทวีลืมตัวเผลอพูดออกมา
“เพิ่งกลับเข้าบ้าน แล้วอีหายไปไหน” กิมฮวยอยากรู้หูตาตั้ง

“แหม คงไปเที่ยวตลาดนัดตอนกลางคืน แล้วต่อด้วยตักบาตรล่ะมั้ง” ทวีรีบประชด แต่อยากเม้าท์ใจจะขาด
ทั้งหมดพากันหัวเราะคิกคัก พอชาวตลาดกลับไปหมด สดศรีเรียกณดาเข้าไปในห้องทำงาน คาดคั้นณดาหน้าเครียด
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง” สดศรีเอ่ยขึ้น
ณดาหน้าเสียคิดว่าเรื่องศักดิ์ชาย
“ณดาก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นหรอกค่ะคุณแม่” ณดาเสียงสั่น
“คุณนายสดศรีจะเสียชื่อทั้งหมดที่มีมาก็วันนี้ล่ะ” สดศรีเอ่ย
“แล้วคุณแม่ไม่คิดว่าณดาเสียใจบ้างรึไงคะ” ณดาน้ำตาคลอจะร้องไห้
“เสียใจแล้วหนูจะเรียกอะไรที่เสียไปกลับคืนมาตอนนี้ได้มั้ย” สดศรีเอ่ย
“แล้วคุณแม่จะให้ณดาทำยังไง ฆ่าตัวตายไปพร้อมๆกับความผิดที่ทำไว้เลยดีมั้ยคะ” ณดาเสียงดังโวยขึ้นทั้งน้ำตา
“อะไรกันณดา แค่ไม่มีคนเข้าตลาดนี่หนูถึงขนาดจะฆ่าตัวตายเลยเหรอ” สดศรีอึ้งและงงกับสิ่งที่ณดาบอก
ณดาอึ้งไปเช่นกัน เพราะคิดว่าสดศรีจะตำหนิเรื่องไปพลาดท่าให้ศักดิ์ชาย แต่พอรู้สึกตัวว่าคนละเรื่องเธอจึงไหลไปตามเรื่อง
“ก็ณดาหมายความว่า ณดาก็พยายามทำทุกอย่างที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตลาดเราแล้ว แต่มันก็เกิดเรื่องที่นึกไม่ถึงจนได้ ณดาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้วเหมือนกัน” ณดาแจง
“แต่แม่รู้” สดศรีนิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
สดศรีพูดจบแล้วเดินออกไป ณดางงว่าแม่จะทำอะไร แต่คิดว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ จึงรีบตามออกไป
“คุณแม่คะ”

เวลาต่อจากนั้นในตลาด จาตุรงค์ยังคงนั่งเฝ้ากิมลั้งแบบไม่ให้คลาดสายตาจนอีกฝ่ายรำคาญ จู่ๆมีเสียงเพลงหนักแผ่นดินดังขึ้นมาจากวิทยุ
“หนักแผ่นดิน...หนักแผ่นดิน...คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน”
กิมลั้งกับจาตุรงค์มองไปที่ต้นเสียง ซึ่งเป็นแผงผักของต๋อง จาตุรงค์โมโห ทันใดนั้นกิมฮวยกลับมาพอดี
“มีคนเปิดเพลงให้ตัวเองด้วยเว้ยพวกเรา” กิมฮวยโพล่งขึ้น
กิมฮวยเดินมากับพรรคพวกหันมองไปที่ต๋อง ซึ่งจู่ๆต๋องลุกขึ้นทำเป็นซอยเท้าแบบทหาร แล้วร้องเพลงคลอตามวิทยุไปแบบหน้าตาย
“คนใดยุยงปลุกปั่น ไทยด้วยกันหวังให้แตกกระจาย ปลุกระดมมวลชนให้ สับสนวุ่นวาย เพื่อคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง คนใดหลงชมชาติอื่น ชาติเดียวกันเขายืนข่มเหง ได้สินทรัพย์เจือจานก็ประหารไทยกันเอง ทีชาติอื่นเกรงดังญาติของมัน...หนักแผ่นดิน... หนักแผ่นดิน...คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน”
พอถึงท่อนสร้อยหนักแผ่นดิน ต๋องหันหน้าไปที่กิมฮวย และร้องไปมาตามจังหวะเพื่อเน้นเล่นงานกิมฮวย
“อย่าอยู่เลย ไอ้ต๋อง” กิมฮวยโกรธจัดคว้ามีดจากเขียงปลามุ่งหน้าไปหาต๋อง กิมลั้งเห็นกิมฮวยคว้ามีดตกใจ แต่ทันใดนั้นสดศรีโผล่มาที่ตลาดเสีย
“นายต๋อง ไปคุยกับชั้นหน่อย”
สดศรีน้ำเสียงจริงจัง ซึ่งต๋องรับรู้ได้ว่าต้องมีเรื่องไม่ดี

ต๋องโดนเรียกเข้าไปคุยที่สำนักงานตลาด และช็อกไปเมื่อได้ยินสิ่งที่สดศรีพูด ซึ่งณดาตกใจไม่แพ้กัน
“อะไรนะครับ คุณนายจะเรียกแผงผมคืน” ต๋องย้อนถามกลับ
“ก็ได้ยินชัดเจนแล้วนี่” สดศรีเอ่ยซ้ำ
“ผมยอมรับนะครับว่าผมพลาด แต่ความทุ่มเททั้งหมดที่ผมลงไปกับงานนี้ไม่ได้ทำให้คุณนายเห็นเลยใช่มั้ยครับว่าผมเจตนาดีกับทุกคน” ต๋องรีบอธิบาย
“นี่ ทั้งๆที่ชั้นไม่เห็นด้วย แต่ชั้นก็ยังเปิดโอกาสให้เธอลองทำ ในเมื่อผลมันออกมาแบบนี้แล้ว เธอก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นซิ” สดศรียืนยันจะยึดแผงคืน
“แต่การไม่ให้ต๋องขายของที่นี่ต่อไป มันจะทำให้อะไรดีขึ้นล่ะคะคุณแม่” ณดาเริ่มขัดขึ้น
“อย่างน้อยอะไรๆมันคงไม่แย่ลงไปกว่านี้ ตลาดของชั้นน่ะไม่ใช่หนูทดลองของใครนะนายต๋อง วันนี้เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าแทบจะไม่มีคนเข้ามาซื้อของที่นี่เลย เห็นมั้ยว่าสิ่งที่เธอทำมันส่งผลกระทบยังไง ตอบได้มั้ยว่าทำไมอีกหลายปากท้องเค้าต้องมาเดือดร้อนเพราะเธอไปด้วย”สดศรีไม่ยอม
“คุณแม่คะ คุณแม่ให้โอกาสต๋องอีกซักครั้งเถอะนะคะ” ณดาขอโอกาสแทนต๋อง
“ณดา ตลาดนี้ไม่ได้มีต๋องคนเดียวนะ ถ้าเลือกเก็บต๋องไว้ แม่อาจจะต้องเสียคนที่เหลือไป” สดศรียืนยันคำเดิม
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ว่าจะอยู่ที่นี่หรือไม่อยู่ ผมก็ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป”
ต๋องไม่ยื้อ รีบเดินออกไปด้วยความขมขื่นใจที่แผงผักต้องโดนยึดคืน
 
อ่านต่อหน้า 3 เวลา




“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 4 (ต่อ)
 
 
บ่ายแก่วันนั้น พอคนในตลาดรู้เข้าเริ่มแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย คนที่ไม่เห็นด้วยกับต๋องมองดูด้วยความสะใจ โดยเฉพาะกิมฮวยดีใจที่รู้ว่าต๋องโดนยึดแผงคืน
 
“เอ้า ดีใจกันหน่อยเร้ว เสนียดจัญไรกำลังจะออกไปจากตลาดของเราแล้ว” กิมฮวยสะใจ
“ฮิ้ว” พรรคพวกกิมฮวยช่วยกันขานรับ ต๋องหันมาที่กิมฮวยทันที
“ไปที่ชอบๆซักทีนะไอ้ต๋องนะ เปรตก็อยู่ส่วนเปรต คนก็อยู่ส่วนคน แต่ถ้าเป็นคนเปรตๆ ก็ยิ่งต้องรีบเฉดหัวไปให้พ้น” จะเด็ดยกมือทักทายต๋องอย่างเยาะเย้ย
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว อั้วว่าเรามาร้องเพลงที่ต๋องชอบร่วมกันเป็นครั้ง สุดท้ายดีกว่านะ เอ้า” กิมฮวยว่า
“หนักแผ่นดิน..หนักแผ่นดิน.. คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน ฮิ้ว”
กิมฮวยและพรรคพวก ร้องเพลงใส่ต๋อง
“โธ่ ต๋อง” กิมลั้งน้ำตาคลอมองต๋องด้วยความสงสาร
เวลาต่อจากนั้น คิตตี้กับชมพู่ที่เพิ่งรู้ข่าววิ่งแหวกคนมุงไปหาต๋องพร้อมร้องเรียกเสียงขรม
“ต๋อง / พี่ต๋อง”
“นี่ต๋องจะไปจริงๆเหรอ แล้วต่อไปคิตตี้จะหาผักปลอดสารหวานกรอบกินที่ไหน แล้วจะมีใครเป็นอาหารตา อาหารใจ ฮือๆ...” คิตตี้พูดไปจะร้องไห้ไป
“พี่ต๋องจ๋า อย่าไปเลยนะ ถ้าแรงบันดาลใจอย่างพี่ไม่อยู่ แล้วชมพู่จะเอาแรงที่ไหนมาทำผม” ชมพู่รีบเสริม
“ถึงพี่ไม่ได้ขายของที่นี่ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกนี่ชมพู่พี่แล้วนะ แล้วเจอกันนะคิตตี้”
ต๋องพูดจบแล้วเดินออกไป โดยมีเลื่อนกับรักเร่เข็นรถบรรทุกของตามชมพู่กับคิตตี้ยังเรียกต๋องอยู่อย่างนั้น
“ต๋อง/พี่ต๋อง” ชมพู่กับคิตตี้ร้องเรียกต๋องพร้อมกัน
ป้าพิณ เขียวหวาน และคำมูลยืนดูเหตุการณ์มองตามต๋องด้วยความเศร้า ต๋องเดินผ่านกลุ่มของกิมฮวยที่มีกิมลั้งยืนส่งสายตาอยู่ทางด้านหลัง แต่กิมลั้งไม่สามารถแสดงอาการใดๆต่อชายคนรักได้

มุมหนึ่งของตลาด ต๋องและพรรคพวกกำลังซ้อมดนตรี โดยมีเลื่อนและรักเร่เจ้าเก่า วันนี้ต๋องเล่นเพลงเศร้าคล้ายกับว่าน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนา กิมลั้งเดินเข้ามาเห็นเข้าพอดี เมื่อเห็นว่าต๋องกำลังปลดปล่อยตนเองอยู่กับเพลงจึงยืนแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่ง แล้วจู่ๆเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้กิมลั้งจึงหยิบมือถือที่กิมแชให้มาแล้วกดบันทึกภาพการเล่นดนตรีของต๋องไว้ ต๋องทั้งร้องทั้งเล่นดนตรีอย่างได้อารมณ์ พอต๋องร้องเพลงจบ กิมลั้งโผล่ออกมาจากที่ซ่อน ต๋องชะงักไม่คิดว่าจะเจอกิมลั้งอีก
“กิมลั้ง!” ต๋องเรียกกิมลั้งด้วยความดีใจ

มุมหนึ่งของตลาดต่อจากนั้น กิมลั้งนั่งคุยกับต๋องอย่างเข้าใจกัน
“เธอรู้ได้ยังไงว่าชั้นอยู่นี่” ต๋องถาม
“ก็ถามพวกเพื่อนๆเลื่อนกับรักเร่น่ะ เค้าบอกว่าพวกเธอชอบมาขลุกตัวอยู่ที่ร้านลุงหมานกับป้าไหม” กิมลั้งตอบ
“พวกชั้นมาซื้อเครื่องดนตรีเก่าๆจากที่นี่บ่อยๆน่ะ ลุงกับป้าเลยเวทนาให้ใช้เป็นที่ซ้อมวงบ้าง แต่ต่อไปคงต้องมาซ้อมที่นี่ยาวเลย” ต๋องพูดถึงร้านขายของเก่าที่ซ้อมดนตรีของตัวเองและลูกวง
“ทำไมล่ะ” กิมลั้งถามกลับ
“ก็ ชั้นไม่มีตลาดไว้ให้ใช้ซ้อมแล้วนี่” ต๋องตอบ
“โธ่ ต๋อง ทำไมต้องเกิดเรื่องร้ายๆกับเธอด้วยนะ แล้วนี่เธอจะขายของยังไง” กิมลั้งฟังแล้วยิ่งสงสาร
“ชั้นไม่ยอมอดตายหรอก เดี๋ยวก็ต้องหาทางดิ้นไปให้ได้น่ะล่ะ” ต๋องเอ่ยขึ้น กิมลั้งเอื้อมมือไปจับต๋องด้วยความเห็นใจ
“ต๋อง เธอต้องสู้นะไม่ว่าจะเกิด อะไรขึ้นก็ตาม” กิมลั้งตอบ ต๋องเอื้อมไปจับมือกิมลั้ง
“ถ้าเธอจับมือชั้นไว้ตลอดไปแบบนี้ ชั้นสู้ไม่ถอยอยู่แล้ว” ต๋องเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ
กิมลั้งชะงักดึงมือตัวเองออกจากมือต๋องเพราะรู้ว่าระหว่างเธอกับเขามีอุปสรรคมากนัก ต๋องรู้ดีว่ากิมลั้งกลัวอะไรจึงตัดสินใจพูดขึ้นมา
“กิมลั้ง ชั้นไม่รู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จะเห็นแก่ตัวเกินไปมั้ย ถ้าชั้นจะบอกเธอตอนนี้เลยว่า ชั้นชอบเธอ”
กิมลั้งอึ้ง ต๋องพูดต่อ
“บอกไม่ถูกเหมือนกันนะว่าชั้นชอบอะไรในตัวเธอ รู้อย่างเดียวว่ามีความสุขทุกครั้งที่เห็นเธออยู่ใกล้ๆ แล้วเธอล่ะรู้สึกเหมือนกับชั้นมั้ย”
ต๋องขยับตัวเข้าใกล้กิมลั้ง จนกิมลั้งรู้สึกวูบไหว กิมลั้งเหมือนจะหลุดปากพูดบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
“ชั้น....”
“กิมลั้ง ชั้นรู้นะว่าระหว่างเรามันมีอุปสรรคมากมายเต็มไปหมด แต่มันไม่ผิดใช่มั้ยถ้าเราจะมีความรู้สึกที่ดีให้กัน” ต๋องพูดต่อ
“แต่ชั้น...” กิมลั้งอึ้งไป
“ถ้าสิ่งที่เธอพูดออกมา มันจะเป็นพลังให้ชั้นต่อสู้กับเรื่องทุกๆอย่าง เธอจะพูดมันออกมามั้ย” ต๋องโพล่งขึ้น
“เธอเข้าใจมั้ยว่าบางทีการห้ามตัวเองไม่ให้พูด ไม่รู้สึกอะไรมันยากยิ่งกว่า” กิมลั้งพูดไม่ออก
“แล้วเธอจะห้ามมันทำไมล่ะกิมลั้ง รอให้ทุกอย่างสายเกินไปเหรอ แม่เธอเกลียดชั้นมาก แถมจะเตรียมรวบหัวรวบหางเธอให้ไอ้จาตุรงค์นั่น” ต๋องอธิบาย
กิมลั้งจับมือต๋องหวังจะช่วยคลายความว้าวุ่น ต๋องโพล่งความรู้สึกจนลืมรู้สึกไปว่าถูกกิมลั้งจับมืออยู่
“ชั้นรู้ว่าในฐานะลูกเธอต้องลำบากใจ แต่ถ้าเธอยังไม่กล้าบอกตัวเองว่ารู้สึกกับชั้นยังไง แล้วทั้งชั้นทั้งเธอจะสู้กันต่อไปยังไง” ต๋องพูดไปเรื่อยๆ
“แล้วมือชั้นที่จับเธอแน่นอยู่นี่มันยังบอกไม่พออีกเหรอว่าชั้นรู้สึกกับเธอมากมายแค่ไหน” กิมลั้งโพล่งออกมาอย่างอัดอั้นใจ ต๋องเพิ่งรู้สึกตัว เหลือบมองที่มือเห็นกิมลั้งกำลังบีบมือตนแน่น ต๋องดีใจจนแทบพูดไม่ออก
“แค่นี้ล่ะกิมลั้งที่ชั้นอยากได้ยิน ชั้นจะได้มั่นใจว่าที่ผ่านมาชั้นไม่ได้รู้สึกไปคนเดียว”
ต๋องโผเข้ากอดกิมลั้ง จนอีกฝ่ายไม่อาจห้ามใจ โผกอดตอบต๋องปลดปล่อยความรู้สึกลึกๆข้างในออกมาให้ต่างคนต่างรับรู้
คืนนั้น ที่ห้องนอน กิมลั้งนั่งดูคลิปของต๋องกับเพื่อนที่เล่นไว้ กิมแชตื่นเต้นราวกับต้องมนต์ และอึ้งกับฝีมือการเล่นดนตรีของต๋องไม่น้อย
“เฮ้ย เจ้” กิมแชเรียกกิมลั้ง
“นี่ลื้ออินกับเพลงขนาดนี้เลยเหรอ” กิมลั้งงงที่เห็นกิมแชอินจัดกับภาพในคลิป
“นี่ล่ะที่เค้าเรียกว่าร้องมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ฟังแล้วอั๊วเจ็บปวดตามไป ด้วยเลยนะเนี่ย ไม่คิดเลยว่าพี่ต๋องจะร้องเพลงได้ดีขนาดนี้” กิมแชเอ่ยขึ้น
“ต๋องเค้าร้องเพลงดีมาตั้งนานแล้ว เสียดายไม่มีโอกาสแสดงฝีมือให้ใครเห็น นี่อั๊วว่าจะเอาไปลงยูทิวบ์ทิ้งไว้เล่นๆซักหน่อย เผื่อจะมีแมวมอง” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“โอ้โห เจ้นี่เป็นเจ๊ดันตัวจริงเลยนะ” กิมแชแซวพี่สาว
“อั๊วก็แค่รู้สึกว่าคนที่มีความตั้งใจดีอย่างต๋อง ควรจะมีวันที่ได้รับอะไรดีๆกลับมาบ้าง ก่อนที่เค้าจะท้อไปกว่านี้” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“ถ้าพี่ต๋องเค้ารู้ว่าเจ้เป็นห่วงเค้าขนาดนี้เค้าคงดีใจน่าดูเลยนะ” กิมแชพูด
“อั๊วก็คงทำอะไรไปไม่ได้มากไปกว่านี้หรอกกิมแช” กิมลั้งพูดอย่างเป็นกังวล และแอบกังวลใจเรื่องต๋องในใจอย่างบอกไม่ถูก

คืนนั้นเวลาเดียวกัน ที่บ้านเต๋า ต๋องวิ่งหนีออกมาจากบ้านพร้อมกับสารพัดข้าวของที่ถูกขว้างตามมาเป็นชุด
“มึงจะหนีไปไหนไอ้ต๋อง” เต๋าด่าต๋อง ที่วิ่งออกมาหน้าบ้านโดยมีติ๋มคอยดึงแขนไว้ห้ามไว้
“อย่าพี่ ทำไมต้องรุนแรงกันแบบนี้ด้วย พี่น้องกันแท้ๆ พูดดีๆก็ได้” ติ๋มห้าม
“นี่ติ๋มยังจะให้พี่พูดดีกับไอ้น้องเวรนี่อีกเหรอ ในที่สุดมันก็ทำเรื่องจนถูกไล่ออกจากตลาดจนได้” เต๋าโมโห
“พี่คิดว่าชั้นอยากจะให้ทุกอย่างมันลงเอยแบบนี้นักเหรอ” ต๋องย้อนขึ้นมา
“แล้วไม่ใช่เอ็งรึไงที่สะเออะคิดไอ้งานยกธงขาวบ้านั่นขึ้นมาจนได้เรื่อง” เต๋ายังโกรธด่าไม่หยุด
“แต่ที่ชั้นทำน่ะเพราะต้องการจะช่วยเรียกคนเข้าตลาดแท้ๆนะ” ต๋องรีบอธิบาย
“มึงยังจะมีหน้ามาเอาความดีความชอบอีกนะ ไม่ใช่เพราะความสิ้นคิดของมึงเหรอที่ทำให้ข้ากับเมียต้องหมดที่ทำกินแบบนี้” เต๋ายังด่าไม่หยุก
“ชั้นเชื่อนะพี่ว่าต๋องทำไปเพราะตั้งใจดี” ติ๋มเข้าข้างต๋อง
“ก็ไอ้ความตั้งใจดีของมันนี่ล่ะที่ทำให้คนอื่นชิบหายมานักต่อนัก ชอบทำดัดจริตคิดจะแหวกแนว ถ้ามึงอยู่เฉยๆเหมือนชาวบ้านนี่จะลงแดงตายมั้ยฮะ แหมเว้ย”
เต๋ายังด่าไม่เลิก โมโหสุดขีด คว้ากระถางต้นไม้ขว้างใส่ต๋อง เฉี่ยวผ่านหน้าต๋องไป จนติ๋มต้องใช้อุบายสงบศึก
“พี่เต๋า ถ้าพี่ยังไม่หยุดทำร้ายต๋อง ชั้นจะเดินออกไปจากบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะ” ต๋อมเอ่ยขึ้นเสียงดัง เต๋าหยุด แต่ไม่วายชึ้หน้าด่าน้องชาย
“ก็ได้ ไอ้ต๋อง ยังไงมึงก็ต้องรับผิดชอบ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเงินเข้าบ้านเหมือนทุกวัน กูเอาเลือดบ้าออกจากหัวมึงแน่”
เต๋าเดินหัวเสียเข้าบ้านไป ติ๋มพะวักพะวงระหว่างต๋องกับเต๋า จึงตัดสินใจเดินตามเต๋าเข้าบ้านไป ต๋องถอนหายใจด้วยความเซ็ง
“ชั้นไม่ยอมให้ใครต้องมาพลอยเดือดร้อนเพราะชั้นแน่”

เช้าวันใหม่ ที่บ้านชายศักดิ์ พ่อแม่ลูกกำลังคุยกันเรื่องตลาดร่วมใจเกื้ออย่างออกรส
“ลูกแม่นี่เก่งจริงๆ เข้าไปอยู่ในตลาดนั่นไม่เท่าไหร่ก็เล่นงานพวกมันจนเสียกระบวนได้ แบบนี้อีกไม่ช้าที่ดินนั่นจะต้องเป็นของเราแน่” รัศมีรีบเข้าไปชื่นชมในตัวศักดิ์ชาย
“เกมมันเพิ่งจะเริ่มครับคุณแม่ เรายังวางใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” ศักดิ์ชายภูมิใจ
“เอ้า ไหนแกบอกว่าวางหมากเรื่องลูกสาวสดศรีไว้อีกทางแล้วไง ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยเหรอ” ชายศักดิ์ถามลูกชายอย่างอยากรู้
“เรื่องณดาน่ะ ผมไปไกลกว่าที่คุณพ่อคุณแม่คิดไว้เยอะครับ” ศักดิ์ชายตอบ
รัศมีคิดว่าลูกชายรวบหัวรวบหางณดาได้แล้ว จึงโพล่งด้วยความตกใจ
“อะไรนะ?”
“อืม เอาเป็นว่า ตอนนี้พ่อค้าผลไม้อย่างผมทำให้ลูกสาวเจ้าของตลาดเสียอาการได้ก็แล้วกัน” ศักดิ์ชายอธิบายอ้ำอึ้ง แต่รัศมีกลับยิ้มชอบใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
“โถ ลูกชายแม่ อย่างนี้ซิ เค้าถึงเรียกเชื้อไม่ทิ้งแถว” รัศมีเอ่ยชมศักดิ์ชาย
แต่ชายศักดิ์เริ่มไม่เข้าใจ
“เธอหมายความว่ายังไงน่ะรัศมี”
รัศมีเบี่ยงประเด็น
“ ก็ แหม ลองมีพ่อเป็นคนเสน่ห์แรงอย่างเสี่ย ชายเค้าจะยอมเสียรังวัดเรื่องสาวๆได้ยังไงล่ะค่ะใช่มั้ย” รัศมียอจนชายศักดิ์อมยิ้มอย่างชอบใจ
“จะว่าใช่ ก็ใช่ล่ะนะ” รัศมีทำหน้าเจ้าเล่ห์
“เอ่อ เสี่ยคะ เดี๋ยวรัศมีขอคุยนอกรอบกับลูกเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ฉันท์หนุ่มสาวของเค้าหน่อยนะคะ” รัศมีเอ่ยขึ้น
“เรื่องยัยเด็กณดาล่ะซิ ตามใจ แหม พวกผู้หญิงนี่ขยันล้วงลับตับแตกไอ้เรื่องแบบนี้จริงๆ” ชายศักดิ์เอ่ย
รัศมียิ้มร้ายอย่างมีเลศนัย

มุมหนึ่งของสวนในบ้าน รัศมีจากที่ยิ้มแย้มเมื่อครู่กลายเป็นเสียอารมณ์ในทันที
“อะไรนะ ตกลงลูกไม่ได้รวบหัวรวบหางแม่ณดานั่นไปแล้วหรอกเหรอ” รัศมีพูดอย่างผิดหวัง
“มันจะต่างอะไรล่ะครับคุณแม่ ในเมื่อสุดท้ายผมก็ทำให้เค้าเชื่อว่าตกเป็นของผมแล้ว” ศักดิ์ชายอธิบาย
“ก็ใช่ แต่ตอนนี้เค้าจะเชื่อไม่เชื่อน่ะไม่เท่าไหร่ มันสำคัญว่าแม่นั่นน่ะเสียอาการกับเรื่องนี้แค่ไหน”
รัศมีพูดประเด็นนี้ศักดิ์ชายถึงกับชะงัก
“เรื่องแบบนี้ ผู้หญิงต่อให้มั่นใจซักแค่ไหน มีด้วยเหรอครับที่จะไม่เสียอาการ”
ศักดิ์ชายจ้องรัศมี ที่ร้อนตัวเรื่องความเป็นผู้หญิงกร้านโลก
“นั่นซิ แม่ก็ไม่คิดว่าจะมีนะ คือแม่แค่อยากรู้ว่าเด็กนั่นมันถึงกับเสียศูนย์ไปเลยมั้ย”รัศมีเบี่ยงประเด็น
“อันนั้นผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับ รู้แต่ว่ายัยณดาน่ะจองหองพองขนซะเหลือเกิน คิดว่าตัวเองสูงส่งจนเห็นผมเป็นหมาหิว” ศักดิ์ชายเอ่ยอย่างมีอารมณ์
“หมาหิว ?” รัศมีเอ่ยถาม
“เค้าบอกผมว่าไอ้ที่เสียไปถือว่าทำบุญให้หมากิน” ศักดิ์ชายรีบอธิบาย
“ตายแล้ว ชายจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้นะลูก ผู้หญิงบางคนมันก็ไม่ค่อยสะทกสะท้านกับเรื่องพรรค์นี้เท่าไหร่ สงสัยจะผ่านสมรภูมิมาเยอะ” รัศมีรีบอธิบาย
ศักดิ์ชายถามกลับแบบไม่อยากเชื่อ
“มีผู้หญิงแบบนั้นด้วยเหรอครับคุณแม่”
รัศมีร้อนตัว
“แหม มันก็ต้องมีบ้างซิลูก เอางี้ ฟังแม่นะ ถ้าเราอยากให้แม่นั่นเป็นเหยื่อ เราก็ต้องคอนโทรลเค้าให้ได้ ไม่งั้นทุกอย่างที่ลูกทำไปสูญเปล่าแน่”
“แล้วคุณแม่จะให้ผมทำยังไงครับ ถ้าสุดท้ายแล้วผมขู่เค้าเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้จริง”
“ชาย ลูกลืมไปแล้วเหรอจ๊ะว่านี่มันเป็นยุคของคลิปหลุด นี่ต่างหากที่จะทำให้เหยื่อของเราอึ้ง ทึ่ง เสียว”
“คุณแม่ครับ แล้วผมจะไปเอาคลิปที่ไหน ในเมื่อผมไม่ได้ทำอะไรเค้า” ศักดด์ชายถามอย่างสงสัย
“คลิปจะมีไม่มีน่ะไม่สำคัญเท่ากับการทำให้เค้าเชื่อว่ามันมี เข้าใจมั้ยลูก” รัศมีแนะลูก
ศักดิ์ชายยิ้มร้ายชอบใจ และเกิดความคิดบางอย่างตามไอเดียของรัศมีขึ้นมาทันใด

บ่ายวันนั้น ที่ร้านข้าวแกง ป้าพิณกำลังบ่นเขียวหวานสนั่นร้าน
“นังเขียวหวาน นี่เอ็งซื้อผักมาให้เป็ดให้ห่านที่ไหนกินวะ ดูซิ มีกำไหนงามบ้าง ขืนเอามาทำกับข้าวได้เสียชื่อร้านข้าหมด”
“โธ่ ป้าพิณ แก่แล้วก็รู้จัก make heart บ้างซิป้า” คำมูลโพล่งขึ้น พร้อมเข็นรถผลไม้ผ่านมาพอดี
“อะไรของมึงอีก เมก ฮาร์ท” ป้าพิณถามกลับ
“อ๋อ make heart ก็ทำใจยังไงล่ะป้า” เขียวหวานช่วยตอบ
“โอ้ว มายก็อด ฉลาดมากน้องเขียวหวาน sweet green” คำมูลรีบชม
“โถๆ นัง sweet green กับไอ้ shit เข้ากันดีเป็นผีเน่ากับโลงผุเลยนะแล้วมันเรื่องอะไรที่เอ็งจะมาบอกให้ข้าทำใจกับไอ้ผักกะหลั่วๆพวกนี้” ป้าพิณสวน
“แหม ป้าก็รู้นี่ ว่าต่อไปนี้ไอ้ต๋องมันจะไม่มาขายของที่นี่อีกแล้ว แล้วป้าจะไปฝันเฟื่องถึงผักสวยๆถูกๆต่อไปทำไม” คำมูลหยิบผักจากตู้กระจกที่รถเข็นออกมาโชว์
“ดูซิ ชั้นยังต้องทำใจเลย กะหล่ำปลีนี่ ตอนซื้อมาลูกเท่าส้มโอ แต่พอแกะใบเสียออกเหลือลูกเท่าส้มเช้ง”
“เฮ้อ ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนคนอกหักยังไงก็ไม่รู้” ป้าพิณบ่นขึ้น เขียนหวานไม่เข้าใจรีบจ้องหน้าอกป้าพิณ
“หักตรงไหน ชั้นเห็นมันก็ห้อยอยู่ตรงหน้าชั้นนี่” คำมูลจ้องตามไปด้วย
“แบบนี้เค้าเรียกเหี่ยวจ้ะ ไม่ใช่หัก” ป้าพิณเขกหัวเขียวหวานกับคำมูลพร้อมกัน
“นี่แน่ะ ข้าหมายถึงว่าข้ากำลังรู้สึกเหมือนผู้หญิงที่กำลังผิดหวังในความรักเว้ย เมื่อก่อนมีเค้าอยู่ก็ไม่เห็นค่า พอเค้าจากไปถึงรู้ว่าขาดเค้าไม่ได้” ป้าพิณอธิบาย
“อ๋อ ป้าหมายถึงพี่ต๋องน่ะเหรอ ก็จริง เสียพี่ต๋องไปคน ก็เหมือนเสียผักดีๆไป แล้วจะไปหาผักที่ไหนที่ดีเหมือนพี่ต๋องได้อีก มันคงไม่มีอีกแล้ว ไม่มีแน่ๆ ไม่มี...” เขียวหวานฟูมฟาย
“เขียวหวาน เรากำลังพูดถึงผักจ้ะไม่ใช่ผัว” คำมูลเตือนสติ ระหว่างนั้นเสียงกระดิ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องของชายคนหนึ่ง
“ผักสดๆมาแล้วจ้ะผักสดๆ”
ป้าพิณ เขียวหวาน และคำมูลหันไปที่ต้นเสียง พอเห็นต๋องแต่งตัวแปลกตาขี่รถซาเล้งที่ตกแต่งน่ารักบรรทุกผักเต็มคันเข้ามา ทุกคนยิ้มร่าเรียกต๋องกันยกใหญ่
“ไอ้ต๋อง / พี่ต๋อง”

ทุกคนรุมทึ้งซื้อผักต๋อง อยู่หน้าร้านข้าวแกงป้าพิณ จนเลื่อนกับรักเร่ต้องมาช่วยขาย
“ไอ้ต๋อง นี่ข้านึกว่าชาตินี้จะไม่ได้กินผักสวยๆถูกๆของเอ็งอีกแล้วนะเนี่ย” ป้าพิณเอ่ยขึ้น
“พูดอย่างกะชั้นตายงั้นล่ะป้า” ต๋องตอบกลับ
“ตอนแรกชั้นกับไอ้รักเร่ก็คิดอย่างงั้นนะ” เลื่อนเห็นด้วยกับป้าพิณ
“เอ้า ปากเสียแล้วไงเอ็ง” ต๋องเอ่ย
“ชั้นหมายถึงพวกชั้นห่วงๆว่าพี่จะหาทางทำมาหากินต่อไปยังไงแต่พี่นี่มันสุดยอดจริงๆว่ะ ไม่เคยจนมุมเลย”
เลื่อและทุกคนชื่นชมกับมุกรถเข็นน่ารักของต๋อง
“นั่นดิ ดีไม่ดีปั่นซาเล้งขายแบบนี้จะทำให้พี่ขายดีขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกด้วยซ้ำไปนะชั้นว่า” รักเร่ออกความเห็น
“แต่รู้มั้ยว่าคิตตี้น่ะไม่เคยห่วงเลยนะว่าต๋องน่ะจะตกต่ำย่ำแย่ เพราะต๋องของคิตตี้น่ะเก่งที่สุดเหนือมนุษย์มนาอยู่แล้ว” คิตตี้ที่แอบปลื้มต๋องหมดใจ ชมไม่ขาดปาก
“ว่าแต่พี่ต๋องเหนื่อยมากมั้ยจ๊ะ ให้ชมพู่ซ้อนท้ายไปด้วยมั้ย จะได้คอยช่วยขาย ช่วยนวด หรือช่วยขี่เวลาที่พี่เมื่อย” ชมพู่รีบเอ่ยบ้างเพื่อไม่ยอมเสียคะแนน
“ไปช่วยพี่สาวแกทำผมให้ดีก่อนเถอะอีชมพู่ ไม่ต้องมาชูหน้าให้ความช่วยเหลือใคร” คิตตี้ขัดคู่อริ
“งั้นตอนนี้ชั้นขอช่วยตบเรียกสติให้แกก่อนละกัน” ชมพู่พร้อมตบ จนต๋องต้องเข้ามาห้าม
“อย่าจ้ะอย่า” ชมพู่กับคิตตี้กำลังจะถลาเข้าหากัน ต๋องรีบคว้าแครอทยัดใส่ปากทั้งคู่ให้คาบไว้
“ไม่ทะเลาะกันนะจ๊ะ แครอทนี่พี่แถมให้ มาซื้อของต่อกันดีกว่ามามะ”
ต๋องพูดจบแล้วกลับไปขายของต่อ แม่ค้ายืนขำคิตตี้กับชมพู่ที่ยืนคาบแครอทจนตบกันไม่ได้

หลังจากขายผักเสร็จ ต๋องปั่นซาเล้งมานอกตลาด จนมาหยุดที่มุมหนึ่ง
“ผักสดๆมาแล้วจ้า”
ต๋องลงจากรถมีชายท่าทางราวกับขอทาน อิดโรย เดินเข้ามาหาต๋อง
“ซื้ออะไรดีจ๊ะ” ต๋องถาม
“พี่ครับ ขอตังค์หน่อย ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย” ขอทานขอเงินต๋องซึ่งหน้า
“พี่ก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน” ต๋องตอบ
“พี่ยังไม่ได้กิน เดี๋ยวพี่ก็ไปกินได้เพราะมีตังค์ แต่ผมไม่มี” ขอทานยังยืนยันจะขอเงินต๋องเช่นเดิม
“ไม่ทำงานมันก็ไม่มีตังค์หรอกน้องเอ๊ย นู้น” ต๋องพูดพลางชี้ไปที่หญิงพิการขาขาดที่ยืนขายแซนด์วิชอยู่ตรงทางเข้าตลาด
“เห็นผู้หญิงคนนั้นมั้ย เค้ามีขาเดียวยังไม่เห็นต้องแบมือขอใครกินเลย” ต๋องย้ำ
ขอทานชายรายนั้นเดินออกไปด้วยความเซ็ง ต๋องมองตามด้วยความเซ็งไม่ต่างกัน แล้วต๋องกลับมาขายผักต่อ
“ผักสดๆ ลดกันถูกๆจ้ะ”
ไม่ไกลกันเห็นขอทานคนเดิมกำลังเดินไปเจอกับกิมลั้งที่ออกมาจากในตลาดพอดี
“พี่คนสวยครับ วันนี้ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย ขอตังค์หน่อยครับ”
กิมลั้งดูลังเล แต่กำลังควักแบงก์ยี่สิบออกมาจากกระเป๋ากางเกง ยังไม่ทันจะยื่นเงินให้ขอทาน ต๋องรีบห้ามไว้
“อย่ากิมลั้ง”
“ต๋อง” กิมลั้งขานรับ
“ไม่ต้องให้ ไม่งั้นเธอจะกลายเป็นคนที่สนับสนุนให้เค้างอมืองอเท้าไปทั้งชีวิต” ต๋องห้ามกิมลั้งไว้
ขอทานมองหน้าต๋องด้วยความโกรธ แล้วเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป

ต่อจากนั้น ต๋องกับกิมลั้งไปนั่งคุยกันที่ริมคลองหลังตลาดเช่นเคย กิมลั้งมองซาเล้งอย่างชื่นชม
“นี่น่ะเป็นรถขายผักที่น่ารักที่สุดในโลกเลยนะต๋อง” กิมลั้งเอ่ยชม
“มันก็ต้องสะท้อนตัวตนของเจ้าของเป็นธรรมดาอ่ะนะ” ต๋องตลกใส่
“หลงตัวเอง” กิมลั้งอมยิ้ม
“พูดเล่น แหม ชั้นก็ต้องทำให้รถมันดึงดูดความสนใจหน่อยซิ ลูกค้าจะได้อยากโบกมือซื้อ” ต๋องรีบเล่า
กิมลั้งมองต๋องอย่างชื่นชม
“ต๋อง เธอนี่มันฆ่าไม่ตายเลยจริงๆนะ” กิมลั้งชม ต๋องแกล้งทำตาปริบๆ
“ไม่จริงหรอก แค่เธอไม่สนใจ ชั้นก็ตายได้แล้ว” ต๋องมามุขนี้เล่นเอากิมลั้งแกล้งจะเดินหนี
“สงสัยต้องลองดูซักหน่อย” กิมลั้งทำท่าจะเดินหนี แต่ต๋องรีบไปดักหน้าไว้
“อุ๊ย อย่านะ ถ้าเธอทำอย่างงั้น ชั้นคงหมดแรงสู้กับอะไรต่อไปแน่ๆ” กิมลั้งเขินหน้าแดง แต่ไม่วายจ้องตากันอย่างลึกซึ้ง
ระหว่างนั้นศักดิ์ชายเดินผ่านมาเห็นทั้งคู่เข้า จึงเกิดความคิดอะไรบางอย่างแล้วรีบเดินเข้าไปในตลาดอย่างรีบเร่ง

เวลาต่อจากนั้น กิมฮวยนั่งขายของอยู่ที่แผงปลา ครู่หนึ่งศักดิ์ชายรีบเดินเข้ามาแล้วทำเป็นเดินไปเลือกปลาที่แผงกิมฮวย
“ปลาสดเชียวน้ากิมฮวย” ศักดิ์ชาบรีบทัก อีกฝ่ายรีบส่งตะกร้าให้
“ลื้อเลือกตามใจชอบเลยนะ เอ้อ อาชาย อั๊วฝากร้านลื้อเดี๋ยวได้มั้ย อั๊วจะไปเข้าห้องน้ำ อากิมลั้งอีหายไปไหนของอีก็ไม่รู้” กิมฮวยพูดกับศักดิ์ชาย
“อ๋อ กิมลั้งเหรอ ชั้นเห็นคุยกับต๋องอยู่ที่หลังตลาดแน่ะ” ศักดิ์ชายได้ทีรีบใส่ไฟ กิมฮวยได้ยินดังนั้นโกรธจนควันออกหู
“ไอ้ต๋อง” กิมฮวยลุกพรวดรีบออกไป
“น้ากิมฮวย” ศักดิ์ชายแกล้งเรียกรั้งไว้
ศักดิ์ชายยิ้มร้ายเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน

ต๋องกับกิมลั้งยืนคุยกันอย่างหวานชื่น ที่ริมคลองหลังตลาด
“ต๋อง ชั้นคงบอกอะไรเธอไม่ได้มากไปกว่าให้อดทนนะ ยังไงสิ่งที่เธอทำไว้มันต้องให้ผลตอบแทนกลับมาซักวันแน่นอน” กิมลั้งให้กำลังใจต๋อง
“ไม่ต้องห่วงหรอกกิมลั้ง” ต๋องเอื้อมไปจับมือกิมลั้ง
“บอกแล้วไงว่าตราบใดที่เธอยังอยู่ข้างๆชั้นแบบนี้ อะไรมันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน ชั้นก็ไม่กลัว” ต๋องเอ่ยขึ้น
“แน่ใจเหรอไอ้ต๋อง” กิมฮวยโพล่งขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธ
กิมลั้งไม่ทันตั้งตัว กิมฮวยเข้ามากระชากมือของทั้งคู่ออกจากกัน แล้วกิมฮวยเข้าไปตีกิมลั้งชุดใหญ่
“ลูกไม่รักดี อั๊วบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งกับไอ้ต๋อง ลื้อกล้าลองดีกับอั๊วใช่มั้ย” กิมฮวยด่ากิมลั้งทันที
“อย่าจ้ะน้ากิมฮวย” ต๋องตะโกนห้าม
 
อ่านต่อหน้า 4




“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 4 (ต่อ)
 
 
กิมฮวยระดมตีกิมลั้ง ต๋องรีบเอาตัวเข้าไปกอดกิมลั้งกันไว้ไม่ให้โดนตี กิมฮวยเลยฟาดต๋องเข้าให้เต็มแรงด้วยความแค้น ศักดิ์ชายแอบยืนมองอยู่ยิ่งชอบใจ ระหว่างนั้นณดาเดินมาเห็นศักดิ์ชายทำท่าลับๆล่อๆเหมือนแอบดูบางอย่าง จึงรีบเดินตามเข้ามาดู
 
“มันไม่ใช่ความผิดของกิมลั้งเลย ชั้นเป็นคนมาหากิมลั้งเอง” ต๋องพยายามอธิบายและปกป้อง
แต่กิมฮวยไม่ฟังกระชากต๋องออกมาจากตัวกิมลั้งด้วยความรังเกียจ
“ไอ้ต๋อง ไอ้คนหน้าด้าน รู้ทั้งรู้ว่าอั๊วเกลียดลื้อยังกับหมูกับหมา แต่ลื้อก็ยังจะกล้ามายุ่งกับลูกสาวอั๊วอีก” กิมฮวยด่าต๋องเสียงดังลั่น
“น้าเกลียดชั้น ชั้นเข้าใจ แต่น้าจะมาบังคับให้กิมลั้งกับชั้นเกลียดกันได้ยังไง ในเมื่อเราชอบกัน”
ต๋องพยายามอธิบาย ณดาแอบยืนฟังอยู่อีกมุมถึงกับอึ้ง กิมฮวยได้ยินช็อกไปเช่นกัน
“ชอบกัน ? ไอ้ต๋อง ลื้อไม่มีสิทธิ์พูดคำนี้ ผู้ชายคนเดียวที่ลูกสาวอั๊วจะชอบได้ก็คืออาจาตุรงค์”
กิมฮวยหันไปพูดย้ำกับกิมลั้งหนักแน่น
“คนที่ลื้อจะเลือกได้มีแต่อาจาตุรงค์เท่านั้นได้เข้าใจมั้ยอากิมลั้ง” กิมฮวยย้ำใส่หน้ากิมลั้ง
“แต่ม้า อั๊วจะเลือกเค้าได้ยังไงในเมื่ออั๊วไม่ได้ชอบเค้า” กิมลั้งย้อน
“ถ้างั้นระหว่างอั๊วกับไอ้ต๋อง บอกมาว่าลื้อจะเลือกใคร” กิมลั้งน้ำท่วมปากพูดไม่ออก กิมฮวยรีบหันไปพูดกับต๋องทันที
“ลื้อจะชอบกับอากิมลั้งก็ได้นะ แต่ต้องข้ามศพอั๊วไปก่อน...จำไว้” กิมฮวยพูดจบกระชากแขนกิมลั้งเดินออกไป ปล่อยให้ต๋องมองตามตาละห้อย ส่วนศักดิ์ชายยืนยิ้มชอบใจ
“ไอ้ต๋อง แกไม่มีทางได้กลับเข้ามาอยู่ที่นี่ง่ายๆหรอก” กิมฮวยด่าส่งท้าย
ณดาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เมื่อเห็นว่าต๋องกำลังจะออกไป ณดาจึงตัดสินใจรีบเดินเข้ามาหา แต่แกล้งไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“คุณต๋อง คุณต๋องคะ” ณดาเรียก
ศักดิ์ชายเห็นณดาเดินไปหาต๋อง ออกอาการไม่พอใจ ต๋องพยายามปรับอารมณ์ให้ปกติมากที่สุดเพื่อคุบกับณดา
“คุณณดา”

บ่ายนั้น ณดานั่งคุยกับต๋องอยู่ที่ร้านกาแฟอาโก
“คิดว่าจะไม่ได้เจอคุณที่นี่อีกซะแล้ว” ณดาเอ่ยขึ้น
“ผมจะไปไหนได้ล่ะครับ ต้องเร่ร่อนอยู่แถวนี้นี่ล่ะ” ต๋องเอ่ยตอบ
“ขอโทษแทนคุณแม่ด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณต้องมาลำบากอย่างนี้” ณดารู้สึกผิด
“ไม่มีใครผิดหรอกครับ ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เพราะความสะเพร่าของผมเองถือว่าชดใช้กรรมที่ตัวเองก่อละกัน”
ต๋องแกล้งตลกกลบเกลื่อน
“ไม่ต้องห่วงนะคะ แล้วณดาจะพาคุณกลับมาที่นี่อีกครั้งให้ได้” ณดายืนยันจะช่วยต๋อง
“ขอบคุณมากครับ แต่ถ้าจะกลับมา ผมอยากจะกลับมาที่นี่อย่างภาคภูมิใจ ผมจะเรียกชื่อเสียงของตลาดกลับคืนมาให้ได้ เพื่อชดเชยความผิดพลาดทั้งหมด” ต๋องเอ่ยขึ้น ณดามองต๋องด้วยความชื่นชม
“เอาเป็นว่าณดาจะคอยเป็นกำลังใจ แล้วก็รอคุณกลับมาที่นี่อย่างสมศักดิ์ศรีนะคะ”
ณดาจับมือต๋องอย่างให้กำลังใจ ศักดิ์ชายแอบมองภาพบาดตาบาดใจด้วยความโกรธ

หลังจากคุยกับต๋องเสร็จ ณดาเดินไปที่จอดรถในตลาดอย่างอารมณ์ดี แต่จู่ๆศักดิ์ชายโผล่มาคว้ามือณดาไว้ ณดารีบสะบัดอย่างรังเกียจ แถมเหลียวซ้ายแลขวากลัวคนอื่นจะเห็นและรู้ถึงความสัมพันธ์
“นี่คุณทำบ้าอะไรของคุณ” ณดาโกรธ
“ทีเวลาจับมือกับนายต๋อง ไม่เห็นคุณสะบัดสะบิ้งแบบนี้เลย” ศักดิ์ชายย้อนอย่างประชดประชัน
“ชั้นจะทำอะไร มันก็ไม่ใช่เรื่องของคุณ ปล่อยมือชั้นได้แล้ว” ณดาเถียงกลับ ศักดิ์ชายรีบดึงณดาไปที่ประตูรถ
“ไป ขึ้นรถ” ศักดิ์ชายสั่ง
“คุณจะทำอะไร” ณดาถามกลับ
“ผมบอกให้ขึ้นก็ขึ้นซิ” ศักดิ์ชายสั่งณดาอย่างเป็นต่อ
“ไม่ คุณจะมาทำอย่างนี้กับชั้นไม่ได้นะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ลืมไปแล้วเหรอว่าเราเป็นอะไรกัน” ศักดิ์ชายเริ่มขู่
“หยุดพูดเรื่องทุเรศๆเดี๋ยวนี้นะ” ณดาเริ่มไม่พอใจ
“คุณจะยืนอยู่อย่างนี้ให้คนเห็นก็ตามใจ ก็ดี ชาวบ้านจะได้รู้ซักว่าผมกับคุณน่ะ....” ศักดิ์ชายขู่อีกครั้ง
ณดายอมขึ้นรถไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ศักดิ์ชายยิ้มสะใจรีบวิ่งไปขึ้นรถนั่งประกบณดาทันที

เวลาต่อจากนั้น ศักดิ์ชายนั่งมาในรถของณดา เปิดเพลงอย่างอารมณ์ดี ปรับเบาะรถนอนอย่างสบายใจจนณดาทนไม่ไหว
“ตกลงคุณจะให้ชั้นพาไปไหนกันแน่” ณดาถามขึ้น
“ก็ ไปไหนก็ได้ที่ผมอยากไป ถือเป็นการไถ่โทษที่คุณเที่ยวไปจับมือถือแขนกับผู้ชายคนอื่น คุณควรจะรู้ไว้นะว่าผมน่ะขี้หึง” ศักดิ์ชายพูดอย่างสบายใจ
“หึงเหรอ ? คุณไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะรู้สึกอะไรกับชั้นเลยด้วย” ณดาเอ่ยขึ้น
“แล้วใครล่ะที่มีสิทธิ์ ไอ้ต๋องใช่มั้ย” ศักดิ์ชายประชด
“ถ้ารู้ดีอยู่แล้ว ก็เลิกยุ่งกับชั้นซักที ผู้ชายอย่างคุณน่ะไม่เคยอยู่ในสายตาชั้นซักนิด” ณดาพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก
ศักดิ์ชายโกรธที่โดนหยาม ตะคอกกลับณดา
“ถ้าผมไม่ได้คุณ ก็อย่าหวังว่าผู้ชายคนไหนจะได้”
ศักดิ์ชายจ้องณดาแน่วแน่อย่างเอาจริง

เวลาเดียวกัน เคี้ยงกำลังนับเงินที่ซ่อนกิมฮวยไว้ในตู้เสื้อผ้าที่บ้านอย่างอารมณ์ดี
“เข้าบ้านเดี๋ยวนี้นะ...ลูกไม่รักดี” กิมฮวยตะโกนบ่นกิมลั้งมาแต่ไกล
เคี้ยงชะโงกหน้าไปดูที่หน้าต่างเห็นกิมฮวยกำลังลากกิมลั้งเข้าบ้าน เคี้ยงรีบกระตือรือร้นเอาเงินเก็บไว้ในช่องลับของตู้เสื้อผ้าซึ่งดูเผินๆเหมือนเป็นพื้นตู้ แล้วรีบปิดประตูตู้เสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว

กิมลั้งถูกลากเข้ามาในบ้าน กิมแชนั่งอยู่งงว่าเกิดอะไรขึ้น ครู่หนึ่งเคี้ยงเดินลงบันไดมาอย่างรักษาอาการให้เป็นปกติที่สุด
“เอ้า ทำไมกลับบ้านแต่วันเลยล่ะอากิมฮวย” เคี้ยงถามขึ้น
“ก็แม่ลูกสาวตัวดีของลื้อน่ะซิ งามหน้านัก ยืนจับมือจู๋จี๋กับไอ้ต๋องกลางตลาดทั้งๆที่อั้วประกาศแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับมัน” กิมฮวยเล่าอย่างอารมณ์เสีย
“กิมฮวย อั๊วว่านะ ความจริงลูกมันจะรักจะชอบใครก็เป็นเรื่องของมันทีลื้อยังเลือกอั๊วแทนที่จะแต่งงานไปกับคนที่ป๊ากับม้าเลือกให้เลย” เคี้ยงอธิบาย กิมฮวยมองเคี้ยงหัวจรดเท้า
“ก็เพราะตัดสินใจพลาดวันนั้น อั๊วถึงได้รู้ว่าการไม่เชื่อฟังพ่อแม่นี่มันเลวร้ายยังไง” กิมฮวยว่า
เคี้ยงสะดุ้ง
“ตกลงว่าอั๊วกลายเป็นเรื่องเลวร้ายของลื้อไปแล้วเหรอเนี่ย” เคี้ยงเอ่ย
“ก็ดูสิ วันๆลื้อเคยทำอะไรได้ดั่งใจอั๊วบ้างมั้ย แทนที่จะช่วยกันพูดให้ลูก เห็นว่าอันไหนกงจักรอันไหนดอกบัว ลื้อกลับเออออตามอีไป” กิมฮวยพาลไปถึงเคี้ยง
เคี้ยงตอบกลับด้วยความเซ็ง
“ถ้างั้นลื้อจะทำยังไง”
กิมฮวยจิกตาไปที่กิมลั้ง
“อั๊วก็จะตัดไฟซะตั้งแต่ต้นลมน่ะซิ”
กิมลั้งใจหายวูบ
“นี่ม้าจะทำอะไร” กิมลั้งถามอย่างแปลกใจ
“เดี๋ยวอาเต๊กไฮ้จะมาที่นี่เพื่อคุยเรื่องงานหมั้นของลื้อกับอาจาตุรงค์” กิมฮวยโพล่งขึ้น กิมลั้งช็อก
“ไม่นะม้า อั๊วไม่มีทางหมั้นกับพี่จาตุรงค์เด็ดขาด” กิมลั้งยืนยันดังนั้น
“งั้นลื้อก็ขาดกับอั๊วตั้งแต่วันนี้” กิมฮวยยื่นคำขาด แกล้งทำท่าเดินขึ้นบ้านแบบไม่สนใจใยดี
“ม้า” กิมลั้งเรียกรั้งแม่ไว้
กิมฮวยแอบยิ้มที่ใช้แผนนี้และเป็นไปอย่างที่คิดไว้ เพราะรู้ดีกว่ากิมลั้งต้องยอมใจอ่อน

บ่ายนั้น ณดาหน้าบึ้งนั่งมองไอศกรีมอยู่ตรงหน้าอย่างไม่พอใจ ในขณะที่ศักดิ์ชายละเลียดกินไอศกรีมสตรอเบอร์รี่อย่างใจเย็น
“ตกลงคุณจะลากชั้นออกมาดูคุณกินไอติมใช่มั้ย” ณดาเอ่ยขึ้น
“ผมก็ไม่ได้ให้คุณนั่งดู อยากกินอะไรก็สั่ง” ศักดิ์ชายตอบ
“นี่ยังคิดว่าชั้นยังจะเจริญอาหารอีกเหรอ ตกลงว่าให้ชั้นมาเสียเวลามาทำเรื่องงี่เง่าแค่นี้ใช่มั้ย ชั้นจะได้กลับ”
ณดาลุกขึ้น ศักดิ์ชายรีบคว้ามือไว้
“ใครว่าเรื่องงี่เง่าล่ะ ผมแค่พาคุณมาร่วมระลึกถึงอดีตอันดูดดื่มร่วมกันต่างหาก” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“คุณหมายถึงเรื่องอะไร” ณดาถามกลับ
“อืม ไงดีล่ะ อย่าให้ผมเล่าเลย คุณดูภาพเองเลยดีกว่า อุ๊ย ช่วงเข้าได้เข้าเข็มพอดี ดูซิ....ใครจะเชื่อว่าคุณจะไม่รู้สึกตัวเลยขนาดนี้”
ศักดิ์ชายแกล้งมองไปที่หน้าจอเหมือนมีคลิป ศแล้วรีบดึงณดามานั่งใกล้ๆ แต่ณดารีบสะบัดแขนรู้ทันทีว่าศักดิ์ชายหมายถึงอะไร
“ชั้นไม่เคยเห็นใครที่มันเลวทรามได้เท่าคุณอีกแล้ว” ณดาเอ่ย
“อะไรกัน อย่างผมนี่คุณต้องเรียกเทวดานะ เพราะว่าพาคุณขึ้นสวรรค์ได้” ศักดิ์ชายย้อน
“ไปตายซะเถอะ” ณดาด่าศักดิ์ชายด้วยความโกรธ แล้วหยิบแก้วน้ำสาดใส่หน้าศักดิ์ชายก่อนจะเดินออกไป ศักดิ์ชายโกรธ มองณดาด้วยสายตาเคียดแค้น
“แล้วคุณจะรู้จักความเลวของผมดีกว่านี้ณดา”

เวลาเดียวกัน ที่ห้องรับแขกบ้านกิมฮวย สองตระกูลมากันพร้อมหน้า กิมฮวย เคี้ยง กิมลั้ง กิมแช จาตุรงค์ เต๊กไฮ้ ลักษณ์ รวมทั้งจะเด็ดที่กำลังคำนวณตัวเลขในกระดาษอย่างใจจดใจจ่อ มีเพียงกิมลั้งกับกิมแชที่นั่งหน้าเครียดกันสองคนพี่น้อง
“เอาล่ะ เรียบร้อย” จะเด็ดคำนวณตัวเลขเสร็จสรรพ
“เป็นยังไงบ้างอาจาเด็ด” กิมฮวยรีบถามขึ้น
“ก็ มีปัญหานิดหน่อย” จะเด็ดรีบตอบ
“ทำไมน้าจะเด็ด ดวงพี่รงค์กับเจ้ไม่สมพงษ์กันใช่มั้ย” กิมแชดีใจรีบถามขึ้น
“จริงเหรออาจะเด็ด” กิมฮวยทำหน้าวิตก
“ไม่ใช่ ดวงอากิมลั้งกับอาจาตุรงค์ชงกันยิ่งกว่าชาชั้นดีอีก ปัญหาที่บอกเมื่อกี้ชั้นหมายถึงที่อยากให้มีงานหมั้นกันเดือนหน้าน่ะคงไม่ได้” จะเด็ดเอ่ย
“ถ้างั้นจะได้เมื่อไหร่ล่ะ” เต๊กไฮ้รีบถาม
“อาทิตย์หน้า” จะเด็ดรีบตอบ
“อาทิตย์หน้า !” กิมลั้งกับกิมแชถึงกับอึ้ง
“เพราะหลังจากนี้แล้วจะเป็นฤกษ์กาลกิณีของทั้งคู่ไปอีกสองสามปีเลย” จะเด็ดยืนยันแบบนั้น
“ถ้าอย่างงั้นก็ไม่เป็นปัญหา ตอนนี้น่ะจัดงานได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”
กิมฮวยปลายตามองไปทางกิมลั้งที่นั่งหน้าหมองอยู่อย่างมีความหมาย
“ในที่สุดเราก็จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันซักทีนะจ๊ะน้องกิมลั้ง” จาตุรงค์จับมือกิมลั้ง จนเธอกระอักกระอ่วนใจ ในขณะที่กิมแชมองมือจาตุรงค์ที่จับมือกิมลั้งอยู่ด้วยความชอกช้ำใจ

เวลาต่อจากนั้น กิมลั้งน้ำตาคลอล้มตัวนอนบนเตียงอย่างหมดแรง กิมแชมองมาที่พี่สาวด้วยความเห็นใจ บ่นกับตัวเองด้วยความเซ็ง
“ทำไมต้องมีเรื่องบ้าๆแบบๆนี้ด้วย”
กิมแชตัดสินใจเดินออกจากห้องไปเพื่อไปทำอะไรบางอย่าง

อีกมุมหนึ่งที่ร้านขายของเก่า ที่ซ้อมดนตรีของต๋องและพรรคพวก บรรยากาศการซ้อมดนตรีวันนี้เหงาและเศร้าซึมอย่างบอกไม่เคยเป็นมาก่อน ครู่หนึ่งกิมแชรีบร้อน เดินมาหยุดที่หน้าร้าน
“ร้านนี้รึเปล่านะ เสียงเพลงนี่ ต้องใช่แน่ๆ”
กิมแชพึมพำกับตัวเองแล้วโผล่พรวดเข้าไปหาพวกต๋องที่กำลังซ้อมเพลงอยู่
“พี่ต๋อง” กิมแชเรียก
ทั้งหมดหยุดเล่นดนตรีทันที ต๋องมองไปที่กิมแชงงๆว่าใคร เลื่อนรีบทักขึ้นเพราะเห็นสีหน้าของกิมแชไม่สู้ดี
“กิมแช มีอะไรรึเปล่า”
กิมแชหน้าเครียด

ครู่หนึ่งกิมแชเล่าเรื่องกิมลั้งโดนบังคับให้หมั้นกับจาตุรงค์ให้ทุกคนฟัง ทุกคนถึงกับช็อกโดยเฉพาะต๋อง
“กิมลั้งจะหมั้นกับจาตุรงค์จริงๆเหรอ” ต๋องเอ่ยขึ้ย
“จริงซิพี่ ตอนนี้เจ้กิมลั้งนอนตายซากอยู่ในห้อง ไม่พูดไม่จากับใคร” กิมแชเอ่ย
“เอาไงดีพี่ต๋อง พี่จะยอมให้งานหมั้นมันเกิดขึ้นเหรอ” เลื่อนถามลูกพี่อย่างร้อนใจ
“ใครมันจะยอมให้ผู้ชายคนอื่นมาฉกแฟนไปล่ะวะ” ต๋องมุ่งมั่น รักเร่รีบถามขึ้นบ้าง
“แล้วพี่จะทำยังไง”
ต๋องคิดเหมือนมีจะทำอะไรบางอย่าง
“ก็...”
ทุกคนตั้งใจฟังอย่างลุ้น
“ยังไม่รู้เว้ย...”
ต๋องคิดไม่ออก ทั้งหมดพากันห่อเหี่ยวเพราะยังหาทางออกช่วยกิมลั้งไม่ได้

เวลาต่อจากนั้น โรงหนังลุงชวนชม กลายเป็นสถานที่หมั้นหมายของกิมลั้ง ขณะประกอบพิธีช่วงสำคัญของการหมั้น กิมลั้งน้ำตาไหลเพราะไม่อาจสกัดกั้นอารมณ์ไว้ได้ อีกมุมกิมแชแอบมองพิธีอยู่น้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน จาตุรงค์ เต๊กไฮ้ และลักษณ์เห็นอาการของกิมลั้งเข้ายิ่งเป็นกังวล
“อากิมลั้งลื้อเป็นอะไร” เต๊กไฮ้เข้ามาถาม กิมลั้งทำท่าเหมือนจะตัดสินใจบอกอะไรบางอย่าง
“คือ....อั๊ว...” กิมลั้งยังไม่ทันพูดจบ กิมฮวยชิงพูดเสียก่อน
“ไม่มีอะไรหรอกเต็กไฮ้ อากิมลั้งอีซาบซึ้งน่ะ น้ำตาก็ เลยไหลเป็นธรรมดา”
ทันใดนั้นต๋องโผล่มาในงาน
“เลิกโกหกทุกคนได้แล้วน่ะน้ากิมฮวย” ต๋องโพล่งขึ้น
ทุกคนในงานเห็นต๋องมางานยิ่งตกใจ ต๋องเข้าไปดึงกิมลั้ง กิมฮวยรีบเข้าไปดึงกลับ
“ไอ้ต๋อง ลื้อจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
ต๋องดึงกิมลั้งกลับมาจากกิมฮวย
“ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อชั้นกับกิมลั้งเป็นแฟนกัน” ต๋องโพล่งขึ้นอย่างไม่กลัว
แขกในงานฮือฮา คิตตี้กับชมพู่แทบลมใส่
“ต๋อง..../ พี่ต๋อง....”
จาตุรงค์เข้าไปกระชากคอเสื้อต๋อง
“แต่กิมลั้งเป็นคู่หมั้นชั้น แล้วอีกไม่ช้าเราก็จะแต่งงานกัน”
ต๋องผลักจาตุรงค์ออกจากตัวจนหงายหลังหัวกระแทกจนเลือดไหล
“ไม่มีวันซะล่ะ เพราะวันนี้ชั้นจะมาเอาคนรักของชั้นคืน” ต๋องจูงมือกิมลั้งพากันวิ่งออกจากงานไป เลื่อนมองตามอย่างชอบใจ
“ให้มันได้อย่างงั้นซิพี่ต๋อง”
“ไอดอลจริงๆพี่กู” รักเร่เอ่ยขึ้น พอจาตุรงค์ได้สติรีบวิ่งตามไป

ต๋องพากิมลั้งขึ้นรถซาเล้งที่ตกแต่งราวกับเป็นรถบ่าวสาว แล้วรีบปั่นรถออกไปด้วยความเร็ว รถซาเล้งที่วิ่งออกไปผูกกระป๋องไว้ด้วยเขียนป้ายเลียนแบบ JUST MARRIED ว่า “เดี๋ยวจะแต่ง” จาตุรงค์วิ่งออกมาจากด้านใน ตามด้วยขบวนญาติและแขกเหรื่อที่หน้าตาตื่น
“ไอ้ต๋อง หยุดนะ” จาตุรงค์สั่งต๋อง
ต๋องหันหลังมาทำแลบลิ้นปล้นตาใส่จาตุรงค์แล้วขับรถต่อไม่สนใจ
“ไม่หยุด” ต๋องตะโกนกลับ
จาตุรงค์ทำหน้าเหี้ยมใส่
“แกบังคับให้ชั้นทำแบบนี้เองนะ”
จาตุรงค์ชักปืนออกมาจากกระเป๋าตัวเองแล้วเล็งไปที่ต๋อง กิมลั้งที่นั่งอยู่ในซาเล้งหันมาเห็นจาตุรงค์เล็งปืนมาถึงกับร้องลั่น รีบลุกขึ้นห้ามจาตุรงค์
“อย่า!”
สิ้นเสียงกิมลั้ง เสียงปืนดังขึ้น ต๋องหงายหลังหล่นจากรถ กิมลั้งรีบกระโดดลงจากรถไปประคองร่างต๋องเลือดแดงฉานอยู่กลางอก กิมลั้งร้องลั่นน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจ
“ต๋อง....”

เช้าวันใหม่ กิมลั้งเหงื่อเต็มหน้า ถึงได้รู้ว่าฝันร้ายเพราะความกังวล
“อากิมลั้ง ตื่น” กิมฮวยเขย่าร่างกิมลั้ง โดยมีกิมแชยืนอยู่ข้างๆ
“อากิมลั้ง” กิมลั้งสะดุ้ง ลืมตาขึ้น
“เป็นอะไรของลื้อน่ะอากิมลั้ง ร้องอื้ออ้าอยู่ตั้งนาน อั๊วกับอากิมแชเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
กิมลั้งค่อยตั้งสติ ลุกขึ้นนั่งจึงรู้ว่าเพิ่งฝันไป
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกม้า” กิมลั้งฝันร้าย
“ถ้าไม่มีอะไร งั้นลื้อก็รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทันเวลาหมั้น จะเสียฤกษ์เสียยามหมด” กิมฮวยสั่งกิมลั้งพยักหน้า แล้วค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก เมื่อต้องเผชิญความจริงที่ร้ายกว่าในฝันหลายร้อยหลายพันเท่า

เช้าวันนั้น โรงหนังลุงชวนชมกลายเป็นสถานที่หมั้นหมายของกิมลั้งกับจาตุรงค์ บรรยากาศงานหมั้นคึกคักมีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย เต๊กไฮ้ กับลักษณ์ ยืนหน้าชื่นตาบานรับยืนรับแขกอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งหนึ่งกิมฮวยกับเคี้ยงยืนรับแขกอยู่เช่นกัน
“ความจริงงานหมั้นแค่นี้เราจัดกันที่บ้านเงียบๆก็ได้ ไม่เห็นต้องทำให้มันเอิกเกริกอย่างกับเป็นงานแต่ง” เคี้ยงหันมาพูดกับกิมฮวยอย่างกังวล
“เฮียเคี้ยง ลื้อนี่ไม่รู้อะไรจริงๆ ที่อั๊วจัดงานใหญ่โตก็เพราะอยากจะประกาศให้คนแถวนี้รู้กันทั่วว่าอากิมลั้งกับอาตุรงค์กำลังจะเป็นอะไรกัน ลองมีสักขีพยานขนาดนี้แล้วดูซิว่าไอ้ต๋องมันยังจะกล้าทำตัวเป็นแมวขโมยอีกมั้ย” กิมฮวยเอ่ยกลับ
ครู่หนึ่งเต๊กไฮ้กับลักษณ์เดินเข้ามาหา
“เป็นยังไง เหนื่อยมั้ย อาลักษณ์ อาเต๊กไฮ้” กิมฮวยรีบถามขึ้น
“หน่งเหนื่อยอะไร วันนี้น่ะเป็นวันที่หัวใจอั๊วกระชุ่มกระชวยที่สุดแล้ว” เต๊กไฮ้รีบตอบ
“เอ่อ ว่าแต่หนูกิมลั้งล่ะเจ๊ เมื่อเช้าอั๊วเห็นหน้าอีดูซีดๆเซียวๆ เป็นอะไรรึเปล่า” ลักษณ์ถามด้วยความห่วงใย กิมฮวยชะงักไป แต่รีบทำหน้าระรื่น
“โธ่ อีจะเป็นอะไรล่ะอาลักษณ์ ที่หน้าซีดก็ซีดเพราะตื่นเต้นน่ะซิที่ตัวเองขายออกซักที” กิมฮวยเบี่ยงประเด็น
“ไม่ใช่เพราะคิดถึงอาต๋องเหรอเจ๊” ลักษณ์พูดแทงใจดำ
“เอางี้นะ อั๊วเชื่อว่าผู้ชายดีๆอย่างอาจาตุรงค์จะทำให้ลูกสาวอั๊วลืมคนอย่างไอ้ต๋องได้” กิมฮวยตัดสินใจพูดตรงๆ
“อั๊วเข้าใจ แต่ว่านะ ยังไงๆวันนี้อั๊วก็หวั่นใจตะหงิดๆยังไงไม่รู้” เต๊กไฮ้เอ่ยขึ้น
“เรื่องอะไรเต๊กไฮ้” เคี้ยงเอ่ยขึ้น
“อั๊วกลัวไอ้ต๋องมันมาป่วนงานเราน่ะซิ” เต๊กไฮ้หน้าตากังวล
“ไม่ต้องห่วงหรอก มันจะกล้าโผล่มาให้โดนประชาทัณฑ์ก็เอา” กิมฮวยบอก
ครู่หนึ่งอาแปะคนหนึ่งเดินเข้ามาร่วมงาน กิมฮวยรีบเข้าไปเชื้อเชิญอย่างดี
“เอ้า เชิญค่ะเชิญแปะ เข้าไปข้างในเลย”
อาแปะพยักหน้ายิ้มรับ ทั้งหมดยิ้มต้อนรับอาแปะเป็นอย่างดี พออาแปะเดินเข้างานไป เต๊กไฮ้หันไปถามกิมฮวย
“ญาติลื้อเหรอ หน้าคุ้นๆ” เต๊กไฮ้ถาม
“เปล่า อั๊วก็นึกว่าญาติฝั่งลื้อ” กิมฮวยตอบ
“คงเป็นคนแถวนี้ที่รู้ข่าวน่ะล่ะ ก็ลื้ออยากให้คนมางานเยอะๆไม่ใช่เหรอกิมฮวย”
เคี้ยงเอ่ยขึ้น จนกิมฮวยแอบค้อน อาแปะทำตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับงาน แต่ทที่แท้คือต๋องปลอมตัวมาในงานหมั้นซึ่งแนบเนียนจนไม่มีใครจำได้
พิธีหมั้นเริ่มขึ้นแบบพิธีจีน ตลอดพิธีกิมลั้งหน้าตาไม่สดใส ต้องพยายามฝืนยิ้ม ส่วนกิมแชดูหม่นหมอง ใจลอยทำของร่วงหล่นจากมือเพราะมัวแต่มองจาตุรงค์ที่คอยซับหน้า จับเนื้อจับตัวพี่สาวตน แม้แต่การถ่ายรูป จาตุรงค์ผลักกิมแชให้หลุดเฟรมไปแถมยังเหยียบเท้ากิมแชเพื่อถ่ายรูปคู่หวานแหววของตนกับกิมลั้ง กิมแชเห็นแล้วน้ำตาคลอ เจ็บทั้งใจ เจ็บทั้งเท้า ศักดิ์ชายทำหน้าที่เพื่อนเจ้าบ่าว คอยช่วยเหลือ และลอบมองงานหมั้นด้วยความสะใจที่ทำให้ต๋องพ่ายแพ้ เสร็จสิ้นพิธีการทั้งหมด เด็กคนหนึ่งวิ่งมากระซิบอะไรบางอย่างกับกิมฮวย จากที่หน้ายิ้มอยู่หน้าอารมณ์เสียขึ้นมาทันที

ในห้องแต่งตัวกิมฮวยเข้าไปตำหนิกิมแชที่ไม่ยอมเปลี่ยนชุดขึ้นร้องเพลง
“ลื้อจะมีปัญหาอะไรนักหนา ทำไมถึงจะไม่ยอมร้องเพลงให้แขกฟัง” กิมฮวยพูดกับกิมแชเสียงดัง
“ก็อั๊วบอกม้าแต่แรกแล้วไงว่าไม่อยากร้อง ไม่อยากร้อง” กิมแชเอ่ย
“ไหนว่าชอบร้องเพลงนักหนา ไอ้เวลาที่ควรจะร้องก็ไม่ร้อง แต่เวลาที่ไม่ควรร้องนี่ขยันแหกปาก อย่าเรื่องมากนะอากิมแช” กิมฮวยหยิบชุดกี่เพ้าที่แขวนอยู่ยัดใส่มือกิมแช
“รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปร้องเพลงเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นลื้อมีเรื่องกับอั๊วแน่”
กิมฮวยลากกิมแชยัดเข้าไปในห้องแต่งตัวแล้วรูดม่านปิดอย่างอารมณ์เสีย


จบตอนที่ 4


อ่านต่อตอนที่ 5 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.



กำลังโหลดความคิดเห็น