“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 12
ต๋องกับกิมลั้งยืนคุยกันบนสะพาน ปาก้อนหินลงน้ำอย่างหมดอาลัยตายอยาก แต่จู่ๆกิมลั้งเหมือนกับคิดอะไรบางอย่าง
“ต๋อง...เอางี้ดีมั้ย วันที่เธอกลับบ้าน ชั้นจะหนีไปกับเธอด้วย” กิมลั้งโพล่งขึ้น
“ไม่ได้หรอกกิมลั้ง นั่นมันวิธีของคนขี้แพ้ ชั้นอยากให้เธอสู้ต่อนะ” ต๋องเอ่ย
“เธอบอกให้ชั้นสู้ ขณะที่ตัวเองหนีไปที่อื่นน่ะเหรอ” กิมลั้งย้อน
“ชั้นไม่ได้หนีนะ เพียงแต่ชั้นหมดหน้าที่ที่ต้องทำที่นี่แล้ว จะให้ชั้นอยู่รบกวนครอบครัวพี่เต๋าได้ยังไง เค้าควรจะได้อยู่กันตามประสาพ่อแม่ลูก” ต๋องอธิบาย
“แล้วอนาคตต่อไปของเราสองคนล่ะ เธอคิดว่าเราจะอยู่กันคนละที่อย่างนี้กันไปตลอดเหรอ” กิมลั้งถามอย่างจริงจัง
“ชั้นไม่ได้แค่กลับบ้านไปเฉยๆนะ ชั้นกลับไปเพื่อคิดเพื่อทำอะไรให้พร้อมจะได้กลับมาบอกแม่เธอเต็มปากไงว่าชั้นสามารถดูแลชีวิตเธอได้แน่นอน” ต๋องเอ่ย
“กว่าเธอจะพร้อมในแบบที่แม่ชั้นพอใจ ชั้นก็คงถูกม้าจับแต่งงานไปกับคนอื่นเรียบร้อยแล้ว เอาแค่วันนี้ เดี๋ยวถ้าชั้นกลับบ้านไป ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ช่างมันเถอะ...ในเมื่อเธอหาทางออกให้ชั้นไม่ได้ ชั้นก็จะหาวิธีจัดการในแบบของชั้นเอง” กิมลั้งเอ่ยอย่างจนปัญญา
“ชั้นไม่ได้ทิ้งเธอให้สู้กับปัญหาคนเดียวนะกิมลั้ง เอางี้...เดี๋ยวชั้นจะกลับบ้านไปกับเธอด้วย ถ้าแม่เธอยังยืนยันจะให้แต่งงานกับจาตุรงค์ ชั้นก็จะยืนยันว่าไม่ยอมเหมือนกัน แล้วก็จะประกาศจองตัวเธอไว้ก่อน แบบขอผ่อนทีหลัง โอเคมั้ย” ต๋องจับมือกิมลั้งไว้
“แล้วถ้าม้ายังไม่ยอมล่ะ” กิมลั้งพูดอย่างกล้าๆกลัวๆ
“งั้นชั้นก็จะบอกว่าเธอท้องกับชั้น แล้วเราก็รีบจดทะเบียนสมรสกัน แล้วก็รีบปั๊มๆๆลูกให้ทันกับที่หลอกแม่เธอไว้ดีมั้ย” ต๋องแกล้งพูด
“บ้า...ใครจะทำอย่างนั้น” กิมลั้งหัวเราะออกมา
“แต่หน้าตาเธอมันบอกว่าอยากทำเอามากๆนะ” ต๋องเอ่ย
กิมลั้งอายเลยทุบต๋องหยอกล้อกันอย่างมีความสุข
คืนนั้นที่บ้านกิมฮวย สองตระกูลอยู่กันพร้อมหน้า ทั้งกิมฮวย เคี้ยง เต๊กไฮ้ ลักษณ์ จาตุรงค์
“แหม...เสียดายอากิมลั้งไม่อยู่ด้วย” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เราคุยกันตามประสาผู้ใหญ่กันเองก็ได้ เข้าเรื่องละกันนะ ก็อย่างที่บอกน่ะล่ะว่าอั๊วจะมาคุยเรื่องแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวซักที” เต๊กไฮ้เอ่ยขึ้น
ในขณะที่กิมแชยืนแอบฟังอยู่ข้างบันได
“นั่นซิ...ตั้งแต่งานล่มไม่เป็นท่าคราวก่อน เราก็ปล่อยให้เลยเถิดมานานพอสมควรแล้วนะ ขืนชักช้าไปกว่านี้ อั๊วกลัวว่ามันจะไม่มีโอกาสมีพิธี” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องห่วงจ้ะเจ๊ คราวนี้พวกชั้นคุยกับจาตุรงค์เคลียร์เรียบร้อยแล้วทุกอย่าง รับรองว่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก” ลักษณ์เอ่ย
“แน่ใจกันเหรอว่าจะไม่มีปัญหา” เคี้ยงโพล่งขึ้น
“มันจะมีปัญหาก็เพราะลื้อนี่ล่ะ นั่งเงียบๆน่ะเฮียเคี้ยง งั้นพวกเราจะเอาไงกันต่อดี จัดงานซะวันนี้พรุ่งนี้เลยมั้ย” กิมฮวยหันไปสั่งเคี้ยงแล้วหันมาตกลงกับเต๊กไฮ้กับลักษณ์ต่อ กิมแชได้ยินแล้วเจ็บจนน้ำตาคลอเบ้า
“ใจเย็นๆอากิมฮวย คราวนี้เราต้องดูฤกษ์ยามให้มันชัวร์กว่าคราวก่อน พระศุกร์จะได้ไม่เข้า พระเสาร์จะได้ไม่แทรกอีก” เต๊กไฮ้ว่า
“งั้นเอางี้ดีกว่า...อั๊วว่าทัวร์ดูฤกษ์เก้าวัดเก้าวาเอาให้แน่ใจกันไปเลย” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ดีๆ งั้นชั้นขอเวลาตกฟากของกิมแชด้วยละกันเจ๊” ลักษณ์เอ่ย
“เดี๋ยวๆนี่ลื้อจะดูแบบละเอียดถึงขั้นเช็คเวลาตกฟากของน้องเจ้าสาวด้วยเลยเหรอ” เคี้ยงเริ่มงง
“ไม่ใช่...นี่อั๊วมาขออากิมแช ไม่ได้มาขออากิมลั้ง” เต๊กไฮ้เอ่ย
กิมแชที่แอบฟังอยู่ถึงกับตกบันไดกลิ้งลงมาที่พื้น พอจาตุรงค์เห็นรีบวิ่งไปดูด้วยความห่วงใย
“กิมแช”
จาตุรงค์จับตัวกิมแชด้วยความห่วงใย
“โถๆ เป็นยังไงบ้าง เพี้ยง...ไม่เจ็บนะจ๊ะคนดี”
จาตุรงค์เป่าเนื้อตัวให้กิมแช พวกผู้ใหญ่เห็นความหวานแหววแล้วยิ้มแอบเขินไปตามๆกัน
เวลาต่อจากนั้น จาตุรงค์คุยกับกิมแชอยู่ที่ม้านั่งสนามหน้าบ้าน กิมแชยังดูเขินๆตื่นๆอยู่เลย
“ไม่คิดเลยนะว่าพี่รงค์จะบุ่มบ่ามมาขอกิมแชเร็วขนาดนี้ แน่ใจนะจ๊ะว่าคิดดีแล้ว” กิมแชเอ่ย
“พูดเหมือนกิมแชไม่มั่นใจในตัวพี่อย่างงั้นล่ะ” จาตุรงค์เอ่ย
“มั่นใจซิจ๊ะมั่นใจ เพียงแต่กิมแชยังตกใจว่านี่มันเรื่องจริงจริงๆเหรอเนี่ย” กิมแชเอ่ย
“ทำไมกิมแชชอบคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่จริงตลอดเวลานะถ้ากิมแชไม่ดี ไม่มีค่าจริงๆ กิมแชจะทำให้พี่จะรักได้ขนาดนี้เหรอ” จาตุรงค์เอ่ย
“คงเป็นเพราะกิมแชผิดหวังมาตลอดน่ะจ้ะ เลยไม่คิดว่าจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นกับตัวเอง” กิมแชบอก
“ถ้างั้นก็ต้องหัดคิดอะไรใหม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้ชีวิตกิมแชจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้วพี่สัญญา” จาตุรงค์เอ่ย
“ว่าแต่พี่รงค์ไม่โกรธป๊ากับม้าใช่มั้ยจ๊ะที่ให้เราหมั้นกันไปก่อน” กิมแชเอ่ย
“พี่รอได้อยู่แล้ว ขอแค่ให้ผู้ใหญ่รับรู้ว่าเรารู้สึกยังไงกัน จะได้คบหากันจริงจัง ที่สำคัญ...ต่อไปพี่จะได้มากินข้าวฝีมือกิมแชที่นี่ทุกวันแบบไม่ตะขิดตะขวงใจ” จาตุรงค์เอ่ย
“ที่แท้ก็ห่วงเรื่องกิน” กิมแชย้อนจาตุรงค์อย่างอายๆ
พ่อแม่ทั้งสองครอบครัวมองทั้งคู่อย่างมีความสุข
“ในที่สุดครอบครัวเราก็ได้เป็นทองแผ่นเดียวกันซักทีนะ เต็กไฮ้ อาลักษณ์” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ไม่มีความสุขไหนจะเท่าคนที่รักกันแล้วได้ลงเอยใช้ชีวิตร่วมกันอีกแล้วล่ะ” เคี้ยงเอ่ย
“แล้วลื้อหมายถึงใครที่ไม่ได้ลงเอยกัน” กืมฮวยพูดพลางเหล่ตามองเคี้ยง
“อั๊วก็พูดขึ้นมาลอยไปอย่างงั้น” เคี้ยงพูดลอยๆแต่แอบดีใจที่กิมฮวยไม่บังคับจิตใจกิมลั้งให้แต่งงานกับจาตุรงค์แบบคลุมถุงชน
ครู่หนึ่งหลังคุยธุระเสร็จสิ้น รถบ้านเต็กไฮ้ค่อยๆเคลื่อนออกไป กิมฮวย กิมแช และเคี้ยง โบกมืร่ำลากันอย่างหน้าชื่นตาบาน แต่จู่ๆกิมฮวยกลับมาทำหน้ายักษ์ใส่กิมลั้งกับต๋องที่โผล่มาพอดิบพอดี
“เอ้า...เต็กไฮ้กลับแล้วเหรอ” กิมลั้งถามขึ้น
“ใครมันจะไปนั่งรอลื้อกลับมา แล้วตกลงลื้อหายหัวไปไหน อย่าบอกน้ำว่าตามไปป้อนข้าวป้อนน้ำยายที่เป็นลมเมื่อกลางวัน” กิมฮวยบ่นกิมลั้ง
“เปล่า...อั๊วไปกินข้าวต้มกับพวกที่ตลาดเลี้ยงส่งต๋องมา” กิมลั้งตอบ
“เอ้า...ต๋อง ลื้อจะไปไหนเหรอ” เคี้ยงถามขึ้น
“อีกวันสองวันชั้นจะกลับบ้านนอกแล้วนะจ้ะ คลอดไอ้ตัวเล็กแล้วพี่ติ๋มเค้าจะกลับมาขายผักเอง” ต๋องตอบ พาลทำกิมลั้งหน้าเศร้าไปด้วย
“โอ้...เป็นข่าวดีที่สุดในรอบปีสำหรับอั๊วเลยนะเนี่ย” กิมฮวยโพล่งขึ้น
“ม้าอ่ะ...ใจร้าย” กิมแชเอ่ยกับกิมฮวยเบาๆ
“ใจร้ายยังไง อั๊วดีใจต่างหากที่อาต๋องอีจะได้กลับบ้านไปดูแลพ่อแม่อีซักที พวกลื้อไม่ดีใจกับอีด้วยเหรอ” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“เอ่อ...แล้วที่เต็กไฮ้มาคุย เป็นยังไงบ้างล่ะม้า” กิมลั้งถามขึ้น
“จะเป็นยังไง ก็เจรจากันลงตัวแฮปปี้เอนดิ้งทั้งสองฝ่าย” กิมฮวยตอบหน้าตาเฉย
“แฮปปี้เอนดิ้งเหรอ ทำไมม้าไม่ถามซักคำว่าอั๊วจะแฮปปี้ด้วยมั้ย จะตกลงอะไรกันทำไมไม่ถามอั๊วก่อน” กิมลั้งยังไม่รู้เรื่อง รีบโวยวายเพราะเข้าใจว่าจาตุรงค์มาขอตัวเองแต่งงาน
“ช่วยไม่ได้ ลื้อไม่โผล่หัวมาให้ปรึกษาเอง อั๊วตัดสินใจไปแล้ว แล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้นด้วย” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ถ้าม้ายืนยันอย่างงั้น อั๊วก็จะยืนยันว่าไม่เหมือนกัน ใช่มั้ยต๋อง” กิมลั้งหันไปมองต๋อง
“เอ่อ...ใช่กิมลั้งใช่” ต๋องเอ่ย
“อากิมลั้ง...ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้วล่ะว่าลื้อจะบอกว่าใช่หรือไม่ เพราะอากิมแชอีบอกว่าใช่ไปแล้ว” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“กิมแชจะบอกว่าใช่หรือไม่ใช่แล้วมันเกี่ยวอะไร ในเมื่อทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับอั๊วว่าตกลงด้วยมั้ย” กิมลั้งยังเถียงต่อ
“แต่คราวนี้มันขึ้นอยู่กับอั๊วว่าจะตกลงยังไงน่ะเจ้” กิมแชเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
กิมลั้งมองกิมแชด้วยความผิดหวัง แล้วเข้าไปเขย่าร่างกิมแชด้วยความโมโหจนทุกคนตกใจ
“ลื้อพูดกับอั๊วอย่างนี้ได้ยังไงกิมแช ในเมื่อลื้อก็รู้มาตลอดว่าอั๊วรู้สึกยังไง แล้วลื้อไปตอบตกลงแทนอั๊วได้ยังไงฮะ” กิมลั้งตะโกนใส่หน้ากิมแชด้วยความโกรธ
“จะไม่ให้อั๊วตอบตกลงได้ยังไง ในเมื่ออั๊วรักพี่รงค์” กิมแชตอบกลับเสียงดังกว่า
“อะไรนะ!” กิมลั้งงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“จาตุรงค์เค้ามาขอกิมแชกับป๊าม้า สองคนเค้ารักกัน” เคี้ยงเอ่ยขึ้น
กิมลั้งยิ้มออกมาอย่างดีใจ รีบหันไปหาต๋องจะโผกอด แต่นึกขึ้นได้ว่ากิมฮวยยืนอยู่จึงเลี้ยวไปกอดกิมแชแทน
“อั๊วดีใจกับลื้อด้วยนะกิมแช ดีใจที่สุดเลย” กิมลั้งเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
ต๋องดีใจไม่ต่างกัน เพราะไม่ต้องเห็นกิมลั้งโดนบังคับฝืนใจให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก
คืนนั้น กิมลั้งเดินเริงร่าฮัมเพลงเข้าบ้านมาอย่างมีความสุข ครู่หนึ่งกิมฮวย เคี้ยง กิมลั้งเดินเข้าบ้านตามกันมา ในจังหวะกล้าๆกลัวๆ กิมลั้งตัดสินใจพูดอะไรขึ้นมา
“ป๊า... ม้า...” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
เคี้ยงกับกิมฮวยชะงักหันหลังกลับมาตามเสียงเรียก
“ว่าไงกิมลั้ง” เคี้ยงถามขึ้น
“คือ...อั๊วจะขอไปส่งต๋องที่บ้านนอกน่ะ” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
กิมฮวยแทรกขึ้นทันที
“จะบ้าเหรอ ลื้อเป็นสาวเป็นนางจะไปต่างจังหวัดกับผู้ชายได้ยังไง” กิมฮวยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่อั๊วไม่ได้ไปคนเดียวนี่ม้า ชมพู่คิตตี้ก็ไปด้วย” กิมลั้งอธิบาย
“เอ้า...ถ้าไปกันหลายคนก็ไม่น่าเกลียดนี่ ถ้างั้นลื้ออยากไปก็ไป” เคี้ยงเอ่ยขึ้น
“เฮียเคี้ยง” กิมฮวยค้อนใส่เคี้ยง
“ลื้อไปอาบน้ำอาบท่าไป ตกลงว่าไม่มีปัญหา” เคี้ยงหันไปพูดกับกิมลั้ง
“ขอบคุณจ้ะป๊า” กิมลั้งหน้าตาระรื่นขึ้นทันที
กิมลั้งรีบขึ้นบ้านไป ปล่อยให้เคี้ยงโดนกิมฮวยตีไปหลายครั้ง
“ทำไมลื้อทำอย่างนี้เฮีย ลื้อปล่อยเนื้อไปไว้กับเสือได้ยังไง” กิมฮวยไม่พอใจ
“กิมฮวย ลื้อต้องหัดไว้ใจลูกบ้างนะ ถึงกิมลั้งจะรักต๋องยังไงแต่มันก็คงไม่มากไปกว่าที่อีรักศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงของตัวเอง อั๊วว่าอั๊วเลี้ยงลูกมาดีพอนะ” เคี้ยงอธิบาย
“แต่จะยังไงก็เถอะ อีก็ไม่ควรจะไปกับไอ้ต๋องอยู่ดี” กิมฮวยยังไม่ยอมง่ายๆ
“กิมฮวย นี่ลูกมาบอกกล่าวอั๊วกับลื้อดีๆแล้วนะ หรือลื้อจะให้อีแอบหนีตามต๋องไปเหมือนอย่างที่ลื้อเคยแอบหนีตามอั๊วล่ะ” เคี้ยงเอ่ยขึ้น
“ลื้อจะพูดเสียงดังทำไม เดี๋ยวลูกมันก็ได้ยินพอดี” กิมฮวยสะดุ้ง
“ที่ลื้อห้ามลูกไม่ให้ทำนู้นนี่ก็เพราะกลัวว่าอีจะเป็นอย่างลื้อใช่มั้ย” เคี้ยงเอ่ยขึ้น
“แต่ไอ้ต๋องกับลื้อไม่เหมือนกันเข้าใจมั้ย ลื้อเป็นคนดี” กิมฮวยเอ่ยต่อ
“แล้วอาต๋องไม่ดีตรงไหน ใครๆก็รักอีทั้งนั้น ถ้าอีจะทำมิดีมิร้ายกับอากิมลั้งจริงๆอีทำไปนานแล้ว ไม่ต้องรอให้กลับบ้านนอกหรอก” เคี้ยงย้อนถามกลับ
“โธ่เว้ย”
กิมฮวยฮึดฮัดแต่ขัดไม่ได้และจำนนต่อหลักฐานที่เคี้ยงพูด
เช้าวันใหม่ ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ ชาวตลาดต่างพากันกอดลาต๋อง เสียงร่ำลาระงมเซ็งแซ่ กิมลั้ง ชมพู่ และคิตตี้ ถือกระเป๋าเดินทาง เตรียมพร้อมไปกับต๋องด้วย
“ไม่ต้องห่วงนะ รับรองว่าพี่จะขายผักไม่ให้ยอดตกไปกว่าต๋องแน่นอน ขอบใจต๋องมากนะที่อุตส่าห์มาช่วยขายของให้” ติ๋มเดินเข้ามาหาต๋องแล้วพูดอย่างอารมณ์ดี
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ถือซะว่าชั้นทำให้หลานน่ะ ไม่ใช่ให้พ่อของหลานนะ” ต๋องแกล้งเอ่ย แล้วเหล่มองเต๋า
“เอ็งนี่ไม่โดนข้าด่าคงเป็นไข้นะ บอกพ่อกับแม่ด้วยล่ะกันว่าข้าคิดถึง” เต๋าเอ่ยขึ้น
“จะไม่ขอบคุณชั้นเหมือนพี่ติ๋มบ้างเหรอพี่” ต๋องแซวพี่ชาย
“เรื่องอะไรข้าต้องขอบคุณ แล้วดูคลิปในมือถือที่ข้าเพิ่งส่งไปให้ด้วยละกัน” เต๋าเอ่ยขึ้น
“โห...อย่าบอกนะว่าพี่ทำอะไรซึ้งๆให้ชั้นเลียนแบบโฆษณา” ต๋องเอ่ยขึ้น
“ใครบอก ข้าส่งรูปหลานฝากไปให้ปู่กับย่าดูต่างหากเว้ย” เต๋ารีบแจง
“โธ่ ก็นึกว่าจะซึ้ง” ต๋องแกล้งผิดหวัง
ทันใดนั้นจะเด็ดเดินมาหาต๋องพร้อมเอาพระที่คล้องคออยู่ใส่ให้ ต๋องรีบไหว้ขอบคุณ
“เก็บไว้คุ้มครองคุ้มภัยนะไอ้ต๋อง ต่อไปนี้ข้าคงเหงาปากเหงาหูไปอีกนาน” จะเด็ดเอ่ยขึ้น
“มือถือก็มีน้า กลัวอะไร โทรมารับฝีปากกับชั้นได้ทุกวัน” ต๋องพูดติดตลก
ครู่หนึ่งต่อจากนั้นสดศรีกับณดาเดินเข้ามา
“คุณนาย...” ต๋องเอ่ยขึ้น
“เดินทางปลอดภัยนะต๋อง ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างที่ทำให้ทุกคนที่นี่ ขอบคุณที่ทำให้ชั้นมีกำลังใจขึ้นมา เพราะรู้ว่ายังมีคนที่ดีมากๆอย่างเธออยู่บนโลก” สดศรีเอ่ยชื่นชมต๋องจากใจ
“ขอบคุณครับคุณนาย” ต๋องเอ่ยขอบคุณสดศรีในคำชม
“ยังไงก็แวะกลับมาเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าแถวนี้บ้างนะคะ” ณดาเอ่ยอย่างจริงใจ
“ครับคุณณดา งั้นชั้นลาทุกคนนะจ๊ะ” ต๋องตอบณดาแล้วกันไปบอกกับชาวตลาดทุกคน
ต๋องกำลังจะไป อาโกวิ่งหน้าตั้งมาพร้อมกระติกน้ำใบใหญ่ในมือ
“เดี๋ยวอาต๋อง...” อาโกรีบตะโกน
“อะไรน่ะโก” ต๋องเอ่ยถามเมื่ออาโกยื่นกระติกน้ำให้
“โอเลี้ยงยกล้อของโปรดลื้อไง อั๊วทำให้ลื้อไปกินระหว่างทางนะ” อาโกรีบบอก
“เท่าไหร่โก” ต๋องพูดพลางจะยิบเงินจากกระเป๋ามาจ่าย
“จะเท่าไหร่มันก็ไม่เพียงพอกับน้ำใจที่ลื้อมีให้อั๊วให้ทุกคนที่นี่หรอก ขอให้อั๊วทำอะไรให้ลื้อบ้างละกันนะ” อาโกพูดจบโผเข้ากอดต๋องด้วยความรัก
“ขอบคุณมากๆโก ชั้นต้องไปจริงๆแล้วนะ” ต๋องตอบด้วยเสียงเครือ น้ำตาคลอเบ้า
“บ๊ายบายต๋อง...” ชาวตลาดสั่งลาต๋องด้วยบรรยากาศโศกเศร้า
“เดี๋ยวต๋อง...อย่าเพิ่งไป” กิมฮวยโพล่งมาแต่ไกล
ต๋องและชาวตลาดชะงัก ที่เห็นกิมฮวยในชุดเสื้อแดงลากกระเป๋าเดินทางมาด้วย
“จะไปบ้านเอเอฟเหรอน้ากิมฮวย” ต๋องถามขึ้น
“ใครบอก...อั๊วจะไปส่งลื้อที่บ้านนอกด้วยต่างหาก” กิมฮวยตอบ
“ม้า...อั้วว่าอย่าดีกว่านะ” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“ทำไมล่ะ อั๊วน่ะทำตัวไม่น่ารักกับอาต๋องมามาก อั๊วก็อยากทำดี ชดเชยบาป คนดีมากๆอย่างลื้อคงไม่ขัดข้องใช่มั้ยอาต๋อง” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“เอ่อ..จ้ะ” ต๋องพูดแล้วทำตาปริบๆ เพราะไม่กล้าปฏิเสธ
“แต่ที่ที่จะไปน่ะมันลำบากนะม้า” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“ไม่มีอะไรลำบากเกินใจคนอย่างกิมฮวยหรอก ไป...” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
พร้อมเดินนำขบวนด้วยอาการเริงร่า และหน้าตาเจ้าเล่ห์ เพราะตั้งใจขัดขวางต๋องกับกิมลั้งไม่ให้ใกล้ชิดกัน
บายวันนั้น ต๋อง กิมลั้ง กิมฮวย ชมพู่ และคิตตี้ นั่งสองแถวมาบนถนนสายต่างจังหวัด เพื่อมาสมุทรสงคราม กิมฮวยดูเหนื่อยล้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เฮ้อ...ถึงซักที ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ยังไม่ถึงจ้ะน้ากิมฮวย ต้องโบกรถอีกต่อ” ต๋องว่า
“ฮะ อั๊วว่าอั๊วไปมหาสารคามยังไม่ลำบากเท่ามาสมุทรสงครามบ้านลื้อเลยนะ ขึ้นรถทัวร์ต่อสามล้อไปขึ้นสองแถว แล้วยังต้องมาโบกรถอีก” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ก็อั๊วบอกม้าแต่แรกแล้วไงว่ามันลำบาก” กิมลั้งย้ำ
“แต่ถ้าเจ๊จะเปลี่ยนใจขึ้นสองแถวไปต่อสามล้อขึ้นรถทัวร์กลับกรุงเทพตอนนี้ยังทันนะ” ชมพู่เอ่ย
“แต่ชั้นไม่กลับด้วยนะ พวกเราน่ะรักการผจญภัย ใจกล้า ท้าโลกกันอยู่แล้ว” คิตตี้บอก
“อั๊วก็ซ่าส์ท้าจักรวาลเหมือนกันเว้ย ที่ผ่านมาสบายมาเยอะแล้ว ดีเหมือนกัน จะได้สัมผัสชีวิตสามัญชนดูบ้าง” กิมฮวยไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“งั้นมาช่วยกันโบกรถเถอะ ถ้าเจอรถคนที่หมู่บ้านชั้นก็ง่ายหน่อย แต่รายอื่นก็ต้องลุ้นเอา” ต๋องกล่าว
“เอางี้ดีกว่า คิตตี้กับชมพู่จะช่วยให้อะไรๆง่ายขึ้น” คิตตี้เอ่ยขึ้น
ชมพู่กับคิตตี้มองหน้ากันอย่างรู้งาน แล้วจัดการไปยืนกลางถนนพร้อมถลกขาอ่อนโชว์ปรากฏว่ารถคันหนึ่งกำลังจะมา ทุกคนลุ้นว่ารถจะจอดหรือไม่ รถคันดังกล่าวบีบแตรดังลั่นใส่ทั้งคู่แล้วแถมจะขับรถพุ่งใส่จนทั้งคู่หลบแทบไม่ทัน
“อ๊าย” ชมพู่กับคิตตี้ร้องกรี๊ด
“ชั้นว่าสงสัยต้องอาศัยบารมีคนสวยอย่างกิมลั้งแล้วล่ะ” ต๋องเอ่ยขึ้น
“ต้องทำไงอ่ะ” กิมลั้งหันไปถามต๋องอย่างงงๆ แล้วทำท่าจะถลกขาแบบเดียวกับชมพู่และคิตตี้
“เฮ้ย ไม่ต้องกิมลั้ง เป็นอย่างที่เธอเป็นน่ะล่ะ” ต๋องบอก
กิมลั้งโบกมือเรียกรถที่กำลังจะมา แต่รถยังไม่จอด
“เอ้า” กิมลั้งอุทาน กิมฮวยไม่รอช้าเดินมากลางถนนแล้วผลักกิมลั้งออก
“มาๆ อั๊วเอง ต้องให้ถึงมืออั๊วจนได้”
กิมฮวยย่อตัวลงแล้วทำท่ายกมือขึ้นสูงแล้วกวักเฉพาะข้อมือ ทุกคนพากันหัวเราะ
“ทำอะไรของเจ๊น่ะ แบบนี้รถได้ขับหนีหมด” คิตตี้หัวเราะ
“ลื้อมันซี้ซั๊วต่า ไม่เคยเห็นแมวกวักรึไง เวลาตั้งไว้ที่แผงในตลาดยังเรียกลูกค้าได้ ถ้าทำท่าอย่างมันก็ต้องเรียกรถได้เหมือนกัน” กิมฮวยอธิบาย
สิ้นเสียงกิมฮวยได้ไม่เท่าไหร่ ปรากฏว่ามีรถกระบะคันหนึ่งหยุดจอด ชายรุ่นเดียวกับกิมฮวย สวมเสื้อสีแดงคล้ายกันมองเป็นตาเดียว
“ไปไหนจ๊ะน้องสาว” คนขับถามกิมฮวย
กิมฮวยหันไปยักไหล่ใส่ต๋อง คิตตี้ ชมพู่ และกิมลั้ง อย่างเยาะเย้ยที่ตนเองทำให้รถหยุดได้สำเร็จ
ต่อจากนั้นไม่นาน รถกระบะคันวิ่งซิ่งควันโขมงมาแต่ไกล แล้วรถจอดต๋องกับคณะที่นั่งอยู่หลังรถกระโดดลงจากรถพร้อมโบกไม้โบกมือขอบคุณ กิมลั้ง ชมพู่ คิตตี้ เอาเสื้อที่คลุมหัวเมื่อตอนอยู่บนรถออก
“ชิ พวกลื้อเอาผ้าคลุมหัวกันทำไม ไหนว่ากล้าท้าโลก” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“โธ่...” ชมพู่จะเถียงแต่อ้าปากค้าง
ทุกคนหันมาหัวเราะกิมฮวยที่ผมตั้งเพราะลู่ลมตั้งโด่เด่
“ขำอะไร” กิมฮวยถามขึ้น
“ก็ถ้าชั้นไม่คลุมผม สภาพก็จะเป็นอย่างเจ๊นี่ไง” ชมพู่เอ่ย
“เป็นยังไง” กิมฮวยยังไม่เข้าใจ
กิมลั้งหยิบกระจกในกระเป๋ามายื่นให้กิมฮวยส่อง
“อ๊าย ทำไมอั๊วเป็นอย่างงี้” กิมฮวยโวยวาย
“นั่งรถลมตีก็เป็นธรรมดาน่ะน้า” ต๋องรีบตอบ
ทันใดนั้นกล้า ผู้เป็นพ่อต๋องเห็นลูกชายกลับมาพอดี
“ไอ้ต๋อง วู้ว”
ต๋องหันไปเห็นพ่อกับแม่ที่เดินมาหาด้วยความดีใจ
“พ่อจ๋า แม่จ๋า” ต๋องไหว้พ่อกับแม่ด้วยความดีใจ แก้วรีบโผเข้ากอดหอมลูกชายด้วยความเอ็นดู
“โถ คิดถึงเหลือเกิน เต๋าลูกแม่” แก้วทักผิดีอกตามเคย
“ต๋องแม่ เรียกชั้นเป็นพี่เต๋าอีกแล้ว” ต๋องถึงกับเสียอารมณ์
“เออ ต๋อง เอ็งก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้ข้าความจำสั้น แต่รักชั้นยาวนะ” แก้วเล่นมุขกับลูกชาย
ชมพู่ คิตตี้ กิมลั้ง ต่างพากันหัวเราะเอ็นดูแก้ว
“ทุกคน นี่พ่อแม่ชั้นจ้ะ ตากล้ากับยายแก้ว” ต๋องแนะนำ ทั้งหมดยกมือไหว้
“พ่อจ๋าแม่จ๋า นี่น้ากิมฮวย” ต๋องแนะนำ
“อ๋อ...กิมฮวย เมียเอ็งที่เคยเล่าให้ฟังน่ะเหรอ” กล้าตอบเสียงสูงอย่างมั่นใจ
“ใครบอกเมียชั้น แม่เมียชั้นต่างหาก” ต๋องหน้าเสีย กิมอวยฟังแล้วตกใจหนักกว่าเดิม
“เอ้ย น้ากิมฮวยน่ะแม่แฟนจ้ะ แฟนชั้นกิมลั้งนี่ แล้วนี่ก็ชมพู่เป็นช่างอยู่ร้านเสริมสวย” ต๋องอธิบาย
“แม่คุณ. ช่างสวยเสริมร้าน” กล้าทวนคำ
“พ่ออ่ะ ตาถึง” ชมพู่เขิน
“ข้าน่ะตากล้า ไม่ใช่ตาถึงอีหนู” กล้าเอ่ย
“นี่ก็คิตตี้ ขายดอกไม้อยู่ในตลาด” ต๋องแนะนำคิตตี้
“แหมๆ ไอ้หนุ่มนี้หล่อเหมือนนักร้องเกาหลีเลยเว้ยเฮ้ย” แก้วเอ่ยชมคิตตี้
“จริงเหรอฮะแม่” คิตตี้แกล้งทำเสียงแมน แล้วเผลอเต้นเกาหลีโชว์ไปอีกหนึ่งชุด
“อ๊าย” แก้วกรี๊ดเสียงดังชอบใจ
เสียงร้องของแก้วทำให้คิตตี้เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรไป
“อ๊าย แม่ หนูไม่ใช่ผู้ชาย หนูเป็นผู้ฉิง” คิตตี้รีบรายงานตัว
“คุณพระช่วย” แก้วกับกล้าตกใจ
“เป็นแต๋วจัดระยะสุดท้ายแบบนี้ จะพระจะผีก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะจ้ะ” ต๋องเอ่ยขึ้น
“ไปๆ งั้นขึ้นบ้านไปกินน้ำท่ากันก่อน” แก้วรีบชวน
“อั๊วรอคำนี้มาตั้งนานแล้ว ไปกันซักทีเถอะ อั๊วไม่อยากเป็นเนื้อแดดเดียวอยู่แถวนี้” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
ทันใดนั้นต๋องหันไปเห็นสีดา ควายประจำบ้านจึงรีบเรียกด้วยความคิดถึง
“เอ้า สีดา สีดา มานี่เร็ว”
สีดาได้ยินต๋องรีบวิ่งมาทันทีด้วยความดีใจ กิมฮวยห็นควายยิ่งตกใจ
“ไอ้หยา ควาย”
กิมฮวยก้มลงมองเสื้อสีแดงของตัวเองแล้วยิ่งกลัว
“อย่ามาทางนี้ อย่ามา” กิมฮวยตะโกนบอกสีดา
กิมฮวยปาก้อนดินใส่สีดา จนควายโมโหวิ่งตรงดิ่งไปหาทำท่าจะขวิด คราวนี้ทั้งชมพู่ คิตตี้ และกิมลั้งพากันวิ่งแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง
กิมฮวยวิ่งหนีสีดา โดยมีพรรคพวกวิ่งตามก้นสีดาอีกทางหนึ่ง ยิ่งวิ่งเป๋ไปมายิ่งทำสีดาโมโหวิ่งตามเข้าไปใกล้อีก โดยมีชาวคณะวิ่งตามควายอีก
“อย่าวิ่งน้ากิมฮวย” ต๋องตะโกนบอก
“ลื้อจะให้อั๊วหยุดให้มันฆ่าหรือยังไงฮะ” กิมฮวยบอก
กิมฮวยเสียหลักหกล้ม และในจังหวะที่ควายจะพุ่งเข้าใส่กิมฮวย ต๋องกระโจนเข้าใส่ร่างกิมฮวยแล้วพากันหมุนไปหลายตลบจนมาหยุดค้างที่มุมหนึ่ง ปากต๋องประกบปากกิมฮวย จนทุกคนพากันอึ้งแม้แต่ควายยังต้องเมินหน้า ต๋องถอนปากตัวเองจากกิมฮวยอย่างช้าๆ ต่างคนต่างอึ้งกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
ต๋องจินตนาการว่าภาพตรงหน้าเป็นกิมลั้ง จ้องอย่างหลงรัก ต๋องทำท่าจะก้มไปหากิมฮวยราวกับเหมือนต้องมนต์ กิมฮวยนิ่งงัน แล้วจู่ๆต๋องได้สติขึ้นมา
“เฮ้ย” ต๋องตกใจ
ต๋องกับกิมฮวยรีบผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00น.
“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 12 (ต่อ)
เวลาต่อจากนั้น กิมฮวยนั่งบ่นเรื่องควายอยู่นอกระเบียงบ้านของต๋อง
“อั๊วไม่น่าใส่เสื้อแดงมาเลย อยู่ๆก็เป็นเป้าให้ควายไล่ขวิดซะงั้น” กิมฮวยบ่น
“สีเสื้อมันไม่เกี่ยวหรอกเจ๊ จะสีไหนถ้ามันจะขวิดมันก็ขวิดเพราะควายมันตาบอดสี” กล้าเอ่ย
“ถ้าไม่เกี่ยวกับสีแดง แล้วมันทำไมควายมันไล่อั๊วอยู่คนเดียว” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ก็น้าเอาดินไปปามัน มันก็คิดว่าเป็นศัตรูน่ะซิ แล้วยิ่งน้าวิ่งหนีไปมามันก็ยิ่งหงุดหงิดคิดว่าล่อเป้าก็เลยพุ่งเข้าใส่ใหญ่” ต๋องเอ่ย
“ถ้าเจอมันอีก เจ๊ก็แค่อยู่เฉยๆที่จริงควายมันฉลาดนะเจ๊ คุยกับมันดีๆ มันก็รู้เรื่องแล้ว” กล้าว่า
“อั๊วไม่ใช่ควายจะคุยกับมันรู้เรื่องได้ยังไง ไม่เหมือนพวกลื้อนี่” กิมฮวยเอ่ย
ต๋องกับกล้าสะดุ้งมองหน้ากัน ครู่หนึ่งแก้วแบกขันน้ำมาแต่ไกล
“น้ำฝนต้มใบเตยหอมชื่นใจมาแล้วจ้ะ” แก้วตะโกนมาแต่ไกล
“ขอบคุณจ้ะแม่” คิตตี้กับชมพู่รีบเอ่ย แล้วหยิบมาซดอย่างลืมตัวด้วยความกระหาย
“อุ๊ย โทษทีจ้ะเจ๊กิมฮวย ลืมไปเลยว่าต้องให้ผู้ใหญ่ก่อน” ชมพู่ลืมตัว รีบส่งขันให้กิมฮวย
“อาแก้ว ลื้อก็ชื่อแก้วนะ ไม่มีแก้วใส่น้ำซักใบเหรอ อั๊วไม่อยากกินน้ำร่วมสาบานกันแบบนี้” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“แก้วน่ะเคยมีเจ๊ แต่พวกชั้นซุ่มซ่ามทำแตกประจำ เจ๊จะกินกับกะโหลกมะพร้าวได้มั้ยล่ะ เมื่อกี้ว่าจะหยิบมาแล้วแต่ไม่กล้า เดี๋ยวจะมาหาว่า ชั้นตักน้ำใส่โหลกมาให้เจ๊ชะโงกดูเงา” แก้วรีบว่า
ชมพู่กับคิตตี้ฟังแล้วอดหัวเราะไม่ได้ กิมฮวยตวัดสายตาค้อนไปที่สองคน
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะแม่ ม้าเค้ากินแบบนี้ได้” กิมลั้งเอ่ยขึ้น แล้วกินน้ำจากในขันโชว์กิมฮวย
“อืม ชื่นใจจริงๆด้วย กินกับขันแบบนี้ได้อารมณ์ดีออกม้า” กิมลั้งว่า
“อารมณ์อะไรของ...” กิมฮวยกำลังจะอ้าปากพูด กิมลั้งรีบป้อนน้ำจากขันใส่ปากกิมฮวยเพื่อไม่ให้พูดอะไร พอกิมฮวยดื่มเสร็จกิมลั้งเอาขันออก
“หอมชื่นใจใช่มั้ยจ๊ะม้า” กิมลั้งพูดเองเออเอง ไม่เว้นช่องไฟใฟ้กิมฮวย
“ไม่เห็น...” กิมฮวยจะอ้าปากพูด
กิมลั้งเห็นท่ากิมฮวยพูดไม่ดีจึงรีบป้อนน้ำกิมฮวยอีก
“กินเยอะๆจ้ะม้า กลับกรุงเทพคงไม่ได้กินอะไรแบบนี้”
บ่ายนั้น ที่สวนริมคันนา ต๋องเดินมองซ้ายขวาคล้ายมองหาอะไรบางอย่าง เมื่อไม่เจอจึงตัดสินใจเป่าปากเรียก
“ชั้นมาแล้ว” แกละตะโกนเสียงดัง
ต๋องมองซ้ายมองขวาหาต้นเสียงไม่เจอ แต่พอหันมาอีกทางหลบไม่ทันแล้วเพราะแกละกำลังโหนเถาวัลย์พุ่งมา แถมถีบเข้าให้ที่ยอดอกจนต๋องล้มลง
“ไอ้แกละ” ต๋องเรียกด้วยความตกใจในความแสบของแกละ
ต๋องรีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไล่แกละที่หลบซ้ายหลบขวา ในที่สุดต๋องตัดสินใจเอื้อมไปคว้าผมแกละ ไว้ได้
“โอ๊ยๆ ยอมแล้ว ถือว่าชั้นถีบพี่ พี่ดึงหัวชั้นหายกัน โอเคป่ะ” แกละว่า
ต๋องยอมปล่อย แกละจะวิ่งหนี ต๋องคว้ากางเกงจนรั้งเห็นบั้นท้ายแกละที่ไม่ใส่กางเกงใน
“ถ้าเอ็งยังเจ้าเล่ห์อีก ข้าจะถลกกางเกงโชว์จุ๊ดจู๋ที่มีอยู่จุ๋มจิ๋มของเอ็งให้ผีสางนางไม้ดู” ต๋องขู่
“ก็ได้ๆ” แกละรับปาก
“ว่าไง จ็อบที่เอ็งสัญญาว่าจะทำระหว่างที่ข้าไม่อยู่” ต๋องพูดแล้วดึงตัวแกละมาใกล้ๆ
“โธ่...ชั้นพกไว้กับตัวตลอดล่ะ” แกละรีบบอก
แกละหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากย่ามที่สะพาย ต๋องคว้ามา แกละรีบดึงมือหลบ
“แล้วค่าจ้างที่พี่สัญญาจะให้ชั้นล่ะ” แกละรีบทวง
“มันก็ต้องดูที่ผลงานก่อนซิวะ” ต๋องว่า
ระหว่างนั้นกิมลั้งเดินเข้ามาพอดี
“คุยด้วยคนได้มั้ยเอ่ย” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“เอ้า กิมลั้ง มาซิ มาคุยกัน นี่ไอ้แกละตัวแสบที่ชั้นเคยเล่าให้ฟังไง” ต๋องว่า
“ฮะ นี่พี่กิมลั้งแฟนพี่เหรอ โธ่ ชั้นไหว้ล่ะ” แกละพูด พลางยกมือไหว้ จนกิมลั้งรับไหว้แทบไม่ทัน
“พี่ไม่มีใครให้รักแล้วเหรอ ถึงมารักชอบคนบ้าอย่างพี่ต๋อง” แกละเอ่ยขึ้น
“นี่แน่ะ คนบ้า” ต๋อบพูดพลางถีบแกละกระเด็น
“เห็นมั้ยพี่ นอกจากบ้าแล้วยังโหดร้าย” แกละยังใส่ไฟต๋องอีก
“ตกลงเอ็งจะเอาค่าจ้างมั้ย” ต๋องเอ่ย
“ค่าจ้างทำงาน ก็ต้องเอาซิพี่สุดหล่อ” แกละเปลี่ยนท่าที
“ไม่ใช่ ค่าจ้างเอ็งให้ไปไกลๆจากตรงนี้” ต๋องเอ่ยพร้อมโชว์เหรียญ 5 ให้แกละดู
“ห้าบาท พี่เห็นมั้ย บ้า โหดร้าย แล้วยังงกอีก” แกละหันไปฟ้องกิมลั้ง
“ไม่เอาใช่มั้ย” ต๋องพูดแล้ว ทำท่าจะเก็บเหรียญ
“เอา” แกละหยิบสตางค์จากมือต๋องแล้ววิ่งหนีไป
“ต๋องจ้างแกละทำงานอะไรเหรอ”
เวลาต่อจากนั้น กิมลั้งกับต๋องนั่งคุยกันใต้ต้นไม้กลางทุ่งนา
“แกละมันช่วยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่ให้ช่วงที่ชั้นอยู่กรุงเทพน่ะ” ต๋องเล่า แล้วเปิดสมุดดูหนักใจไม่เบา
“ข้อมูลอะไร ทำไมหน้าเครียดจัง” กิมลั้งถามขึ้น
“ก็หลายอย่างน่ะ เช่นที่นาแถวนี้ถูกขายไปแล้วกี่แปลง ควายหายไปกี่ตัว อีแต๋นเพิ่มมากี่คัน แต่เท่าที่อ่านดู อะไรๆมันเปลี่ยนไปเยอะมากจนน่ากลัว” ต๋องเล่า
“ทำไมเหรอ” กิมลั้งถามอย่างสงสัย
“เธอดูนะ ชั้นไม่อยู่แค่ไม่กี่เดือน แต่ว่าผืนนาที่เป็นที่ทำมาหากินของคนแถวนี้ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดถูกขายเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว” ต๋องแจง
“เอ้า ขายนาแล้วเค้าจะใช้อะไรทำกินต่อไปล่ะ เงินที่ได้มาซักวันนึงก็ต้องหมดไป อ๋อ...หรือเค้าเอาไปลงทุนทำอย่างอื่น” กิมลั้งถาม
“ชาวนาน่ะทำอะไรไม่เก่งเท่าทำนาหรอกกิมลั้ง สุดท้ายเค้าก็รับจ้างทำนาในที่นาที่เคยเป็นของตัวเองน่ะล่ะ น่าเศร้าใจมั้ย” ต๋องเล่าอย่างเศร้าใจ
“ถ้างั้นเค้าจะขายนากันทำไม ในเมื่อเค้าเลือกที่จะเป็นนายของตัวเองได้” กิมลั้งถามอย่างสงสัย
“เพราะเค้าถูกเอาเปรียบไงกิมลั้ง ขณะที่ชาวนาทำนา มันก็มีนายทุนมาทำนาบนหลังชาวนาอีกที พวกมันปล้นทั้งความเป็นคน ปล้นทั้งเงินชาวนาด้วยการกดราคาข้าวให้ต่ำ สุดท้ายชาวนาก็เป็นหนี้เป็นสิน แต่รู้มั้ย พอนาตกไปเป็นของไอ้พวกโจรนายทุน ราคาข้าวต่ำๆกลับถูกเสกให้สูงขึ้นเป็นเท่าตัวเหมือนเล่นกล ขณะที่ค่าจ้างรับทำนาของชาวนาก็ยังถูกกดให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหมือนเดิม” ต๋องพร่างพรู
“แล้วทำไมเธอไม่ให้ข้อมูลพวกนี้กับพวกเค้าล่ะ” กิมลั้งถามต่อ
“เค้าเลือกเข้าใจในสิ่งที่เค้าอยากเข้าใจน่ะกิมลั้ง ยังไงเค้าก็ยังถูกหลอกให้เป็นทาสของสังคมที่บูชาเงินต่อไป เค้าถูกหลอกให้หิวโดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองไม่ได้หิวขนาดนั้น” ต๋องพูดด้วยน้ำเสียงสุดปลง
“แบบนี้อีกหน่อยก็คงไม่เหลือนาที่เป็นของชาวนาแท้ๆอีกต่อไป” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“แต่มันจะไม่เกิดขึ้นกับที่นาของชั้นแน่ ชั้นจะทำให้ทุกคนรู้ว่าเงินทองมันแค่ของมายา ข้าวปลาต่างหากที่เป็นของจริง แค่เราใช้ชีวิตเพียงพอกับวิถีเกษตรแบบพอเพียงอย่างที่ในหลวงบอกไว้ได้ เราก็จะเป็นชาวนาที่ร่ำรวยความสุขที่สุด โดยไม่ตกเป็นทาสของอะไร” ต๋องเอ่ย
“เธอทำได้ยังไงต๋อง” กิมลั้งถามขึ้น
“ทำอะไร” ต๋องยังไม่เข้าใจ
“ก็ทำให้ชั้นภูมิใจในตัวเธอขึ้นทุกวันทุกวันไง” กิมลั้งโพล่งขึ้น
เธอมองต๋องด้วยความปลาบปลื้ม ต๋องยิ้มรับกับสิ่งที่กิมลั้งเอ่ยออกมาอย่างภูมิใจ
บ่ายนั้น กิมฮวยนอนหลับพักผ่อนอยู่นอกระเบียงบ้านของต๋อง แต่ต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดดังลั่นทุ่ง
“ว้าย.../ กรี๊ด...” ชมพู่กับคิตตี้ส่งเสียงดังลั่น
สองสาวใส่ชุดผ้าถุงตีโป่งกันอย่างสนุกสนานอยู่ในน้ำ กิมฮวยรีบเดินมาหาต้นเสียงอย่างหงุดหงิด
“อาชมพู่ คิตตี้ อะไรมันเข้าไปกัดส่วนสำคัญของพวกลื้อฮะถึงได้ร้องกันลั่นขนาดนี้” กิมฮวยตะโกนด่า
“คนเรามันก็ต้องรู้จักปลดปล่อย ทำตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวตัวเดียวกับธรรมชาติบ้างซิเจ๊ ชีวิตมันจะได้มีจิตวิญญาณ” คิตตี้ว่า
“ถ้างั้นลื้อสองคนก็คงเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้วล่ะ คนหนึ่งก็อวบเป็นคางคก อีกคนก็แห้งเป็นจิ้งเหลน ยังมีหน้ามาอวดส่วนสัดไม่อายผี” กิมฮวยด่าคิตตี้กับชมพู่อีกรอบ
“ว่าแต่พวกชั้นดีไปเถอะ เดี๋ยวเจ๊ก็ต้องอวดหุ่นฮิปโปโปเตมัสตอนลงมาอาบน้ำตรงนี้เหมือนกันล่ะว้า เพราะที่นี่เค้าไม่มีห้องน้ำให้เจ๊อาบหรอกนะจะบอกให้” ชมพู่ว่า
“ไม่มีห้องน้ำ ? นี่ใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่ายหรือมักง่ายกันแน่หะ อั๊วชักจะไม่ไหวแล้วนะ” กิมฮวยเริ่มบ่น
“ไม่ไหวก็กลับกรุงเทพซิเจ๊ ปล่อยกิมลั้งไว้นี่ล่ะ เดี๋ยวต๋องเค้าดูแลให้เอง” คิตตี้ว่า
“อากิมลั้ง พวกลื้อเห็นอากิมลั้งบ้างมั้ย” กิมฮวยเพิ่งนึกขึ้นมาได้
“แหม...เจ๊ ชั้นไม่เห็นหรอก แล้วก็ไม่อยากเห็นให้ตาร้อนด้วย เจอมนต์รักลูกทุ่งของพี่ต๋องเข้าไป ป่านนี้คงไปสวมบทบาททองกวาวกับไอ้คล้าว กันอยู่ที่กองฟางแถวไหนแล้ว” ชมพู่เอ่ย
“อ๊าย” กิมฮวยได้ยินถึงกับกรี๊ด แล้วรีบเดินอย่างรีบเร่งออกไปหากิมลั้ง
ชมพู่คิตตี้หัวเราะชอบใจที่แกล้งกิมฮวยได้
ครู่หนึ่งกิมฮวยเดินไปที่ท้องนา แล้วได้ยินเสียงหนุ่มสาวหัวเราะร้องวี้ดว้ายอยู่ไม่ไกล กิมฮวยรีบกวาดสายตามองหา เห็นต๋องกับกิมลั้งวิ่งกันอยู่ในท้องนาอย่างสนุกสนาน
“ถึงกับไล่กอดรัดฟัดเฟ้นกันกลางนาเลยเหรอ” กิมฮวยโกรธจนตัวสั่น แล้วรีบมุ่งไปหาต๋องกับกิมลั้งทันที
“ลื้อทำอะไรอากิมลั้ง” กิมฮวยตะโกนสุดเสียง
ต๋องและกิมลั้งหันมา กิมฮวยจึงเห็นทั้งคู่ถืออุปกรณ์จับปลากันอยู่ถึงกับงงไป
“อั๊วกำลังช่วยต๋องจับปลาไปให้แม่ทำกับข้าวน่ะม้า” กิมลั้งรีบตอบ
“แล้วลื้อมาจับปลากันสองต่อสองเนี่ยนะ” กิมฮวยเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
“น้ากิมฮวยจะลงมาช่วยเป็นสามต่อสามก็ได้จ้ะ” ต๋องว่า
“ลงมาซิม้า ในนานี่ปลาเต็มไปหมดเลย ไล่จับปลาตัวเป็นๆนี่สนุกดีเหมือนกันนะม้า แต่ละตัวทั้งยาว ทั้งใหญ่ จับเต็มไม้เต็มมือ เนื้องี้แน่นแข็งปึก” กิมลั้งเอ่ย
“พอแล้วอากิมลั้ง เป็นผู้หญิงยิงเรือเที่ยวไปไล่จับปลายาวใหญ่กับผู้ชายในน้ำได้ยังไง ขึ้นมา...” กิมฮวยฟังที่กิมลั้งบรรยายแล้วหวาดเสียวจึงรีบเรียกลูกขึ้นมา กิมลั้งรีบทำตามอย่างเชื่อฟัง
“ไปล้างเนื้อล้างตัว แล้วเปลี่ยนชุดเลยไป” กิมฮวยสั่ง กิมลั้งหันมามองต๋องห่วงๆ
“ไม่ต้องห่วงอีหรอก เรื่องจับปลาคนเดียวสองมือสามมือน่ะอีถนัดอยู่แล้ว” กิมฮวยเอ่ยขึ้นอย่างค้อนๆ แล้วเดินไปที่ริมคันนาเห็นปลาชุกชุม
“ไอ้หยา...ปลาในนี้เยอะจริงๆด้วย” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“นาที่นี่อาหารสมบูรณ์น่ะจ้ะ พวกปลาเลยเข้ามาอยู่กันเยอะ ยิ่งพากันมาอยู่ พวกมันก็ยิ่งช่วยทำให้นาสมบูรณ์เข้าไปอีก” ต๋องว่า
“ถ้ามีมากขนาดนี้ทำไมลื้อไม่จับไปขายให้จริงจังล่ะตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ราคาอยู่แล้ว” กิมฮวยเอ่ย “ไม่ดีกว่าจ้ะ ทุกวันนี้บ้านชั้นใช้ชีวิตแบบพอกินพออยู่ก็มีความสุขแล้ว” ต๋องตอบ
“อาต๋อง...ทำไมลื้อไม่รู้จักคิดการณ์ไกลฮะ คนเรามันก็ต้องรู้จักเก็บจักออมเงินไว้ใช้ในวันหน้า” กิมฮวยว่า
“อ้อ...ชั้นแบ่งเก็บอยู่แล้วจ้ะ” ต๋องเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่ใช่...ลื้อต้องหาต้องเก็บให้มันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้” กิมฮวยโพล่งขึ้น
“แล้วเราจะหาเงินมากๆไปทำไมล่ะน้า” ต๋องถามตรงๆ
“พูดเหมือนลื้อโง่เลยนะ ก็ถ้าเก็บได้มาก โอกาสที่ลื้อจะใช้เงินไปซื้อหาความสุขมันก็จะมากขึ้นด้วยไง” กิมฮวยเอ่ย
“ทุกวันนี้ชั้นกับที่บ้านก็มีความสุขกับชีวิตดีอยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปหาภาระเกินตัวให้เครียดให้ทุกข์เพื่อหาเงินมาซื้อความสุขด้วยล่ะจ๊ะพวกที่ทำอย่างนั้นทั้งที่หาความสุขใกล้ตัวได้ง่ายๆนี่ ชั้นว่าโง่กว่าชั้นเยอะเลยนะ...น้าว่ามั้ย” ต๋องตอบพลางหัวเราะ
กิมฮวยเจ็บใจ เจอต๋องหลอกด่าอย่างอ้อมๆ จึงรีบเดินหนีไปอย่างดื้อๆ
กิมฮวยเดินหนีต๋องอย่างเสียอารมณ์ จนเจอกล้ากับแก้วที่เก็บผักจากแปลงเพื่อไปทำกับข้าว
“เอ้า...เจ๊ ไปเดินเล่นมาเหรอจ๊ะ” แก้วทักกิมฮวย
“อั๊วก็เดินเล่นไปคิดนั่นนี่ไปน่ะ” กิมฮวยตอบ
“ดีจ้ะดี...ฝึกคิดนั่นนี่ไว้ให้เยอะ สมองจะได้ไม่เสื่อมเร็วอย่างชั้น นี่....ชั้นได้ยินมาว่าการเล่นไพ่นี่ช่วยฝึกสมองได้ดี คืนนี้เรามาประลองไพ่ตองกันซักตาสองตามั้ยเจ๊” แก้วเสนอ
“อั๊วไม่ชอบเสียเวลามาบวกเลขในไพ่หรอกอาแก้ว อั๊วสนุกกับการบวกเลขในแบงก์เป็นปึกๆมากกว่า สมองไหลลื่นกว่าเยอะ เผอิญอาชีพขายปลาของอั๊วน่ะมันรายได้ดีจนนับตังค์กันไม่หวัดไม่ไหวน่ะ” กิมฮวยตอบ
“ใช่ๆ อาต๋องบอกว่าเจ๊น่ะเซลฟิช” กล้าเอ่ยขึ้น
“นี่หาว่าอั๊วเห็นแก่ตัวเหรอ” กิมฮวยเข้าใจผิดเป็นภาษาอังกฤษอีกคำ
“ชั้นพูดเหรอ? ชั้นบอกว่าเซลฟิช เซลแปลว่าขาย ฟิชแปลว่าว่าปลา เซลฟิชก็ขายปลา ชั้นพูดผิดตรงไหน” กล้าว่า
“แล้วไป นี่ไหนๆก็ไหนๆแล้วนะ อั๊วขอพูดอะไรตรงๆได้มั้ย” กิมฮวยเอ่ย
“อุ๊ย...พูดตรงๆน่ะล่ะดี เพราะชั้นสองคนเกลียดที่สุดอีพวกตอแหล” กล้าว่า
“คืออย่างนี้...อั๊วกำลังคิดว่าถ้าเกิดลูกสาวอั๊วต้องตกมาเป็นลูกสะใภ้ของที่นี่แล้วชีวิตจะเป็นยังไงต่อไป” กิมฮวยเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“ดูๆแล้วเจ๊คิดว่าเป็นยังไงล่ะจ๊ะ” กล้าเอ่ยถามกลับ
“ไม่รู้ซิน่ะ ปกติอั๊วคนที่บ้านอั๊วก็อยู่กันแบบสุขสบาย มีเงินเหลือกินเหลือใช้มาซื้อนั่นนี่อำนวยความสะดวกให้ชีวิตได้ แต่ที่นี่พวกลื้ออยู่กันแบบพอเพียงจนไม่รู้ว่าจะเลี้ยงดูลูกอั๊วให้พอกินมั้ย” กิมฮวยเอ่ย
“โอ๊ย...ไม่ต้องห่วงเจ๊ ชั้นก็ไม่อยากโม้โอ้อวดหรอกนะ แต่ไหนๆเราก็เหมือนคนกันเองแล้ว ก็ต้องบอกให้เจ๊รู้น่ะว่า...สมบัติมากมายของชั้นกับแม่แก้วน่ะมันก็ฝังอยู่ผืนไร่ผืนนาที่นี่น่ะล่ะ ไอ้ต๋องมัน
รู้ดี รับรองว่าลูกสาวเจ๊ไม่มีทางอดตายไปทั้งชีวิต” กล้ากระซิบบอกกิมฮวย จนอีกฝ่ายตาโต
“ตากล้า...แกกระซิบอะไร พูดให้ชั้นได้ยินบ้างซิ” แก้วโพล่งขึ้น
กล้ารีบกระซิบข้างหูแก้ว
“อ๋อ...พูดถึงสรพงศ์” แก้วเอ่ยพร้อมยิ้มชอบใจ
“ไม่ใช่...สมบัติ” กล้ารีบขัด
“อ๋อ...สมบัติ” แก้วตะโกนเสียงดังเพราะหูตึง
“เบาๆซิวะยายแก้ว เดี๋ยวใครมาได้ยิน” กล้ารีบพูด พร้อมเข้าไปปิดปากแก้วกลัวคนอื่นได้ยิน
กิมฮวยฟังแล้วเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
เย็นนั้น ต๋อง กิมลั้ง แก้ว กล้า กิมฮวย คิตตี้ ชมพู่ รอกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย
สาวๆช่วยกันยกสำรับมาวางขณะที่คิตตี้ตักข้าวรออยู่หน้าบ้าน
“ว้าว...หอมฉุยเลย” คิตตี้ว่า
กิมฮวยดูไม่ปลื้มกับอาหารตรงหน้า
“ชั้นเดินถือมาน้ำลายงี้แทบไหลลงจาน” ชมพู่ว่า
“แหม...ถ้าน้ำลายไหลแล้วยังจะรออะไรล่ะ มา...ลงมือ” กล้าว่า พร้อมใช้มือเปิบข้าวทันที
“ฮะ นี่จะใช้มือกินกันเหรอ อั๊วกินไม่เป็นนะ” กิมฮวยตาลุกวาว
“แค่นี้ไม่มีปัญญา..เอ๊ย..ไม่มีปัญหา ชั้นเตรียมการไว้แล้ว” กล้าพูด พลางลุกขึ้นไปหยิบไม้ไผ่คล้ายตะเกียบที่เหลาไว้สองคู่มายื่นให้กิมฮวยกับกิมลั้ง
“ชั้นเหลาไม้ไผ่เผื่อไว้ให้น่ะ เห็นต๋องมันเคยเล่าว่าบ้านเจ๊เน้นกินตะเกียบ” กล้าว่า
“ของหนูไม่เป็นไรค่ะ หนูอยากลองเปิบข้าวกินดู” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
ต๋องดีใจรีบแกะปลาใส่จานให้กิมลั้ง แล้วเอาน้ำพริกราดให้ กิมลั้งกินข้าวอย่างมีความสุข
“อร่อยมากๆเลยจ้ะแม่” กิมลั้งเอ่ยกับแก้ว
“ลองน้ำพริกสูตรเด็ดของชั้นหน่อยนะจ๊ะเจ๊” แก้วเอ่ยขึ้น แล้วทำท่าจำตักน้ำพริกให้กิมฮวย
“อั๊วไม่กินกะปิ...เหม็น” กิมอวยรีบพูดแล้วยกจานข้าวหนี
“เหม็นตรงไหน มาทางนี้เลยจ้ะแม่” ชมพู่เอ่ยขึ้นพร้อมหยิบถ้วยน้ำพริกจากแก้วแล้วตักใส่จานตัวเองและคิตตี้ สงสาวใช้มือคลุกข้าวกับน้ำพริก
“สาม...สี่...” ชมพู่กับคิตตี้เอ่ยขึ้นพร้อมกัน พร้อมเปิบข้าวเข้าปากเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อย
“พ่อแก้วแม่แก้ว...อุ๊ย...พ่อกล้าแม่แก้ว ทำไมทารุณแขกด้วยอาหารรสเลิศแบบนี้คะ กลับกรุงเทพแล้วหนูหามากินไม่ได้ทำไงเนี่ย” คิตตี้ว่า
“ลองหน่อยซิน้ากิมฮวย กะปิคลองโคนน่ะขึ้นชื่อว่าหอมอร่อยนะ” ต๋องว่า
“ลองนิดนะม้า”
กิมลั้งตักน้ำพริกใส่จานให้ กิมฮวยลองใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวในจานกินอย่างเสียไม่ได้
“อ๊าย...เผ็ด” กิมฮวยร้องลั่นออกมา
กิมลั้งส่งน้ำให้กิมฮวยดื่ม
“เผ็ดมากเลยเหรอเจ๊” แก้วถามกลับอย่างหน้าเสีย
“เผ็ดมาก แต่ก็อร่อยมาก” กิมฮวยเอ่ยขึ้น ทุกคนได้ฟังแล้วถึงกับยิ้ม
“แต่ถ้าเจ๊เปิบกินกับมือนะ มันจะอร่อยมั่กๆ” กล้าว่า
กิมฮวยลองใช้มือเปิบ ด้วยท่าทางเก้ๆกังๆแต่เริ่มสนุกจนถึงกับวางตะเกียบ
“นี่...จานนี้แกงป่าสูตรแม่แก้ว เลื่องลือไปทั้งตำบล ไม่กินไม่ได้เด็ดขาด”
ทุกคนกินข้าวกันอย่างมีความสุข
“ตายแล้ว...แม่แก้วต้องโดนผีแดจังกึมสิงตอนทำกับข้าวแน่ๆ” ชมพู่ว่า
“รสชาติทั้งเผ็ดนำ เปรี้ยวตาม เค็มประสาน หวานตบ” ชมพู่ว่า
“หมูอะไรทำไมเนื้อเหนียวๆกรุบๆแปลกลิ้นดี” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่เนื้อหมูหรอกจ้ะ เนื้อหนู...” แก้วตอบ
“หนู!” บรรดาสาวๆช็อกไปตามๆกัน
“จ้ะ...หนู” แก้วรีบแจง
สาวๆวิ่งออกไปอาเจียนโดยมิได้นัดหมาย
คืนนั้น กิมฮวยนุ่งกระโจมอกห่มผ้าเช็ดตัวเดินถือขันพร้อมอุปกรณ์จะไปอาบน้ำระหว่างทางเดินไปคลอง ระหว่างทางต๋องขุดอยู่ตรงพุ่มไม้ไม่ไกลกัน กิมฮวยมองด้วยความสนใจ แอบคิดถึงเรื่องเมื่อบ่ายที่กล้าบอกว่าที่บ้านต๋องมีสมบัติมากมาย กิมฮวยจ้องต๋องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทำท่าจะแอบเข้าไปดูใกล้ๆแต่แล้วแอบเปลี่ยนใจ
“ไม่ใช่ตอนนี้” กิมฮวยพึมพำกับตัวเอง
เวลาเดียวกันนั้น ชายศักดิ์กับรัศมีนั่งทานข้าวอยู่ในร้านอาหารและสนทนากันด้วยความเครียด
“ไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะตอนไหนคะ เผาๆตลาดมันซะให้วอดวาย จะได้จบๆเรื่อง” รัศมีว่า
“รัศมี...ชั้นว่าเธอจะไม่ใช้หัวสมองขึ้นเรื่อยๆนะ มันโจ่งแจ้งเกินไป เข้าใจมั้ย คิดดูซิว่าถ้าไฟไหม้ตลาดขนาดนั้นใครจะถูกเพ่งเล็งเป็นอันดับ แรกถ้าไม่ใช่ห้างเรา แล้วชั้นนี่ล่ะที่จะซวยก่อนเพื่อน” ชายศักดิ์ว่า
“ก็หาวิธีอย่าให้เรื่องมันมาถึงเราซิคะ” รัศมีว่า
“ที่ผ่านมาชั้นไม่เห็นจะขว้างงูให้พ้นคอซักที” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“โอ๊ย...ทำนู่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้” รัศมีบอก
ทันใดนั้นเสียงมือถือรัศมีดังขึ้น
“ได้ความว่าไง อะไรนะ วันนี้มีคนเข้าห้างแค่ 73 คน ฮะ...แต่ 39 คนจาก 73 แค่แวะมาเข้าห้องน้ำ อ๊าย ไม่กงไม่กินมันแล้ว” รัศมีโกรธ ผลักจานข้าวออกด้วยความโกรธ
ชายศักดิ์ได้ยินถึงกับอิ่ม รวบช้อนอย่างเซ็งอารมณ์ไปด้วย
ด้านหน้าร้านอาหาร ชายศักดิ์กับรัศมีเดินอย่างเซ็งอารมณ์ออกมาจากร้านจนมาเจอกับพงษ์
“ชายศักดิ์...” พงษ์เรียกขึ้น
“เอ้า...คุณพงษ์ ไปไงมาไงครับเนี่ย” ชายศักดิ์เอ่ย
“จะแวะมาทานข้าวน่ะ โห...นี่เราไม่ได้เจอกันยี่สิบว่าปีได้แล้วนะ” พงษ์ว่า
“นั่นซิครับ เอ้อ...รัศมี นี่คุณพงษ์เพื่อนเก่าแก่ของชั้น เป็นนายหัวอยู่ที่ภูเก็ต” ชายศักดิ์แนะนำ
รัศมียกมือไหว้พงษ์ตามมารยาทแบบไม่มีอารมณ์ร่วม
“นี่รัศมี...ภรรยาผมครับ” ชายศักดิ์แนะนำรัศมีกับพงษ์
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอ้อชายศักดิ์...โทษนะ นี่ได้เจอกับสดศรีบ้างมั้ย” พงษ์ถามขึ้น
“ก็...เจอบ้างครับ เพราะตอนนี้ผมไปเปิดห้างใกล้ๆกับตลาดร่วมใจเกื้อ” ชายศักดิ์ตอบแบบไม่เต็มปาก
“ผมก็ไม่ได้เจอเค้านานแล้ว ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่เค้าบินไปกู้เงินถึงภูเก็ตน่ะ” พงษ์ว่า
ชายศักดิ์กับรัศมีถึงกับหูผึ่งเมื่อรู้ว่าสดศรีเป็นหนี้
“นี่ศรีเค้ากู้เงินคุณพงษ์ด้วยเหรอครับ” ชายศักดิ์เอ่ยขึ้น
“โอ๊ย...จะสิบปีได้แล้วมั้ง นี่เค้าก็ให้ผมเก็บโฉนดตลาดไว้เป็นตัวประกันเลยนะ เค้าเกรงใจที่ผมไม่ได้ทำสัญญาหนี้เป็นลายลักษณ์อักษรไว้น่ะ” พงษ์เอ่ยขึ้น
พอได้ยินเรื่องโฉนด ชายศักดิ์กับรัศมียิ่งถึงกับตะลึง ทั้งคู่มองหน้าส่งสัญญาณบางอย่าง
“แต่สดศรีนี่เป็นลูกหนี้ที่เยี่ยมมากนะ โอนเงินให้ผมตรงเวลา ไม่เคยขาดซักงวด”
“เอ่อ...คุณพงษ์คะ ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนมั้ยถ้าเราสองคนจะขอคุยเรื่องสำคัญด้วย” รัศมีเปลี่ยนท่าทีขึ้นมาทันที
พงษ์มองหน้าสองคนด้วยความสงสัย รัศมีกับชายศักดิ์มองกันอย่างมีแผนในใจ
อ่านต่อหน้า 3
“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 12 (ต่อ)
คืนนั้น ชายศักดิ์ รัศมี และพงษ์คุยกันในร้านอาหารด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อะไรนะ ? นี่พวกคุณจะใช้หนี้ที่เหลือแทนสดศรีเหรอ” พงษ์แปลกใจเมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมด
“คือ...เสี่ยเค้าอยากจะชดใช้บาปกรรมที่เคยทิ้งคุณนายสดศรีมาน่ะค่ะ เสี่ยจะพูดอยู่บ่อยๆว่าคุณนายสดศรีคงลำบากน่าดูเวลาที่ไม่มีเสี่ยอยู่ช่วยทำงานด้วย รัศมีในฐานะหัวอกลูกผู้หญิงเหมือนกันก็เข้าใจดีค่ะว่าผู้หญิงตัวคนเดียวที่ต้องแบกรับภาระมากมายมันหนักหนาสาหัสแค่ไหน” รัศมีรีบเล่นละคร
“จนทุกวันนี้รัศมีเค้าก็โทษตัวเองตลอดเวลาน่ะครับว่าไปแย่งผมมาจากสดศรี ผมก็บอกว่าไม่เกี่ยว เป็นเพราะผมกับสดศรีทำบุญกันมาแค่นี้ ที่สำคัญตอนนั้นรัศมีก็กำลังอุ้มท้องศักดิ์ชายลูกของผมอยู่” ชายศักดิ์รีบเสริม
“ผมเข้าใจ...ชีวิตมนุษย์น่ะมันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ตอนนี้เห็นคู่คุณรักกันอยู่ดีๆ แต่บางทีคนใดคนนึงอาจจะซ่อนชู้ไว้ก็ได้” พงษ์เอ่ยขึ้น
รัศมีกับเสี่ยชายศักดิ์ตกใจ
“ผมเปรียบเปรยเล่นๆนะ อย่าซีเรียส” พงษ์รีบพูดแก้
“ว่าแต่คุณพงษ์เห็นด้วยกับข้อเสนอของผมมั้ยครับ” ชายศักดิ์เอ่ยถามขึ้น
“ถ้ามันมาจากเจตนาที่ดี ผมก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้วล่ะครับ ลึกๆก็เอาใจช่วยสดศรีเค้าให้หมดภาระซักที เพราะเค้าเหนื่อยมามากแล้วจริงๆ” พงษ์เอ่ย
“ก็แปลว่าคุณพงษ์เห็นด้วย ถ้างั้นพรุ่งนี้รัศมีกับเสี่ยจะเอาหนี้ไปชำระให้คุณพงษ์ที่บ้านเลย แต่อยากจะรบกวนพงษ์อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับคุณนายสดศรีเรื่องนี้นะคะ” รัศมีเอ่ยขึ้น
“เอ้า...ทำไมล่ะ ?” พงษ์ถามอย่างสงสัย
รัศมีกับชายศักดิ์มองหน้ากันอย่างอึกอัก
“เอ่อ...คืออย่างนี้ครับ ผมอยากจะทำเซอร์ไพร์สสดศรีด้วยการเอาโฉนดไปมอบให้เค้าด้วยมือของตัวเอง คุณพงษ์คงไม่ขัดข้องใช่มั้ยครับ”
ศักดิ์ชายแกล้งเล่นละครตามน้ำหลอกพงษ์เรื่องโฉนด
ครู่หนึ่งต่อจากนั้น ชายศักดิ์กับรัศมีขึ้นมานั่งบนรถอย่างอารมณ์ดี
“เฮ้อ...บทจะง่ายก็ง่ายเป็นปอกกล้วย ที่นี้ก็เป็นหน้าที่ของเสี่ยแล้วล่ะค่ะ ที่ต้องงัดวิชาปลอมลายเซ็นยายสดศรีมาใช้อีกครั้ง” รัศมีเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“เลิกบอกให้ชั้นทำนั่นนี่ซักที ชั้นรู้น่ะว่าต้องทำอะไร” ชายศักดิ์โวยขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
รัศมีหน้าหุบยิ้มแทบไม่ทัน
คืนเดียวกัน ต๋องกับกิมลั้งนั่งพิงกองฟางชมจันทร์ หิ่งห้อยบินไปมารอบกองฟางอย่างสุดธรรมชาติ
“ชั้นว่าที่นี่กลางวันสวยแล้วนะ แต่กลางคืนยิ่งสวยเข้าไปอีก” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“ทำไมล่ะ...” ต๋องเอ่ยถาม
“บอกไม่ถูกเหมือนกัน คงเหมือนเวลาที่เรามองทะลุใครบางคนเข้าไปในหัวใจน่ะ ถึงข้างนอกมันจะดูดำมืด แต่ข้างในกลับสว่าง สงบ สวยงาม มันคงเหมือนตัวเธอมั้งต๋อง” กิมลั้งเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ
“ถ้างั้นเธอก็คงเป็นเหมือนที่นี่ตอนกลางวันที่ข้างนอกสวยสว่างยังไง ข้างในก็ยังเป็นอย่างนั้น” ต๋องเอ่ยกลับ
“ชั้นอยากให้ม้าเห็นเธอเหมือนที่ชั้นเห็นจัง ทำไมชั้นต้องไล่ตามดวงอาทิตย์ ถ้าดวงจันทร์สาดแสงนวลส่องทางเดินให้ชั้นเพียงพอแล้วในความมืด ว่าไปแล้วถึงดวงจันทร์จะสงบ เย็น แต่มันให้พลังกับ
คนอย่างชั้นมากกว่าดวงอาทิตย์ที่มีแต่ความร้อนแรงด้วยซ้ำ” กิมลั้งมองดูดวงจันทร์ พรรณนาถึงเรื่องราวความรักที่มีอุปสรรค
“กิมลั้ง...ขอบคุณนะ เธอรู้มั้ย...ความจริงดวงจันทร์มันก็เป็นแค่ก้อนหินธรรมดาที่ไม่ความหมายอะไร แต่ที่มันยังขับเปล่งแสงออกมาได้ ก็เพราะมีคนที่เห็นค่าของมันต่างหาก” ต๋องพูด พลางหันไปจับมือกิมลั้งไว้อย่างอ่อนโยน
“ถ้างั้นเธอก็ต้องเปล่งแสงต่อไปนะ ต่อให้มีเมฆลม หรือแม้แต่เงาของดวงอาทิตย์มาบดบังเธอบ้าง แต่รับรองว่าทุกครั้งที่ฟ้าเปิดออกมา เธอจะเห็นชั้นจ้องมองเธออยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน” กิมลั้งเอ่ยขึ้น พร้อมจับมือต๋องแน่น
ทันใดนั้นกิมฮวยโผล่เข้ามาพร้อมกับส่องไฟฉายไปที่ทั้งคู่จนต้องแยกกัน
“เลิกเพ้อเจ้อซะทีอากิมลั้ง” กิมฮวยโพล่งขึ้น แล้วรีบเดินไปหาต๋องกับกิมลั้ง
“แค่มีไฟฉายซักกระบอกมันก็นำทางลื้อไปได้ทุกที่ในโลกแล้ว ปล่อยให้ไอ้ดวงจันทร์มันลอยเคว้งอยู่บนฟ้าดำมืดของมันต่อไปเถอะ แล้วลื้อก็ไปนอนซักที ไป...” กิมฮวยพูดแล้วลากกิมลั้งออกจากภวังค์ไปเสียดื้อๆ
ครู่หนึ่ง กิมฮวยกลับเข้ามาเตรียมเข้านอนที่บ้านของต๋อง กิมฮวยกับกิมลั้งเข้ามุ้งเตรียมนอน แต่จังหวะที่กิมฮวยยกไฟฉาย มุ้งด้านกิมฮวยตลบขึ้นส่องไปที่หน้าชมพู่กับคิตตี้ ที่ถูกโปะด้วยสมุนไพรขาวโพลน กิมฮวยเห็นแล้วร้องลั่นนึกว่าเจอดีเข้าแล้ว
“อ๊าย...ผี” กิมฮวยร้องลั่น
กิมลั้งสะดุ้งตกใจ
“ชั้นเองเจ๊...ชมพู่ คิตตี้” ชมพู่รีบรายงาน
“ลื้อสองคนจะบ้าเหรอ โผล่หน้าเละๆอย่างกะหนอนขึ้นศพมาหาอั๊วทำไม” กิมฮวยว่า
“แม่แก้วเค้าทำสมุนไพรสูตรหน้าเด้งให้พวกชั้นโปะหน้า ก็เลยจะมาถามเจ๊กับกิมลั้งว่าจะเอาบ้างมั้ย” คิตตี้เอ่ยถามขึ้น
“ไม่เอา...อั๊วง่วงจะตายอยู่แล้ว พวกลื้อก็เหมือนกัน ไปหลับนอนกันได้แล้ว” กิมฮวยไล่
“ทะลึ่งน่ะเจ๊” ชมพู่ว่า
“ทะลึ่งยังไง” กิมฮวยถามกลับอย่างงงๆ
“เจ๊มาไล่หญิงสาวพรหมจรรย์อย่างชั้นไปหลับนอนกับนังคิตตี้ได้ยังไง” ชมพู่ว่า
“ถ้าลื้อโง่นักก็ไปนอนกับนังสีดาในคอกไป ท่าทางจะพรหมจรรย์ไม่มีใครเอาเหมือนๆกัน” กิมฮวยเอ่ยขึ้น พร้อมตลบมุ้งปิดไฟฉายทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง กิมฮวยยังนอนไม่หลับ หันไปที่กิมลั้งที่หลับสนิทแล้ว จึงค่อยๆลุกเปิดมุ้งออกไป กิมฮวยเดินมาที่ต๋องขุดดินเมื่อหัวค่ำ ขุดไปหลายหลุมแต่ก็ยังไม่เจอสมบัติอย่างที่คิดไว้
“มันตรงไหนกันแน่...ขุดเท่าไหร่ไม่เห็นจะเจอ” กิมฮวยเอ่ยขึ้นหลังจากขุดไปหลายหลุม แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม
กิมฮวยขุดไปเรื่อยๆ จนเหงื่อท่วมแต่ไม่มีวี่แววเจอสมบัติตามที่กล้าเล่าไว้
“ไม่ไหวแล้วนะ” กิมฮวยบ่น และถึงกับโยนจอบทิ้งด้วยความเหนื่อย
“มันอาจจะเป็นที่ที่ไม่มีใครคิดว่าใช่” กิมฮวยเอ่ยขึ้นแล้วแล้วหันไปยังมุมที่มีสุมทุมพุ่มไม้รกๆมุมหนึ่งที่ไม่น่าจะมีใครเอาอะไรไปฝัง แล้วรีบบุกฝ่าไปยังบริเวณรกชัฏตรงนั้น แต่ทันทีที่กิมฮวยสับจอบแรกลงบนดินถึงร้องลั่นขึ้น
“โอ๊ย” กิมฮวยร้องออกมาเพราะความเจ็บ ล้มตัวนั่งลงอย่างทรมาน
เวลานั้น กล้าฉายไฟส่องไก่ที่กำลังฟักไข่
“ช่วยด้วย...” กิมฮวยร้องโอดโอยดังขึ้นเรื่อยๆ
กล้าป้องหูตัวเองให้แน่ใจใช้กรวยที่กำลังส่องไข่มาแนบกับหูช่วยฟัง
“ช่วยด้วย...” กิมฮวยยังร้องให้ช่วยอยู่อย่างนั้น
พอได้ยินชัดกล้ารีบผละออกจากเล้าไก่ไปหาต้นเสียงทันที
กล้ารีบวิ่งหน้าตาตื่นพร้อมไฟฉายไปจนพบกิมฮวยที่นั่งกองอยู่กับพื้นร้องโอดโอย
“เจ๊กิมฮวย...เป็นอะไร” กล้าถามขึ้นด้วยความตกใจ
“สงสัยงูจะกัดอั๊ว” กิมฮวยตอบ
“เห็นตัวมั้ย” กล้ารีบถาม
“ไม่...” กิมฮวยตอบด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
“กัดตรงไหน” กล้ารีบถาม
“เท้า” กิมฮวยรีบตอบ
กล้าไม่รอช้าแกะผ้าขาวม้าที่พันเอวอยู่มาขันชะเนาะข้อเท้าให้กิมฮวยด้วยความแคล่วคล่อง
“ไม่ต้องกลัวนะเจ๊” กล้าปลอบกิมฮวย แล้วรีบอุ้มออกไปอย่างรวดเร็ว
กล้าช่วยอุ้มกิมฮวยมาถึงบ้านนั่งล้างแผลให้โดยมีต๋องเป็นลูกมือ ชมพู่ และคิตตี้นั่งมองอย่างตกใจ ส่วนกิมลั้งนั่งกุมมือแม่ด้วยความเป็นห่วง ส่วนแก้วกำลังตำสมุนไพรรออย่างใจจดใจจ่อ
กล้าใช้มีดปลายแหลมที่ต๋องราดแอลกอฮอล์ให้แล้วกรีดลงไปที่แผลที่เท้ากิมฮวย
“โอ๊ย” กิมฮวยร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
กล้ารีบใช้ปากดูดพิษที่เท้าให้ กิมฮวยเห็นแล้วตกใจที่กล้าทุ่มเทช่วยชีวิตอย่างทุ่มเท
แก้วยื่นสมุนไพรส่งให้กล้าอย่างรู้งาน กล้าโปะสมุนไพรลงไปที่แผลทันที
“ปวดแผลมั้ย” กล้าถามขึ้น
“ยังทนได้” กิมฮวยตอบ
กล้าส่งยาพาราฯพร้อมน้ำให้กิมฮวยกินแก้ปวด
“งั้นกินยาไว้ก่อน”
กิมฮวยรับยามากิน ขณะนั้นกล้าคลายผ้าที่ขันชะเนาะไว้ออกแล้วเอาผ้ายืดพัดแผลพันให้เลยแนวหัวเข่าพร้อมเอาไม้มายึดไว้เหมือนเข้าเฝือกเพื่อไม่ให้กิมฮวยเคลื่อนไหวส่วนนั้น
“คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ จากแผลคงไม่ใช่งูเห่า” กล้าเอ่ย
“พ่อรู้ได้ยังไง” ชมพู่เอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
“ตากล้าเค้าช่วยคนถูกงูกัดประจำล่ะ ตอนเด็กๆไอ้เต๋ากับไอ้ต๋องรอดตายจากงูเห่าได้ก็ฝีมือพ่อมันนี่ล่ะ” แก้วรีบรายงาน
“แล้วไม่ต้องไปหาหมอเหรอคะ” กิมลั้งเอ่ยถามขึ้น
“เจ๊รู้สึกปวดหัว ตาลาย หายใจอึดอัด กลืนน้ำลายไม่ได้ หรือจะอ้วกมั้ย” กล้าถามกิมฮวย
“ยัง...” กิมฮวยตอบ
“ก็น่าจะรอดแล้วล่ะ” กล้าเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกกิมลั้ง ที่ผ่านมาพ่อไม่เคยพลาด อันนี้เป็นความสามารถเฉพาะตัวไม่ควรเลียนแบบ ถ้าไม่มีความชำนาญควรพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันทีดีที่สุด” ต๋องเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
“พี่ต๋องพูดกับใครอ่ะ...” ชมพู่งง
“ก็บอกให้รู้กันไว้ทุกคนน่ะล่ะ เดี๋ยวชั้นจะนอนเฝ้าน้ากิมฮวยอยู่แถวนี้นะ มีอะไรก็พร้อมจะออกรถทันที น้ำมันมีพร้อม ล้อไม่แบน” ต๋องเล่นมุขกันโดนด่า
“ดีๆ เจ๊กิมฮวยเป็นไรขึ้นมาจะได้แบกขึ้นรถไปส่งวัดทัน” คิตตี้ว่า
“ไม่ใช่...ส่งโรงพยาบาล” ชมพู่รีบขัด
“อ๋อ...ไปห้องเก็บศพ” แก้วโพล่งขึ้น
“ไม่ใช่...ไปพบหมอ” กล้ารีบเอ่ยขึ้นหลังจากอาการของกิมฮวยไม่น่าเป็นห่วงแล้ว
เช้าตรู่ของวันใหม่ บรรยากาศท้องไร่ท้องนายามเช้า แก้ว กล้าและ ต๋องตื่นมาตักบาตรพระที่เดินมาตามคันนาแต่เช้า กิมลั้งจดๆจ้องๆด้วยความสนใจ
“ตื่นแล้วเหรอ มาตักบาตรด้วยกันเร็ว” ต๋องเรียกกิมลั้ง
“มาลูกมา ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน” แก้วว่า
“คนนะไม่ใช่ไก่” กล้าเอ่ย
“ไก่มาเกี่ยวอะไร” แก้วถามกล้ากลับอย่างงงๆ
“ก็เห็นแกจะให้เค้าร่วมขัน” กล้าเล่นมุข จนโดนแก้วเอาขันข้าวเขกหัว
“โอ๊ย...” กล้าร้องด้วยความเจ็บ
“รู้จักรึยังล่ะขัน” แก้วหันไปถามกล้าอีกรอบ
“พระมาแล้วจ้ะ” ต๋องรีบบอก
กล้ากับแก้ว รีบหันมาใส่บาตร ในขณะที่กิมลั้งเข้าไปยืนตักบาตรเคียงข้างต๋องครั้งแรก
สายวันนั้น ชมพู่กับคิตตี้ปีนเก็บผลไม้อยู่ตามคำบัญชาการของแกละ
“ตรงนั้นด้วยพี่...ลูกใหญ่เลยเห็นมั้ยพี่ไจแอ้นท์” แกละกำลังสนุกรีบออกคำสั่งอย่างมีความสุข
“ว้าย มาเรียกพี่ไจแอนท์ได้ไง พี่เป็นชิซูกะ” คิตตี้รีบค้าน
“กลมขนาดนี้จะชิซูกะได้ไง เป็นโดเรมี่ละกัน ตกลงเห็นมั้ยลูกใหญ่ตรงนั้น” แกละว่า
“เห็นแล้วๆ สุกแล้วด้วยนี่” ชมพู่เอ่ย
“นั่นล่ะ...โหนไปเลยพี่” แกละบอก
“เอ๊ะ...รึไอ้แกละมันเห็นเราเป็นลิง” ชมพู่เอ่ยขึ้น แต่ยอมโหนไปตามที่แกละว่าโดยดี
“ดีมากพี่ดีมาก เอ้า...รางวัล” แกละเอ่ยขึ้น พร้อมโยนกล้วยในมือขึ้นไปให้คิตตี้กับชมพู่ที่อยู่บนต้นไม้ ทั้งคู่ปอกกล้วยกินอย่างเอร็ดอร่อย
“หืม...หวานอร่อย” คิตตี้ว่า
คิตตี้กับชมพู่นั่งยองๆอยู่บนต้นไม้ทำท่าเอามือบนตบมือล่างเหมือนลิงอย่างลืมตัว
“เอ๊ะ...ชมพู่... อย่าอยู่บนนี้นานเลย ชั้นว่าเราจะเหมือนไอ้จ๋อขึ้นทุกทีแล้ว” คิตตี้รีบพูด เมื่อเริ่มสังเกตอาการว่าคล้ายลิงเข้าไปทุกที
“นั่นซิ...ชั้นก็ตะหงิดๆแต่แรกแล้ว” ชมพู่ว่า
“เจี๊ยกๆ” แกละทำหน้าลิง พร้อมส่งเสียงลิงไปที่คิตตี้กับชมพู่
“เจี๊ยกๆ เฮ้ย”
คิตตี้กับชมพู่ลืมตัวทำท่าลิงแกล้งเล่นกับแกละอย่างมีความสุข
เวลาต่อจากนั้น ต๋อง กิมลั้ง แก้ว และกล้า ตักบาตรเสร็จแล้วเดินมาเจอกับชมพู่ คิตตี้ และแกละที่แบกผลไม้มาเต็มตะกร้า
“โอ้โห...ชมพู่ คิตตี้ นี่เอ็งจะปล้นผลไม้บ้านข้ารึยังไงฮะ” กล้าโพล่งขึ้น
“แหม...ก็มันหวานหอมไปซะทุกอย่าง ชั้นเลือกไม่ได้ก็เลยต้องเอามาหมด มันจะได้ไม่น้อยใจกันเองไงจ๊ะพ่อ” คิตตี้ตอบกลับอย่างอารมณ์ดี
“เดี๋ยวพวกชั้นรีบเอาไปล้างก่อนนะจ๊ะ จะได้ตั้งหน้าตั้งตากินให้เป็นเรื่องเป็นราว”
คิตตี้ ชมพู่ และแกละ พากันเดินออกไปพร้อมตะกร้าผลไม้ใบใหญ่ที่ปีนเก้บมาด้วยตัวเองอย่างมีความสุข
ขณะเดียวกันกิมฮวยที่อาการดีขึ้น เดินลงมาจากบันได
“เอ้าม้า...หายดีแล้วเหรอ” กิมลั้งเอ่ยถามขึ้น พร้อมเดินไปรับแม่อย่างห่วงใย
“หายเป็นปลิดทิ้งอย่างกับเมื่อวานแค่โดนมดกัด” กิมฮวยตอบด้วยใบหน้าสดใสกว่าเมื่อคืนหลายเท่า
“ขอบคุณอากล้าอาแก้วมากนะที่ช่วยอั๊วไว้” กิมฮวยเดินไปหากล้ากับแก้วแล้วเอ่ยขึ้น
“โธ่...ชั้นจะปล่อยให้เจ๊เป็นอะไรได้ยังไงล่ะ” กล้ารีบตอบ
“เอ้อ...ว่าแต่เจ๊กิมฮวยไปทำอะไรไอ้ตรงที่ถูกงูกัดดึกๆดื่นๆ ชั้นเห็นจอบยังปักคาดินอยู่แถวนั้นเลย” แก้วถามด้วยความสงสัย
“เอ่อ...เมื่อคืนอั๊วนอนไม่หลับน่ะ เลยออกไปเดิน กะจะทำให้ตัวเองเหนื่อยจะได้ง่วง เดินๆไปเจอรอยขุดดินค้างอยู่ อั๊วก็เลยขุดต่อให้เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้พวกลื้อปลูกอะไร” กิมฮวยแก้ตัวพัลวัน
“อ๋อ...เมื่อคืนชั้นขุดค้างไว้เองล่ะจ้ะ เดี๋ยวกะว่าจะปลูกดาวเรืองรำลึกความหลังซะหน่อย” ต๋องเอ่ยขึ้น
กิมฮวยเพิ่งเข้าใจว่าที่แท้ต๋องขุดดินตรงนั้นไว้เพื่อปลูกดาวเรือง ไม่ใช่ที่ซ่อนสมบัติอย่างที่เข้าใจ
“รำลึกความหลังอะไรเหรอต๋อง” กิมลั้งถามด้วยความสงสัย
“อ๋อ...ตอนเด็กๆพ่อเคยบอกชั้นว่าบ้านเราน่ะฝังทรัพย์สมบัติไว้เต็มไปหมด ขุดไปตรงไหนก็เจอ” ต๋องเอ่ยขึ้น กิมฮวยฟังแล้วถึงกับสะดุ้งเพราะกล้าบอกอย่างนั้นกับตนเช่นกัน
“ชั้นก็โลภน่ะซิ ขุดดินตรงนั้นตรงนี้ไปเรื่อยแต่ก็ไม่เจออะไรซักที จะถามพ่อก็ไม่กล้า เดี๋ยวพ่อรู้ว่าจะขโมยสมบัติ พอไม่เจอก็เซ็ง แต่ไม่รู้จะทำไง เผอิญเห็นแม่เก็บเม็ดดาวเรืองไว้เยอะ ก็เลยเอามาดโปรยๆทิ้งไว้ทุกจุดที่ขุดดินไว้ คิดแค่ว่าจะได้ไม่เสียแรงเปล่า เวลาผ่านไปดอกดาวเรืองสีเหลืองทองก็ขึ้นทั่วไร่นาเต็มไปหมด ตอนนั้นล่ะพ่อถึงมาเฉลยว่านี่ล่ะทรัพย์สมบัติที่พ่อกับแม่ฝังไว้ แล้วชั้นก็เก็บดาวเรืองไปขายได้เงินเป็นกอบเป็นกำ” ต๋องเอ่ยขึ้นอย่างภูมิใจ
“จริงด้วยซินะ ทรัพย์สมบัติที่มีค่าก็คือผืนดินที่สมบูรณ์ เพราะหว่านอะไรลงไปมันก็เกิดดอกออกผล” กิมลั้งฟังแล้วสุดอึ้ง
“ใช่ลูก...เค้าถึงเรียกประเทศไทยว่าแผ่นดินทองไง เพราะมันคือผืนดินที่ทำให้เรามีกินมีอาชีพไปทั้งชีวิต ใช้เท่าไหร่ๆก็ยังหาทรัพย์สมบัติได้เรื่อยๆไม่รู้จักหมดจักสิ้น” แก้วว่า
กิมฮวยฟังแล้วอึ้งไป
“คราวนี้เจ๊กิมฮวยก็เข้าใจที่ชั้นบอกเมื่อวานแล้วใช่มั้ยจ๊ะ”
กิมฮวยพยักหน้าอย่างเก้อๆที่เข้าใจผิดไปว่าบ้านต๋องฝังสมบัติไว้
“เพราะฉะนั้นเจ๊ก็มั่นใจได้ว่าลูกสาวเจ๊ไม่อดตายแน่ถ้าต้องมาเป็นสะใภ้บ้านนี้ เพราะชั้นมีสมบัติเยอะ แต่แค่นั้นยังไม่พอ เพราะทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่านั้นก็คือสิ่งที่งอกงามอยู่ในหัวกบาลของไอ้ต๋องลูกชายชั้น ชั้นมั่นใจเลยนะว่าผู้หญิงคนไหนที่ได้มันไปเป็นผัว...รวยเละแน่นอน” กล้าว่า
“เออ...ตากล้า ถ้ากบาลไอ้ต๋องมันมูลค่าสูงขนาดนั้น ชั้นว่าเราไม่ต้องใช้สินสอดไปขอหนูกิมลั้งแล้วล่ะมั้ง” แก้วรีบเสริม
“นั่นซินะ...” กล้ารีบเห็นด้วย
แก้ว กล้า ต๋อง และกิมลั้ง หัวเราะชอบใจ แต่ในใจลึกๆกิมลั้งสับสนกับความคิดที่มีอยู่ในหัวตัวเองว่าวิถีชีวิตแบบต๋องจะเอาชนะใจกิมฮวยได้อย่างไร
เวลาเดียวกัน ที่ตลาดร่วมใจเกื้อที่ผู้คนเดินเข้าตลาดอย่างคึกคัก ครู่หนึ่งรัศมีเดินเชิดออกมาอย่างไม่เกรงกลัวใคร พ่อค้าแม่ค้าเห็นรัศมีเดินมารีบพากันเอาถังจ้วงน้ำเดินดาหน้าเข้าไปเตรียมสาด
แต่ปรากกว่ากลุ่มลูกน้องชายฉกรรจ์ของรัศมีกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา พวกชาวตลาดจึงล่าถอยไป
“แน่จริงก็สาดมาซิ” รัศมีท้า
“แกเข้ามาในตลาดของพวกชั้นอีกทำไม ออกไป...” ลักษณ์เอ่ยขึ้น
“ออกไป...ออกไป...ออกไป...” ชาวตลาดตะโกนไล่รัศมี
“พวกแกน่ะซิที่ต้องออกไป เพราะตลาดนี่มันกลายเป็นของห้างชั้นแล้วชั้นให้เวลาเก็บข้าวของทุกอย่างภายในชั่วโมงเดียว ไม่งั้นสมบัติพวกแกได้ถูกโยนทิ้งกองขยะแน่” รัศมีเอ่ยขึ้นอย่างเป็นต่อ
สดศรีเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาพร้อมณดาอย่างเอาเรื่อง
“พูดบ้าบออะไร จะมาไม้ไหนอีก” สดศรีโพล่งขึ้น
“ทำไมต้องมาไม้ไหน พอชั้นซื้อตลาดนี่มาได้ ชั้นก็แค่มาแสดงความเป็นเจ้าของ ก็แค่นั้น...” รัศมีตอบ
“คุณนี่มันหน้าสมเพชจริงๆ ผิดหวังมากจนประสาทหลอน” ณดาด่ารัศมีทันที
“ชั้นว่าเธอกับแม่น่าจะหลอนมากกว่านะ ถ้ารู้ความจริงว่าตอนนี้โฉนดที่ดินตลาดที่อยู่กับคุณพงษ์น่ะมันตกมาอยู่ในมือชั้นเรียบร้อยแล้ว” รัศมีเอ่ยขึ้นอย่างไม่กลัว
“อะไรนะ” สดศรีถึงกับช็อก
“ถึงกับหน้าถอดศรีเลยเหรอ คราวนี้เชื่อแล้วใช่มั้ยว่าชั้นพูดเรื่องจริง” รัศมีเอ่ยขึ้น
“ไม่จริง...คุณพงษ์ไม่มีทางทำอะไรอย่างงั้นเด็ดขาด” สดศรีเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อ
“แต่เค้าก็ทำไปแล้วล่ะศรี...” ชายศักดิ์เดินมากับศักดิ์ชายโพล่งขึ้นอย่างเป็นต่อ
“คุณพงษ์เค้าอยากช่วยเธอน่ะ ชั้นบอกว่าจะใช้หนี้ที่เหลือแทนให้ เค้าก็เลยให้โฉนดนี่มาทันที” ชายศักดิ์พูดพร้อมหยิบโฉนดที่ดินขึ้นมาโชว์ สดศรีจะคว้ากลับแต่ ศักดิ์ชายรีบดึงโฉนดจากมือหนี ณดาเข้าไปช่วยดึงโฉนดที่มือศักดิ์ชาย ศักดิ์ชายรีบคว้ามือณดาไว้แล้วหมุนพลิกณดามาไว้ในอ้อมกอดตนเพื่อจะได้จับง่ายๆ
“ใจเย็นซิครับคุณณดา ดูโฉนดให้ดีก่อนดีกว่ามั้ย เพราะตอนนี้มันเป็นชื่อผมไม่ใช่ชื่อของแม่คุณอีกต่อไปแล้ว” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
ณดามองชื่อในโฉนด เป็นชื่อของ “ศักดิ์ชาย เลิศวิวัฒน์กิจ” ณดาถึงกับตะลึง
“คุณแม่...” ณดาหันไปมองแม่ด้วยสีหน้ากังวล
สดศรีเห็นสีหน้าณดา รู้ทันทีว่าเสียท่าชายศักดิ์กับรัศมีเข้าแล้ว โกรธตัวสั่น จนหายใจไม่ทัน
“ชายศักดิ์...พวกแกมันชั่วชาติจริงๆ” สดศรีโกรธจนตัวสั่น หายใจไม่ทันจนเป็นลมล้มพับลงไป
ชาวตลาดรีบเข้ามาช่วยสดศรี
“คุณแม่...” ณดาโพล่งขึ้น ก่อนจะกระทืบเท้าศักดิ์ชายแล้ววิ่งไปหาแม่ด้วยความห่วงใย
ชายศักดิ์ รัศมี และศักดิ์ชายยืนมองสดศรีด้วยความสะใจ ขณะที่บรรดาชาวตลาดพากันเครียดจนแทบจะล้มทั้งยืนตามสดศรีไปด้วย
เวลาต่อจากนั้น ณดาปฐมพยาบาลสดศรีที่นอนเป็นลมอยู่บนโซฟา ครู่หนึ่งสดศรีค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น
“คุณแม่คะ เป็นยังไงบ้าง” ณดาเอ่ยขึ้นอย่างห่วงใย
“ณดา นี่เราจะไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆเหรอ” สดศรีเอ่ยขึ้นด้วยความเสียใจ และโผเข้ากอดณดาไว้แน่น
“อย่าเพิ่งยอมแพ้นะคะคุณแม่ เราต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าพวกนั้นได้โฉนดเราไปแบบไม่ชอบมาพากล ต่อให้มันจะปลอมแปลงเอกสารการซื้อขายยังไง ลายเซ็นในเอกสารมันก็ไม่มีทางเหมือนลายเซ็นของคุณแม่อยู่แล้ว” ณดาเอ่ยขึ้น
“ที่แม่กลัวก็เพราะแม่รู้ว่าลายเซ็นนั่นมันจะเหมือนกับลายเซ็นของแม่มาก” สดศรีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเครือ
“ทำไมล่ะคะ” ณดาถามอย่างสงสัย
“ลูกรู้เรื่องที่แม่เคยแต่งงานกับเสี่ยชายศักดิ์มาก่อนใช่มั้ย” สดศรีอึดอัด แต่จำเป็นต้องพูด
“เอ่อ...ค่ะ ณดาเคยได้ยินคนพูดกัน แต่ก็ไม่อยากไปซักไซ้คุณแม่ให้ไม่สบายใจ คิดว่าคุณแม่พร้อมเมื่อไหร่คงเล่าให้ฟังเอง”
“วันนี้แม่ก็คงต้องพูดความจริงกับหนูแล้วล่ะ...แม่เคยแต่งงานกับชายศักดิ์จริงๆ ช่วงที่เรากำลังก่อร่างสร้างตัวทำตลาดอยู่ด้วยกัน แม่จะไว้ใจให้เค้าเซ็นเอกสารสำคัญต่างๆแทนแม่ประจำ เพราะแม่จะยุ่งกับตลาดจนไม่มีเวลาทำอะไร ไม่คิดเลยว่าวันนี้ชายศักดิ์จะกล้าใช้ลายเซ็นของแม่มาทำร้ายแม่ด้วยมือตัวเอง” สดศรีพูดทั้งน้ำตา
“ไม่น่าเชื่อนะคะว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนที่คุณแม่เคยรัก เพราะทุกอย่างที่เค้าทำ มันเหมือนคนที่ไม่เคยมีความผูกพันกันเลยซักนิด” ณดาเอ่ยขึ้น
“กิเลสมันทำให้คนเราทำได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ทำลายคนที่...” สดศรีเอ่ย
พร้อมเอามือลูบหน้าณดา คล้ายจะบอกความลับว่าชายศักดิ์ทำลายได้แม้แต่ลูกของตัวเอง ณดารอว่าแม่จะพูดอะไร พอรู้สึกตัวว่าเกือบจะหลุดปากพูด สดศรีรีบกลบเกลื่อน
“คนที่...เคยรักกัน ตอนนี้แม่มืดแปดด้านไปหมดแล้ว” สดศรีเอ่ยขึ้น
“คุณแม่อย่าเพิ่งหมดหวังนะคะ ต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะผ่านมันไปได้ ยังไงณดาก็เชื่อว่าบาปบุญคุณโทษมีจริง” ณดาเอ่ย
“แล้วไม่ใช่พวกคนบาปเหรอที่คอยจองล้างจองผลาญเราจนไม่มีที่ยืนแบบนี้” สดศรีพูดทั้งน้ำตาณดาโผกอดสดศรีด้วยความสงสารสุดหัวใจ
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00น.
“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 12 (ต่อ)
บ่ายนั้น เต๊กไฮ้ ลักษณ์ เคี้ยง กิมแช และจาตุรงค์ คุยกันเรื่องโฉนดที่ดินของสดศรีที่ตกไปอยู่ในมือของศักดิ์ชายกับรัศมี ที่ร้านอาโก
“เฮ้อ...ไม่รู้ว่าพวกเราไปทำอะไรไว้นักหนา ตลาดถึงหาความสงบสุขจริงๆไม่ได้ซักที” ลักษณ์เอ่ยขึ้น
“ไม่มีความสงบสุขอั๊วไม่ว่า แต่ไม่มีที่ทำมาหากินนี่เราจะทำยังไงกันต่อไป” เต๊กไฮ้เอ่ยขึ้น
“อาจาตุรงค์...ลื้อเป็นเพื่อนกับนายศักดิ์ชายอะไรนั่นไม่ใช่เหรอ ลื้อพอจะมีทางเจรจาอะไรกับเค้าได้บ้างมั้ย” เคี้ยงเอ่ยถามจาตุรงค์เพื่อหาทางออก
“คงยากน่ะครับอาเจ็ก ชายกับพ่อแม่มันจ้องจะตะครุบตลาดมาตั้งแต่แรกแล้ว มันไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือง่ายๆแน่” จาตุรงค์ตอบ
“ตกลงเราทำอะไรไม่ได้กันแล้วจริงๆเหรอเนี่ย นี่ถ้าพี่ต๋องยังอยู่นะ พี่ต๋องไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแน่ จริงด้วยซิ...พี่ต๋อง”
กิมแชเอ่ยขึ้น แล้วนึกถึงต๋องฮีโร่ที่ช่วยตลาดร่วมใจเกื้อมาได้ทุกครั้ง
เวลานั้นที่บ้านต๋อง ต๋องสาละวนอยู่กับกรงนกเขาที่แขวนอยู่ริมระเบียงบ้าน บรรดาสาวๆนั่งแกะสลักผลไม้ที่เป็นผลิตผลจากในไร่ในสวน ซึ่งแก้วแกะสลักออกมาสวยงามไม่แพ้ใคร
“โอ้โห...อาแก้ว ทำไมลื้อแกะสลักเก่งจัง อย่างกับแม่พลอยกลับชาติมาเกิด” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“มันอยู่ในสายเลือดน่ะเจ๊ ฝีมือชั้นที่มีอยู่ทุกวันนี้มันก็มาจากปู่ย่าตายายทั้งนั้น” แก้วรีบว่า
ทันใดนั้นเสียงมือถือต๋องดังขึ้น พอเห็นเป็นเบอร์กิมแชเริ่มแปลกๆใจ
“ว่าไงยังไงกิมแช” ต๋องรับสาย
พอต๋องได้ยินสิ่งที่กิมแชเล่าถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
“ได้ๆ” ต๋องพูดกับปลายสาย ต๋องวางสายแล้วหันมาบอกทุกคนหน้าเครียด
“ทุกคน...เราต้องรีบกลับกรุงเทพกันแล้วล่ะ”
ต๋องเอ่ยสีหน้ากังวล ทุกคนตกใจปนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
บ่ายนั้น ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ ชาวตลาดส่วนหนึ่งเดินขนของจ้าละหวั่น ข้าวของถูกปาออกมาจากในตลาด ทั้งหม้อ ครก อุปกรณ์ทำอาหาร ครู่หนึ่งป้าพิณ เขียวหวาน กับคำมูล วิ่งออกมาจากตลาดแล้วเก็บข้าวของตัวเองอย่างน่าเวทนา
สดศรีกับณดา เดินมาเห็นเหตุการณ์ความวุ่นวายแล้วหัวใจแทบขาด ต๋อง กิมลั้ง กิมฮวย ชมพู่ และคิตตี้ เข้ามาเห็นเหตุการณ์ยิ่งตกใจ
“มันอะไรกันเนี่ย” ต๋องเอ่ยขึ้น
“คุณต๋อง...” ณดาหันไปเห็นต๋องยิ้มดีใจ
ชาวตลาดหันมองตามณดา พอเห็นต๋องทุกคนร้องเรียกกันเสียงขรม
“ต๋อง”
ชาวตลาดกรูมาหาพวกต๋องใหญ่ กิมฮวยกับกิมลั้งเดินไปหาพวกเคี้ยงกับกิมแช
“ไอ้ต๋องพวกเราแย่แล้ว / ช่วยเราด้วยต๋อง / เราหมดที่ทำมาหากินแล้ว” ชาวตลาดรีบรายงาน
ต๋องนิ่งคิดและงงกับสิ่งที่เกิดตรงหน้า ยิ่งหันไปเจอสดศรีร้องไห้ต๋องยิ่งใจหาย
“ไม่ต้องกลัวนะทุกคน มันต้องมีทางออก” ต๋องรีบพูดเรียกกำลังใจ
ก่อนจะเดินเข้าไปในตลาดโดยมีกิมลั้งเดินตามเข้าไปติดๆด้วยความห่วงใย
ต๋องกับกิมลั้งเดินเข้ามาในตลาด เห็นข้าวของโดนรื้อกระจาย
“ปล่อยนะ” ติ๋มตะโกนขึ้น
ต๋องกับกิมลั้งหันไปเห็นติ๋มกำลังยื้อแย่งตะกร้าเงินกับลูกน้องของรัศมี
“อย่ามายุ่งกับเงินของชั้น” ติ๋มตะโกนบอกพร้อมแย่งของสู้กับลูกน้องรัศมี
“ก็กูจะยุ่ง” ลูกน้องรัศมีเอ่ยขึ้น พร้อมเข้าตบหน้าติ๋มอย่างแรงจนติ๋มต้องยอมปล่อยตะกร้าเงิน
“นี่มันโจรชัดๆ” ต๋องเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด
ต๋องเข้าไปต่อยลูกน้องรัศมีที่กำลังหยิบเงินขึ้นมาจากตะกร้าจนหน้าหงาย
“ของมึงเหรอ” ต๋องเดือด รีบคว้าตะกร้าเงินคืนมาแล้วส่งให้ติ๋ม
“พาพี่ติ๋มออกไปก่อนกิมลั้ง” ต๋องสั่ง
กิมลั้งรีบพาติ๋มออกไป ต๋องรีบเข้าไปต่อสู้กับลูกน้องรัศมีอย่างบ้าคลั่ง จนเลือดอาบหน้า ระหว่างนั้นลูกน้องที่เหลือทำลายแผงต่างๆรีบมุ่งหน้ามาที่ต๋องหวังจะรุมกระทืบ
“อยากให้เพื่อนมึงเป็นผีเฝ้าตลาดก็เอา” ต๋องรีบคว้ามีดที่แผงเอามาจ่อคอลูกน้องคนหนึ่งไว้
ลูกน้องรัศมีที่เหลือทำท่าจะไม่สนใจ ก้าวเท้าไปหาต๋อง ต๋องกรีดมีดที่คอลูกน้องคนนั้นแต่ไม่เต็มแรง
“โอ๊ย อย่า พวกมึงอยากให้กูตายหรือไงไอ้เวร” ลูกน้องรัศมีหันไปด่าเพื่อนที่เหลืออย่างกลัวตาย
เวลาต่อจากนั้น ต๋องเดินมาหาที่หน้าห้างเวรี่แฮปปี้ รัศมีเดินมาที่รถแล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งตรงที่คนขับ ต๋องเปิดประตูอีกข้างเข้าไปทันที
“ไอ้ต๋อง...แกขึ้นมาบนรถชั้นทำไม ลงไปเดี๋ยวนี้นะ” รัศมีรีบไล่ต๋อง
“ออกรถ...” ต๋องบังคับรัศมี
“แกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งชั้น” รัศมีเอ่ยขึ้น
“จะให้ผมไปด้วย หรือให้ผมลงไปเล่าเรื่องลับๆล่อๆของคุณให้พวกพนักงานที่ชอบสอดรู้สอดเห็นฟังดี แต่ถ้าคุณไม่อายก็ไม่เป็นไรนะ” ต๋องเอ่ยขึ้นอย่างทันเกม
ต๋องทำท่าจะเปิดรถลงไป รัศมีกลัว รีบกระชากรถขับออกไปด้วยความโมโห
รัศมีขับรถมาถึงใต้สะพานแห่งหนึ่ง จนมั่นใจว่าปลอดคนจึงจอดรถอย่างโมโห แล้วลงมาคุยกับต๋องนอกรถ
“แกมีอะไรก็ว่ามา แต่ถ้าจะมาพูดเรื่องไอ้ตลาดนั่นล่ะก็ ชั้นบอกไว้ก่อนเลยนะว่าเสียเวลาเปล่า” รัศมีเอ่ยขึ้น
“นี่คุณไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆเหรอที่ใช้แผนสกปรกฮุบสมบัติคนอื่นไปหน้าตาเฉยแบบนี้” ต๋องหลอกด่า
“ชั้นเอาไปฟรีๆซะเมื่อไหร่ ก็ใช้หนี้ทั้งหมดแทนให้แล้วไง” รัศมีเอ่ย
“คุณยังกล้าเอาความดีความชอบอีกเหรอ ในเมื่อเงินที่คุณนายสดศรีติดหนี้กับราคาที่ดินตลาดมันคนละเรื่องกันอย่างกับฟ้ากะเหว” ต๋องหลอกด่าต่อ
“ช่วยไม่ได้ ถ้ายอมขายที่ให้ชั้นแต่แรกก็หมดเรื่อง” รัศมีเอ่ยอย่างสะใจ
“คุณเข้าใจมั้ยว่าคุณนายสดศรีไม่ได้ต้องการเงิน แต่ต้องการเก็บที่ดินผืนแรกในชีวิตไว้ทำมาหากิน แล้วก็เป็นที่พึ่งพิงให้กับคนอื่นๆ” ต๋องอธิบาย
“ชั้นไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรทั้งนั้น ตกลงธุระมีแค่นี้ใช่มั้ย...ชั้นจะได้กลับ” รัศมีพูดอย่างไม่สนใจ
“สรุปว่าคุณจะไม่ยอมคืนโฉนดให้คุณนายสดศรีจริงๆใช่มั้ย” ต๋องถามย้ำความแน่ใจ
“ต๋อง...แกรู้จักคำว่าอ้อยเข้าปากช้างมั้ย” รัศมีพูดอย่างได้เปรียบ แล้วทำท่าจะหันหลังเดินออก
“คิดว่าถ้าเสี่ยชายศักดิ์รู้เรื่องของคุณกับนายฤทธิ์แล้ว ช้างอย่างคุณมันจะได้กินอ้อยอยู่อีกมั้ย”
ต๋องเอ่ยขึ้นอย่างเป็นต่อ
“บอกไปซิ บอกไปเลย แกคิดว่าแกจะเอาเรื่องนี้มาขู่ชั้นได้เรื่อยๆเหรอ ตอนนี้ตลาดนั่นเป็นชื่อของลูกชายชั้นเรียบร้อยแล้ว แกก็รู้ดีนี่ว่ามูลค่ามันมากมายก่ายกองแค่ไหน ต่อให้เสี่ยเฉดหัวชั้นไป แต่สมบัติชิ้นใหม่ที่ได้มันก็คุ้มค่ามากพอกับการที่ชั้นต้องทนอยู่กับไอ้เสี่ยนั่นมาตั้งครึ่งชีวิต” รัศมีพูด พลางเดินไปผลักต๋อง
รัศมีขับรถออกไปอย่างไม่แยแส ต๋องกังวลอย่างไม่รู้จะหาทางออกอย่างไรกับการช่วยให้ตลาดร่วมใจเกื้อไม่ตกอยู่ในมือของรัศมี
เวลาต่อจากนั้น ชาวตลาดยืนมองตำรวจกันเชือกห้ามเข้าบุกรุกตลาดร่วมใจเกื้อ ครู่หนึ่งต๋องเดินมาถึงด้วยความเซ็ง พอเห็นตำรวจติดป้ายห้ามเข้าจึงปรี่เข้าไปถาม
“คุณตำรวจ ต้องกั้นกันถึงขนาดนี้เลยเหรอครับ” ต๋องเอ่ยถามอย่างหดหู่
“ทางห้างเวรี่แฮปปี้เจ้าของตลาดแจ้งไปว่าถูกบุกรุก เลยให้เจ้าหน้าที่มาช่วยดูแล ยังไงก็ขอให้ทุกคนร่วมมือด้วยนะครับ ไม่งั้นพวกผมต้องดำเนินการตามกฎหมาย” ตำรวจเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกไป
“ดูซิ...ที่ที่เคยอยู่ทุกวี่ทุกวันเหมือนบ้าน ต่อไปนี้อย่าว่าแต่จะใช้ทำมาหากินเลย แค่จะเหยียบเข้าไปยังไม่มีสิทธิ์ ทำไมไอ้เสี่ยชายศักดิ์กับนังรัศมีมันถึงใจดำอำมหิตนัก” ป้าพิณเอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจ
“มันจะคิดบ้างมั้ยว่าพรุ่งนี้เราจะเอาอะไรกินกัน” คำมูลเอ่ย
“อั๊วว่านะ ตอนนี้เราต้องช่วยกันแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ใครมีมากหน่อยก็ต้องช่วยคนที่มีจำกัดจำเขี่ย อย่างน้อยๆต้องไม่มีใครอดตาย” เคี้ยงว่า
“ชั้นเห็นด้วย งั้นเอาอย่างงี้ละกัน เริ่มตั้งแต่มื้อเย็นวันนี้ พวกเรารวบรวมเงินคนละเล็กละน้อยให้ป้าพิณทำกับข้าวมาแจกจ่ายให้ได้กินกันทั่วๆ เอ้า...ของชั้นให้เท่านี้” จะเด็ดเอ่ยขึ้น พร้อมหยิบเงินตัวเองออกมา
“นี่ของอั๊วกับครอบครัว” เคี้ยงรีบเอ่ยขึ้น พร้อมยื่นเงินให้จะเด็ดเช่นกัน
“เดี๋ยวอั๊วจะเอาของสดไปสมทบให้ป้าพิณทำกับข้าวด้วยนะ” กิมฮวยรีบว่า
“งั้นกิมแชขอไปเป็นลูกมือช่วยป้าพิณด้วยอีกแรงจ้ะ” กิมแชเอ่ย
“ผมอาสาเป็นผู้ช่วยกิมแชอีกที” จาตุรงค์รีบเอ่ยตาม
“นี่ของอั๊วกับอาลักษณ์ แล้วก็อาจาตุรงค์” เต๊กไฮ้เอ่ยขึ้นพร้อมนำเงินมาสมทบ
“แล้วชั้นจะแล่เนื้อหมูไปให้ด้วย” ลักษณ์บอก
ชาวตลาดร่วมกันสมทบเงินจะเด็ด ต๋องกับกิมลั้งมองภาพตรงหน้าด้วยความตื้นตันใจ
“ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีนะ อย่างๆน้อยมันก็ทำให้เห็นว่าพวกเรารักกันมากแค่ไหน”
ต๋องเอ่ยขึ้นกับกิมลั้ง
“ขอให้กุศลจากความดีมีน้ำใจช่วยให้ทุกคนรอดพ้นจากทุกข์ภัยครั้งนี้ด้วยเถอะ” กิมลั้งยกมือไหว้ขอพร
ครู่หนึ่งยายที่ต๋องกับกิมลั้งเคยชีวิตไว้หิ้วตะกร้าขนมเข้ามามาหาต๋องด้วยความงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดร่วมใจเกื้อ
“ต๋อง...กิมลั้ง...เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก ?”
ยายถามด้วยความสงสัย
ครู่หนึ่ง ยาย ต๋องและกิมลั้ง คุยเรื่องตลาดร่วมใจเกื้อกันด้วยความเครียด ยายรู้เรื่องเข้าตกใจไม่น้อย
“โอย...ตายจริง ทำไมถึงได้ใจร้ายใจดำทำกับคนทำมาหากินได้ขนาดนี้ แล้วนี่จะทำยังไงกันต่อไปล่ะ” ยายโพล่งขึ้น
“ก็ยังไม่รู้เลยจ้ะยาย ตอนนี้ชั้นก็คิดแต่ว่าจะมีทางไหนมั้ยที่จะช่วยให้คนในตลาดมีที่ทางขายของก่อนชั่วคราวก็ยังดี เพราะเรื่องเอาตลาดกลับคืนมาคราวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ” ต๋องว่า
ยายนิ่งไปพยายามใช้ความคิด ครู่หนึ่งรถเบนซ์หรูมาจอดเทียบข้างๆ ต๋องกับกิมลั้งมองตามด้วยความงง เพราะจู่ๆคนขับรถเบนซ์นั้นเดินลงมาหายาย
“อยู่นี่เอง” คนขับรถเบนซ์เอ่ย
“อย่ามายุ่งกับชั้นนะ...” ยายพูดล้วรีบวิ่งไปหลบหลังต๋อง
“ต๋องช่วยยายด้วย ไอ้นี่มันตามไล่ปล้ำยายตั้งแต่เช้าแล้ว” ยายรีบเอ่ย
ต๋องได้ยินแล้วตกใจ เข้าไปกระชากคอเสื้อคนขับรถ
“คิดจะทำบ้าอะไรฮะ เวลามองหน้ายายแล้วแกเกิดอารมณ์ได้ยังไงกัน” ต๋องเอ่ยด้วยความโมโห
“เอ้า...ต๋อง” ยายพูดแล้วหันมามองต๋อง
“ชั้นหมายถึงว่าเวลามันเห็นหน้ายายมันไม่รู้สึกเหมือนกำลังจะทำร้ายแม่ตัวเองรึยังไง” ต๋องบอก
“โธ่เอ๊ย...ใครบอกว่าชั้นจะทำร้ายคุณนาย ชั้นจะมาพาคุณนายกลับบ้านต่างหาก” คนขับรถรีบปฏิเสธ
“คุณนาย?” ต๋องกับกิมลั้งอุทานออกมาพร้อมกัน
“กลับบ้านดีๆเถอะนะครับคุณนาย เดี๋ยวคุณๆก็จะมาเล่นงานผมอีกที่ปล่อยให้แม่ออกมาเร่ร่อนขายขนมแบบนี้” คนขับรถรีบบอก
“พวกมันจะมาสนใจอะไรชั้น วันๆทำกันแต่งาน ชั้นเบื่อชั้นเหงาก็อยากออกมาเจอผู้คนบ้าง จะมาขังไว้กับบ้านให้เป็นนกน้อยในกรงทองได้ยังไง” ยายรีบตอบทันที
“เอ่อ...เดี๋ยวนะจ๊ะยาย ตกลงยายเป็นคุณนายจริงๆเหรอ แล้วบ้านสวนที่เราพายายไปส่งเมื่อวันก่อนล่ะ” กิมลั้งรีบถามขึ้น
“นั่นมันที่ของลูก ยายอยู่บ้านที่ติดกับสวน” ยายเอ่ย
“บ้านหลังใหญ่อย่างกับวังนั่นน่ะเหรอยาย” ต๋องรีบถาม
“นั่นล่ะ...สรุปรู้แล้วนะว่าใครเป็นใคร งั้นกลับบ้านได้แล้วล่ะครับคุณนายผมกราบล่ะ” คนขับรถรีบตอบแทนยาย แล้วเข้าไปจะอุ้มยายขุ้นรถซึ่งยายดูไม่เต็มใจกลับบ้าน
“ปล่อย...ชั้นยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ติดภารกิจช่วยชีวิตคนที่นี่อยู่” ยายพูดแล้วดิ้นหนี
“อะไรนะครับ” คนขับรถงง
“เอาอย่างนี้นะ...ยายมีที่เป็นลานโล่งติดถนนอยู่แถวปากซอยบ้าน ตรงนั้นคนผ่านไปมา
เยอะเหมือนกัน เดี๋ยวให้ทุกคนไปตั้งแผงขายของชั่วคราวที่นั่นก่อนก็ได้” ยายพูดกับกิมลั้งและต๋องอย่างจริงจังจนทั้งสองคนดีใจปนตกใจและทำอารมณ์ไม่ถูกกับสิ่งที่ยายขายขนมแต่กลายเป็นมหาเศรษฐีหยิบยื่นให้
ไม่นานนัก ลานโล่งกว้างริมถนนคนในตลาดร่วมใจเกื้อเตรียมจัดแผงขายของชั่วคราว ต๋องกับกิมลั้งช่วยกันเขียนขึ้นกระดาษแผ่นใหญ่ให้ดูแล้วอธิบายประกอบ
“เอาเป็นว่าขอให้ทุกคนช่วยกันจัดแผงตามนี้แล้วกันนะจ๊ะเพื่อความสะดวกแล้วก็ความเป็นระเบียบ เพราะเราคงต้องขายของอยู่ตรงนี้กันพักใหญ่เลยทีเดียวกว่าคุณนายสดศรีจะจัดการเรื่องตลาดเรียบร้อย” ต๋องว่า
“แล้วลูกค้าประจำจะรู้ได้ยังไงล่ะต๋องว่าเราย้ายมาอยู่ตรงนี้” คิตตี้เอ่ยขึ้น
“เรื่องนั่นไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพวกเราส่วนหนึ่งจะช่วยกันออกไปแจกใบปลิวบอกข่าวคนในซอยกัน แต่ตรงนี้ค่อนข้างจะเป็นจุดที่เห็นเด่นชัดอยู่แล้ว ใครผ่านไปมาก็น่าจะสังเกตกันได้ง่ายๆ” กิมลั้งว่า
ยายเห็นรู้สึกปลาบปลื้มใจ แล้วรีบเดินเข้ามาดูชาวตลาด
“ยาย...” ต๋องเรียก ในขณะที่ชาวตลาดตามต๋องเดินมาหายาย
ชาวตลาดรีบเดินมาหายายผู้อุปการคุณ
“เป็นยังไงบ้าง” ยายถามขึ้นอย่างห่วงใย
“ขอบพระคุณยายมากนะจ๊ะที่เป็นนารีขี่ม้าขาวมาช่วยพวกเรา” ต๋องตอบน้ำเสียงจริงใจ
แล้วเข้าไปกราบยาย
“ขอบคุณจ้ะ” ชาวตลาดที่ยกมือไหว้ยายด้วยความศรัทธาในเมตตาครั้งนี้
“ไม่เป็นไรๆ นี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำกับที่ต๋องกับกิมลั้งช่วยชีวิตยายไว้ เมื่อวันก่อน” ยายเอ่ยขึ้น
“ยาย...เอ้ย...คุณนายคะ” กิมฮวยเรียกผิดๆถูกๆ
“เรียกยายเถอะแม่ คนเหงาอย่างยายจะได้รู้สึกว่ามีลูกหลานเยอะแยะ” ยายรีบบอกกิมฮวย
“ได้ๆ ยาย คืออั๊วอยากจะถามว่ายายจะคิดค่าเช่าแผงพวกเราเท่าไหร่” กิมฮวยรีบเอ่ยถามขึ้น
“แหม...ก็บอกว่าอยากได้ลูกหลาน ไม่ได้อยากได้ตังค์” ยายตอบทันทีเช่นกัน
“หมายความว่ายายจะให้เราใช้ที่กันฟรีๆเหรอจ๊ะ เป็นไปไม่ได้” คิตตี้เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ
“นั่นซิจ๊ะ ของฟรีไม่มีในโลก ยายมีลูกชายมั้ย ถ้าจะให้ชมพู่เสียสละตัวเองไปเป็นสะใภ้ยายเพื่อรับภาระแทนทุกคน ชมพู่ก็ยอม” ชมพู่เอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่ล่ะมั้งนังชมพู่ ชั้นว่าแกจะฮุบสมบัติยายมากกว่านะ” คิตตี้เอ่ยอย่างรู้ทัน
“เอาเถอะ...ไม่เป็นไรจริงๆ ทุกคนเก็บเงินไว้ใช้ยามคับขันดีกว่านะฟังๆแล้วปัญหาของตลาดร่วมใจเกื้อยังอีกยาวแน่” ยายยืนยันคำเดิม
“แต่ยายให้พวกเราทำอะไรให้ซักนิดเถอะนะ ไม่งั้นมันเหมือนพวกเราแห่กันมารุมเอาเปรียบยายยังไงก็ไม่รู้” ชมพู่ว่า
“งั้นเอางี้...ช่วยทำแผงซักแผงให้นั่งขายขนมหน่อยละกัน คนขับรถที่บ้านจะได้ไม่ออกตามล่ายายรายวันอีก โอเคกันมั้ย” ยายเสนอขึ้น
“โอเค” ชาวตลาดประสานเสียงพร้อมกัน
“แล้วถ้าจะให้ดี พ่อจะเด็ดน่ะก็ให้เลขท้ายสองตัวเด็ดๆยายบ้างนะ ได้ข่าวแจกโชคประจำนี่” ยายแซวจะเด็ดอย่างรู้สถานการร์ตลาดร่วมใจเกื้อดี
“งั้นเอาไปเลยยาย 55” จะเด็ดว่า
“อุย...ทำไมแจกเร็วนักล่ะ ไม่นั่งทางใน หยดน้ำมนต์ลงขันหน่อยเหรอ” ยายถาม
“ก็ 55 เป็นเลขลงท้ายของปีนี้ไง ก็ขอให้ปีนี้เป็นปีแห่งการหัวเราะปีแห่งความสุขของยายสมกับที่ทำบุญทำทานครั้งใหญ่กับพวกเราไงจ๊ะ”จะเด็ดว่า
“งั้นก็ขอให้ทุกคนผ่านพ้นทุกข์ภัยให้ไวๆเหมือนกันนะ จะได้มาช่วยกันหัวเราะดังห้าห้ากับยาย” ยายเอ่ยขึ้นอย่างให้กำลังใจ
“สาธุ”
ชาวตลาดยกมือไหว้ท่วมหัว ขอให้คำอวยพรของยายเป็นจริงดังนั้น
ดึกคืนนั้น สดศรีนั่งดื่มไวน์จนเกือบรุ่งสาง เพราะกังวลเรื่องตลาดร่วมใจเกื้อ คิดมากและว้าวุ่นและยังหาทางออกไม่ได้ พลางคิดถึงคำพูดของรัศมีขึ้นมา
“ชั้นว่าเธอกับแม่น่าจะหลอนมากกว่านะ ถ้ารู้ความจริงว่าตอนนี้โฉนด ที่ดินตลาดที่อยู่กับคุณพงษ์น่ะมันตกมาอยู่ในมือชั้นเรียบร้อยแล้ว” รัศมีเอ่ยใส่หน้าสดศรี
“คุณพงษ์เค้าอยากช่วยเธอน่ะ พอชั้นบอกว่าจะใช้หนี้ที่เหลือแทนให้ เค้าก็เลยให้โฉนดนี่มาทันที” ชายศักดิ์เอ่ยขึ้น
“ใจเย็นซิครับคุณณดา...ดูโฉนดให้ดีก่อนดีกว่ามั้ย เพราะตอนนี้มัน เป็นชื่อผมไม่ใช่ชื่อของแม่คุณอีกต่อไปแล้ว” ศักดิ์ชายพูดกับณดา
คำพูดของ สามคนพ่อแม่ลูก ทำให้สดศรีเครียดจัด จึงเทยานอนหลับจากขวดกินกับไวน์อย่างขาดสติ
เช้าวันใหม่ ณดาเดินมาเคาะประตูเรียกสดศรีหน้าห้อง
“คุณแม่ขา...ของตักบาตรพร้อมแล้วนะคะ คุณแม่แต่งตัวเสร็จรึยัง” ณดาตะโกนเรียกพร้อมเคาะห้องสดศรีไปด้วย แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ณดาจับลูกบิดประตูเข้าไปเพราะเห็นว่าไม่ได้ล็อกประตูไว้
หลังจากเปิดเข้าไปเห็นสดศรีนอนแน่นิ่งกับพื้น
“คุณแม่” ณดาตกใจร้องเสียงดังที่เห็นแม่หมดสติ
ครู่หนึ่ง ณดาพาสดศรีมาโรงพยาบาล
“โธ่...คุณนายขา ไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย” ทวีเอ่ยขึ้นหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล
ครู่หนึ่งหมอออกมาจากห้อง ณดากับทวีรีบวิ่งเข้าไปหา
“เป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” ณดารีบถามอย่างกัวล
“คนไข้ปลอดภัยดีแล้วครับ แต่ต่อไปอย่าปล่อยให้ทานยานอนหลับกับแอลกอฮอล์อีก ไม่งั้นอาจจะไม่รอดหวุดหวิดเหมือนครั้งนี้ หมอขอตัวนะครับ” หมอรีบแจ้งอาการ
“พวกเสี่ยชายศักดิ์มันจะรู้บ้างมั้ยว่าคุณนายเกือบตายเพราะพวกมัน คุณณดาขา ทวีกลัวจะเกิดเรื่องแบบนี้อีกจัง” ทวีเอ่ยอย่างวิตก
“พูดอย่างกับว่าคุณแม่ตั้งใจทำร้ายตัวเองอย่างงั้น” ณดาพูดออกมาทั้งที่ในใจแอบกลัวไม่น้อย
“ไม่ใช่ค่ะ แต่คนเราเวลาเครียดมากๆน่ะบางทีก็ทำอะไรลงไปแบบไม่รู้ตัว ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ทวีไม่เคยเห็นคุณนายเครียดขนาดนี้มาก่อนเลย” ทวีเอ่ยขึ้น
“ฝากคุณแม่ด้วยนะ เดี๋ยวชั้นมา” ณดาพูดคล้ายมีอะไรบางอย่างที่ต้องออกไปจัดการ
“จะไปไหนคะคุณณดา”
ทวีเรียกณดาไว้ แต่ณดามุ่งหน้าออกมาทันที
เวลาต่อจากนั้น ที่ห้างเวรี่แฮปปี้ ศักดิ์ชายขับรถเข้ามาในห้างแต่ต้องเบรกกะทันหันเพระาณดาเข้ามาขวางไว้
“เป็นบ้าอะไรของคุณฮะ” ศักดิ์ชายลงจากรถ แล้วพูดด้วยความโมโห
ณดาเข้าไปหาศักดิ์ชายคล้ายจะเข้าไปตบ แต่ปรากฏว่าเธอกลับคุกเข่าลงตรงหน้าเขาแทนจน
ศักดิ์ชายตกใจ
“ขอร้องนะศักดิ์ชาย ขอตลาดคืนแม่ให้แม่ชั้นเถอะ มันมีความหมายกับแม่ชั้นมาก” ณดาเอ่ยอย่างสิ้นศักดิ์ศรีเพื่อแม่ ศักดิ์ชายดึงตัวให้ณดาลุกขึ้นเพราะไม่อยากเห็นเธอในสภาพนี้แต่ยังแสร้งโหด
“จะทำแบบนี้ทำไม อย่าเสียเวลาพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ที่ดินนั่นมันควรจะกลับมาอยู่กับเจ้าของตัวจริงตั้งนานแล้ว” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“พูดอะไรของคุณ ตลาดนี่แม่ชั้นสร้างเองมากับมือตั้งแต่เริ่ม” ณดาเอ่ย
“นั่นมันเรื่องที่แม่คุณกุขึ้นเพื่อกลบเรื่องโกงที่ดินนั่นไปจากพ่อแม่ผม แม่คุณโกรธที่คุณพ่อทิ้งไปเพราะเลือกที่จะใช้ชีวิตกับคุณแม่ผม ก็เลยหาทางกลั่นแกล้ง” ศักดิ์ชายรีบเอ่ย
“แล้วคุณก็เชื่อเรื่องที่แม่คุณพูดเหรอ คุณรู้มั้ยว่าแม่คุณน่ะไม่ได้ต่างอะไรกับนางมารร้ายเลย”
ณดาสวน
“ไม่งั้นจะสมน้ำสมเนื้อกับแม่มดเจ้าเล่ห์อย่างแม่คุณเหรอ คุณกลับไปได้แล้ว เราไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกันอีกต่อไปแล้ว” ศักดิ์ชายรีบไล่ณดา
“ได้ งั้นชั้นคงทำอะไรไปไม่ได้มากไปกว่าทำให้คุณรู้สึกบาปไปทั้งชีวิต” ณดาเอ่ยอย่างหมดทางสู้
“คุณจะทำอะไร” ศักดิ์ชายถามด้วยความแปลกใจ
ณดานิ่งไม่มีคำตอบให้ แต่จู่ๆเธอเดินมุ่งหน้าไปกลางถนนอย่างไม่กลัวตาย ทันใดนั้นมีรถคันหนึ่งพุ่งมาเธอหลับตาเตรียมฆ่าตัวตายแต่ทว่า ศักดิ์ชายรีบเข้ามาช่วยไว้จนกลิ้งลมไปอีกมุมหนึ่งของถนน
“ปล่อย...” ณดาพยายามลุกเพื่อวิ่งออกไปให้รถชนอีกครั้ง
ศักดิ์ชายคว้าตัวไว้แล้วเขย่าร่างณดาอย่างแรง
“หยุดได้แล้วณดา วิธีโง่ๆนี่มันทำอะไรผมไม่ได้หรอกนะ แต่ถ้าคุณเป็นอะไรไป มันจะทำให้แม่คุณไม่เหลืออะไรอีกเลยในชีวิต” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้นด้วยความโมโหก่อนจะเดินออกไปทั้งที่เสียใจ
ณดายืนร้องไห้ปานจะขาดใจอยู่ตรงนั้นอย่างหาทางออกช่วยแม่ที่เธอรักไม่ได้
บ่ายนั้น ที่ห้องพักผู้ป่วย ต๋องเดินทางมาเยี่ยมอาการสดศรีที่โรงพยาบาล
“ผมขอโทษนะครับที่ปล่อยให้คุณนายเป็นอย่างนี้” ต๋องเอ่ยขึ้นกับสดศรีทันทีพร้อมยกมือไหว้
“มันไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเธอเลย” สดศรีเอ่ยขึ้น
“ก็ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ผมมัวแต่ไปวุ่นกับเรื่องหาที่ขายของจนลืมไปว่าคุณนายกำลังแย่ ต้องการคนคุย ต้องการที่ปรึกษา” ต๋องเอ่ย
“เธอทำถูกแล้วต๋อง เพราะถ้าคนที่ตลาดขายของต่อไปไม่ได้ ชั้นคงรู้สึกแย่ไปกว่านี้ที่ลากทุกคนมาลำบากด้วย” สดศรีเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“อย่าคิดอย่างนั้นครับคุณนาย ยังไงซะพวกเราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ทุกคนพร้อมเสมอนะครับที่จะช่วยคุณนายเอาตลาดคืนมา” ต๋องเอ่ยจากใจ
“แต่คราวนี้มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก ลองโฉนดตกไปอยู่ในมือพวกนั้นแล้ว” สดศรีพูดทั้งน้ำตา
“เธอรู้มั้ยว่าชั้นตั้งใจมาตลอดว่าอยากให้ที่ดินผืนที่ชั้นรักตกทอดเป็นของคนที่ชั้นรักต่อไป ที่ชั้นเก็บตลาดไว้ไม่ขายให้ใครก็เป็นเพราะมันเครื่องเตือนความจำว่าเรามีวันนี้ได้ยังไง ที่สำคัญ...ตลาดไม่ใช่แค่ที่ทำมาหากิน แต่มันคือชีวิต คือเรื่องราวที่มีคุณค่าของใครหลายๆคน ชั้นถึงได้อยากส่งผ่านความรู้สึกนี้ไปถึงลูกไง ชั้นยังจำได้เลยนะว่าดีใจมากแค่ไหนวันที่ณดาบอกว่าจะมาช่วยงานในตลาด ยิ่งเวลาผ่านไปณดาก็ยิ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมันเกินกว่าที่ชั้นคิด แต่ไม่น่าเชื่อว่าสุดท้ายสมบัติที่มีค่าทางความรู้สึกของณดากลับถูกทำลายด้วยมือของพ่อแท้ๆ” สดศรีพรั่งพรู
“คุณนายหมายความว่ายังไงครับ” ต๋องตกใจที่ได้ยินว่าพ่อแท้ๆทำลายลูก จึงโพล่งถามขึ้น
“ชั้น...” สดศรีตกใจที่หลุดพูดออกไป
“ที่แท้คุณณดาเป็นลูกของเสี่ยชายศักดิ์ใช่มั้ยครับ” ต๋องเอ่ยถามสดศรีซึ่งๆหน้า
“ช่างมันเถอะต๋อง มันไม่ได้สำคัญอะไร ถือว่าเธอไม่ได้ยินที่ชั้นพูดเมื่อกี้ละกัน” สดศรีพยายามไม่สนใจ
“สำคัญซิครับคุณนาย เพราะนี่จะเป็นทางออกสุดท้ายที่จะทำให้คุณนายได้ตลาดกลับคืนมา คุณนายต้องบอกเสี่ยชายศักดิ์เรื่องคุณณดานะครับ” ต๋องโพล่งอย่างต้องการคำตอบ
“ไม่มีทาง ชั้นไม่มีทางให้ณดารับรู้ว่าตัวเองมีพ่อเลวๆแบบนั้น” สดศรียืนยัน
“ยังไงคุณนายก็ต้องบอกครับ ไม่อย่างงั้นที่ดินที่คุณนายสร้างมากับมือจะหลุดไปเป็นคนนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยเลย” ต๋องเอ่ยความจริงบางอย่างออกมา
“เธอพูดอะไร” สดศรีถามกลับด้วยความแปลกใจ
“ศักดิ์ชายไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของเสี่ยชายศักดิ์ครับ” ต๋องตอบอย่างรู้ความจริงเรื่องรัศมีกับฤทธิ์ สดศรีช็อกกับสิ่งที่ได้รับรู้
จบตอนที่ 12
อ่านต่อตอนที่ 13 ตอนอวสาน พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.