“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 7
ในห้องคาราโอเกะ ร้านอาหารที่เลี้ยงปิดกล้องคืนนั้น ทุกคนกำลังชนแก้วกัน กิมฮวยอยู่ในอาการเมาไปเรียบร้อย
“ชนให้กับเอ็มวีที่น่ารักที่สุดของพวกเรา” นุ้ยเอ่ยขึ้น
“งั้นก็ชนอีกทีให้กับนางเอกเอ็มวีที่สวยที่สุดอย่างกิมลั้งลูกแม่กิมฮวย” กิมฮวยเอ่ยขึ้นด้วยอาการเมา
ทั้งหมดชนแก้วกันอีกครั้งตามคำร้องของกิมฮวย หลังจากชนแล้ว ขณะจะเอาแก้วเข้าปาก กิมฮวยมือไม้อ่อนเกือบทำแก้วตก ดีที่กิมลั้งรับไว้ทัน
“ม้า ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องดื่มแล้ว” กิมลั้งพูดแล้วรีบดึงแก้วไวน์ออก แต่กิมฮวยรีบตะครุบ
“ใคร ใครบอกว่าอั๊วไม่ไหว นี่อานุ้ย ขอบใจมากเลยนะที่พาอั๊วมารู้จักที่ใหม่ๆ รสชาติใหม่ๆ”
กิมฮวยเมาจนแทบคุมสติไม่อยู่
“ด้วยความยินดีค่ะเจ๊ อ้อ แต่มีเรื่องใหม่ๆอีกเรื่องที่เจ๊ต้องทำ ไม่งั้นก็เหมือนไม่ได้มาที่นี่”
นุ้ยกดรีโมทไปที่จอทีวี แล้วเพลงคู่ยอดฮิตยุคกิมฮวย
“เพลงนี้นุ้ยเตรียมไว้ให้เจ๊โดยเฉพาะเลยนะคะ” นุ้ยส่งไมค์ให้กิมฮวยทันที
“อ๊ายๆ อานุ้ย ถูกใจอั๊วมาก” กิมฮวยรีบคว้าไมค์ไปร้องอย่างคึกคัก
นุ้ยเริ่มต้นร้องเพลงด้วยเสียงเป็นผู้ชายเต็มตัว จนทุกคนต้องเซอร์ไพร์ส พอถึงคราวกิมฮวยร้อง เธอร้องด้วยความเมามัน
“เอ๊ะ อั๊วว่าเราขาดอะไรไปมั้ย” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“อะไรคะเจ๊” นุ้ยเอ่ยถาม
“เพลงมันขนาดนี้ ทำไมไม่มีแดนเซอร์เต้นประกอบ” กิมฮวยว่า
นุ้ยหันไปหาคนที่เหลือ
“เอาทุกคนช่วยกันหน่อยเร้ว วู้ว” นุ้ยบอกทุกคน
ณดาลุกขึ้นไปหาต๋องอย่างได้โอกาส
“เรามาแทคทีมเสริมบรรยากาศให้เจ๊กิมฮวยหน่อยดีกว่านะคะ” ณดาเอ่ยขึ้น
“เอ่อ ครับ” ต๋องตอบอย่างเกรงใจกิมลั้ง แอบมองไปอย่างกังวลแต่ต้องลุกเต้นเพื่อมารยาท
ณดายิ้มร่าควงแขนต๋องออกไปเต้น กิมลั้งเห็นแล้วใจเต้นไม่เป็นส่ำแต่พยายามทำให้เป็นปกติ ศักดิ์ชายเห็นอาการดี๊ด๊าของณดาแล้วเจ็บใจ รีบหันไปที่กิมลั้ง
“กิมลั้ง ไป เราจะมานั่งอยู่เฉยๆทำไมล่ะ”ศักดิ์ชายรีบคว้ามือกิมลั้งไปแบบไม่รอคำตอบ
ต๋องหันมาเห็นกิมลั้งเต้นคู่กับศักดิ์ชายเริ่มเสียอาการไปเหมือนกัน ทั้งสองคู่ต่างแอบมองกันแบบไม่เป็นสุข ยกเว้นณดาที่ร่าเริงจนเกินเหตุ
เวลาเดียวกันนั้น เคี้ยงนั่งกินข้าวต้มริมทางอยู่ ครู่หนึ่งเสียงมือถือดังขึ้น เคี้ยงหันไปพูดกับคนข้างๆ
“แป๊บนึงนะ” เคี้ยงเดินปลีกตัวมารับโทรศัพท์
“ว่าไงลูก กิมแช” เคี้ยงตอบปลายสาย
“ป๊าจะกลับบ้านกี่โมงกี่โมงอ่ะ” กิมแชถาม
“คงสักพัก ป๊ายังคุยธุระกับเพื่อนอยู่เลย” เคี้ยงตอบ
“งั้นก็รีบๆนะป๊า นี่ม้ากับเจ้ก็ยังไม่กลับเลย” กิมแชว่า
กิมแชกดวางสายอย่างจ๋อยๆแล้วคิดอะไรบางอย่างในใจ จึงกดมือถืออีกครั้ง กิมแชส่งข้อความถึงจาตุรงค์ว่า “อย่าลืมทานยาให้ครบมื้อนะคะ จะได้หายไวๆ”
“หลับฝันดีนะจ๊ะพี่รงค์ แล้วพบกับกิมแชโฉมใหม่ในเร็วๆนี้นะ” กิมแชเอ่ย
แล้วหยิบรีโมททีวีเต้นแอโรบิก และเธอเต้นตามอย่างมุ่งมั่น
ที่ร้านอาหาร ทุกคนยังสนุกสนานกับงานเลี้ยงปิดกล้อง
“หมดแรงแล้วใช่มั้ยคะเจ๊ นั่งพักเติมน้ำก่อนละกันนะคะ” นุ้ยดึงมือกิมฮวยให้นั่งลง แต่กิมฮวยลุกขึ้นยืนเด้งขึ้นอีก
“ไม่ๆ อั๊วยังสนุกอยู่เลย จัดเพลงซึ้งๆแบบร่วมสมัยให้อั๊วซักเพลงซิ อานุ้ย เดี๋ยวเด็กมันจะหาว่าอั๊วแก่” กิมฮวยตอบ นุ้ยกดรีโมทด้วยความว่องไว
“งั้นดีเจนุ้ยขอเลือกเพลงนี้ให้เจ๊กิมฮวยแม่กิมลั้งละกันนะคะ”
อินโทรเพลงใหม่ขึ้น แดนเซอร์จำเป็นเดินกลับมาหย่อนก้นนั่งที่เก้าอี้
“ไม่ๆ” กิมฮวยเสียงดังจนต๋อง กิมลั้ง ณดา และศักดิ์ชายหันมามอง
“ไม่ชอบเพลงนี้เหรอคะ” นุ้ยถาม
“ไม่ใช่ อั๊วห้ามไม่ให้พวกแดนเซอร์นั่งต่างหาก พวกลื้อต้องเต้นประกอบเพลงของอั๊วก่อน แบบนี้”
กิมฮวยเอื้อมไปเอามือนุ้ยทั้งสองข้างมาโอบเอวตัวเอง แล้วเอามือข้างหนึ่งไปคล้องคอนุ้ยเป็นการสาธิต นุ้ยถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน ต๋อง กิมลั้ง ณดา และศักดิ์ชายมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทำท่าจะลงนั่งกันอีกครั้ง แต่กิมฮวยหันมาตวาด
“อย่านั่ง”
ต๋อง กิมลั้ง ณดา กับศักดิ์ชายสะดุ้ง ณดาทำท่าจะเดินไปหาต๋อง แต่ศักดิ์ชายรีบเข้าไปคั่นกลาง
“สลับคู่กันบ้างนะต๋อง”
ศักดิ์ชายเข้าโอบเอวณดาดึงไปเต้นเองมุมหนึ่ง กิมฮวยร้องเพลงไปเต้นรำไป ณดาสะบัดสะบิ้ง
“อะไรของคุณเนี่ย” ณดาเอ่ยขึ้น
“ทำตัวให้มันเป็นปกติน่ะ อยากให้คนอื่นก็รู้รึไงว่าเราเป็นอะไรกัน” ศักดิ์ชายเอ่ย
ณดายอมสงบแต่แอบเหยียบเท้าศักดิ์ชายแรงๆหนึ่งทีด้วยความเจ็บใจ
“โอ๊ย” ศักดิ์ชายเจ็บ แต่แก้แค้นด้วยการกอดณดาแน่น
ต๋องกับกิมลั้งยังยืนมองกันอย่างงงๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าต้องเต้นกับเธอ ม้าชั้นไม่ยอมอยู่แล้ว” กิมลั้งว่า
“ม้าไม่ยอม หรือเธอไม่กล้ากันแน่” ต๋องรู้สึกเหมือนถูกปฏิเสธ
“แล้วชั้นต้องกลัวอะไร” กิมลั้งเอ่ย
“ ก็กลัวหวั่นไหวเวลาที่ต้องอยู่ใกล้ชั้นน่ะซิ” ต๋องโพล่งขึ้น
“งั้นก็ดูแล้วกันว่าชั้นจะหวั่นไหวมั้ย” กิมลั้งเอ่ย
กิมลั้งเอื้อมแขนไปคล้องคอต๋องเองหมือนคนโดนหยามไม่ได้ ต๋องเอื้อมไปจับเอวกิมลั้ง ต่างคนต่างจ้องตากันราวกับจะแข่งว่าใครจะกระพริบตาก่อน แต่ในใจลึกๆแอบมีความสุขด้วยกันทั้งคู่
ระหว่างนั้นพอนุ้ยหันไปเห็นต๋องกำลังเต้นกับกิมลั้งจึงรีบพลิกตัวกิมฮวยให้หันหลัง พอกิมฮวยหันหลัง นุ้ยรีบจับศีรษะกิมฮวยกดลงบนบ่าตนเอง
“สโลว์ซบไงคะเจ๊ จะได้ครบสูตร”
นุ้ยกลบเกลื่อน เพื่อช่วยต๋องให้ได้เต้นรำกับกิมลั้ง กิมฮวยเมาจนไม่รู้เรื่อง ได้แต่ร้องเพลงต่ออย่างอารมณ์ดีเพราะไม่ได้ปลดปล่อยอารมณ์อย่างนี้มาก่อน
งานเลี้ยงปิดกล้องที่ร้านอาหารจบลง ทุกคนแยกย้ายออกมาหน้าร้านเตรียมกลับบ้าน กิมฮวยเมามาย ยืนโซเซกิมลั้งต้องคอยประคองไว้ตลอดเวลา
“ขอบคุณพี่นุ้ยมากเลยนะครับสำหรับอาหารมื้ออร่อย แล้วก็บรรยากาศดีๆ” ต๋องเอ่ยขึ้น
“ใช่ๆ ขอบคุณมากนะอานุ้ย” กิมฮวยลืมตาไม่ขึ้นแต่พยายามพูด
“ไม่เป็นไรค่ะ วันหลังถ้ามีโอกาสเราต้องมาสังสรรค์กันอีกนะคะ อุย แต่ตอนนี้นุ้ยคงต้องขอตัว มีคิวไปตัดต่อรายการที่บริษัท แล้วเจอกันนะคะ”นุ้ยลาทุกคนแล้วเดินออกไป
“ไป อากิมลั้ง คราวนี้เรากลับบ้าง” กิมฮวยดันเดินไปคนละทิศกับรถที่จอดอยู่
“รถอยู่นี่ม้า แล้วจะขับรถไหวมั้ยเนี่ย” กิมลั้งร้องทักแล้วรีบประคองกิมฮวย
“ไหวซิ ทำไมจะไม่ไหว” กิมฮวยรีบสะบัด
“เห็นมั้ยอั้วยังเดินปร๋อ อ้วก” กิมฮวยพยายามเดินโชว์ แต่ไม่ทันไรก็อาเจียนออกมา
“ม้า” กิมลั้งรีบวิ่งเข้ามาหา
“แม่เธอคงไม่ไหวแล้วล่ะ แล้วเธอจะขับรถกลับบ้านเองได้มั้ยเนี่ย” ต๋องโพล่งขึ้น
“ก็ต้องค่อยๆไปเพราะชั้นยังขับรถไม่แข็ง” กิมลั้งตอบ
“ต๋องก็ขับไปส่งกิมลั้งหน่อยซิ ปลอดภัยกว่า” ศักดิ์ชายรีบแทรกขึ้น
“แต่ชั้นว่าคุณไปส่งดีกว่านะ ให้ต๋องไปกับเจ๊กิมฮวยเดี๋ยวก็เป็นเรื่อง” ณดารีบขัด
“โอ๊ย คุณดูสภาพน้ากิมฮวยตอนนี้ซิ เมาขนาดนี้ไม่รู้ใครเป็นใครแล้ว ที่สำคัญบ้านต๋องเค้าก็อยู่ใกล้ๆกิมลั้ง จะได้กลับสะดวก ดีมั้ยกิมลั้ง” ศักดิ์ชายว่า
“เอ่อ ถ้างั้นก็ได้” กิมลั้งกับต๋องเข้าไปช่วยประคองกิมฮวย
“เฮ้ย” กิมฮวยตกใจร้องลั่น
ทุกคนตกใจคิดว่าต๋องโดนกิมฮวยเล่นงานแน่
“พ่อรูปหล่อนี่เป็นใครน่ะ” กิมฮวยเมาจนจำต๋องไม่ได้
“ชั้นก็เป็นคนที่จะช่วยพาน้ากลับบ้านไงจ๊ะ” ต๋องตามน้ำ
“ต๊าย หล่อแล้วยังพูดเพราะอีก ว่าแต่รูปหล่อจะไปส่งพี่ทำไม คิดอะไรกับพี่รึเปล่า” กิมฮวยเมา พูดเล่นกับต๋องแบบไม่เคยทำมาก่อน
“ปละ เปล่านะครับ” ต๋องอึกอัก
“เหรอ ? รูปหล่อไม่คิดแต่พี่คิดนะ เธอทำให้ชั้นรู้สึกเหมือน ตอนสิบสี่ ตอนที่ชั้นมีแฟนคนแรก.....” กิมฮวยฮัมเพลงด้วยความเมา
“รีบๆกลับบ้านกันเถอะม้า” กิมลั้งอายที่แม่เมาจนจำอะไรไม่ได้
ต๋องกับกิมลั้งช่วยกันจูงกิมฮวยไปที่รถ ณดาไม่พอใจใจ ศักดิ์ชายยืนยิ้มเยาะเย้ยอยู่ยิ่งทำให้เธอโมโหขึ้นจนรีบกระแทกเท้าเดินกลับไปที่รถตัวเอง
ณดาเดินออกมาหน้าร้านอาหาร ศักดิ์ชายเดินตามมาแดกดัน
“ทำไม โกรธเหรอที่แผนล่อลวงต๋องกลับบ้านด้วยถูกขัดขวาง” ศักดิ์ชายเยาะ
“ถ้าต๋องไม่ได้กลับกับชั้นก็อย่านึกว่าคุณจะได้กลับด้วยเลย” ณดาสวน
“โธ่ อย่างกับผมพิศวาสอยากจะกลับกับคุณนักนี่” ศักดิ์ชายเอ่ยสวนทันที
ณดาขึ้นรถไปด้วยความโมโห แต่พอสตาร์ท รถดันไม่ติดเอาดื้อๆ ศักดิ์ชายเห็นแล้วหัวเราะเยาะ แล้วเดินออกไปแบบไม่สนใจ ณดาเริ่มใจเสีย รีบสตาร์ทรถใหม่จนติดในที่สุดแล้วรีบขับรถออกไปพอขับรถผ่านศักดิ์ชายที่กำลังเดินอยู่ ณดาชะลอพร้อมกับลดกระจกแล้วส่งสายตาเยาะเย้ยให้ศักดิ์ชายอย่างหยามหยัน รถณดาขับผ่านศักดิ์ชายไปได้ไม่เท่าไหร่ เครื่องกระตุกดับขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าอยากให้ช่วย ก็ขอร้องอ้อนวอนผมดีๆ” ศักดิ์ชายเดินตามมาพูดกับณดาข้างกระจกซึ่งยังเปิดค้างไว้อย่างเป็นต่อ
“ไม่” ณดาสวนขึ้นทันที
“ก็ตามใจ งั้นเดี๋ยวก็รอให้คนแถวนี้มาช่วยแล้วกัน แต่ระวังพวกมิจฉาชีพที่สวมรอยเป็นพลเมืองดีหน่อยนะ พอมันช่วยคุณแล้วมันอาจจะให้คุณช่วยทำอะไรบางอย่างเป็นการตอบแทนก่อนจะถีบคุณทิ้งไว้ข้างถนน แล้วก็เชิดรถคุณไปเป็นที่ระลึก” ศักดิ์ชายขู่
ศักดิ์ชายยกมือขึ้นบ๊ายบาย ณดานั่งหวาดผวากับสิ่งที่ศักดิ์ชายพูดอย่างอึ้งๆ พอได้สติเห็นศักดิ์ชายเดินจากไปไกลแล้ว เหลียวมองซ้ายขวาเห็นชายหน้าตาหื่นกามมองมา ณดาจึงรีบลงจากรถแล้ววิ่งไปตามศักดิ์ชาย
“คุณ เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป” ณดาตะโกนเรียกศักดิ์ชายด้วยความกลัว
เวลาเดียวกันนั้น ต๋องเป็นขับรถพากิมลั้งและกิมฮวยที่เมามายกลับมาบ้าน กิมฮวยนอนสะลืมสะลือเอาหัวพิงกระจกอยู่ที่เบาะหลัง ยิ้มมีความสุขอยู่คนเดียว กิมลั้งนั่งอยู่ข้างต๋องขับรถอยู่ท่ามกลางความเงียบ ทั้งคู่หันมามองกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่ต่างคนต่างผละมองไปด้านหน้ารถแทน
“ยังไงก็ขอบคุณนะที่อุตส่าห์มาช่วยขับรถให้” กิมลั้งพูดขึ้น เพื่อคลายบรรยากาศ
“ฟังแล้วสะเทือนใจชอบกล รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนอื่นคนไกลยังไงบอกไม่ถูก”
ต๋องตอบกลับอย่างน้อยใจ
“ที่ผ่านๆมาเธอก็พยายามทำให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่ไม่ใช่เหรอ” กิมลั้งรีบสวน
ต๋องอึ้ง แล้วแอบมองกิมฮวยที่หลับอยู่ผ่านกระจกมองหลัง
“ชั้นไม่รู้จะพูดกับเธอยังไงดี” ต๋องเอ่ย
“เธอไม่ต้องพูดหรอก การกระทำต่างหากที่บอกอะไรๆได้ชัดเจนกว่า” กิมลั้งเอ่ย
ต๋องพูดต่อไม่ได้ จำต้องเงียบไป
ในขณะที่รถกำลังเลี้ยว ศีรษะของกิมฮวยกระแทกกับกระจกนิดนึงจึงทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาเห็นเคี้ยงที่นั่งกินข้าวอยู่กับกลุ่มเพื่อน และนั่งติดกับเบิร์ด หญิงสาวสวยคนเดียวของโต๊ะ แต่งตัวสวยดูดี
กิมฮวยหันมาเห็นตอนที่เบิร์ดกำลังตักอาหาร เติมน้ำใส่แก้วให้เคี้ยงอยู่อย่างเอาอกเอาใจ เคี้ยงดูเหมือนจะพึงใจอยู่ไม่น้อย
“เฮียเคี้ยง” กิมฮวยรำพึงรำพันกับตัวเองเบาๆ
จู่ๆกิมฮวยยิ้มขึ้นก่อนจะหลับไปเพราะความเมาอีกครั้ง
คืนนั้น ต๋องขับรถเข้ามาจอดในบ้านกิมฮวย แล้วช่วยกิมลั้งเอากิมฮวยลงจากรถ
ครู่หนึ่ง กิมแชที่เพิ่งปิดประตูรั้วเสร็จวิ่งมาช่วย
“ทำไมเมาขนาดนี้เนี่ย เกิดมาอั๊วไม่เคยเห็นม้าเป็นแบบนี้เลย” กิมแชเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณนะพ่อรูปหล่อที่มาส่งพี่ถึงบ้าน แวะเข้าไปดื่มน้ำชากันก่อนไปๆ”
กิมฮวยพูดแล้วหันไปจับหน้าจับตาต๋องด้วยความเอ็นดู ซ้ำเมาจนจูงมือต๋องอย่างรักใคร่ กิมแชมองหน้ากิมลั้งงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“ม้า รูปหล่อเค้าต้องกลับบ้านแล้ว มันดึกมากแล้ว” กิมลั้งตามไปขวางทางกิมฮวยไว้
“เอ้า ถ้าดึกแล้วก็นอนค้างกันซะที่นี่” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“เฮ้ย” กิมแชตกใจ
กิมฮวยจะลากต๋องเข้าบ้านอีก
“เอ่อ คงไม่ได้หรอกครับน้า คนที่บ้านผมรออยู่” ต๋องรีบปฏิเสธ
“ที่บ้านน่ะใคร ? เมียเหรอ” กิมฮวยถามกลับ
“ผมยังไม่มีเมียครับ” ต๋องตอบกลับ
กิมฮวยรีบจับตัวต๋องแล้วถาม
“แล้วอยากมีมั้ย”
“เอ่อ” ต๋องเริ่มกลัว
“ถ้าอยาก อั๊วจะได้ยกลูกสาวให้” กิมฮวยดึงมือต๋องกับมือกิมลั้งมาจับกัน ทั้งคู่ตกใจมาก แต่สภาพเมาหนักจึงเข้าใจว่ากิมลั้งเป็นกิมแช
“นี่น่ะกิมแช อียังไม่มีผัว ถึงอีจะอ้วนแต่อีก็ทำกับข้าวเก่งน้า รับรองชาตินี้ลื้อไม่อดตาย มองตาวาวเชียว ลื้อชอบอีใช่มั้ย งั้นแต่งงานกันเดี๋ยวนี้เลย เอ้า คุกเข่าคำนับฟ้าดิน” กิมฮวยพยายามจะดันต๋องกับกิมลั้งให้นั่งลงพื้นเพื่อคารวะฟ้าดินให้ได้
“เข้าบ้านเถอะม้า” กิมแชมาช่วยพยุงกิมฮวยเข้าบ้าน
“อย่ายุ่งน่ะอากิมลั้ง เห็นมั้ยว่าอั๊วกำลังหาผัวให้น้องลื้ออยู่” กิมฮวยเมาจนสับสนจำลูกไม่ได้
“โธ่ม้า จะให้เค้ามาทำพิธีกันในโรงรถได้ไง ถ้าจะทำก็ไปทำในบ้านนู้น ไป เดี๋ยวม้าเข้าไปเตรียมสถานที่กับอั๊ว” กิมแชแกล้งตามน้ำไป
“ก็ได้ๆ ดีเหมือนกัน” กิมฮวยพูดจบยอมเดินเข้าบ้าน
กิมแชส่งซิกให้กิมลั้งพาต๋องออกไป ส่วนกิมแชพยายามพากิมฮวยเข้าบ้าน กิมลั้งมองต๋องด้วยความอายในความเมาของกิมฮวย
“ขอโทษด้วยนะที่ม้าเป็นหนักขนาดนี้” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“เลิกพูดคำว่าขอโทษ ขอบคุณกับชั้นได้แล้วนะ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอน่ะชั้นเข้าใจทุกอย่าง”
ต๋องเอ่ยขึ้น
“ถ้าเธอเข้าใจ อะไรๆมันคงไม่เปลี่ยนไปแบบนี้หรอก” กิมลั้งยิ้มจางลง
“กิมลั้ง....” ต๋องพูดไม่ออก
กิมลั้งเปิดประตูรั้วให้ต๋องกลับบ้าน
“เธอกลับบ้านเถอะ คืนนี้ชั้นเหนื่อยแล้ว” กิมลั้งเอ่ย
ต๋องพยักหน้ารับอย่างเศร้าๆ กิมลั้งมองตามต๋องออกไปด้วยความรู้สึกโหวงเหวงในใจ ต๋องจะหันหลังกลับมา กิมลั้งรีบชิ่งหันหลังหนี ปิดประตูรั้ว แล้วเดินเข้าบ้านไปอย่างฝืนใจตัวเอง
กิมแชส่งกิมฮวยเข้าห้องนอน กิมลั้งเดินเข้ามาดูแม่ตัวเองด้วยความเป็นห่วง
“นี่ม้ายอมให้ลื้อพาขึ้นมาถึงนี่ได้ไง” กิมลั้งถามขึ้น
“อั้วหลอกม้าว่าให้มาแต่งตัวเข้าพิธีน่ะ พอมาถึงห้องอั๊วก็จัดการเปิดแอร์ใส่ นวดกระตุ้นต่อมเคลิ้มให้ ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็น” กิมแชว่า
“เฮ้อ ไม่คิดเลยนะว่าฤทธิ์ไวน์จะทำให้ม้าเป็นขนาดนี้” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“ที่จริงเจ้น่าจะดีใจนะ เพราะเมาแล้วดูม้าจะพิศวาสพี่ต๋องเป็นพิเศษ คิดแล้วก็ขำ” กิมแชพูดแล้วขำ
“ทำไปเพราะความเมาน่ะซิ เอ่อนี่ พรุ่งนี้อย่าหลุดปากบอกม้าเด็ดขาดนะว่าต๋องมาส่ง ไม่งั้นล่ะแผลงฤทธิ์บ้านแตกแน่” กิมลั้งเอ่ย
“แหม รู้งี้เมื่อกี้หลอกให้ม้าทำพิธีแต่งงานให้เจ้กับพี่ต๋อง แล้วส่งเข้าห้องหอไปให้เรียบร้อยเลยก็ดี ตื่นขึ้นมาม้าจะได้ช็อก” กิมแชเอ่ยขึ้น
“พูดเรื่อยเปื่อยน่ะกิมแช” กิมลั้งแกล้งดุน้อง
กิมแชหัวเราะ แต่กิมลั้งไม่ได้ยินดียินร้ายกับสิ่งที่น้องสาวพูด เพราะในใจยังหาสาเหตุที่ต๋องเปลี่ยนไปไม่เจอ
เวลาเดียวกันนั้น ศักดิ์ชายขับรถมาส่งณดาเกือบจะถึงประตูรั้ว
“จอดตรงนี้ล่ะจอดตรงนี้” ณดารีบบอกให้จอดเพราะกลัวใครมาเห็น
ศักดิ์ชายเบรกรถทันทีจนณดาแทบหน้าคะมำ
“ทำไม ตกลงว่าคนที่ช่วยให้คุณกลับบ้านโดยปลอดภัยนี่ไม่มีสิทธิ์ไปโผล่หน้าแม้แต่ประตูรั้วเลยใช่มั้ย” ศักดิ์ชายเอ่ยกลับ
“เอาไป ค่าเหนื่อย” ณดาเปิดกระเป๋าหยืบเงินส่งให้
“แม่คุณสอนให้เป็นคนแบบนี้เหรอ ผมจะได้ไปกดกริ่งถามเดี๋ยวนี้เลย” ศักดิ์ชายรับเงินมาแล้วโยนใส่ณดา ศักดิ์ชายเปิดประตูจะลงไป ณดารีบคว้าไว้
“เดี๋ยว ชั้นก็แค่อยากจะบอกว่า ขอบคุณ” ศักดิ์ชายเอ่ย
“ขอบคุณค่ะ....” ณดาจำยอมกัดฟันพูดให้อ่อนโยนขึ้น
“ขอบคุณค่ะ” ศักดิ์ชายแกล้งลูบหัวณดา
“มันก็แค่นั้นล่ะ แต่ถ้าจะให้ดีคุณควรจะเลี้ยงกาแฟผมซักแก้วก่อนกลับนะ”
ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น ณดากระชากมือออก แล้วปรี๊ดแตกอีก
“พอแล้ว!”
เช้าวันใหม่ เคี้ยงนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่บ้าน ครู่หนึ่งกิมฮวยในอาการแฮงค์เดินลงมาจากข้างบน
“เอ้า ตื่นแล้วเหรอ ไหวมั้ย เห็นลูกบอกว่าลื้อเมามาก” เคี้ยงเอ่ยขึ้น
“ ท่าทางจะมากจริงๆน่ะเหละ ไม่งั้นเมื่อคืนอั๊วคงไม่ตาฝาดเห็นลื้อนั่งกินข้าวจู๋จี๋อยู่กับผู้หญิงที่ร้านข้าวต้ม” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
เคี้ยงถึงกับสำลักกาแฟ
“เอาเฮีย เป็นอะไรไปเนี่ย” กิมฮวยถามกลับ
“อ๋อ ก็ขำลื้อไง เมาจนประสาทหลอน คนไม่เคยกินเหล้าก็เป็นอย่างนี้ล่ะ” เคี้ยงกลบเกลื่อน
“ใครบอกว่าอั๊วกินเหล้า อั๊วกินไวน์” กิมฮวยเอ่ยตอบ
“มันก็เหมือนกันน่ะล่ะ” เคี้ยงสวน
“แต่เค้าว่าไวน์มันช่วยทำให้เลือดลมดีไม่ใช่เหรอ” กิมฮวยถามต่อ
“ใช่ แต่ต้องกินพอเป็นกระษัย ไม่ใช่กินหัวราน้ำแบบลื้อ” เคี้ยงว่า
“วันหลังเฮียซื้อมาทิ้งๆไว้ที่บ้านบ้างซิ กินไวน์แล้วมันก็ดีเหมือนกันนะ อั๊วรู้สึกว่าสมองมันผ่อนคลาย สบายตัวดี” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ก็เพราะที่ผ่านมาลื้อใช้ชีวิตเครียดกับทุกเรื่องรอบตัวมากเกินไปไงกิมฮวย บางอย่างถ้าลื้อปล่อยวางได้มันก็ไม่ต้องอาศัยวงไวน์อะไรมาช่วยหรอก” เคี้ยงบอก
“พูดก็เข้าตัวน่ะเฮียเคี้ยง ที่อั๊วต้องเครียดแบบนี้ ก็เป็นเพราะวันๆลื้อไม่ยอมเครียดอะไรบ้างเลยไง พูดแล้วก็เครียด ไป ไปส่งอั๊วได้แล้ว”
กิมฮวยเอ่ยอย่างลอยๆ ในขณะที่เคี้ยงเริ่มสีหน้าวิตกกังวล
เวลาต่อจากนั้น มุมหนึ่งของร้านขายของส่งของเต็กกอ เคี้ยงเล่าให้เต็กกอฟังเรื่องที่กิมฮวยเห็นนั่งอยู่ในร้านข้าวต้มจนอีกฝ่ายขำกลิ้ง
“เสร็จแล้วอาเคี้ยง ลองอากิมฮวยเห็นลื้อ เดี๋ยววันหลังได้ตามไปดักเจอที่ร้านข้าวต้มแน่” เต็กกอหัวเราะ
“ไม่หรอก อีคิดว่าอีเมาเลยเห็นภาพไปเองน่ะ” เคี้ยงปลอบใจตัวเอง
“อั๊วว่าไม่นานความลับลื้อต้องแตกแน่ มันปิดไปไม่ได้กี่น้ำหรอกวะ” เต็กกอว่า
“ไม่ได้ อั๊วจะให้กิมฮวยรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาดเต๊กกอ” เคี้ยงรีบบอก
“แต่ถ้าลื้อต้องทำตัวมีลับลมคมในแบบนี้ไปนานๆ ใครจะไม่สงสัยวะ” เต็กกอเอ่ย
“แต่อั๊วปิดมาได้จนถึงวันนี้ไม่ใช่เหรอ เพียงแต่ต้องยืมชื่อลื้อไปใช้แอบอ้างหน่อยเท่านั้นเอง”เคี้ยงพยายามอธิบาย
“อ้างน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ลื้อเล่นสาดสีใส่ประวัติอั๊วนี่มันเสียหายนะเว้ย” เต็กกอรีบโวย
“เอาน่ะ ถ้าไม่บอกว่าลื้อมีปัญหาชีวิต แล้วอั๊วจะเอาอะไรมาอ้างเรื่องโทรศัพท์ล่ะ” เคี้ยงเอ่ย
“ก็จริง เพราะถ้ากิมฮวยจับได้ว่าลื้อคุยกะใครล่ะก็...ทุกอย่างจบ” เต็กกอเอ่ย
ทันใดนั้นเบิร์ด เดินทักทายมาแต่ไกล
“หวัดดีค่ะทุกคน”
“เอ้า พูดถึงก็มาทันที” เต็กกอยิ้มแซว
“นินทาอะไรเบิร์ดกันอยู่รึเปล่าคะ” เบิร์ดถามกลับ
“โอ๊ย ใครนินทาคนสวยอย่างเบิร์ดก็บ้าแล้ว ใช่มั้ยวะเคี้ยง” เต็กกอศอกกระทุ้งแขนเคี้ยง ที่แอบมองเบิร์ดยิ้มๆ แต่เบิร์ดปรายตามองเคี้ยงอย่างหยาดเยิ้ม
บ่ายนั้น ที่แผงปลา กิมฮวยกับกิมลั้งช่วยกันจัดแผงปลาอย่างเคย
“นี่อากิมลั้ง อั๊วยังงงๆอยู่เลยว่าถ้าเมื่อคืนอั๊วเมามาก แล้วเราสองคนกลับบ้านกันยังไง”กิมฮวยถามขึ้น กิมลั้งเหลือบมองต๋องก่อนตอบ
“ก็ อั๊วก็ขับรถกลับมาเองไง” กิมลั้งตอบ
“ลื้อเนี่ยนะ แค่ขับในซอยหน้ารถยังเป๋ไปเป๋มา” กิมฮวยเอ่ยอย่างสงสัย
“อั๊วก็ขับมาช้าๆไงม้า” กิมลั้งยืนยันคำเดิม
“เหรอ? สงสัยอั๊วจะเมาแล้วหลอนจริงๆ ทำไมถึงได้คิดว่ามีพ่อรูปหล่อที่ไหนก็ไม่รู้ขับรถมาส่งให้ถึงบ้าน”
กิมลั้งสะดุ้ง หันไปทางต๋องซึ่งกำลังมองมาพอดี กิมฮวยหันมองตามสายตากิมลั้ง เห็นว่าต๋องกำลังมองมา ต๋องพยายามยิ้มให้กิมฮวย แต่กิมฮวยชักสีหน้าใส่แล้วหันกลับมาเล่นงานกิมลั้งทันที
“นี่ อากิมลั้ง ลื้ออย่าบอกนะว่า ลื้อให้ไอ้ต๋องมัน...” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
กิมลั้งกลัวคิดว่ากิมฮวยจับได้เรื่องต๋องขับรถมาส่ง
“...อาศัยรถเรานั่งกลับมาด้วย” กิมฮวยพูดต่อ
“เปล่านะม้า ต๋องเค้าก็กลับของเค้า” กิมลั้งตอบ
“ให้มันจริงนะ ไม่งั้นอั๊วจะให้อาจะเด็ดเอาน้ำมนต์มาราดรถอั๊วเดี๋ยวนี้เลย” กิมฮวยเอ่ยสีหน้าจริงจัง
กิมลั้งโล่งใจ ระหว่างนั้นจู่ๆเสียงเพลงฝรั่งจังหวะกระชั้นดังขึ้นจนทั้งกิมฮวยกิมลั้งต้องหันไปมอง
อ่านต่อหน้า 2
“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 7 (ต่อ)
บะหมี่กับเกี๊ยว เดินถือเครื่องเสียงนำมาตามทางเดิน ครู่หนึ่งชมพู่ในชุดสวยเต็มยศพร้อมสร้อยทองเส้นใหญ่ปรากฏร่างขึ้น หมุนตัวหนึ่งรอบแล้วก้าวเดินฉับๆราวนางแบบบนแคตวอล์ค จากนั้นแม่ค้าคนอื่นๆแต่งตัวสวยพร้อมเครื่องประดับทองเดินตามๆกันมา ไล่ไปตั้งแต่ คำมูล ทวี เขียวหวาน เครือฟ้า คิตตี้ ชาวตลาดคนอื่นๆ และตบท้ายด้วยป้าพิณตามรั้งท้ายขบวน กิมลั้งกับกิมฮวยมองด้วยความตะลึง
“ไอ้หยา นี่อีไปร่ำไปรวยกันมาจากไหนเนี่ย” กิมฮวยเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
ต๋องที่ยืนมองอึ้งไปเหมือนกัน เลื่อนกับรักเร่เข็นรถตามมายืนมองด้วย ต๋องสุดระอาเพราะรู้ดีว่าชาวตลาดไปเอาเงินมาจากไหน
“กู้เงินได้ปุ๊บก็ใช้เงินกันปั๊บ รู้กันบ้างมั้ยว่าทองที่ใส่น่ะไม่ได้ต่างอะไรกับโซ่ที่ล่ามคอตัวเองไว้กับหายนะเลย” ต๋องเอ่ย
“แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้นนะ ชั้นได้ยินมาว่าคนในตลาดน่ะจะไปกู้เงินเพิ่มอีกแล้ว” เลื่อนเอ่ย
“ไอ้บังเว้ยเฮ้ยนี่มันใจดี หรือมันบ้าวะ ปล่อยเงินกู้ไม่ลืมหูลืมตาขนาดนี้” รักเร่ว่า
“เรื่องนี้ข้าว่ามันมีอะไรทะแม่งๆนะ”
ต๋องเอ่ยขึ้นอย่างกังวลและพยายามคิดถึงสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเรื่องบังเว้ยเฮ้ยกับเงินกู้
บ่ายนั้น กิมแชทำความสะอาดบ้านพร้อมร้องเพลงโปรดประกอบลีลาไปเหมือนเคย มือหนึ่งเช็ดถูไป อีกมือถือไฟฉายแทนไมโครโฟน จาตุรงค์เดินเข้ามาเห็นกิมแชเข้าจึงหยุดยืนฟังเพลงราวต้องมนต์
ห้ามใจตัวเองไม่ได้จึงร่วมส่งเสียงเข้าไปร้องประสาน
กิมแชได้ยินเสียงประสานเข้าหันมามองด้วยความแปลกใจ พอเห็นจาตุรงค์ถึงกับลนลาน
“เอ้า พี่รงค์ ทำไมถึงมานี่ล่ะ เจ้อยู่ที่ตลาดไง” กิมแชรีบบอก
“พี่มาหากิมแช ไม่ได้มาหากิมลั้งซักหน่อย” จาตุรงค์เดินยิ้มเข้ามาหากิมแช
“อะไรนะ” กิมแชตกใจปล่อยไฟฉายหล่นใส่เท้าจาตุรงค์
“โอ๊ย” จาตุรงค์ร้องลั่น
กิมแชรีบก้มลงไปจับเท้าจาตุรงค์ด้วยความเป็นห่วง
“ขอโทษพี่รงค์ เจ็บมากมั้ย” กิมแชรีบถามอย่างห่วงใย
“ไม่เป็นไรจ้ะไม่เป็นไร”
จาตุรงค์ก้มลงดึงมือกิมแชที่จับเท้าตัวเองขึ้นมาด้วยความเกรงใจ
“คืออย่างนี้ พี่อยากจะชวนกิมแชออกไปข้างนอกน่ะ” จาตุรงค์เอ่ย
กิมแชมองมือจาตุรงค์ซึ่งจับมือด้วยอาการเขิน คิดไปไกล
“พี่อยากจะ....” จาตุรงค์เอ่ยอย่างช้าๆ
กิมแชตาเยิ้มอย่างมีหวัง
“อยากจะ ?” กิมแชถามกลับ
“อยากจะให้กิมแชไปช่วยพี่เลือกของขวัญให้กิมลั้งหน่อยน่ะ เพราะคงไม่มีใครรู้ดีเท่ากิมแชแล้วว่ากิมลั้งชอบอะไร”
กิมแชฟังจบลุกขึ้นยืนด้วยความเซ็ง จนเผลอปล่อยไฟฉายในมือตกใส่ศีรษะจาตุรงค์อีกครั้ง
“โอ๊ย” จาตุรงค์เจ็บตัวอีกรอบ
“ขอโทษจ้ะพี่รงค์ กิมแชขอโทษ” กิมแชรีบเข้าไปดูจาตุรงค์อีก
กิมแชกับจาตุรงค์ออกไปซื้อของขวัญให้กิมลั้ง ทั้งคู่ยืนรอรถเมล์ จาตุรงค์เหงื่อแตกเต็มหน้า
“ร้อนมาก ความจริงกิมแชให้พี่ขับรถมาก็หมดเรื่อง” จาตุรงค์ว่า
“แถวนี้หาที่จอดง่ายๆที่ไหนล่ะพี่รงค์ ค่าจอดก็แพง เก็บตังค์ไว้ซื้อของกินยังดีซะกว่า แถมประหยัดน้ำมันอีก” กิมแชเอ่ยขึ้น
“แหม พูดถึงของกินก็หิวขึ้นมาทันที พี่ว่าเราทานอะไรเอาแรงกันก่อนดีกว่ามั้ย” จาตุรงค์เสนอ
“ดีๆ ความจริงท้องกิมแชก็ร้องจ๊อกๆแล้ว” กิมแชรีบเห็นด้วย
“งั้นทานอะไรกันดี” จาตุรงค์ถามกลับ
“พี่รงค์อยากทานอะไรล่ะ” กิมแชให้อีกฝ่ายเลือก
“อืม พิซซ่ามั้ย” จาตุรงค์เสนอ
“ฮะ พิซซ่าน่ะของโปรดกิมแชเลยนะ” กิมแชยิ้มชอบใจ
“กิมแชคงยังไม่รู้ว่า พี่น่ะมือล่าร้านพิซซ่าเจ้าอร่อยตัวจริง แต่วันนี้กินแบบพื้นๆสนองความอยากไปก่อน เดี๋ยววันหลังพี่จะพาไปกินสูตรต้นตำรับ” จาตุรงค์เอ่ย
“สัญญาแล้วนะ” กิมแชโพล่งขึ้น
“สัญญาซิ เรื่องกินน่ะถึงไหนถึงกัน” จาตุรงค์รับปาก
“โอเค งั้นลุย อุ๊ย...” กิมแชตั้งหน้าตั้งตาจะกิน แต่แล้วคล้ายนึกอะไรขึ้นได้
“เป็นอะไรเหรอกิมแช”
จาตุรงค์รีบถาม กิมแชแอบนึกในใจ
“ยอมอ้วนซักวันน่ะ จะมีโอกาสกินของโปรดร่วมโต๊ะกับพี่รงค์สองต่อสองแบบนี้ได้อีกที่ไหน เดี๋ยวกลับบ้านไปเต้นหนักๆชดเชยเอาก็ได้”
“ตกลงเป็นอะไรกิมแช” จาตุรงค์รีบมาเขย่ากิมแช
“อ๋อ คือกิมแชกำลังคิดว่าจะกินพิซซาหน้าอะไรดีน่ะ” กิมแชเลี่ยงไปอีกเรื่อง
“โห ถ้าคิดหนักขนาดนั้น เดี๋ยวพี่เลือกให้เอง ไป” จาตุรงค์จัดการเอง
ทั้งคู่มุ่งหน้าสู่ร้านพิซซ่าอย่างหมายมั่น
ที่ตลาด กิมฮวยกับกิมลั้งจัดของ จู่ๆปลาในมือกิมลั้งกระโดดออกจากถาด
กิมลั้งรีบคว้าซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ต๋องกำลังเดินผ่านมาเลยช่วยกิมลั้งคว้าปลาไว้ กิมลั้งกับต๋องช่วยกันจับปลาไว้ได้ แต่ทั้งคู่อยู่ในระยะใกล้ชิดกันมาก กิมฮวยรีบพุ่งเข้ามาทันที
“อะอะอะ ชั้นมาช่วยนะน้ากิมฮวย” ต้องรู้ตัวรีบพูดขึ้น
กิมฮวยไม่ตอบอะไร ดึงปลาออกจากมือต๋องและกิมลั้งใส่ถัง
“อากิมลั้ง ทิ้งปลาตัวนี้ไปเลย” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“เอ้า ทำไมล่ะม้า” กิมลั้งยังงง
“ก็เพราะมันโดนตัวซวยจับ ปลามันก็กลายเป็นตัวซวยไปด้วยแล้วน่ะซิ” กิมฮวยเอ่ยขึ้นน้ำเสียงจริงจัง แล้วเอาขันตักน้ำสาดใส่บริเวณที่ต๋องยืนอยู่จนทั้งต๋องทั้งกิมลั้งกระโดดหลบไปคนละทิศคนละทาง
“อากิมลั้ง รีบเอาไม้กวาดมากวาดความซวยออกไป เดี๋ยวมันไหลมาที่แผง” กิมฮวยไม่สนใจต๋องแม้แต่น้อย
ต๋องเดินเซ็งกลับแผง แล้วพึมพำกับตัวเอง
“ทีตอนเมางี้ออดอ้อนออเซาะ” ต๋องเอ่ยขึ้น
ครู่หนึ่งเสียงเพลงฝรั่งจังหวะกระชั้นดังขึ้นอีก ขบวนแฟชั่นโชว์ทองหยองเดินวนเข้าตลาดมาจากอีกทิศ
“อะไรกันนักหนา กะเวียนเทียนโชว์กันให้ครบสามรอบเลยมั้ยเนี่ย” ต๋องเอ่ยขึ้น
หัวขบวนแฟชั่นอย่างชมพู่เดินฉับๆไปได้ไม่เท่าไหร่ ปรากฏว่ามีขอทานวิ่งเข้ามากระชากสร้อยไปเรียบร้อย
“อ๊าย ช่วยด้วย” ชมพู่รีบร้องขอความช่วยเหลือ
ต๋องรีบวิ่งตามขอทานไปทันที
“เฮ้ย หยุดนะ” ต๋องวิ่งไล่ตามมา
ขอทานวิ่งหนีไปแถวๆแผงปลา พอจะไปทางหนึ่งเลื่อนเข็นรถเข็นพุ่งมาดักไว้ พอจะหนีไปอีกรักเร่เข็นรถอีกคันมากันไว้ เมื่อจนตรอกขอทานจึงจัดการเข้าคว้าตัวกิมฮวยที่ยืนอยู่หน้าแผงมาล็อกคอ กิมลั้งเห็นดังนั้นรีบดึงขอทานออกจากตัวกิมฮวย ขอทานไม่ยอมปล่อย กิมลั้งจึงตัดสินใจกัดแขนขอทาน จนยอมปล่อยมือกิมฮวย แล้วเข้าล็อกตัวกิมลั้งแทน พร้อมคว้ามีดแถวนั้นมาจ่อคอไว้
“พวกมึงเก่งจริงก็ตามมา” ขอทานเอ่ยขึ้น
ทุกคนชะงัก ขอทานลากกิมลั้งออกไป
“ช่วยอากิมลั้งด้วย ใครก็ได้ช่วยอากิมลั้งที” กิมฮวยตะโกนให้ช่วยลูกสาวลั่น
ต๋องส่งสัญญาณให้เลื่อนกับรักเร่ แล้ววิ่งตามขอทานออกไป โดยมีกิมฮวยและชาวตลาดตามไปด้วยความเป็นห่วง
ขอทานลากกิมลั้งออกมา ครู่หนึ่งต๋องกับพวกในตลาดตามมา อีกมุมเห็นณดากับศักดิ์ชายวิ่งเข้ามาหน้าตื่น พอเห็นขอทานเอามีดจ่อคอกิมลั้งอยู่ถึงกับอึ้ง
“ตายแล้ว” ณดาเอ่ยขึ้น
“ใจเย็นๆ นายอย่าทำอะไรวู่วามนะ คิดให้ดีๆ” ต๋องพยายามเกลี้ยกล่อมขอทานคนดังกล่าว
“พวกมึงบังคับให้กูทำอย่างนี้เองนะ” ขอทานเอ่ยกลับ
“ปล่อยอากิมลั้งไปเถอะนะ แล้วลื้ออยากจะได้อะไรก็บอกมา อั้วยอมให้ทุกอย่าง”
กิมฮวยอ้อนวอน ขอทานไม่มีทีท่าฟัง
“ถุย ที่ผ่านมาเศษสตางค์บาทสองบาทมึงยังไม่เคยยอมเจียดให้กูเลยอีเจ๊ ทีตอนนี้จะบอกว่ายอมให้ทุกอย่าง” ขอทานสวนกิมฮวย
“แต่ชั้นเคยให้แก เอ้ยเธอนะ เธอไม่น่าจะตอบแทนชั้นด้วยการกระชากสร้อยกันแบบนี้” ชมพู่พยายามอธิบาย
“พวกมึงกล้าทวงบุญคุณกูเหรอ ที่ผ่านมากูแทบไม่มีอะไรยาไส้ แค่ข้าววันละห่อคนในตลาดยังไม่คิดจะให้กูกันเลย กลางคืนกูต้องนอนขดตัวหนาวอยู่แถวฟุตบาธ ไม่สบายก็ทนไป ไม่มีใครมีน้ำใจกับกูซักคน” ขอทานโพล่งอย่างน้ยอใจในวาสนาตัวเอง
“ไม่มีใครตั้งใจทำกับนายอย่างนั้นหรอกนะ แต่เพราะทุกคนต้องดิ้นรนทำมาหากินเพื่อเอาชีวิตให้รอด นายก็มีทางออกพอๆกับคนอื่นน่ะล่ะ แค่ลองเปลี่ยนความคิด ชีวิตนายก็จะไม่เป็นเหมือนทุกวันนี้นะ” ต๋องอธิบาย
“มึงก็ดีแต่พล่ามสั่งสอนคนนั้นคนนี้ คิดว่ากูไม่อายเหรอที่ต้องเที่ยวขอเงินคนอยู่ทุกวันนี้ จำได้มั้ยที่มึงเอากูไปเทียบกับคนพิการ”
ขอทานมองไปที่สาวพิการอีกคนที่ดูน่าสงสารกว่า
“มึงคิดว่าทุกคนที่มีมือมีเท้าต้องมีสมองเหรอ มึงนึกว่ากูไม่เคยหางานทำใช่มั้ย ก็ในเมื่อไม่มีใครรับกูทำงานแล้วมึงจะให้กูทำยังไง หัวสมองโง่ๆอย่างกูจะคิดอะไรได้ซักแค่ไหน ไม่ให้เงินกูไม่ว่า แต่ไม่เห็นมีใครคิดจะให้โอกาสกูบ้างเลย” ขอทานโพล่งความในใจออกมา
ต๋องฟังความในใจของขอทานแล้วอึ้ง รู้สึกผิดขึ้นมา ศักดิ์ชายสบโอกาส อยากโชว์ความเป็นฮีโร่ขณะที่ต๋องกำลังเพลี่ยงพล้ำ
“นี่ ถึงไม่มีใครเข้าใจนายแต่ชั้นเข้าใจนะ นายอยากได้อะไรบอกมา เดี๋ยวชั้นจัดให้ เรื่องงานไม่ต้องห่วง เดี๋ยวชั้นหาให้ ตอนนี้ขัดสนเงินทองอยู่เท่าไหร่บอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นชั้นสัญญาเลยนะว่าจะอยู่ข้างนาย ขอให้ไว้ใจชั้น” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“มึงนี่ล่ะที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด พูดเหมือนนักการเมืองแถวบ้านกูไม่มีผิด เวลาจะให้กูทำอะไรให้ก็ยอมแลกทุกอย่าง แต่ถ้าหมดประโยชน์เมื่อไหร่มึงนี่ล่ะที่จะกระทืบกูคนแรก” ขอทานสวน
ศักดิ์ชายเสียหน้าไป ครู่หนึ่งเลื่อนกับรักเร่วิ่งมาพร้อมน้ำและข้าวกล่อง ทั้งคู่ยื่นของให้ขอทาน
“พี่เหนื่อยใช่มั้ย เหนื่อยก็กินน้ำให้ชื่นใจก่อนนะ” เลื่อนเอ่ย
“ข้าวก็มีจ้ะ กินให้หายหน้ามืดก่อนนะ” รักเร่เสริมเลื่อน
“กูกินก็ได้”ขอทานว่า
เลื่อนกับรักเร่ยิ้ม
“แต่มึงต้องกินก่อน” ขอทานให้เลื่อนกินดูก่อน เลื่อนทำท่ามั่นใจ
“ได้ซิพี่ทำไมจะไม่ได้” เลื่อนค่อยๆจิบน้ำ ขอทานตะโกนกลับมา
“แดกเข้าไปเยอะๆ กินข้าวด้วย” ขอทานตะโกนสั่ง
เลื่อนกับรักเร่รีบกินตามคำสั่ง ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนขอทานเริ่มแปลกใจ
“เห็นมั้ยพี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความอร่อย ถ้าพี่ไม่กินพวกชั้นกินหมดนะ”
เลื่อนกับรักเร่ทำท่าจะกินข้าวต่อ ขอทานกลืนน้ำลายตาม แต่แล้วจู่ๆทั้งเลื่อนทั้งรักเร่ลงไปนอนสลบกับพื้น ขอทานโกรธจัด
“เห็นมั้ย ยังไงๆพวกมึงก็เจ้าเล่ห์ ถ้าจะเล่นกับกูอย่างนี้ก็ได้” ขอทานโกรธกดมีดลงที่คอกิมลั้งจนเลือดไหล
“โอ๊ย” กิมลั้งร้องด้วยความรู้สึกเจ็บ
“กิมลั้ง” กิมฮวยโพล่งอย่างตกใจ
กิมฮวยห่วงลูก จนเป็นลมล้มลงไปจนชาวตลาดต้องรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างไว้ ขอทานลากกิมลั้งไป พอเห็นรถตุ๊กตุ๊กวิ่งมาขอทานเดินไปขวางแล้วดันกิมลั้งขึ้นรถตุ๊กตุ๊กไป กิมลั้งเห็นว่านี่เป็นจังหวะเดียวที่พอจะรอดได้เพราะมีดไม่ได้จี้อยู่ที่คอ จึงรีบกระโจนออกไปทางลงอีกด้าน เมื่อต๋องเห็นอย่างนั้นรีบวิ่งไปหากิมลั้งด้วยความรวดเร็วเพื่อกันกิมลั้งออกจากขอทานที่กำลังกระโจนจากรถตามมา
ต๋องกระชากกิมลั้งจากมือขอทานที่ตามมากระชากได้ในระยะเฉียดฉิว ต๋องเข้าต่อสู้กับขอทาน แต่เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเพราะโดนขอทานเอามีดฟันตามเนื้อตัวหลายแผล กิมลั้งเห็นแล้วแทบช็อก
“ต๋อง” กิมลั้งร้องเรียกด้วยความตกใจ
ต๋องกลั้นใจทนเจ็บรีบหักข้อมือขอทานจนปล่อยมีดหลุดมือ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยศักดิ์ชายและชาวตลาดรีบเข้าไปรุมจับขอทาน ชมพู่รีบตามไปเอาสร้อย ทันทีที่ไปถึงขอทาน ศักดิ์ชายกระทืบขอทานอย่างเมามัน ขอทานมองหน้าศักดิ์ชายอย่างสุดแค้น
“กูบอกแล้วว่ามึงต้องกระทืบกูคนแรก” ขอทานเอ่ยขึ้น
ต๋องยืนอยู่ทรุดลงเพราะทนบาดแผลไม่ไหว
“ต๋อง” กิมลั้งรีบวิ่งเข้าไปหาต๋องอย่างห่วงใย
วันเดียวกัน ที่ห้างสรรพสินค้า จาตุรงค์หิ้วกล่องของขวัญเดินออกมาจากร้านร้านหนึ่งพร้อมกับกิมแช
“กิมแชแน่ใจนะว่าน้องกิมลั้งจะประทับใจของขวัญนี่” จาตุรงค์ถาม
“เชื่อมือซิพี่รงค์ บางทีกิมแชยังรู้ดีกว่าตัวเจ้เองด้วยซ้ำว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร” กิมแชเอ่ย
“งั้นกิมแชว่าน้องกิมลั้งเค้าชอบพี่มั้ย” จาตุรงค์ถามด้วยเพื่อความมั่นใจ
กิมแชชะงักไป
“คือ เจ้น่ะเค้าเป็นคนที่ไม่ใช่จะรักจะหลงใครง่ายๆหรอกเค้าต้องใช้เวลาศึกษา สรุปว่าถ้าอยากชนะใจเจ้ ก็ต้องเข้าใจเค้าให้มากๆ ซึ่งคนที่จะทำให้พี่รงค์เข้าใจเจ้ได้ดีก็มีแต่กิมแชเท่านั้นล่ะ” กิมแชเผย
“ถ้างั้นพี่ก็ฝากเนื้อฝากตัวกับกิมแชด้วยนะ”จาตุรงค์รีบฝากเนื้อฝากตัว
“ไม่ฝากใจด้วยเหรอ” กิมแชหลุดปาก
“ฮะ” จาตุรงค์ได้ยินไม่ชัดจึงถามขึ้น
“กิมแชหมายถึงถ้าพี่รงค์จะทุ่มเทกับเรื่องนี้ พี่ก็ต้องให้ใจหน่อยไง” กิมแชรีบเฉไฉ
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะไม่เป็นปัญหา”จาตุรงค์บอก
เดินไปครู่หนึ่ง จาตุรงค์เห็นโปสเตอร์หนังเลยหยุดมองด้วยความสนใจ
“เฮ้ย หนังเรื่องนี้น่าดูจัง พี่ชอบนางเอกเรื่องนี้มากเลยนะ” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
กิมแชเดินมาดูโปสเตอร์ตาลุกวาว
“เรื่องนี้นี่เอง กิมแชเป็นแฟนคลับพระเอกเลยนะ วันก่อนเห็นทีเซอร์แล้วอยากดูมากเลย” กิมแชเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
“ถ้างั้นเราแวะไปดูหนังกันก่อนกลับมั้ย ไหนๆก็มาไกลถึงนี่แล้ว” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
“ไป งั้นรีบไปตีตั๋วกันเลย” กิมแชจูงมือจาตุรงค์ไปอย่างลืมตัว จาตุรงค์มองที่มือซึ่งถูกจูงอย่างงงๆ กิมแชเพิ่งรู้สึกตัวจึงรีบปล่อย
“ก็พี่รงค์เดินให้มันเร็วๆหน่อยซิ”
ที่โรงพยาบาล กิมฮวยกับเคี้ยงนั่งเฝ้ากิมลั้งที่หลับอยู่บนเตียง
“กิมฮวย ลื้อไม่งีบซักนิดเหรอ หน้าตาลื้อดูเพลียมากเลยนะ” เคี้ยงถามกิมฮวยอย่างห่วงใย
“ไม่เป็นไร อั๊วอยากให้ลูกตื่นมาแล้วเห็นอั๊วอยู่ใกล้ๆ” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ถ้างั้นเดี๋ยวลื้อกินอะไรเอาแรงหน่อยดีกว่านะ เดี๋ยวอั๊วไปซื้อให้” เคี้ยงเอ่ยขึ้น
“ก็ได้” กิมฮวยยอมอย่างว่าง่าย
เคี้ยงเดินออกไป กิมฮวยมองตาม พอหันมาอีกทีเห็นว่ากิมลั้งกำลังค่อยๆลืมตาตื่น กิมฮวยรีบลุกไปดูลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“ลื้อเป็นไงบ้างอากิมลั้ง” กิมฮวยถาม
“ม้า” กิมลั้งเรียกชื่อแม่ตัวเอง แต่พอตั้งสติได้ นึกถึงต๋องที่โดนแทงจึงลุกขึ้นนั่ง
“ต๋อง แล้วต๋องเป็นยังไงบ้าง” กิมลั้งถามด้วยความห่วงใย
กิมฮวยได้ยินถึงกับหงุดหงิด แต่ไม่กล้าแสดงอาการปรี๊ดแตกมาก เพราะต๋องเป็นคนช่วยกิมลั้งไว้
“ลื้อจะถามถึงอีทำไม” กิมฮวยพูดแต่สีหน้าไม่ดี
“แต่อีเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยอั๊วนะ ม้าก็เห็น” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“เออๆ อีก็อยู่ข้างห้องลื้อนี่ล่ะ” กิมฮวยตอบเลี่ยงๆแบบเสียมิได้
กิมลั้งลุกพรวดพุ่งไปที่ประตูทันที
“อากิมลั้ง ลื้อยังไม่หายดีนะ” กิมฮวยลุกตามกิมลั้งไปด้วย
กิมลั้งเปิดประตูห้องออกมามองชื่อต๋องที่หน้าห้องข้างๆแล้วเปิดประตูเข้าไป ในจังหวะที่กิมฮวยเปิดประตูตามมา พยาบาลเดินเข้ามาหาพอดี
“คุณป้าคะ รบกวนช่วยถอยรถให้หน่อยนะคะ เพราะตอนนี้ขวางทางรถขนศพอยู่” พยาบาลเอ่ยขึ้น กิมฮวยได้ยินแล้วขนลุก
“เดี๋ยวอั๊วไปหยิบกุญแจก่อนนะ” กิมฮวยเปิดประตูกลับเข้าห้องไปด้วยความจำเป็น
ที่ห้องพักต๋อง กิมลั้งเดินหน้าเศร้าเข้ามานั่งข้างๆต๋องที่มีแผลตามเนื้อตัวหลายแผล
“โธ่ ต๋อง”
กิมลั้งกลั้นน้ำตาไม่อยู่หยดใส่แขนต๋อง ขณะที่กิมลั้งก้มหน้าก้มตาร้องไห้ ต๋องสะลืมสะลือตื่นขึ้น พอเห็นกิมลั้งร้องไห้ต๋องยิ่งตกใจ
“กิมลั้ง เธอร้องไห้ทำไม” ต๋องเอ่ยขึ้น
พอเห็นต๋องตื่น กิมลั้งตกใจ แต่ยังคงร้องไห้ด้วยความเป็นห่วงต๋อง
“ต๋อง เจ็บมากมั้ย ชั้นขอโทษนะที่ทำให้เธอต้องเป็นแบบนี้” กิมลั้งเอ่ยทั้งน้ำตา
ต๋องจับมือกิมลั้ง
“เธอไม่ได้เป็นต้นเหตุอะไรทั้งนั้นนะ ชั้นเองที่อยากช่วยเธอ อยากปกป้องเธอ เพราะคนอย่างชั้นคงทำอะไรให้เธอได้ดีที่สุดแค่นี้” ต๋องเอ่ยจากใจ
“อย่าพูดอย่างนั้นซิต๋อง แค่นี้เธอก็ทำให้ชั้นมากมายจนเกินไปแล้ว มากจนลืมนึกถึงตัวเอง ชั้นไม่อยากคิดเลยนะว่าถ้าวันนี้เธอเป็นอะไรไป แล้วชั้นจะเป็นยังไง อย่าทำอย่างนี้อีกนะ” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
ต๋องเอามือป้ายน้ำตาที่เปื้อนหน้ากิมลั้ง
“ไม่รู้ซิ ตอนนั้นชั้นรู้แต่ว่าชั้นยอมให้เธอเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อหน้าไม่ได้เด็ดขาด” ต๋องเอ่ยขึ้น
กิมลั้งจับมือต๋องมากุมแน่น ขณะนั้นณดาเปิดประตูเข้ามาพอดี พอเห็นกิมลั้งและต๋องกุมมือไม้กันอยู่ ถึงกับเจ็บแปลบ ณดาแกล้งเล่นละครทำเป็นเปิดบานประตูใหม่ให้เสียงดังขึ้นเหมือนเพิ่งเข้า
“คุณต๋อง” ณดาเรียก
พอได้ยินเสียงณดา กิมลั้งกับต๋องปล่อยมือออกจากกัน
“เป็นยังไงบ้างคะ อ้าว กิมลั้ง เธอหายดีแล้วเหรอ ถึงเดินมาถึงนี่ได้” ณดาเอ่ยทักหน้าตาเฉย
“ก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว”กิมลั้งตอบ
“ดีแล้วที่ไม่เป็นไร ไม่งั้นก็เท่ากับคุณต๋องเจ็บตัวฟรีไปเปล่าๆปรี้ๆ ต๋อง คุณรู้มั้ยคะว่าณดาน่ะใจหายวาบเลยนะตอนที่คุณไปสู้มือเปล่ากับนายคนนั้น” ณดาเอ่ยขึ้น
“ช่างมันเถอะครับคุณณดา ยังไงตอนนี้ทั้งผมทั้งกิมลั้งก็ปลอดภัยแล้ว” ต๋องเอ่ยขึ้น
ณดาจ๋อยไปที่ได้ยินต๋องพูดแบบนั้น
“เอ้อ ณดาซื้อของอร่อยๆมาให้คุณทานเพียบเลยนะคะ ทานด้วยกันนะจ๊ะกิมลั้ง” ณดาเอ่ยถามเพื่อมารยาท
“ไม่เป็นไรค่ะ” กิมลั้งตอบ
“ทานเถอะ ทานได้ ชั้นไม่ใช่คนหวงของนะ อะไรแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ได้ก็แบ่งกันไป” ณดาเริ่มพูดอย่างมีนัย ทันใดนั้นกิมฮวยเดินเข้ามาพอดี
“อากิมลั้ง ลื้อกลับไปนอนพักผ่อนได้แล้วไป” กิมฮวยออกคำสั่ง
กิมลั้งเหลือบมองไปที่ต๋องอย่างอาลัยอาวรณ์ ณดารีบแทรกขึ้น
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะกิมลั้ง รับรองว่าชั้นจะดูแลคุณต๋องอย่างดี”
กิมลั้งเดินหงอยออกไปโดยมีกิมฮวยตามมาติดๆ ณดาชอบใจ แต่พอหันมาเห็นสายตาต๋องที่มองตาม
กิมลั้งอย่างห่วงใยณดาหุบยิ้มแทบไม่ทัน
หน้าโรงหนัง กิมแชกับจาตุรงค์เพิ่งดูหนังเสร็จ ทั้งคู่เดินตาแดงออกมาจากโรง
“กิมแช ไหนบอกพี่ว่าเป็นหนังตลกไง ไหงเล่นเอาหงอยขนาดนี้” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
“ก็ทีเซอร์ที่กิมลั้งเห็นมันมีแต่ฉากตลกนี่ ใครจะไปคิดว่าจะโกหกกันแบบนี้ ทำร้ายหัวใจคนดูที่สุด” กิมแชพูดไปสะอื้นไป จาตุรงค์ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาให้ซับน้ำตา
“พอได้แล้วกิมแช หนังจบแล้ว อายเค้า ไปรีบกลับบ้านกันดีกว่า กี่โมงแล้วก็ไม่รู้”
กิมแชหยิบมือถือดูเวลา แต่ต้องตกใจเมื่อเห็นสายที่ไม่ได้รับจากกิมฮวยหลายสาย
“ตายแล้ว มิสคอลจากม้าเพียบเลย ทำไมกระหน่ำโทรขนาดนี้เนี่ย”
ที่โรงพยาบาล กิมฮวยกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องกิมลั้ง ครู่หนึ่งกิมแชกับจาตุรงค์วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“ม้า” กิมแชร้องขึ้นอย่างตกใจ
“อาจาตุรงค์” กิมฮวยเอ่ย
“วันนี้พี่รงค์ชวนอั๊วไปเลือกของขวัญให้เจ้น่ะ” กิมแชรีบเอ่ย
“อ๋อ นี่ ว่าแต่ลื้อไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์รึไงฮะ อั๊วโทรไปไม่รู้กี่รอบ” กิมฮวยถามกลับอย่างโมโห
“คืออั๊วกับพี่รงค์...” กิมแชอึกอัก
จาตุรงค์รีบชิงตอบ
“กิมแชเค้าลืมเปิดเสียงมือถือน่ะครับน้ากิมฮวย”
กิมแชหันมองหน้าจาตุรงค์ ผิดหวังที่อีกฝ่ายพูดโกหก
“เดี๋ยวผมขอเข้าไปเยี่ยมน้องกิมลั้งก่อนนะครับ” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
“เอ้า เชิญๆ” กิมฮวยรีบกุลีกุจอนำจาตุรงค์เข้าห้องไป โดยมีกิมแชเดินตามไปด้วยความงง
ในห้องพักของกิมลั้ง ข้างเตียง กิมแชมองกิมลั้งด้วยความสงสาร
“เป็นยังไงบ้างเจ้” กิมแชถามขึ้น
“อั๊วไม่เป็นไรแล้วล่ะ แต่ต๋องน่ะซิหนักหน่อย เพราะโดนฟันไปหลายแผล”กิมลั้งลืมนึกห่วงตัวเองคิดถึงแต่ต๋อง กิมฮวยฟังแล้วหมั่นไส้
“จะกี่แผลก็คงไม่เป็นไรหรอก ลองมีคุณณดาคอยดูแลใกล้ชิดขนาดนี้ เดี๋ยวอีก็หายแล้ว” กิมฮวยใส่ไฟ กิมลั้งเริ่มหิวน้ำ
“กิมแช เทน้ำให้เจ้หน่อย” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“มาครับมา เดี๋ยวพี่ทำให้” จาตุรงค์รีบกระตือรือร้น
จาตุรงค์รีบเทน้ำใส่แก้ว เอาหลอดใส่แล้วยื่นให้กิมลั้ง กิมแชได้แต่มองตามตาปริบๆ
“ขอบใจจ้ะ” กิมลั้งเอ่ยอย่างเสียมิได้
“ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องที่พี่ต้องทำให้กิมลั้งอยู่แล้ว อ้อ” จาตุรงค์รีบพูด
แล้วหยิบของขวัญที่วางไว้ที่โซฟามาให้กิมลั้ง
“นี่เป็นของขวัญที่พี่ตั้งใจซื้อมาให้กิมลั้งเลยนะ ไม่คิดเลยว่าต้องเอามาให้ที่โรงบาล” จาตุรงค์ว่า
กิมฮวยเห็นแล้วชอบอกชอบใจ
“ความจริงพี่รงค์ไม่ต้องลำบากก็ได้” กิมลั้งเอ่ยอย่างเกรงใจ
“ไม่มีคำว่าลำบากสำหรับน้องกิมลั้งหรอกครับ เสียดายที่วันนี้ตอนเกิดเรื่อง พี่ไม่ได้อยู่เคียงข้างน้องกิมลั้ง ไม่งั้นพี่เอามันตายแน่” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องห่วงหรอกอาจาตุรงค์ ได้ข่าวว่านายชายเพื่อนลื้อน่ะทำหน้าที่แทนลื้อเรียบร้อยแล้ว กระทืบขอทานนั่นซะจนน่วม” เคี้ยงเอ่ยขึ้น
“คนเลวมันก็ต้องตอบแทนด้วยวิธีเลวๆแบบนั้นน่ะถูกแล้วครับน้าเคี้ยง” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
“เค้าคงไม่ได้อยากเลวหรอกพี่รงค์ แต่ไม่มีทางเลือกจริงๆ” กิมลั้งรีบโต้
“โถๆ นางฟ้าของพี่รงค์ มันทำกับกิมลั้งขนาดนั้นก็ยังมีเมตตากับมันอีก” ยิ่งจาตุรงค์เอาอกเอาใจกิมลั้ง กิมแชยิ่งจ๋อย
“กิมฮวย อั๊วว่าพวกเรากลับกันดีกว่านะ กิมลั้งจะได้พักผ่อนให้เต็มที่” เคี้ยงเอ่ย
“เชิญทุกคนตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมจะดูแลน้องกิมลั้งให้เอง” จาตุรงค์อาสา
“ไม่ต้องหรอกอาจาตุรงค์ กิมลั้งคงอยากอยู่คนเดียวมากกว่า” เคี้ยงคล้ายจะรู้ทันลูกสาว
“ไม่ได้ๆ กิมลั้งอยู่คนเดียวเดี๋ยวมันจะมีคนเสนอหน้ามาอยู่เป็นเพื่อน อากิมแช คืนนี้ลื้อนอนที่นี่ล่ะ เดี๋ยวม้าให้ป๊าเอาเสื้อผ้ามาให้” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ได้จ้ะม้า” กิมแชรีบรับคำ
“ความจริงผมว่า....” จาตุรงค์ยังอยากอยู่กับกิมลั้ง
เคี้ยงไม่ยอม
“กลับบ้านก่อนดีกว่านะ ลื้อเข้าใจใช่มั้ยว่ามีแต่ผัวเท่านั้นล่ะที่นอนเฝ้าเมียที่โรงบาล”
ได้ยินเคี้ยงพูดแบบนั้น จาตุรงค์จำต้องตามเคี้ยงกับกิมฮวยกลับบ้านไปในที่สุด
อ่านต่อหน้า 3
“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 7 (ต่อ)
หลายชั่วโมงผ่านไป คิตตี้กับชมพู่เดินกระดี๊กระด๊ากลับเข้ามาในตลาด
“แหม ไม่คิดเลยนะว่าเนื้อในของต๋องน่ะจะผ่องแผ้วนพคุณขนาดนั้น” คิตตี้ยังไม่เลิกเพ้อ
“สมองแกดีเลย์เหรอ มีใครในปฐพีไม่รู้บ้างว่าพี่ต๋องน่ะดีเลิศประเสริฐศรีแค่ไหน” ชมพู่ด่าคิตตี้ แต่อีกฝ่ายเถียงกลับ
“สมองแกน่ะซิดีเลย์ แถมยังแรมต่ำ เคยคิดอะไรทันเค้าบ้างมั้ย ที่ชั้นพูดนี่หมายถึงเนื้อในของ
ต๋องที่เป็นเนื้อขาวๆแน่นๆที่เราเห็นตอนเช็ดตัว” คิตตี้เอ่ยขึ้น
“เออ จริงด้วย เมื่อกี้นะชั้นเช็ดตัวให้พี่ต๋องไป ใจหวิวไป ยิ่งช่วงที่ไล่ถูกล้ามท้องซิกซ์แพ็กเนี่ย มืองี้สั่นอย่างกะหิวข้าว” ชมพู่เอ่ย
“ว่าไปต๋องเข้าโรงบาลบ่อยๆก็ดีเหมือนกันนะ” คิตตี้ว่า
“ทำไม” ชมพู่ถามกลับ
“ชั้นจะได้ตามไปเช็ดตัวให้เช้าเย็นไง” คิตตี้ว่า
“แกคนเดียวเหรอ ชั้นด้วยซิ จะแถมตอนกลางวันให้อีกหนึ่งรอบ เช็ดกันให้ครบสามมื้อหลังอาหารเลย” ชมพู่รีบตอบ
ทันใดนั้นยามวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาคิตตี้
“คิตตี้”
“ทำไมต้องทำเสียงหืดหอบขนาดนั้น คิดอะไรกับชั้นรึเปล่าเนี่ย”
ยามทำหน้าเซ็งก่อนตอบ
“คิดสงสารเอ็งไงไอ้สมคิด ที่บ้านไม่มีกระจกใช่มั้ย จะได้ซื้อให้” ยามว่า
“ไอ้....ไอ้.....” คิตตี้กำลังอ้าปากด่า
“เอาไป อีเอ็มเอสของเอ็ง” ยามรีบส่งซองจดหมายให้คิตตี้ทันที
“ใคร”คิตตี้ถามขึ้น
แต่พอเห็นชื่อคนส่งตกใจรีบเปิดจดหมายอ่าน
“อ๊าย ตายแล้ว” คิตตี้กรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ
ทำเอาชมพู่ตกใจไปด้วย
“เป็นอะไรนังคิตตี้”
คืนนั้น เคี้ยงกลับดึกอย่างเคย เบิร์ดสังเกตได้ว่าเคี้ยงดูเงียบเหงาลงไป ทั้งคู่กำลังเดินออกจากสถานที่แห่งหนึ่ง
“วันนี้เฮียรีบกลับจังเลยนะคะ” เบิร์ดเอ่ยถาม
“วันนี้กิมฮวยอยู่บ้านคนเดียวน่ะ กิมแชต้องไปนอนเฝ้ากิมลั้งที่โรงพยาบาล” เคี้ยงรีบตอบ
“ไม่ทานข้าวหน่อยเหรอคะ เฮียยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะ” เบิร์ดเอ่ย
“ไม่เป็นไร รีบกลับดีกว่า เดี๋ยวเฮียไปหาทานที่บ้านก็ได้” เคี้ยงตอบ อีกฝ่ายดูเก้อไป
“งั้นเฮียก็รีบไปเถอะค่ะ ขับรถดีๆนะคะ” เบิร์ดเอ่ย
“ขอบใจจ้ะ เฮียไปนะ” เคี้ยงตอบ
เคี้ยงขึ้นรถขับออกไป เบิร์ดมองตามอย่างจ๋อยๆ เคี้ยงหน้าตามีกังวลมองกระจกมองหลังไปดูเบิร์ดซึ่งกำลังเดินกลับเข้าไปในห้องดังกล่าว
เวลาเดียวกันนั้น ที่ห้องพักกิมลั้งในโรงพยาบาล เสียงข้อความมือถือกิมลั้งดังขึ้น ในขณะที่กิมแชหลับไปด้วยความเหนื่อยมาทั้งวัน กิมลั้งสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาหยิบมือถือ พอเห็นว่ามีข้อความจาก
ต๋องเข้ามาดวงตาเธอเป็นประกาย แล้วรีบเปิดดู หน้าจอมือถือเขียนว่า “มีคนมาเยี่ยม....” พอกิมลั้งกดเลื่อนลงเห็นรูปนิ้วสองนิ้วเขียนหน้าตาน่ารัก ดูเริงร่ามาก โดยที่ใต้ภายเขียนว่า “ขวัญเอ๊ยขวัญมานะกั๊บพี่กิมลั้งของป๋ม” กิมลั้งยิ้มชอบใจอย่างมีความสุข
ต๋องกำมือถือนั่งยิ้ม ลุ้นว่ากิมลั้งจะชอบใจหรือไม่ ครู่หนึ่งเสียงเตือนข้อความของต๋องดังขึ้นบ้าง ต๋องรีบเปิดดูพอเห็นว่าจากกิมลั้งดีใจ รีบเปิดดูทันที หน้าจอมือถือเห็นเป็นภาพนิ้วมือที่ถูกเขียนหน้าตาได้เจ้าเล่ห์ก๋ากั่น ใต้ภาพเขียนว่า “ดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะค่ะพี่ต๋อง”
ต๋องยิ้มอย่างมีความสุข จึงลุกจากเตียงเดินไปที่ระเบียงเพื่อมองฟ้าและดาว ด้านห้องกิมลั้ง เธอออกมายืนมองดาวอยู่ที่ระเบียงเช่นกัน ทั้งคู่หันมาเจอกันอย่างงงๆเพราะไม่คิดว่าใจตรงกันถึงเพียงนั้น
ต๋องกับกิมลั้งยืนดูวิวอยู่บนดาดฟ้าของโรงพยาบาล
“บรรยากาศเมืองใหญ่ตอนกลางคืนนี่มันก็สวยไปอีกแบบเนอะ” ต๋องเอ่ย
“แต่มันคงจะสวยกว่านี้ถ้าเราไม่ได้มายืนดูวิวตอนเจ็บตัวกันอยู่” กิมลั้งตอบ
ต๋องเหม่อมองวิวก่อนจะพูดขึ้น
“จะสวยไม่สวยบางทีก็ไม่เกี่ยวกับดูตอนไหนหรอกนะ มันอยู่ที่ดูกับใครต่างหาก” ต๋องโพล่งขึ้น
ทั้งคู่หันมองหน้ากัน ต๋องรู้สึกตัวว่าเผลอพูดความในใจแบบไม่ระวังตัวออกไป
“นึกถึงขอทานวันนี้แล้วก็สงสารเค้าเหมือนกันนะ ถูกตำรวจจับไปไม่รู้เป็นยังไงบ้าง” กิมลั้งชวนคุยเรื่องอื่น
“พูดไปชั้นก็รู้สึกผิดเหมือนกันนะที่ไม่ได้ช่วยเหลือเค้าก่อนหน้านี้ มันก็จริงของเค้านะที่บอกว่าคนมีมือมีเท้าไม่ได้มีสมองหมดทุกคน” ต๋องเอ่ยขึ้น
“ใช่ บางคนเค้าก็คิดหาทางแก้ไขปัญหาชีวิตให้ตัวเองไม่ได้จริงๆ สุดท้ายก็ต้องเลือกทางเดินผิดๆ"
“เราคงกลับไปแก้ไขอดีตตอนนี้ไม่ทันแล้วล่ะ แต่มันก็ไม่สายเกินไปถ้าเราจะช่วยให้คนด้อยโอกาสที่เหลือได้มีทางออกให้กับชีวิตตัวเองบ้าง” ต๋องเอ่ย
“เธอจะทำอะไรเหรอ” กิมลั้งถามอย่างสนใจ
“ถ้าเธอสัญญาว่าจะช่วย ชั้นก็จะบอก” ต๋องเอ่ยขึ้น
“สัญญา” กิมลั้งตอบทันที
ต๋องยื่นมือไปให้กิมลั้งเหมือนจะถามว่าแน่ใจกับสิ่งที่สัญญาแล้วหรือ กิมลั้งเอื้อมไปจับมือต๋องตอบทันที ทั้งคู่เกิดความรู้สึกวูบไหวระหว่างกันขึ้นมาอีก กิมลั้งรีบดึงมือตัวเองออกมาอย่างขวยเขิน
“ตกลงจะบอกได้รึยังว่าจะทำอะไร” กิมลั้งถาม
“เอาหูมาซิ” ต๋องว่า
กิมลั้งขยับเข้าใกล้ต๋องเข้าไปอีก
“จะกระซิบทำไม มีกันอยู่แค่สองคน” กิมลั้งเอ่ย
ต๋องขำที่แกล้งกิมลั้งได้
“คืองี้...”
ต๋องอธิบายสิ่งที่อยากให้กิมลั้งฟัง และมองดาวด้วยกันอย่างสุขใจบนดาดฟ้าโรงพยาบาลจนลืมบาดแผลที่เจ็บตัวไปเสียสนิท
เช้าวันใหม่ ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ ชายคนหนึ่ง แต่งตัวเนี้ยบ ผมเรียบแปล้ มีรอยสักที่แขนห้าวราวกับชายฉกรรจ์ เดินมาในตลาด พ่อค้าแม่ค้าทุกแผงพากันมองด้วยความตะลึง พอชายดังกล่าวเดินผ่านแผงต่างๆไป ทุกคนรีบเดินตามก้นไปเป็นขบวน เลื่อนกับรักเร่เข็นรถอยู่ยังต้องรีบเลี้ยวรถตามไปด้วยความอยากรู้ว่าชายคนดังกล่าวเป็นใครกันแน่
พอชายคนดังกล่าวเดินผ่านแผงปลาของกิมฮวยที่กำลังจัดกองหอยแครงอยู่ กิมฮวยเห็นเข้าถึงกับปล่อยหอยหลุดมือทั้งจาน แล้วรีบเดินก้าวเข้ามาขวาง
“อะไรดลใจให้ลื้อแต่งตัวอย่างงี้ฮะ อาคิตตี้” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“โทษครับผมชื่อสมคิด” คิตตี้ในร่ายฉกรรจ์ตอบกลับเสียงเข้ม
“ผีเข้ารึเปล่า ตั้งแต่ลื้อประกาศว่าชื่อคิตตี้ ลื้อก็ห้ามไม่ให้ใครเรียกว่าสมคิดอีกเลย แล้วอยู่ๆลื้อเป็นอะไร” กิมฮวยยิ่งงงว่าทำไมวันนี้คิตตี้แต่งตัวแมนเกินเหตุ
“ผมเป็นผู้ชาย” คิตตี้ย้ำว่าตัวเองแมนทั้งแท่ง
“เป็นผู้ชาย ?” ชาวตลาดตกใจไม่ต่างกัน
“สงสัยต้องพาไปให้พ่อจะเด็ดสาดน้ำมนต์เรียกวิญญาณคืนร่างซะแล้ว ไปเว้ย พวกเราช่วยกัน”
ป้าพิณโพล่งขึ้น ชาวตลาดรีบเข้าไปช่วยกันลากคิตตี้
“ไม่ครับ ไม่ไป ผมไม่ได้เป็นอะไร”ท คิตตี้พยายามขัดขืนด้วยท่าทางแมนสุดฤทธิ์
ชาวตลาดไม่ฟัง พยายามดึงคิตตี้อีก
“ปล่อยผมเถอะครับ ขอร้องล่ะ” ชาวตลาดยิ่งพยายามทั้งดึงทั้งลากคิตตี้หนักขึ้นจนคิตตี้ทนไม่ไหว หลุดกรี๊ดออกมาเสียงดัง
“อ๊าย!” คิตตี้สาวแตกแหกปากลั่นตลาด
ชาวตลาดตกใจปล่อยมือจากคิตตี้มาอุดหูตัวเอง
“ขอโทษครับ ผมแค่อยากจะบอกว่าผมไม่เป็นอะไรจริงๆ”คิตตี้เพิ่งรู้สึกตัวรีบกลับมาเก๊กแมนเสียงเข้มอีกรอบ
“ไม่จริง แกจะไม่เป็นไรได้ยังไง เมื่อก่อนแกทำตัวลักเพศก็ว่าแปลกแล้ว แต่จู่ๆแกจะกลับมาทำตัวเป็นแมนนี่มันพิลึกกว่า” คำมูลพูดพลางรีบเดินเข้ามาหาคิตตี้
“จะให้ผมอธิบายยังไง ผมบอกว่าไม่มีอะไร ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง” คิตตี้พยายามย้ำ
“ไม่จริง มันต้องมี แล้วอั๊วต้องรู้ให้ได้” กิมฮวยเอ่ยขึ้น แล้วคว้ากระจกบานหนึ่งยื่นใส่หน้าคิตตี้เพื่อให้ส่องดู
“ดูให้ดีซิว่านี่มันลื้อจริงๆเหรอ” กิมฮวยโพล่งขึ้น
คิตตี้หันหน้าหนีกระจก แต่เจอเต๊กไฮ้ถือมีดปังตอหนาๆวาววับมายื่นใส่หน้าคิตตี้เพื่อให้ส่องดูตัวเอง
“หัวเรียบแปล้ เนื้อตัวมีแต่รอยสัก แต่งตัวเหมือนไม่มีใครทักแบบนี้ มันไม่ใช่ตัวตนลื้อแน่”
เต๊กไฮ้ว่า คิตตี้หันไปอีกทางเห็นลักษณ์ยื่นมือถือถ่ายรูป กดซูมเต็มหน้าให้คิตตี้ดู
“ดูดีๆซิ เวลาคิตตี้ไม่แต่งหน้าทำผม คิตตี้รับตัวเองได้มั้ย ถามน้า...น้ารับไม่ได้นะ”
ลักษณ์รีบโพล่งขึ้น คิตตี้หลับตาปี๋ชักรับสถานการณ์ไม่ได้
“ชั้นก็รับไม่ได้” เลื่อนรีบเอ่ย
ชาวตลาดทุกคนต่างรับที่คิตตี้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นผู้ชายไม่ได้
“ชั้นก็รับไม่ได้ ชั้นก็รับไม่ได้ ชั้นก็รับไม่ได้” ชาวตลาดประสานเสียงออกมาพร้อมกัน
คิตตี้ทนไม่ไหว กดดันจนต้องกรี๊ดออกมา
“อ๊าย ก็ได้ๆ ชั้นบอกก็ได้ว่าทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้”
ที่ร้านอาโก ชาวตลาดมากันพร้อมหน้าเพื่อฟังเรื่องราวของคิตตี้แต่งแมน
“พ่อของพี่คิตตี้ที่หายตัวไปห้าปีจะมาเยี่ยม” เขียวหวานเอ่ยขึ้น
“พ่อจะกลับมา แต่ทำไมเอ็งทำหน้าเหมือนพ่อตายวะฮะ ไม่ดีใจเหรอ” ป้าพิณรีบถามต่อเมื่อเห็นคิตตี้หน้าตากังวล
“ดีใจก็ดีใจล่ะป้า แต่ที่เครียดก็คือพ่อไม่เคยรู้เรื่องที่คิตตี้เป็นผู้หญิงข้ามเพศ ที่สำคัญ พ่อน่ะเกลียดเพศที่สาม ชอบประณามเพศที่สี่ เจอพวกข้ามสายพันธุ์ที่ไหนพ่อเป็นตามด่า ต่อให้ปากจัดปากหมายังไง
เจอพ่อเข้าไป ถึงกับอึ้ง ชา อยู่ๆปากก็กลายเป็นตูดไม่มีแม้แต่เสียงปู้ดๆ ออกมา” คิตตี้เล่า
“ไอ้หยา ลื้อก็เลยต้องแปลงร่างเป็นผู้ชายเพราะอย่างงี้นี่เอง” กิมฮวยเริ่มถึงบางอ้อ
“แต่นี่คิตตี้ก็แก่ เอ้ย โตแล้วนะ น้าว่าพ่อต้องเข้าใจแล้วก็ยอมรับความจริงได้ซิ เพราะคิตตี้ก็เป็นคนดี ขยันทำมาหากิน” ลักษณ์รีบเอ่ย
“ไม่มีทาง น้าลักษณ์รู้มั้ย ตอนเด็กๆที่คิตตี้ยังไม่รู้ประสีประสา ไม่รู้จัก แม้กระทั่งจุ๊ดจู๋กะจุ๋มจิ๋มด้วยซ้ำ แค่คิตตี้หยิบลิปสติกที่แม่ทำตกไว้มาทา ยังถูกพ่อตีอย่างกะไปฆ่าใครตาย” คิตตี้เล่า
“แล้วลื้อคิดว่าจะปิดเรื่องของลื้อได้มิดจริงๆเหรออาคิตตี้ แค่ห้ามนิ้วไม่ ให้กระดกลื้อยังทำไม่ได้เลย” เต๊กไฮ้ โพล่งขึ้น คิตตี้มองนิ้วตัวเองแล้วหยุดกรีดชั่วคราว
“โอ๊ย นั่นยังไม่เท่าไหร่ ก้นมันน่ะกระดกพร้อมรับการกระแทกกระทั้นยิ่งกว่านิ้วซะอีก”
คำมูลรีบเอ่ย คิตตี้รีบเก็บก้นให้เข้าที่เข้าทาง
“เอาเถอะน่ะ ไม่มีทางเลือกแล้วนี่ ก็ต้องทนเล่นละครไป แต่ที่สำคัญก็คือ ทุกคนต้องช่วยคิตตี้ อย่าไปเผลอพูดอะไรให้พ่อคิตตี้สงสัยละกัน” คิตตี้ว่า
“เฮ้อ ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก แต่พวกเราจะเอาใจช่วยพี่คิตตี้ไม่ให้แตกแต๋วต่อหน้าพ่อละกันนะ”
เลื่อนเอามือบีบนวดบ่าคิตตี้ให้กำลังใจ
“ขอบใจมากเลื่อน ชั้นเพิ่งเห็นแกน่ารักก็วันนี้”
คิตตี้เอ่ยชม เลื่อนไหล่คิตตี้ไปมาจนเริ่มเคลิ้ม หลับตาพริ้ม
“อืม ดีจัง แกทำชั้นขนลุกขนพองไปหมดแล้วเลื่อน ขอแรงๆอีกนิดซิ นั่นล่ะ อืม โอ้ว”
ชาวตลาดเห็นอาการคิตตี้แล้วละเหี่ยใจ
“ดูมัน ยังไม่ทันไรเล้ย” ป้าพิณละเหี่ยใจ
ทันใดนั้นพ่อคิตตี้ ที่สภาพเซอร์ ราวศิลปิน หนวดเข้ม เดินอยู่หน้าร้านหันมาเห็นคิตตี้พอดี
“ไอ้สมคิด” พ่อคิตตี้ตะโกนเรียก
คิตตี้ตาลุกวาว สะดุ้งสุดตัว รีบลุกขึ้นยืนแล้วผลักเลื่อนแทบหัวคะมำ พร้อมปรับเสียงให้แมน
“เอ้า พ่อ”
บ่ายนั้น ที่โรงพยาบาล กิมลั้งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงที่ห้องพักตัวเอง ส่วนกิมแชเต้นแอโรบิกอยู่กับซีดีที่เอามาเปิดที่โรงพยาบาลด้วย
“ทำไมลื้อฟิตขนาดนี้ฮะกิมแช ร้อยวันพันปีเคยออกกำลังกายที่ไหน นี่ขนาดในโรงบาลยังไม่เว้น” กิมลั้งถามด้วยความแปลกใจ
“แล้วมันแปลกตรงไหนล่ะ อั๊วก็อยากสวยหุ่นดีอย่างเจ้บ้าง” กิมแชตอบ
กิมลั้งลุกมาหากิมแช
“แล้วจะอยากสวยไปไหน อย่าบอกนะว่า ลื้อกำลังมีความรัก” กิมลั้งถามขึ้นอย่างตรงๆ
กิมแชอึ้งถึงกับหยุดเต้น
“อึ้งอย่างนี้ต้องใช่แน่ๆ ลื้อกำลังมีความรักจริงๆใช่มั้ย” กิมลั้งรีบโพล่งขึ้น
กิมแชรีบแก้ตัวพัลวัน
“โอ๊ย ไปกันใหญ่แล้วเจ้ ถ้าจะรักอั๊วก็รักตัวเองนี่ล่ะ อั๊วอยากดูแลตัวเองไม่ให้อ้วนเกินไป โรคภัยก็จะได้ไม่ถามหาไง” กิมแชแก้ตัวไปได้
ครู่หนึ่งมีคนเอาอาหารเข้ามาส่ง
“อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ” พนักงานเอ่ยขึ้น
“โอ้โห มากมายขนาดนี้ ส่งผิดห้องแล้วล่ะค่ะ” กิมลั้งตอบกลับด้วยความตกใจเมื่อเห็นอาหารปริมาณมากอยู่ตรงหน้า
“ของอั๊วเองล่ะ ขอบคุณมากนะคะ” กิมแชรีบขอบคุณพนักงานเพราะอาหารที่สั่งมาทั้งหมด เธอเป็นคนสั่งเอง
“ไหนว่าจะลดความอ้วนไง ทำไมลื้อกินของตั้งมากมายขนาดนี้ อั๊วว่าหนักกว่าตอนที่ไม่ได้ออกกำลังกายซะอีก” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“โธ่ เจ้ ก็พอออกกำลังกายมากๆมันก็เลยโหยน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก กินเยอะยังไง เดี๋ยวอั๊วเบิร์นได้ด้วยแอโรบิกนี่ล่ะ” กิมอ้าง
“ตามใจลื้อ งั้นเดี๋ยวอั๊วไปเยี่ยมต๋องก่อนนะ” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“ตามสบาย” กิมแชหันไปที่ของกินต่อ
พอกิมลั้งออกไป กิมแชรีบจัดการอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข
เวลาต่อจากนั้น กิมลั้งเดินไปหาต๋องที่รักษาตัวอยู่ที่ห้องติดกัน พยาบาลเช็ดตัวให้ต๋องเสร็จกำลังรูดม่านเปิดออกจากเตียง กิมลั้งจึงเห็นต๋องผูกเสื้อไม่เสร็จ
“อุ๊ย” กิมลั้งตกใจยกมือปิดลูก เพราะไม่เคยเห็นต๋องโป๊มาก่อน
ต๋องเห็นกิมลิ้งอายอดอมยิ้มไม่ได้
“กิมลั้ง นี่เธอกำลังทำให้ชายอกสามศอกอย่างชั้นหมดความมั่นใจนะ หุ่นชั้นมันรับไม่ได้ถึงขนาดเธอต้องปิดตาเลยเหรอ” ต๋องเอ่ยขึ้น
“โรคจิตเหรอ อยากให้คนเห็นตอนโป๊” กิมลั้งเอ่ยกลับ
“เอ้า มีดีก็ต้องโชว์ซิ” ต๋องแกล้งล้อ
“แหวะ แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ วันนี้ดีขึ้นมั้ย” กิมลั้งถามอาการต๋อง อีกฝ่ายจึงแกล้งทำท่าหมดเรี่ยวหมดแรงขึ้นมาทันที
“ไม่ค่อยเท่าไหร่เลย สงสัยเมื่อคืนทำซ่าส์ขึ้นไปบนดาดฟ้าดึกๆดื่นๆ ตื่นมาเลยเป็นไข้ ปวดแผลไปทั้งตัว สงสัยจะอักเสบ” กิมลั้งเอ่ยขึ้น ต๋องรีบไอ อ้อนกิมลั้ง จนอีกฝ่ายรีบรินน้ำใส่แก้วแล้วป้อนต๋อง
“ดื่มน้ำก่อน”
ต๋องแอบยิ้มชอบใจ รีบทำเสียงออดอ้อน
“กิมลั้ง ช่วยกดปุ่มยกเตียงให้ชั้นหน่อยซิ” ต๋องพูด
กิมลั้งลุกขึ้นยืนข้างๆต๋องแล้วกดรีโมท แต่ปรากฎว่าส่วนปลายเท้าถูกยกสูงขึ้นมา
“เอ้า ทำไมไปยกปลายเตียงล่ะ หัวชั้นอยู่นี่” ต๋องทัก
“เอาเหรอ ชั้นนึกว่าหัวเธออยู่นั่น” กิมลั้งแกล้งกลับ
“อุย ชั้นดูหล่อขนาดนั้นเลยเหรอ ชมกันมากไปรึเปล่าเนี่ย” ต๋องเล่นมุขตามน้ำทันที
กิมลั้งหัวเราะชอบใจแล้วกดยกส่วนหัวเตียงขึ้นมา ระหว่างนั้นพนักงานยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟ ทั้งกิมลั้งทั้งต๋องหันไปมองพนักงาน ในขณะที่หัวเตียงยังยกสูงขึ้นเรื่อยๆ พอกิมลั้งหันกลับไปอีกทีเป็นจังหวะเดียวกับที่หัวต๋องกำลังยกสูงขึ้นมาเลยทำให้กิมลั้งจูบเข้าที่จมูกของต๋อง
“ว้าย น่าร้ากอ่ะ ไม่ขัดจังหวะแล้วค่ะ” พนักงานเขินจึงออกจากห้องไป
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ดูซิ เธอ ทำให้คนอื่นเข้าใจชั้นผิดหมดเลย” กิมลั้งตะโกนอธิบายแต่ไม่ทันแล้ว
กิมลั้งเขินหันมาว่าต๋องแทน
“แหม ชั้นเป็นผู้เสียหายชั้นยังไม่บ่นเลย” ต๋องสวนกลับ
“เสียหายยังไง” กิมลั้งย้อนถาม
“เอ้า ก็อยู่ๆเธอก็หันมาขโมยจุ๊บชั้น คนอื่นเค้าคิดไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้” ต๋องเอ่ย
“จะบ้าเหรอ” กิมลั้งลืมตัวทุบต๋องใหญ่
“โอ๊ยๆ ชั้นบาดเจ็บอยู่นะกิมลั้ง โอ๊ย” ต๋องแกล้งเจ็บ
“อุ๊ย ขอโทษ ชั้นลืมไป” กิมลั้งตกใจหยุดตีทันที
ต๋องรีบชูแขนที่บาดเจ็บขึ้นมา
“ดูซิ มาซ้ำแผลเก่ากันแบบนี้แล้วชั้นจะมีแรงตักข้าวกินไหวยังไงล่ะ กินข้าวไม่ได้ก็กินยาไม่ได้ กินยาไม่ได้ก็ไม่ต้องหายกันพอดี แล้วอย่างงี้เมื่อไหร่จะได้กลับไปขายผัก ถ้าไม่ได้ขายผักก็ไม่มี....”
จู่ๆกิมลั้งตักข้าวยัดใส่ปากต๋องไม่ให้พูดต่อ
“ไม่ต้องพูดมากแล้ว ชั้นรับผิดชอบป้อนเธอเอง” กิมลั้งพูดไปยิ้มไป
ต๋องแอบอมยิ้มชอบใจ
“ตักผัดกะเพราให้ด้วยดิ เอาแต่หมูนะ ไม่เอากะเพรา พริกก็ไม่เอา” ต๋องสั่ง
กิมลั้งทำตามที่ต๋องบอก
“อุ๊ยๆ ปากเลอะ เช็ดให้หน่อย” ต๋องแกล้ง
กิมลั้งเริ่มรำคาญกับความออเซาะของต๋อง แต่รีบหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้ด้วยความรัก
บ่ายนั้น คิตตี้พาพ่อเดินทัวร์ตลาดโดยมีชาวตลาดแอบเดินติดตามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ทางนี้เลยจ้ะพ่อ” คิตตี้พูดด้วยท่าทางผู้ชาย
พ่อคิตตี้หันไปมองด้านหลัง ชาวตลาดรีบหยุดเดินหันหน้าไปทางอื่น
“เอ๊ะ คิด ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเป็นเป้าสายตายังไงชอบกล” พ่อคิตตี้เอ่ยขึ้น
“พ่อคิดมากรึเปล่า ตลาดมันก็มีคนเดินขวักไขว่เป็นธรรมดา นี่ไง ถึงแล้วร้านชั้น” คิตตี้เอ่ยขึ้น
“เอ้า ร้านดอกไม้เหรอ ผู้ชายที่ไหนเค้าขายดอกไม้กัน มีแต่ตุ๊ดแต๋วเท่านั้นล่ะ” พ่อคิตตี้โพล่งขึ้น
คิตตี้ตกใจหัวแทบคะมำเมื่อได้ยินพ่อพูด
“โธ่ พ่อนี่ไม่รู้อะไร ร้านดอกไม้นี่ล่ะคนซื้อเยอะ แถมยังใช้กันทุกเทศกาล ตั้งแต่วันเกิดยันวันตาย ยิ่งมีคนขายหล่อๆอย่างชั้น สาวๆยิ่งพากันเข้าร้านกันตรึม” คิตตี้แก้ต่างได้
ระหว่างนั้นชมพู่เดินผ่านมาเห็นคิตตี้ในมาดใหม่ ตกใจร้องเสียงดังลั่น พุ่งมาหาคิตตี้โดยยังไม่รู้ว่าคิตตี้ต้องการปิดบังพ่อว่าไม่ได้เป็นกะเทย
“อ๊าย อีคิต” ชมพู่ตะโกนมาแต่ไกล
คิตตี้กลัวชมพู่ทำเสียแผนจึงรีบเข้าไปจูบประกบปาก ชมพู่ช็อก ชาวตลาดทั้งหมดเห็นแล้วพากันอ้าปากหวอ บางคนถึงกับเอามือปิดตา แล้วคิตตี้ถอนปากออกจากปากชมพู่ แต่ชมพู่โกรธมาก
“อีคิต” ชมพู่อ้าปากจด่าอีก
คิตตี้จึงประกบปากชมพู่อีกครั้ง คราวนี้บดขยี้หนักกว่าเก่าหวังจะให้ชมพู่หุบปาก แล้วคิตตี้ถอนปากออกจากปากชมพู่
“อี....” ชมพู่ด่าไม่ออก
คิตตี้จึงประกบปาก ถอนปากอีกหลายครั้ง ชมพู่ได้แต่อ้าปากเสียงระรัวแค่นั้น
“อี ๆ”
ชมพู่โมโหจัดผลักคิตตี้ออกไปแล้วตบคิตตี้
“อี...”
คิตตี้ไม่เปิดโอกาสให้ชมพู่พูดรีบตบชมพู่กลับซะก่อน ชมพู่อึ้ง คิตตี้รีบโผไปกอดแล้วทำเป็นไซร้ซอกคอและใบหูชมพู่ พร้อมแอบกระซิบพูดที่ข้างหู
“อีชมพู่ ฟังชั้นก่อน แกเห็นผู้ชายผมยาวที่ยืนอยู่มั้ย นั่นน่ะพ่อชั้น แล้วชั้นจะให้พ่อรู้ไม่ได้ว่าชั้นเป็นเก้ง ไม่งั้นพ่อฆ่าชั้นตายแน่ โอเคนะ ขอบใจ” คิตตี้พูดจบปล่อยชมพู่ออกจากอ้อมกอด ชมพู่งงมากได้แต่ยืนอึ้ง คิตตี้หันไปหาพ่อที่ยืนงงไม่ต่างกัน
“นี่มันอะไรกันวะไอ้คิด” พ่อคิตตี้เอ่ยขึ้น
“อ๋อ ชั้นลืมแนะนำพ่อไป นี่เมียชั้นเอง ชมพู่” คิตตี้เอ่ยขึ้นแล้วเข้าไปโอบบ่าชมพู่
“เมีย ?” ชมพู่ยิ่งอึ้งหนักเข้าไปอีก
“เอ้า ไหว้พ่อผัว เอ๊ย พ่อพี่ซะซิ” คิตตี้เอ่ยขึ้น
“กราบสวัสดีค่ะพ่อ” ชมพู่ไหว้พ่อคิตตี้ตามน้ำไป
“ไหว้พระเถอะแม่คุณ ไอ้คิด ทำไมเอ็งถึงลงไม้ลงมือกับเมียแรงขนาดนั้นวะ” พ่อคิตตี้ถามอย่างสงสัย
“ชั้นสองคนก็เป็นแบบนี้ล่ะพ่อ รักความรุนแรงเหมือนกัน ถึงเป็นผัวเมียกันได้ไง” คิตตี้ตอบ
“เหรอ ? เอ้อ คิด ข้าหิวข้าวจังเลย ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า แถวนี้มีอะไรอร่อยบ้าง” พ่อคิตตี้ถามขึ้น
“งั้นต้องร้านนี้เลยพ่อ”
คิตตี้พาพ่อมากินข้าวที่ร้านข้าวแกงป้าพิณ เขียวหวานเอาอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะซึ่งคิตตี้ ชมพู่ และพ่อคิตตี้นั่งกันพร้อมหน้า
“กับข้าวไม่พอบอกได้นะจ๊ะพ่อนังคิต เอ่อ พ่อไอ้คิด เดี๋ยวชั้นแถมให้” ป้าพิณเรียกชื่อคิตตี้ผิดๆถูกๆ
“ขอบคุณจ้ะป้า” พ่อคิดตตี้ตอบ
“เดี๋ยวร้านส้มตำชั้นช่วยเปิดเพลงเพราะๆให้ฟังนะจ๊ะ ถึงไม่สั่งส้มตำก็ไม่เป็นไร”
คำมูลรีบเอ่ย ป้าพิณเปิดวิทยุ เพลงฝรั่งดังขึ้นมาสร้างบรรยากาศ
“คนในตลาดนี่ดูรักใคร่เอ็งดีจังเลยนะ” พ่อคิตตี้หันไปคุยกับลูก ทันใดนั้นหันไปมองรอบตัวแล้วต้องตกใจ
“เฮ้ย” พิ่คิตตี้ตกใจ ที่เห็นชาวตลาดตามติดสถานการณ์ใกล้ชิด ต่างพร้อมใจกันมานั่งกินข้าวบ้างยืนกินบ้างที่ร้านป้าพิณ พอพ่อคิตตี้หันมา หันหลบกันไม่ทัน เลยพร้อมใจกันส่งยิ้มให้พ่อคิตตี้
“ข้าว่าทุกคนจะรักเองมากไปหน่อยแล้วว่ะไอ้คิด เล่นตามกันเป็นเงาตามตัวเลย” พ่อคิตตี้งง
“คนที่นี่ก็อย่างงี้ล่ะพ่อ อย่างที่เค้าว่าไง love me love my dog ถ้ารักชั้นก็ต้องรักหมาของชั้นด้วย” คิตตี้เอ่ย
“หมาของเอ็ง ?” พ่อคิตตี้ถามกลับ
“หมายถึงพ่อน่ะล่ะจ้ะ คือ ไม่ได้ว่าพ่อเป็นหมานะจ๊ะ มันเป็นสำนวนฝรั่ง” ชมพู่รีบช่วยอธิบาย
“รีบกินเถอะพ่อ กำลังร้อนๆอยู่ พ่อรู้มั้ย ร้านป้าพิณน่ะ อร่อยที่สุดในสามโลก” คิตตี้เผลอแต๋วแตก
“ทำไมต้องพูดแบบนั้นวะ กะเทยมาก ข้าไม่ชอบ” พ่อคิตตี้โพล่งขึ้น
“อ๋อ พี่คิดเค้าอยากให้พ่อแน่ใจไงจ๊ะว่ามันอร่อยมาก” ชมพู่รีบช่วยอีก
“ใช่ๆจ้ะพ่อ ลองกินดูซิ” คิตตี้บอก
พ่อคิตตี้รีบตักข้าวกิน
“อืม อร่อยอย่างเอ็งว่าจริงๆ” พ่อคิตตี้นั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
แล้วจู่ๆเพลง “I will survive” ดังขึ้นมาจากวิทยุ คิตตี้ถึงกับสะดุ้งหูผึ่ง
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00น.
“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 7 (ต่อ)
“เพลงชาติเกย์มาเปิดบิลด์อะไรตอนนี้ เดี๋ยวนังคิตตี้ก็แต๋วแตกพอดี”
ชมพู่บ่นพึมพำกับตัวเองพูดไม่ทันขาดคำ ชมพู่เห็นคิตตี้เริ่มมีอาการส่ายก้นตามจังหวะเพลง จากนั้นเริ่มมีอาการสั่นบ่า ด้วยความที่ทนไม่ไหว จู่ๆคิตตี้ทำท่าเหมือนจะลุกขึ้น ชมพู่ต้องรีบแอบยกขาไปพาดที่ตักกันไม่ให้ลุก
“พี่คำมูล ปิดเพลงก็ได้นะ เสียงมันดัง” ชมพู่สั่ง
“อะไรนะนังชมพู่ เพลงไม่ดัง ได้ๆ” คำมูลได้ยินชมพู่ไม่ชัด
รีบเพิ่มความดังของเพลงเต็มที่ กระตุ้นให้คิตตี้ลุกขึ้นเด้งอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ชมพู่ต้องรีบคว้าตัวให้นั่งลง คราวนี้ชมพู่รีบตะโกนสั่งคำมูลดังเข้าไปอีก
“พี่คำมูล ชั้นบอกให้ปิด ไม่ได้ให้เร่งเสียง” ชมพู่บอกอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรชมพู่ ฟังเถอะ เพราะดี พ่อจะได้ฝึกภาษาด้วย ที่พ่อบอกเอ็งไงว่าจะไปทำงานเมืองนอก ช่วงนี้เลยต้องขยันฝึกภาษาฝรั่งหน่อย จะได้ ไม่ลำบาก”
พ่อคิตตี้ว่าแต่ไม่ได้สังเกต กลับคิดว่าเพลงนั้นเพราะและให้คิตตี้ได้ฝึกภาษา แต่เวลานี้คิตตี้จิกขาตัวเองไม่ให้แต๋วแตกสุดชีวิต
“ดีจ้ะพ่อ” คิตตี้ตอบ
ในที่สุดคิตตี้ก็ตบะแตกลุกขึ้นเต้น พ่อคิตตี้ตกใจ ชมพู่ต้องรีบลุกขึ้นตามไปเต้นประกบคิตตี้ทันที คอยบังๆไม่ให้พ่อเห็นลีลาสะบัดช่อของคิตตี้
“นี่เป็นเพลงโปรดชมพู่น่ะค่ะ ได้ยินเพลงนี้เมื่อไหร่พี่คิดเค้าเป็นต้องลุกขึ้นเต้นโชว์เร้าอารมณ์ชมพู่ทุกครั้ง” ชมพู่เอ่ยขึ้น
พ่อคิตตี้ไม่ได้สงสัย ชมพู่จึงเต้นไปกระซิบคิตตี้ไป พร้อมตบก้นของคิตตี้ไม่ให้ออกลีลา
“มันจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆแล้วนะอีคิตตี้ เก็บอาการหน่อย แล้วก็เก็บก้นกระเด้งๆของแกเดี๋ยวนี้ด้วย” ชมพู่สั่ง
“ชั้นไม่ไหวแล้วชมพู่ ชั้นทนไม่ได้จริงๆ ทั้งจังหวะ ทั้งทำนอง เนื้อร้อง มันกำลังปลุกวิญญาณแท้จริงของชั้นขึ้นมาเข้าใจมั้ย” คิตตี้ว่า แถมยิ่งเต้นหนักขึ้น จนชมพู่ต้องบ้าไปตัวแล้วเน้นเอาตัวบังไว้ และทำท่าให้พ่อคิตตี้คิดว่าคิตตี้เล้าโลม
“โอ้ พี่คิด โอ้ พี่คิด สุดยอด โอ้ มายก็อด พ่อคะ เราสองคนขอตัวเข้าห้องน้ำแป๊บนะคะ”
ชมพู่กึ่งเต้นกึ่งลากคิตตี้ไปให้พ้นจากสายตาพ่อให้เร็วที่สุดก่อนที่ความลับเรื่องคิตตี้เป็นกะเทยจะโดนพ่อคิตตี้จับได้เสียก่อน
ที่โรงพยาบาล จาตุรงค์มาเยี่ยมกิมลั้ง แต่กิมแชกำลังเต้นแอโรบิกอยู่หน้าจอทีวี ด้วยความที่ร้อนมากจึงต้องถอดเสื้อออกเหลือแต่เสื้อกล้าม ในขณะที่กิมแชกำลังเต้นท่าเซ็กซี่ จาตุรงค์เปิดประตูโผล่พรวดเข้ามาพอดี ทั้งกิมแชทั้งจาตุรงค์ต่างมองกันตาค้าง จาตุรงค์ตะลึงกับท่าทางของกิมแชที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วน กิมแชตะลึงที่จาตุรงค์เข้ามาเห็นในสภาพที่ค่อนข้างวาบหวิว
“พี่รงค์” กิมแชตกใจรีบคว้าเสื้อตัวนอกมาสวมทับ แล้วปิดทีวี
“นี่กิมแชเต้นแอโรบิกด้วยเหรอ” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
“จ้ะ...ร่างกายจะได้แข็งแรงน่ะ นั่งก่อนซิจ๊ะพี่รงค์” กิมแชว่า
“แล้วน้องกิมลั้งไปไหนล่ะ” จาตุรงค์ถาม
“เอ่อ เจ้ออกไปคุยกับหมอน่ะจ้ะ พี่รงค์นั่งรอก่อนแล้วกันนะ”
กิมแชแก้ตัวแทนกิมลั้งได้ทันเวลา
ที่ห้องพักต๋อง ทั้งคู่กำลังคุยกันอย่างมีความสุข
“นี่ต๋อง ตกลงเรื่องช่วยหางานให้ผู้ด้อยโอกาสแถวๆตลาดเรานี่ เธอเอาจริงใช่มั้ย” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“ชั้นเคยพูดเล่นที่ไหนล่ะกิมลั้ง ว่าแต่เธอน่ะรับปากแล้วว่าจะช่วย ห้ามเปลี่ยนใจนะ” ต๋องทวงสัญญา
“คนอย่างชั้นน่ะพูดคำไหนคำนั้น ไม่โลเลไปมาเหมือนใครบางคน” กิมลั้งแขวะ
ต๋องรับรู้ได้ว่ากิมลั้งพูดถึงเรื่องที่ตนเปลี่ยนไปตั้งแต่งานหมั้นจนทำให้กิมลั้งสับสน แต่ต๋องไม่สามารถบอกกิมลั้งได้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะกิมฮวย แต่พยายามสื่อสารไปอย่างอ้อมๆ
“เธอคิดว่าชั้นเป็นคนโลเลจริงๆเหรอ” ต๋องเอ่ย
“ช่างมันเถอะ งั้น ชั้นกลับห้องก่อนละกันนะ” กิมลั้งอึ้งไป แต่พยายามไม่สร้างประเด็นต่อ
“เดี๋ยวซิ ไม่พาชั้นออกไปเปลี่ยนบรรยากาศหน่อยเหรอ” ต๋องเอ่ย
“เอ้า ไหนว่าอาการไม่ค่อยดี” กิมลั้งถามกลับ
“แหม จะปล่อยให้ใจมันยอมแพ้เหมือนร่างกายได้ยังไง ออกไปยืดเส้นยืดสายมันต้องดีกว่านอนซมอยู่กับเตียงแบบนี้อยู่แล้ว” ต๋องพูดเพราะอยากอยู่กับกิมลั้งนานๆ
เวลานั้นที่ห้องของกิมลั้ง จาตุรงค์นั่งกระส่ายกระสับจ้องหน้าไปมากับกิมแชในความเงียบอยู่พักหนึ่งแล้วจึงลุกขึ้น
“เดี๋ยวพี่ออกไปเดินดูอะไรเล่นหน่อยละกัน นั่งเฉยๆไม่รู้จะทำอะไร” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
กิมแชแอบนึกในใจ
“ออกไปเดินเพ่นพ่าน เกิดเจอเจ้อยู่กับพี่ต๋องล่ะยุ่ง”
“เอ่อ พี่รงค์หิวมั้ยจ๊ะ” กิมแชรีบเบี่ยงประเด็นช่วยถ่วงเวลาให้กิมลั้ง
“อ๋อ พี่กินมาแล้ว ไม่ต้องห่วง” จาตุรงค์ตอบ
“คือกิมแชหิวน่ะจ้ะ เลยอยากชวนพี่ไปหาอะไรข้างล่างทานกัน” กิมแชเอ่ย
จาตุรงค์หันไปมองจานที่ซ้อนกันอยู่คิดว่าน่าจะเป็นฝีมือกิมแช อีกฝ่ายรีบแก้ตัว
“ซากนั่นเป็นของเพื่อนๆเจ้ที่มาเยี่ยมน่ะจ้ะ พี่รงค์ไปเป็นเพื่อนกิมแชนะ กินเสร็จ เจ้ก็น่าจะกลับมาแล้ว” กิมแชรีบตอบ
“ก็ได้ ก็ได้”
จาตุรงค์ยอมตามคำขอของกิมแชอีกครั้ง
ขณะที่กิมลั้งประคองต๋องออกมาจากห้อง อีกมุมหนึ่งกิมแชกับจาตุรงค์เดินออกมาจากห้องเหมือนกันพอดี ในจังหวะนั้นทั้งคู่ต้องเห็นกัน แต่แม่บ้านเข็นรถเข็นบรรทุกผ้าปูที่นอนสูงท่วมหัวมาคั่นกลางระหว่างประตูทั้งสองห้องพอดีเลยทำให้ทั้งสองคู่ไม่ทันเห็นกัน
“ขออนุญาตเข้าไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้นะคะ” แม่บ้านรีบบอก
“เชิญค่ะ” กิมแชตอบแล้วเดินกับจาตุรงค์ออกมา
พอรถเข็นเข้าห้องไป กิมแชกับจาตุรงค์เดินไปอีกทาง ส่วนกิมลั้งกับต๋องเดินไปอีกทาง แต่ต๋องรีบหยุดชะงัก
“อุ๊ย ลืมมือถือ” ต๋องทักขึ้น
จาตุรงค์เดินอยู่กับกิมแชเกิดทำผ้าเช็ดมือในมือตก
“อุ๊ย” จาตุรงค์หันกลับไปเก็บผ้าเช็ดหน้าที่ตกอยู่ ทั้งหมดจึงจ๊ะเอ๋กันพอดิบพอดี
“อุ้ย” จาตุรงค์พุ่งไปหาต๋องกับกิมลั้งทันที
“ที่แท้น้องกิมลั้งก็อยู่กับไอ้ต๋องนี่เอง” จาตุรงค์เอ่ย
“กิมลั้งอยู่กับชั้นแล้วเป็นยังไง” ต๋องย้อนขึ้น
“แต่กิมลั้งเป็นคู่หมั้นชั้น” จาตุรงค์เอ่ยขึ้นอย่างเหนือกว่า
“งานหมั้นน่ะมันพังไปตั้งแต่วันนั้นแล้วพี่รงค์” กิมลั้งรีบย้อน
“น้องกิมลั้งพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
“หมายความว่าพี่รงค์ไม่ควรจะเสียงดัง แล้วทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชั้นแบบนี้” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“แต่ถ้าต๋องมันอยากแสดงความเป็นเจ้าของ น้องกิมลั้งก็ยอมใช่มั้ย” จาตุรงค์เริ่มน้อยใจ
“นี่มีสติหน่อยจาตุรงค์ กิมลั้งน่ะไม่ใช่ของของใครทั้งนั้น” ต๋องเถียงขึ้นเสียงดัง จาตุรงค์ผลักต๋องอย่างแรงจนล้ม กิมลั้งตกใจมากรีบเข้าไปประคองให้ลุกขึ้น
“เลิกทำตัวเป็นพระเอกได้แล้วไอ้ต๋อง แกคิดว่าที่ช่วยชีวิตน้องกิมลั้งไว้จะทำให้แกมีภาษีดีกว่าชั้นใช่มั้ย” จาตุรงค์จะเข้าไปต่อยต๋องอีก คราวนี้กิมลั้งรีบเข้ามาขวาง
“พอได้แล้วพี่รงค์ ถ้าคิดว่าจะทำให้อะไรมันแย่ไปกว่านี้ก็กลับไปซะ” กิมลั้งไล่
จาตุรงค์รู้สึกเหมือนโดนฉีกหน้า รีบหันไปอาฆาตใส่ต๋อง
“ไอ้ต๋อง เป็นเพราะแกคนเดียว เป็นเพราะแกคนเดียว”
จาตุรงค์จะเข้าไปหาต๋องอีก กิมลั้งจึงเข้าไปผลักจาตุรงค์ แล้วตะโกนเสียงดังลั่น
“ ชั้นบอกให้พอไง ได้ยินมั้ย” กิมลั้งดันจาตุรงค์จนหลังไปกระแทกผนัง จาตุรงค์อึ้งไป
“น้องกิมลั้ง คอยดูนะ พี่จะไม่วันยอมแพ้ไอ้ต๋องเด็ดขาด ไม่มีวัน” จาตุรงค์เอ่ย
แล้ววิ่งปาดน้ำตาออกไป กิมแชรีบวิ่งตามไปด้วยความห่วงใย
เวลาต่อจากนั้น จาตุรงค์วิ่งมาที่กลางสวนของโรงพยาบาล คนสวนกำลังรดน้ำต้นไม้ ไม่เห็นจาตุรงค์ที่ยืนอยู่หลังพุ่มไม้ กิมแชวิ่งออกมาเห็นจาตุรงค์ยืนให้น้ำสาดอยู่ราวกับพระเอกมิวสิควิดีโอ จึงรีบวิ่งเข้าไปหา
“พี่รงค์ จะมายืนเปียกอยู่ทำไมเนี่ย” กิมแชทักขึ้น
“ช่างพี่เถอะ เผื่อสายน้ำจะช่วยชะล้างความเสียใจให้พี่ได้” จาตุรงค์ตอบ
คนสวนเปลี่ยนไปรดน้ำต้นไม้อีกพุ่ม จาตุรงค์ยังตามไปเปียกต่อ
“โธ่ พี่รงค์ ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย กลับบ้านเธอนะ เดี๋ยวกิมแชไปส่ง” กิมแชเอ่ยด้วยความห่วงใย
“ไม่เป็นไร วันนี้พี่ขอดื่มด่ำกับความอ่อนแอ เพราะพี่จะต้องกลับมาแข็งแรง แล้วเอาชนะหัวใจน้องกิมลั้งให้ได้” จาตุรงค์เอ่ย
กิมแชเดินไปใกล้จาตุรงค์ด้วยความสงสาร แต่ไม่วายแอบเศร้ากับตัวเองที่หลงรักจาตุรงค์อยู่แต่อีกฝ่ายไม่เคยสนใจ
“ได้ งั้นกิมแชจะยืนเปียกเป็นเพื่อนพี่นะ อย่างน้อยๆพี่จะได้รู้ว่ากิมแชพร้อมจะเคียงข้างพี่เสมอ” กิมแชเอ่ย
“ขอบคุณมากกิมแช”
จาตุรงค์โผเข้ากอดกิมแชท่ามกลางน้ำจากสายยาง พอน้ำเปลี่ยนที่จาตุรงค์ลากกิมแชตามไปหาน้ำราวกับพระนางในมิวสิควิดีโอ
ที่ตลาดในเวลาเดียวกันนั้น พ่อคิตตี้เดินมองซ้ายขวาตามหาคิตตี้ แล้วพ่อเดินมาจนถึงแผงของ
กิมฮวยที่กำลังจัดแผงอยู่
“เจ๊ๆ” พ่อคิตตี้เรียก
“เอ้า ว่าไงพ่ออาคิด” กิมฮวยตอบกลับ
“ห้องน้ำอยู่ทางไหนเหรอจ๊ะ ชั้นจะไปตามไอ้คิดมันหน่อย หายไปกับเมียนานสองนานแล้ว” พ่อคิตตี้ถามขึ้น กิมฮวยหันไปเห็นคิตตี้กับชมพู่กำลังเดินมาพอดี
“นั่นไง มากันพอดีเลย” กิมฮวยตอบ
ขณะที่พ่อคิตตี้จะเดินไปหาคิตตี้ ปรากฏว่ากิมฮวยโยนปลาไหลไปที่ถาด แต่พลาดเลยกระเด็นไปใส่พ่อคิตตี้ ปรากฏว่าพ่อคิตตี้ร้องแต๋วแตกแหกปากลั่น ดิ้นพล่าน
“อ๊าย แหกๆ คุณพระช่วยกล้วยน้ำว้า อนาคอนด้าบุก ใครก็ได้ช่วยริซซี่ที หยะแหยง”
แล้วพ่อคิตตี้เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรออกไป พอหันมองรอบตัวเห็นว่าชาวตลาดกำลังมองมาที่
ตนด้วยแววตาตะลึง คิตตี้กับชมพู่ อ้าปากหวอ คิตตี้ถึงกับปล่อยม้วนทิชชู่หลุดจากมือ
“โอ้โหตัวแม่” ชมพู่อุทานออกมาเสียงดัง
คิตตี้หันมองหน้าชมพู่
“เอ้ย ตัวพ่อ”
ไม่นานต่อจากนั้น ที่ริมคลองหลังตลาด พ่อคิตตี้กับคิตตี้คุยกันอย่างเปิดใจ
“ที่จู่ๆพ่อหายไปห้าปี เพราะพ่อทนไม่ไหวแล้วที่ต้องโกหกญาติพี่น้อง โกหกคนรู้จัก โกหกลูก โดยเฉพาะ...โกหกตัวเอง” พ่อคิตตี้เล่า
“คิตตี้ไม่อยากเชื่อเลยนะ มันเป็นไปได้ยังไงที่คนที่เกลียดกะเทยเข้าไส้อย่างพ่อถึงกลับมาเป็นซะเอง” คิตตี้เอ่ยขึ้น
“ความจริงมันเป็นเพราะพ่อเกลียดตัวเองมากกว่าว่าทำไมถึงได้ฝักใฝ่อยากจะเป็นแบบนั้น แล้วก็อิจฉาพวกนั้นที่กล้าเป็นในสิ่งที่เค้าเป็นอยู่” พ่อคิตตี้เผยความจริง
“แล้วพ่อก็ทำทุกอย่างไม่ว่าจะขู่ด่าว่าตีคิตตี้เพื่อกันไม่ให้เป็นอย่างพ่อ” คิตตี้เอ่ย
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกที่เราจะเลือกเป็นในสิ่งที่คนอื่นเค้าเห็นว่าผิด พ่อไม่อยากให้เอ็งเติบโตมาเป็นคนที่สังคมไม่ยอมรับ ไม่ให้โอกาส เพราะฉะนั้นวิถีเดียวที่จะช่วยเอ็งได้ก็คือเลี้ยงดูเอ็งให้เป็นคนที่สังคม
มองว่าปกติ เพราะเอ็งจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานใจอย่างที่พ่อเป็นมาทั้งชีวิต” พ่อคิตตี้บอก
“แต่สุดท้ายพ่อก็กล้าหาญที่จะเลือกเป็นในสิ่งที่พ่อกลัวมาตลอดชีวิต”คิตตี้พูดอย่างเข้าใจพ่อ
“ก็เพราะพ่อรู้แล้วยังไงว่าคุณค่าของคนมันไม่ได้อยู่ที่เป็นเพศไหน แต่มันอยู่ที่ว่าเราเป็นใคร ทำตัวมีคุณค่ามั้ย ที่สำคัญ ถ้าเรายอมรับสิ่งที่เราเป็นไม่ได้ เราก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว” พ่อคิตตี้เอ่ยอย่างเข้าใจ
“พ่อ....” คิตตี้มองพ่อน้ำตาคลอ
“ที่พ่อมาหาเอ็งวันนี้ นอกจากจะมาลาเอ็งก่อนไปทำงานเมืองนอกแล้ว ลึกๆก็อยากเห็นว่าเอ็งไม่ได้เป็นในสิ่งที่พ่อกลัว” พ่อคิตตี้ตบบ่าคิตตี้แบบเก้ๆกังๆ เหมือนจะกอดแต่ไม่กล้า ทำตัวไม่ถูก
“แต่ดูๆแล้วพ่อว่าเอ็งมีความสุขกับสิ่งที่เอ็งเป็นมากกว่าพ่อด้วยซ้ำ”
“มันไม่ยากหรอกพ่อ แค่พ่อปล่อยวางทุกอย่างในชีวิตที่พ่อคิดว่ามันควรจะเป็น แล้วก็หาความสุขจากสิ่งที่พ่อเป็นจริงๆ” คิตตี้พูดพลางค่อยๆแกะหนวดออกจากรีบฝีปากพ่อ
“แค่นี้ก็พอแล้ว”
พ่อลูกโผเข้ากอดกัน ต่างคนต่างสะอึกสะอื้น
“ถึงพ่อจะเป็นอะไร คิตตี้ก็รักพ่อนะ” คิตตี้เอ่ยขึ้น
“พ่อก็รักคิตตี้” พ่อคิตตี้เอ่ยกลับเช่นกัน
เสียงปรบมือดังขึ้น พ่อคิตตี้กับคิตตี้หันมอง เห็นชาวตลาดที่แอบตัวอยู่ในที่ซ่อนโผล่ออกมาปรบมือให้กำลังใจพ่อลูก
“เอ้า มาฉลองให้กับอิสรภาพให้กับพ่อลูกคู่นี้หน่อยเร็ว” คำมูลที่แบกวิทยุเดินแหวกฝูงชนมาอย่างรวดเร็ว
คำมูลเปิดเพลง I will survive ชาวตลาดพากันเต้นนำ แล้วคู่พ่อลูกเต้นตามสะบัดช่อ พ่อคิตตี้ปล่อยผมที่ตัวเองรวบไว้แล้วออกลีลาแต๋วแตกอย่างเป็นอิสระ เต๊กไฮ้ยืนมองสองพ่อลูกแล้วอดขำไม่ได้
“เชื้อไม่ทิ้งแต๋วจริงๆ”
หลายวันผ่านไป อาหารได้รับการจัดวางเต็มโต๊ะ รัศมีใช้ช้อนเคาะกับจานที่ยกชูขึ้นด้วยอาการคึกคัก ครู่หนึ่งชายศักดิ์ กับศักดิ์ชายเดินเข้าเห็นแล้วอดงงไม่ได้
“อะไรกันเนี่ยรัศมี เคาะจานซะจนชั้นนึกว่าเรียกหมากินข้าว” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“คิดอะไรอย่างงั้นคะ เสี่ยเหมือนหมาตรงไหน ถ้าจะเหมือน ก็คงพันธุ์หลังอาน” รัศมีว่า
“เอ้า” ชายศักดิ์สะดุ้ง
“ก็แหม เสี่ยน่ะทั้งฉลาด ทั้งปราดเปรียว งามสง่า หน้าก็เชิด” รัศมีเอ่ยขึ้น
ชายศักดิ์ฟังแล้วเริ่มเคลิ้ม
“หูก็ตั้ง หางทอดยาวไปข้างหลังเหมือนดาบโค้ง” รัศมีลูบเนื้อตัวชายศักดิ์ประกอบคำอธิบาย
“เฮ้ย” ชายศักดิ์เริ่มไม่แน่ใจว่าคือคำชม
“อุย อย่างหลังนี่ไม่ใช่นะคะ” รัศมีเริ่มรู้ตัว
“เอ ลองคุณแม่คึกคักแบบนี้ต้องมีเรื่องสำคัญแน่เลย” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“ต๊าย ลูกหมาฉลาดเหมือนพ่อหมาไม่มีผิด” รัศมีเอ่ย
“เรื่องหมายังไม่จบ” ชายศักดิ์ตกใจ
“โอเค จบ คืองี้ค่ะ รัศมีอยากคุยเรื่องหนี้ที่เราไปวางกับดักไว้กับพวกในตลาด” รัศมีโพล่งขึ้น
“ทำไม มีปัญหาอะไรเหรอ” ชายศักดิ์ถามกลับ
“ก็นี่มันใกล้วันใช้หนี้งวดแรกแล้วนี่คะ” รัศมีเคือนความจำให้
“ก็ยิ่งดีไปใหญ่ เพราะใกล้วันที่เราจะเริ่มต้นเล่นงานมันแล้วไงครับคุณแม่” ศักดิ์ชายดีใจ
“มันก็ใช่ แต่ก่อนจะถึงวันนั้น บังเว้ยเฮ้ยควรจะไปบิลด์ให้พวกลูกหนี้มันตื่นกลัวกันหน่อยมั้ย มันจะได้ตระหนักว่าการใช้หนี้ให้ตรงตามเวลาของบังเว้ยเฮ้ยน่ะเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่งั้นจะมีผลต่อชะตาชีวิต” รัศมีเอ่ยขึ้น
“นั่นซินะ เล่นบทตัวตลกใจดีให้มันตายใจมานาน คราวนี้ถึงเวลาเอาจริงเอาจังกับพวกมันซักที ดีมากรัศมี แสนรู้ที่สุดเลยเมียชั้น” ชายศักดิ์ถูกใจ
แล้วเกาคางรัศมีไปด้วย อีกฝ่ายเริ่มเคลิ้ม ส่งเสียงครางเป็นหมารับมุขสามีอย่างมีความสุข
บ่ายนั้น ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ ต๋องออกจากโรงพยาบาลแล้ว กำลังขี่ซาเล้งมาจอดที่มุมหนึ่ง พอเลื่อนกับรักเร่เห็นรีบพุ่งมาหาด้วยความดีใจ
“พี่ต๋อง” รักเร่ตะโกนด้วยความดีใจ
“เป็นไงบ้างพี่ แผลหายดีแล้วใช่มั้ย” เลื่อนถาม
“ดีขึ้นเยอะแล้ว” ต๋องตอบ
“รู้มั้ยช่วงที่พี่ไม่อยู่น่ะพวกชั้นเหงาเปล่าเปลี่ยวบอกไม่ถูกเชียว” รักเร่รีบรายงาน
“ข้าก็เหงาเหมือนกัน เหงาปากอยากด่าเอ็งสองคนยิกๆ” ต๋องว่า
“เป็นงั้นไป” เลื่อนกับรักเร่ยิ้มก่อนตอบ
ระหว่างนั้น ไกลออกไปมีสาวชาวตลาดสองคนที่มีผ้าพันแผลปิดที่ดั้งเดินผ่านไป
“เฮ้ย นั่นติ๋มกับแก้วไปโดนอะไรฟาดหน้าเข้าให้วะ” ต๋องมองตามและแอบถามด้วยความงง
“เปล่าหรอกพี่ เค้าไปทำจมูกกันมา” เลื่อนตอบ
“ทำทำไม ไอ้ที่มีอยู่นี่มันหายใจไม่พอรึยังไง” ต๋องยังทำหน้างง
“หายใจน่ะพอเข้าใจได้ แต่เค้ารู้สึกว่าสวยไม่พอกันต่างหากพี่ ยิ่งซีรีส์เกาหลีดังนะ คนไทยยิ่งแห่ไปทำศัลยกรรมเข้าไปใหญ่เพราะมีไอดอล” รักเร่แจงแทนสองสาว
“มันเกี่ยวอะไรวะ” ต๋องเอ่ยขึ้น
“โธ่ ก็ทั้งพระเอกนางเอกน่ะหล่อสวยเพราะมีดหมอกันทั้งนั้นล่ะพี่ พี่รู้มั้ยว่าฝันของเด็กเกาหลีคืออะไร เด็กๆตั้งใจกันเลยว่าแตกเนื้อสาวเมื่อไหร่จะศัลยกรรมหน้าตัวเองเลยทันที” เลื่อนแจง
“บ้าไปกันใหญ่แล้ว” ต๋องบ่นไม่เลิก
“ก็บ้าจริงๆน่ะล่ะ ตลาดเราน่ะไม่ใช่แค่สองคนนี้เท่านั้นนะที่ไปทำ พอกู้เงินกันได้เยอะเข้าหน่อย ก็แห่เอาไปถอยจมูกใหม่กันเป็นแถว” เลื่อนรีบรายงาน
“เป็นอะไรไปพี่ต๋อง ฟังแล้วถึงกับนิ่งไปเลยเหรอ” เลื่อนพูด ในขณะที่ต๋องเหมือนจะยืนนิ่ง จ้องมองอะไรบางอย่าง
“พวกเอ็งดูพี่งามตาซิ” ต๋องเอ่ย แล้วสาวพิการที่กำลังแจกข้าวให้หมากิน พอมีเด็กจรจัดเดินผ่านมา งามตารีบแจกแซนด์วิชที่ตัวเองขายให้กิน
“นี่ซิ คนที่สวยจริง ขาที่ขาดไปไม่ได้ทำให้คุณค่าของพี่เค้าลดลงเลย ในขณะที่บางคนมีทุกอย่างพร้อม แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองขาด มัวแต่สนใจศัลยกรรมรูปร่างหน้าตา แต่ไม่เคยคิดจะศัลยกรรมใจตัวเองกันบ้าง”
ต๋องพูดแล้วเดินส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่ายเข้าตลาดไป โดยมีเลื่อนกับรักเร่เดินตามไปด้วย
เวลาต่อจากนั้น ต๋องเดินเข้าไปในตลาด ผู้คนฮือฮาทั่วตลาด
“ไอ้ต๋อง ไอ้ต๋องกลับมาแล้ว” พ่อค้าคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“ต๋อง” ชาวตลาดหันมองต๋องเป็นสายตาเดียว
ชาวตลาดแห่ไปหาต๋อง แต่อีกฝ่ายแอบเหลียวมองไปที่กิมลั้ง แต่พอกิมฮวยเห็นรีบเดินมาบังกิมลั้งทันที ชาวตลาดหลายคนช่วยกันยกต๋องขึ้นแห่เพื่อเป็นการต้อนรับ เต๊กไฮ้กับกิมฮวย ที่ยืนอยู่หน้าแผงปลาหันมามองต๋องด้วยความหมั่นไส้ ส่วนกิมลั้งดูดีใจแต่เก็บอาการไว้ในใจ
“เอ้า ไชโยดังๆให้กับฮีโร่ของเราหน่อยเร็ว” พ่อค้าคนหนึ่งบอก ชาวตลาดส่งเสียงดังลั่น
“ไชโย ไชโย ไชโย” ชาวตลาดส่งเสียงดังต้อนรับต๋อง
“เอ้า ต๋องกลับมาแล้วเหรอ” ลักษณ์เดินเข้ามาหาเต๊กไฮ้เมื่อได้ยินเสียงดัง เผลอยิ้มออกมา
“ดีใจทำไม มันเป็นญาติลื้อเหรอ” เต๊กไฮ้บ่นลักษณ์
“แหม เฮีย อย่าอคติน่ะ ถ้าวันก่อนไม่ได้ต๋องเสี่ยงเอาตัวเข้าไปรับมีดจากขอทานนั่น หนูกิมลั้งของเราจะปลอดภัยอย่างนี้มั้ย” ลักษณ์เอ่ย
“ชื่นชมมันนัก ก็เชียร์ให้อากิมลั้งเป็นแฟนกับมันแทนลูกชายลื้อซะเลยซิ” เต็กไฮ้ไม่พอใจเดินกลับไปที่เขียงหมู ลักษณ์วิ่งตาม
ครั้งนี้ต๋องดูปลื้มใจกับการต้อนรับของทุกคน
“ขอบคุณทุกคนมากนะจ๊ะ ขอบคุณ”
ครู่หนึ่งคิตตี้กับชมพู่ที่มีผ้าพันแผลปิดดั้งวิ่งปรี่เข้ามา
“ต๋อง / พี่ต๋อง
“คิดถึงต๋องที่สุดเลย” คิตตี้พูดพลางเข้ามากอดต๋องไว้
“แต่ชมพู่น่ะหายใจเข้าออกเป็นพี่ต๋องเลยนะ ห่วงที่สุด รักที่สุด” ชมพู่ดึงคิตตี้ออกมาแล้วเข้าไปกอดต๋องแทน
ต๋องเห็นดั้งของทั้งคิตตี้และชมพู่มีพลาสเตอร์แปะอยู่แล้วอดตกใจไม่ได้
“เดี๋ยวๆ นี่เธอสองคนก็ไปทำจมูก กับเค้าด้วยเหรอ นึกยังไง ทำไมต้องบ้าตามคนอื่นเค้าด้วยฮะ” ต๋องถามขึ้น
“ใครบอกว่าตามคนอื่นล่ะพี่ สองคนนี้นี่ล่ะตัวลากคนอื่นไปทำเลย”
เลื่อนรายงาน ครู่หนึ่งคำมูลเดินเข้ามาพร้อมกับป้าพิณและเขียวหวานที่เอาพลาสเตอร์แปะไว้ที่จมูกแล้วดึงปลายให้เชิดขึ้น
“ต๋อง/พี่ต๋อง”
ต๋องหันไปเห็นป้าพิณกับเขียวหวานยิ่งตกใจ
“เฮ้ย ตกลงเป็นโรคระบาดกันรึไงเนี่ย ทั้งเด็กทั้งแก่ไปทำดั้งกันหมด” ต๋องโวยวาย
“ยังจ้ะพี่ต๋อง เราสองคนยังไม่ได้ทำซักหน่อย แค่กำลังจะเท่านั้น” เขียวหวานรีบตอบ
ป้าพิณกับเขียวหวานดึงพลาสเตอร์ที่แปะรั้งจมูกไว้ออก
“ข้ากับนังเขียวหวานน่ะลองทดสอบกันเล่นๆว่าถ้าดั้งโด่งกว่านี้แล้วจะสวยมั้ย เผื่อจะได้ไปทำตามนังชมพู่กับนังคิตตี้บ้าง” ป้าพิณเอ่ยขึ้น
“อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะป้า ไม่มีอะไรดีเท่าของที่ธรรมชาติให้มาอีกแล้ว” ต๋องเอ่ย
“แต่หน้าตาคนบางคนก็เหมือนธรรมชาติลงโทษนะพี่ ขืนไม่แต่งไม่เติม ได้หมดความมั่นใจในการดำเนินชีวิตกัน” ชมพู่ค้าน
“ ตกลงว่าถ้าไม่สวย ถึงกับจะหมดแรงมองดูโลกกันต่อไปเลยใช่มั้ย” ต๋องโพล่ง
“แหม ใจเย็นก่อนซิจ๊ะต๋อง อดใจรออีกนิดเดียวนะ ไว้ให้แผลหาย หนังหน้าพวกเราเข้าทีเข้าทางเมื่อไหร่ ต๋องจะตะลึงจนต้องถอนคำพูด” คิตตี้รีบอธิบาย
“แค่นี้ชั้นก็ตะลึงพอแล้วล่ะ เอาเถอะ ดั้งใครก็ดั้งมันชั้นไม่ยุ่งแล้วดีกว่า เพราะตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้น”
ต๋องหันไปพูดกับชาวตลาดอย่างจริงจัง
“คืออย่างงี้จ้ะทุกคน ชั้นมีเรื่องจะปรึกษา มันเกี่ยวกับที่ชั้นกับกิมลั้งโดนทำร้ายวันก่อน ชั้นขอเวลาประชุมซักสิบห้านาทีได้มั้ย”
จบตอนที่ 7
อ่านต่อ ตอนที่ 8 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.