xs
xsm
sm
md
lg

รักเกิดในตลาดสด ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 9 
    

ชมพู่กับคิตตี้จูงมือกันหนีลูกน้องของบังเว้ยเฮ้ย พอเดินไปเห็นบังเว้ยเฮ้ยกับลูกน้องกำลังเดินมาจากอีกด้านจึงรีบเดินเลี่ยงไปอีกทาง

ต๋องกำลังเร่งฝีเท้าเดินตามกิมลั้ง
“กิมลั้ง....” ต๋องเรียก
กิมลั้งหยุดชะงักไม่ได้หันไปมองเพราะรู้ดีว่าใคร
“ตกลงว่าเธอไม่เข้าใจที่ชั้นพูดจริงๆใช่มั้ย” กิมลั้งเอ่ยอย่างไม่มองหน้า
“เอาอย่างนี้นะกิมลั้ง ขอให้การคุยครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าเธอฟังชั้นแล้วเธอยังยืนคำเดิม ชั้นสัญญาว่าจะไม่ไปยุ่ง ไปข้องเกี่ยวอะไรกับชีวิตเธออีก” ต๋องเอ่ยขึ้น
กิมลั้งยังลังเล ไม่ยอมหันหน้าไปหาต๋อง แต่แล้วรีบตัดใจพูด
“ถ้างั้นเธอก็เลิกยุ่งกับชั้นตั้งแต่ตอนนี้เลยละกัน ชั้นไม่อยากเสียเวลา” กิมลั้งเอ่ยขึ้น แล้วรีบเดินออกไป
“เดี๋ยวซิ กิมลั้ง” ต๋องรีบเดินตามไปฉุดมือกิมลั้งไว้

นอกตลาดเวลาเดียวกัน ชมพู่กับคิตตี้เดินมาจ๊ะเอ๋กับลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยพอดี ทั้งคู่ถึงกับช็อก วิ่งหนีกันสุดชีวิต ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยรีบวิ่งตามไป

ไม่ต่างกันต๋องกับกิมลั้งที่ยังคงยื้อกันอยู่เช่นเดียวกัน
“ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้นะ ชั้นบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรจะพูดกับเธอ”
กิมลั้งไม่ฟัง พยายามดิ้นหนี
“ไม่ปล่อย จนกว่าเธอจะบอกชั้นว่าเธอแน่ใจแล้วเหรอกับสิ่งที่พยายามจะทำกับจาตุรงค์ เธอจะโกรธเกลียดชั้น ชั้นไม่ว่า แต่อย่าทำอะไรโง่ๆเพราะต้องการประชดชั้น เพราะมันจะทำให้เธอไม่ความสุขไปทั้งชีวิต” ต๋องเอ่ยขึ้น
“เรื่องโง่ๆกว่านั้นชั้นก็เคยหลงทำมาแล้ว แล้วจะต้องกลัวอะไรอีก ปล่อย” กิมลั้งจ้องต๋องแน่วแน่
ก่อนจะตัดสินใจกระทืบเท้าต๋องอย่างแรง จนต๋องต้องปล่อยมือ กิมลั้งรีบวิ่งไป ต๋องยังคงตามไปอีก

อีกมุมไม่ไกลกัน ชมพู่กับคิตตี้วิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากพวกที่วิ่งไล่กวดมา แต่กลับมาเจอบังเว้ยเฮ้ยกับลูกน้องที่เหลือเดินมาดัก
“บัง” ชมพู่กับคิตตี้จะหนีอีก
“จับมัน” บังรีบสั่งลูกน้องทันที
พวกลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยรีบวิ่งเข้าไปตะครุบทั้งคู่ด้วยความชุลมุน ใกล้ๆกันอีกมุม ต๋องกำลังเอื้อมมือมาจับตัวกิมลั้งที่ยังพยายามจะวิ่งหนีมากอดไว้แน่น กิมลั้งโวยวาย ต๋องรีบเอามือปิดปากแล้วกระซิบข้างหู
“อย่าร้องนะ เธอเห็นอะไรนั่นมั้ย” ต๋องบอกกิมลั้ง
กิมลั้งยอมสงบมองตามต๋องไปจึงเห็นลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยควักปืนออกมาเล็งที่ชมพู่กับคิตตี้ที่พยายามจะหนี กิมลั้งกับต๋องแทบหัวใจหยุดเต้น
“หยุด” ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยตะโกนสั่ง
คิตตี้กับชมพู่เห็นปืนถึงกับตาเหลือก อยู่ๆเป็นลมสลบร่วงลงไปกับพื้น ลูกน้องบังช่วยกันแบกร่างทั้งคู่ไป
“เราจะทำไงดีต๋อง” กิมลั้งดูลนลาน หลังเห็นเหตุการณ์
“ตอนนี้คงทำได้แค่ตาม” ต๋องตอบ แล้วตามพวกของบังเว้ยเฮ้ยที่จับตัวคิตตี้และชมพู่ำไป

จนมาถึงมุมลับตาคนที่ตลาด พวกบังยกร่างชมพู่กับคิตตี้ขึ้นรถตู้ แล้วทั้งหมดรวมทั้งบังขึ้นรถไปด้วย
“แย่แล้ว” กิมลั้งถึงกับหน้าตาตื่น
ระหว่างนั้นมอเตอร์ไซค์ขับรถผ่านมา ต๋องรีบเข้าไปขวางให้หยุด
“มีอะไรเหรอพี่ต๋อง” คนขับมอไซค์ถามขึ้น
“พี่ยืมรถหน่อยอี๊ด” ต๋องรีบขอยืมมอเตอร์ไซค์อี๊ดทันที
“ได้ๆ” อี๊ดลงจากรถแล้วต๋องขึ้นไปนั่งคร่อมแทน
“ชั้นไปด้วย” กิมลั้งรีบเอ่ย พร้อมขึ้นนั้งซ้อนท้ายต๋องทันที
“ไม่ต้องกิมลั้ง มันอันตราย” ต๋องบอก
“ไม่ ถ้าเธอไปชั้นก็ไป” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“แต่....” ต๋องไม่มีทางเลือก
“รีบไปเถอะน่ะ เดี๋ยวไม่ทันกันพอดี” กิมลั้งเร่ง
ต๋องจำใจขับรถออกไปโดยมีกิมลั้งตามไปด้วย อี๊ดมองตามด้วยความงงว่าเกิดอะไรขึ้น

เช้าวันใหม่ ลูกน้องของศักดิ์ชายเล่นหมากรุกกันอย่างสนุกสนาน ครู่หนึ่งศักดิ์ชายวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาเพราะหาณดาบนไม่เจอ
“คุณณดาอยู่ไหน ใครเห็นบ้างมั้ย” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้นหน้าตาตื่น
“กวาดใบไม้อยู่น่ะครับ เห็นบอกว่านั่งๆนอนๆไม่รู้จะทำอะไร” ลูกน้องตอบ
ศักดิ์ชายฟังแล้วแปลกใจ จึงรีบเดินออกไปดู

บนชายหาดอีกมุมของเกาะ ณดากวาดใบไม้เอามาสุมกองไฟ ครู่หนึ่งศักดิ์ชายเดินเข้ามาเงียบๆแบบไม่ให้ตั้งตัว
“ทำอะไรน่ะคุณ” ศักดิ์ชายเอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ช่วยเหลืองานคนที่นี่ไง มากินอยู่บ้านเค้าแล้วก็ต้องไม่นิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น” ณดาตกใจที่ศักดิ์ชายลุกขึ้นมาถาม แต่ยังฟอร์ม
“เหรอ แต่ผมว่าคุณน่ะประเภทกินบนเรือนขี้รดบนหลังคามากกว่ามั้ง” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“พูดอะไรของคุณ” ณดาลน
ศักดิ์ชายลากณดามาที่กองกิ่งไม้ที่วางเรียงอยู่ที่ชายหาด
“นี่อะไร” ศักดิ์ชายมองไปที่กองเศษขยะ
“ชั้นเอามาวางกองไว้ก่อน เดี๋ยวจะเผาทิ้ง” ณดายังไขสือ
“กองไว้เป็นคำว่า HELP นี่นะ” ศักดิ์ชายพูดอย่างรู้ทัน

“ก็ตอนนี้ชั้นกำลังช่วยงานคุณอยู่ ชั้นก็เลยเอามาเรียงๆเป็นคำว่า HELP ที่แปลว่าช่วย ก็ถูกแล้วไง” ณดากวาดขยะกองไว้เป็นคำว่า HELP แต่ยังไม่ยอมรับแถไปเรื่อย
“นี่คุณคิดว่าผมกินหญ้าแทนข้าวหรือไง ทั้งจุดไฟ ทั้งเรียงตัวหนังสือส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกอย่างนี้ แต่ขอโทษนะ คุณคิดเหรอว่าจะมีใครหลงมาเห็น เกาะนี้น่ะมันจุดอับ ไม่มีเรือหรือเครื่องบินที่ไหน คิดจะผ่านมาหรอก ตั้งแต่มาอยู่ หมาซักตัวคุณเคยเห็นมั้ยล่ะ” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“ที่เห็นๆก็มีอยู่ตัวนึงแล้วแถวนี้” ณดามองศักดิ์ชายนิ่ง
“ด่าผมว่าเป็นหมา คุณนี่มันมากขึ้นทุกวันแล้วนะ งั้นก็อยู่ที่นี่ต่อไปจนกว่าจะหายนิสัยเสีย ถ้าไม่หายก็อยู่มันไปตลอดชีวิต เพราะคุณไม่มีทางหนีผมไปไหนได้หรอก” ศักดิ์ชายโกรธ คว้าตัวณดามาจับไว้แน่น
“ถ้าชั้นหนีไม่ได้ ก็ตายๆมันไปเดี๋ยวนี้เลยละกัน” ณดาวิ่งลงทะเลหน้าตาเฉย
“อยากตายนักก็ไปเลยไป” ศักดิ์ชายกลับยุส่ง
ศักดิ์ชายคิดว่าณดาจะหยุด แต่ตรงกันข้ามณดาเดินลงทะเลลึกลงไปเรื่อยๆจนน้ำมิดหัว
“คุณณดา” ศักดิ์ชายรีบตะโกนเรียก
ไม่มีเสียงตอบรับ และความเคลื่อนไหวใดๆ ศักดิ์ชายใจไม่ดี รีบวิ่งลุยน้ำตามไปด้วยความห่วงใย

ศักดิ์ชายดำผุดดำว่ายหาณดา อยู่หลายครั้ง แต่ยังไม่มีวี่แววหาพบ
“ณดา คุณอย่าเป็นอะไรนะ” ศักดิ์ชายเริ่มใจเสีย
ศักดิ์ชายดำน้ำลงไปอีกครั้ง ในที่สุดเขาเห็นร่างไร้สติของณดาที่ลอยอยู่ใต้น้ำ ศักดิ์ชายรีบโผไปหาณดาแล้วพาขึ้นฝั่งทันที

ศักดิ์ชายอุ้มร่างณดาขึ้นมานอนที่ชายหาดแล้วผายปอดให้แต่ณดายังแน่นิ่ง ศักดิ์ชายหน้าเครียดคราวนี้ผายปอดให้อีกครั้ง ในที่สุดณดาสำลักน้ำออกมาแล้วค่อยๆลืมตาขึ้น
“ณดา คุณได้ยินผมมั้ย คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”
ณดาพยายามจะพูด แต่สภาพยังไร้เรี่ยวแรง
“ไม่เป็นไร ยังไม่ต้องพูด คุณไปพักก่อนละกันนะ”
ศักดิ์ชายอุ้มณดาขึ้นบ้านไปด้วยสภาพเปียกปอน

เวลาเดียวกันนั้น รถตู้ของชายศักดิ์ในคราบบังเว้ยเฮ้ย วิ่งหยุดเข้ามาในสวน ส่วนรถมอเตอร์ไซค์ของต๋องกับกิมลั้งจอดซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้
“ท่าทางจะต้องเดินเท้า แล้วหาทางเข้าทางอื่นแล้วล่ะ” ต๋องเอ่ยขึ้น
“เอาไงก็เอากัน ไป” กิมลั้งว่า
ต๋องดับเครื่องรถแล้วเข็นมอเตอร์ไซค์ไปจอดแอบไว้ที่มุมหนึ่ง

เวลาเดียวกันนั้นที่ตลาด กิมฮวยเดินไปมาอยู่หน้าแผงด้วยความกังวล
“อากิมลั้ง ลื้อหายไปไหนเนี่ย ป่านนี้ยังไม่มาอีก” กิมฮวยบ่นพร้อมกดมือถือ ปรากฏได้ยินเสียงโทรศัพท์กิมลั้งที่วางทิ้งไว้ที่แผง
“เอ้า โทรศัพท์ก็ไม่เอาไป” กิมฮวยเริ่มมองอย่างกังวล
จู่ๆกิมฮวยเหมือนคิดอะไรได้ รีบไปที่แผงของต๋อง แต่ไม่เห็นใคร จึงของขึ้น
“หรืออีจะแอบไปจู๋จี๋กับไอ้ต๋องอีก อ๊าย นังลูกไม่รักดี” กิมฮวยโพล่งขึ้น แล้วรีบออกไปตามหากิมลั้งเพราะเข้าใจว่าหายไปกับต๋องแน่นอน

ที่บ้านร้างกลางสวน ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยแบกร่างชมพู่กับคิตตี้โยนเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง ครู่หนึ่งชายศักดิ์ในคราบบังเว้ยเฮ้ย เดินมาพร้อมกับลูกน้องที่ถือถังน้ำมาสาดใส่ชมพู่กับคิตตี้ทั้งคู่ฟื้นขึ้นด้วยอาการผวา พอเห็นหน้าบังเว้ยเฮ้ยรีบยกมือขึ้นประนมขอร้องอ้อนวอนทันที
“อย่าทำอะไรพวกเราเลยนะคะบัง ถ้าเรามีชีวิตรอดกลับไปเรายังมีโอกาสหาเงินมาใช้บังได้ หรือจะให้เราชดใช้ด้วยการไปช่วยบังขายถั่ว ขายโรตี เล่นหนังแขก แบกข้าวของอะไรก็ได้ทั้งนั้น” คิตตี้รีบขอร้องชีวิต
“หรือบังจะคิดค่าเสียหาย เสียน้ำลาย เสียความรู้สึก คิดเราเพิ่มเป็นรายวัน...รายชั่วโมง....หรือว่าเป็นรายนาที เราก็ยินดีทั้งนั้น” ชมพู่รีบเอ่ย
“อีนี่บังเคยบอกแล้วไงว่าบังไม่เคยต้องการอะไรนอกจากให้จ่ายหนี้ตามนัด คิตตี้กับชมพู่ทำแบบนี้เท่ากับว่าคำพูดของบังไม่มีความหมาย ถือว่าไม่ให้เกียรติบัง” บังเว้ยเฮ้ยรีบขู่
“ไม่ใช่นะคะ เราน่ะให้เกียรติบังเสมอ แล้วก็อยากจะให้ตังค์บังพอๆกับให้เกียรติ แต่ที่ผ่านมาเราระบบการเงินเรามันลัดวงจรจริงๆ” คิตตี้รีบเอ่ย แต่พวกบังเว้ยเฮ้ยทำหน้างงๆ
“หมายถึงเงินมันช็อตน่ะค่ะ เราก็เลยจัดการอะไรไม่ได้จริง แต่ถึงเราเป็นนักจัดการที่ไม่ดี แต่เราก็เป็นลูกหนี้ที่ซื้อสัตย์นะคะ”ชมพู่รีบอธิบาย
“เอาเถอะ ถึงบังจะเป็นแขกแต่บังก็ชอบคำสั่งสอนของพุทธศาสนา” ชมพู่กับคิตตี้คลานเข่าไปกอดขาบังไว้คนละข้าง
“ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ พึงละเว้นการฆ่า การเบียดเบียน การทำร้ายร่างกายคนและสัตว์ มีเมตตากรุณา สงสารเห็นอกเห็นใจผู้อื่น” คิตตี้รีบยกมือประนม
“สาธุ...” คิตตี้กับชมพู่ยกมือท่วมหัว
“ไม่ใช่ บังชอบที่เค้าว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” บังเว้ยเฮ้ยตอบ
คิตตี้กับชมพู่ถึงกับสะดุ้ง
“ใครทำอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น” บังเว้ยเฮ้ยขู่
ทันใดนั้นลูกน้องวิ่งเข้ามา รีบรายงานทันที
“จับตัวไอ้ณเดชน์ กับไอ้หมากมาแล้วครับนาย” ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยตะโกนขึ้น
“อ้อ มาแล้วเหรอ สองตัวนั่นมันติดหนี้อยู่เท่าไหร่นะ” บังเว้ยเฮ้ยถาม
“ณเดชน์ 120 หมาก 250 ครับ” เสียงลูกน้องรายงานฉะฉาน
“ไอ้สองคนนั่นมันติดน้อยกว่านังสองตัวนี่เยอะ งั้นไปจัดการมันก่อนละกัน คงใช้เวลาไม่นาน”
ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยออกไป ก่อนปิดประตูขังชมพู่กับคิตตี้ไว้ ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความตื่นกลัว
“ติดเงินแค่ร้อยสองร้อยยังทำกันขนาดนี้แล้วเราสองคนจะเป็นยังไง” ชมพู่เอ่ยขึ้น
“ก็ตายน่ะซิ พวกมันต้องฆ่าเราตายแน่ๆ” คิตตี้หวาดกลัวไม่แพ้กัน
“อ๊าย” ทั้งคู่ประสานเสียงกรี๊ดกันด้วยความกลัว
“ปล่อยเราไปเถอะ / อย่าฆ่าเราเลย” ชมพู่กับคิตตี้พยายามทุบประตูอยากหนีด้วยอาการกลัวตาย

ชมพู่กับคิตตี้ทุบประตูไปได้พักนึง ประตูกลับถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย ทั้งคู่เงียบ มองหน้ากันงงๆว่าไม่คิดว่าจะง่ายขนาดนี้ แล้วรีบวิ่งออกมา พอออกมาจากห้องได้ ชมพู่กับคิตตี้ย่องไปที่บันไดชั้นล่างจนเดินผ่านห้องห้องหนึ่งที่ประตูเปิดแง้มไว้
“อย่าทำผมเลยครับ อย่า” เสียงหมาก ลูกหนี้บังเว้ยเฮ้ยร้องขอชีวิต
ชมพู่กับคิตตี้อดใจไม่ไหว แอบส่องดูเห็นชายสองคนที่ถูกมัดให้นั่งอยู่กับเก้าอี้โดยมีบังเว้ยเฮ้ยกับพวกรายล้อมอยู่
“ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ให้โอกาสเราเถอะนะครับบัง” ณเดชน์รีบร้องขึ้น
“โอกาสน่ะมีไว้ให้เฉพาะคนที่รักษาสัญญาเท่านั้น” บังเว้ยเฮ้ยเหลือบตาหาลูกน้องที่ถือดาบในมือพร้อมกับควักผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาชู
“จัดการมัน” บังเว้ยเฮ้ยสั่ง
ทันทีที่บังเว้ยเฮ้ยปล่อยผ้าเช็ดหน้าลงกับพื้น ลูกน้องฟันเข้าที่แขนข้างหนึ่งของณเดชน์ และขาข้างหนึ่งของหมากทั้งคู่ร้องขอชีวิตอย่างโหยหวน ชมพู่เห็นแล้วจะอ้าปากร้องด้วยความกลัว คิตตี้รีบเอามือมาปิดปากชมพู่ไว้ ในขณะที่อีกมือปิดปากตัวเองเอาไว้เหมือนกัน
“ดีนะที่พวกแกติดไม่กี่ร้อย ไม่งั้นแกได้ตายเหมือนอีสองตัวที่อยู่ข้างบนแน่ ไปเว้ย ถึงคิวอีอ้วนผอมแล้ว”
บังเว้ยเฮ้ยสั่งลูกน้องไปจัดการกับคิตตี้กับชมพู่ต่อคิวณเดชน์และหมากทันที

คิตตี้กับชมพู่ได้ยินสะดุ้งสุดตัว พอได้สติทั้งคู่รีบวิ่งออกไปจากบ้าน ครู่หนึ่งบังเว้ยเฮ้ยกับลูกน้องออกจากห้องมา มองไปที่ประตูหน้าบ้านเห็นหลังชมพู่กับคิตตี้วิ่งออกไป
“แค่นี้มันก็กลัวกันจนฉี่แตกแล้ว รับรองว่าถ้าพวกในตลาดรู้ข่าวความโหดของบังเว้ยเฮ้ย มันต้องหนีตายกันหัวซุกหัวซุนแน่” บังเว้ยเฮ้ยแอบยิ้ม พรรคพวกพากันหัวเราะ แต่พอหันกลับมาเห็นณเดชน์ที่ถือแขนโชกเลือดออกมาจากห้อง พร้อมกับหมากที่เดินเขย่งถือขาโชกเลือดออกมาก็ตกใจ
“เฮ้ย” บังเว้ยเฮ้ยและพรรคพวกตกใจ
“นังสองตัวนั่นมันหนีไปแล้วใช่มั้ยครับเสี่ย พวกผมจะได้ขอเบิกค่าตัวเลย เดี๋ยวจะได้ไปนั่งขอทานต่อ” ณเดชน์รีบโพล่งขึ้น
“แล้วก็ปิดปากให้สนิทล่ะ ไม่งั้นชั้นจะให้ไอ้พวกนี้ตามไปฟันแขนขาที่เหลือของแกจริงๆ” บังเว้ยเฮ้ยรีบส่งเงินค่าตัวสำหรับการแสดงให้
“ไม่ต้องห่วงครับเสี่ย เงินน่ะปิดปากพวกผมแน่นเสมอ งั้นพวกผมลานะครับ อ้อ เกือบลืมคืน” หมากรับเงินแล้วรีบเอ่ยขึ้น พร้อมยื่นแขนขาปลอมโชกเลือดส่งให้บัง บังเว้ยเฮ้ยเผลอลิมตัวหยิบไว้พอเห็นตกใจรีบโยนไปให้ลูกน้อง
“เฮ้ย ขนลุก มันจะเหมือนของจริงอะไรขนาดนี้วะเนี่ย”

นอกบ้านร้าง กลางสวนเวลานั้น ต๋องกับกิมลั้ง วิ่งฝ่าดงสวนมาเหงื่อไหลไคลย้อย
“ไหวมั้ยกิมลั้ง ไม่งั้นเธอนั่งรออยู่แถวนี้ก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวชั้นไปจัดการเอง” ต๋องถามอย่างห่วงใย
“ไม่เป็นไร ชั้นยังไหว” กิมลั้งตอบแล้วหันไปเห็นบ้านร้างที่อยู่ไกลๆ
“นั่นบ้านนี่”
“คิตตี้กับชมพู่น่าจะอยู่ที่นั่น ไป” ต๋องเอ่ยขึ้นแล้วรีบจูงมือกิมลั้งไป

ส่วนชมพู่กับคิตตี้ วิ่งกระหืดกระหอบมาตามถนนลูกรังจนใกล้ถึงทางเข้าออก
“นังคิตตี้ ถึงทางออกแล้ว” ชมพู่รีบโพล่งบอกคิตตี้
“ไป กลั้นใจอีกนิดเดียว” คิตตี้เอ่ย
ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยที่เฝ้าประตูอยู่หันมาเห็นชมพู่กับคิตตี้แต่ไกล แต่แกล้งนั่งหลับ ชมพู่กับคิตตี้วิ่งมาแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นว่ามีคนนั่งเฝ้า
“ฮะ!” ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยแกล้งละเมอ
“โธ่เอ้ย จะเอาไงดีเนี่ย” ชมพู่ดวยวาย แล้วพาคิตตี้วิ่งไปหลบหลังพุ่มไม้
คิตตี้มองไปที่ลูกน้องบัง
“เอ๊ะ รู้สึกว่ามันจะหลับนะ” คิตตี้เอ่ยขึ้น
“จริงด้วย งั้นทางก็สะดวก ไป” ชมพู่รีบบอก
คิตตี้กับชมพู่จูงมือกันค่อยๆย่องไป แต่เพราะมัวแต่จ้องมองลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยจึงไม่ได้ดูทางชมพู่สะดุดก้อนหินจนล้ม ร้องโวยวายเสียงดัง
“ว้าย”
คิตตี้กับชมพู่หลับตาปี๋ เพราะคิดว่าร้องเสียงดังจนลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยต้องตื่น แต่พอลืมตาขึ้นยังเห็นหลับทั้งคู่จึงแปลกใจ จากนั้นคิตตี้กับชมพู่คู่ค่อยๆคลานอย่างช้าๆ
“มันหลับลึกจริงๆด้วย” คิตตี้ว่า
“งั้นจะรออะไร รีบไปซิ” ชมพู่ว่า
ทั้งคู่ลุกขึ้นพรวดพร้อมกันด้วยความรวดเร็วจนทำให้หัวชนกันล้มกองอยู่บนร่างของลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยที่โดนแรงกระแทกจนตกเก้าอี้ลงไปนอนกับพื้น ลูกน้องบังต้องแอบกัดฟันด้วยความเจ็บปวดแต่จำต้องแกล้งหลับ คิตตี้กับชมพู่คิดว่ารอบนี้คงได้ตายของจริงแต่ปรากฏว่าลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยยังคงนอนนิ่ง
“นี่มันหลับหรือมันตายเนี่ย” ชมพู่สงสัย
“มันจะหลับหรือตายก็ช่างเถอะ แต่ถ้าเรายังไม่ไปจากตรงนี้ได้ตายแน่” คิตตี้ว่า
ทั้งสองคนพากันวิ่งออกไป พอลับตาไปแล้วลูกน้องบังซมซานลุกขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด
“กูล่ะเชื่อมึงเล้ย”
ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยเอ่ยขึ้น ด้วยความเหนื่อยหน่ายในความซุ่มซ่ามของคิตตี้และชมพู่

เวลาต่อจากนั้น ต๋องกับกิมลั้งเห็นบังเว้ยเฮ้ยกับลูกน้องเดินออกมาจากในบ้านไปที่รถ
“ให้ไอ้ดำกลับไปกับชั้นคนเดียว พวกแกที่เหลือซ่อนตัวอยู่ที่นี่ก่อน” บังเว้ยเฮ้ยสั่ง
“ครับเสี่ย” ลูกน้องรับคำ
ต๋องกับกิมลั้งได้ยินลูกน้องเรียกบังเว้ยเฮ้ยว่าเสี่ยพูด ทั้งคู่เริ่มงง
“ตกลงมันจะเป็นบังหรือเป็นเสี่ยกันแน่” ต๋องเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
บังเว้ยเฮ้ยขึ้นซึ่งมีนายดำเป็นคนขับออกไป
“ช่วยจำเลขทะเบียนรถด้วยกิมลั้ง” ต๋องสั่ง
กิมลั้งท่องเลขทะเบียนรถบังนั่งออกไป ต๋องหยิบมือถือขึ้นกดไปที่ 191 แต่จู่ๆก็มีสายแทรกเข้ามา เสียงโทรศัพท์จึงดัง ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ย หันมาที่ต้นเสียงทันที กิมลั้งกับต๋องหน้าเสีย
“แย่แล้ว”
ทันใดนั้นต๋องคว้ามือกิมลั้งวิ่งหนีทันทีเลยทำให้มือถือหล่นจากมือ ต๋องจะวิ่งกลับไปหยิบมือถือก็เห็นว่าพวกลูกน้องบังวิ่งกรูกันมา เลยต้องยอมทิ้งมือถือไว้
“ใครวะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยรีบตะโกนขู่
ส่วนมือถือของต๋องที่ตกอยู่ ยังคงมีเสียงเรียกเข้ายังดังอยู่อย่างนั้น

ที่หน้าแผงผักต๋อง กิมฮวยโทรเข้ามือถือของต๋อง แนบหูเพื่อรอการรับสายท่ามกลาง เลื่อนกับรักเร่ที่ยืนหน้าเสียอยู่
“อาต๋องมันไม่ยอมรับสาย เห็นมั้ย มีพิรุธชัดๆ มันต้องแอบนัดหมายอากิมลั้งไปเจอกันข้างนอกแน่” กิมฮวยรีบโวย
“โธ่ เจ๊ก็ช่างจินตนาการเกิน พี่ต๋องเค้าอาจจะไม่สะดวกรับสายก็ได้” เลื่อนรีบอธิบายแทน
“นี่ เจ๊ เจ๊คิดดูดิ ถ้าเค้าตั้งใจออกไปกับลูกสาวเจ๊จริงๆ เค้าจะเปิดทีวีทิ้งไว้ทำไม แล้วถ้าเค้าจะไปไหน เค้าก็ต้องเรียกชั้นสองคนมาเฝ้าร้านแล้ว” รักเร่รีบช่วยเสริม
“ตอนนี้พวกลื้อจะพล่ามอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะอั๊วจับมันแบบหลักฐานคาตาไม่ได้ แต่อั๊วว่าสัญชาตญาณเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ของอั๊วน่ะไม่ผิดแน่ๆ” กิมฮวยโวยวายไม่เลิก
“แหม สงสัย สาวๆเจ๊แอบนัดเจอกับเฮียเคี้ยงนอกตลาดบ่อยๆซินะ”เลื่อนแอบกัดกิมฮวย
“แบบนี้เค้าเรียกว่าไก่เห็นตีงู งูเห็นนมไก่ใช่มั้ยเจ๊” รักเร่เสริมเป็นลูกคู่
“ไอ้พวกบ้า” กิมฮวยยังต่อปากต่อคำกับเลื่อนและรักเร่
ทันใดนั้นอี๊ด เจ้าของมอเตอร์ไซค์เดินเข้ามาถามคราวข่าวต๋องพอดี
“เฮ้ย พี่ต๋องมารึยังวะ” อี๊ดตะโกนถาม
“ยังเลย เอ็งมีอะไรรึเปล่า” เลื่อนถามกลับ
“อ๋อ เค้ายืมมอไซค์ข้าไปน่ะ ก็นึกว่ากลับมาแล้ว” อี๊ดเล่า
“อาต๋องมันยืมมอเตอร์ไซค์ลื้อไปนานรึยัง” กิมฮวยหูผึ่ง พอได้ยินดังนั้นรีบถามกลับ
“ก็ ตอนสายๆอ่ะเจ๊” อี๊ดตอบ
“แล้วลื้อเห็นว่ามันไปกับใครรึเปล่า” กิมฮวยรีบถาม
อี๊ดลังเลเพราะรู้ดีว่ากิมฮวยไม่ปลื้มต๋อง และหันไปเจอเลื่อนกับรักเร่คล้ายขอความช่วยเหลือจึงรู้ทัน
“ก็...คือ” อี๊ดอึดอัก
“ตกลงมันไปกับอากิมลั้งใช่มั้ย” กิมฮวยเห็นทันทีว่าอี๊ดมีพิรุธ
อี๊ดนิ่งไป
“อั๊วถามว่าใช่มั้ย” กิมฮวยเข้ามาเขย่าตัวเค้นเอาคำตอบ
“ชะ...ใช่จ้ะ” อี๊ดรีบตอบ
“แล้วรู้มั้ยว่ามันไปไหน” กิมฮวยถามด้วยความแค้นใจ
“ไม่รู้จ้ะ รู้แต่ว่าเค้าดูรีบร้อนกันมาก” อี๊ดบอก
“อ๊าย ลองดีกับอั๊วใช่มั้ยไอ้ต๋อง วันนี้อั๊วเอาตำรวจไปลากคอลื้อเข้าซังเตแน่” กิมฮวยร้อนใจหนัก
กิมฮวยเดินหน้าดำหน้าแดงออกไป เลื่อน รักเร่ และอี๊ด ยืนมองกันหน้าเครียด
“มึงก็เห็น กูโดนบีบคั้น”
อี๊ดเสียงอ่อย รีบหันหน้าไปแก้ตัวกับเลื่อนและรักเร่

เวลานั้น ต๋องกับกิมลั้งวิ่งหนีการไล่ล่ามาหลบอยู่ใต้คันดินต่างระดับ ทั้งคู่พยายามนอนหมอบให้แนบกับดินที่สุด แล้วลูกน้องคนหนึ่งของบังเว้ยเฮ้ยวิ่งมาหยุดอยู่แถวเหนือหัวของต๋องกับกิมลั้ง
“เฮ้ย มันหายไปไหน ทำไมไวนักวะ” ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยบ่นขึ้น
ต๋องกับกิมลั้งพยายามนิ่งเงียบแทบไม่หายใจ
“มันไม่หายไปไหนหรอก อยู่แถวๆนี้ล่ะ แยกกันหาเว้ย” ลูกน้องอีกคนเอ่ยขึ้น
เสียงฝีเท้ากระจัดกระจายไปทิศต่างๆ ต๋องส่งสัญญาณให้กิมลั้งตามมา แล้วต๋องค่อยๆคลาน โดยมีกิมลั้งตามมาติด เมื่อคิดว่าปลอดภัยแล้วลุกขึ้นเตรียมจะวิ่งออก แต่ปรากฏว่าลูกน้องบังเว้ยเฮ้ย กระโดดจากบนต้นไม้ลงมาดักหน้าทั้งคู่
“กูว่าแล้วว่ามึงต้องอยู่แถวนี้” ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยพูดแล้วมองหน้าต๋องกิบกิมลั้ง
ต๋องจวนตัวไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเอาศีรษะตัวเองกระแทกเข้าให้ที่หน้าผากของลูกน้องบัง อย่างแรง
จนอีกฝ่ายทรุดลงไปนั่งกับพื้น แล้วต๋องรีบจูงมือกิมลั้งวิ่งไป
“มันอยู่ทางนี้” ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยรีบเรียกพรรคพวกมาช่วย
พรรคพวกที่เหลือวิ่งมาเห็นหลังต๋องกับกิมลั้งที่วิ่งไปไวๆ ลูกน้องบังอีกคน คว้าปืนยิงรัวระยะไกลไปที่ต๋องกับกิมลั้งหลายนัด
 
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00น.



“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 9 (ต่อ)  
    
 
ต๋องกับกิมลั้งวิ่งหนี โดยมีเสียงปืนตามท้ายมาระยะประชิด วิ่งจนมาเจอคูน้ำที่ขวางอยู่ด้านหน้า ต๋องกระโดดข้ามคูไปก่อนอย่างแคล่วคล่อง แต่พอหันมาอีกทีเห็นกิมลั้งยืนมองนิ่งเพราะคิดว่าตัวเองข้ามไม่ได้แน่

“กิมลั้ง กระโดดข้ามมาเลยไม่ต้องกลัว” ต๋องพูดอย่างให้กำลังใจ
กิมลั้งตัดสินใจกระโดดตามที่ต๋องบอกปรากฏว่าพลาดตกลงไปในคูน้ำในที่สุด
“โอ๊ย” กิมลั้งร้องด้วยความเจ็บปวด
“เป็นไงบ้างกิมลั้ง” ต๋องเห็นแล้วจึงถามขึ้นด้วยความห่วงใย
“เหมือนเท้าจะแพลง” กิมลั้งว่า
“โธ่” ต๋องทำท่าจะลงไปในคูเพื่ออุ้มกิมลั้งขึ้น ปรากฏว่าเห็นพวกลูกน้องบังกำลังวิ่งมุ่งหน้ามา
“ต๋อง หนีไปก่อน” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“ไม่ ถ้าไปก็ไปด้วยกัน ยื่นมือมากิมลั้ง” ต๋องว่า
“รีบไปเร็วๆต๋อง ถ้าเธอรอดก็ยังพาคนอื่นกลับมาช่วยชั้นได้” ต๋องฟังแล้วนิ่งไป
“แต่....” ต๋องอึกอัก
“ไป... ถ้าเธออยากให้ชั้นรอด เร็วเข้า ก่อนจะไม่ทัน” กิมลั้งบอก
“แล้วชั้นจะรีบมาช่วยนะ” ต๋องรีบหนีไปอย่างลำบากใจ
ต๋องตัดใจวิ่งออกไป แล้วพวกลูกน้องบังวิ่งมาถึงตัวกิมลั้งพอดี ส่วนหนึ่งแยกไปตามหาต๋องต่อ ต๋องวิ่งออกไปหลบอยู่หลังหิน พอหันมามองเห็นว่ากิมลั้งกำลังถูกพวกบังเว้ยเฮ้ยลากตัวขึ้นมาจากน้ำอย่างไม่ปรานีแทบอยากจะร้องไห้
“โอ๊ย เจ็บ ปล่อยชั้นนะ” กิมลั้งร้องขึ้นด้วยความเจ้บปวด
“ปล่อยผู้หญิงเดี๋ยวนี้นะ” ต๋องตะโกนขึ้น
ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยพอเห็นต๋องยืนอยู่ รีบยกปืนขึ้นมาเล็งขู่ทันที ต๋องยกมือขึ้นยอมแพ้ กิมลั้งมองต๋องอย่างดีใจไม่คิดว่าจะกลับมาช่วยอีก

ต่อจากนั้นหลังจับตัวต๋องและกิมลั้งได้ ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยหรือชายศักดิ์รีบส่งภาพไปให้บังดูทันที
ชายศักดิ์กับรัศมีจ้องมองรูปที่ลูกน้องส่งมาให้หน้าเครียด
“ไอ้ต๋องจริงๆด้วย ดูความสาระแนของมันนะ แอบสะกดรอยตามเราไปถึงที่นั่น” ชายศักดิ์โวย
“ชาตินี้มันคงจะตามเป็นมารหัวใจเราไม่จบไม่สิ้นแน่ๆ” รัศมีเอ่ยขึ้น ทันใดนั้นมือถือชายศักดิ์ดังขึ้น
“เออ” ชายศักดิ์รับสาย
“เสี่ยจะให้ผมจัดการพวกมันสองคนยังไงต่อไปดีครับ” ลูกน้องคนหนึ่งออกไปคุยโทรศัพท์อยู่หน้าบ้านร้าง
“จับมันไว้ก่อน อย่าให้หนีไปได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ชั้นจะเข้าไปจัดการมันอีกที อ้อ อย่าไปเผลอทำอะไรโง่ๆให้มันจับได้ล่ะว่าชั้นคือบังเว้ยเฮ้ย” ชายศักดิ์สั่ง
“ไม่ต้องห่วงครับเสี่ย” ลูกน้องวางสายไป เพื่อนคนอื่นรอฟังคำสั่งอยู่
“เอาเว้ย วันนี้หมดงานแล้ว ได้เวลาสังสรรค์แล้ว” ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยรีบเอ่ยขึ้น
“กูพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้วเว้ย” ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยหยิบขวดเหล้าขึ้นมาโชว์ เพื่อนฝูงถูกใจกันยกใหญ่

ที่บ้านชายศักดิ์ รัศมียืนกอดอกหน้าเครียดใช้ความคิด ส่วนชายศักดิ์ทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความเซ็ง
“นี่ชั้นยังไม่รู้เลยนะว่าจะจัดการกับมันยังไงดี รับรองว่าต่อไปนี้ไอ้ต๋องตามล้างตามผลาญบังเว้ยเฮ้ยไม่เลิกแน่” ชายศักดิ์เอ่ยขึ้นอย่างกังวล
“ในเมื่อมันเป็นตัวปัญหา แล้วเราจะปล่อยให้มันกลับมาเป็นเสี้ยนตำเท้าเราต่อไปทำไมล่ะค่ะ นี่ก็เป็นโอกาสดีแล้ว” รัศมีเอ่ยขึ้น
“เธอหมายความว่ายังไง” ชายศักดิ์ตกใจ รีบเอ่ยย้อนถามรัศมี
“ก็กำจัดมันให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปซิคะ” รัศมีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“รัศมี ถ้าต๋องกับกิมลั้งตายไปเรื่องมันได้บานปลายไปกันใหญ่แน่ เกิดสาวมาถึงตัวเราได้ไม่พากันซวยไปหมดเหรอ ชีวิตมีค่าของพวกเราไม่ควรจะเอาไปแลกกับพวกมันหรอก” ชายศักดิ์เอ่ยขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นเสี่ยจะทำยังไงกับมันต่อไปล่ะค่ะ” รัศมีเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย
“ถามตอนนี้ชั้นยังคิดไม่ออกหรอก คืนนี้ขอนอนเต็มที่ให้หัวแล่น พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน”
รัศมีหงุดหงิดที่ชายศักดิ์ไม่เด็ดขาด

ที่ร้านอาโก ชาวตลาดรวมกลุ่มคุยกันหน้าเครียด น้อยหน่ากดมือถือหาชมพู่ ขณะที่เขียวหวานโทร.หาคิตตี้ ป้าพิณดูกังวลไม่น้อย
“เป็นไงวะน้อยหน่า ติดต่อนังชมพู่ได้รึยัง” ป้าพิณเอ่ยถามขึ้น
“จนป่านนี้ยังไม่ยอมเปิดมือถือเลยจ้ะป้า” น้อยหน่ารีบตอบ
“ของพี่คิตตี้ก็เหมือนกัน”เขียวหวานรีบตอบ
“ตกลงนี่มันวันคนหายรึไงเนี่ย กิมลั้งก็หายไปกับต๋อง ชมพู่กับคิตตี้ก็ติดต่อไม่ได้”
เครือฟ้ารีบเอ่ยขึ้น
“ชั้นว่าสองคนนั่นต้องหนีหนี้บังเว้ยเฮ้ยแน่เลย” เครือฟ้ารีบว่า
“แต่หนีหนี้แล้วทำไมต้องทำตัวติดต่อไม่ได้แบบนี้ด้วยล่ะ มันไม่คิดบ้างรึไงว่าพี่มันจะเป็นห่วง”
น้อยหน่าเริ่มห่วงชมพู่
“ถ้าแกติดต่อมันได้ บังก็ต้องติดต่อมันได้ด้วยซิ ตอนนี้มันก็เลยทำตัวให้ใครติดต่อไม่ได้เลย” คำมูลรีบเอ่ยขึ้นบ้าง
“เจ้าประคู้ณ ขอให้เป็นอย่างเอ็งว่าเถ้อะ คำมูล อย่าให้เป็นอย่าที่ข้าคิดเล้ย” ป้าพิณสีหน้าครุ่นคิด
“ลื้อคิดอะไรฮะ อาพิณ” อาโกรีบถามขึ้น
จู่ๆคิตตี้กับชมพู่วิ่งกลับมาด้วยอาการความหวาดระแวง โผล่พรวดเข้ามา
“ชมพู่/คิตตี้” ชาวตลาดในสภาพโทรมจนแทบจำไม่ได้
“ช่วยกันปิดประตูก่อนเร็ว” ชมพู่รีบสั่ง
“เอ็งสองคนหายไปไหนมาวะเนี่ย” ป้าพิณจึงรีบถามขึ้น
“อย่าเพิ่งถามน่ะป้า ช่วยกันปิดประตูก่อน ก่อนที่พวกชั้นจะไม่มีโอกาสตอบ” คิตตี้กลัวและลนจนแทบไม่มีสติ ทุกคนช่วยกันปิดประตูร้านอาโกด้วยความงง

ต่อจากนั้นชมพู่กับคิตตี้เล่าเรื่องที่ผ่านวินาทีตายจากบังเว้ยเฮ้ยให้ทุกคนฟังด้วยอาการหวาดผวาไปตามๆกัน ป้าพิณตบเข่าฉาด เพราะทุกอย่างเป็นไปตามคาด
“นั่นไงล่ะ ข้าล่ะสังหรณ์ใจแล้วเชียวว่าต้องเกิดเรื่องเลวร้ายกับพวกเอ็งแน่ๆ” ป้าพิณรีบเอ่ยขึ้น
“นี่ถือว่าแกสองคนยังมีบุญนะ ถึงได้รอดออกมาได้” ทวีรีบเสริมขึ้น
“ชั้นก็เกือบสิ้นบุญไปแล้วเหมือนกันล่ะพี่ ไอ้บังเว้ยเฮ้ยมันโหดร้ายว่าที่เราคิดมาก”ชมพู่รีบเล่าต่อ
“ป่านนี้พวกมันต้องตามหาตัวชั้นสองคนให้ควั่กแน่ ที่มานี่ก็เพราะชั้นจะมาเตือนทุกคนไว้ ถ้างวดหน้าคิดว่าไม่มีเงินใช้หนี้บังมันล่ะก็ให้รีบหายตัวไปจากตลาดให้เร็วที่สุด” คิตตี้รีบช่วยเล่า
ชาวตลาดพากันอกสั่นขวัญผวา
“เอ็งก็พูดง่าย แล้วจะให้พวกข้าหนีกันไปที่ไหน ที่ทำมาหากินก็อยู่นี่” คำมูลรีบเอ่ยขึ้น
“แต่ถ้าไม่หนี พี่ก็จะไม่มีโอกาสทำมาหากินไปตลอดชีวิต เพราะจะโดนพวกมันลากไปฆ่าเหมือนชั้นสองคนแน่” ชมพู่ว่า
ชาวตลาดพากันกลัวหนักเข้าไปอีก
“แล้วจะให้เราหนีไปไหนกันล่ะ” เครือฟ้ารีบถาม
“ก็ต้องหนีไปให้พ้นจากแถวนี้ก่อนเป็นอันดับแรก เอาล่ะ ชั้นคงช่วยทุกคนได้แค่นี้ ที่เหลือก็ตัวใครตัวมันละกัน” คิตตี้รีบตอบให้ คิตตี้กับชมพู่พรวดพราดออกไป
“ชมพู่” น้อยหน่ารีบเรียกชมพู่ไว้แต่ก็ไม่ทัน
ชาวตลาดที่เหลือยืนคิดว่าจะเอาอย่างไรดีกับชีวิตติดหนี้กับบังเว้ยเฮ้ยครั้งนี้

คืนนั้น ที่บ้านกิมฮวย อยู่กันพร้อมหน้าสองครอบครัวของเต๊กไฮ้และกิมฮวย เพื่อลุ้นให้จะเด็ดนั่งทางไหนว่าต๋องกับกิมลั้งอยู่ที่ไหนกันแน่ เต๊กไฮ้ดูร้อนใจไม่น้อย
“เป็นไงอาจะเด็ด เห็นมั้ยว่าอาหนูกิมลั้งกับไอ้ต๋องอยู่ที่ไหน” กิมฮวยเอ่ยถามขึ้น
“ที่นั่นมันมืดมาก” จะเด็ดรีบตอบ
“ที่นี่ก็มืด”กิมแชรีบเอยขึ้นด้วยความซื่อ
“ลื้อนี่ยังไงนะ” กิมฮวยรีบหยิกกิมแช
“ที่นั่นมันขมุกขมัว เหมือนมีม่านอะไรบังอยู่” จะเด็ดทำหน้าเครียด
“ไอ้หยา.... ม่าน ? ลื้ออย่าบอกนะว่าเป็นม่านรูด” กิมฮวยรีบโวยวาย
“ฮะ ?” ทุกคนตกใจ
“รึจะใช่ มิน่า อะไรๆมันถึงได้ไม่ชัดเจนขนาดนี้” ทันใดนั้นจะเด็ดลืมตาขึ้นมา
“ไม่จริง น้องกิมลั้ง กับไอ้ต๋องที่ม่านรูด” จาตุรงค์ทำหน้ารับไม่ได้
“ไปกันใหญ่แล้ว กิมฮวย ลื้อตั้งสติหน่อยซิ นี่ลื้อกำลังดูถูกลูกสาวตัวเองอยู่นะ คิดได้ยังไงว่ากิมลั้งจะทำเรื่องแบบนั้น” เคี้ยงรีบเถียงแทน
“ถึงกิมลั้งไม่ทำ ไอ้ต๋องมันก็เป็นคนทำได้นี่” กิมฮวยรีบแจง
“ไอ้ต๋องเป็นคนทำ โอ๊ยๆ” จาตรุงค์แทบทรุด เอามือจับที่หัวใจตัวเอง

“ชั้นว่าเราอย่าเพิ่งตีโพยตีพายกันไปก่อนเลยนะอาจจะไม่มีอะไรเลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้” ลักษณ์รีบไปประคองลูกชาย
“ถ้างั้นป่านนี้แล้วทำไมอากิมลั้งถึงยังไม่โผล่หัวมาล่ะ ตำรวจก็ยังไม่โทรมาบอกความคืบหน้า ลูกสาวอั๊วถูกปู้ยี้ปู้ยำไปถึงไหนๆแล้วก็ไม่รู้” กิมฮวยพูดออกมาอย่างหมดแรง
กิมฮวยร้องไห้โฮจนกิมแชกับเคี้ยงต้องเข้ามาปลอบใจ

คืนเดียวกันที่เกาะส่วนตัวของศักดิ์ชาย ณดาหลับอยู่เพราะจมน้ำ แต่ครู่หนึ่งเธอค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นศักดิ์ชายหลับอยู่ข้างๆนอนกอดเธอไว้แน่น ณดาเงื้อมือฟาดศักดิ์ชายจนอีกฝ่ายสะดุ้งตื่นขึ้น
“ไอ้คนเฮงซวย นี่แกแอบทำอะไรชั้นอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ยไอ้บ้า...” ณดาฟื้นขึ้นมาแล้วยังด่าต่อ

“คุณน่ะซิบ้า ผมไปทำอะไรคุณที่ไหน” ศักดิ์ชายตอบกลับรีบคว้าตัวณดาไว้
“ก็แกนอนกอดชั้นแน่นขนาดนั้น แล้วก่อนจะกอดแกทำอะไรชั้นไปบ้างก็ไม่รู้” ณดาเอ่ย
“นี่ คุณนั่นล่ะที่มาซุกมาไซ้ผมก่อน ร้องครวญครางว่าหนาวอย่างงั้นอย่างงี้ ไข้ขึ้นจนเพ้ออะไรออกไปบ้างไม่รู้ตัวเลยใช่มั้ย” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้นบ้าง
ณดาชะงัก เพราะคิดว่าที่ศักดิ์ชายพูดอาจเป็นเรื่องจริง
“ไอ้เราก็อุตส่าห์ช่วยให้ความอบอุ่น รู้งี้ปล่อยให้จมน้ำตายสมใจอยากก็ดี” ศักดิ์ชายบ่นปนน้อยใจ
“ใครบอกว่าชั้นอยากตาย” ณดาผลักศักดิ์ชายออกไปจากการเกาะกุมตัวเอง
“ไม่งั้นคุณจะเดินลุยทะเลประชดผมแบบนั้นทำไม” ศักดิ์ชายถาม
“สำคัญตัวผิดแล้ว ชั้นไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายจริงๆซะหน่อย ตอนนั้นตะคริวมันกินก็เลยผิดแผน ชั้นไม่โง่พอที่จะเอาชีวิตไปแลกกับคนไม่มีค่าอย่างคุณหรอก” ณดาเผยความจริง

“ใครมันจะไปมีค่าสู้ไอ้ต๋องของคุณล่ะ ถึงได้ระริกระรี้อยากเป็นเมียมันนัก ทั้งๆที่มันไม่ได้รักคุณเลย หน้าไม่อาย” ศักดิ์ชายพูดไปพลางขับแขนณดาขึ้นมาด้วยความโกรธ
“สำหรับชั้น ความรักน่ะสร้างเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าเจอผู้ชายดีๆอย่างคุณต๋องก็ต้องรีบคว้าไว้ จะได้ไม่ตกกระไดพลอยโจนไปกับผู้ชายเลวๆ” ณดาพูดใส่หน้าศักดิ์ชาย พร้อมสะบัดมือออกด้วยความเจ็บใจ
“ไม่ใช่ไอ้ผู้ชายเลวๆคนนี้เหรอที่ช่วยชีวิตคุณไว้สองครั้งสองคราเพื่อให้คุณมายืนด่าฉอดๆแบบนี้
แค่คำขอบใจซักคำยังไม่เคยมี” ศักดิ์ชายพูดด้วยความเนื้อน้อยต่ำใจ
“จะให้ชั้นขอบใจไอ้คนใจทรามที่เคยข่มเหงย่ำยีชั้นงั้นเหรอ” ณดารีบสวนทันที
“ผมไม่เคยทำอะไรคุณทั้งนั้นเข้าใจมั้ย” ศักดิ์ชายลืมตัวเผลอโพล่งบอกความจริงออกไปด้วยความโมโห ศักดิ์ชายอึ้งไปที่เผลอปากโพล่งออกไป
“คุณนี่มันหน้าด้านจริงๆ ทุกทีอ้างสิทธิ์ว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชั้นมาตลอด แต่พอจนมุมก็บอกว่าไม่ได้ทำชั่วอะไร” ณดางง
“ผมมันชั่วเพราะคุณคอยยัดเยียดความชั่วให้น่ะซิ ที่คอนโดวันนั้น แค่คุณเห็นร่างกายตัวเองล่อนจ้อนเพราะแม่บ้านถอดเสื้อผ้าให้ คุณก็รีบตราหน้าว่าเป็นผลงานความชั่วช้าของผมแล้ว ทั้งๆที่คืนนั้นผมไม่ได้อยู่ร่วมห้องกับคุณเลยทั้งคืน” ศักดิ์ชายโพล่งความจริงออกมา
“แล้วทำไมวันนั้นคุณไม่ปฏิเสธ” ณดาย้อนถาม
“ก็เพราะมันอาจจะเป็นโอกาสเดียวที่ทำให้คนอย่างคุณหันมามองคนไม่มีค่าอย่างผมบ้างยังไงล่ะ แต่มันก็เป็นข้อต่อรองโง่ๆที่ผมเอามาใช้หลอกตัวเองไปวันๆ แล้วผมก็คิดผิด เพราะจนวันนี้คุณก็ไม่เคยเห็นผมในสายตา” ศักดิ์ชายตอบ ณดาฟังแล้วถึงกับอึ้ง
“ผมยอมรับนะว่าผมมันไม่ใช่คนดีอะไร แต่คุณรู้มั้ยว่าทำไมคนเลวๆอย่างผมถึงทำอะไรที่ไม่เคยทำให้ผู้หญิงคนไหนเท่ากับที่ทำให้คุณ” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“ทำไม” ณดาถามกลับด้วยหัวใจสั่นไม่เหมือนทุกครั้ง
“ช่างมันเถอะ” ศักดิ์ชายจะอ้าปากพูดแต่แล้วก็นิ่งเงียบไป
ศักดิ์ชายเดินจ๋อยไป ปล่อยให้ณดายืนนิ่งและใจสั่นกับสิ่งที่ศักดิ์ชายโพล่งออกมา

คืนนั้น ศักดิ์ชายนั่งอยู่ริมหาดทรายพร้อมเหล้าและท้องทะเลยามค่ำคืนอันแสนเศร้า
“ไม่มีทาง ผมไม่มีทางรู้สึกอะไรแบบนั้นกับคุณ” ศักดิ์ชายพยายามสลัดความคิดที่รักณดา ศักดิ์ชายกระดกเหล้าเข้าปากคล้ายกับอยากลบณดาไปจากหัวใจ

คืนเดียวกัน ที่บ้านร้างกลางสวน ลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยในอาการมึนเมากำลังกินเหล้าไปเล่นหมากรุกไป อย่างสนุกสนาน
“รุกเว้ย” เสียงลูกน้องบังเว้ยเฮ้ยดังขึ้น
ห้องข้างๆกันต๋องกับกิมลั้งซึ่งเปิดประตูค้างไว้เพราะพวกลูกน้องบังจะได้จับตามมองทั้งคู่ได้ง่ายขึ้น ต๋องกับกิมลั้งถูกมัดมือมัดเท้านั่งพิงฝาอยู่อย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ไม่รู้ป่านนี้ชมพู่กับคิตตี้จะเป็นยังไงบ้างนะ มันจับไปไว้ที่ไหนก็ไม่รู้” ต๋องเอ่ยขึ้น
“บางทีสองคนนั้นอาจจะยังไม่โดนพวกมันทำอะไรเหมือนเราสองคนก็ได้นะ”กิมลั้งรีบตอบ
“ถึงวันนี้ไม่โดน แต่วันพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง กิมลั้ง ชั้นขอโทษนะ ชั้นไม่น่าพาเธอมาเดือดร้อนด้วยอย่างนี้เลย” ต๋องเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“มันไม่ได้เป็นเพราะเธอหรอก ถึงยังไงชั้นก็ปล่อยเธอมาคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด ถ้าต้องตายก็ตายด้วยกัน” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“กิมลั้ง” ต๋องซาบซึ้งแม้ว่าต้องตกอยู่ในสภาพลำบากก็ตาม
ทันใดนั้นไฟในบ้านร้างดับลง ต๋องกับกิมลั้งยังงงว่าเกิดอะไรขึ้น วงหมากรุกของลูกน้องบังยังคงเมามัน
“เอ้าๆ กูกำลังจะกินมั่ง ไฟเกิดจะมาดับ ขัดลาภจริงๆ” ลูกน้องอีกคนรีบโพล่งขึ้น
“สงสัยเครื่องปั่นไฟเจ๊งอีก แต่ไม่เป็นไรเว้ย กูมีนี่....” ลูกน้องอีกคนหยิบตะเกียงน้ำมันที่อยู่ใกล้ๆขึ้นมาจุดไฟ
“เอ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย”
ทั้งหมดเล่นหมากรุกกันต่อโดยไม่ได้สนใจต๋องกับกิมลั้ง

ที่เกาะส่วนตัวของชายศักดิ์ ณดาเดินตามหาศักดิ์ชายด้วยความกังวล
“ไปไหนของเค้าเนี่ย”
ณดาเดินมาเจอศักดิ์ชายกระดกเหล้าเข้าปาก แถมยังรินเติมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ศักดิ์ชายกำลังจะกระดกแก้วเข้าปาก ณดาดึงแก้วออกมาแต่ศักดิ์ชายคว้าแก้วกลับแล้วยกซดเข้าปาก
“จะดื่มให้ตายรึไง คุณเมามากแล้วนะ” ณดาเอ่ยขึ้น
“ถ้าผมตายคนที่ดีใจที่สุดน่าจะเป็นคุณไม่ใช่เหรอ” ศักดิ์ชายเอ่ยอย่างน้อยใจ
“ชั้นจะดีใจได้ไง” ศักดิ์ชายแปลกไม่คิดว่าณดาจะพูดแบบนี้
“ถ้าคุณตายไปแล้วใครจะพาชั้นกลับบ้าน” ณดาเอ่ยต่อ
“คุณมันก็ห่วงอยู่เรื่องเดียว” ได้ยินเหตุผลที่แท้จริง ศักดิ์ชายถึงกับหมดอารมณ์
“ยังจะมีหน้ามาพูด ตกลงว่าคุณไม่ได้สำนึกเลยใช่มั้ยว่าทำอะไรกับชั้นไว้” ณดาเอ่ยขึ้น
“คุณคงเกลียด คงขยะแขยงผมเต็มทนแล้วซินะ ถ้าคนที่อยู่ตรงนี้เป็นไอ้ต๋องไม่ใช่ผม คุณคงอยากอยู่ที่นี่กับมันไปตลอดชีวิต ผู้ชายอย่างมันดีเลิศเลออะไรนักหนา คุณถึงได้หลงใหลได้ปลื้มนัก” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“คุณมันก็คิดได้แค่ว่าวันๆชั้นคอยแต่ไล่ตามจับผู้ชาย แล้วมันผิดตรงไหนถ้าชั้นจะชอบคนดีๆ ในเมื่อที่ผ่านๆมาผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตชั้น ถ้าไม่หวังตัวชั้น ก็หวังสมบัติของชั้น ไม่งั้นก็คิดว่าชั้นเป็นเครื่องประดับที่ควรค่าสำหรับชีวิต ในขณะที่คุณต๋องเค้าไม่เคยคิดอะไรกับชั้นแบบนั้นเลย” ณดาสวน
“ก็ใช่ไง เค้าไม่ได้คิดอะไรเลย แม้แต่คิดจะรักคุณ” ศักดิ์ชายตอกย้ำ
“ไม่ต้องกรอกหูชั้นนักหรอก เพราะจริงๆชั้นก็ไม่ได้รักอะไรเค้านักหนา” ณดาเอ่ย
ศักดิ์ชายฟังณดาแล้วอึ้งไป
“เรื่องความรักน่ะชั้นเจอมาเยอะจนแทบจะหมดศรัทธาแล้ว ชั้นถึงรู้ไงว่าชีวิตนี้แค่เจอคนดีๆซักคนมันยิ่งกว่าได้เจอมหาสมบัติ” ณดาพร่างพรูออกมา
“ผู้ชายอย่างผมมันคงเลวในสายตาคุณมากซินะ” ศักดิ์ชายโพล่งออกมา
ณดานิ่งไป
“ชั้นก็ไม่ได้คิดว่าคุณแย่ขนาดนั้นหรอกนะ ไม่งั้นคุณจะช่วยชีวิตชั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งที่ชั้นว่าคุณสารพัดเหรอ แต่ชั้นก็ไม่เข้าใจว่ามันเป็นไปได้ยังไงที่คนที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชั้นจะเป็นคนคนเดียวกัน
กับที่ทำเรื่องแย่ๆกับชั้นแบบนี้” ณดาเอ่ย ศักดิ์ชายพูดไม่ถูก
“ผมมันไม่ดีเองล่ะ แล้วก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวด้วยแต่ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าอะไรๆที่ทำไปมันจะฉุกกระชากลากถูผมมาไกลมากขนาดนี้ ไกลจนทำให้ ความรู้สึกของผมเปลี่ยน” ศักดิ์ชายพูดคล้ายสิ้นฤทธิ์
“ชั้นรู้นะว่าคุณรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ถูกต้อง แต่ทำไม....” ณดาพูดไม่ทันจบ ศักดิ์ชายรับแทรกขึ้น
“คุณว่าความรักทำให้คนเปลี่ยนแปลงได้มั้ย” ศักดิ์ชายโพล่งขึ้น
ณดาอึ้งไป รู้ทันทีว่าศักดิ์ชายจะบอกอะไร
“ช่างมันเถอะ อย่าถือสาคนเมาเลย ผมไปนอนนะ” พอเห็นทีท่าอึกอักของณดาแล้วศักดิ์ชายใจเสีย
ลุกพรวดแต่เซจะล้ม
“ชั้นช่วย” ณดารีบเข้าไปช่วยประคองไว้ทัน
“ไม่เป็นไร” ศักดิ์ชายพยายามจะเดินเอง แต่ทำท่าจะล้มอีกจนณดาต้องตามไปประคองอีกครั้ง
“ผมบอกแล้วไงว่า....”ศักดิ์ชายพยายามจะเดินเอง
“เงียบน่ะ แล้วเดินไป” ณดาดุใส่ศักดิ์ชาย
ณดาจริงจังจนศักดิ์ชายทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
คืนนั้น ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ ป้าพิณเดินมาส่งเขียวหวานกับคำมูลที่ยืนรออยู่
“ฝากดูแลนังเขียวหวานด้วยนะไอ้คำมูล เอ็งอย่าไปทำอะไรมิดีมีร้ายมันนะ นอกจากข้ามันก็ไม่มีที่พึ่งแล้วจริงๆ” ป้าพิณฝากฝังเขียวหวานกับคำมูล
“โธ่ป้า ชั้นจะไปทำอะไรเขียวหวานมันล่ะ มันก็เหมือนน้องชั้นคนหนึ่ง” คำมูลรีบเอ่ย
“ก็ไม่รู้ล่ะ เห็นเอ็งหาเรื่องเกี้ยวมันอยู่เรื่อย” ป้าพิณเอ่ย
“โธ่ ชั้นก็ยั่วประสาทป้าไปงั้นล่ะ เพราะชั้นรู้ไงว่าที่จริงป้าน่ะทั้งรักทั้งห่วงเขียวหวานแค่ไหน” คำมูลตอบ

“ป้าพิณจะไม่หนีบังเว้ยเฮ้ยไปกับเราจริงๆเหรอ” เขียวหวานพูดเหมือนจะร้องไห้
“ไม่เป็นไรหรอก คนแก่อย่างข้าน่ะคงต้องอยู่สู้ต่อ มีอะไรพอจะขายได้ก็ขายใช้หนี้ไปก่อน แต่พวกเอ็งน่ะซิลำบากกว่า ยังไงก็รีบไปหาเงินหาทองมาใช้เค้าแล้วกัน จะได้ไม่ต้องระหกระเหินแบบนี้ไปทั้งชีวิต” ป้าพิณเอ่ยขึ้น
“ป้าดูแลตัวเองดีๆนะ เลิกทำอะไรดึกๆดื่นๆได้แล้ว รีบนอนไวๆ จะได้ไม่เป็นลมบ่อยๆ ถ้าเป็นอะไรไปไม่มีชั้นคอยช่วยป้าเหมือนทุกทีแล้วนะ” เขียวหวานรีบสั่งด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ห่วงตัวเองให้ดีเถอะ ตอนนอนน่ะอย่าดิ้นให้มันมากนัก เพราะไม่มีข้าคอยตามห่มผ้าห่มให้เอ็งอีกแล้ว ถ้าคืนไหนไม่ได้ห่มผ้า คนขี้โรคอย่างเอ็งก็ตื่นมาไม่สบายทุกที” ป้าพิณเอ่ยบอกเช่นกัน
“ชั้นสัญญาว่าจะไม่นอนดิ้นก็ได้ถ้าป้าสัญญาว่าจะนอนแต่หัวค่ำ” เขียวหวานยื่นนิ้วก้อยไปให้ป้าพิณเชิงสัญญา
“เออ ข้าสัญญา” ป้าพิณเกี่ยวก้อยกลับ
ป้าหลานต่างสายเลือดโผเข้ากอดกันร้องไห้ คำมูลเห็นแล้วยังอดน้ำตาไหลตามไม่ได้

เวลาต่อจากนั้น ชมพู่โผกอดไปน้อยหน่าที่หน้าร้านเสริมสวย
“ชั้นไปนะพี่น้อยหน่า พี่ไม่ไปกับชั้นแน่เหรอ” ชมพู่เอ่ยขึ้น
“ไม่ได้หรอก ไปที่อื่นก็ต้องไปกู้เงินเค้ามาลงทุนทำร้านใหม่ ยิ่งหนักไปกว่าเดิมอีก แกรีบไปเถอะ...เดี๋ยวใครจะมาเห็นเข้า” น้อยหน้าว่า
“จ้ะ...แล้วชั้นจะส่งข่าวมาถึงพี่เรื่อยๆนะ” ชมพู่บอก
“อืม พี่ก็จะสวดมนต์ทุกคืนให้แกรอดปลอดภัยนะ” น้อยหน่าบอกเช่นกัน
“ชั้นไปนะพี่” ชมพู่ตัดใจเดินจากน้อยหน่ามาด้วยความเศร้า

ท่ามกลางความมืด ในตลาดร่วมใจเกื้อ ชมพู่แบกกระเป๋าเดินมาตามทางด้วยอาการระแวง คล้ายมีคนตามมา ชมพู่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติดังกล่าวจึงชะลอหยุดเดิน ชมพู่จึงลองเช็คด้วยการเดินหยุดเดินหยุดอยู่พักนึง ซึ่งคนที่ตามหยุดตาม ชมพู่กลัวจึงวิ่งหนีสุดชีวิต สายตาใครบางคนยังคงวิ่งตามต่อมาอีก

ชมพู่วิ่งไปแล้วหลบอยู่มุมหนึ่งของตลาด ขณะที่กำลังหันซ้ายขวาหาชมพู่โผล่ออกมาจากมุมตึกแล้วเอาไม้เข้าตีคนที่ตามเธอมาแบบไม่ลืมหูลืมตา
“นี่แน่ะ นี่แน่ะ แกจะฆ่าชั้นเหรอ แกจะข้าชั้นใช่มั้ย” ชมพู่เอ่ยขึ้น
“โอ๊ย โอ๊ย แกนั่นแหละจะฆ่าชั้น ” คนในชุดอำพรางร้องเอะอะโวยวาย
พอชมพู่ได้ยินเสียงร้องเริ่มเอะใจ จึงหยุดแล้วเชยหน้าเปิดฮู้ดของผู้เคราะห์ร้ายออก
“เอ้า นังคิตตี้” ชมพู่เอ่ยขึ้นอย่างตกใจเมื่อรู้ว่าเป็นคิตตี้
“ก็ใช่น่ะซิ แกตีชั้นทำไมฮะอีบ้า”คิตตี้ตะโกนด่าชมพู่
“แกน่ะซิบ้า มาแอบสะกดรอยตามชั้นทำไม ชั้นก็คิดว่าเป็นพวกบังเว้ยเฮ้ย” ชมพู่สวนขึ้น
“ก็ชั้นไม่รู้ว่าจะหนีไปไหนดี บังเอิญเห็นแกเดินมาชั้นก็กะว่าจะตามไปด้วยน่ะซิ” คิตตี้รีบอธิบาย
“อะไรนะ ? แกจะตามชั้นไปด้วย” ชมพู่เอ่ยขึ้น
“ก็ชั้นไม่มีที่ไปจริงๆนี่ ก็เลยมืดแปดด้านไม่รู้จะไปทางไหนดี” คิตตี้เอ่ยขึ้นบ้าง
“อย่างกับชั้นมีที่ไปนักนี่ ญาติคนเดียวในชีวิตก็มีแต่พี่น้อยหน่าเท่านั้น นี่ก็กะไปตายเอาดาบหน้า ขืนแกตามชั้นไป แกได้มืดสิบหกด้านแน่” ชมพู่บอก
“ไม่เป็นไร จะมืดมนแค่ไหน ยังไงชั้นก็รู้ว่ายังมีแกอยู่ด้วยใกล้ๆ” คิตตี้ยืนยันจะตามไปด้วย
ชมพู่ได้ยินคำพูดคิตตี้แอบซึ้ง คิตตี้เองตกใจว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ท่าทีของชมพู่คู่อริกันใจอ่อนลงแต่ยังแกล้งทำเสียงเข้ม
“ถ้าอยากไปด้วยก็ตามมา” ชมพู่สะบัดก้นเดินนำไป
“รอชั้นด้วยชมพู่” คิตตี้ยิ้มแฉ่งรีบวิ่งตาม
 
อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ เวลา 17.00น.



“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 9 (ต่อ)
    
 
คืนนั้น ศักดิ์ชายเมานอนสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ในบ้านหลังเล็กที่เกาะส่วนตัว  ณดาถืออ่างแก้วเล็กๆพร้อมผ้าขนหนูมากนั่งใกล้บนเตียงแล้วจัดการเช็ดเนื้อตัวให้ศักดิ์ชาย
 
 “ไม่เอา ผมไม่เช็ด” ศักดิ์ชายเอามือป้องปัดตัวเองไปมา 
 “ไม่เช็ดได้ยังไง  เนื้อตัวคุณมีแต่เหงื่อแต่ทรายเต็มไปหมด” ณดาไม่ยอม
 “ไม่ต้อง คุณไม่ชอบหน้าผม  ก็ไม่ต้องมาทำดีกับผม” ศักดิ์ชายพูดด้วยอาการเมา
 “เอ๊ะคุณนี่ ยังไงนะ” ณดาเอ่ย
ทั้งคู่ทั้งยื้อทั้งต่อสู้กันไปมา  ศักดิ์ชายออกแรงดึงผ้าจากมือณดา จนณดาเสียหลักล้มลงมาทับร่างตน  ริมฝีปากทั้งคู่แตะกันปากชนปาก  ต่างคนต่างอึ้งไปครู่ใหญ่ พอได้สติ  ณดาผละออกจากศักดิ์ชายแต่ศักดิ์ชายกับรั้งตัวเธอไว้ แล้วตัดสินใจบอกความในใจกับณดา
 “ณดา คุณจะเชื่อมั้ยถ้าผมบอกว่าผม...เอ่อ....รักคุณ” ศักดิ์ชายเอ่ยจากใจ
 “คุณไม่ได้รักชั้นหรอก   คุณก็แค่อยากได้ตัวชั้น” ณดาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
 “ถ้าอย่างนั้นทำไมผมถึงไม่ทำอะไรคุณไปตั้งนานแล้ว ทั้งที่มีโอกาสไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
 “เพราะผมอยากให้คุณรู้สึกกับผมเหมือนที่ผมรู้สึกกับคุณไง”  ศักดิ์ชายพูดต่อ
ณดาเถียงไม่ออก
 “ชั้นบอกแล้วไงว่าชั้นไม่เชื่อมั่นในความรักอีกต่อไปแล้ว  แล้วชั้นก็ไม่เชื่อว่าใครจะมารักชั้นจริง”
ณดารู้สึกตามนั้นแต่แอบกลัวในใจ
 “คุณกลัวต่างหากณดา  คุณกลัวว่าความรักจะทำให้คุณผิดหวังอีก” ศักดิ์ชายเอ่ยอย่างรู้ทัน
ณดาน้ำตาคลอเมื่อโดนจี้จุด 
 “ที่ผ่านมามันยังไม่พิสูจน์ให้เห็นอีกเหรอว่าผมรู้สึกกับคุณยังไง” ศักดิ์ชายเอามือซับน้ำตาให้ณดาอย่างอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ณดาสับสนในหัวใจ
 “ให้โอกาสผมได้มั้ย” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
เวลานั้น ศักดิ์ชายบรรจงจูบงบนหน้าผากณดา  อีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืน  ศักดิ์ชายไล่จูบมาถึงจมูก ณดายิ่งสั่น ศักดิ์ชายไล่มาจูบมาที่ริมฝีปาก  ณดาราวกับหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง  ปลดปล่อยอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวกับศักดิ์ชายราวกับโหยหาความรักแท้จริงที่เฝ้ารอมาทั้งชีวิต โคมไฟในห้องสว่างไสว ราวกับเป็นพลังความหวังครั้งใหม่ของคนทั้งคู่
 
 
 คืนเดียวกันที่บ้านร้าง ต๋องกับกิมลั้งหลับคอพับคออ่อนอย่างคนหมดสภาพนอกจากหมากรุก ลูกน้องบังยังคงทั้งเมามันทั้งเหล้าและเกมหมากรุกอย่างสนุกสนาน
 “ตานี้ดวงกูขึ้นบ้างล่ะเว้ยเฮ้ย”
ตะเกียงแสงริบหรี่ลงจนแทบมองอะไรไม่เห็น
 “กูว่าแล้วทำไมตานี้ดวงกูดับ  เพราะตะเกียงมันจะดับไม่ดับแหล่อยู่แล้วนี่เอง  ไอ้ปี๊ด มึงเอาน้ำมันมาเติมตะเกียงหน่อยซิ” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
 “มึงจะให้กูไปเอาน้ำมันที่ไหนฮะ ไอ้เหลิม” ลูกน้องบังอีกคนโพล่งขึ้น
 “มึงนี่โง่จริงๆ  ถ้าเป็นงู  งูก็กัดมึงแล้วไอ้ปื๊ด  เห็นมั้ยว่าน้ำมันตั้งอยู่ข้างหลังมึงตั้งกี่แกลลอน” 
“เอ้อ จริงด้วย  ท่ากูจะเมามาก” ลูกน้องบังคนหนึ่ง ลุกขึ้นด้วยอาการเมา เปิดฝาแล้วยกถังน้ำมันขึ้นมา  ขณะที่ลูกน้องอีกคน เตรียมเปิดฝาตะเกียงให้เพื่อนเทน้ำมันใส่ แต่ด้วยความเมา ขณะที่เทน้ำมันลงตะเกียงตัวลูกน้องอีกคนเซล้มลงทำให้น้ำมันทั้งแกลลอนไหลออกมาเลอะพื้นบ้านเต็มไปหมด แล้วไฟลุกด้วยความรวดเร็ว  ประกอบกับของในบ้านร้างเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีไฟจึงลามด้วยความรวดเร็ว  จนทั้งหมดแทบหายเมา  ลุกขึ้นยืนตะลึง
 “ชิบหายแล้วมึง ไอ้เวรปื๊ด” ลูกน้องคนหนึ่งตะโกนขึ้น
 “ไป เร็ว   รีบออกไปจากในนี้”ลูกน้องคนหนึ่งรีบบอกพรรคพวก
 ต๋องสะดุ้งตื่นขึ้น
 “แล้วไอ้สองคนนั่นล่ะ” ลูกน้องอีกคนตะโกนถามกลับ
 “เอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อนเหอะมึง  มึงเห็นมั้ยว่าน้ำมันรอเป็นเชื้อเพลิงอยู่ตั้งกี่ถัง   กูไปแล้ว”
 ลูกน้องของบังเว้ยเฮ้ยวิ่งโซซัดโซเซกันออกไป ทิ้งต๋องและกิมลั้งไว้ในบ้านท่ามกลางเปลวเพลิงและถังน้ำมันรายล้อมบ้านร้างอีกหลายถัง
 เวลาต่อจากนั้น หน้าห้างเวรี่ ตำรวจขนหลักฐานทั้งมีดพร้า สาก ครก เขียง  รถเข็น  กระทะ ตะหลิว ซึ่งเป็นข้าวของของพ่อค้าแม่ค้าในตลาดร่วมใจเกื้อ ชาวตลาดเห็นเข้าพากันตกใจ
 “นั่นมันครกชั้นนี่ป้า” คำมูลว่า
 “นั่นก็อีโต้ด้ามเก่งของข้าเหมือนกัน” ป้าพิณโวย
 “เฮ้ย แล้วเขียงนำโชคของอั๊วไปอยู่นั่นได้ไง  มิน่าเมื่อเช้าหาไม่เจอ” เต๊กไฮ้โวยบ้าง
 “เป็นไปไม่ได้ ของของพวกเรามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” กิมลั้งว่า
 “มันคงลอยมาจากตลาดเองมั้งจ๊ะกิมลั้ง” รัศมีรีบพูดขึ้น             
 “ใช่ ของมันลอยออกมาเองไม่ได้หรอก   แต่ถ้ามีคนมือชั่ว ใจทรามไปหยิบมาเพื่อใช้เป็นหลักฐานโยนความผิดให้คนอื่นน่ะก็อีกเรื่องนึง” สดศรีรีบเอ่ยขึ้น  
 “สดศรี มันจะมากไปแล้วนะ” รัศมีโกรธ
 “ทำไม โกรธเหรอที่ชั้นรู้ทันสันดานชั่วช้าต่ำทรามของเธอ” สดศรีด่าซ้ำ
 “อ๊าย” รัศมีกรี๊ดแตก จะเข้าไปตบหน้าสดศรี  สดศรีอึ้งแต่ไม่รอช้าเข้าไปจัดการลงไม้ลงมือกับรัศมี ตำรวจพยายามห้ามทั้งคู่แต่ไม่ฟัง   รัศมีจะเข้าไปจัดการสดศรีบังเอิญเหลือบไปเห็นชายศักดิ์กับศักดิ์ชายที่กำลังเร่งฝีเท้ามาที่เกิดเหตุ  รัศมีจึงแกล้งออมมือเพื่อให้ตนเป็นฝ่ายถูกสดศรีผลักไปจนหัวล้มกระแทกพื้น รัศมีเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเห็นเลือดไหลที่หน้าผากเป็นทาง
 “คุณแม่” ศักดิ์ชายรีบวิ่งไปช่วยแม่ทันที
ชาวตลาดเห็นศักดิ์ชายในชุดภูมิฐาน แต่งตัวดีไม่มีแววเป็นพ่อค้าขายผลไม้เรียกรัศมีว่าแม่ต่างพากันช็อก  โดยเฉพาะณดา    
 “นายชาย...” ณดาโฑล่งอย่างตกตะลึง
 “อาชาย นี่ลื้อกับอารัศมีเป็น...” กิมฮวยเหวอไปเหมือนกัน         
 “ใช่ นี่ล่ะแม่ของชั้น   มาทำร้ายแม่ชั้นกันทำไม” ศักดิ์ชายเฉลยความจริง
คำยืนยันจากปากศักดิ์ชาย  ณดาแน่นิ่งไป
 “ที่แท้แกก็ปลอมตัวมาอยู่ในตลาดชั้นเพื่อทำเรื่องชั่วๆ    เลวเหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก” สดศรีด่า
 “หยุดซักทีสดศรี” ชายศักดิ์รีบโพล่งขึ้น           
ชายศักดิ์เดินเข้ามา  สดศรีเห็นยิ่งโกรธแค้น
 “ไม่ใช่ซิ ต้องบอกว่าเลวเหมือนกันทั้งพ่อ แม่ ลูก” สดศรีด่าต่อ
 “ถ้าพวกผมเลว แล้วไอ้ที่คุณนายทำกับแม่ผมเมื่อกี้เรียกว่าอะไร” ศักดิ์ชายรีบเถียง
 “เรียกว่าน้อยเกินไปไง   เพราะมันไม่ทางเทียบได้กับเรื่องที่ครอบครัวนายสมคบคิดกันทำกับคนในตลาด   มันยังไม่สาสมกับพวกเดนมนุษย์อย่างนายด้วยซ้ำ” ณดาโต้แทนแม่ทันที
 
 “ใช่ ไอ้คนไม่อายบาปอย่างพวกแกสามแม่ลูกน่ะรับรองว่าไม่ตายดีแน่” คิตตี้รีบประนมมือท่วมหัว
 “นั่นซิ งั้นขอให้พ่อมันตายห่า  แม่มันตายโหง ลูกมันตายทั้งกลม เอ้ย ทั้งเป็น” ชาวตลาดพร้อมใจกันสาธุ ศักดิ์ชาย  รัศมี  และศักดิ์ชายโกรธจนตัวสั่น
 “ดี ถ้าอย่างนั้นเราก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว” รัศมีแอบยิ้มที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้
 “คุณตำรวจครับ ช่วยจัดการคดีนี้ให้เร็วที่สุด   เพราะผมจะไม่ยอมปล่อยให้คนพวกนี้ลอยนวลแน่”ศักดิ์ชายรีบเอ่ยขึ้น
 “ยังไงเชิญผู้ต้องสงสัยทุกคนที่โรงพักด้วยนะครับ” ตำรวจเอ่ยขึ้น
 “เดี๋ยวครับคุณตำรวจ  พวกผมไม่ได้ทำผิดอะไรทำไมต้องไปโรงพักด้วยพวกนั้นต่างหากที่คุณตำรวจต้องจัดการ” ชาวตลาดเอ่ยขึ้น
 “ตอนนี้พวกคุณเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย  ไม่ใช่ผู้ต้องหา  ที่เหลือเป็นหน้าที่ของ พวกผมที่จะสืบคดีเอง   ยังไงก็กรุณาให้ความร่วมมือด้วยครับ” ตำรวจเอ่ยขึ้น
ทั้งสองฝ่ายจ้องมองกันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
 
 เวลาต่อจากนั้นหลังจากกลับจากสถานีตำรวจ เต๊กไฮ้  ลักษณ์  และจะเด็ดวิ่งหน้าตื่นมาหาชาวตลาด
 “เอ้าๆ  เพิ่งขึ้นโรงพัก เดินเฉียดคุกตารางมา  มารับน้ำมนต์ปัดรังควานกันหน่อยเร็ว” จะเด็ดโพล่งขึ้น ชาวตลาดรีบกรูกันเข้าไปให้จะเด็ดพรมน้ำมนต์และว่าคาถาให้ทันที
 “เฮ้อ ไม่น่าเล้ย  อยู่ๆก็ต้องมีเรื่องมีราวขึ้นโรงพักกันให้เสียประวัติ” ลักษณ์ว่า
 “เป็นเพราะปลาเน่าตัวเดียวพลอยทำให้คนอื่นเหม็นโฉ่ไปด้วยแท้ๆ” จะเด็ดมองไปที่ต๋องก่อนเอ่ยขึ้น
 “แน่จริงน้าก็พูดมาเลยซิว่าใคร” ต๋องเริ่มฉุน
 “ก็ลื้อน่ะล่ะที่พาพวกเราไปรับกรรมที่หน้าห้างนั่น  เลยเข้าทางพวกมันเลยเห็นมั้ย   นี่ถ้าทุกคนไม่ไปประชุมซ่องสุมกับไอ้ต๋องตั้งแต่เมื่อคืน อาจจะไม่เกิดเรื่องวันนี้ก็ได้” เต๊กไฮ้รีบสวนขึ้น
 “จริงด้วย อั๊วลืมนึกไปได้ไง  มีเรื่องซวยๆที่ไหนก็ต้องมีลื้อที่นั่น ไหนจะลากลูกสาวอั๊วหายตัวไป  ไหนจะลากอั๊ว ลากคนในตลาดไปมีเรื่อง” กิมฮวยฟังอยู่เหมือนเพิ่งคิดได้
 “เอาอีกแระเจ๊   เจ๊จะมาปัดความเลวที่ไอ้ครอบครัวมหาประลัยนั่นทำไปให้ต๋องได้ยังไง  แล้วไอ้เรื่องที่คิดว่าต๋องพากิมลั้งไปทำมิดีมิร้าย  ชั้นขอประกาศให้รู้ทั่วๆกันเลยนะว่าวันที่สองคนนี้หายตัวไปน่ะ  เพราะเค้าสะกดรอยตามไอ้พวกเสี่ยชายศักดิ์ที่จับชั้นกับนังชมพู่ไปขู่ฆ่าต่างหาก” คิตตี้รีบแทรกขึ้นมาช่วยต๋อง
 “ใช่ ต๋องกับกิมลั้งน่ะตามไปช่วยเราสองคน  แต่กลับถูกพวกลูกน้องเสี่ยชายศักดิ์มันจับตัวไว้จนเกือบถูกเผาให้ตายทั้งเป็น” ชมพู่รีบเสริม
 
กิมฮวยกับชาวตลาดฟังแล้วอึ้ง  ส่วนสดศรีคอยลอบสังเกตอาการระหว่างกิมลั้งกับต๋องอยู่ตลอดเวลา  เพราะเห็นชัดว่าทั้งคู่ดูห่วงหากัน
 “จริงเหรออากิมลั้ง ?  ทำไมลื้อไม่เห็นเล่าให้อั๊วฟังเลย”กิมฮวยรีบถามลูกสาวทันที
 “ที่อั๊วไม่ได้เล่า  เพราะม้าไม่ได้ต้องการจะฟังต่างหาก” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
กิมฮวยถึงกับเงียบ
 “เอาล่ะ ถ้าเข้าใจกันก็ดีแล้ว   ตอนนี้พวกเราต้องสามัคคีกันเข้าไว้เพื่อสู้ สงครามใหญ่ระหว่างเรากับห้างชั่วนั่น    ต๋อง กิมลั้ง เดี๋ยวไปคุยกับชั้นหน่อยได้มั้ย” สดศรีรีบโพล่งขึ้น
 “ครับ / ค่ะ” ต๋องกิมลั้งเดินตามสดศรีโดยมีณดาตามไปด้วย กิมฮวยมองกิมลั้งด้วยความห่วงใย จะตามไปด้วยแต่โดนเคี้ยงห้ามไว้
 “อั๊วขอไปคุยด้วยนะอาคุณนาย” กิมฮวยจะขอตามเข้าไปด้วย
 “กิมฮวย นี่ลื้อไม่เข้าใจเหรอ  ถ้าคุณนายสดศรีอีอยากคุยกับลื้อ  อีก็เรียกลื้อไปแล้ว” เคี้ยงเอ่ยจนกิมฮวยต้องนิ่งไป
 
 
 เวลาต่อจากนั้น ต๋อง กิมลั้ง สดศรีและณดา เข้ามาคุยธุระกันที่ส่วนสำนักงานของตลาด
อย่างเคร่งหน้าเครียด
 “ตอนนี้ดูเหมือนหลักฐานทั้งหมดจะมัดตัวพวกเราแน่น  เธอคิดว่าเราพอจะมีทางสู้กับพวกมันมั้ย”สดศรีรีบเอ่ยขึ้น
 “พยานที่เรามีก็กลายเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว แถมหลักฐานที่จะเอาผิดมันก็แทบจะถูกเก็บกวาดเรียบ” ต๋องมีอาการหนักใจอย่างเห็นได้ชัด
 “หมายความว่าเราต้องรอคอยปาฏิหาริย์อย่างเดียวเท่านั้นใช่มั้ย” ณดารีบเอ่ยขึ้น
 “ชั้นว่าเราค่อยๆช่วยกันคิดไปดีกว่านะคะ  มากดดันตัวเองตอนนี้คงไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากความเครียด”กิมลั้งเอ่ยขึ้นบ้าง
 “ขอเวลาผมหน่อยละกันนะครับคุณนาย  ยังไงผมก็ไม่ยอมให้พวกเราต้องกลายเป็นแพะรับบาปที่ตัวเองไม่ได้ก่อแน่”
 “แน่นอน   คนที่ต้องรับกรรมมันควรจะเป็นพวกนั้น  แล้วก็ต้องเป็นกรรมที่สาสมด้วย  ยังไงชั้นจะติดต่อทนายดีๆอีกทาง  ส่วนเธอก็บอกกำชับพวกเราให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา  แล้วก็รวบรวมหลักฐานเท่าที่จะเป็นไปได้” สดศรีแววตามุ่งมั่น
 “ได้ครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว  ผมขอตัวก่อนนะครับ” ต๋องกล่าว
 “เดี๋ยว ชั้นยังมีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับเธอสองคน” สดศรีเอ่ยขึ้น
ต๋องกับกิมลั้งมองหน้ากันด้วยความงง แต่ขู่ๆสดศรีก็ตัดสินใจเอ่ยบางอย่างขึ้น
 “ต๋อง ตกลงเธอจะเอายังไงกับณดากันแน่” สดศรีถามอย่างตรงไปตรงมา
 “คุณแม่คะ” ณดาตกใจไม่คิดว่าแม่จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
 “ณดา แม่ขอโทษ  แต่ถ้าแม่เคลียร์เรื่องนี้ไม่ได้  มันจะทำให้แม่รู้สึกคาใจกับต๋อง   ซึ่งมันจะทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีตามมาอีกแน่นอน” สดศรีเอ่ยขึ้น ก่อนหันไปหาต๋อง
 “เธอเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ใช่มั้ย   เพราะเท่าที่ชั้นเห็น  มันชัดเจนมากว่าความรู้สึกที่เธอมีให้กับกิมลั้งมันคนละเรื่องกับที่ให้ลูกสาวชั้นเลย” สดศรีพูดกับต๋อง
ต๋องมองหน้ากับกิมลั้งอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะหันไปที่ณดาเพื่อให้เธอเป็นผู้ตัดสินใจให้คำตอบเอง
 “ผมว่าให้คุณณดาเป็นคนตอบคำถามนี้ดีกว่าครับ” ต๋องพูดน้ำเสียงนิ่ง
สดศรีหันกลับมามองลูกสาวตัวเองที่มีท่าทางอึกอักพูดไม่ออกอยู่ตรงหน้า
 
 ต่อจากนั้น ณดาตัดสินใจบอกความจริงกับสดศรีเรื่องความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับต๋อง
 “อะไรนะ หนูหลอกแม่ว่าเป็นอะไรกับต๋องเพราะไม่อยากแต่งงานกับเพชรแท้” สดศรีโพล่งขึ้น
 “ก็ณดาไม่ได้รักเค้า  แล้วคุณแม่จะให้ณดาแต่งงานกับเค้าได้ยังไงกันคะ” ณดาเถียง
 “ที่แท้นี่คือเหตุผลจริงๆที่หนูหายตัวไปจากบ้านใช่มั้ย” สดศรีต้อนณดาจนมุม
ณดาถึงกับนิ่งไป เครียดทั้งเรื่องที่ถูกศักดิ์ชายข่มเหง  อายที่โดนตำหนิต่อหน้าต๋องกับกิมลั้ง   ส่วนต๋องกับกิมลั้งเองยังงงเรื่องณดาหายตัวไปจากบ้าน
 “คุณแม่อย่าเพิ่งให้หนูพูดอะไรตอนนี้ได้มั้ยคะ” ณดาสับสน
 “โอเคลูกโอเค  หนูไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น  แม่แค่อยากให้หนูรู้ว่าหนูยังมีแม่ที่คอยรับฟังทุกอย่าง แล้วก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างหนูเท่านั้นเองลูก” สดศรีรีบเข้าไปจีบมือณดา
 “งั้นณดาขอตัวก่อนนะคะ” ณดาผลุนผลันออกจากห้องไป
 “ณดา”
สดศรีมองตามณดาด้วยความห่วงใย
 
 ณดาออกจากสำนักงานขับรถมาด้วยความเครียด ภาพแห่งความหลอนแห่งวันวานกับศักดิ์ชายวนเข้ามาอีก ณดาน้ำตาไหลเป็นทาง ณดาสับสนเมื่อรู้ว่าศักดิ์ชายเป็นใคร จากความโศกเศร้ากลายเป็นความแค้น ณดาเหยียบคันเร่งขับรถด้วยความเร็วมากขึ้น
 
 เวลาเดียวกันนั้น ศักดิ์ชายประคองรัศมีมานั่งที่โซฟาที่บ้าน  และพยุงชายศักดิ์มานั่งข้างๆด้วย
 “คุณพ่อคุณแม่พักผ่อนก่อนเถอะนะครับ” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
 “แม่ไม่คิดเลยนะว่าสดศรีกับคนในตลาดมันจะร้ายกาจขนาดนี้” รัศมีรีบเอ่ยขึ้น
 “อุตส่าห์หลงคิดว่าถ้าชายได้แต่งงานกับยัยณดานั่นแล้วอะไรๆจะดีขึ้น   ดีนะที่มาเจอเรื่องนี้ซะก่อนจะถลำลึก” ชายศักดิ์เห็นคล้อยตาม
 “รัศมีบอกแล้วไงคะว่าสดศรีน่ะไม่ธรรมดา  เสี่ยก็น่าจะรู้ไส้เห็นพุงกันดีอยู่แล้ว ลองกล้ามาทำลายข้าวของห้างเรา  แล้วก็ทำร้ายรัศมีต่อหน้าตำรวจได้ขนาดนี้   ก็แสดงว่าต้องการประกาศสงครามกับเราเต็มตัว” รัศมีได้ทีรีบใส่ไฟสดศรี
 “ก็เอาซิครับคุณแม่   ผมก็พร้อมรบเต็มที่เหมือนกัน จะได้รู้ว่าใครเป็นใครเดี๋ยวผมขอตัวออกไปข้างนอกก่อนนะครับ” ศักดิ์ชายเอ่ย
 “เอ้า จะไปไหนล่ะ” รัศมีรีบถาม
 “ผมจะตามไปจี้ตำรวจเรื่องคดี  ถ้าเล่นงานพวกมันไม่ได้ผมไม่ยอมแน่ผมไปนะครับ ศักดิ์ชายรีบออกไป   รัศมีมองตามยิ้มร้ายอย่างชอบใจ
 
 
 ศักดิ์ชายขับรถออกจากบ้านเลี้ยวออกมาได้ครู่หนึ่ง  รถณดาขับพุ่งมาเหมือนจะชน   ศักดิ์ชายขับหลบแล้วเบรกรอดไปได้อย่างหวุดหวิด ศักดิ์ชายเปิดประตูลงจากรถมาด้วยความโมโห  ณดาไม่ยอมเช่นกันเปิดประตูพรวดแล้วปรี่มาประจันหน้ากับศักดิ์ชายแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
 “นี่คุณเจตนาจะฆ่าผมใช่มั้ย” ศักดิ์ชายเอ่ยถามด้วยความโกรธ
 “ชั้นไม่ใช้วิธีที่จะทำให้นายหนีไปสบายง่ายๆอย่างนั้นหรอก   คนเลวๆอย่างนายควรจะต้องอยู่ชดใช้เวรกรรมอย่างทุกข์ทรมานถึงจะสาสม” ณดาตอบ
 “แต่ที่ผ่านมาผมว่าคุณกับแม่ต่างหากมั้งที่ตกอยู่ในสภาพนั้น  แถมยังง่อยเปลี้ยเสียขา  เป็นได้แค่หมากให้พวกเราลากพาไปตามเกม” ศักดิ์ชายเอ่ย 
 “ในที่สุดไอ้คนไร้ยางอายอย่างนายก็ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าทำเรื่องต่ำช้าสารพัดไว้กับพวกชั้น” ณดาด่าซ้ำ
 “ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ผมจะไม่พยายามเจรจากับแม่คุณ   ในเมื่อพูดกันไม่รู้เรื่อง  ตอนนี้ใช้จะวิธีการไหนมันก็ไม่สำคัญ  ขอให้มันได้ผลที่ต้องการเท่านั้นพอ” ศักดิ์ชายต่อปากต่อคำไม่ยอมแพ้เช่นกัน
 “มิน่า นายถึงกล้าใช้วิธีอย่างสัตว์มาข่มเหงชั้น” ณดาเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธไม่ต่างกัน
 “ณดา” ศักดิ์ชายตวาดณดาเสียงดังลั่น แล้วกระชากณดาเหมือนจะตบ
 “เอาซิ แสดงอาการทรามๆออกมา  มันจะได้ยิ่งช่วยตอกย้ำความไม่ใช่คนของนาย”  
ณดาท้า แล้วพยายามสะบัดตัวออกจากมือศักดิ์ชายด้วยอาการขยะแขยง
 “นายกับครอบครัวนายมันก็แค่สิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงที่หายใจรดโลกไปวันๆ   ที่ชั้นมาก็แค่จะมาบอกว่าต่อไปนี้นายจะทำอะไรชั้นไม่ได้อีกแล้วแล้วก็เลิกฝันหวานเรื่องที่ดินไปได้เลย   เพราะชั้นกับแม่จะทำให้พวกนายไม่มีแม้แต่ที่จะยืนบนโลกนี้” ณดาเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินขึ้นรถไป
ทิ้งศักดิ์ชายที่โกรธและสับสนกับคำพูดของณดา
 
บ่ายนั้นที่ ริมคลองหลังตลาด ต๋องนั่งหน้าเครียดเหม่อมองไปที่สายน้ำอย่างใช้ความคิด ครู่หนึ่งกิมลั้งถือถุงโอเลี้ยงยื่นให้ต๋อง
 “กินซะหน่อย จะได้สดชื่น” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
 “ขอบใจนะกิมลั้ง  แล้วนี่เธอไม่ขายของเหรอ” ต๋องถามขึ้น
 “เธอก็ไม่เห็นขายเหมือนกัน” กิมลั้งย้อนถามกลับ
 “มันไม่มีสมาธิน่ะ   คิดอยู่แต่ว่าจะทำยังไงไม่ให้พวกเราโดนจับเข้าคุก แต่ก็มืดแปดด้าน   เฮ้อ ตกลงว่าต้องรอปาฏิหาริย์จริงๆเหรอเนี่ย” ต๋องตอบ
ระหว่างนั่งอยู่มีสุนัขวิ่งผ่านหน้าไป  โดยมีเด็กคนหนึ่งวิ่งไล่อยู่
 “ไอ้ซ่าส์ เดี๋ยว  รอก่อน” ต๋องเรียกสุนัขตัวนั้นให้หยุด
เด็กคนหนึ่งวิ่งมาสะดุดล้มตรงหน้าต๋องกับกิมลั้ง  โชคดีต๋องรับไว้ทันหน้าเลยไม่คะมำ
 “ขอบคุณครับพี่” เด็กหันไปมองที่หมาเห็นนั่งชูหน้ารออยู่
 “อ๋อ นี่แกล้งกันใช่มั้ยไอ้ซ่าส์  เดี๋ยววันหลังจะปิดประตูรั้วไม่ให้ออกมาวิ่งเล่นอีกเลย” เด็กชายคนนั้นพูดกับสุนัข
 “นี่หมาน้องเหรอ  พี่เห็นมาป้วนเปี้ยนแถวนี้สี่ห้าวันแล้ว” ต๋องว่า
 “ครับพี่ ผมเพิ่งได้มันมาจากญาติ   ซนมากเลย”  เด็กชายตอบ แล้วเพิ่งเห็นกล้องที่ติดอยู่ที่ปลอกคอหมาทำท่าเหมือนหลุด
 “อุ๊ย ดูซิ   ซนจนกล้องจะหลุดออกจากคออยู่แล้วเห็นมั้ย” เด็กรีบวิ่งเข้าไปหาหมาแล้วจัดการกับกล้องที่ปลอกคอ  จู่ๆต๋องคล้ายเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นึกย้อนถึงสุนัขตัวนี้ เคยมานอนครางหงุงหงิงอยู่ใกล้ๆต๋อง เมื่อหลายวันก่อน
 “เอ้า หมาน้อย  มาครางหงุงหงิงทำไม  บ้านอยู่ไหน  ยังไม่กลับบ้านเหรอ”
ต๋องรีบตามไปหาเด็กและสุนัขตัวนั้นทันทีโดยมีกิมลั้งตามไปด้วย
 “หมาติดกล้องด้วยเหรอ” ต๋องถามเด็กเจ้าของสุนัข
 “ครับพี่   สนุกดีนะเวลาที่ผมเอามาเปิดดูว่าวันๆไอ้ซ่าส์มันไปเจออะไรบ้าง” เด็กชายตอบ
 “เอ่อ แล้วเมื่อคืนนี้น้องเห็นมั้ยว่ามันไปเจออะไรบ้าง” ต๋องถามอย่างใช้ความคิด
 “โอ้โห เมื่อคืนมันกลับบ้านดึกมากผมเลยยังไม่ได้ดูอะไรเลย” เด็กชายตอบ
 “อืม น้องสนใจเล่นตำรวจจับผู้ร้ายกับพี่มั้ย” ต๋องก้มลงคุกเข่าพูดกับเด็กคนนั้น
 “สนครับสน  พี่จะเล่นกับผมเหรอ” เด็กน้อยทำตาลุกวาวสนใจ
 “ใช่ แต่น้องต้องช่วยอะไรพี่บางอย่างก่อน” ต๋องเอ่ยขึ้น
เด็กน้อยทำหน้าตาสงสัยขึ้นมาแต่ไม่วายอยากรู้
 
 
 คืนนั้น ที่บ้านกิมฮวย  กิมแชเพิ่งเต้นแอโรบิกเสร็จก้าวขึ้นเครื่องชั่งน้ำหนักแล้วถึงกับร้องคราง
 “ไอ้หยา ทำไมยิ่งออกกำลังกายน้ำหนักมันยิ่งเพิ่มขนาดนี้” กิมแชโพล่งขึ้น
แล้วกวาดสายตามองไปที่โต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยกองขนม
 “ไม่ได้การ  ต้องเปลี่ยนวิธีซะแล้ว” กิมแชพูดพลางนิ่งคิดอะไรบางอย่าง
จากนั้นกิมแชเปิดคอมพิวเตอร์พิมพ์คำว่า “ยาลดความอ้วน”  ในกูเกิ้ลซึ่งขึ้นมาให้ดูหลายรายการ ครู่หนึ่งกิมฮวยเปิดประตูพรวดเข้าห้องจนกิมแชต้องรีบย่อหน้าซ่อนไว้
 “กิมแช ลื้อโทรหาเจ้ลื้อหน่อยซิ  อั๊วโทรกี่ทีกี่ทีอีก็ไม่ยอมรับสาย  ต้องไปขลุกอยู่กับไอ้เวรต๋องแน่” กิมฮวยสั่งกิมแช
 
 เวลาต่อจากนั้น  ต๋องเดินมาส่งกิมลั้งที่หน้าบ้าน
 “ยังไงก็ขอบคุณเธอมากนะที่วิ่งวุ่นกับชั้นจนมืดค่ำแบบนี้” ต๋องบอกกิมลั้ง
 “ขอบคุณทำไม   ชั้นทำเพื่อตัวชั้น  แม่ชั้น   แล้วก็คนในตลาดต่างหาก” กิมลั้งตอบ
 “โธ่ โกหกให้ชื่นใจหน่อยไม่ได้เหรอว่าเธอน่ะอยากช่วยชั้น อยากเป็นกำลังใจให้ชั้น” ต๋องย้อนถามและแกล้งน้อยใจ
 “นี่ไม่ได้เก็ตเลยใช่มั้ยว่าที่ชั้นพูดไปเมื่อกี้น่ะโกหก” กิมลั้งเซ็งที่ต๋องไม่เข้าใจความหมายที่ตนสื่อ
 “โธ่ ทำไมรู้ล่ะว่าที่จริงเธอน่ะห่วงใย อยากช่วยชั้น  อยากอยู่ใกล้ชั้นทั้งคืนทั้งวันขนาดไหน” ต๋องยิ้มดีใจ
 “เอ๊ะ” กิมลั้งเขินเอามือฟาดต๋อง
แต่ทันใดนั้นสองสองคนต้องสะดุ้ง เมื่อกิมฮวยออกมารอกิมลั้งหน้าบ้าน
 “กิมลั้ง” กิมฮวยโพล่งขึ้น
โดยมีกิมแช และเคี้ยง เดินออกมาจากบ้านพร้อมกัน
 “ที่ไม่รับโทรศัพท์เพราะลื้อมัวแต่ไปพลอดรักอยู่กับไอ้ต๋องใช่มั้ย” กิมฮวยเริ่มด่ากิมลั้ง
 “ที่อั๊วไม่รับโทรศัพท์ก็เพราะรู้ว่าม้าต้องคิดอะไรแบบนี้ไง” กิมลั้งเอ่ย
 “แล้วมันไม่จริงอย่างที่อั๊วคิดรึไง  ขลุกกันอยู่ทั้งวันไม่พอ  ยังตามมาหยอกล้อกันหน้าบ้านอีก” กิมฮวยด่าต่อ
 “มันไม่ใช่อย่างที่น้าคิดนะ  กิมลั้งไปช่วยชั้นหาหลักฐานที่จะทำให้พวกเราทุกคนหลุดจากคดี” ต๋องรีบขัดขึ้น
 “เข้าใจหาเรื่องมาอ้างนี่ไอ้ต๋อง  แบบนี้ก็คงต้องคอยออกไปช่วยหาหลักฐานกันทุกวันทุกคืนซินะ” กิมฮวยด่าต๋อง
 “ไปกันใหญ่แล้ว” กิมลั้งว่า
 “ต๋อง กลับบ้านเถอะ  ไม่ต้องอธิบายอะไรหรอก  เพราะมันเปล่าประโยชน์” กิมลั้งโพล่งขึ้น
 “แต่แม่เธอกำลังเข้าใจผิด” ต๋องอยากอธิบาย
 “ชั้นบอกให้กลับบ้านไปไงต๋อง” กิมลั้งแทรกขึ้นมาทันที แล้วเดินเข้าบ้านไปไม่สนใจ  กิมฮวยกับกิมแชรีบตามเข้าไป
 “อากิมลั้ง ลื้อจะมาเดินหนีอั๊วไปแบบนี้ไม่ได้นะ” กิมฮวยเสียงดังขึ้น
ต๋องเป็นห่วงกิมลั้ง แต่จำใจต้องกลับบ้านไปเพราะไม่อยากสร้างปัญหามากกว่านี้
 

อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00น.



“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 9 (ต่อ)  
    
กิมฮวยเดินเข้ามาในบ้าน ด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
 
 “หยุดเดี๋ยวนี้นะอากิมลั้ง” กิมฮวยโพล่งเสียงดัง
กิมลั้งไม่สนใจฟัง ยังเดินต่อ 
 “อั๊วบอกให้หยุดไง” กิมฮวยคว้าข้อมือกิมลั้งไว้
 “ม้าจะให้อั๊วหยุดเพื่อพูดในสิ่งที่ม้าไม่มีวันเชื่อน่ะเหรอ” กิมลั้งเอ่ย
ระหว่างนั้นเคี้ยงเข้าบ้านมาเห็นเข้าถึงกับงงว่าเกิดอะไรขึ้น
 “อะไรกันอีกเนี่ย” กิมแชกระซิบคุยกันกับเคี้ยง
 “อั๊วไม่ได้สนใจว่าลื้อจะพูดอะไร  เพราะอั๊วต้องการบอกให้ลื้อรู้ว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไง  อั๊วไม่มีวันยอมให้ลื้อกับไอ้ต๋องเป็นแฟนกันแน่” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
 “อั๊วก็ไม่ยอมเหมือนกัน” กิมลั้งตอบกลับ
 “อะไรนะ” กิมฮวยช็อกเมื่อได้ยินกิมลั้งพูดอย่างนั้น
 “ม้ารู้มั้ย อั๊วรู้ความจริงหมดแล้ว  เรื่องที่ม้าเที่ยวไปบอกต๋องว่าถ้ารักอั๊วก็ต้องยอมปล่อยอั๊วไปให้มีชีวิตที่ดีกับคนอื่น  จนต๋องต้องยอมทำตาม”  กิมลั้งเอ่ยความจริง กิมฮวยอึ้งไป
 “แต่ม้าเคยถามอั๊วซักคำมั้ยว่าชีวิตที่อั๊วต้องการคืออะไร” กิมลั้งรีบเอ่ยอีก
 “ทำไม ลื้อจะบอกว่าลื้อต้องการไอ้ต๋องตัวสั่นงันงกเลยใช่มั้ย” กิมฮวยเถียงขึ้น
กิมลั้งอึ้งไปกับสิ่งที่แม่พูด เลยตอบอย่างท้าทาย
 “ใช่ เพราะต๋องทำให้อั๊วมีความสุข  ต๋องเข้าใจอั๊ว   ห่วงใย  แล้วก็ให้อั๊วได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง ต๋องเค้ารักอั๊ว ม้าเข้าใจมั้ย”  กิมลั้งตอบกลับ
 “ถ้ามันรักลื้อจริงมันจะไปมีอะไรกับอาคุณณดาทำไม” กิมฮวยเอ่ยขึ้น       
 “ต๋องไม่เคยมีอะไรกับคุณณดา” กิมลั้งรีบตอบทันที
 “มันบอกลื้อยังงั้น  แล้วลื้อก็ยังเชื่อมัน  ลื้อน่ะมันโง่” กิมฮวยโกรธรีบด่าต่อ
 “อั๊วไม่ได้โง่ม้า  แต่อั๊วเชื่อใจคนที่อั๊วรัก” กิมลั้งยืนยันความรู้สึกตัวเอง
 “นี่ลื้อกล้าพูดว่ารักมันเหรอ  ลื้อรักมันมากใช่มั้ย  รักมากกว่าอั๊วที่เป็นแม่ลื้ออีกใช่มั้ย” กิมฮวยโมโห เริ่มพูดเสียงดัง
 “ทำไมม้าต้องพูดอย่างนั้น  ในเมื่อมันเปรียบเทียบกันไม่ได้  ม้าบอกอั๊ว ได้มั้ยว่าต๋องเลวร้ายยังไง  ในเมื่อทุกวันนี้ต๋องทำอะไรมากมายให้ตลาดเราตั้งหลายอย่าง  มากกว่าใครหลายคนที่อยู่ตลาดมานานกว่าด้วยซ้ำแล้วต๋องก็ไม่ได้ดีแต่กับอั๊ว   แต่ต๋องมีน้ำใจกับทุกคน  ทั้งหมดนี่มันยังไม่เพียงพอให้ม้ายอมรับเค้าอีกเหรอ” กิมลั้งเอ่ย
 “แน่นอน   จะชาติหน้าชาติหน้าอั๊วก็ไม่มีทางยอมรับมัน  เพราะอั๊วเกลียดมัน อั๊วเกลียดมัน ลื้อได้ยินมั้ย” กิมฮวยว่า
กิมฮวยพูดใส่หน้ากิมลั้งอย่างมีอารมณ์ กิมลั้งตัดสินใจไม่โต้ตอบ แล้วขึ้นบ้านไป
 “อากิมลั้ง” กิมฮวยจะตามขึ้นไปอีก  แต่เคี้ยงรีบมาคว้าตัวไว้
 “พอเถอะน่ะกิมฮวย  อย่ากดดันลูกจนหลังชนฝาแบบนี้  ไม่งั้นลื้อจะเสียใจทีหลังนะ”
 “ลื้อพูดอย่างกับว่าทุกวันนี้อั๊วไม่เสียใจ  ไม่มีใครได้ดังใจเลยทั้งลูกทั้งผัว ว่าแต่ลื้อ หายไปไหน   ทำไมเพิ่งจะโผล่หัวมาตอนนี้” กิมฮวยว่า
 “เอ่อ อั๊วก็ไปคุยกับเพื่อนๆน่ะล่ะ”เคี้ยงอึกอัก
 “เมียจะถูกจับ  ลูกแอบไปพลอดรักกับผู้ชาย   ลื้อยังมีแกใจออกไปหาเพื่อนอีกใช่มั้ย อ๊าย”
กิมฮวยเดินกระแทกเท้าขึ้นบันได เคี้ยงกับกิมแชจ๋อยที่ทำอะไรไม่เคยถูกใจกิมฮวยแม้แต่อย่างเดียว
 
 
 กิมลั้งขึ้นไปบนห้องนอน ยืนอยู่ริมระเบียง  ครู่หนึ่งมือถือดังขึ้น 
 “ฮัลโหล” กิมลั้งรีบกดรับ
ต๋องเดินไปคุยไปด้วยความกังวล น้ำเสียงตกใจไม่น้อย
 “กิมลั้ง เป็นยังไงบ้าง”   ต๋องถามอย่างห่วงใย
 “ไม่ต้องห่วง  ไม่มีอะไรน่ากลัว  ชั้นว่าชั้นได้พูดในสิ่งที่ชั้นควรพูดให้ม้าฟังไปหมดแล้ว” กิมลั้งเอ่ยอย่างโล่งใจ
 “เธอพูดอะไร” ต๋องยังสงสัย
 “ชั้นบอกม้าว่าชั้น....รักเธอ” กิมลั้งเอ่ย
 “ฮะ ?” ต๋องอุทานอย่างตกใจ
 “ไม่ดีใช่มั้ย  งั้นชั้นไม่รักเธอก็ได้” กิมลั้งเอ่ยขึ้นอย่างงอนๆ
 “ไม่ใช่ๆ  ดีซิ ดีมากเกินไปด้วยซ้ำ   แต่ชั้นแค่เป็นห่วงว่ามันจะทำให้เธอกับแม่มีปัญหาหนักเข้าไปกันใหญ่รึเปล่า” ต๋องยังห่วงกิมลั้ง
 “มันคงถึงเวลาที่ชั้นต้องแสดงความต้องการของตัวเองให้แม่รับรู้บ้างแล้ว  ชีวิตมันจะเป็นชีวิตก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าเราต้องการอะไรไม่ใช่เหรอ ที่สำคัญ ชั้นเชื่อมั่นว่าเธอจะเข้ามาเติมเต็มสิ่งดีงามให้กับชั้น” กิมลั้งอธิบาย
 “ขอบคุณมากนะกิมลั้ง   ชั้นสัญญานะว่าจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง” ต๋องรับปาก
 “จ้ะ ไม่ต้องกังวลใจอะไรแล้วนะ  เก็บแรงไว้ต่อสู้กับงานใหญ่พรุ่งนี้ดีกว่า” กิมลั้งเอ่ย
 “จ้ะ รักเธอนะ” ต๋องยิ้มดีใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
ต๋องกดวางสายแล้ววิ่งลิ่วออกไปด้วยความดีใจแทบจะกระโดด ส่วนกิมลั้งยืนอิ่มใจอยู่ที่ระเบียงหลังจากพูดความในใจกับกิมฮวยไปหมดแล้วว่าเธอรู้สึกดีกับต๋องอย่างสุดหัวใจ
 
 
 
 เช้าวันใหม่ ที่สถานีตำรวจ ตำรวจคนหนึ่งเดินนำพวกชายศักดิ์มาตามทางเดิน รัศมีหัวเราะร่วน
 “ต๊าย ตำรวจบ้านเรานี่ทำงานรวดเร็วทันใจจริงนะคะ” รัศมีเยาะเย้ย
 ทั้งหมดเดินเข้าไปในห้องเจ้าหน้าที่ 
 “หวัดดีค่าผู้กอง” รัศมีรีบทักทายตำรวจอย่างอารมณ์ดี ชายศักดิ์หันไปเห็นว่าพวกสดศรีนั่งรอกันอยู่แล้ว
 “ตกลงว่าเราได้หลักฐานแน่นหนามัดมาตัวผู้ต้องหาแล้วใช่มั้ยคะ” รัศมีจึงรีบแดกดันขึ้น
 “จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ครับ” ตำรวจรีบรายงาน
 “งั้นก็ดีครับ  เรื่องมันจะได้จบๆไปซักที”ชายศักดิ์รีบเอ่ยขึ้น
 “ไหนล่ะครับหลักฐานที่ว่า” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
ตำรวจเปิดแฟ้มรูปภาพคนกลุ่มหนึ่งที่แอบไปรื้อข้าวของจากแผงต่างๆในตลาดเพื่อขโมยอุปกรณ์ต่างๆไม่ว่าจะ มีด พร้า เขียง ชายศักดิ์กับศักดิ์ชายเห็นแล้วงงเป็นไก่ตาแตก   แต่คนที่ช็อกที่สุดคือรัศมี ตำรวจรีบอธิบายข้อมูลประกอบภาพทันที
 “นี่คือภาพที่ได้จากกล้องที่ติดอยู่ที่ปลอกคอสุนัขซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุพอดีทางเราคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้คือผู้ต้องหาตัวจริงที่พยายามจะทำให้คนในตลาดกลายเป็นแพะรับบาปแทน” ตำรวจอธิบาย                        สดศรียิ้มเยาะชายศักดิ์และรัศมีด้วยความสะใจ
 
 
 เวลาต่อจากนั้น  ตำรวจเดินคุยกับชายศักดิ์มาตามทางเดินในสถานีตำรวจ
 “คุณตำรวจจะเชื่อได้ยังไงครับว่าพวกในรูปนั่นเป็นคนก่อเรื่องนี้จริงๆ” ชายศักดิ์ถามขึ้น
 “เชื่อได้ซิครับ   เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในรูปน่ะสอดคล้องกับร่องรอยหลักฐาน ที่เจ้าหน้าที่บันทึกเอาไว้ทั้งหมด  ว่าแต่พวกคุณไม่คุ้นหน้าคุ้นตาใครในรูปบ้างเลยเหรอครับ” ตำรวจเอ่ย
 “อ๋อ ไม่เลยค่ะ  ไม่เลยซักคน  หน้าตาดูต่างด้าวเอามากๆ” รัศมีรีบตอบ 
 “มันคงเป็นพวกที่รับว่าจ้างมาอีกทีน่ะครับ  ผมว่าตอนนี้พวกคุณลองไปนั่งคิดดีกว่าว่ามีศัตรูที่ไหนอีก  เผื่อจะเป็นเบาะแสให้ผมคลำทางต่อ” ตำรวจเอ่ยขึ้น
 “ผู้กองพูดอย่างกับว่าพวกผมมีปัญหากับคนเค้าไปทั่วอย่างงั้น” ชายศักดิ์เริ่มหงุดหงิด
 “ใจเย็นๆซิคะเสี่ย  ที่พูดน่ะเพราะตำรวจอยากจะช่วยเราหาตัวคนผิดต่างหาก ยังไงก็ขอบคุณผู้กองมากนะคะ  แล้วดิชั้นจะลองไปนึกๆดูค่ะ”
 รัศมีหน้าตากังวล กลัวเรื่องมาถึงตัวเพราะเป็นตัวการทั้งหมด
 
 ลงมาจากสถานีตำรวจ ชาวตลาดและสดศรีเดินมาดักชายศักดิ์กับรัศมีอย่างตั้งใจ
 “เป็นไง  ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผนการณ์ที่ตั้งใจไว้ล่ะซิ  อย่างว่าล่ะ  คนดีตกน้ำไม่ไหล  ตกไฟไม่ไหม้   ถึงจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยยังไง  สุดท้ายก็มีเซอร์ไพร์สมาให้คนชั่วตกใจได้อยู่ดี” สดศรีเอ่ยขึ้น
 “เซอร์ไพร์สมันไม่ได้เกิดขึ้นได้แค่หนเดียวหรอกนะ  อย่าให้ถึงคราวชั้นบ้าง” ชายศักดิ์ย้อน 
 “ชายศักดิ์ มันคงไม่มีคราวหน้าแล้วล่ะ  เพราะนับจากนี้ไปชั้นจะเป็นฝ่ายไล่บี้พวกเธอบ้าง   รับรองปีนี้น้ำไม่ท่วมแน่” สดศรีไม่มีที่ท่ายอม
 “น้ำจะท่วมไม่ท่วมมันเกี่ยวอะไรกับพวกชั้น” รัศมีเอ่ยถามอย่างงงๆ
 “เกี่ยวซิ    พอไม่มีพวกเธอ   แผ่นดินมันก็จะสูงขึ้นยังไง” สดศรีหลอกด่า
 “นี่หาว่าพวกชั้นหนักแผ่นดินเหรอ” รัศมีรีบโวย
 “เธอพูดเองนะ  ชั้น...” สดศรียังไม่ทันพูดจบ ศักดิ์ชายที่ยืนฟังอยู่ทนไม่ไหว
 “เลิกพล่ามเป็นยัยแก่เพ้อเจ้อได้แล้วครับคุณนาย  เกมแค่เพิ่งจะเริ่ม   สงครามยังไม่จบ  อย่าเพิ่งรีบนับศพใคร” ศักดิ์ชายโพล่งขึ้น
ต๋องแกล้งทำท่ามองหาอะไรบางอย่าง
 “กิมลั้ง เสี่ยชายศักดิ์กับลูกเมียหายไปไหนแล้วล่ะ” ต๋องเอ่ยขึ้น
 “เธอมองไม่เห็นเหรอ” กิมลั้งรีบต่อมุข
 “ไม่  จู่ๆชั้นก็มองไม่เห็นเงาหัวสามคนนั่น” ต๋องเอ่ย
 “อุ๊ย ชั้นก็มองไม่เห็นเหมือนกัน” กิมลั้งแกล้งหาไม่เจอบ้าง
 “ชั้นก็มองไม่เห็น” สดศรีรับมุขต่อทันที
 “ณดาเห็นค่ะคุณแม่   แต่เห็นแค่ตัว   เพราะเงาหัวสามคนนั่นหายไปจริงๆ” ส่วนณดารีบโพล่งขึ้น
 “ว้าย ขนลุกๆ   เรารีบๆไปให้พ้นจากตรงนี้กันดีกว่า”สดศรีรีบรับมุขต่อ
ชาวตลาดและสดศรีพากันหัวเราะอย่างเยาะเย้ย  ปล่อยให้ชายศักดิ์และครอบครัวยืนหน้าดำหน้าแดงอยู่หน้าสถานีตำรวจต่อไป
 
 
 ไม่นานต่อจากนั้น ชายศักดิ์ รัศมี และศักดิ์ชาย ขึ้นรถมาแล้วปิดประตูเสียงดังด้วยความแค้น
 “เห็นมั้ยว่าพวกนั้นทำกับเรายังไง  ตกลงจะยอมให้ทุกอย่างมันจบแบบนี้จริงๆเหรอครับ”
ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
 “ทำยังไงได้ล่ะลูก  ในเมื่อหลักฐานมันเป็นอย่างนั้นก็ต้องยอมจบ” รัศมีต้องจำยอมเพราะหลักฐาน
 “แล้วคุณแม่เชื่อเหรอครับว่าพวกนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย” ศักดิ์ชายเอ่ยอย่างโมโห
 “ใครบอกว่าแม่เชื่อล่ะ  แต่แม่ไม่อยากให้เรื่องมันย้อนกลับมาที่พวกเรา” รัศมีเอ่ยขึ้น
 “เอ๊ะยังไง  เธอพูดอย่างกับว่าเราเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดขึ้นเองงั้น” ชายศักดิ์เริ่มงง
 “เอ่อ ไม่ใช่อย่างงั้นค่ะเสี่ย   ก็เสี่ยคิดดูซิคะ  อยู่ๆมันก็อ้างหลักฐานจากกล้องที่ปลอกคอหมาจนทำให้พวกมันหลุดคดีกันได้  แสดงว่ามันต้องวางแผนไว้รัดกุมมาก   ถ้าเราไม่จบ  เกิดมันกุเรื่องจนกลายเป็นว่าเราสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเองเพื่อโยนบาปให้มัน   ไม่ไปกันใหญ่เหรอคะ” รัศมีรีบปฎิเสธ
 “พวกนั้นเจ้าเล่ห์กว่าที่ผมคิดจริงๆ” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
 “ก็ใช่น่ะซิลูก   คราวนี้เราถึงต้องยอมถอยเพื่อก้าว เชื่อแม่ อดทนรอเวลาที่เหมาะสม  แล้วเราจะชนะ ศักดิ์ชายพยายามคิดตามแม่  แต่แค้นใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนอยากจะเอาคืนเสียเดี๋ยวนั้น
 
 
 บ่ายนั้นที่ตลาดร่วมใจเกื้อ ชาวตลาดต่างดีใจเมื่อรู้ข่าวดีจาก สดศรี ณดา ต๋อง และกิมลั้งที่ไม่ต้องติดคุก
 “เฮ” ชาวตลาดดีใจส่งเสียงลั่น
 “แล้วก็ต้องขอบคุณต๋อง วีรบุรุษคนเดิมของพวกเราที่ขี่ม้าขาวมาช่วยไว้ได้ทันเวลา” สดศรีเอ่ยขึ้นกลางตลาดเสียงดังลั่น
 “เฮ” ชาวตลาดครึกครื้น
 “ต๋อง นี่เธอจะเป็นพระเอกไปรึเปล่า  แบ่งโอกาสให้คนอื่นเค้าเกิดบ้างซิ   อย่าให้ชั้นต้องหลงเธอมากไปกว่านี้ได้มั้ย” คิตตี้รีบเชียร์ต๋องทันที
 “ฮิ้ว” ชาวตลาดได้ยินคิตตี้พูดแล้วอดแซวไม่ได้
 “นั่นซิ ถ้าชมพู่ทำใจไปรักใครไม่ได้ก็อย่าโทษกัน  เพราะพี่นั่นล่ะเป็นสาเหตุ” ชมพู่รีบเสริมทันที
 “ฮิ้ว”
 “แหม อาต๋องนี่ช่างเลิศเลอเปอร์เฟคสมกับเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของคุณณดาจริงๆ  แบบนี้คุณนายสดศรีต้องรีบจัดงานแต่งแล้วล่ะคร้าบ” เต๊กไฮ้ฟังแล้วจึงโพล่งขึ้น
 เต็กไฮ้  จะเด็ด และ กิมฮวย ส่งเสียงดีใจกันอยู่สามคน ในขณะที่ณดา ต๋องและกิมลั้งทำหน้าไม่ถูก
 “ฮิ้ว”
 “คุณนายครับ ผมว่าผมจับยามสามตาดูฤกษ์ยามให้เดี๋ยวนี้เลยดีกว่า  เราจะได้กินโต๊ะจีนกันเร็วๆ
จะเด็ดหลับตา ยกมือขึ้นมานับ
 “ไม่ต้องหรอกพ่อจะเด็ด จะไม่มีงานแต่งงานระหว่างณดากับต๋อง”สดศรีตัดสินใจพูดทันที
 
 “ที่ผ่านมาเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะ  เอาเป็นว่าชั้นต้องขอโทษต๋องต่อหน้าทุกคนด้วยละกัน” สดศรีพูดคนทั้งตลาดเงียบกริบรอฟังว่าเกิดอะไรขึ้น กิมฮวยกับเต็กไฮ้  ได้ยินแล้วเครียด  ส่วนณดารู้สึกอับอายและเสียหน้าอยู่ลึกๆ 
 “คุณนายไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอกครับ  เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว   ตอนนี้เรามีงานที่สำคัญกว่านั้นไม่ใช่เหรอครับ” ต๋องเอ่ยขึ้น
 “จริงด้วยซินะ  ชั้นลืมบอกเรื่องสำคัญกับพวกเราไปได้ยังไง” สดศรีเอ่ย    
 “เรื่องอะไรคะคุณนาย” ป้าพิณรีบถามอย่างสนใจ 
 “เราจะประกาศสงคราม เล่นงานกลับไอ้พวกห้างเวรี่แซด” สดศรีเอ่ยขึ้น
 “เวรี่แฮปปี้” ชาวตลาดรีบแก้ให้
 “เวรี่แซดน่ะถูกแล้ว   เพราะต่อไปนี้ชั้นจะทำให้พวกมันพบแต่ความเศร้า” สดศรีเอ่ยต่อ
 “งั้นคุณนายจะเอายังไงดีคะ  รอดักตบ หรือจะสาดน้ำกรดมันดี” คิตตี้รีบเสริม
 “สำหรับพวกมันแค่นั้นยังน้อยไป” สดศรีว่า
 “ถ้างั้นก็ต้องเผาห้าง หรือวางระเบิดมันเลยค่ะ” ชมพู่รีบหาวิธีให้
 “ไม่ต้องหรอก  แค่ทำให้ตลาดเรามีคนเข้าเยอะกว่าห้างมัน แค่นั้นมันก็ขาดใจตายแล้ว” สดศรีว่า
 “ให้คนเข้าตลาดมากกว่าห้าง เราจะทำได้เหรอคะคุณนาย” ชาวตลาดคนหนึ่งถามขึ้น
 “ให้นายต๋องเค้าอธิบายละกัน” สดศรี่เอ่ยขึ้นอย่างมีแผน
 
ไม่นานนักต๋องเล่าโครงการให้ชาวตลาดฟังอย่างตั้งใจ
 “เราจะเปิดตัวโครงการ  CLEAN FOOD ,  GOOD PRICE , NICE PLACE กัน” ต๋องเอ่ย
 “โอ้ว ฟังดูดี   แต่กะเหรี่ยงงงมาก” เขียวหวานว่า
 “ต๋องคิดชื่อฝรั่งให้ดูอินเตอร์น่ะ  แต่ชื่อไทยก็คือ “อาหารสะอาด ตลาดของถูก บรรยากาศกู๊ดเก๋” กิมลั้งเสริม
 “ใช่ เราจะใช้จุดแข็งที่เรามีคือของมีคุณภาพในราคาที่ถูกกว่า ถึงจะไม่มีแอร์เย็นสบาย  แต่เราใช้จุดขายคือบรรยากาศแบบตลาดแท้ๆเพียงแต่พวกเราคงต้องช่วยกันตกแต่งปรับปรุงแผงให้ดูน่าสนใจ   แล้วก็
ปรับปรุงลุคใหม่ให้ตัวเองเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มากขึ้น” ต๋องเล่าต่อ
 “ขยันคิดจริงนะไอ้ต๋อง”กิมฮวยโพล่งขึ้น
 “ขอบคุณจ้ะน้ากิมฮวย”ต๋องรีบยกมือไหว้
 “ขยันคิดให้คนอื่นเสียตังค์  ลื้อนึกว่าคนแถวนี้เป็นเศรษฐีรึไงฮะ” กิมฮวยว่า
 “ใช่ จะลงทุนทำอะไรใหม่มันก็ต้องใช้ตังค์  พอใช้ตังค์ต้นทุนมันก็ต้องสูงขึ้น  แต่ลื้อจะให้พวกอั๊วขายของถูก  บ้ารึเปล่า” เต๊กไฮ้รีบเสริม
 “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ  คุณแม่เตรียมทางออกไว้ให้ทุกคนแล้ว” ณดารีบอธิบาย
 “อย่าบอกนะครับว่าคุณนายจะออกเงินกู้ให้พวกเรา คงเป็นไปไม่ได้”จะเด็ดรีบถามขึ้นอย่างสงสัยอยากรู้
 “ใช่ เป็นไปไม่ได้” สดศรีรีบโพล่งขึ้น 
 “เอ้า” ชาวตลาดพากันงง
 “แต่เดือนหน้าทั้งเดือนชั้นจะงดเก็บค่าเช่าแผง” สดศรีเอ่ยขึ้น
 “เฮ้” ชาวตลาดคล้ายฝันไปเมื่อได้ยินสดศรีพูดแบบนั้น
 “แต่ทุกคนต้องสัญญาว่าจะเอาเงินส่วนนั้นไปลงทุนทำแผงของตัวเองให้ดี เข้าใจมั้ย” สดศรีพูดต่อ
 “ครับ / ค่ะ” ชาวบ้านให้ความร่วมมืออย่างดี 
 “เราจะเริ่มโครงการให้เร็วที่สุดคืออาทิตย์หน้า  ขอให้ทุกคนเตรียมทุกอย่างให้พร้อม  จำให้ขึ้นใจว่า เราต้องเอาชนะไอ้ห้างนั่นให้ได้” สดศรีว่า
 “เฮ้” ชาวตลาดต่างฮึกเหิมตามสดศรี
 
 
 เวลาต่อจากนั้น เลื่อนกับรักเร่ วิ่งหนีเจ้ามือบอลอย่างกระหืดกระหอบโดยมีลูกน้องเจ้ามือวิ่งตามแต่ยังหาสองคนนั้นไม่เจอ
 “เป็นไงล่ะไอ้รักเร่  เตะบอลเฉยๆไม่ชอบ  ริจะเล่นบอล  ถ้ายังไม่มีเงินไปจ่ายพวกมัน  ชีวิตก็ไม่ต้องสงบสุขกันแล้ว” เลื่อนเอ่ยขึ้น         
 “โธ่ ไอ้เลื่อน พูดเหมือนเอ็งไม่ได้แทงด้วยงั้นล่ะ” รักเร่รีบสวน      
 “ก็เอ็งน่ะล่ะลากข้าไปเข้าวงจรอุบาทว์   ข้าอยู่ดีๆของข้าแท้ๆ” เลื่อนเอ่ย
 “อย่ามาบ่นน่ะ  เวลาได้เงินไม่เห็นพูดอย่างงี้” รักเร่สวนบ้าง
 “แล้วไอ้ที่ได้กับที่เสียมันคุ้มกันมั้ย  พอแล้ว  พอกันที ไม่ต้องชวนข้าไปแทงอีกนะ” เลื่อนบอก
 “พวกมันคงรับแทงล่ะ  แทงให้ตายไง  วันนี้ไม่ต้องเข้ามันแล้วตลาด รับรองว่ามันไปดักรออยู่แน่”
รักเร่ว่า
 
 
 บ่ายนั้น ที่ตลาดกิมลั้งล้างไม้ล้างมือเสร็จรีบหันไปพูดกับกิมฮวย
 “ม้า เดี๋ยวอั๊วออกไปข้างนอกหน่อยนะ” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
 “ลื้อจะไปไหน” กิมฮวยถามอย่างสงสัย
 “ก็ไปหาซื้อของมาแต่งร้านเราไง  แล้วก็ต้องไปซื้อชุดเครื่องแบบที่จะให้คนในตลาดใส่ด้วย” กิมลั้งตอบ
 “ไปกับใคร ?” กิมฮวยถามขึ้น
จังหวะเดียวกันนั้นต๋องโผล่เข้ามาพอดี
 “พร้อมแล้วจ้ะกิมลั้ง” ต๋องพูดอย่างอารมณ์ดี
 “นี่ลื้อจะไปกับไอ้เวรต๋องเหรอ” กิมฮวยเห็นแล้วอารมณ์ขึ้นทันที
 “ความจริงอั๊วจะโกหกม้าก็ได้นะว่าไปคนเดียว  แต่อั๊วอยากให้มันโปร่งใส” กิมลั้งว่า
 “น้ากิมฮวยไม่ต้องห่วงนะ  ชั้นจะดูแลกิมลั้งเป็นอย่างดี  ไม่ให้ตกรถตกราหาข้าวปลาให้กิน  ถ้าเจอวัดก็จะพาไปทำบุญ  ถ้าเจอฝนเจอฝุ่นก็จะคอยกันให้   กิมลั้งไปตรงไหนชั้นจะไปตรงนั้น” ต๋องกวนกิมฮวยต่อ 
 “ลื้อจะไปตายที่ไหนก็ไป  แต่ไม่ใช่ไปกับลูกอั๊ว” กิมฮวยด่าต๋องตามเคย
 “ม้า ต๋องเป็นแฟนอั๊ว   ไม่ให้อั๊วไปกับต๋องแล้วจะให้ไปกับใคร” กิมฮวยอึ้งไปเมื่อได้ยินคำว่าแฟนจากปากกิมลั้ง
 “แฟน?!” กิมฮวยอึ้งกิมกี่
 “อั๊วรีบไปก่อนนะจะได้รีบกลับ  ไป ต๋อง” กิมลั้งเดินนำต๋องไปเลย  ต๋องรีบตาม  ปล่อยให้กิมฮวยยืนกรี๊ดอยู่ตรงนั้น
 “อ๊าย อากิมลั้ง  ลื้อจะทำอย่างนี้กับอั๊วไม่ได้นะ อากิมลั้ง” กิมฮวยโวยวาย
 ต๋องเดินตามกิมลั้งออกมาจากตลาด
 “กิมลั้ง เธอทำแบบนี้แน่ใจเหรอว่าจะไม่มีปัญหากับแม่” ต๋องเอ่ยขึ้น
 “งั้นชั้นกลับก็ได้” กิมลั้งจะเดินกลับต๋องรีบฉุดมือไว้
 ระหว่างนั้นณดาที่เดินมาเห็นเข้าพอดี
 “ไม่ใช่อย่างนั้น  ชั้นแค่ห่วงว่า...” ต๋องกำลังจะเอ่ย
 “ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น  เราไม่ได้ชวนกันออกไปทำเรื่องเลวร้ายนะต๋อง ที่สำคัญ ถ้าเราคิดจะจริงจังกัน  มันก็ถึงเวลาแล้วที่จะให้คนรับรู้ซักทีนอกเสียจากว่า เธอจะลังเล” กิมลั้งว่า
 “ไม่กิมลั้ง  ชั้นไม่มีทางเป็นอย่างนั้นเด็ดขาด  ก็ได้ งั้นชั้นจะเปิดตัวในฐานะแฟนเธออย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนี้” ต๋องเอ่ยขึ้น
 “ดี แล้วเมื่อกี้บอกม้าว่าจะดูแลชั้นให้ดียังไงก็อย่าลืมล่ะ” กิมลั้งพูดทวงสัญญา
 “ดูแลอย่างดีแน่นอน จะให้อุ้มเธอไปซื้อของก็ยังได้นะ” ต๋องทำท่าจะอุ้มกิมลั้ง
 “จะบ้าเหรอ   ไม่อายคนเค้ารึไง” กิมลั้งพูดไปเขินไป
 “เอ้า ก็ไหนบอกว่าอยากให้คนรับรู้ไงว่าเราเป็นอะไรกัน” ต๋องย้อนถาม
 “แต่ไม่ใช่ขนาดนี้” กิมลั้งผลักต๋องเบาๆ ด้วยความอาย
 “งั้นต้องขนาดไหน” ต๋องถาม
 “แค่นี้ก็พอ” กิมลั้งตอบ แล้วจับมือต๋องทั้งคู่เดินจูงมือเคียงข้างกันออกไป
 ณดามองตามด้วยความเจ็บปวดใจ
 “กิมลั้ง ผู้ชายเลวๆน่ะชั้นเจอมาพอแล้ว  ชั้นจะไม่ยอมเสียผู้ชายดีๆไปให้เธอแน่”
 
ต่อจากนั้น ที่เขียงหมู กิมฮวยคุยหน้าเครียดอยู่กับเต๊กไฮ้กับลักษณ์ เรื่องกิมลั้งกับต๋อง
 “นี่อากิมลั้งถึงกับประกาศตัวเป็นแฟนไอ้ต๋องต่อหน้าลื้อเลยเหรอ” เต๊กไฮ้เอ่ยขึ้น
 “ก็ใช่น่ะซิ ช่วงนี้อีทำตัวพร้อมปลดแอกจากอั๊วหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ” กิมฮวยรีบเล่า
 “หรือเราจะจบเรื่องทุกอย่างไว้แค่นี้ดี  ถ้าอีไม่ได้รักไม่ได้ชอบจาตุรงค์ เราทู่ซี้ไปมันก็ฝืนเปล่า” ลักษณ์รีบเสนอความคิดเห็น
 “ไม่นะอาลักษณ์ เราจะจบไม่ได้  อั๊วไม่ยอมให้ลูกสาวลงเอยกับ  ไอ้ต๋องปากหมาหน้าไม่อายนั่นเด็ดขาด” กิมฮวยไม่มีทีท่ายอม
 “เฮ้อ บางทีต๋องกับกิมลั้งเค้าอาจจะเกิดมาคู่กันก็ได้นะเจ๊  ที่ผ่านมาทุกคนก็เห็นแล้วว่ามันมีเหตุการณ์พิสูจน์ใจตั้งหลายอย่าง  ถ้าเรายังพยายามพรากเค้าออกจากกันมันจะกลายเป็นบาปนะ” ลักษณ์พูดอย่างเห็นต่าง
 “ไม่ อากิมลั้งต้องแต่งงานกับคนจีนด้วยกันเท่านั้น” กิมฮวยยืนกราน
 “ใช่ คนจีนกับคนจีนเท่านั้นมันถึงจะเข้าอกเข้าใจกัน” เต๊กไฮ้รีบเสริม
 “เฮียลืมไปแล้วเหรอว่าชั้นเป็นคนไทย” ลักษณ์รีบย้อน
 “ก็...ก็ลื้อเป็นคนไทยที่เข้าใจคนจีนไง” เต๊กไฮ้ว่า
 “แล้วทำไมถึงคิดว่าต๋องจะไม่เป็นเหมือนชั้นล่ะ  คนไทยน่ะเป็นพวกประนีประนอมแล้วก็พร้อมจะปรับตัวนะ  ถึงต๋องมันจะเพี้ยนๆไปบ้าง  แต่ก็ฉลาดแล้วก็รู้จักคิด   ดีไม่ดีถ้าเจ๊กิมฮวยได้ต๋องไปเป็นลูกเขยอาจจะเฮงก็ได้” ลักษณ์เอ่ย
 “เฮงซวยน่ะซิไม่ว่า   อาลักษณ์นี่ลื้อเงียบไปเลยนะ  แทนที่จะช่วยกันขายลูกชาย  ดันไปเชียร์คนอื่น  นี่อากิมฮวย ลื้อต้องใช้แผนใหม่แล้วล่ะอั๊วว่า” เต๊กไฮ้ว่า
 “แล้วอั๊วจะไปทำอะไรได้” กิมฮวยเอ่ย
 “ได้ซิ ในเมื่อลื้อห้ามให้อีสองคนรักกันไม่ได้   ลื้อก็ต้องทำให้ไอ้ต๋องรู้สึกว่ามันไม่มีทางเข้ากับครอบครัวลื้อได้  ขืนอยู่กันไปก็เหมือนตกนรก” เต๊กไฮ้เอ่ย
กิมฮวยนิ่งไป คล้ายมีแผนการบางอย่างอีกครั้ง
 
 
 บ่ายวันเดียวกัน ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง รัศมีเดินมองหาใครคนหนึ่ง  จนเหลือบไปเห็นชายแว่นดำที่ยืนอยู่หน้าร้านที่นัดหมายจึงปรี่เข้าไปหา
 “ขอโทษค่ะ คุณอนันดาที่นัดมาคุยเรื่องวางสินค้าที่ห้างเวรี่แฮปปี้รึเปล่าคะ” รัศมีเอ่ยขึ้น
 ฤทธิ์หันมาหารัศมีตรงๆ  แล้วถอดแว่นดำออก 
 “พี่ฤทธิ์ !” รัศมีช็อก
 
จบตอนที่ 9
 
อ่านต่อตอนที่ 10 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.


กำลังโหลดความคิดเห็น