“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 2
บ่ายวันเดียวกัน ที่ร้านเสริมสวย น้อยหน่ากำลังไดร์ผมให้ทวีสาวใช้สำเนียงใต้บ้านสดศรี ส่วนชมพู่ทำเล็บให้เครือฟ้าพร้อมเมาท์อย่างเมามัน
“นี่เสี่ยชายศักดิ์กล้าพายัยรัศมีเข้าบ้านคุณนายสดศรีจริงๆเหรอพี่ทวี แบบนี้ไม่ตีกันตายเหรอ”
“ก็อยากให้ตีเหมือนกันล่ะชมพู่เอ๊ย เสียดายคุณนายไล่ตะเพิดออกจากบ้านไปซะก่อน ไม่งั้นได้ดูละครบู๊นอกจอแน่”
“ไม่เข้าใจเลย เสี่ยชายศักดิ์ทิ้งเมียที่ขุนตัวเองให้เป็นผู้เป็นคนไปอยู่กับผู้หญิงอื่นได้ยังไง”
น้อยหน้าออกความเห็น เครือฟ้าได้ยินรีบเสริมด้วยภาษาเหนือทันที
“ก็ผู้หญิงเค้าท้องนี่นะ เสี่ยก็ต้องรับผิดชอบ”
“แล้วคุณณดาล่ะ ไม่ใช่ลูกเสี่ยรึไง ถึงไม่ต้องรับผิดชอบ” ชมพู่ค้าน ทวีรีบเล่าเสริม
“เฮ้ย คุณณดาก็ต้องเป็นลูกคุณกริชสามีใหม่คุณนายซิ”
“ว่าไปคุณนายสดศรีนี่ก็ไวไฟเหมือนกันนะ เลิกกับผัวเก่าไม่เท่าไหร่ก็ท้องกับผัวใหม่ปั๊บ ไหนว่ารักเสี่ยชายศักดิ์นักหนา” น้อยหน่าเปรยขึ้น
“พี่น้อยหน่า แล้วจะให้คุณนายแกทำเหมือนตำนานรักสาวเครือฟ้ารึไงจ๊ะ โดนผัวทิ้งแล้วปาดคอตาย เฮาว่าเอาเวลาไปหาผัวใหม่ดีกว่า”
เครือฟ้าเข้าร่วมวงด้วย ทวี ชมพู่ และน้อยหน่า หัวเราะชอบใจกับคำพูดของเครือฟ้า
“พูดไม่สมกับที่ชื่อเครือฟ้าเลยนะแกน่ะ เอ้อ ชมพู่ น้อยหน่า ไอ้เรื่องที่เล่าวันนี้น่ะเหยียบไว้ให้มิดเลยนะ อย่าบอกต่อล่ะ ถึงหูคุณนายล่ะยุ่ง” ทวีกำชับ ชมพู่กับน้อยหน่ารับปากหนักแน่น
“อุ๊ย ไม่ต้องห่วง”
ไม่นานต่อจากนั้น ชมพู่มาซื้อกับข้าวที่ร้านป้าพิณก็นำมาเมาท์ต่อทันที ป้าพิณตบเข่าฉาด
“บ๊ะ เสี่ยชายศักดิ์นี่มันหน้าด้านจริงจริ๊ง จูงมือเมียใหม่ไปขอซื้อที่เมียเก่าถึงในบ้าน เป็นผัวข้าหน่อยล่ะจะสาดด้วยต้มฟักร้อนๆ”
คำมูลยืนอยู่แถวนั้นโพล่งขึ้น
“โห ป้าพิณ พูดอย่างกะป้ามีผัวให้สาดน้ำต้มฟักนี่”
“งั้นข้าสาดหน้าเอ็งก่อนละกันไอ้คำมูล”
ป้าพิณทำท่าจะตักแกงจืดฟักที่ตั้งอยู่บนเตาแก๊สใส่คำมูล
“สาดใส่ชั้นก็เปลืองนะจ๊ะป้า ไม่เอาน่า ชั้นก็แค่ล้อเล่น”
เขียวหวานรีบสวนออกมาเป็นภาษากะเหรี่ยง
“แล้วคุณนายสดศรีแกจะขายตลาดให้เสี่ยมั้ยพี่ชมพู่”
“จะมีเมียคนไหนยอมขายที่ให้ผัวที่ทิ้งตัวเองไปหาผู้หญิงคนใหม่ล่ะวะเขียวหวาน ถ้าเป็นแก แกยอมมั้ย”
“ยอมได้ไง ผัวแบบนี้นะ ถ้าเจอเมียพม่าล่ะโดนเจื๋อนพวงสวรรค์ทิ้งแน่ๆ”
คำมูลได้ยินรีบกำเป้าตัวเอง
“พูดอะไรแบบนั้นล่ะเขียวหวาน ฟังแล้วพี่ขาสั่นไปหมดเลย”
“เอ็งจะขาสั่นทำไม เอ็งเป็นผัวนังเขียวหวานมันเหรอ” ป้าพิณสวนขึ้น
“แหม ตอนนี้น่ะไม่ใช่ แต่ต่อไปก็ไม่แน่ ใช่มั้ยจ๊ะเขียวหวาน”
คำมูลไม่พูดธรรมดา ยื่นมือไปหยิกแก้มเขียนหวาน จนโดนป้าพิณเอาทัพพีตีหัว
“นี่แน่ะ จะจีบลูกจ้างเค้าน่ะปรึกษาเจ้านายรึยังว่าจะยอมให้เอ็งเป็นผัวรึเปล่า
“ทำไมต้องปรึกษาล่ะ ชั้นจะเป็นผัวเขียวหวาน ไม่ใช่ผัวป้านี”
ป้าพิณคว้าสากจะขว้างใส่คำมูล อีกฝ่ายรีบเข็นรถส้มตำหนีไปที่อื่นด้วยความรวดเร็ว
“นี่ ป้าพิณ เขียวหวาน เรื่องนี่น่ะรู้แล้วก็เหยียบไว้นะ เดี๋ยวพี่ทวีเค้าจะเดือดร้อน “
ชมพู่กำชับสองคนทั้งที่โดนทวีกำชับมาแล้วแต่ก็ยังเอามาเมาท์ต่อ
“อุ๊ย ไม่ต้องห่วง” ป้าพิณรีบรับปาก
“งั้นชั้นไปก่อนนะ ปล่อยพี่น้อยหน่าอยู่ที่ร้านคนเดียว”
พอชมพู่ออกไป มีลูกค้าใหม่เข้ามาพอดี
“ป้า เอาข้าวแกงเขียวหวาน ไข่ดาว”
“ได้ๆ เอ้อ ว่าแต่นี่แกรู้มั้ย ไอ้เสี่ยชายศักดิ์เจ้าของห้างเวรี่แฮปปี้น่ะ......”
ไม่ทันขาดคำป้าพิณก็เมาท์เรื่องสดศรี ชายศักดิ์ และรัศมีต่อทันที
บ่ายนั้น สดศรีเข้ามาในห้องนอนตัวเองหลังจากชายศักดิ์และรัศมีกลับไป สดศรีมองรูปคู่เก่าๆของตนกับชายศักดิ์ที่เก็บเอาไว้ในกล่องสังกะสีเก่าอย่างเศร้าใจ ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น สดศรีรีบเอากล่องรูปเก็บไว้ใต้เตียง
“เข้ามาได้”
ณดาเปิดประตูเข้ามา
“ณดา ทำไมไปช็อปปิ้งกลับมาไวนักล่ะลูก แม่ตาฝาดไปรึเปล่า”
“ที่กลับมาไวก็เพราะจะรีบมาสัมภาษณ์คุณแม่เกี่ยวกับตลาดของเราไงคะ”
“สงสัยแม่จะหูฝาดอีกด้วยนะเนี่ย” ณดาแกล้งงอน
“ตกลงคุณแม่อยากให้ณดาช่วยงานที่ตลาดมั้ยคะเนี่ย”
“อยากซิคะลูก ว่าแต่หนูพอจะบอกแม่ได้มั้ยว่าอะไรทำให้หนูเปลี่ยนใจมาช่วยงานแม่กันเนี่ย”
ณดารู้ดีว่าเหตุผลที่กลับมาช่วยงานสดศรีคือต๋อง แต่บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น
“ก็...ณดาเพิ่งจะรู้นี่คะว่างานที่นั่นมันวุ่นวายกว่าที่คิด แค่ณดาไปแป็บเดียวก็เจอเรื่องปวดหัว
แล้ว ที่ผ่านมาคุณแม่คงเหนื่อยน่าดู”
“ขอบใจมากลูก แม่รอวันนี้มาตั้งนานแล้วณดารู้มั้ย”
สดศรีโผไปกอดลูกสาวด้วยความดีใจ ณดากอดตอบแม่แต่รู้สึกผิดอยู่ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดช่วยแม่ตัวเองมาก่อน
วันเดียวกัน ใกล้ๆกับแผงของต๋องและกิมลั้งไฟในตลาดเริ่มสว่างแล้ว กิมฮวยกับกิมลั้งกำลังช่วยกันเก็บแผงจนกิมฮวยเมื่อยล้าไปทั้งตัว
“โอ๊ย ปวดหลังจัง งั้นหม่าม้ากลับบ้านก่อนนะ”
“จ้ะ ม้ากลับไปนอนพักเถอะ เดี๋ยวทางนี้อั๊วจัดการเอง
กิมฮวยเดินบีบต้นคอตัวเองก่อนจะเดินออกไป ต๋องที่เก็บแผงอยู่ใกล้กันหันมองตามกิมฮวยที่กำลังจะเดินออกไป แล้วพึมพำกับตัวเองอย่างเบาๆ
“เห็นปวดนั่นปวดนี่ประจำ สงสัยจะถูกเล่นของ แหม แต่หนังเหนียวขนาดนั้น ของไม่น่าจะเข้าได้ง่ายๆนะ”
ระหว่างนั้นเพลงรักจากวิทยุที่ต๋องเปิดไว้ดังขึ้นพอดี ต๋องรีบเร่งเสียงวิทยุทันที
“อุ๊ยๆ”
พอเพลงเสียงเพลงดังขึ้นมากิมลั้งก็หันไปแผงต๋อง ก็เห็นอีกฝ่ายที่รอส่งยิ้มให้ แถมทำเป็นเต้นท่าเกาหลีประกอบ แอบทำท่าหัวใจส่งมาให้กิมลั้งแบบเนียนๆ กิมลั้งแอบอมยิ้มในความบ้าบอของต๋อง
วันเดียวกันที่คลองหลังตลาด กิมลั้งกำลังเอามือถือถ่ายรูปนิ้วมือตัวเองกับแบคกราวน์สวยๆริมน้ำหลายๆรูปอย่างมีความสุข ถ่ายไปเรื่อยจนมาถึงรูปที่ถ่ายแล้วไม่ค่อยถนัดมือ ขณะที่มือกำลังเก้ๆกังๆจับมือถือเล็งมุมอยู่ ปรากฏว่ามีมืออีกมือยื่นมาช่วยจับมือถือให้ กิมลั้งตกใจเล็กน้อยพอหันไปจึงเห็นว่าเป็นต๋อง
“มา ถ่ายให้”
กิมลั้งลังเล แต่ก็ยอมปล่อยมือถือให้ต๋องไป
“เอ้า คราวนี้ก็โพสท่าให้เพื่อนเธอได้เต็มที่เลย”
ไม่นานกิมลั้งก็หันไปโพสท่าให้นิ้วตัวเองต่อ โดยมีต๋องถ่ายรูปให้อย่างตั้งใจ
ต่อจากนั้นต๋องกำลังไล่ดูรูปนิ้วมือของกิมลั้งจากมือถือ เห็นรูปนิ้วมือถ่ายรูปตามที่ต่างๆ
“นี่หัวลำโพงนี่ เขาดิน วัดพระแก้ว แน่ะ...ขึ้นรถไฟฟ้าซะด้วย”
ต๋องเงยหน้าขึ้นถามกิมลั้งที่นั่งอยู่ข้างๆ
“แปลกดีเนอะ ทำไมเธอถึงชอบถ่ายรูปนิ้วมือตามที่ต่างๆล่ะกิมลั้ง”
“อืม มันคงเป็นตัวแทนชั้นที่อยากออกไปท่องโลกมั้ง”
“ท่องโลกอะไร เห็นถ่ายอยู่แต่ในกรุงเทพ”
“ทำไงได้ล่ะ นายก็เห็นว่าวันๆชีวิตชั้นก็เวียนวนอยู่แต่ในตลาด มีโอกาสได้ไปไหนกับใครเค้าบ้างล่ะ”
“ไม่มีใครเลือกชีวิตให้ตัวเองไม่ได้หรอกกิมลั้ง”
“ชั้นไง”
“ถ้าเธอเลือกไม่ได้จริงๆ งั้นชั้นช่วยเลือกให้ดีมั้ย”
“ชิ เธอเป็นอะไรกับชั้น เที่ยวจะมาจัดการนู้นนี่ให้”
“จะว่าไปก็อยากเป็นอยู่เหมือนนะ” ต๋องหยอกกิมลั้ง
“บ้า นี่เอามือถือชั้นคืนมาได้แล้ว”
กิมลั้งยื่นมือจะคว้าแต่ต๋องเลี่ยงหลบ
“เดี๋ยวๆ มือถือชั้นหายไปไหนไม่รู้ หาไม่เจอ ขอยืมของเธอโทรเข้าหน่อยนะ”
ต๋องรีบกดมือถือกิมลั้งเข้าเครื่องทันที โดยไม่ฟังคำตอบจากเจ้าของเครื่องแล้วมือถือต๋องก็ดังขึ้น ต๋องคลำไปที่กระเป๋ากางเกงแล้วหยิบออกมา กิมลั้งมองตามด้วยความงง
“เอ้า ไหนบอกหาไม่เจอ อยู่ในกางเกงตัวเองแท้ๆ” ต๋องแกล้งอึกอัก
“เอ่อ...”
ระหว่างนั้นมือถือกิมลั้งดังขึ้นอีกครั้งที่หน้าจอเขียนว่า “หม่าม้า”
“หม่าม้า ชั้นรับให้”
ต๋องแกล้งทำเป็นจะกดรับ กิมลั้งใจหายวาบ กลัวต๋องทำจริง
“จะบ้าเหรอ”
กิมลั้งรีบคว้ามือถือจากมือต๋องมารับด้วยอาการหน้าตื่น
“ฮัลโหล หม่าม้า อ๋อ...ก็...ก็เพิ่งเก็บแผงเสร็จน่ะ จ้ะๆ นี่ก็กำลังจะกลับแล้วจ้า
กิมลั้งกดเลิกสายแล้วหันมาพูดกับต๋อง
“งั้น ชั้นกลับก่อนละกันนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“จ้ะ กลับบ้านดีๆนะ”
ต๋องพูดเสียงหวาน กิมลั้งแกล้งจ้องกลับด้วยสายตาดุ แต่พอกลับหลังหันเดินออกไปก็หลุดยิ้มเขินๆออกมา
กิมลั้งเดินลับตาไปแล้ว ต๋องก้มมองที่โทรศัพท์ตัวเองซึ่งมีเบอร์กิมลั้งขึ้นเป็นเบอร์ที่ไม่ได้รับสายอยู่
ชายหนุ่มยิ้มชอบใจรีบกดเมมเบอร์ชื่อว่า “กิมลั้ง” ด้วยแววตาเป็นประกาย
คืนนั้นที่บ้านของเต๋า ต๋องกำลังนั่งเรียงผักใส่ถุงอยู่กลางบ้าน ติ๋มที่ท้องกว่า 6เดือน กำลังเดินลงบันไดมา พอเห็นพี่สะใภ้จึงรีบขึ้นไปประคอง
“ระวังพี่ติ๋ม”
“ขอบใจจ้ะ”
ติ๋มเพิ่งมองผักที่ต๋องจัดใส่ถุง
“นี่ต๋องทำอะไรจ๊ะเนี่ย”
“อ๋อ ว่าจะลองทำสลัดผักขายดูน่ะพี่ เห็นเดี๋ยวนี้คนเค้าฮิตอาหารสุขภาพกัน ไหนๆร้านเราก็ขายผักอยู่แล้ว”
“แหม ต๋องนี่ขยันคิดนู้นคิดนี่เรียกลูกค้าตลอดจริงๆนะ”
“ก็ต้องทำอะไรแข่งกับใจลูกค้าหน่อยล่ะจ้ะ นับวันคนเข้าตลาดเรา น้อยลงน้อยลง”
“นั่นซินะ ยังไงพี่ก็ขอบใจต๋องมากนะที่อุตส่าห์มาช่วยขายของแทนช่วง ที่พี่ท้องเนี่ย คงเหนื่อยน่าดู”
“พูดอะไรอย่างงั้น ยังไงพี่ก็เป็นพี่สะใภ้ชั้นนะ ถือว่าชั้นทำเพื่อหลานที่กำลังจะเกิดมาละกัน โตมามันจะได้เลี้ยงอาบ้าง เพราะอาคงโสดอย่างนี้ไปจนแก่”
“อย่ามาพูดเลย หน้าตาอย่างต๋องเนี่ยนะ มีแต่สาวจะแย่งกันตะครุบ”
“อย่าพูดอย่างงั้นพี่ติ๋ม ถึงแม้มันจะเป็นความจริงก็เถอะ ฮ่าๆ”
เต๋าที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมา พอเห็นติ๋มกับต๋องกำลังคุยเฮฮากันอยู่ก็นึกหมั่นไส้ รีบเรียกเมียเสียงหวานขึ้นมาทีเดียว
“มาแล้วจ้า”
“เอ้า พี่เต๋า”
เต๋าเหลือบมองถาดผักที่วางอยู่
“นี่ทำพิสดารอะไรของเอ็งอีกฮะไอ้ต๋อง”
“เอะอะก็จะหาเรื่องว่าน้องอีกแล้วพี่ ต๋องเค้าจะทำผักสลัดไปขาย จะได้เพิ่มรายได้ไง”
ติ๋มเข้าข้างต๋องบ้างคราวนี้
“ขยันคิดนั่นนี่นักนะมึง มีเวลาเหลือเฟือนักเหรอ บ้านช่องน่ะกวาดถูเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ดูซิเหยียบเข้ามามีแต่ฝุ่น”
“เดี๋ยวจัดผักเสร็จชั้นก็จะถูแล้วพี่”
“ไม่ต้องเดี๋ยว กูสั่งให้ทำเดี๋ยวนี้ ถ้ามึงยังจะวุ่นกับไอ้สลัดบ้าบออยู่อีกล่ะก็ มีเรื่องแน่”
ติ๋มได้ยินจึงดุเต๋าเสียงดังเช่นกัน
“พี่เต๋า ทำไมต้องพูดจาแบบนี้ด้วย”
“เอ้า แล้วพี่พูดผิดตรงไหนล่ะติ๋ม นี่เดี๋ยวเราไปนั่งกินอะไรหน้าบ้านกันดีกว่านะ พี่ซื้อขนมมาฝากเยอะแยะเลย”
พูดจบเต๋าดึงเมียออกไป ต๋องลงนั่งถอนหายใจด้วยความเซ็ง
คืนนั้น ที่บ้านของกิมลั้ง กิมแชซึ่งถือไมโครโฟนร้องเพลงคาราโอเกะซึ้งอยู่ด้วยความอิน โดยมีพี่สาวอย่างกิมลั้ง นั่งฟังอย่างสนใจ จังหวะที่กิมแชแผดเสียงเต็มกำลัง กิมฮวยเปิดประตูพรวดเข้ามาพร้อมเคี้ยงตีหน้ายักษ์ใส่ลูกทันที
“อากิมแช”
กิมฮวยยืนด่ากิมแชจนหงอย กิมลั้งกับเคี้ยงก็พลอยหงอยตามไปด้วย
“ลื้อจะบ้าเหรอกิมแช ดึกดื่นป่านนี้แล้วมาแหกปากร้องเพลงลั่นบ้าน”
“ขอโทษจ้ะม้า คือพรุ่งนี้หนูจะไปสมัครประกวดร้องเพลงน่ะก็เลยซ้อมให้เจ้กิมลั้งดู”
“ประกวดร้องเพลงเหรอ ดูสารรูปตัวเองให้ดีซิ อากิมแช หุ่นเตี้ย ตัวตันแบบนี้ ใครเค้าจะเอาลื้อไปทำนักร้องให้เปลืองแผ่น”
กิมฮวยดุกิมแชพร้อมจิ้มไปที่หน้า กิมแชน้อยใจถึงกับน้ำตาคลอ เคี้ยงเห็นท่าไม่ดีจึงแทรกขึ้น
“ทำไมพูดทำร้ายจิตใจลูกแบบนั้นล่ะกิมฮวย”
“แล้วจะให้อั้วพูดเยินยอหลอกอีให้ละเมอเพ้อพกไปวันๆงั้นเหรอ นี่มันโลกแห่งความจริง ไม่ใช่ความฝัน คนอย่างลื้อน่ะ ทำงานบ้านงานเรือนให้เก่งแล้วมีผู้ชายมาขอไปเป็นเมียก็บุญแล้ว”
กิมฮวยพูดจบเดินสะบัดก้นออกไปแบบไม่สนใจใคร เคี้ยงเดินตามไปห่างๆ สงสารแต่ทำได้แค่ชายตามาลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ทันทีที่พอกับแม่ออกจากห้องไป กิมลั้งโผเข้าปลอบกิมแชด้วยความห่วงใย กิมแชกอดพี่สาวไว้แน่นด้วยความเสียใจ
สองพี่น้อง นั่งกอดเข่าหงอยกันอยู่บนเตียง กิมแชยังคงสะอึกสะอื้น
“ตั้งแต่เล็กจนโต ม้าไม่เคยพูดให้กำลังใจอั๊วเลย ไม่เคยส่งเสริมให้อั๊วทำอะไรซักอย่างนอกจากขลุกตัวอยู่กับงานบ้านแบบนี้”
“เจ้ก็ไม่ต่างกับลื้อเท่าไหร่หรอก แต่แทนที่จะเป็นบ้าน ม้าก็เปลี่ยนเป็นขังเจ้ไว้ในตลาดแทนเท่านั้นเอง”
“รู้มั้ย บางทีอั้วเคยคิดจะหนีออกไปจากที่นี่เหมือนกันนะ”
“ไม่ได้นะกิมแช ลื้ออย่าคิดอย่างนั้นเด็ดขาดนะ ถ้าลื้อหนีออกจากบ้านไป ม้าจะเป็นห่วงแค่ไหน”
กิมลั้งลูบหัวน้องสาวอย่างห่วงใย
“จำไว้นะ ถึงจะยังไง ม้าก็รักเราสองคนมากที่สุดแล้ว”
“ที่ผ่านๆมานี่คือการแสดงความรักของม้าแล้วใช่มั้ย”
กิมแชอัดอั้นตันใจ กิมลั้งฟังแล้วตอบน้องไม่ถูกเช่นกันกับการเลี้ยงดูกิมฮวยผู้เป็นแม่ ที่ปิดกั้นลูกมาโดยตลอด
บ่ายวันใหม่ ที่ตลาด เต๊กไฮ้กำลังหั่นขาหมูอย่างช่ำชองโดยมีลักษณ์เป็นผู้ช่วย ครู่หนึ่งจาตุรงค์ หนุ่มตี๋ลูกชายเจ้าของร้านขายหมูที่ใหญ่ที่สุดในตลาดอย่างเต๊กไฮ้ ทำจมูกฟึดฟัดเพราะเหม็นกลิ่นตลาด
จาตุรงค์เดินมาถึงหน้าแผงเป็นจังหวะที่เต็กไฮ้กำลังสับขาหมูสุดแรงจนเศษเนื้อหมูกระเด็นใส่หน้าจาตุรงค์ จนอีกฝ่ายสะดุ้ง
“เฮ้ย!”
ลักษณ์รีบนำผ้ามาเช็ดหน้าให้จาตุรงค์ลูกชาย
“เนื้อหมูกระเด็นใส่หน้าแค่นี้ ร้องซะหยั่งกะถูกสับ”
“ก็มันหยะแหยงนี่แม่ ทั้งดิบทั้งเหม็น”
“แล้วลื้อมีอะไรทำไมกลั้นหายใจเดินมาที่แผงได้ฮะ อาใจอัง”
“เรียกผมใจอังอีกแล้วป๊า บอกหลายทีแล้วไงว่าเปลี่ยนชื่อเป็นจาตุรงค์แล้ว ที่มานี่ ก็จะมากวนเงินป๊าไปสังสรรค์กับเพื่อนหน่อย”
“สังสรรค์อีกแล้ว จบมางานก็ยังหาไม่ได้แต่ขยันสังสรรค์เหลือเกิน”
ลักษณ์บ่นลูกชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย
“โธ่ แม่ ก็สังสรรค์เนี่ยล่ะที่จะทำให้ผมได้งานดีๆ แม่ก็รู้ว่าเพื่อนที่จุฬาฯของผมน่ะ พ่อแม่เค้าเป็นใหญ่เป็นโตกันทั้งนั้น”
“เออๆ ให้มันไปเถอะลักษณ์”
“เอาอีกแล้วเฮีย ลูกแบมือขอเงินทีไรก็ให้ทุกที”
“ขอบคุณครับป๊า”
“แต่ก่อนจะเอาตังค์ ลื้อต้องเดินไปหาหนูกิมลั้งก่อน ลื้อผลัดอั๊วมาเรื่อย จนอากิมฮวยชักไม่แน่ใจแล้วว่าเราอยากเป็นทองแผ่นเดียวกันกับอี”
“นี่ป๊า โลกมันเปลี่ยนไปแล้วนะ ป๊ายังจะใช้วิธีคลุมถุงชนอีกเหรอ”
“อั๊วว่าลื้อลองไปเปิดถุงคลุมหน้าอากิมลั้งดูก่อนดีกว่ามั้ย”
“โอ๊ย ยัยกิมลั้งน่ะผมจำติดตาตั้งแต่เด็กแล้ว ตัวก็ดำ หุ่นก็แห้ง ป๊าไม่เสียดายเหรอถ้าต้องเสียลูกชายหน้าตาดีให้ผู้หญิงแบบนั้น”
จาตุรงค์นึกหน้ากิมลั้งตอนเป็นเด็กแล้วไม่อยากเป็นแฟนด้วย
“ถ้าลื้อไม่รีบเดินไปดูอีเดี๋ยวนี้ ลื้อน่ะล่ะที่ต้องเสียดายไปตลอดชีวิต”
ต่อจากนั้นที่แผงอาหารทะเล กิมฮวยกับกิมลั้งช่วยกันขายของอยู่ ครู่หนึ่งเสียงเตือนข้อความจากมือถือกิมลั้งก็ดังขึ้น กิมลั้งหยิบมือถือขึ้นมาเปิดอ่าน จึงเห็นข้อความเขียนว่า.....
“แผงผักเรียกแผงปลา... แผงผักเรียกแผงปลา.. ขายดีๆน้า ผักจาเอาใจช่วย ; ต๋อง”
อ่านจบกิมลั้งหันไปที่แผงผัก เห็นต๋องที่ยืนอยู่หน้าแผง สองมือถือผักกาดหอมกวัดแกว่งไปมาส่งกำลังใจให้เหมือนเป็นเชียร์ลีดเดอร์ กิมลั้งส่งสายตาหมั่นไส้ให้ต๋องแต่พอกลับมาอ่านข้อความอีกครั้งก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนกิมฮวยสงสัย
“อากิมลั้ง เป็นอะไร จ้องมือถือยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว”
“เอ่อ มีข้อความส่งมาน่ะม้า”
กิมลั้งลน
“ข้อความอะไร ทำไมถึงได้ชอบอกชอบใจขนาดนั้น”
“ก็เรื่องขำขันทั่วไปน่ะ อั๊วลงทะเบียนไว้ เค้าก็เลยส่งมาให้อ่านทุกวัน”
กิมลั้งเลี่ยงไปเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงความสนใจของกิมฮวย ระหว่างนั้นจาตุรงค์เดินถือถุงหมูแบบไม่เต็มใจจะจับ เดินเข้ามาหากิมฮวยด้วยเสียงอันดังมาแต่ไกล
“หวัดดีคร้าบน้ากิมฮวย”
ต๋องเห็นจาตุรงค์เข้าก็สนใจ รับรู้ได้ถึงลางไม่ดี
“เอ้า อาใจอัง เอ้ย จาตุรงค์ ไปไงมาไงเนี่ย”
“พอได้ยินว่าน้ากิมฮวยอยากทำสะเต๊ะ ป๊ากับแม่ให้ผมเอาหมูสันในมาฝากน่ะครับ”
จาตุรงค์ยื่นถุงหมูให้กิมฮวยแบบแทบจะจีบนิ้วมือ กิมฮวยรีบรับไว้แล้วหันไปที่กิมลั้ง
“เอ้อ อากิมลั้ง รู้จักพี่จาตุรงค์เค้ารึยัง”
ทันทีที่จาตุรงค์เห็นหน้ากิมลั้งก็ตะลึงในความสวยน่ารักที่กำลังหันมาพอดี ทำเอาอีกฝ่ายตะลึง เผลอลืมตัวจะยื่นมือไปทำความรู้จัก
“หา หวัดดีครับน้องกิมลั้ง”
ต๋องที่เห็นภาพดังกล่าวถึงกับไม่พอใจ กิมลั้งรีบดึงมือออกจากจาตุรงค์ จาตุรงค์ดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อย ต๋องเห็นแล้วปรี๊ดขึ้น ในที่สุดกิมลั้งก็สะบัดมือจนหลุดจากการเกาะกุมของจาตุรงค์ได้
“อาจาตุรงค์จำน้องได้รึเปล่านี่ เคยเจอกันนานมากแล้ว ตั้งแต่ยังเด็กกันอยู่เลย”
“จำได้ซิครับ ผมไม่เคยลืมน้องกิมลั้งเลย ตอนเด็กสวยสดใสยังไงโตมาก็สวยอย่างนั้น เป็นเพราะมีแม่พิมพ์ดีอย่างน้ากิมฮวยแท้ๆ”
จาตุรงค์ชมกิมฮวยจนอีกฝ่ายถึงกับอายม้วน แต่ต๋องถึงกับอาเจียนใส่ในมุกของจาตุรงค์
“อ้วก”
กิมฮวย กิมลั้ง และจาตุรงค์หันไปที่ต้นเสียงทันทีจึงเห็นว่าเป็นต๋องซึ่งกำลังเดินผ่านแผงมา ต๋องบ่นพึมพำ
“ทำไมวันนี้ตลาดมันเหม็นเน่าจัง ออกไปหาอากาศบริสุทธิ์ดีกว่า”
ส่วนจาตุรงค์หลังจากได้รู้จักกิมลั้งแล้วรีบขอตัวออกไป
“อุ๊ย ผมขอตัวก่อนนะครับ เผอิญนัดเพื่อนไว้”
“งั้นก็เชิญเถอะจ้ะว่างๆก็แวะมาหากันนะ ถ้าน้าไม่อยู่ กิมลั้งก็อยู่แผงตลอดจ้ะ”
“แล้วพี่จะแวะมาเยี่ยมนะครับน้องกิมลั้ง ลาล่ะครับน้ากิมฮวย”
จาตุรงค์ออกไปได้ไม่นาน กิมฮวยก็รีบกระซิบกระซาบกับกิมลั้งเล่าสรรพคุณของจาตุรงค์ทันที
“อาจาตุรงค์นี่ไง ลูกชายคนเดียวของเต๊กไฮ้ที่ม้าหมายหมั้นจะให้เป็นผัวลื้อ” กิมลั้งตกใจ
“อะไรนะม้า”
บ่ายวันนั้น ต๋อง เลื่อน และรักเร่ นั่งคุยกันอย่างเสียอารมณ์
“ฮะ มีคนมาจีบกิมลั้ง” เลื่อนเอ่ยขึ้น
“ที่สำคัญ น้ากิมฮวยดูจะเห็นดีเห็นงามจนออกนอกหน้าด้วย” ต๋องเล่าต่อ
“เอ้า แบบนี้พี่ก็มีคู่แข่งแล้วซิ” รักเร่สำทับเข้าไปอีก
“งานนี้เอ็งคิดว่าข้าจะยอมง่ายๆเหรอ” ต๋องเอาจริงเอาจัง
“มันสำคัญว่ากิมลั้งเค้าจะยอมพี่รึเปล่าต่างหาก”
“ไอ้เลื่อน พูดแบบนี้เหมือนดูถูกพี่ต๋องนะเว้ย เอ็งก็รู้ๆอยู่ว่าพี่ต๋องของเราน่ะมีเสน่ห์แค่ไหน ตั้งแต่มาอยู่นี่ไม่เห็นเหรอว่ามีแต่สาวๆเข้าหา”
รักเร่ยังเชียร์และมั่นใจในตัวต๋อง
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00น.
“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 2 (ต่อ)
เวลาต่อจากนั้น ณดา ลูกสาวสดศรีเจ้าของตลาดแต่งตัวราวกับแคตวอล์คแฟชั่น ร้องเท้าส้นสูง กางเกงขาบาน สุดเปรี้ยวเดินเข้ามาในตลาด
เวลาเดียวกันที่แผงอาหารทะเล กิมลั้งยังคงตกใจไม่หายเมื่อเจอคู่หมั้นคู่หมายที่กิมฮวยดูตัวไว้ให้อย่างจาตุรงค์ นั่งล้างมือขนลุกเป็นระยะๆ
“ยี้ อาจาตุรงค์เนี่ยนะ ขี้หลี ขี้ประจบ ท่าทางจะขี้เกียจด้วย”
ใกล้กันนั้นณดารีบเดินมุ่งหน้าไปที่แผงของต๋องจนปีกกางเกงบานปาดหัวกิมลั้งที่นั่งล้างมืออยู่ กิมลั้งไม่พอใจแต่ไม่พูดอะไร ณดาเหลียวซ้ายแลขวาหาต๋องแต่ไม่พบ
“ไปไหนของเค้านะ”
ต๋องไม่ได้อยู่ที่แผงผัก ณดาจึงตัดสินใจเดินหันหลังกลับไปซึ่งเป็นจังหวะที่กิมลั้งกำลังสาดน้ำไปที่พื้นเพื่อราดเศษปลาที่ทางเดินพอดี จึงทำให้กางเกงณดาเปียก คราวนี้ถึงขั้นวีนแตก
“อ๊าย ทำอะไรของเธอนี่”
“ขอโทษ”
“ขอโทษเหรอ พูดง่ายนี่ เวลาทำน่ะไม่รู้จักระวัง ทุเรศจริงๆ” ณดาโวยวาย
กิมลั้งเริ่มฉุนบ้าง
“ไม่ให้ขอโทษแล้วจะให้ด่ารึไงว่าทำไมไม่ดูตามาตาเรือ ทีตัวเองเดินจนกางเกงปาดหัวชาวบ้านน่ะไม่รู้สึกอะไร นิสัยแย่” กิมลั้งจัดไปหนึ่งชุด
“นี่เธอว่าอะไรนะ”
“ชั้นก็บอกว่าเธอนิสัยแย่ไง ชัดมั้ย” กิมลั้งย้ำ
ณดาโกรธเอื้อมมือไปผลักกิมลั้ง แต่อีกฝ่ายใช้ความเร็วหลบเลยทำให้ณดาเสียหลักเซลงไปบนถาดปลา ถูกปลาดุกปลาช่อนกระโดดใส่จนร้องกรี๊ดกร๊าดลั่นตลาด
“อ๊าย”
ผู้คนแถวนั้นหันมองดูเหตุการณ์ด้วยความเมามัน กิมลั้งที่เห็นอาการตื่นปลาของณดาก็อดขำจนหัวเราะออกมาไม่ได้
“ขำนักใช่มั้ย”
ณดาเห็นกิมลั้งหัวเราะเยาะตัวเองเลยกลั้นใจหยิบปลาทำท่าจะขว้างใส่กิมลั้ง กิมลั้งจึงจับข้อมือ
ณดาบิด
“โอ๊ย”
ณดาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า จะเข้าตบกิมลั้ง แต่เจอกิมลั้งผลักจนล้มไปนั่งกองกับพื้น ซึ่งจังหวะที่กิมลั้งผลัก
ณดาเป็นจังหวะที่ต๋องเดินมาเห็นพอดีจึงรีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองณดา พร้อมตวาดใส่กิมลั้ง จนอีกฝ่ายปรี๊ดใส่ต๋องเช่นกัน
“ทำอะไรน่ะกิมลั้ง” ต๋องเอ่ย
“ถ้าไม่รู้เรื่อง ก็อย่ามายุ่ง” กิมลั้งไม่ยอม
ส่วนณดาถลาไปกอดต๋องไว้แน่นจนอีกฝ่ายต้องประคอง
“คุณต๋อง ช่วยชั้นด้วย”
“ออกไปข้างนอกก่อนดีกว่าครับ”
ต๋องประคองณดาออกไปด้วยความใกล้ชิด กิมลั้งมองภาพตรงหน้าด้วยความน้อยใจที่ต๋องไม่ฟังเหตุผลของตนสักนิด แม่ค้าที่เห็นเหตุการณ์ซุบซิบกันใหญ่
“เอ๊ะ ผู้หญิงคนนี้นี่ลูกสาวคุณนายสดศรีที่มาเมื่อวานนี่”
“หรืองานนี้ไอ้ต๋องจะได้ตกถังข้าวสารซะแล้วก็ไม่รู้เว้ย”
พวกแม่ค้าพากันหัวเราะชอบใจ กิมลั้งได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้าน ยิ่งรู้สึกแปลบหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เวลาต่อจากนั้น บริเวณนอกตลาด ต๋องเดินเอาน้ำมายื่นให้ณดาที่นั่งอยู่
“ขอบคุณค่ะ”
“เป็นไงครับ ดีขึ้นบ้างมั้ย”
“ดีขึ้นแล้วล่ะค่ะ ไม่คิดเลยนะคะว่าผู้หญิงคนนั้นจะร้ายน่าดู”
“ปกติกิมลั้งเค้าไม่ใช่คนแบบนี้นะครับ พอจะบอกผมได้มั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น”
ณดาเห็นทีท่าต๋องที่ดูมั่นอกมั่นใจในตัวกิมลั้งเลยระวังการแสดงออกมากขึ้น กลัวจะเสียคะแนน
“ก็แค่เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย ไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ อย่าไปพูดถึงมันเลย”
ต๋องพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ว่าแต่วันนี้คุณเข้าตลาดด้วยเหรอครับ ปกติคุณนายสดศรีจะไม่ค่อยเข้าบ่อย ถ้าไม่ได้มา เอ่อเก็บตังค์”
“อ๋อ คือชั้นแค่จะแวะมาดูให้แน่ใจน่ะค่ะว่าช่างจัดการเรื่องไฟให้คนที่ตลาดเรียบร้อยดีมั้ย” ณดาเลี่ยงไปเรื่องอื่น
“เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะครับ รวดเร็วทันใจ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยเป็นธุระให้”
“ถ้าคุณพอใจชั้นก็ยินดีค่ะ” ณดาพูดพลางส่งสายตาหยาดเยิ้มให้ต๋อง
บ่ายวันเดียวกันนั้น ที่ร้านเพชร รัศมีลองเครื่องเพชรอยู่กับพนักงานร้าน อย่างชอบอกชอบใจ พนักงานอีกคนเห็นสดศรีจึงรีบเปิดประตูให้อย่างรวดเร็ว
“สวัสดีค่ะคุณนายสดศรี” พนักงานร้านเพชรเอ่ยทัก
พอรัศมีได้ยินเสียงพนักงานหันมองตามจึงเห็นว่าเป็นสดศรี พนักงานยิ่งทวีความเอาใจใส่สดศรีจนออกนอกหน้าเข้าไปอีก
“เชิญนั่งรอทางนี้เลยค่ะ เดี๋ยวหนูจะยกคอลเล็คชั่นใหม่ล่าสุดมาให้ดูค่ะ”
รัศมีอดหมั่นไส้สดศรีที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากทางร้านรัศมีจึงแสร้งหยิบมือถือเดินเข้ามาใกล้สดศรี แล้วแกล้งพูดขึ้น
“ว่าไงคะเสี่ย อยู่ที่ร้านแล้วค่ะ แต่ละชิ้นสวยๆทั้งนั้น เลือกไม่ถูกเลย”
สดศรีหันมาเห็นรัศมีเกิดอารมณ์เซ็งขึ้นมาทันที
“อะไรนะคะ จะให้รัศมีเหมาหมด” รัศมีหันไปทางสดศรีที่จ้องมองอยู่
“แหม เหลือให้คนแถวนี้ซื้อไปใส่หลอกตาคนอื่นว่ายังมีฐานะดีอยู่บ้างดีกว่ามั้งคะ”
พนักงานคนที่ดูแลสดศรีอยู่ จึงเอาเพชรมาให้สดศรีดู เธอจึงรีบพูดขึ้นเสียงดังทันที
“นี่ใหม่ล่าสุดเลยใช่มั้ย งั้นชั้นเอาครบเซ็ทเลย”
สดศรีไม่พูดเปล่า ยื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน รัศมีรู้สึกโดนหยาม เลิกล้อกับโทรศัพท์แล้วหันมาฉะกับสดศรีตรงๆ
“ต๊าย จ่ายเงินไม่คิดแบบนี้ ไม่กลัววันที่ไม่มีค่าเช่าเก็บกินบ้างเหรอคะคุณพี่”
สดศรีพยายามสะกดกั้นอารมณ์ยังไม่ตอบโต้ รัศมีพูดต่อ
“โถๆ แต่ก็เข้าใจล่ะนะคะว่าคนมันกำลังเครียด ก็ต้องทำอะไรชดเชยย้อมใจบ้าง เฮ้อ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณพี่นะคะ มีตลาดคนก็พากันหนีมาเข้าห้างรัศมีหมด ขนาดมีสามี สามีก็ยังทิ้งคุณพี่มาอยู่กับรัศมีเลย”
“เธอไม่อายบ้างเหรอ เที่ยวป่าวประกาศว่าแย่งนั่นนี่ของคนอื่นไป”
“ดิชั้นควรจะภูมิใจมากกว่ามั้งคะ ถ้าดิชั้นไม่ดีจริง อดีตสามีคุณพี่คงไม่หลงหัวปักหัวปำแบบนี้หรอกค่ะ”
“รู้มั้ย ชั้นไม่เคยเสียดายเลยที่ชายศักดิ์เลือกไปอยู่กับผู้หญิงอย่างเธอ มันเป็นเรื่องธรรมดาน่ะขยะก็ต้องเลือกอยู่กับขยะ”
สดศรีตอกหน้ารัศมีเข้าอย่างจัง ก่อนจะหันไปคุยกับพนักงานขายเพชรต่อ
“หนูจ๊ะ ช่วยเอาของไปส่งที่บ้านชั้นด้วยนะ ไม่อยากยืนตรงนี้นานๆเดี๋ยวเนื้อตัวมันจะสกปรก”
พูดจบสดศรีกลับออกไป ปล่อยให้รัศมียืนโกรธหน้าดำหน้าแดง
“แกรู้จักชั้นน้อยไปซะแล้ว” รัศมีพึมพำด้วยความอยากเอาชนะ
เวลาต่อจากนั้น รถชายศักดิ์เคลื่อนมาจอดหน้าบ้านสดศรีอีกครั้ง และวันนี้ชายศักดิ์ดูสีหน้าจริงจังกว่าทุกครั้ง ทวี สาวใช้คนใต้พยายามห้ามชายศักดิ์ไม่ให้เข้าบ้าน
“ไม่ได้นะคะเสี่ยชายศักดิ์ คุณนายห้ามไม่ให้คุณเข้ามาในบ้านหลังนี้”
“ก็ชั้นจะเข้า”
“ไม่ได้จริงๆค่ะ ไม่ได้”
“ปล่อยเค้าทวี” สดศรีโพล่งขึ้นด้วยสีหน้าไม่เต็มใจนัก
“เธอออกไปก่อน”
สดศรีพูดกับทวี อีกฝ่ายจำต้องออกไปด้วยสีหน้าจ๋อยลงเพราะจะไม่ได้ได้ฟังเรื่องราวและเอาไปเม้าท์ต่อ
“นี่เป็นเดือดเป็นแค้นแทนเมียใหม่ถึงกับต้องรี่มาเฉ่งชั้นเองเลยเหรอ” สดศรีแขวะ
“ชั้นไม่มาที่นี่เพราะเรื่องขี้หมูขี้หมาแค่นั้นหรอก เพราะชั้นมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น”
ชายศักดิ์ยื่นเช็คจำนวนมหาศาลให้สดศรี สดศรีรับมาดูงงๆ
“ชั้นให้ราคาที่ดินเธอเพิ่มจากท้องตลาดอีกสองเท่าตัว พอใจรึยัง”
“ชายศักดิ์ เธอเข้าใจไม่ผิดหรอกนะว่าชั้นเป็นพวกหน้าเงิน แต่กับเงินจากคนทรยศอย่างเธอมันไม่ต่างอะไรจากเศษกระดาษ สู้เหรียญบาทเน่าๆจากท่อน้ำครำในตลาดชั้นยังไม่ได้เลย”
สดศรีฉีกเช็คต่อหน้าชายศักดิ์จนแหลกละเอียด จนอีกฝ่ายโกรธจนตัวสั่น
“เธอมันโง่หรือบ้านี่ เงินมากมายขนาดนั้นเธอไม่ต้องการ แต่ไม่นึกถึงลูกสาวบ้างรึไง ตัวเองจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ถ้าไม่รีบรับเงินชั้นไปตอนนี้ ชาตินี้คิดว่ายังมีปัญญาหาสมบัติให้คนข้างหลังได้เท่าที่ชั้นให้อีกเหรอ”
“ไม่ต้องมายุ่งกับลูกสาวชั้น เอาเวลาไปห่วงลูกชายเธอดีกว่านะ ลองได้เลือดเลวๆจากพ่อบวกกับเชื้อชั่วๆจากแม่ไป อนาคตคงไปไม่ไกลกว่าลูกชั้นแน่นอน”
“สดศรี!” ชายศักดิ์โกรธตัวสั่น
“ตกลงว่าจะออกไปจากที่นี่เองหรือจะให้ตำรวจลากคอไป” สดศรีไล่
ชายศักดิ์โกรธหน้าดำหน้าแดง
“เฮ้ย”
ชายศักดิ์กลับไป สดศรีจากสีหน้าดุดันกลายเป็นเศร้าหมองทันทีเมื่อหันกลับมาดูรูป ณดาวัยต่างๆที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ชายศักดิ์ เธอไม่มีทางรู้หรอกว่าเด็กผู้หญิงคนนึงเป็นยังไงเวลาที่ไม่มีพ่อ” สดศรีตัดพ้อ
เวลาต่อจากนั้นที่ร้านเสริมสวย ทวีกับเครือฟ้าช่วยกันถักผมให้น้อยหน่าที่นั่งอยู่ ส่วนชมพู่กำลังทำเล็บให้ลูกค้าหญิงคนหนึ่งอยู่
“ว่าไปแล้วคุณนายสดศรีนี่ก็น่าสงสารนะ ผัวเก่าทิ้งไม่เท่าไหร่ ผัวใหม่ก็มาตายตามไปอีก” น้อยหน่าเอ่ยขึ้น
“เคราะห์ซ้ำกรรมซัดแท้ๆ เพราะอย่างนี้คุณนายก็เลยต้องแบกรับภาระทุกอย่างอยู่คนเดียว ไหนจะหาเงินใช้หนี้ ไหนจะต้องเลี้ยงลูกอีก”
“หรือเราจะช่วยกันหาผัวคนที่สามให้คุณนายดี เผื่อแกมีความสุขแล้วจะลดค่าเช่าให้เราบ้าง”
ชมพู่เอ่ยขึ้น ทวีรีบค้าน
“บ้าเหรอ มันอาจจะทำให้คุณนายโมโหจนต้องเพิ่มค่าเช่าพวกแกก็ได้”
“เอ้า ทำไมล่ะ”
“เกิดคุณนายไปได้ผัวเหมือนเสี่ยชายศักดิ์มาอีกคนแล้วจะเป็นยังไง เดี๋ยวมันก็ได้คว้าเมียน้อยหยำฉ่าแบบนังรัศมีอะไรนั่นมาให้ช้ำใจอีก” ทวีพูดอย่างสงสารนาย
“จริงของพี่ทวี นี่ ชั้นได้ยินมาว่านังเมียใหม่ของเสี่ยน่ะร้ายไม่ใช่ย่อยเลยเหรอ”
“โอ๊ยนังนี่น่ะแสบตัวแม่ ผู้หญิงที่ถูกหิ้วมาจากเลาจน์จากบาร์น่ะมันจะต่างอะไรกับหมาล่าเนื้อล่ะ พวกนี้น่ะกินเท่าไหร่มันก็ไม่อิ่มหรอก ไม่งั้นมันจะให้เสี่ยตามมาสร้างห้างหยามหัวใจคุณนายถึงหน้าตลาดเหรอ” ชมพู่ว่า
“เอ้อ ได้ข่าวว่าแม่รัศมีน่ะชอบแอบมาด้อมๆมองๆที่ตลาดบ่อยๆเลยนี่”
“ใช่ๆ เห็นคนเค้าว่ามันชอบมาผลุบๆโผล่ๆแถวนี้ประจำ สงสัยจะคอยดูว่าตลาดเราจะเจ๊งเมื่อไหร่” น้อยหน่าเสริม
“เชอะ ไม่แน่จริงนี่หว่า ทำตัวเป็นอีแอบ อย่าให้อีชมพู่เจอเชียวนะ แม่จะตบให้รัศมีดับเลย”
จู่ๆลูกค้าแว่นดำที่ชมพู่กำลังทำเล็บให้กำมือแน่นด้วยความแค้น
“เอ้า กำมือทำไมล่ะคะคุณ แล้วหนูจะทำเล็บให้ได้ยังไง”
ลูกค้าแว่นดำที่ว่าคือรัศมี ที่แอบมาทำเล็บนั่นเอง รัศมีโกรธจัด
“ชั้นไม่ทงไม่ทำมันแล้ว”
รัศมีควักแบงก์ห้าร้อยวางตบโต๊ะไว้ แล้วพรวดพราดออกไป
“เอ้า”
ชมพู่ น้อยหน่า ทวี และเครือฟ้า พากันงงไปตามๆกัน
รัศมีที่ทาเล็บยังไม่ทันครบนิ้ว วิ่งมากรี๊ดด้วยความอัดอั้น
“อ๊าย อีพวกบ้า ดี ชั้นจะทำให้พวกแกหมดที่ทำมาหากินกันเลยคอยดู”
รัศมีกดโทรศัพท์มือถือแล้วรีบพูด
“นี่ชั้นเองนะ....”
ระหว่างที่รัศมีกำลังคุยโทรศัพท์หน้าตาจริงจังอยู่ เขียวหวานกำลังเดินจูงมือคำมูลจู๋จี๋กันผ่านมาพอดี อยู่พอเห็นรัศมีที่ยืนอยู่ก็คุ้นๆ จึงเอ่ยขึ้นว่า
“เอ๊ะใคร”
“ไหนใคร” คำมูลต่อเพลงรับจากเขียวหวาน
“โน่นไง แฝงตัวร่มเงาไม้ เอ๊ย...ไม่ใช่ ผู้หญิงที่ยืนโทรศัพท์อยู่นั้นตรง นั้นน่ะมันยัยรัศมีเจ้าของห้างเวรี่แฮปปี้นี่”
“จริงด้วย แอบเข้ามาดูลาดเลาอีกแล้วเหรอ ต้องสั่งสอนหน่อยแล้ว เฮ้ย พวกเรา ยัยรัศมีเมียเสี่ยชายศักดิ์ มันแอบเข้ามาในตลาดเราอีกแล้ว” เขียวหวานว่า
คำมูลตะโกนเรียกพรรคพวก รัศมีได้ยินเสียงคำมูลตกใจหันไปมองเห็นชาวตลาดกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งมุ่งหน้ามาหาแต่ไกล
“ว้าย ตายแล้ว”
รัศมีรีบวิ่งหนีสุดชีวิต
เวลาเดียวกัน ที่บ้าน ชายศักดิ์ที่ยังโกรธไม่หายเล่าเรื่องทั้งหมดให้ศักดิ์ชายลูกชายฟังจนโมโหไปด้วย
“โธ่ แล้วคุณพ่อจะไปหายายคุณนายสดศรีนั่นให้เปลืองตัวอีกทำไมครับ”
“แล้วจะให้พ่อทำยังไง ในเมื่อทำอะไรๆไปเค้าก็ไม่ยอมขายที่ให้ซักที”
“มันต้องมีวิธีซิครับ เพียงแต่เรานึกไม่ถึงกันเอง”
“ไม่มีทาง มันจะมีวิธีไหนอีก ขนาดยกเรื่องลูกสาวที่รักที่ห่วงเท่าดวงใจมาอ้าง ก็ยังไม่เห็นสนใจจะเก็บเงินก้อนใหญ่เผื่อไว้ให้ยัยเด็กณดานั่นกิน”
“ณดาเหรอ”
“ก็ลูกสาวคนสวยของสดศรีที่พ่อเคยเล่าให้ฟังไง”
ศักดิ์ชายจึงเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา
บ่ายวันนั้น ใกล้ๆแผงของกิมลั้ง เอ๋ และแม่ค้าคนอื่นๆรวมทั้งกิมลั้งแอบเลียนแบบท่าทางของณดาก่อนจะมีเรื่องกันเม้าท์อย่างสนุกสนานในท่าทางผู้ดีนางแบบแคตวอล์ค กิมลั้งแกล้งหิ้วกระเป๋าทรงผู้หญิงของเพื่อนไว้ที่ศอก เดินฉับๆราวกับนางแบบอยู่กลางทางเดินในตลาดแล้วหมุนตัวกลับมาเดินมาที่แผงตนเอง แล้วทำท่าตกใจเลียนแบบณดาตอนที่โดนกิมลั้งสาดน้ำใส่
“อ๊าย ทำอะไรของเธอนี่”
เพื่อนแม่ค้าหัวเราะชอบใจกันใหญ่ กิมลั้งยังล้อเลียนณดาให้เพื่อนดูต่อ
“ขอโทษ พูดง่ายนี่ เวลาทำน่ะไม่รู้จักระวัง ทุเรศจริงๆ”
เพื่อนแม่ค้าหัวเราะกันสนุกสนาน
“กิมลั้ง แกแสดงเยอะไปแล้ว ใครที่ไหนจะเป็นแบบนี้” เอ๋ ถามไปขำไป
“ณดาก็เป็นของณดาแบบนี้ตั้งแต่เกิดน่ะล่ะ”
กิมลั้งยังล้อเลียนณดาไม่เลิก ไม่ไกลกันนั้นศักดิ์ชายเดินเข้ามาในตลาดเหมือนกวาดตาหาใครสักคน กิมลั้งยังล้อเลียน
ณดาต่อ
“หรือใครจะมีปัญหากับณดาคะ อุ๊ย ณดาต้องไปแล้วล่ะ นัดกับเพื่อนๆ เซเลบไว้ว่าจะไปปาร์ตี้ ต้องรีบแวะไปขัดตัวล้างกลิ่นคาวตลาดก่อน”
พอศักดิ์ชายได้ยินแว่วๆว่ากิมลั้งเรียกตัวเองว่าณดาเลยเดินมุ่งหน้าไปหาด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์ รีบเดินเข้ามาใกล้
กิมลั้งเพราะคิดว่าเป็นณดา แต่พอได้ยินท่าทางการพูดยังงงแต่ไม่ได้เอะใจ
“ว่าแต่อย่าลืมค่าเช่าแผงพรุ่งนี้นะคะ อ้อ แล้วก็อย่าเอาแบงก์เหี่ยวๆสกปรกๆมาจ่ายเชียว ณดาไม่ชอบ”
กิมลั้งทำท่าจะหันหลังกลับก็มาจ๊ะเอ๋กับศักดิ์ชายที่กำลังเดินเข้ามาพอดี
“คุณณดาใช่มั้ยครับ”
กิมลั้งทำท่างงนิดๆ เพราะไม่ทันตั้งตัว แต่แล้วก็นึกสนุกเล่นละครต่อ
“เอ่อ ค่ะ ณดาเองค่ะ”
เพื่อนๆแม่ค้าแอบยิ้มขำกันใหญ่ที่กิมลั้งหลอกศักดิ์ชาย
“ผม ชายครับ ที่เมื่อสายๆเพิ่งโทรมาขอเช่าแผงขายผลไม้กับลุงอ่ำ”
“เอ่อ อ๋อ ค่ะ”
“แล้วไม่ทราบว่าแผงของผมอยู่ตรงไหนครับ”
“งั้น เชิญทางนี้ค่ะ”
กิมลั้งผายมือให้ศักดิ์ชายไป แล้วแอบหันมาจุ๊ปากใส่เพื่อนขำๆว่าอย่าเปิดเผยความลับกิมลั้งยังเดินกระเด้งไปมาเลียนแบบณดาอยู่อย่างนั้น
ต่อจากนั้น กิมลั้งพาศักดิ์ชายมาถึงแผง แต่ยังคงเลียนแบบณดาด้วยความสนุกสนานอยู่
“น่าจะเป็นตรงนี้นะคะ”
ศักดิ์ชชายเริ่มงงว่าเป็นลูกเจ้าของตลาด แต่ทำไมณดาคนนี้ดูไม่รู้เรื่องแผงเอาเสียเลย
“น่าจะ”
“คือ ตรงนี้ล่ะค่ะ เพราะแม่ค้าผลไม้เค้าเพิ่งบอกคืนแผงไปไม่กี่วันนี่เอง”
“ปกติคุณณดาเข้าตลาดทุกวันมั้ยครับ”
ที่มุมหนึ่งต๋องเดินมาเห็นกิมลั้งทำท่าทางสะดีดสะดิ้งผิดปกติอยู่กับศักดิ์ชายจึงหยุดฟัง
“ก็เข้าเท่าที่จำเป็นน่ะค่ะ ณดามีงานสังคมมากมายที่ต้องออก คงเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในตลาดแบบนี้ไม่ไหวหรอกค่ะ”
ต๋องเห็นกิมลั้งสวมรอยเลียนแบบณดา ต๋องก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่ควรทำจึงเดินมาที่กิมลั้งทันที
“ถ้าเรียบร้อยแล้วณดาขอตัวนะคะ
พอกิมลั้งกลับหลังหันมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นต๋องมายืนขวางทางอยู่
“ทำอะไรน่ะกิมลั้ง”
ศักดิ์ชายงงเมื่อได้ยินต๋องเรียกชื่อกิมลั้ง ทำเอาณดาตัวปลอมอึ้งไปเหมือนกัน แต่แกล้งเฉไฉต่อ
“เรียกใครกิมลั้ง”
“ก็เธอน่ะล่ะ เป็นอะไรมากรึเปล่า ล้อเลียนคุณณดาเค้าทำไม ทำท่าเหมือนไม่ชอบเค้า ตกลงว่าที่แท้ก็อยากเป็นอย่างเค้านี่เอง”
“นี่ ตกลงว่าคุณไม่ใช่...”
ศักดิ์ชาย พอเดาออก กิมลั้งทั้งโกรธทั้งอายไม่รู้ทำไงเลยเดินรี่ออกไปข้างนอก
“เอ้า โกรธอีก”
ต๋องเดินตามกิมลั้งออกไป จาตุรงค์เดินเข้าตลาดมาพอดิบพอดี
“เฮ้ย ไอ้ชาย อยู่นี่เอง เจอคุณณดารึยังวะ”
“เจอแล้ว แต่เป็นณดาตัวปลอม แสบจริงๆ หลงพูดด้วยอยู่ตั้งนาน”
“จริงเหรอ ใครวะทำอะไรบ้าๆแบบนั้น”
“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวแกออกไปคุยข้างนอกกับชั้นหน่อยดีกว่า”
ศักดิ์ชายกระซิบกระซาบ และซ้ายแลขวากลัวคนได้ยิน จาตุรงค์เดินตามเพื่อนไปด้วยความงง
ในมุมปลอดคนที่ตลาด ศักดิ์ชายและจาตุรงค์นั่งคุยธุระกันอยู่อย่างจริงจัง
“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร ไม่ต้องห่วงน่า ชั้นไม่เผลอปากบอกใครหรอกว่า แกคือลูกชายเจ้าของห้างเวรี่แฮปปี้ที่ปลอมตัวมา ถ้าผิดสัญญามาต่อยหน้ากันได้เลย”
“จำคำพูดของแกไว้นะ” ศักดิ์ชายย้ำ
“แต่ชั้นก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมลูกเศรษฐีอย่างนายถึงต้องลงทุนปลอมตัวมาขายของในตลาดนี่ด้วยวะ” จาตุรงค์ยังสงสัย
“แกก็รู้ว่าพ่อแม่ชั้นต้องการที่ดินตรงนี้แค่ไหน นี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ชั้นคลุกวงในกับคนที่นี่ได้ดีที่สุด ที่สำคัญถ้าชั้นเข้าถึงตัวณดาได้เมื่อไหร่ อะไรๆมันก็คงง่ายขึ้น”
“ทำอะไรคุณนายสดศรีไม่ได้ ก็เลยจะรวบหัวรวบหางลูกสาวแกแทนว่างั้นมันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“ชั้นก็มีวิธีของชั้นน่ะ เอ้อ ว่าแต่ขอบใจแกมากนะที่อุตส่าห์ให้ข้อมูลชั้น เรื่องณดา โชคเข้าข้างแท้ๆที่ยัยคุณหนูนั่นเกิดคิดจะมาช่วยงานแม่ที่นี่พอดี” ศักดิ์ชายเอาจริง
“ยังไงถ้าแผนสำเร็จก็อย่าลืมรางวัลก้อนใหญ่ที่สัญญาเอาไว้นะเว้ย”
“ไม่ต้องห่วงน่ะ ถึงตอนนั้นชั้นจะให้พ่อแม่แกเข้าไปขายของในห้างด้วย”
“มีเพื่อนใจป้ำแบบนี้ชั้นยินดีเป็นผู้ช่วยพระเอกเต็มที่ ไม่ต้องห่วง” จาตุรงค์ยินดีช่วยเพื่อน
ศักดิ์ชายและจาตุรงค์คุยแผนการฮุบตลาดกันไปอีกขั้นหนึ่งแล้วโดยศักดิ์ชายจะต้องปลอมตัวเข้ามาในตลาดร่วมใจเกื้อเพื่อเข้าใกล้ณดาโดยที่ไม่มีใครรู้
อีกฟากหนึ่ง เวลาเดียวกัน ที่คลองหลังตลาด กิมลั้งยืนหน้างออยู่ที่ริมตลิ่ง ไม่นานนักต๋องโผล่มาทางด้านหลัง
“นี่น้อยใจถึงขนาดจะโดดน้ำตายเลยเหรอ” ต๋องเอ่ยทัก
กิมลั้งหันหลังขวับมามอง
“คำพูดของพล่อยๆของเธอไม่มีความหมายกับชั้นหรอก” กิมลั้งงอน
“ตกลงโกรธชั้นจริงๆเหรอเนี่ย ชั้นก็แค่ไม่อยากให้เธอไปทำอะไรแบบนั้น มันดีซะที่ไหนที่ไปล้อเลียนคนอื่น เมื่อเช้าก็ทำเค้าเจ็บตัวไปทีแล้ว” ต๋องพยายามอธิบาย
“ทำไม แตะต้องไม่ได้เลยใช่มั้ย เห็นเค้าสวยเข้าหน่อยก็ใจละลาย ล้มนิดล้มหน่อยรีบโผเข้าไปหา นี่ถ้าไม่อยู่กลางตลาดคงจะดูดดื่มกันไปแล้ว”
“ว่าไปนั่น หึงชั้นรึเปล่าเนี่ยกิมลั้ง” ต๋องปล่อยหมัดเด็ด จนกิมลั้งลน
“เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ต่อให้นายหล่อเท่ห์แค่ไหน ผู้หญิงอย่างชั้นก็ไม่ชายตามอง”
“ที่ไม่มอง เพราะกลัวจะตกหลุมรักใช่มั้ย”
กิมลั้งยิ่งลน แล้วเอามาตีต๋องทั้งโกรธทั้งอาย
“บ้าเหรอ”
“แน่ะ แตะอั๋งด้วย”
คราวนี้กิมลั้งเลยระรัวทุบต๋องใหญ่ด้วยความเสียหน้า จนต๋องต้องจับมือไว้เพื่อปราม
“ฟังก่อนกิมลั้ง ที่ชั้นเตือนน่ะทำไมไม่คิดบ้างล่ะว่าชั้นเป็นห่วงเธอ ไม่อยากให้ใครมองเธอไม่ดี”
ต๋องพูดจากใจ กิมลั้งดึงมือตัวเองออกจากมือต๋อง
“คนอื่นจะมองยังไงชั้นไม่สนใจหรอก มันสำคัญที่ว่า คนใกล้ตัว เข้าใจชั้นมั้ย”
กิมลั้งหมายถึงต๋องด้วย
“ชั้นคงไม่เข้าใจทั้งหมดหรอก แต่ไม่ว่าจะยังไง ชั้นก็อยู่ข้างเธอเสมอนะ
กิมลั้งสีหน้าดีขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาและคำพูดที่จริงใจของต๋อง
“เรื่องวันนี้ให้มันผ่านไปละกัน คราวหน้าคราวหลังจะทำอะไรก็ต้องคิดให้มากกว่านี้”
“นี่เธอหาว่าชั้นทำอะไรไม่คิดใช่มั้ย”
กิมลั้งโกรธขึ้นมาอีก จึงผลักต๋องไปด้วยความน้อยใจแล้ววิ่งเข้าตลาดไป ทิ้งต๋องให้ยืนงงอยู่ตรงนั้น
“โอ๊ย อะไรกันนักหนาเนี่ย”
อ่านต่อหน้า 3
“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 2 (ต่อ)
เวลาเดียวกันนั้น ณดาเดินเข้ามาในตลาด เห็นแม่ค้าแผงหนึ่งต่อปลั๊กสามตามาวางตรงที่พื้นใกล้ๆกับก๊อกน้ำที่เปิดน้ำใส่ถังไว้ เธอรีบโวยวายขึ้นมา
“ตายแล้ว นี่ต่อปลั๊กไฟมาทิ้งไว้ใกล้น้ำได้ยังไงป้า ถ้าไฟมันเกิดชอตขึ้นมาอีก ชั้นจะให้ออกตังค์ซ่อมกันเองแล้วนะ” ณดาบ่น
ศักดิ์ชายกับจาตุรงค์เดินเข้ามาพอดีจึงเห็นณดา
“เฮ้ย นั่นไงคุณณดา ไปเร็ว”
ทั้งคู่รีบพุ่งไปดักหน้าณดาจนอีกฝ่ายเริ่มงง
“สวัสดีคร้าบ ผมจาตุรงค์เป็นลูกชายเต๊กไฮ้เขียงหมูครับ แล้วนี่ก็เพื่อนผม…ชาย ที่จะมาเช่าแผงขายผลไม้ไงครับ” จาตุรงค์รีบรายงาน
“อ๋อ ที่โทรมาเมื่อสายๆ ว่าแต่ไปดูแผงมารึยังคะ” ณดาตอบ
“เรียบร้อยแล้วครับ กะว่าจะเอาผลไม้มาลงเลย” ศักดิ์ชายรีบรายงานตัว
“ไม่มีปัญหาค่ะ ตามสบายเลย”
“เอ่อ ไม่ทราบผมจะขอเบอร์มือถือคุณณดาไว้ได้มั้ยครับ เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ติดต่อทันที”
ศักดิ์ชายเอ่ย แต่ณดารู้ทัน
“เบอร์ชั้นน่ะมีไว้เฉพาะเรื่องสำคัญ มีอะไรก็ติดต่อลุงอ่ำคนดูแลตลาดได้เลยค่ะ”
ศักดิ์ชายชะงักไป แต่ยังไม่ยอมแพ้
“อ้อ ผมเตรียมกระเช้าผลไม้จะฝากคุณณดาไปให้คุณนายสดศรี รอซักครู่ได้มั้ยครับ”
“ชั้นไม่ใช่แมสเซ็นเจอร์ค่ะ ยังไงก็ฝากไว้ที่ลุงอ่ำน่ะล่ะ” ณดาพูดจบเดินเชิดออกไปอย่างเซ็งๆ
“เล่นของสูงซะแล้วเว้ยไอ้ชาย” จาตุรงค์แซวเพื่อน ศักดิ์ชายมองตามณดาอย่างไม่ยอมแพ้
“ก็คอยดูละกันว่าใครจะสูงกว่าใคร”
บ่ายวันเดียวกันที่หลังตลาด ต๋องเห็นพ่อค้าคนหนึ่งกำลังลากรถขนขยะไปทิ้ง แต่ขยะกลับไหลเกลื่อนถนนเป็นทาง ต๋องจึงเรียกให้เก็บขยะกลับไปด้วย
“เอ้าลุง ลุง ลุ้ง” ต๋องตะโกนเรียกลุงไม่ได้ยิน
“เอาขยะไปทิ้ง หรือจะทิ้งขยะกันแน่เนี่ย” ต๋องบ่นพึมพำ
ต๋องวิ่งตามเก็บขยะตามรถเข็นของลุงไป จนได้กลิ่นเหม็นไหม้อะไรบางอย่าง
“ใครมาเผาอะไรแถวนี้”
ต๋องเดินตามกลิ่นไปพอเห็นควันจากมุมหนึ่งใกล้ๆเขาตกใจ วิ่งไปดูเห็นไฟกำลังไฟไหม้ลุกโชน โดยมีชาย 3 คนเร่งราดน้ำมันเติมเชื้อไฟ
“เฮ้ย หยุด พวกแกทำอะไรกันน่ะ” ต๋องตะโกนดังลั่น
ชายทั้งสามเห็นต๋องตกใจรีบวิ่งหนี
“อย่าหนีนะเว้ย”
ต๋องวิ่งไล่ไปได้สี่ห้าก้าวแล้วนิ่งไป เพราะนึกห่วงกองไฟที่ลุกอยู่จึงตัดสินใจวิ่งเลี้ยวกลับเข้าไปในตลาด
ต๋องวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในตลาดแล้วประกาศเสียงดังลั่น
“ช่วยด้วย ไฟไหม้ที่หลังตลาด ไปช่วยกันดับหน่อยเร็ว”
ทุกคนตกใจกันหมด รวมทั้งกิมฮวย
“ไฟไหม้เหรอ...”
พ่อค้าแม่ค้าคนอื่นๆ พอได้สติแทนที่จะกระตือรือร้นออกไปช่วยกันดับไฟก่อน ปรากฏว่าต่างรีบหันไปจัดการยกข้าวของเตรียมหนี ต๋องเห็นแล้วยิ่งโมโห
“นี่ มัวทำอะไรกันอยู่ รีบไปดับไฟกันก่อนซิ”
“จะไม่ให้พวกข้าขนข้าวขนของก่อนรึไง เดี๋ยวไฟมันได้ลามมาไหม้พอดี”
แม่ค้าคนหนึ่งเถียงขึ้น
“แต่ถ้าทุกคนยังมัวห่วงสมบัติตัวเองมากกว่าคิดจะช่วยกัน ไฟมันได้ลามมาถึงนี่แน่ คราวนี้ก็หาตลาดใหม่ไว้ขายของกันได้เลย” ต๋องพยายามอธิบาย
พูดจบต๋องรีบเดินออกไปเลยด้วยความโกรธ พ่อค้าแม่ค้าอึ้งไป กิมลั้งเห็นด้วยกับทุกอย่างที่ต๋องพูด
“อั๊วออกไปช่วยเค้าก่อนนะม้า” กิมลั้งวิ่งออกมาหน้าตาตื่น
“เดี๋ยว อากิมลั้ง” กิมฮวยเรียกกิมลั้งแต่ไม่ทันแล้ว
ในที่สุดพ่อค้าแม่ค้าเปลี่ยนใจ หยิบถ้วยถังกาละมังหม้อ ที่พอจะตักน้ำได้ วิ่งตามต๋องกับกิมลั้งออกไป บางคนรองน้ำจากก๊อกในตลาดเพื่อไปดับไฟ กิมฮวยตัดสินใจตามไปด้วยเช่นกัน
ใกล้กันนั้น จาตุรงค์กับศักดิ์ชายเดินมาเห็นกิมลั้งวิ่งออกมาจากในตลาดแต่ไกล
“นั่นมันน้องกิมลั้งของชั้นนี่” จาตุรงค์เอ่ยขึ้น
ศักดิ์ชายมองไปที่กิมลั้ง เพิ่งนึกได้ว่าคนนี้ที่ปลอมตัวเป็นณดา
“อ้อ ที่แท้ก็เด็กแกนี่เอง”
“ทำไมวะ” จาตุรงค์ยังไม่เข้าใจ
“ก็แม่นี่ล่ะที่โกหกชั้นว่าเป็นณดา” ศักดิ์ชายรีบตอบ
“อย่าเครียดน่ะ น้องกิมลั้งเค้าคงอยากรับน้องแกน่ะ”
จาตุรงค์ขำที่ศักดิ์ชายโดนกิมลั้งอำ ไม่นานต่อจากนั้นกิมลั้งวิ่งมาใกล้ๆ จาตุรงค์จึงรีบเข้าไปคว้าข้อมือไว้
“น้องกิมลั้ง ไปไหนจ๊ะ”
“ไปดับไฟ ไฟไหม้หลังตลาด” กิมลั้งรีบตอบแล้วสะบัดมือรีบวิ่งออกไป
“เฮ้ย ไฟไหม้” จาตุรงค์เพิ่งนึกได้ ศักดิ์ชายยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบวิ่งตามออกไป
ที่โรงไม้เก็บของหลังตลาด ต๋องกับชาวตลาด ที่เป็นผู้ชายช่วยกันดับไฟในระยะใกล้ พวกผู้หญิงช่วยกันแบกถังน้ำส่งต่อเป็นทอดๆโดยมีกิมลั้งเป็นโต้โผอย่างแข็งขัน ส่วนคนแก่ยืนให้กำลังใจกันอยู่ ต๋อง กิมลั้ง กิมฮวย เต๊กไฮ้ ลักษณ์ จะเด็ด เลื่อน รักเร่ คิตตี้ ชมพู่ น้อยหน่า ป้าพิณ เขียวหวาน คำมูล จาตุรงค์ ศักดิ์ชาย และแม่ค้าพ่อค้า มาช่วยดับไฟกันหมด จาตุรงค์โผล่มาพร้อมกับศักดิ์ชาย ตอนแรกจาตุรงค์ทำท่าจะวิ่งไปช่วยพวกผู้ชายที่ผจญเพลิงกันอยู่ แต่พอหันไปเห็นกิมลั้งถึงกับเบรกเอี๊ยด เปลี่ยนใจวิ่งเข้าไปช่วยกิมลั้งแบกน้ำแทน ระหว่างนั้นณดาเดินหน้าตื่นเข้ามาในที่เกิดเหตุ
“อะไรกันเนี่ย”
ณดาเห็นต๋องดับเพลิงอยู่แบบไม่กลัวอันตรายจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความสนใจ ซึ่งศักดิ์ชายหันมาเห็นพอดี ครู่หนึ่งมีแม่ค้าคนหนึ่งวิ่งร้องไห้หน้าตื่นเข้ามา
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย....”
ต๋อง กิมลั้ง ณดา ศักดิ์ชาย จาตุรงค์ และชาวตลาดส่วนหนึ่งหันไปมองแม่ค้าเป็นตาเดียว
“ไอ้บอยลูกชั้นมันหายไปไหนก็ไม่รู้ ปกติมันชอบแอบไปเล่นในนั้น สงสัยมันต้องติดอยู่ข้างในแน่ๆ” แม่ค้าคนหนึ่งรีบพูดอย่างเป็นห่วงลูกชาย
ทันทีที่แม่ค้าพูดจบ ต๋องไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบวิ่งเข้าไปข้างใน ณดาเห็นแล้วตกใจสุดขีด รีบเรียกไว้
“ต๋อง...”
กิมลั้งตกใจมากเช่นกัน ไม่คิดว่าต๋องจะบุ่มบ่ามเข้าไปในกองเพลิงอย่างนั้น พอศักดิ์ชายเห็นว่าณดาดูเป็นห่วงต๋องที่กำลังลุยไฟเข้าไปช่วยเด็ก ศักดิ์ชายจึงตัดสินใจวิ่งตามต๋องเข้าไปด้วย ณดามองตามด้วยความงง
ต๋องฝ่าเปลวไฟเข้าไปข้างในกวาดตาหาเด็ก จนไปเห็นนอนสลบอยู่มุมหนึ่งจึงวิ่งไปหา ศักดิ์ชายวิ่งเข้ามาพอดี แต่พอเห็นต๋องเข้าไปถึงตัวเด็กก่อนจึงเกิดอาการเซ็ง แต่รีบเดินไปหา ต๋องอุ้มเด็กขึ้นมา ศักดิ์ชายยื่นมือไปทำท่าจะช้อนร่างเด็ก
“มา ชั้นช่วย” ศักดิ์ชายพูดขึ้น แต่ต๋องไม่ได้ส่งเด็กให้ แต่รีบชวนกันออกมา
“ไม่เป็นไร ชั้นไหว เรารีบออกไปกันดีกว่า” ต๋องรีบเดินออกมา
ศักดิ์ชายหันไปเห็นว่าท่อนไม้ไหม้เกรียมจากด้านบนกำลังจะร่วงหล่นลงมา จึงเกิดความคิดอะไรขึ้นมาบางอย่าง จึงรีบวิ่งไปที่ต๋องด้วยความรวดเร็ว
“ต๋อง ระวัง”
ศักดิ์ชายแกล้งผลักร่างต๋องไปให้อยู่ตรงจุดที่ไม้จะร่วงลงมา แล้วรีบเอื้อมมือไปคว้าเด็กมาอุ้มไว้ ขณะที่ต๋องเซล้มลงไปแถมโดนไม้หล่นใส่กลางหลังอีกที
“โอ๊ย..” ต๋องร้องด้วยความเจ็บปวด
ศักดิ์ชายทำท่าตกใจ
“เป็นไงบ้างต๋อง”
“นายรีบเอาเด็กออกไปก่อนเถอะ” ต๋องรีบบอกศักดิ์ชาย
“แล้วนายล่ะ” ศักดิ์ชายแกล้งห่วงต๋อง
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวชั้นตามไปเองได้”
“แต่...”
“รีบออกไปเร็วๆเข้าซิ”
ต๋องพยายามตั้งสติแล้วพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน
ด้านนอก ผู้คนช่วยกันดับไฟและใจจดใจจ่อว่าต๋องกับศักดิ์ชายจะพาเด็กออกมาได้รึไม่ แล้วทุกคนหันไปเห็น ศักดิ์ชายในมาดเท่ห์กำลังอุ้มเด็กฝ่าเปลวเพลิงออกมาราวกับเป็นฮีโร่ ณดา กิมลั้งและพ่อค้าแม่ค้า มองด้วยความตะลึง แล้วศักดิ์ชายเอาเด็กส่งคืนสู่อ้อมอกแม่เด็กยิ้มอย่างโล่งใจเมื่อเห็นเด็กปลอดภัย ณดามองศักดิ์ชายด้วยความงงไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรดี
ชาวตลาดปรบมือชื่นชมศักดิ์ชายจนอีกฝ่ายเขิน แต่กิมลั้งยังคงมองไปข้างใน รอว่าเมื่อไหร่ต๋องจะออกมาซักที ครู่หนึ่งต๋องเดินโซซัดโซเซออกมา กิมลั้งจึงรีบช่วยรับร่างต๋องไว้
ไม่นานต่อจากนั้น โรงเก็บของถูกดับไฟเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่ควันจางๆ ชาวตลาดเนื้อตัวมอมแมมนั่งหมดแรงกันทั่วหน้า
“ยังไงก็ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่ช่วยกัน ไม่งั้นวันนี้ตลาดเราอาจจะเหลือแต่ชื่อก็ได้” ณดาเอ่ยขึ้น
“จะขอบอกขอบใจกันทำไมอาคุณณดา ตลาดของเราถ้าเราไม่ช่วยกันดูแลแล้วใครจะช่วย” กิมฮวยรีบพูด
พูดเสร็จกิมฮวยหันไปปะทะสายตาต๋องที่เบะปากขำๆ กิมฮวยหน้าเจื่อนทันทีร้อนตัวว่าเอาหน้า
“ชั้นต้องขอบใจนายชายด้วยนะที่เสี่ยงชีวิตไปช่วยไอ้บอยออกมา” แม่ของเด็กขอบคุณศักดิ์ชาย
“งั้นก็ต้องขอบใจต๋องด้วยนะจ๊ะ เพราะต๋องเค้าก็เข้าไปช่วยเหมือนกัน” ศักดิ์ชายเอ่ยรับคำชมเผื่อต๋อง
“น้ำใจงามจริงๆพ่อชาย ไม่ลืมที่จะยกความดีความชอบให้เพื่อนด้วย” ลักษณ์แม่จาตุรงค์เอ่ยชมซ้ำอีก จาตุรงค์เข้าไปโอบบ่าศักดิ์ชายทำตัวเป็นหน่วยเดียวกัน
“เพื่อนผมครับ เพื่อนผม”
“เฮ้อ โชคดีไปนะที่วันนี้ไม่เกิดเรื่องเลวร้าย คงเป็นเพราะเราทำพิธีแก้เคล็ดล้างซวยให้ตลาดไว้แท้ๆ เรื่องหนักถึงกลายเป็นเบาแบบนี้” เต๊กไฮ้เอ่ยขึ้น
“มันไม่ใช่เพราะพิธีหรอกเต๊กไฮ้ แต่เป็นเพราะฮีโร่อย่างพี่ต๋องต่างหากที่รีบมาป่าวประกาศให้เรารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ถึงได้ดับไฟกันทัน” กิมฮวยแขวะต๋อง
ชมพู่เข้าไปคล้องแขนต๋อง กิมลั้ง ณดา และคิตตี้ต่างมองไปที่มือชมพู่ที่คล้องแขนต๋องอยู่พร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย
“ต๋องรู้มั้ย ตอนที่ต๋องเข้าไปดับเพลิงแบบไม่คิดชีวิตน่ะเท่ห์มั่กๆเลยนะ เห็นแล้วคิตตี้ก็อยากจะเป็นเปลวไฟซะเอง จะได้โลมเลียต๋องให้ร้อนรุ่ม” คิตตี้ว่า
“นังคิตตี้ ท่าแกจะเป็นหมานะถึงได้ชอบเลีย” ชมพู่กัด
“แล้วไอ้ที่ชอบเห่าชอบกัดอย่างแกนี่เค้าเรียกแมวน้ำรึไง”
ชมพู่กับคิตตี้จะกระโจนเข้าหากัน แต่ตบตีกันได้ไม่เท่าไหร่ก็มีน้ำสาดเข้ามา
“อ๊าย” ชมพู่กับคิตตี้กรีดร้อง
ป้าพิณคว้าถังน้ำถังใหม่สาดเข้าที่ทั้งคู่อีก
“ทำอะไรน่ะป้าพิณ ชั้นเปียกหมดแล้วเห็นมั้ย” ชมพู่โวยวาย
“เอ้า เวลาหมากัดกันเค้าก็ต้องใช่วิธีนี้นี่ล่ะ”ป้าพิณรีบตอบ
“ป้าอ่ะ” ทั้งคิตตี้กับชมพู่เดินงอนตุ๊บป่อง ส่วนณดาเดินเข้าไปหาต๋อง
“ว่าแต่คุณต๋องจำหน้าพวกนั้นได้มั้ยคะว่าเป็นใคร” ณดาถามอย่างห่วงใย
“อืม ทุกอย่างมันรวดเร็วมากครับคุณณดา เร็วจนผมจำไม่ได้จริงๆ แล้วตอนนั้นผมก็มัวพะวงแต่เรื่องไฟ” ต๋องรีบตอบ
“อาต๋อง ลื้อจำไม่ได้ หรือว่าที่จริงมันไม่มีใครกันแน่ฮะ” กิมฮวยพูดคล้ายระแวงต๋องวางเพลิงเสียเอง
“น้ากิมฮวยหมายความว่ายังไง” ต๋องชักฉุน
“ก็คิดดูซิ ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาตลาดเราเคยไฟไหม้มั้ย ถ้าไม่รวมเรื่องเข้าใจผิดคราวก่อนนะ แต่พอลื้อมาอยู่ที่นี่ก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย ไอ้ที่ไฟมันไหม้ขึ้นมา อั๊วว่าเป็นเพราะลื้อต้องไปทำอะไรพลาดแน่ๆ แล้วก็โยนบาปไปให้แพะ”
“น้ากิมฮวยจะมาพูดอะไรแบบไม่มีหลักฐานไม่ได้นะ” ต๋องเริ่มฉุน
“หลักฐานมันจะมีได้ยังไงไอ้ต๋อง ในเมื่อทุกอย่างก็ถูกเผาหมดแล้ว”
จะเด็ดเสริมกิมฮวย จนต๋องฟิวส์ขาด
“คนที่คิดอะไรแบบนี้ได้มันต้องเป็นพวกโรคจิตเท่านั้น จิตเสื่อม จิตทราม จิตคุกคามคนอื่น”
“ลื้อว่าใครฮะไอ้ต๋อง” กิมฮวยของขึ้น
“ใครเป็นอย่างที่ชั้นว่าก็รับไปซิ” ต๋องไม่ยอมลดละ
“ไอ้เวรต๋อง” กิมฮวยจะเอาเรื่องต๋อง จนกิมลั้งต้องดึงไว้ ขณะที่ณดารีบเข้ามายืนขวาง
“พอเถอะ เรื่องสำคัญแบบนี้จะมากล่าวหาใครสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ตอนนี้เอาเวลาไปขายของกันก่อนดีกว่ามั้ยคะ” ณดาแอบช่วยต๋อง
“งั้นทุกคนก็ดูต่อไปแล้วกัน ตัวซวยอย่างไอ้ต๋องน่ะมันไม่หยุดสร้างปัญหาให้เราแค่นี้หรอก”
กิมฮวยย้ำ กิมลั้งรีบลากแม่ออกไป ก่อนที่เรื่องจะบานปลาย
“ไปเถอะม้า”
ต๋องมองตามกิมฮวยไปด้วยความเซ็ง ส่วนศักดิ์ชายเหลือบมองต๋องอย่างใช้ความคิด
มุมหนึ่งของตลาด ต่อจากนั้น กิมลั้งจูงกิมฮวยที่อารมณ์ยังไม่ดีเข้ามาในตลาดโดยมีพรรคพวกตามกันมาเป็นพรวน พอมาถึงแผงกิมลั้งสังเกตว่าปลาหายไป
“หม่าม้า ปลากะพงหายไปไหนน่ะ เมื่อกี้ยังกองอยู่ตั้งหลายตัว” กิมลั้งรีบรายงาน กิมฮวยได้ยินร้องเสียงหลง
“อะไรนะ ไอ้หยา หายไปจริงๆด้วย มันหายตอนที่ออกไปดับไฟแน่ๆ”
“คนขโมยนี่มันก็ทำกันได้ลงคอนะ บาปกรรมจริงๆ” ลักษณ์แช่งขโมยทันที
“ลักษณ์ อั๊วว่าเรารีบกลับไปที่แผงก่อนดีกว่า ไม่รู้หมูหายไปเท่าไหร่แล้ว”
เต๊กไฮ้กับลักษณ์รีบพากันออกไป รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าบางส่วนที่กลัวของหายเดินไปที่แผงตัวเองกันยกใหญ่
กิมฮวยยังเจ็บใจไม่หาย
“นี่ไง เห็นมั้ย ไอ้ต๋อง เป็นเพราะไอ้ต๋องตัวซวยคนเดียวมันถึงได้มีเรื่องบ้าๆบอๆได้ทุกวัน” กิมฮวยโพล่งขึ้นอย่างจริงจัง
“ม้าก็พูดไป มันไปเกี่ยวกับนายนั่นตรงไหนล่ะ” กิมลั้งไม่อยากให้แม่โทษต๋องอีกเพราะไม่มีหลักฐาน” กิมลั้งแก้ตัวแทนต๋อง
“เกี่ยวซิ ตรงไหนมีเรื่องไอ้ต๋องเป็นต้องอยู่ตรงนั้น วันๆอีทำตัวเหมือนมนุษย์มนามั้ย ไม่ แต่อีทำทุกอย่างที่คนเค้าไม่ทำกัน รู้แล้ว อั๊วว่าเจ้าที่เจ้าทางต้องเหม็นขี้หน้าไอ้ต๋องแน่ๆ ว่ามั้ยอาจะเด็ด” กิมฮวยเกลียดขี้หน้าต๋องเข้าไปทุกวัน
“นั่นซินะ หรือว่าไอ้ต๋องมันจะเป็นกาลกิณี” จะเด็ดเอ่ยขึ้น
ทุกคนเห็นทีท่าน้ำเสียงของจะเด็ดแล้วอดตกใจไม่ได้
“ถ้ามันเป็นอย่างที่ลื้อว่าจริง เราจะทำยังไงกันต่อไปดีล่ะ”
กิมฮวยเอ่ยถามขึ้น จะเด็ดนิ่งไป คล้ายมีคำตอบอยู่ในใจ ส่วนกิมลั้งดูว้าวุ่นเพราะเป็นห่วงต๋องขึ้นมาจับใจ
วันเดียวกัน สดศรีตกใจที่ทราบข่าวเรื่องตลาดไฟไหม้จากณดา
“ตายแล้ว ไฟไหม้ แล้วมีอะไรเสียหายมากมั้ยลูก” สดศรีเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ
“เผอิญว่าช่วยกันดับทัน ก็เลยไหม้แค่โรงเก็บของด้านหลังน่ะค่ะ” ณดารีบรายงาน
“นี่ดูแลตลาดกันยังไงถึงปล่อยให้ไฟไหม้ได้” สดศรีถามขึ้น
“คุณแม่หมายถึงพวกเราเหรอคะ” ณดายังงง
“จะพวกเราได้ยังไงล่ะณดา แม่หมายถึงพ่อค้าแม่ค้าพวกนั้นต่างหาก ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน ไฟถึงไหม้ขึ้นมา แบบนี้ต้องให้ช่วยกันจ่ายค่าเสียหายแล้ว”
“คุณแม่คะ ที่ไฟมันไม่ไหม้ทั้งตลาดก็เพราะพวกเค้าช่วยกันดับนะคะ ที่สำคัญเราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร” ณดารีบอธิบาย
“อย่าให้แม่รู้เชียวว่ามันเกิดจากความสะเพร่าของใคร ไม่งั้นจะเล่นงานให้น่าดู” สดศรีเอาจริงเพราะกลัวเสียเงินค่าซ่อมตลาด
“ณดาว่าเราน่าจะเช็คระบบไฟทั้งหมดของตลาดอย่างจริงจังซักทีก็ดีนะคะคุณแม่ วันก่อนไฟก็ช็อต ไม่รู้ว่าที่ไฟไหม้ขึ้นมานี่มันจะเกี่ยวกันรึเปล่า” ณดารีบบอกปัญหา
“เช็คระบบไฟ แบบนี้แม่ก็ต้องเสียเงินอีกน่ะซิ” สดศรีเริ่มกลัวเสียเงินครั้งใหญ่
“ก็ถ้าสาเหตุมันมาจากเรื่องนี้จริงๆแต่คุณแม่ยังเพิกเฉย วันหน้าตลาดเราอาจจะเหลือแต่ตอก็ได้นะคะ แล้วก็คงถึงวันที่ต้องขายที่เลหลังให้ห้างของเสี่ยชายศักดิ์จริงๆซักที” ณดาเอ่ยท้วงแม่ จนอีกฝ่ายอารมณ์ขึ้นทันที
“ไม่มีวัน ต่อให้ไฟไหม้หรือธรณีสูบตลาดไป แม่ก็ไม่มีทางให้ชายศักดิ์มาหายใจรดบนที่ดินของเราแน่”
ณดางงที่แม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“โธ่ ณดาก็แค่พูดเล่น ทำไมคุณแม่ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทุกทีที่พูดชื่อเสี่ยชายศักดิ์ด้วยล่ะคะ”
สดศรีอ้ำอึ้ง
“แหม ก็ใครจะอยากได้ยินชื่อคนที่แย่งลูกค้าตลาดเราไปล่ะคะลูก”
สดศรีรีบแย้งเพื่อกลบเกลื่อนแต่ไม่ได้เล่าเรื่องความสัมพันธ์อื่นใดกับชายศักดิ์ให้ณดาฟัง
ค่ำคืนวันเดียวกัน กิมลั้งยืนอยู่ที่ระเบียงบ้านด้วยความเซ็ง เธอมองดูมือถือในมืออย่างใจจดจ่อเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง
“ทำไมเงียบไปเลย เธอจะเป็นยังไงบ้างนะต๋อง” กิมลั้งรำพึงรำพันกับตัวเอง
ครู่หนึ่งมือถือมีเสียงเตือนข้อความดังขึ้น กิมลั้งเปิดมือถือดูด้วยความดีใจแต่ปรากฏว่าเป็นข้อความส่งมาว่า “ดู
ดวง ถ่วงกรรม ขย้ำทุกข์ กด 1901*” กิมลั้งเซ็งหนักกว่าเดิมจึงเดินเข้าห้องไป ไม่ทันไรต๋องเดินมาที่หน้าบ้าน ต๋องเงยหน้ามองที่หน้าต่างห้องกิมลั้งตรงระเบียง แต่เห็นเพียงเงากิมลั้งที่ยืนอยู่หลังม่านเท่านั้น
“กิมลั้ง เธอจะเหมาว่าชั้นเป็นอย่างที่แม่เธอคิดมั้ยนะ”
ต๋องรำพึงรำพันกับตัวเองแล้วตัดใจเดินจากหน้าบ้านกิมลั้งไป อีกฝ่ายเปิดม่านหน้าต่างมามอง แต่เห็นเพียงเงาของต๋องที่พาดผ่านบนพื้นถนนเพียงเท่านั้น
คืนนั้นที่บ้านชายศักดิ์ รัศมีออกอาการไม่พอใจนัก แต่จำต้องจ่ายเงินให้ชายสามคนที่ทำงานเผาตลาดร่วมใจเกื้อไม่สำเร็จ โดยศักดิ์ชายแอบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
“เอาไปแค่ครึ่งเดียวพอ” รัศมีเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ทำไมอย่างงั้นล่ะครับคุณนาย” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ยังมีน่ามาถามอีก ดูซิว่าแกเผาตลาดนังคุณนายสดศรีสำเร็จมั้ย แถมสะเพร่าทำให้คนในตลาดเห็นอีก ถ้าเรื่องมันมาถึงชั้นจะว่ายังไง ไป ไปให้พ้นๆหน้าชั้นได้แล้ว” รัศมีรีบไล่
ชายสามคนรับเงินแล้วรีบออกไป ศักดิ์ชายจึงแสดงตัวออกมา
“ที่แท้ทั้งหมดก็ฝีมือคุณแม่นี่เอง”
“ชาย...”
รัศมีเห็นลูกชายตัวเองโผล่ออกมายิ่งตกใจ
“นี่คุณแม่ต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้เลยเหรอครับ”
“คือ แม่” รัศมีอึกอัก
“รู้มั้ยครับ ดีไม่ดีคุณแม่จะทำแผนผมเสีย” ศักดิ์ชายรีบเอ่ยขึ้น
“แผน ?” รัศมีงง ศักดิ์ชายจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้รัศมีฟัง
“ปลอมตัวเป็นพ่อค้าในตลาด ? ยึกยักชักช้าแบบนั้นมันจะเป็นประโยชน์ อะไรล่ะลูก สู้เผาๆให้หมดเรื่อง นอกจากสะใจแล้ว ยังได้ที่มันมาอีก”
“มีอะไรการันตีครับว่าเราจะได้ที่ดินนั่นมา ถึงไฟไหม้เค้าก็สร้างตลาดขึ้นมาใหม่ได้แต่ถ้าผมเข้าไปแทรกแซงคนที่นั่นจนปั่นป่วน ตลาดมันก็จะตายแบบไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีก”
“แต่สุดท้ายก็แน่ใจไม่ได้อยู่ดีว่าโฉนดที่ดินของตลาดนั่นมันจะตกมาอยู่ในมือเรา” รัศมียังไม่เข้าใจ
“ถ้าผมจัดการลูกสาวคุณนายสดศรีให้อยู่หมัด คุณแม่ลองคิดดูซิครับ ว่าเราจะได้อะไร” ศักดิ์ชายเล่าอย่างภูมิใจ
รัศมีคิดตามแล้วชอบใจ ยิ้มเจ้าเล่ห์เริ่มเห็นด้วยขึ้นมาทันที
“จริงด้วยซินะ”
เช้าวันใหม่ ที่ตลาด ต๋องยกเข่งผัก สักครู่เลื่อนกับรักเร่เข็นรถมาหาด้วยความรวดเร็ว
“มาพี่มา ชั้นช่วย” เลื่อนกับรักเร่ช่วยกันยกเข่งผักขึ้นรถเข็น
“บอกหลายทีแล้วว่าจะขนของให้เรียกมืออาชีพอย่างพวกชั้น” เลื่อนรีบพูด
“ไม่เป็นไรหรอก ใช้บริการพวกเอ็งฟรีบ่อยๆ เกรงใจ” ต๋องตอบอย่างจริงใจ
“อย่ามาพูดเลย พี่กะจะแบกเข่งเบ่งกล้ามโชว์สาวๆในตลาดใช่มั้ย” รักเร่แซวต๋อง
“อย่างข้าไม่ต้องทำอะไรให้ลำบากขนาดนั้นหรอกเว้ย แค่ยกกล้ามนิ้ว ขึ้นลงไปมาแค่นี้ สาวๆก็แห่กันมาตรึมแล้ว” ต๋องโม้โชว์เลื่อนกับรักเร่
“โอ้โห”เลื่อนกับรักเร่ยิ้ม
ต๋องทำท่ากระดิกนิ้วจนสมุนฮือฮาในความซ่า
“แหมๆ นี่แสดงว่ายังซ่าได้อยู่ เมื่อวานเจอเจ๊กิมฮวยจัดหนักเข้าให้ ชั้นนึกว่าพี่กลับบ้านไปนอนหงอยเป็นหอยทากซะแล้ว” เลื่อนแซว ต๋องถึงกับถอนหายใจ
“ข้าปลงแล้วเว้ยกับเสียงนกเสียงกา ขี้เกียจเก็บมารกสมอง”
“แต่ถึงขนาดมากล่าวหาว่าพี่เป็นทำให้ไฟไหม้ตลาด มันก็มั่วเกินไปนะ” รักเร่พูดตามที่คิด
“จะสนทำไมล่ะ ให้ไฟมันไหม้แค่ตลาดเถอะ อย่าให้มันมาไหม้ใจข้าด้วยเลย อย่าให้มันมาไหม้ใจข้าด้วยเลย”
ต๋องทำท่ายกมือห้าม ทำหน้าเอียงคล้ายกับพระเอกมิวสิกวิดีโอ
“ดูละครน้ำเน่ามากไปป่ะพี่” เลื่อนแซว
“นี่ ข้าไม่อยากยืนเท่ห์นานไปกว่านี้แล้ว ไปส่งข้าได้แล้วพวกเอ็งน่ะ”
ต๋องเอ่ยขึ้น ก่อนจะก้าวขึ้นยืนบนรถเข็นอีกคันเพื่อให้เลื่อนกับรักเร่เข็นทั้งตัวเอง รวมทั้งเข่งผักไปส่งแผง
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00น.
“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 2 (ต่อ)
ต๋องนั่งรถเข็นเริงร่าเข้ามาในตลาด แต่แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นว่าจะเด็ด กิมฮวย เต๊กไฮ้ ลักษณ์และพรรคพวกกำลังทำพิธีขับไล่เสนียดจัญไร แต่ดันเหยียบผักที่จัดวางไว้แล้วจนเสียหาย ซึ่งคิตตี้พยายามจะห้ามไม่ให้ทุกคนไปทำลายผักของต๋อง แต่ไม่มีใครฟัง จะเด็ดรีบบริกรรมคาถา
“นี่...ผักนะไม่ใช่หญ้า เหยียบของเค้าเสียหายหมดแล้วเห็นมั้ย” คิตตี้ปรามแต่ไม่มีใครฟัง ต๋องลงจากรถเข็นแล้วรีบพุ่งไปที่แผงด้วยความโกรธ
“ทำอะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ต๋องตะโกนด้วยความโกรธ
ทั้งหมดชะงักครู่หนึ่งแล้วหันมาที่ต๋องแต่จะเด็ดไม่หยุดการกระทำ
“ไม่ต้องสนใจอาจะเด็ด ปัดกวาดเสนียดจัญไรของลื้อต่อไป มันจะได้หมดๆไปจากตลาดของเราซักที” กิมฮวยลอยหน้าลอยตาตอบ ด้านจะเด็ดไม่สนใจทำพิธีต่อ ต๋องเลยกระโดดพรวดไปที่แผงแล้วคว้ามือจะเด็ดที่กำลังฟาดแส้ไปที่บรรดากองผัก ให้หยุด
“จะเลิกไม่เลิกน้าจะเด็ด” ต๋องขู่ จะเด็ดจ้องตากับต๋องเขม็ง
“เอ็งจะทำไรข้า” จะเด็ดไม่ลดลาวาศอกเช่นกัน
ต๋องหักข้อมือจะเด็ดจนต้องปล่อยแส้จากมือ แล้วคว้าแส้มาฟาดจะเด็ดบ้าง
“โอ๊ย ไอ้บ้าต๋อง ฟาดข้าทำไมฮะ โอ๊ย” จะเด็ดเริ่มเจ็บ
“ผักน่ะมันร้องไม่ได้ แต่คราวนี้น้าคงรู้แล้วนะว่าเวลาถูกฟาดจนเนื้อแหก เหมือนผักน่ะมันเป็นยังไง” ต๋องฟาดแส้ไปพูดไป
ต๋องฟาดจะเด็ดอีกหลายครั้ง และเป็นจังหวะที่จาตุรงค์เดินเข้าตลาดมาพร้อมๆกับศักดิ์ชายเห็นเหตุการณ์เข้าจึงรู้สึกแปลกใจ รีบเดินมาดู จะเด็ดตะโกนร้องให้คนอื่นช่วย
“จับมันซิ ให้มันทำข้าอยู่ทำไม”
บะหมี่กับเกี๊ยว ลูกศิษย์สุดรัก กับพ่อค้าคนอื่น รวมทั้งเต๊กไฮ้ช่วยกันเข้าไปจับตัวต๋องไว้ จะเด็ดรีบคว้าแส้
มองต๋องอย่างอาฆาต
“เอาล่ะ ข้าจะฟาดให้เสนียดกระเด็นเลยคอยดู”
จะเด็ดเงื้อแส้ฟาดต๋องสุดแรง ต๋องโกรธจัด สองแขนถูกล็อกไว้จึงใช้สองขากระโดดถีบจะเด็ดจนกระเด็น แล้วต๋องเซเสียหลักล้มไปชนเต๊กไฮ้ที่จับแขนตนอยู่ จนเต๊กอีกฝ่ายหัวแตกเพราะไปกระแทกขอบปูน
“ป๊า” จาตุรงค์เรียกพ่อเสียงดังลั่นตลาด เต๊กไฮ้เงยหน้าขึ้นมาพร้อมเลือดไหลออกมาจากหน้าผาก ทุกคนเห็นแล้วตกใจรวมทั้งต๋อง
“เฮีย” ลักษณ์เข้าไปประคองเต๊กไฮ้
“ทำพ่อกูเหรอมึง” จาตุรงค์โพล่งเสียงดังปรี่เข้าไปต่อยหน้าต๋องจนเซ กิมลั้งมองอยู่รู้สึกห่วงต๋องจับใจ
“ต๋อง...”
“สั่งสอนมันเลยอาจาตุรงค์” กิมฮวยสะใจเมื่อเห็นต้องโดนทำร้าย ต๋องเมื่อเห็นว่าจาตุรงค์อัดตัวเองอย่างเมามัน และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ต๋องเลยอัดหน้าจาตุรงค์อย่างแรงจนลงไปนอนน็อกกับพื้น
“ว้าย!” กิมฮวยตกใจ
“จาตุรงค์” ลักษณ์ร้องเสียงหลง
ศักดิ์ชายรีบเข้าไปประคองจาตุรงค์เพื่อโชว์ความมีน้ำใจให้คนเห็น กิมฮวยโกรธจัดด่าต๋องลั่น
“อาต๋อง อั๊วไม่ปล่อยลื้อไว้แน่ๆ พวกเรา จับมันส่งตำรวจ”
เลื่อน รักเร่ และคิตตี้ต่างตกใจ
“หา!”
คนที่อึ้งไปไม่น้อยกว่าใครคือกิมลั้ง แต่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกกับต๋องได้เลย
บ่ายวันเดียวกัน ต๋องโดนจับเข้าห้องขัง นั่งคอตกคอพิงลูกกรงปะปนอยู่กับผู้ต้องหาคนอื่นๆ สีหน้าไม่สบายใจ ครู่หนึ่งมีร่างหนึ่งโผล่มายืนตรงหน้าต๋องจึงรีบลุกขึ้น
“กิมลั้ง!” ต๋องดีใจที่เห็นหน้ากิมลั้งมาเยี่ยม พร้อมข้าว
“นึกว่าเธอจะเกลียดชั้นเหมือนคนอื่นไปแล้วซะอีก” ต๋องพูดกับกิมลั้ง
“แต่ชั้นก็ไม่ได้ปลื้มกับสิ่งที่เธอทำนักหรอกนะ” กิมลั้งรีบพูด
“เธอก็เห็นว่าชั้นโดนอะไร” ต๋องอยากอธิบาย
“เธอหลีกเลี่ยงที่จะไม่มีเรื่องกับพวกเค้าได้ แต่เธอก็ไม่ทำ” กิมลั้งเอ่ยขึ้น
“สรุปว่าที่แท้ชั้นเองที่เป็นคนไม่ดี” ต๋องน้อยใจ
“ไม่เห็นต้องประชดประชัน ชั้นแค่อยากให้เธอใช้ความถูกต้องสู้กับความไม่ถูกต้อง”
“แล้วแม่เธอกับพรรคพวกรู้บ้างมั้ยว่าความถูกต้องคืออะไร” ต๋องโพล่งออกมาจากใจ
“ถ้าอยากให้เค้ารู้ว่ามันคืออะไร เธอต้องเป็นคนทำต๋อง” กิมลั้งเอ่ยเสียงดังขึ้น ต๋องชะงัก เถียงไม่ออกเพราะรู้ว่าลึกๆแล้วกิมลั้งต้องการบอกสิ่งใดกันแน่
“ใครจะมองเราว่าเป็นยังไงมันไม่สำคัญเท่ากับตัวเราเป็นคนยังไงหรอก เชื่อชั้นนะ เธอต้องอดทน รอเวลา แล้ววันนึงทุกคนจะต้องเห็นเธอเหมือนที่ชั้นเห็น” กิมลั้งให้กำลังใจต๋องทั้งคู่มองตากันอย่างมีความหมาย ก่อนที่จะดื่มด่ำกันไปมากกว่านั้น กิมลั้งรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอ้อ วันนี้ชั้นพาเพื่อนมาเยี่ยมเธอด้วยนะ” กิมลั้งยิ้ม ต๋องรีบมองหา
“ใครเหรอ”
กิมลั้งชูนิ้วสองนิ้วที่เขียนหน้าเขียนตาแล้วขึ้นมา
“นี่ไง...”
ต๋องยิ้มขึ้นมาอย่างดีใจ
“อย่าบอกนะว่าเธอจะถ่ายรูปเพื่อนเธอที่นี่”
“เอ้า ทำไมล่ะ ก็เพื่อนชั้นเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกนี่ ต้องถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อย จะได้อวดใครเค้าได้ว่าเคยมาต่างประเทศ”
ต๋องยังไม่เข้าใจมุกกิมลั้ง
“ต่างประเทศ ?”
“ก็ฮ่องกงไง” กิมลั้งเล่นมุก
“อ๋อ ห้องกรง” ต๋องเริ่มเข้าใจ
“นั่นล่ะ เอ้อ ว่างอยู่นี่เธอน่ะ ช่วยถ่ายให้หน่อยดิ” กิมลั้งรีบยื่นมือถือให้ต๋อง
“เฮ้ย นี่ชั้นกำลังมีความทุกข์นะ”
“เอ้า แล้วทำไมชั้นต้องไม่มีความสุขด้วยล่ะ เร็วซิ ก่อนที่ตำรวจจะเห็น”
กิมลั้งแกล้งทำท่าแอ๊บแบ๊วโพสท่ากับนิ้วตัวเองเพราะอยากให้ต๋องหัวเราะ ส่วนต๋องถ่ายรูปให้กิมลั้งไปหัวเราะไปอย่างมีความสุข
บ่ายนั้นที่ส่วนสำนักงานของตลาด ณดาตกใจเมื่อรู้ข่าวจากลุงอ่ำเรื่องต๋องโดนจับ
“คุณต๋องถูกจับ ?” ณดาตกใจสุดขีด
“ครับคุณณดา”
“ทำไมไม่โทรบอก นี่ถ้าไม่เข้ามา ชั้นก็คงไม่รู้เรื่อง” ณดารีบถาม
“คือ...” ณดาไม่ได้สนใจฟังลุงรีบกดมือถือทันที
“ผู้กำกับเหรอคะ นี่ณดา...ลูกคุณนายสดศรีนะคะ”
ณดารีบโทรไปรายงานตัวกับสารวัตรทันทีเพื่อช่วยต๋อง
ที่สถานีตำรวจ ต๋องนั่งกินข้าวกล่องที่กิมลั้งซื้อมาให้ พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นกิมลั้งกำลังจ้องหน้าตนอยู่ จึงแอบเขิน
“เอ้ย ทำไมจ้องกันตาเขม็งขนาดนั้น ทำอย่างกะจะกลืนกินชั้นงั้นล่ะ” ต๋องอมยิ้ม
“จะบ้าเหรอ คิดอะไร ชั้นกำลังดูแผลบนหน้าเธอต่างหาก เยอะเหมือนกันนะเนี่ย”
“ไม่เท่าไหร่หรอก ไกลหัวใจ” ต๋องตอบ
“ไกลหัวใจแต่ใกล้ปากนะ เวลากินข้าวไม่เจ็บเหรอ เลือดยังซึมๆอยู่เลย เดี๋ยวชั้นบอกตำรวจให้ช่วยทำแผลเธอหน่อยดีกว่า” กิมลั้งพูดแล้วยืนขึ้นจะเรียกให้ตำรวจมาทำแผลให้ จนต๋องต้องลุกตาม
“ไม่ต้องหรอกกิมลั้ง เดี๋ยวเค้าจะหมั่นไส้ชั้นโทษฐานสำออย ชั้นไม่เป็นไรจริงๆ”
“ก็ได้ ว่าแต่เธอจะไม่บอกให้ที่บ้านรู้จริงๆเหรอว่าโดนจับ”
“เดี๋ยวก็ต้องบอกน่ะล่ะ แต่ขอเวลาคิดนิดนึง ไม่อยากให้เค้าตกใจกันน่ะ พี่ติ๋มยิ่งกำลังท้องไส้อยู่”
กิมลั้งดูนาฬิกา กลัวว่ากิมฮวยจะจับได้จึงขอตัวต๋องกลับ
“อุ๊ย ชั้นกลับก่อนละกันนะ มานานแล้ว เดี๋ยวม้าสงสัย”
“ได้ เธอรีบกลับเถอะ ขอบใจมากนะที่มาเยี่ยม”
“ไม่เป็นไร สู้ๆนะ” กิมลั้งให้กำลังใจต๋อง
“อุย..เห็นยิ้มเธอก็สู้ไม่ถอยแล้ว”
ต๋องหยอดหวาน กิมลั้งเขินอายแต่ไม่วายจิกตาใส่ต๋องติดคุกยังจทะเล้น ก่อนจะเดินกลับตลาดไป ขากลับกิมลั้งเดินผ่านร้านขายยา จึงเดินถอยหลังกลับเข้าไปซื้อยาให้ต๋องอีกครั้ง
เวลาต่อจากนั้น ต๋องนั่งอยู่ในห้องขัง จู่ๆตำรวจเรียกตัวออกมา
“นายปารเมศ ออกมาได้แล้ว” ตำรวจเรียกชื่อต๋อง
ต๋องลุกขึ้นด้วยความงง เห็นณดาเดินยิ้มเข้ามาหา
“คุณณดา” ต๋องอึ้งที่ณดามาช่วย
ไม่นานนักต๋องออกมาจากคุกได้ นั่งเซ็นเอกสารเสร็จพอดี ณดายกมือขอบคุณผู้กำกับที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างนอบน้อม ต๋องไม่วายรีบยกมือไหว้ด้วย
“ขอบพระคุณท่านผู้กำกับมากนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
“นี่ถ้าไม่ได้ท่านช่วยเป็นธุระให้คงแย่เลย” ณดาเอ่ยชมตำรวจ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณนายสดศรีน่ะช่วยเหลือสน.เรามาตลอด อีกอย่างมันก็เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน”
ผู้กำกับพูดกับณดาแล้วกันมาคุยต่อกับต๋อง
“ยังไงต่อไปก็ระวังๆแล้วกันนะไอ้น้อง”
“ครับพี่...เอ้ย...ครับท่าน” ต๋องตอบกลับอย่างอารมณ์ดี
ต่อจากนั้น หลังจากเคลียร์เรื่องคดีจบ ต๋องเดินลงมาหน้าสถานีตำรวจพร้อมณดา
“ขอบคุณคุณณดามากนะครับที่ช่วยผมไว้”
“ไม่เป็นไร ณดาทำเพื่อความถูกต้องต่างหาก แปลกจัง ทำไมคนในตลาดถึงจ้องจะมีเรื่องกับคุณนักนะ”
“คงเป็นเพราะผมชอบคิดอะไร ทำอะไรไม่เหมือนพวกเค้ามั้งครับ”
“แต่ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันมันก็เกินไป”
“โทษเค้าทั้งหมดก็ไม่ได้หรอกครับ จะว่าไปผมก็มีส่วนที่ทำให้เกิดเรื่องอยู่เหมือนกัน”
ณดาเพิ่งสังเกตเห็นแผลบนใบหน้าต๋อง
“ตายแล้ว ณดาเพิ่งเห็นชัดๆ แผลที่หน้าคุณเยอะเหมือนกันนะคะ เอ้างี้ค่ะ เดี๋ยวคุณไปโรงบาลกับณดาก่อนดีกว่า”
“ไม่เป็นไรครับคุณณดา แผลแค่นี้ไม่กี่วันก็หายแล้ว”
“ไม่ได้ค่ะ...”
ณดาดึงมือต๋องมาจับ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับ กิมลั้งเดินถือถุงยา พลาสเตอร์มาให้ กิมลั้งเห็นภาพบาดใจเข้าอย่างจัง
“ผมไม่เป็นไรจริงๆครับ” ณดารวบทั้งสองมือต๋องไว้
“คุณไม่มีทางรู้หรอกค่ะว่าตัวเองเป็นอะไรรึเปล่า ให้หมอเช็คดูดีกว่านะคะ”
“แต่...” ต๋องลำบากใจ
“คุณกำลังทำให้ณดาไม่สบายใจนะคะ” ณดาอ้อน ต๋องไม่กล้าเถียง
“ก็ได้ครับ”
ณดาดีใจที่ต๋องไม่ขัดขืน รีบจูงต๋องไปขึ้นรถด้วยอาการกระตือรือร้นแล้วขับรถออกไป กิมลั้งได้แต่มองตามไปด้วยความน้อยใจ
เวลาต่อจากนั้น กิมลั้งกลับมาที่แผงปลาของตัวเองในตลาดนั่งเหม่อ ตาลอย ส่วนกิมฮวยกำลังขายของลูกค้าอีกเจ้า
“ปลาหมึกสองโลจ้ะ” ลูกค้าอีกคนเรียกซื้อ แต่กิมลั้งยังนั่งเหม่อไม่ได้ยิน ลูกค้าเรียกเสียงดังขึ้น
“หนูจ้ะ” แม่ค้าเรียกซ้ำ
กิมฮวยเพิ่งขายของให้ลูกค้าเสร็จหันมาเห็นพอดี เห็นกิมลั้งเหม่อ จึงรีบตะโกนเสียงดังใส่ทันที
“อากิมลั้ง!”
กิมลั้งสะดุ้งตื่นจากภวังค์
“จ้ะ..ม้า”
“เป็นอะไรของลื้อฮะ ลูกค้าสั่งของไม่ได้ยินรึยังไง รับอะไรนะจ๊ะ”
กิมฮวยเสียงหวานหันไปคุยกับลูกค้า
“ปลาหมึกจ้ะ ขอสองโล” ลูกค้ารีบตอบ กิมลั้งรีบหยิบปลาหมึกใส่ถุงด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เวลาเดียวกันนั้น ที่ร้านกาแฟอาโก จาตุรงค์ดูดกาแฟเย็นด้วยความยากลำบากเพราะปากบวมเจ่อจากการโดน
ต๋องต่อย
“เป็นไง...เจ็บมากมั้ยวะ” ศักดิ์ชายถามเพื่อน
“เจ็บตัวน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เจ็บใจมันจี๊ดกว่าเว้ย” จาตุรงค์ตอบ
“นายต๋องอะไรนี่ท่าทางมันไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ” ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น
“เห็นป๊าบอกว่าไอ้เนี่ยล่ะตัวปัญหาของที่นี่เลย แต่ตอนนี้มันคงจะต้องมีปัญหากับชั้นอีกคน” จาตุรงค์พูดอย่างแค้นใจ
ทันใดนั้นศักดิ์ชายกับจาตุรงค์หันไปเห็นรถของณดาเลี้ยวเข้ามาจอด ไม่นานณดาลงรถมาพร้อมต๋อง ณดายังเข้าไปประคองต๋องแสดงความใกล้ชิด
“งั้นณดาส่งคุณแค่นี้ล่ะกันนะคะ เดี๋ยวต้องไปธุระต่อ” ณดาเอ่ย
“ขอบคุณมากนะครับสำหรับทุกอย่างวันนี้” ต๋องขอบคุณณดา
“แหม ขยันขอบคุณจัง เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนได้มั้ย” ณดาหยอกทีเล่นทีจริง แต่ต๋องยังไม่เข้าใจ
“อะไรเหรอครับ” ต๋องยังไม่เข้าใจ
“อืม ไว้นึกออก แล้วณดาจะบอกเองละกัน ไปนะคะ”
ณดาพูดจบขึ้นรถขับออกไป ศักดิ์ชายหันมาพูดกับจาตุรงค์อย่างไม่พอใจ
“สงสัยมันจะต้องมีปัญหากับชั้นด้วยอีกคนซะแล้ว”
ภายในตลาดที่พ่อค้าแม่ค้าอยู่กันพร้อมหน้า ต๋องเดินเข้ามา รับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ทุกคนจ้องต๋องด้วยความสงสัยว่าออกมาจากคุกได้อย่างไร ต๋องเดินผ่านหน้ากิมฮวย จะเด็ด เต๊กไฮ้ที่เดินนำฝูงพรรคพวกมาประจันหน้ากับต๋อง โดยมีกิมลั้งตามอยู่ห่างๆ ป้าพิณ เขียวหวาน คำมูล และชาวตลาดส่วนหนึ่งคอยดูอย่างสังเกตการณ์ไม่ได้เป็นพวกใคร
“นี่ลื้อยังมีหน้ากลับมาที่นี่อีกเหรอไอ้ต๋อง” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“ทำไมชั้นจะมาไม่ได้ ในเมื่อชั้นไม่ได้ทำอะไรผิด ขนาดตำรวจยังต้องปล่อยชั้นออก เห็นมั้ย” ต๋องเอ่ยกลับอย่างไม่กลัวกิมฮวย
“ถ้าลื้อไม่ผิด แล้วแผลที่หัวอั๊วนี่มันโดนหมาตัวไหนทำวะ” เต๊กไฮ้รีบโวย
“แผลที่ปากชั้นด้วย” จาตุรงค์กับศักดิ์ชายเดินเข้ามาเสริมทัพจากอีกทาง
“แล้วที่แผงผักชั้นเละจนไม่มีชิ้นดีนี่คนหรือหมามันทำฮะ”ต๋องโพล่งขึ้น กิมลั้งหน้าเป็นกังวล ลุ้นไม่อยากให้มีเรื่อง
“จะมากไปแล้วนะไอ้ต๋อง เอ็งนี่มันกาลกิณีทั้งปาก ทั้งตัว ทั้งใจจริงๆ ก็เพราะที่นี่มีคนอย่างเอ็งนี่ไง ถึงได้มีแต่ความเสื่อม” จะเด็ดเอ่ยขึ้น
“ใช่ แล้วพวกเราทุกคนก็ไม่ต้องการให้คนอย่างลื้อมาขายของที่นี่อีกต่อไปแล้ว”
จะเด็ดหันไปที่พรรคพวกในตลาดหาแนวร่วม
“ไอ้ต๋อง....”
“ออกไป....”
กิมฮวยตะโกนต่อ
“ไอ้ต๋อง...”
“ออกไป...” ชาวตลาดบางส่วนขานรับ
“ไม่ได้นะ” เลื่อน เดินมากับรักเร่และคิตตี้อีกทางโพล่งขึ้น
“พี่ต๋องจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เพราะพวกชั้นในฐานะสมาชิกของตลาดยังต้องการให้พี่ต๋องอยู่ต่อ”
เลื่อนหันไปทางพรรคพวกที่มีเพียงคิตตี้และรักเร่เท่านั้นจึงตะโกนขึ้นบ้าง
“พี่ต๋อง...”
“สู้ สู้...” คิตตี้กับรักเร่ช่วยกันตะโกนสนับสนุนต๋อง
“พี่ต๋อง...”
“สู้ตาย...”
“เดี๋ยวพวกลื้อก็ได้ตายสมใจหรอก มีกันอยู่แค่สามคน จะมาสู้กับเสียงส่วนใหญ่ที่โหวตไอ้ต๋องมันออกไปจากตลาดได้ยังไง เต๊กไฮ้ขู่สามคน แล้วจู่ๆชมพู่เดินเข้ามาจากมุมหนึ่ง
“แต่เสียงไหนมันก็ไม่สำคัญเท่าเสียงคุณนายสดศรีหรอก ถ้าคุณนายไม่ได้ไล่พี่ต๋องออกไป ใครก็ไม่มีสิทธิ์”
“อาชมพู่ ลื้อเสนอหน้ามายุ่งทำไม ไอ้ต๋องมันเป็นอะไรกับลื้อฮะ” กิมฮวยเอ่ยขึ้น
“พี่ต๋องก็เป็นคนที่ชั้นจะไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงรังแกน่ะซิ เค้าไปทำอะไรให้พวกเจ๊กันนักหนา ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องกันนัก” ชมพู่เอ่ยขึ้น
“ใช่ นี่คงเป็นเรื่องเดียวที่ชั้นจะยอมเห็นด้วยกับนังชมพู่” คิตตี้กับชมพู่ปรายตามองกันแบบหมั่นไส้แต่ยอมสงบศึกเพื่อต๋อง
“แล้วชั้นก็จะไม่ยอมให้ใครมากล่าวหาต๋องว่าเป็นตัวซวยของตลาดอีกต่อไปแล้ว”
เลื่อน รักเร่ และชมพู่ ส่งเสียงพร้อมกัน
“ใช่”
พอเห็นพรรคพวกของต๋องดูจริงจังแข็งขืนพวกของกิมฮวยเริ่มมีอาการลังเล
“เข้าข้างมันกันไปเถอะ อีกหน่อยพวกลื้อจะทำมาหากินไม่ได้เพราะกาลกิณีอย่างมัน” จะเด็ดว่า
“พอได้แล้ว ชั้นจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น ได้ยินชัดมั้ย” ต๋องตอบ
“แล้วเอ็งจะหน้าด้านอยู่ต่อไปทำไม” จะเด็ดด่าใส่อีกรอบ แต่ต๋องตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังมุ่งมั่น
“เพราะชั้นจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นไงว่าไอ้ตัวซวยตัวจริงที่ทำให้ตลาดแย่ลงอย่างทุกวันนี้น่ะมันเป็นใคร”
พวกกิมฮวย ชาวตลาด รวมทั้งพรรคพวกของต๋องเองมองหน้ากันด้วยความงง แล้วกิมฮวยตัดสินใจพูดขึ้น
“ได้ งั้นอั้วจะให้เวลาลื้อไม่เกินสามวัน ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ คราวนี้ลื้อก็ต้องลากกระเป๋าออกไปจากบ้านเอเอฟทันที ตกลงมั้ย”
“ได้” ต๋องรับคำ และจ้องหน้าจ้องกิมฮวยแบบคมเฉือนคม
บ่ายนั้น ที่ริมคลองหลังตลาดต๋องเดินมาโดยมีเลื่อนและรักเร่ตามท้ายมาติดๆด้วยความยังไม่หายข้องใจ
“นี่ พี่ต๋อง ตกลงพี่ก็เชื่อเรื่องตัวซวยไม่ซวยเหมือนพวกนั้นด้วยเหรอ” เลื่อนถามขึ้น
“เชื่อซิวะ ไม่งั้นตลาดมันจะเป็นอย่างนี้เหรอ” ต๋องตอบ
“แล้วตกลงว่ามันเป็นใครกันล่ะ” รักเร่ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เอ็งสองคนอยากรู้ใช่มั้ย” ต๋องเอ่ยขึ้น
“มาก” เลื่อนกับรักเร่ตอบพร้อมกัน
“งั้นพวกเอ็งก็ต้องช่วยข้า”
“ยังไง”
“เอ็งสองคนซี้กันดีกับพวกแก๊งใต้สะพานใช่มั้ยวะ” ต๋องเอ่ยถามขึ้น
“โอ๊ยพี่ ชั้นกะไอ้รักเร่เตะบอลกับพวกมันบ่อยๆ ขยันยิงประตูจนจะเป็นผัวเป็นเมียกันอยู่แล้ว” เลื่อนอธิบาย
“งั้นงานนี้คงต้องเกณฑ์เมียๆพวกเอ็งมาช่วยด้วยแล้ว” ต๋องสั่ง
เลื่อนกับรักเร่มองหน้ากันด้วยความงง ต๋องมองซ้ายขวาก่อนที่จะเข้าไปกระซิบเบาๆเพื่ออธิบายแผนการทั้งหมด
จบตอนที่ 2
อ่านต่อตอนที่ 3 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.