แก้วกลางดง ตอนที่ 13
ทนงนั่งคุยกับบัวคลี่อยู่ในร้านอาหาร เขาไม่พอใจมาก เมื่อรู้ว่าเธอนัดอัญชิสากับรำพามา โดยไม่ปรึกษาทรงเผ่า
“ทำแบบนี้มันไม่ถูกนะคุณ ปลูกเรือนก็ต้องตามใจผู้อยู่”
“แต่ดิฉันลองถามดูแล้ว คุณเผ่าก็ยอมรับนะคะ ว่าถูกใจคุณหวานที่สุด”
“ใช่...แต่คนอย่างเจ้าเผ่า ถ้ามันอยากแต่งงานกับใครสักคน มันคงไม่ต้องให้ใครจัดการหรอก มันคงเดินมาบอกด้วยตัวเอง คุณเลี้ยงเจ้าเผ่ามาไม่รู้จักนิสัยมันเหรอ”
“ก็แค่ทาบทามให้ผู้หญิงเค้าสบายใจ คงไม่เป็นไรมั่งค่ะ คุณเผ่าคงไม่ขัด”
“คุณบัวคลี่ ตั้งแต่อยู่กันมา คุณจะทำอะไรผมก็ไม่เคยขัด เพราะถือว่าเราเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวกันก็มาก น่าจะรู้อะไรควรไม่ควร”
บัวคลี่เริ่มสลด
“แต่ครั้งนี้ ผมว่าคุณทำเยอะเกินไปนะ”
บัวคลี่มองหน้าทนง
“แล้วคุณพี่จะให้ดิฉันทำยังไงละคะ”
“กับข้าวมื้อนี้ดูท่าทางชักจะไม่อร่อยแล้ว เรากลับไปกินข้าวที่บ้านเถอะ ยกเลิกนัดครั้งนี้ แล้วก็ปล่อยให้เด็กๆ เค้าจัดการกันเอง”
ทนงลุกขึ้นเดินออกไป บัวคลี่ไม่รู้ทำยังไง จำเป็นต้องตามลุกขึ้นตาม
“เดี๋ยวซิคะ รอดิฉันด้วย”
บัวคลี่ตามมาทัน แต่เจอ อัญชิสากับรำพาที่จูง ท่านหญิงสูงอายุเข้ามาพอดี
“อ้าว...คุณลุง คุณน้าจะไปไหนค่ะ” อัญชิสาถามอย่างแปลกใจ
รำพายิ้มแย้ม
“มาช้าไปนิด เพราะต้องแวะรับบุคคลพิเศษเพื่อให้สมกับนัดพิเศษครั้งนี้คงไม่ว่ากันนะคะ”
ทะนงกับบัวคลี่มองเห็นผู้หญิงที่รำพาจูงอยู่ ก็ตกใจรีบยกมือไหว้ ท่านหญิงยิ้มแย้มให้ทั้งสอง
“ไหว้พระเถอะ ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีเหรอ”
ทั้งหมดพากันเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ทนงกับบัวคลี่อึดอัด อัญชิสากับรำพาแอบยิ้มในหน้า
“ไม่ทราบว่าท่านหญิงจะเด็จเลยไม่ได้ออกไปต้อนรับ ต้องขอประทานอภัยด้วยกระหม่อม” ทนงบอกอย่างนอบน้อม
“ไม่เป็นไรหรอก คุณรำพานะซิไปรับมาจากวัง”
“ดิฉันเห็นว่าเป็นโอกาสดี เลยไปกราบทูลเชิญท่านหญิงนะคะ” รำพาหันไปทางท่านหญิง “ท่านก็ทรงมีเมตตาให้กับดิฉันและลูกหวานมากเหลือเกินเพคะ”
“ฉันนะดีใจมากนะ เมื่อคุณรำพามาแจ้งข่าวว่าจะเป็นทองแผ่นเดียวกันเพราะคุณบัวคลี่เองก็ช่วยงานฉันอยู่ คนกันเองแท้ๆ”
“ขอบพระทัยเพคะ” บัวคลี่หันไปหารำพา “แต่คุณรำพาไม่น่ารีบรบกวนท่านหญิงเลย”
“โธ่...เรื่องแบบนี้ให้ผู้ใหญ่มาเป็นสักขีพยานตั้งแต่ต้น ก็ถือว่าเป็นสิริมงคลกับเด็กๆทั้งสอง จริงมั้ยคะ นะเพคะ”
ทนงกับบัวคลี่เลยอึกอักพูดไม่ออก ได้แต่เออออไป รำพากับอัญชิสาแอบมองหน้ากัน ยิ้มอย่างพอใจที่มัดมือชกให้ดิ้นไม่หลุด แต่แล้วอัญชิสาก็แปลกใจที่ไม่เห็นทรงเผ่า
“เอ๊ะแล้วนี่ คุณเผ่ายังไม่มาอีกเหรอคะ”
ในงานวัด...ทรงเผ่ากับเมียวดี เดินผ่านโบสถ์ ทรงเผ่ามองบรรยากาศอย่างชื่นชอบ
“ฉันไม่ได้มางานแบบนี้นานมากแล้ว เสียดายไม่ได้เอากล้องติดมาด้วย”
“คนเราก็มักไม่ชอบมองของใกล้ตัว ใกล้บ้านนายแค่นี่เอง”
ทรงเผ่ามองหน้าเมียวดี
“นี่หลอกด่ากันใช่มั้ย”
“ตรงไหนล่ะนาย เราก็บอกนายดีๆนี่”
“ถามหน่อยเถอะ ทำไมต้องหนีกันออกมา”
“ไม่ได้หนี เราก็เดินกันออกมาเฉยๆไอ้หมาลั่น เชอรี่ ไม่มีใครวิ่งสักคน”
“แต่ไม่ได้บอกใคร นั้นล่ะเค้าเรียกว่าหนี รู้มั้ยว่าป้าวงศ์เป็นห่วงมาก เกิดหลงไปเหมือนคราวก่อนอีกจะทำไง”
“เราถามเชอรี่แล้ว วัดอยู่ใกล้บ้าน เดินแค่ไม่กี่สิบก้าวก็ถึงจะหลงได้ไง”
ทรงเผ่าส่ายหัวกับความเจ้าเล่ห์
“จับไม่ได้ไล่ไม่ทันจริงๆ” ทรงเผ่ามองเข้าไปในโบสถ์ “งั้นให้พระท่านเป็นพยานว่าเธอพูดความจริงหรือเปล่า”
ทรงเผ่าดึงเมียวดีเข้าไปไหว้พระในโบสถ์ เขาแอบยิ้ม
“อยู่ต่อหน้าพระแล้วนะ”
เมียวดีได้แต่กรอกตาแล้วก็จำต้องพูด
“เราก็แค่อยากออกมาเที่ยวงานบ้างเท่านั้นเอง แต่ขอออกมาป้าวงศ์คงไม่ให้แน่ ไม่ได้ตั้งใจวางยาเลยนะ แล้วว่านนั้นนะก็ไม่ได้อันตรายอะไร แค่ทำให้สลบเท่านั้น”
เมียวดีแก้ตัวยาว ทรงเผ่าขำ
“ฉันจะถามว่าเมื่อกี้เธออธิษฐานว่าอะไรต่างหาก”
เมียวดีเสียฟอร์ม รีบโวยใส่ทันที
“เราไม่เชื่อนายอีกแล้ว”
เมียวดีกราบพระตั้งท่าจะลุกขึ้น
“เดี๋ยวซิ จะรีบไปไหน เสี่ยงเซียมซีกันก่อน”
เธอมองหน้าเขางงๆ
“มันคืออะไรอีกล่ะนาย”
“ก็เสี่ยงทายไง อธิษฐานแล้วก็เขย่าให้ไม้หล่นลงมา สนุกดีนะ”
เมียวดีจับไม้เซียมซีเขย่าใหญ่ ไม้หล่นลงมาหมด
“ว๊า...ไม่เห็นได้เรื่องเลยนาย”
“เค้าเขย่ากันเบาๆก็พอ...นี่แบบนี้ ค่อยๆเบาๆ”
เมียวดีเก็บไม้เขย่าอีก ทรงเผ่าจับมือของเธอช่วยเขย่า สักพักก็เริ่มรับรู้ความรู้สึกกันทั้งสองคน ต่างคนต่างเริ่มเขิน เณรองค์หนึ่งเดินเข้ามามอง
“หล่น แล้วโยม”
ทั้งสองหันไปเห็นเณรน้อย ยืนอยู่ สองคนรู้สึกตัว สะดุ้งกันทั้งสองคน รีบหยิบไม้ ปรากฏว่าหยิบไม้มือโดนกันอีก สองคนสะดุ้งกันอีกครั้ง ทรงเผ่ารีบทำเข้มกระแอมเรียกสติหยิบไม้ขึ้นมาดู
“ได้เลข 8”
ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นจะเดินไปทางหนึ่ง เณรมองๆแล้วถามขึ้น
“โยม จะไปไหน”
“ไปเอาใบเซียมซีไงครับเณร”
“เซียมซีอยู่ทางนี้โยม ทางนั้นทำบุญโลงศพ”
ทรงเผ่าหน้าแตกอีกครั้ง เมียวดีอดขำไม่ได้
ทั้งสองเดินมาที่ศาลาริมน้ำ เมียวดีหยิบเซียมซีขึ้นมาอ่าน
“ใบที่แปดไม่ขุ่นข้องต้องหมองจิต แสนสนิทสุขสมเกษมสันต์ ต้นอาจร้ายแต่ปลายดี สิ้นทุกข์โศกโรคภัยพลัน...ถามบุตรในครรภ์ทายว่าเป็นชายเอย เฮ้ย!” เมียวดีตกใจก้มดูท้องตัวเอง “ทำนายอะไรก็ไม่รู้ไม่เห็นได้เรื่อง”
เมียวดีจะขยำทิ้ง ทรงเผ่าห้ามไว้
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอถามอะไร ไหนให้ฉันดูหน่อย”
“โอ๊ย...จะดูทำไมล่ะนาย เราไม่ได้ถามอะไรซักหน่อย ทิ้งไปเถอะ”
“ขอฉันดูหน่อยน่า”
เมียวดีไม่ให้ แต่เขาแย่งจากมือไปอ่านจนได้
“ใบที่แปดไม่ขุ่นข้องต้องหมองจิต แสนสนิทสุขสมเกษมสันต์ ต้นอาจร้ายแต่ปลายดี สิ้นทุกข์โศกโรคภัยพลัน...ถามหาคู่ว่าอยู่ใกล้ไม่แปรผัน...ถามบุตรในครรภ์ทายว่าเป็นชายเอย” ทรงเผ่าหันพูดเบาๆ “ดูเหมือนเธออาจข้ามไปประโยคหนึ่ง”
เมียวดีทำเข้มแต่จริงๆแล้วเขิน
“คงงั้น เราไม่ทันเห็น”
“ใบเซียมซีดีๆ แบบนี้เค้าให้เก็บไว้ต่างหาก อย่าทิ้งนะเมียวดี”
ชายหนุ่มยื่นให้ หญิงสาวรับมาเขินๆ พยักหน้ารับ แต่ไม่พูดอะไร ทรงเผ่ายิ้มให้อย่างเอ็นดู รู้สึกดีให้กัน
“เมียวดี จำได้มั้ย ว่าเธอมาที่นี่ทำไม”
“นายบาดเจ็บ”
“ไม่ใช่...เพราะฉันฆ่าไอ้ลายได้ เธอถึงต้องอยู่กับฉัน”
เมียวดีเงียบไม่ต่อปาก ด้วยความเขิน
“ถึงฉันยังไม่เคยถามเธอเลยนะ ว่าเธอมีความสุขหรือเปล่า ที่อยู่กับฉัน”
หญิงสาวนิ่งไปแล้วเลี่ยงตอบเรื่องอื่น
“นายอยู่ไหนเราก็อยู่นั้น เราอยู่ได้”
“ฉันถามว่าเธอมีความสุขหรือเปล่า ไม่ได้ถามว่าอยู่ได้มั้ย”
เมียวดีเขินแต่ยังไม่ทันตอบ เสียงคนโวยวายดังมา ทรงเผ่ากับเมียวดีชะเง้อมอง
“เสียงดังเอะอะ อะไรกัน”
ทรงเผ่าเห็นชายคนหนึ่งวิ่งมาจึงตะโกนถาม
“มีอะไรกันเหรอพี่”
“คนตีกันที่เวทีประกวดร้องเพลง”
เมียวดีนึกได้ทันที
“ไอ้หมาลั่นกับนังเชอรี่!...นาย”
สองคนรีบออกไป
เชอรี่ กำลังแย่งถ้วยไปมาอยู่กับนักร้องหญิง
“ร้องก็เพี้ยนผิดคีย์ แล้วจะได้ที่หนึ่งได้ยังไง ใครฟังก็ฟังออก”
“แต่มันผลการตัดสินของกรรมการให้ฉันเป็นคนได้รางวัล”
นักร้องแย่งถ้วยกลับ ฟ้าลั่นเข้ามาโวย
“ก็เพราะแกเล่นไม่ซื่อแอบให้ซอง กรรมการก่อนขึ้นเวที”
“แกอย่ามาใส่ร้ายฉันนะ”
“เรื่องจริง พี่ฟ้าลั่นเห็นกับตาเลย”
ฟ้าลั่นดัดเสียงเลียนแบบ เข้าไปไหว้ที่อกเชอรี่
“หนูขอแค่ความเมตาจากท่านแค่เล็ก ๆน้อยๆ เท่านั้น”
ผู้ประกวดคนอื่นที่ยืนฟังอยู่ด้วยหันขวับไปมองนักร้อง
“อ้าว แบบนี้มันก็ไม่ยุติธรรมซิ”
ผู้ประกวดอีกคนโวยวายขึ้นเสียงดัง
“แล้วทำไมฉันถึงไม่ได้รางวัล ฉันก็ให้เหมือนกัน”
นักร้องชี้หน้า
“อ้าว นี่แกก็โกงเหมือนกันนะซิ”
“แบบนี้ก็เอาไว้ไม่ได้แล้ว
ผู้ประกวดคนหนึ่งเข้าไปตบนักร้อง แต่นักร้องหลบเลยโดนหน้าผู้ประกวดอีกคนแทน ผู้ประกวดคนนั้นโมโหเลยมองหาของใกล้มือขว้างออกไป แต่กลายเป็นโดนผู้ประกวดด้วยกัน เลยทำให้ทุกคนตีกันมั่วไปหมด เชอรี่ก็พยายามแย่งถ้วยกับนักร้อง
“เอามานะ ถ้วยต้องเป็นของฉัน”
ฟ้าลั่นอยู่ตรงกลาง พยายามเข้าไปห้าม
“อย่าตีกันเลย พูดกันดีๆก็ได้”
“อย่ามายุ่ง”
นักร้องผลักฟ้าลั่นอย่างแรง เซไปปะทะเข้ากับอกผู้หญิงอ้วนคนหนึ่งเต็มๆ ฟ้าลั่นเงย
หน้าขึ้นยิ้มน่ารักให้ประมาณจะขอโทษ
“นุ่มจัง เอ๊ย...โทษที”
“งั้นเหรอ”
หญิงอ้วนยิ้มให้ แล้วก็เปลี่ยนสายตาเป็นเอาเรื่อง หยิบฉาบที่อยู่ใกล้มือมาตีประกบหน้าฟ้าลั่น สองข้างเต็มๆ ฟ้าลั่นถึงกับเดินเอ๋อเป๋ไปมา ทรงเผ่ากับเมียวดี วิ่งเข้ามา เมียวดีตกใจทำอะไรไม่ถูก
“เอาไงดีนาย ตีกันใหญ่แล้ว”
“มองหาซิ ฟ้าลั่น กับเชอรี่อยู่ไหนเอาตัวมา”
เมียวดีมองเห็นฟ้าลั่นเดินเป๋ไปมาอยู่
“นั้นนาย”
สองคนเข้าไปหา เมียวดีตบแก้มเบาๆ เรียกสติ
“ไอ้หมาลั่น เป็นไงว่ะ”
ฟ้าลั่นสะบัดหัวเรียกสติ
“ยังไหวอยู่ สบาย”
“แล้วเชอรี่ล่ะ”
ฟ้าลั่นมองหา ก่อนจะชี้ไป
“โน่นๆเดี๋ยวข้าไปช่วยน้องเชอรี่ก่อน”
ฟ้าลั่นเดินออกไป แต่มึนเดินไปผิดทาง
“ไอ้หมาลั่นเอ๊ย เดินยังผิดทาง แล้วแค่นจะไปช่วยคนอื่น”
ทรงเผ่าหันไปสั่งเมียวดี
“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจะไปเอาตัวเชอรี่ออกมาเอง...เธอดูฟ้าลั่นอยู่นี่”
เมียวดีช่วยประคองฟ้าลั่นไว้ ทรงเผ่าเข้าไปดึงเชอรี่ที่กำลังจิกหัวอยู่กับนักร้องต่างคนต่างโดนจิกผม
“โอ๊ยๆปล่อยนะ...บอกให้ปล่อย” เชอรี่ร้องลั่น
นักร้องไม่ยอมปล่อย
“แกก็ปล่อยก่อนซิ...โอ๊ย”
“แกนั้นแหละปล่อยก่อน...โอ๊ย”
ทั้งสองไม่มีใครยอมปล่อย ทรงเผ่าตัดสินใจมองหาไม้ใกล้มือตัดสินใจเอามาเคาะมือทั้งสองคน จนปล่อย เชอรี่หันมาจะตบ เจอเป็นทรงเผ่าเต็มๆ
“อยากโดนดีหรือไง อุ๊ย...คุณทรงเผ่า!”
เชอรี่ลดมือลงทันที
ทรงเผ่า เมียวดี และฟ้าลั่นช่วยกันประคองเชอรี่หัวกระเซิง เข้าบ้านมา เชอรี่ยังโมโหไม่หาย
“นี่ถ้าไม่โกงกัน เชอรี่ต้องได้ถ้วยกลับมาแน่ๆ พูดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย”
เมียวดีส่ายหน้าถอนใจ
“ยังจะห่วงถ้วยอีกเหรอ ถ้วยเล็กแค่นั้นเอามาใส่น้ำพริกกินยังไม่พอเลย”
“ถ้วยรางวัลนะคะ ใครเค้าใช้ใส่น้ำพริกกัน คุณเหมียวไม่เข้าใจหรอก งานนี้อาจจะแพ้ แต่ใจเชอรี่ไม่แพ้หรอกค่ะ”
ฟ้าลั่นรีบเสริม
“ใช่แล้วน้องเชอรี่ เราจะสู้เพื่อฝันไปด้วยกัน”
ทรงเผ่าหน้าเหวอ
“นี่คิดจะไปประกวดอีกเหรอ”
เชอรี่หน้าตามุ่งมั่นมาก
“แน่นอนค่ะ ยังไงเชอรี่ก็ต้องทำให้ได้” เชอรี่เริ่มเพ้อร้องเพลงออกมา “ต้องมีสักวัน ต้องมีสักวัน ท่องคำเติมฝัน...อู๊ย...”
เชอรี่เอามือกุมปากเจ็บมาก เมียวดีส่ายหน้า
“เราว่าอย่าเพิ่งเพ้อเลยเชอรี่ ไอ้หมาลั่น เอ็งพาน้องเชอรี่ของเอ็ง ไปประคบปากก่อนที่มันจะบวมจนอ้าปากไม่ขึ้นดีกว่านะ”
ฟ้าลั่นพาเชอรี่ออกไป ทรงเผ่ากับเมียวดียืนขำๆกัน พอหันมาเจอหน้ากันความรู้สึกเขินๆดีๆยังอบอวลอยู่ เมียวดีเลยหาทางออก
“เรา...เราไปนอนแล้วนะนาย”
“เดี๋ยวเมียวดี...ฝันดีนะ”
เมียวดีเขินแต่ก็ทำเข้ม
“พูดแปลกๆ ใครจะอยากฝันร้ายกัน”
หญิงสาวหันไปแอบยิ้มเขินกับตัวเองแล้วออกไป ทรงเผ่าเองก็อดจับหัวตัวเองเขินตัวเองด้วยเช่นกัน
“เราเป็นอะไรเนี่ย”
วงศ์เข้ามาหา
“คุณเผ่า กลับมาแล้วหรือคะ แล้วพวกเด็กๆ”
“เรียบร้อยครับ ตามตัวกลับมาครบทุกคน”
“งั้นรีบขึ้นตึกเถอะค่ะ คุณท่านกับคุณบัวคลี่กลับมาแล้ว ถามหาคุณเผ่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
ทรงเผ่าชะงักไป
ทรงเผ่า บัวคลี่ ทนงและวงศ์ อยู่ในห้องนั่งเล่น ทรงเผ่ารู้เรื่องทั้งหมดก็ไม่ค่อยพอใจ
“นี่แปลว่าคุณน้าจัดฉากเรื่องกินข้าว แต่จริงๆแล้วไป...” เขาไม่อยากพูด “โดยที่ไม่บอกผม ทั้งๆที่เป็นเรื่องของผมโดยตรง”
“ก็แค่ไปทาบทามหนูหวานเอาไว้ หมั้นเอาไว้ก่อนแต่ ยังไม่ได้ให้แต่งงานเลยซักหน่อย” บัวคลี่แย้ง
ทรงเผ่าหันไปมองหน้าพ่อ
“ผมไม่ยักรู้ว่าบ้านเรามีระบบคลุมถุงชนด้วย คุณพ่อน่าจะเตือนให้ผมรู้ตัวบ้าง”
ทนงอายทรงเผ่าจนพูดอะไรไม่ออก บัวคลี่รีบบอก
“อย่าต่อว่าคุณพ่อแบบนั้นเลยค่ะ คุณเผ่า น้าเองค่ะที่จัดการเรื่องนี้ แต่แค่แต่งงานเร็วขึ้นไม่เห็นเป็นไรไม่ใช่เหรอคะ คุณเผ่าเองก็ยอมรับกับน้าว่าชอบคุณหวาน”
“การแต่งงานไม่ได้แค่ชอบนะครับ ผมหาคู่ชีวิตที่จะอยู่กับผมตลอดไป ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันอย่างที่สอนผมมาตลอด แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”
ทนงหน้าเครียด
“พ่อ...ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว พ่อให้แกตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”
บัวคลี่รีบหาเหตุผล
“คุณหวานก็เป็นคนที่เหมาะสมกับคุณเผ่าที่สุดแล้วนะคะ น้าก็ไม่เห็นว่าเธอมีข้อเสียอะไร ถึงได้จัดการให้ น้าอาจจะผิดที่ไม่ได้ปรึกษาคุณเผ่าก่อน แต่ทั้งหมดที่ทำก็เพราะน้ารักและหวังดีกับคุณเผ่า”
“ผมก็รักและเครารพคุณน้าเหมือนแม่คนหนึ่งมาตลอด อย่าให้ความรักของผมที่มีต่อคุณน้าเปลี่ยนไปเลยนะครับ”
บัวคลี่ชักไม่พอใจ
“แต่เรื่องนี้มีผู้หลักผู้ใหญ่มารับรู้เป็นพยานแล้ว เราจะกลับคำได้ยังไง ถ้าคุณเผ่าไม่เห็นแก่หน้าน้า ก็ควรให้เห็นแก่ผู้ใหญ่บ้าง ต่อไปผู้ใหญ่จะมองหน้ากันติดได้ยังไง”
“ผมให้ความเคารพผู้ใหญ่เสมอครับ แต่ผู้ใหญ่ก็ควรเคารพสิทธิของเด็กเหมือนกัน ผมจะไม่แต่งงานเพียงเพราะเกรงใจคนอื่น นี่คือเรื่องใหญ่ในชีวิตของผม”
บัวคลี่เข้ามาจับมือทรงเผ่าไว้
“คุณเผ่า ถือว่าถ้าน้าขอร้องจะได้มั้ยคะ”
“ผมเสียใจครับคุณน้า”
ทรงเผ่าแกะมือแล้วออกไป
“คุณเผ่า...เดี๋ยวซิคะ มาคุยกันก่อน” บัวคลี่หันไปหาทนง “โธ่ แล้วดิฉันจะไปทูลท่าน
หญิงได้ยังไง ท่านจะไม่กริ้วเอาแย่หรือคะ ป่านนี้ข่าวก็คงรู้กันทั่วแล้ว”
“รักษาหน้าแต่ยอมให้เด็กมันถอนหงอก จะเอาแบบนี้งั้นเหรอคุณ ฮึ”
บัวคลี่อึ้ง
“คุณพี่!”
“เรื่องนี้ คุณเป็นคนผูกก็คงต้องหาทางแก้เอง”
ทนงเดินออกไป บัวคลี่เสียใจมากไม่รู้ทำไงดี
ค่ำคืนนั้น ทนงกับบัวคลี่นอนหันหลังให้กัน บัวคลี่เสียใจมาก หันไปเอื้อมมือไปจะแตะตัวทนง แต่ไม่กล้า ต้องชักมือกลับ ก่อนจะหันกลับไปนอนเหมือนเดิมด้วยความเสียใจและน้อยใจที่ประดังประเดเข้ามา เธอเริ่มเจ็บหัวใจแล้วก็เริ่มเจ็บขึ้นเรื่อย ๆพยายามเรียกทนงแต่ไม่ไหว ตกจากเตียงสลบไปในที่สุด
ทรงเผ่าเปิดไฟหัวเตียงได้ยินเสียงเคาะประตู
“คุณเผ่าคะๆ เปิดประตูหน่อยคะ นี่ป้าเอง”
ทรงเผ่ายังงัวเงีย
“มีอะไรครับป้า”
“คุณบัวคลี่หมดสติ คุณท่านพาส่งโรงพยาบาลแล้วแล้วค่ะ”
ทรงเผ่าตกใจตาสว่าง ลุกขึ้นทันที
เช้าวันใหม่...ทรงเผ่ายืนดูทนงที่นั่งหลับ แต่จับมือบัวคลี่อยู่ อย่างสะท้อนใจบางอย่าง
“ผมไม่เคยเห็น คุณพ่อดูแก่เท่าวันนี้มาก่อน”
วงศ์ถอนใจ
“คุณท่านคงเป็นห่วงคุณบัวคลี่มาก ไล่พยาบาลไป ขออยู่ดูแลเอง”
ทนงรู้สึกตัว
“มาแล้วเหรอเจ้าเผ่า”
“ป้าวงศ์ทำโจ๊กมาให้คุณพ่อ แล้วก็เอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนด้วย”
“ขอบใจ...” ทนงหันไปดูบัวคลี่ต่อ “อยู่กันมายี่สิบกว่าปี ผู้หญิงคนนี้ดูแลพ่อทุกอย่างตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับ เธออยู่ข้างตัวพ่อตลอด แต่พ่อกลับไม่เคยรู้เลยว่าเค้ามีโรคประจำตัว ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเธอชอบกินอะไร พ่อนี่เป็นผู้ชายที่ใช้ไม่ได้จริง ๆ” ทนงแอบเบือนหน้าหนีไม่ให้ลูกชายเห็นน้ำตา “พ่อเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าเธอคือผู้หญิงที่สำคัญต่อชีวิตของพ่อ”
ทรงเผ่าไม่สบายใจ เมื่อเห็นความรักของพ่อที่มีต่อบัวคลี่ บัวคลี่ค่อยรู้สึกตัว วงศ์เห็นก็ดีใจ
“คุณบัวคลี่รู้สึกตัวแล้วค่ะ”
ทนงเข้าไปกุมมือทันทียิ้มให้ เป็นไงบ้างคุณ
“คุณพี่...ยิ้มให้ดิฉันแล้ว...”
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคุณ ผมยิ้มให้คุณเสมอนะ”
บัวคลี่ยิ้มออก เข้าใจกัน บัวคลี่เหลืบเห็นทรงเผ่าทักอย่างเกรงใจที่รู้สึกผิดอยู่
เชอรี่กับฟ้าลั่นกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย แต่เมียวดีกินข้าวไม่ลง ฟ้าลั่นหันไปมอง
“เอ็งไม่กินเหรออีเมียว งั้นข้าขอนะ”
ฟ้าลั่นตักกับข้าวในจานเมียวดีไปกิน แบ่งให้เชอรี่ด้วย
“ไม่รู้เมียพ่อนายเป็นไงบ้าง ป้าวงศ์ไม่ส่งข่าวมาเลยเหรอเชอรี่”
“เดี๋ยวก็โทรมาเองแหละ พวกคุณๆ ไม่อยู่แบบนี้สบายดีออก”
ฟ้าลั่นมองเมียวดี
“เอ็งไม่เกลียดเมียพ่อนายเหรอ ข้าเห็นชอบบังคับให้เอ็งทำโน่นทำนี่อยู่เรื่อย”
“เกลียดเหรอ ไม่...เมียพ่อนายเค้าก็แค่อยากให้ข้าเป็นเหมือนผู้หญิงที่เค้าคิดว่าดีก็เท่านั้นเอง แต่มันไม่ใช่ตัวข้าก็เท่านั้น”
“ปัดโธ่ จับลิงกังมาฝึกยังง่ายกว่าข้าบอกแล้ว” ฟ้าลั่นหันไปหาเชอรี่ “น้องเชอรี่ แล้วเมียพ่อนายเป็นอะไรรู้มั้ย”
“ถ้ารู้ ฉันก็เป็นหมอไปแล้วซิ พี่ฟ้าเนี่ย ถามแปลกๆ”
เมียวดียกมือไหว้
“สาธุ...ขออย่าให้เมียพอนายเป็นอะไรมากเลย” หญิงสาวเอามือลงบ่นเบาๆ กับ
ตัวเอง “นายคงไม่สบายใจแน่”
อัญชิสาถือกระเช้ามา เดินคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ว่าโทรตามทำไม หมอ พยาบาลก็อยู่กันเต็มโรงพยาบาล ตามหนูมาหนูจะช่วยอะไรได้”
รำพาคุยโทรศัพท์แต่ยังถอดไพ่ซ้อมมือ
“แล้วคุณบัวคลี่เป็นอะไร ตอนกินข้าวกันก็เห็นยังดีๆอยู่ หรือว่าเป็นโรคอ้อนสามี”
“หนูแอบโทรถามนังเด็กเชอรี่ มันบอกว่าหลังกลับจากกินข้าวกับเรา ก็มีปากเสียงกับคุณเผ่า ตกดึกก็ช็อคหามส่งโรงพยาบาลกันแทบไม่ทัน”
รำพาชะงักทันที
“ตายจริง หรือว่าจะเป็นเรื่องงานหมั้นของหนู เพราะเมื่อคืนคุณเผ่าก็ไม่มา แม่ว่าอยู่แล้วเชียว คุณเผ่าอาจจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”
อัญชิสาเริ่มกังวล แต่พยายามเชิดหน้าไว้
“เราอุตส่าห์ทูลเชิญ ท่านหญิงเด็จมาขนาดนี้ เค้าคงไม่กล้าหรอกค่ะ”
วงศ์ยืนรออยู่หน้าห้อง อัญชิสารีบเบาเสียงลง
“แค่นี้ก่อนนะคะคุณแม่” อัญชิสารีบหันไปถามวงศ์ “คุณน้าเป็นไงบ้างคะ”
“เข้าไปข้างในดีกว่าค่ะ คุณบัวคลี่รออยู่”
วงศ์เปิดประตูให้ อัญชิสาแอบหมั่นไส้วงศ์ที่ทำเป็นตอบเรียบๆ
“เป็นแค่แม่บ้าน ทำเป็นวางท่า”
อัญชิสาเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานๆ เดินเข้าไป
อัญชิสาตรงเข้าไปกอดบัวคลี่ ก่อนจะแสร้างทำเป็นร้องไห้เสียใจ
“หวานรีบมาทันทีที่โทรไปบอกเลยนะคะ คุณแม่เอง ก็เป็นห่วงมากทราบข่าวก็มือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก หวานเลยให้ท่านรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน”
บัวคลี่ยิ้มชื่นใจ
“น้าดีขึ้นแล้วจ๊ะ ขอบใจคุณหวานกับคุณรำพามากที่เป็นห่วง แต่หมออยากแอดมินต่ออีกสักวัน รอตรวจคลื่นหัวใจอีกครั้ง”
“เกิดจากสาเหตุอะไรคะ ทำไมถึงเป็นได้”
บัวคลี่หันไปมองหน้าทนงไม่อยากพูด ทนงเลยพูดเอง
“เค้าเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว แต่เราไม่มีใครรู้ ที่ช็อคไปครั้งนี้ หมอว่าบอกเกิดจากความเครียด”
“เครียด!...คุณน้าเนี่ยนะคะเครียด เรื่องอะไรเหรอคะ”
ทนงบีบมือให้กำลังใจ บัวคลี่ตัดสินใจ
“ที่น้าให้แม่วงศ์โทรตามคุณหวานมา ก็เพราะ...น้ามีเรื่องบางอย่างอยากคุยกับคุณหวาน”
ทรงเผ่ารีบห้าม
“คุณน้าครับ ผมว่าคุณน้าเพิ่งจะฟื้นพักผ่อนก่อนดีกว่า”
“ให้น้าพูดเถอะคะ...” บัวคลี่มองหน้าทรงเผ่าอย่างน้อยใจ “เพราะถึงยังไงน้าก็ไม่ใช่น้าบัวคลี่ที่คุณเผ่าเคยรักแล้ว”
บัวคลี่พูดจบก็เริ่มเจ็บหน้าอกขึ้นมาอีก ทนงดูกราฟหัวใจ ที่เต้นถี่มาก
“หัวใจคุณเต้นเร็วเกินไปแล้วนะ เดี๋ยวจะช็อคไปอีก พอเถอะคุณ”
“ดิฉันยังไหวค่ะ”
บัวคลี่กัดฟันพูด
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
แก้วกลางดง ตอนที่ 13 (ต่อ)
ทนงพยายามห้าม บัวคลี่ดื้อยกมือประมาณว่าอย่างห้ามเลย ทรงเผ่าจับตาดูความสัมพันธ์ของทนง และอาการของบัวคลี่ด้วยความรู้สึกกดดันและอึดอัด เห็นความรักของพ่อที่มีต่อบัวคลี่ และอาการป่วยของบัวคลี่ที่เกิดจากตัวเอง...กราฟหัวใจที่เต้นถี่
ทรงเผ่าที่กัดกรามด้วยความเครียด ภาพพ่อที่นั่งหลับแต่ยังกุมมือเฝ้าบัวคลี่แว่บเข้ามา
“ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่” อัญชิสาถามอย่างสงสัย
“คุณหวานคะ เรื่องการหมั้นระหว่างหนูกับคุณเผ่า น้า...น้าเป็นคนตัดสินใจทั้งหมดเอง คุณเผ่าไม่รู้เรื่องด้วย”
บัวคลี่หายใจถี่เจ็บมากขึ้น ทนงรีบห้าม
“พอเถอะคุณ”
วงศ์ตกใจ
“ตามหมอดีมั้ยค่ะ”
ทนงพยักหน้า วงศ์รีบถลาออกไปที่ประตู รับทรงเผ่าฮึดตัดสินใจอย่างเร็ว
“ใช่ครับ คุณน้าเพิ่งจะบอกผม”
อัญชิสาตกใจพอจะนึกออกว่าทรงเผ่าจะพูดอะไร ไม่อยากฟัง
“แต่ผมดีใจมาก และอยากเร่งงานหมั้นของเราให้เร็วขึ้นด้วยซ้ำ”
ทุกคนชะงักไปหมด ทรงเผ่ายิ้มแถมดึงอัญชิสาเข้ามากอด บัวคลี่ค่อยๆหายใจช้าลง ความเจ็บคลายลง ทรงเผ่าหันไปยิ้มให้ บัวคลี่ยิ้มตอบขอบใจ อย่างรู้กัน อัญชิสาดีใจ
“แหมคุณเผ่าเนี่ย เล่นอะไรไม่รู้หวานใจหายหมดเลย”
“เซอไพร์ไงครับ”
วงศ์เดินมาดูกราฟ แอบกระซิบกับทนง
“ช้าลงแล้วค่ะท่าน”
ทนงพยักหน้าดีใจ
“คุณเผ่าพูดจริงเหรอค่ะ เรื่องอยากเร่งงานหมั้น” บัวคลี่ถามอย่างดีใจ
“ใช่ครับ เพราะฉะนั้น คุณน้าต้องหายเร็วๆนะครับ ผมมีงานให้คุณน้า
ต้องทำอีกเยอะเลยล่ะ”
บรรยากาศสดใสขึ้น ทันใดนั้นเสียงบี๊บ ๆของมือถือดังขึ้น อัญชิสาหยิบขึ้นมาดูด้วยความเคยชินปรากฏว่าเป็นรูปเธอกับสาทิศกอดกันอยู่บนเตียง อัญชิสาตกใจ รีบเก็บไม่ให้ทรงเผ่าเห็น
หลังจากกลับจากโรงพยาบาล อัญชิสารีบมาที่คอนโดสาทิศกดกริ่งไม่ยั้งโมโหเต็มที่ สาทิศเปิดประตูมา
“ว่าไงจ๊ะ คนสวย มาเร็วดีจังเลยนะ”
“ทุเรศที่สุด แกคิดจะแบล็คเมล์ฉันเหรอ”
“ผมส่งไปเพราะคิดถึงคุณต่างหาก ที่รัก”
อัญชิสาไม่พูดแต่ตบหน้าให้เต็มๆ สาทิศไม่สะทกสะท้าน
“ฮะๆ มันต้องดุเด็ดเผ็ดร้อนแบบนี้ซิ ผมมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้คุณด้วยนะ”
สาทิศชูหลอดแก้วเล็ก ๆใส่ผงยาไอซ์ อัญชิสามองอย่างชั่งใจ สาทิศเลยคว้าเอวดึงตัวเข้าห้องทันทีปิดประตูโครม
เชอรี่ขึ้นยืนบนโต๊ะ เคาะจานเสียงดัง เมียวดีกำลังกินน้ำอยู่ ฟ้าลั่นนั่งขัดขี้ฟันเล่น
“เอ๊า ข่าวดี ข่าวด่วน มาฟังกันเร้ว เอ๊าเร็วๆๆ ฉันเพิ่งได้ข่าวมาสดๆร้อนๆเอ๊า...เร่เข้ามา”
เมียวดีปิดหูอย่างรำคาญ
“มีเรื่องอะไรเหรอน้องเชอรี่” ฟ้าลั่นถามอย่างสงสัย
“ลองดูทายดูซิ”
“เมียพ่อนายออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
“เก่าไปแล้ว”
“อืม...มีคนมาชวนน้องเชอรี่เป็นนักร้องเอ๊า”
“อันนั้นนะ เค้าเรียกข่าวมหามงคลเลยล่ะ แต่รอหน่อย อีกไม่นานหรอก”
เมียวดีหงุดหงิด
“โอ๊ย...อยากบอกอะไรก็บอกมาเถอะนังเชอรี่ ทำไมจะต้องให้ทายอีก เราไม่อยากฟังแล้ว”
“ก็ได้ๆ งั้นฟังนะ คุณทรงเผ่ากำลังจะหมั้นกับคุณน้ำหวาน”
เมียวดีชะงักทันที เชอรี่ยิ้มหน้าบาน
“เห็นมั้ย เป็นข่าวดีที่สุดในรอบปี ที่ฉันอยากได้ยินมานาน เหมือนเทพอุ้มสมเหลือเกิน ทั้งสวย ทั้งหล่อ เฮ้ย”
ฟ้าลั่นยิ้มกรุ้มกริ่มให้เชอรี่
“ก็เหมือนคู่ของเราสองคนนั้นแหละจ๊ะ”
เชอรี่ค้อน ฟ้าลั่นทำหน้างงๆไม่เข้าใจ
“แต่หมั้นนี่มันยังไงเหรอน้องเชอรี่ แปลว่านาย กำลังจะเอาคุณหวานเป็นเมียใช่มั้ย”
เมียวดีหันไปด่า
“โง่นักไอ้หมาลั่น มันก็เหมือนกับ วัวควาย ที่ตีตราเอาไว้ให้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของไง”
เมียวดีวางแก้วเดินออกไป เชอรี่พยักหน้าเห็นด้วย
“เออ ก็จริงนะ” แต่แล้วเธอก็คิดได้ “ต๊าย...ปากร้ายที่สุดเรื่องโรแมนติกแบบนี้ ไป
เปรียบเทียบกับวัวควายได้ยังไง”
เมียวดีเข้ามาในห้องอย่างหงุดหงิด เปิดหมอนเห็นใบเซียมซีพับไว้ใต้หมอนอย่างเรียบร้อย คิดถึงภาพตอนที่เสี่ยงเซียมซี แล้วมือถูกกันมองตากัน และที่ท่าน้ำ เขาอ่านเซียมซี เธอเขินๆ และคำพูดของเขาก่อนแยกกันคืนนั้น
‘เดี๋ยวเมียวดี...ฝันดีนะ’
เมียวดีน้ำตาไหล รีบเช็ดน้ำตา
“บ้าจริง ร้องไห้ทำไมกันเนี่ย แล้วทำไมเราต้องเก็บใบเซียมซี่บ้าๆนี่ไว้ด้วย”
เมียวดีกำใบเซียมซีออกมา เดินมาใต้ต้นไม้ในสวน เธอมองใบเซียมซีในมือ ตัดสินใจจะเผาจุดไม้ขีดไฟ ทรงเผ่าอยู่ด้านหลังเอ่ยถามขึ้น
“ทำอะไรนะ เมียวดี”
เมียวดีสะดุ้งรีบบอก
“เผามด”
ทรงเผ่ามองกระดาษที่ถืออยู่
“กระดาษอันนิดเดียวจะเผายังไง”
“เรื่องของเรา นายอย่ามายุ่งเลย ไปจัดการเรื่องของนายดีกว่า คงมีเรื่องให้จัดการอีกเยอะ”
ทรงเผ่างงๆ
“เธอหมายถึงอะไร”
“นายจะหมั้นกับคุณหวานแล้วไม่ใช่เหรอ”
ทรงเผ่าอึ้งไปนิดก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
“ใช่”
ชายหนุ่มพูดได้แค่นั้นแต่ไม่สามารถอธิบายอะไรได้อีก สองคนได้แต่มองหน้ากันอย่างเจ็บปวด แต่มีใครกล้าพูดความรู้สึกตัวเองออกมา ไฟไม้ขีดลามถึงมือเมียวดี
“โอ๊ย”
หญิงสาวสะบัดมือ ชายหนุ่มรีบเข้ามาจับมือดู
“เจ็บมั้ย”
“เจ็บแค่นี้ คนอย่างเมียวดีไม่รู้สึกอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ”
ทรงเผ่า รู้ดีว่าหญิงสาวพูดเรื่องอะไร เมียวดีดึงมือออก
“อ้อ...ดีใจด้วยนะนายจะมีเมียเสียที”
เมียวดีเดินออกไป ทรงเผ่าพูดไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจ
เช้าวันใหม่...อัญชิสาตื่นขึ้นมาเห็นหลอดแก้ววางไว้ เธอเอามาเทดูปรากฏว่าไม่มีเหลืออยู่แล้ว
“บ้าชะมัด”
อัญชิสามองไป เห็นสาทิศนอนหลับอยู่ ก็ย่องไปค้นหาที่กองเสื้อผ้าของเขา ขณะที่มัวหาของ สาทิศก็เข้ามากระชากตัวเธอลงนอน คร่อมทับ ชูขวดยาในมือขึ้น
“ทูนหัว หาไอ้นี้อยู่เหรอจ๊ะ”
อัญชิสาพยายามคว้า สาทิศยกสูงขึ้น
“ไหนเคยบอกไม่ชอบไง”
อัญชิสาจับมือเขาพลิกตัวทับเปลี่ยนใจ ใช้เสน่ห์ยั่ว หวังได้ยา
“ทำไงได้ล่ะคะ ก็มันติดใจซะเหลือเกิน”
ทั้งสองตาประสานกัน สาทิศปล่อยขวดยาลงในมืออัญชิสา
“ยกให้คุณหมดตัวเลย”
ยาถึงมือ อัญชิสารีบลุกขึ้น จับเขย่า เห็นขวดมียานิดเดียว จะเขวี้ยงทิ้งก็เสียดาย โมโหหันไปตวาด
“แค่นี้มันจะพออะไร”
สาทิศ หันไปหยิบแก้วไวน์ข้างเตียง จิบ
“จุ๊ จุ๊ ทูนหัวอย่าโมโหสิจ๊ะ”
เขายื่นแก้วไวน์ให้ อัญชิสาเบี่ยงหน้าหนี
“กรุณาให้ในสิ่งที่ฉันต้องการด้วย”
สาทิศชูแก้วไวน์ขึ้นส่องไฟแล้วแกว่ง
“ที่รัก ของดีๆไม่ได้หาได้ง่ายๆนะครับ”
“ไหนบอกว่าหาเก่งไง”
“มันก็ต้องมีตัวช่วยนิดหน่อย”
“อะไร”
สาทิศจ้องหน้า
“ทรงเผ่า...ผมอยากรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเค้า”
“เกี่ยวอะไรกับเค้า คุณอยากรู้เรื่องเค้าไปทำไม”
สาทิศโอบบ่าเธอเข้ามาใกล้
“ก็เป็นธรรมดาคนมันมีคู่แข่ง ก็ต้องตามให้ทัน”
“ที่แท้ก็หึงนี่เอง”
ทั้งสองโผเข้ากอดกัน อัญชิสายิ้มอย่างตัวเองมีเสน่ห์ โยไม่รู้เลยว่าสาทิศคิดอะไรอยู่
ฟ้าลั่นถูกเชอรี่ หลอกให้ช่วยทำความสะอาดพื้นหน้าตึกอย่างขะมักเขม้น
“ได้เอาให้มดเดินผ่านยังลื่นล้มไปเลย น้องฟ้า”
ฟ้าลั่นยิ่งใจขัดอย่างเมามัน เชอรี่นั่งเล่นโทรศัพท์แชทอยู่เสียง พยายามสะกดคำเป็นระยะ เพราะไม่ค่อยคล่องเสียงเครื่องดังตริ๊งๆ
“นา...หน่า...น่า...ร าก อิ อิ”
เธอดูโทรศัพท์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ฟ้าลั่นนึกว่าชมตัวเอง ยิ่งเต้น ยิ่งขัดร่าเริง
“ตริ๊ง ตริ้ง คือ พี่ฟ้าน่าร๊ากใช่มั้ยจ๊ะ น้องเชอรี่จ๋า”
เมียวดีเดินเข้ามา สมเพชฟ้าลั่นที่โง่โดนหลอก เธอเดินมาเหยียบชายผ้าที่ฟ้าลั่นกำลังถูอยู่
“อีเมียว ถอยไป ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังทำคะแนนตริ๊ง ตริ๊ง”
“ไอ้วอกหมาลั่น ใครสนใจเอ็งบ้าง โน้น นังลำไยเน่ามันนั่งดีดพิณตริ๊งๆให้ไอ้ควายโง่ฟัง”
ฟ้าลั่นหันไปมองเชอรี่ ไม้หล่นหมดแรง
“น้องฟ้า ทำแบบนี้พี่ฟ้าลั่นงอนแล้วนะ”
เชอรี่รู้ตัวรีบโว้ย
“ฉันกำลังหัดสะกดคำอยู่ต่างหาก จะได้อ่านเนื้อเพลงคล่องๆไง”
ฟ้าลั่นมองโทรศัพท์ในมือเชอรี่
“แต่นั้นมันโทรศัพท์ไม่ใช่เหรอ”
“โอ๊ย...โง่แล้วยังอวดฉลาด โทรศัพท์สมัยนี้ทำได้มากกว่าที่พี่คิด”
เมียวดีไม่พอใจ
“เก่งขนาดนี้ ทำไมไม่ใช้มันถูบ้านแทนไอ้หมาลั่นล่ะ”
เชอรี่หน้าเหวอ
“บ้าเหรอ”
“งั้นก็แล้วไป แต่ใจของพี่ฟ้าลั่นคงจะขาด ถ้าเชอรี่แอบคุยกับไอ้หนุ่มคนอื่น”
“ถุย...งั้นก็ตายซะ”
“อีเมียว นี้เอ็งหึงข้าเหรอ”
“หึงเอ็งก็ควายออกลูกลิงนะซี”
“อีเมียว เอ็งไม่ต้องมาปกปิด ความรู้สึก แต่ข้าขอบอก ว่าในใจข้ามีแต่น้องเชอรี่คนเดียว มันสายไปแล้วอีเมียว ตัดใจจากข้าเสียเถอะวะ”
เมียวดีหมั่นไส้ ถีบเข้าให้
“นี่แน่ะ...เอ็งต้องถีบเรียกสติกันบ้าง”
“เฮ้ย นี่เอ็งกล้าถีบข้าจริงๆ เหรอว่ะ”
“เออ...เดี๋ยวจะถีบให้ดูอีกทีก็ได้”
เมียวดีไล่ถีบฟ้าลั่น เชอรี่รำคาญทะเลาะกันอีกแล้วส่ายหัวเดินหนีไป
รถอัญชิสาขับเข้ามาจอดเทียบ ลานหน้าตึก เมียวดีวิ่งไล่ถีบฟ้าลั่นที่หนีหัวซุกหัวซุน อัญชิสาก้าวลงจากรถ ฟ้าลั่นลื่นล้มลงใกล้ๆเห็นขาขาวของอัญชิสาพอดี
“อู๊ย ขาวโจ๊โฟ้ะจริงๆ”
อัญชิสาด่าทันที
“อี๊...ทะลึ่ง”
อัญชิสากระทืบลงที่มือฟ้าลั่น แล้วเดินหนีออกมา ฟ้าลั่นนอนชักอยู่กับที่ แล้วคลานหนีไป เมียวดีมองอย่างโมโหที่อัญชิสาทำแบบนั้น รำพาหันไปสั่งเมียวดี
“ยืนซึมเป็นส้วมทำไมล่ะ ไป๊ไปยกกระเป๋าซิ คนใช้บ้านนี้นี่ใช่ไม่ได้เลยนะคะลูกหวาน”
เมียวดีทำเป็นไม่สนใจ จะเดินหนี รำพาหมั่นไส้เลย กระชากผมเมียวดีอย่างแรง
“โอ๊ย”
สองคนแม่ลูกหันมาหัวเราะกัน เมียวดีทนไม่ไหวหันมามองหน้ารำพา อัญชิสาตวาด
“มองหน้าทำไม เธอจะทำอะไรแม่ฉัน งั้นเหรอ”
“ก็ทำแบบนี้ไง”
เมียวดีเงื้อแขนจะตั้งท่าจะต่อยหน้า อัญชิสากรี๊ดลั่น ทรงเผ่าโผล่มาจับมือเมียวดีไว้
“เมียวดี หยุดนะ”
เมียวดีกระชากมือออกจากทรงเผ่า อัญชิสารีบเข้ามา
“โชคดีคุณเผ่ามาทัน เมียวดีทำไมถึงโทสะแรงแบบนี้ล่ะ แค่แม่ขอร้องให้เธอยกกระเป๋าให้แค่นี้เอง”
เมียวดีแบะปากอย่างหมั่นไส้ รำพารีบผสมโรง
“นั้นซิ...นี่ใช่มั้ยค่ะเด็กคนป่า ที่คุณเผ่าเอามาเลี้ยง ดูแกยังป่าเถื่อนมากนะคะ”
“เมียวดี ขอโทษคุณหวานกับคุณหญิงซะ”
เมียวดียืนเฉย เหมือนไม่ได้ยิน ทรงเผ่าย้ำ
“เมียวดี ไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ”
“เราจะทำถ้าเราทำผิดจริง”
อัญชิสาทำเป็นออเซาะ
“อย่าต้องโมโหแกเลยค่ะ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน”
“จนถึงขนาดนี้แล้วยังทำเป็นแม่พระอยู่อีกเหรอคะลูกหวาน” รำพาหันหาทรงเผ่า “คุณเผ่าต้องจัดการเรื่องนี้นะคะ”
ทนงประคองบัวคลี่เดินเข้ามา
“มีเรื่องอะไรกันเหรอค่ะ” บัวคลี่ถามขึ้น
ทุกคนอยู่ในห้องรับแขก เชอรี่ถือกระเป๋าเข้ามาคุกเข่าข้างอัญชิสา ทุกคนนั่งประจำที่ ทนงมองกระเป๋าอย่างแปลกใจ
“เชอรี่ กระเป๋าใครล่ะนั้น”
“ของหวานกับคุณแม่เองค่ะ”
ทรงเผ่าเองก็ชะงัก ทนงกับบัวคลี่ มองหน้ารำพาที่เจื่อนๆ แต่รีบออกตัว
“พอดีลูกหวานเป็นห่วงคุณบัวคลี่มาก ไหนจะต้องเตรียมงานหมั้น สุขภาพก็ไม่ค่อยจะดี แล้วยัง...” รำพาปรายตามองเมียวดี “ภาระเยอะแยะ เลยอยากมาอยู่ดูแลใกล้ชิด”
บัวคลี่มองอัญชิสาอย่างชื่นชม
“โธ่...หนูหวานอุตส่าห์เป็นห่วงน้า”
“หวานต้องกราบขอโทษที่มากะทันหันค่ะ”
บัวคลี่ช่วยออกรับแทน
“จะต้องขอโทษอะไรจ๊ะ ดีเหมือนกัน ช่วงนี้น้าก็ยังไม่ค่อยแข็งแรง ได้หนูหวานมาช่วยก็ดีนะคะคุณพี่”
ทนงเซ็งๆ
“ก็...ถ้าตัดสินใจแล้วก็ตามใจ คิดว่าเป็นบ้านตัวเองก็แล้วกันนะ”
ทรงเผ่าชะงัก
“แต่ทำแบบนี้ ผมกลัวคุณหวานจะเสียหายนะครับ คนจะนินทาได้”
ทุกคนอึ้งกันไปหมด รำพารีบบอก
“โอ๊ย เรื่องนั้นคุณเผ่าไม่ต้องห่วง แม่ เอ๊ย...น้าจะมาอยู่เป็นเพื่อนยัยหวานเอง”
บัวคลี่เห็นดีด้วย
“อย่างนี้ก็ดีเลยค่ะ จะได้ช่วยอบรมยายเหมียว ให้แกได้มีตัวอย่างดีๆให้จดให้จำกันบ้าง”
รำพาได้ที
“งั้นเริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยดีมั้ยค่ะ ด้วยการกราบขอโทษลูกหวาน กริยาที่ทำเมื่อกี้มันถ่อยเถื่อนมากนะจ๊ะ คนที่เจริญแล้วเค้าไม่ประพฤติกัน”
เมียวดีที่ไม่เห็นด้วย อัญชิสาเห็นเมียวดีไม่สลด เลยออเซาะต่อ
“ตัวฉันนะไม่ได้ติดใจเอาความหรอก แต่ว่ากริยาที่ทำกับผู้ใหญ่อย่างคุณแม่มันไม่ดีเลยนะจ๊ะ เมียวดี ฉันเตือนเธอก็ด้วยความหวังดีนะ อย่าโกรธกันเลย”
เมียวดีเบ้ปาก รับบัวคลี่ที่เห็นหน้าเมียวดี ดุด้วยสายตา
“ดิฉันต้องขอโทษคุณหญิงกับหนูหวานด้วยนะจ๊ะ ที่อบรมยายเหมียวไม่ดีซะที”
รำพาไม่พอใจ ที่บัวคลี่ออกรับแทน
“นี่แค่ย่างเท้ามาวันแรก ยังขนาดนี้ แล้วต่อไป จะอบรมดูแลกันต่อยังไง สงสัยคงต้องใช้ไม้เรียวเสียละมั่ง”
เมียวดีจ้องหน้ารำพา
“เราไม่ใช่วัวควายให้ใครมาไล่ตีกันง่าย ๆ ลองตีเราดูซิ เราจะถีบกลับไป”
รำพาตะลึง
“ต๊าย จะเป็นลม นี่ได้ยินกันมั้ยค่ะ ลูกหวานจ๊ะ แม่ว่าแม่ชักไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
บัวคลี่หน้าเสีย
“ดิฉันว่าเราใจเย็นกันก่อนดีกว่านะคะ”
“เย็นไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ ทำไมคนที่นี่ถึงได้ปล่อยให้เด็กคนนี้มาลามปามผู้ใหญ่ ไม่อบรมให้รู้จักที่ต่ำที่สูงกันบ้าง”
บัวคลี่หันไปดุเมียวดี
“ยายเหมียว ขอโทษ คุณหญิงเสียอย่าก่อเรื่อง”
“แต่เราไม่ได้ก่อเรื่องนะ เมียพ่อนายต่างหากต้องอบรมคนกรุงพวกนี้”
ทรงเผ่าอึ้งรีบปราม
“เมียวดี! ถึงเวลาที่เราต้องพูดกันจริงจังแล้วนะ ผมต้องขอตัวนะครับ”
ทรงเผ่าลุกขึ้นแล้วแล้วลากตัวเมียวดีออกไป
ทรงเผ่าดึงตัวเมียวดีมาในสวน
“เรานี่ชักจะพูดไม่รู้เรื่องขึ้นทุกวันนะ”
“เราว่านายต่างหากพูดไม่รู้เรื่อง เราไม่ใช่คนใจดำนะนาย”
“ฉันรู้ แต่เธอต้องพัฒนามารยาทบ้าง”
“มารยาทปลอมๆนะสินาย ถ้ามันยุ่งยากกับนายมาก เราก็ไม่อยากอยู่แล้ว”
“อย่าลืมซิ ตาจั่นยกเธอให้ฉันแล้ว”
“แต่นายกำลังจะเอาเมีย จะเอาเราไว้ทำไมล่ะ”
ทรงเผ่าตอบไม่ได้เลยพูดอย่างอื่น
“คุณหวานกำลังจะเป็นคู่หมั้นฉัน เธอควรพูดจาให้ดีหน่อย”
“มันก็เหมือนกันนะแหละ”
“ไม่เหมือนหรอก เพราะถ้าคุณหวานเค้าทนฉันไม่ได้ เราก็คงไม่ได้แต่งงานกัน”
“ถ้างั้นนาย กำลังจะบอกว่าเราจะเป็นต้นเหตุให้นายไม่มีเมีย”
ทรงเผ่าเซ็งๆ
“โธ่เว้ย...พูดกี่ที่จะรู้เรื่อง”
“มันช่วยไม่ได้ เรามันคนป่าจะให้มาประดิษฐ์คำพูดสวยๆ เราทำไม่เป็น แต่นายไม่ต้องห่วงนะ นายได้มีเมียแน่”
เมียวดีเดินหนีออกไป ทรงเผ่ามองตามสับสนในใจ
ค่ำนั้น อัญชิสานั่งหวีผมอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน สายตามองจิก คิดแค้นเมียวดีอยู่
“ฉันจะทำยังไงกับแกดี นังเด็กป่า”
ทันใดนั้นเสียงมือถือดังขึ้น เธอกดรับสาย ด้วยเสียงสะบัด
“โทรมาทำไม”
สาทิสพูดมือถือ ขณะที่โอบกอดอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งที่คลอเคลียอยู่
“คิดถึงเมียผมนะซิ”
อัญชิสายิ้มกริ่มพอใจแต่ก็ทำเป็นเหวี่ยงใส่
“พูดบ้าๆ”
“ผมพูดจริงๆนะ ไม่เห็นหน้าคุณสักวัน ผมแทบจะลงแดง”
“อย่าเวอร์หน่อยเลยน่า”
สาทิศยิ้ม รับแก้วเหล้าจากหญิงสาวแล้วถือเดินไปที่ระเบียงห้อง
“คุณเข้าไปอยู่บ้านนายทรงเผ่าเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย เป็นยังไงบ้าง”
“จะเป็นยังไงล่ะ เจอนังเด็กป่ากวนประสาทซะจนอยากจะฉีกเนื้อมันเป็นชิ้นๆ”
“ยายเด็กเมียวดีนั้นใช่มั้ย”
“พูดถึงมันแล้วยิ่งโมโห แบบนี้มันต้องสั่งสอนกันบ้าง” อัญชิสา คิดอะไรบางอย่างออก “ฉันเข้ามาอยู่บ้านนี้ตามที่คุณบอกแล้ว คราวนี้คุณต้องช่วยบ้าง”
สาทิศยิ้มกริ่มเจ้าเล่ห์
“หึ เรื่องขี้ผงแค่นี้...คุณจะให้ผมจัดการยังไงก็ว่ามา”
อัญชิสาคิดอะไรได้
“จัดคนไว้ให้ฉันสามสี่คนก็พอ ที่เหลือฉันจัดการเอง”
อัญชิสายิ้มมีแผน
สายวันใหม่...อัญชิสายื่นซองเอกสารปิดผนึกเรียบร้อยซองหนึ่งให้ เมียวดี ฟ้าลั่นยืนอยู่ข้างๆ
“อ่ะ เอาไปส่งที่ร้านให้ฉันหน่อย”
เมียวดีจำใจยื่นมือ แต่ฟ้าลั่นตัดหน้ารับมาก่อน
“อะไร โพยหวยเหรอ”
“ทุเรศ คนระดับฉันไม่เล่นหวยให้เสียลุ้คหรอก”
รำพาเดินสั่งหวยเข้ามา นึกว่าไม่มีใครอยู่
“ห้าแปด บนล่าง อย่าลืมกลับให้ด้วยล่ะ”
เมียวดีกับฟ้าลั่นหันมองแล้ว ขำกันใหญ่รำพาชะงัก อัญชิสาหน้าแตก
“คุณแม่!”
“แม่ก็นึกว่าไม่มีคน แต่แม่แค่เล่นขำๆนะจ๊ะ” รำพายกมือทำท่าจะตีฟ้าลั่นกับเมียวดี “หยุดเห่ากันได้แล้ว”
ฟ้าลั่นเลยแกล้งเห่าเสียงดังตั้งท่าคำรามเหมือนจะกัด รำพาสะดุ้ง
“ว้าย...แก จะกัดฉันเหรอ”
“โอ้ย...หนังเหนียวอย่างคุณนาย เอาไปโยนให้ไอ้ลาย ยังคายทิ้งเลย”
ฟ้าลั่นกับเมียวขำกันอีก อัญชิสาตวาดใส่
“พอได้แล้ว แล้วก็รีบไป ฉันเขียนรายละเอียดไว้ให้แล้วไปไม่ยากหรอก ไม่ต้องห่วงไม่หลงทางแน่นอน”
“งานคุณหวาน คุณหวานก็ไปเองสิ”
เมียวดียื่นซองกลับวางให้ อัญชิสารีบบอก
“แต่นี่งานคุณเผ่านะ”
เมียวดีชะงัก
“งานนาย”
“ใช่...ก็นี่เป็นแบบชุดงานหมั้นของคุณเผ่ากับฉัน”
เมียวดีมองอึ้ง แปลบใจขึ้นมา อัญชิสายิ้มกริ่ม มองจิก
“ไหนว่านับถือคุณเผ่านักหนาไม่ใช่เหรอ ถ้าแค่นี้ทำไม่ได้...ก็ไปตายซะ!”
เมียวดีสู้ตาอัญชิสาไม่หลบ แล้วพูดขึ้นอย่างทนง
“ยิ่งกว่าตาย เราก็ทำให้นายได้”
เมียวดีถือซองเอกสาร เดินดุ่มออกไป ฟ้าลั่นรีบตาม อัญชิสานยิ้มเยาะ รำพามองงงๆ
เชอรี่พูดมือถือกับอัญชิสาอยู่หน้าบ้าน
“ค่ะ คุณหวาน ไม่ต้องห่วงนะคะ เชอรี่จัดให้ ตามสั่งเลยค่า”
เชอรี่รีบเก็บมือถือ แล้วทำเป็นวิ่งออกไป ทำเป็นหกล้มลงตรงหน้า ฟ้าลั่นกับเมียวดีที่กำลังจะเดินออกจากบ้านไป
“โอ้ย”
“น้องเชอรี่!”
ฟ้าลั่นรีบวิ่งไปหาเชอรี่ด้วยความเป็นห่วงโอเวอร์มาก
“เจ็บมากหรือเปล่า น้องเชอรี่ โธ่...ไม่น่าเลย ฮือฮือฮือ เชอรี่อย่าทิ้งพี่ไป”
เชอรี่ค้อน
“ยังไม่ตาย! เชอรี่แค่เจ็บขาเฉยๆ”
“แหะๆ พี่ฟ้าล้อเล่น”
เมียวดีส่ายหน้า พูดขัดขึ้นแล้วเดินเลยไปเลยแบบไม่สนใจ
“ไอ้หมาลั่น รีบไปได้แล้ว”
เชอรี่ด่าไล่หลัง
“คนใจดำ”
เมียวดีหันกลับมาหา
“อะไรนะ”
“ก็ตามนั้น ถ้าคุณเหมียวหูตึงไม่ได้ยินก็แล้วไป”
เมียวดียัวะ เชอรี่รีบหันไปอ้อนฟ้าลั่น กอดหมับร้องไห้กระซี้กระซิก
“พี่ฟ้าคงไม่ใจจืดใจดำกับเชอรี่ใช่มั้ยจ๊ะ โอ้ยๆ เจ็บเหลือเกิน จะเดินได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮือๆๆๆ”
“โอ๋ ๆ อย่าร้องนะ น้องเชอรี่ พี่ฟ้าจะไม่ไปไหน พี่ฟ้าจะอยู่ดูแลน้องเชอรี่เอง”
เมียวดีโมโห
“ไอ้หมาลั่นนี่ เอ็งจะทิ้งข้าไปส่งเอกสารคนเดียวงั้นเหรอ”
“เออ”
“ไอ้หมาลั่น! เห็นผู้หญิงดีกว่าเพื่อนอีกแล้วนะ”
“ไปเหอะ คนอย่างเอ็งไม่มีใครทำอะไรหรอก มาๆน้องเชอรี่ ค่อยๆนะ เดี๋ยวพี่ฟ้าพาไปเอง”
ฟ้าลั่นให้เชอรี่ขี่หลังเดินกลับไปทางตัวบ้าน เชอรี่ทำอ้อนฟ้าลั่นแล้วหันมายิ้มเยาะใส่ เมียวดีมองตามด้วยความขัดใจ
เมียวดีออกมายืนรอรถเมล์แล้วดูที่อยู่บนเอกสาร สลับกับรถเมล์ที่แล่นเข้ามา เธอนึกถึงคำพูดของอัญชิสา
‘ไปไม่อยากหรอกน่า เธอก็ขึ้นรถเมล์ ดูตัวเลขข้างบน ถ้าใช่ก็ขึ้นไปได้เลย’
เมียวชะเง้อมองดูรถเมล์ เช็คแน่ใจแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถ แต่โดนคนเบียด กระเด็นออกมา เมียวดีโวยขึ้น
“เฮ้ย คนเมืองทำไมมันแล้งน้ำใจอย่างนี้วะ”
เมียวดีมองไป เห็น คนโบกแท็กซี่ แล้วขึ้นไป เมียวดียิ้มออกเข้าใจว่าต้องทำไง
เมียวดีขึ้นรถแท็กซี่ไปมองซองเอกสารยิ้มพึงใจ
“ทีนี้ไปส่งเอกสารให้นายได้ซะที”
เมียวดียิ้มอย่างสบายใจ ทันใดนั้นรถแท็กซี่ชะลอจอดกลางถนน
“อ้าว...รถเป็นอะไร ลุง”
เมียวดีแปลกใจเอามากๆ
อ่านต่อตอนที่ 14 พรุ่งนี้
แก้วกลางดง ตอนที่ 14
เมียวดีเข็นรถเข้าข้างทางอย่างเอาจริงเอาจัง ลุงขับแท็กซี่ตะโกนบอก
“เอ้า...อีกหน่อยนึง ไหวไหม”
“อึยยย”
เมียวดีออกแรงเข็นรถ อั๋นขับรถเข้ามาชะโงกมองหน้าเห็นว่าเป็นเมียวดีจริงๆ
“เมียวดี”
“หมวดก้านยาว”
อั๋นรีบจอดรถแล้ววิ่งเข้ามาหา
“มาทำอะไรอยู่แถวนี้”
“ซักผ้ามั้ง”
“แหม แค่นี้ก็เหวี่ยงใส่กันด้วย”
“ก็เห็นอยู่แล้ว จะถามทำไมล่ะหมวด มาช่วยเราเข็นดีกว่า”
“เออจริง ได้ๆ”
อั๋นเข้าไปช่วยเมียวดีเข็นรถแท็กซี่เข้าข้างทาง...
เมียวดียื่นเงินมีทั้งเศษเล็กเศษน้อย ให้คนขับแท็กซี่
“เรามีแค่นี้ เอ๊า”
“ไม่ต้องๆหนู ส่งก็ไม่ได้ส่ง มาช่วยเข็นรถอีก ลุงรับไม่ได้หรอก”
เมียวดีจับมือลุงแล้วเอาเงินยัดใส่มือให้ อั๋นมองเมียวดีอย่างทึ่งในน้ำใจ
“เอาไปเถอะ เมื่อกี้ลุงบอกว่าต้องจ่ายค่าหนังสือให้ลูกไม่ใช่เหรอ”
“ขอบใจมาก หาคนใจดีเหมือนหนูยากนะ ยิ่งคนในเมือง ตึกยิ่งสูง ยิ่งแล้งน้ำใจลงทุกวัน ตอนแรกที่รับหนู ก็กลัวๆอยู่เหมือนกันว่าจะมีค่ารถให้หรือเปล่า”
เมียวดีก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเอง แล้วก็ขำ
“เราก็กลัวไม่มีเงินให้ลุงเหมือนกัน แต่คิดว่ามีแค่ไหนก็นั่งไปแค่นั้นเดี๋ยวค่อยเดินต่อเอา...รีบไปเถอะลุง”
ลุงขับแท็กซี่ยิ้มขำกับเมียวดีไปด้วย รับเงินไปแล้วมองซึ้งใจ ยกมือไหว้ แล้ว เดินกลับไปขึ้นรถขับออกไป เมียวดียิ้มมองตาม แล้วหันกลับมาหาอั๋น ที่มองค้างอยู่ เมียวดีเรียกเบาๆ
“หมวด...” เธอเห็นเขายังเหม่อเลยตะโกนใส่ “หมวด”
อั๋นสะดุ้งโหย่ง
“ว่าไง เรียกฉันทำไม”
“เมื่อคืนนอนไม่พอหรือเปล่า ท่าทางแปลกๆ”
“นอนพอ แต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครเหมือนเธอเลยนะ ช่วยแท็กซี่แล้วยังแถมตังค์ให้ด้วย”
“ป่าของหมวด เงินคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ป่าของเรา น้ำใจสำคัญกว่าเงิน”
เมียวดียิ้มให้ อั๋นมองหญิงสาวอย่างทึ่งๆ
ทรงเผ่าเดินออกจากธนาคารกำลังจะเดินไปที่จอดรถ ผ่านคนขายพวงมาลัย เขามองผ่านๆแล้วก็ย้อนกลับมาอีก ก้มลงดูมาลัยที่ร้อยเป็นกระแตเกาะกิ่งไม้
“นี้เค้าเรียกว่า...”
ทรงเผ่ามองไม่แน่ใจ คนขายบอก
“เป็นมาลัยกระแตเกาะกิ่งแก้วค่ะ สวยนะคะคุณ”
ทรงเผ่านึกถึงเมียวดีที่ฉายากระแตป่า เมื่อครั้งที่เขาอยู่ในป่า เขาถามตาจั่นถึงที่มาของชื่อกระแต
“ลูกสาวตาจั่นชื่อกระแตเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ แต่มันเหมือนกระแตป่า”
เมื่อนึกได้อย่างนั้น ทรงเผ่า อดอมยิ้มไม่ได้
เสียงโทรศัพท์ในบ้านทรงเผ่าดังขึ้น เด็กรับใช้รับสาย
“สวัสดีค่ะ...คุณเผ่าหรือคะ”
อัญชิสาที่เริ่มมีอาการหาวนิด ๆเริ่มอยากยา หูผึ่งขึ้นมา แล้วรีบเข้ามาดึงหูไปพูดเอง
“จะไปไหนก็ไป ฉันพูดเอง”
คนรับใช้ ถอยออกไป
“คุณเผ่าโทรมาพอดี หวานกำลังคิดถึงอยู่เลย”
ทรงเผ่าชักสีหน้าเล็กน้อย ที่กลายเป็นอัญชิสามาพูดแทน จากที่กำลังชูพวงมาลัยกระแตอยู่รีบเอาลง
“เอ่อ คุณหวานเหรอครับ เอ่อ เมียวดีอยู่ไหมครับ”
อัญชิสาทำหวานใส่
“ไม่อยู่หรอกคะ คุณเผ่า เขาไม่ได้บอกไว้ มีอะไรกับเมียวดีเหรอค่ะ”
“เอ่อ คือ พอดีผมเห็นเค้าร้อยมาลัยเป็นรูปกระแตนะครับ ก็เลย...คิดถึงเมียวดีขึ้นมา”
อัญชิสายิ่งจี๊ด
“แล้วเมียวดีออกไปไหน บอกไว้หรือเปล่า โธ่เอ๋ยไม่รู้จักเข็ด ป่านนี้ไม่รู้หลงไปไหนต่อไหนแล้ว”
อัญชิสาหมั่นไส้ที่ทรงเผ่าห่วงเหลือเกิน
“หลงทางคงไม่ใช่ หลงผู้ชายล่ะไม่แน่”
“คุณหวาน พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
“หวานก็พูดตามที่หวานเห็นล่ะคะ หวานไม่นึกเลยว่าเมียวดีจะทำตัวเหลวไหลอย่างนี้ อุ๊ยตายแล้ว นี่หวานพูดอะไรให้คุณเผ่าไม่สบายใจหรือเปล่าคะ ไม่เอาดีกว่า หวานไม่พูดแล้ว”
“คุณหวานพูดมาเถอะครับ ผมจะได้รู้”
“เออ...ก็ไม่มีอะไรมากหรอกคะ พอดีเมื่อเช้า หวานเห็น เห็นเมียวดีออกไปกับผู้ชาย”
ทรงเผ่าอึ้ง
“จริงๆ นะคะ คุณเผ่า หวานเห็นกับตาว่า เขานัดแนะมาพบกันที่กำแพงด้านหลัง เสียดายว่าหวานไปช้าไปหน่อย ไม่งั้นก็คงเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นแล้วค่ะว่าเป็นใคร”
“เมียวดีไม่ใช่คนแบบนั้น คุณคงดูผิด”
“หวานพูดจริงๆนะคะ แต่หวานเข้าใจค่ะ คุณคงคิดไม่ถึงไม่เป็นไรค่ะ ถือเสียว่าไม่ได้ยินสิ่งที่หวานพูดก็แล้วกันนะคะ แต่...ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน หวานขอบอกว่าเมียวดีไม่ได้ใสซื่ออย่างที่คุณเผ่าคิดหรอก”
อัญชิสาวางหูโทรศัพท์ลงด้วยความกระหยิ่ม ชอบใจ ทรงเผ่าวางสายไปทันที ด้วยความไม่สบายใจ
อั๋นขับรถมาจอดที่หน้าปากซอยแห่งหนึ่ง หันมาพูดกับเมียวดี
“ให้จอดปากซอยทำไมเนี่ย ไปส่งที่หน้าร้านเลยดีกว่านะเมียวดี”
“เราเดินไปเองได้ หมวดไปทำงานของหมวดเถอะ”
“ไม่เป็นไร ฉันไปส่ง...”
อั๋นยังพูดไม่จบ เมียวดีขัดขึ้น
“ภูเขาเป็นลูกๆ เราก็เคยเดินมาแล้ว แล้วเดินเข้าซอยแค่นี้นี่...เฮอะ ถ้าเดินไม่ได้ก็อย่าเรียกเราว่า เมียวดีดีกว่า”
“ขี้คุยจริงๆ เลย”
“เอาล่ะ แยกกันตรงนี้นะหมวด ขอบใจนะที่มาส่ง”
เมียวดีเปิดประตูลงรถไป แล้วเดินดุ่มเข้าซอยไปเลย อั๋นมองตามอมยิ้ม พึงพอใจขึ้นมาอย่างประทับใจเมียวดีเพิ่มขึ้น
“ฉันก็ขอบใจเธอเหมือนกันนะเมียวดี เธอทำให้วันนี้ของฉันสดใสมากรู้สึกดีจัง...”
อั๋นยิ้มมีความสุข แล้วขับรถออกไปตามถนน
เมียวดีเดินมาตามทาง จนถึงหน้าอู่ซ่อมรถร้างบรรยากาศเปลี่ยวๆ ยกซองเอกสารขึ้นดู เทียบกับบ้านเลขที่
“บ้านเลขที่...” หญิงสาวมองที่ซองเห็นว่าเป็นบ้านเลขที่เดียวกัน “ตรงเด๊ะ...ไหนว่าเป็นร้านเสื้อแต่ทำไมกลายเป็นอู่รถล่ะ คุณหวานเขียนผิดหรือเปล่าเนี้ย”
เมียวดีมองๆ เข้าไปข้างใน แล้วตัดสินใจเดินเข้าไป...เมียวดีเดินเข้ามาในอู่ เหลียวมองหาไม่เห็นใครอยู่เลยร้องถามขึ้น
“มีใครอยู่บ้างไหม เราเอาของมาส่ง”
ทุกอย่างเงียบสนิท เมียวดีมองๆ พึมพำออกมา
“ท่าจะไม่มีคนอยู่แฮะ”
เมียวดีหันเดินกลับ ทันใดนั้นชายคนหนึ่งโผล่พรวดออกมาข้างหน้า เมียวดีผงะตกใจ เอกสารร่วงไปที่พื้นมุมหนึ่ง
“เฮ้ย”
เมียวดีตั้งสติได้แล้ว ต่อว่า
“โธ่ ลุง อยู่ๆ โผล่พรวดมา ไม่ให้ซุ่มให้เสียงบ้างเลย”
เมียวดีหันไปเก็บซองเอกสาร ส่วยเข้ามาเก็บซองเอกสารขึ้นไปก่อน เมียวดีมองตามแล้วอึ้ง เห็น ส่วยใส่ชุดนายช่างหมวกไอ้โม่งแว่นดำไม่ให้เห็นหน้า ถือเอกสารขึ้นมา ชูขึ้น แสยะยิ้ม เมียวดีรีบยื่นมือไปจะฉวยซองเอกสาร ส่วยดึงหนี แล้วคว้าแขนหมับ เมียวดีสะบัดหนีด้วยสัญชาตญาณ แล้วถีบส่วยกระเด็น
เธอหยิบเอกสารวิ่งหนี ลูกน้องส่วยวิ่งเข้ามา เมียวดีทั้งเตะทั้งต่อย จนมันล้มลงไปกอง ส่วยตั้งตัวขึ้นมาตะโกนลั่น
“จับมัน!”
ลูกน้องอีก 5 คนโผล่ออกมาจากมุมต่างๆเข้ามารุม เมียวดีหลบหลีก แล้วคว้า แชลงขึ้นมาเป็นอาวุธตีพวกมันล้มลง เธอตีคนร้ายคนสุดท้ายจนกระเด็นล้มหน้าคว่ำไป แล้วส่วยก็พุ่งเข้ามาจากข้างหลัง
เอาปืนจี้ที่เอวเมียวดีทันที
“หยุด ไม่งั้นตาย!”
เมียวดีจำต้องหยุดชะงัก หน้าถอดสี
ทรงเผ่าเดินดุ่มเข้ามามาที่ห้องทำงานของอั๋นที่สำนักงานตำรวจ ด้วยความเป็นห่วงเมียวดี เขาเข้ามาที่ตำรวจคนหนึ่งที่กำลังนั่งพิมพ์เอกสารอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ โดยนั่งหันหลังให้
ทรงเผ่าโวยขึ้น นึกว่าเป็นอั๋นทำงานอยู่
“อั๋น...ฉันไม่มีทางเชื่อที่คุณหวานพูดเด็ดขาด มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเมียวดีแน่ๆ แกต้องช่วยฉันตามหาแล้วนะ”
ตำรวจคนนั้นชะงักหันมามอง ทรงเผ่าอึ้ง
“อ้าว...ผมนึกว่าหมวดอั๋น”
“หมวดอั๋น ยังไม่เข้ามาเลยครับ”
“แล้วทราบมั้ยครับว่า หมวดไปไหน”
ทรงเผ่าถามจริงจัง
เมียวดีถูกมัดอยู่กับโครงเหล็กในอู่รถ ส่วยยืนแสยะยิ้มอยู่ข้างหน้า พร้อมลูกน้องที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้วย
“ปล่อยเราเดี๋ยวนี้ เราไม่เคยรู้จักกัน เราไม่เคยทำอะไรพวกเอ็งมาจับเราทำไม”
ส่วยดึงกระดาษในซองเอกสารออกมาอ่านเบาๆ
“ถ้านังเมียวดีมาถึงแล้ว ตบปากสั่งสอนมันเบาะๆ แล้วจับมันขังไว้จนกว่าจะมืด ถึงค่อยปล่อยมันออกมา ส่วยอ่านจบแล้วแสยะยิ้ม พร้อมทั้ง ฉีกจดหมายเป็นเสี่ยงๆ”
เมียวดีเห็นเข้าก็เดือดดานตะโกนลั่น
“เฮ้ย ทำบ้าอะไรวะ มาฉีกจดหมายคนอื่นแบบนี้ทำไม”
“นังโง่ ข้าจะจัดให้ยิ่งกว่าที่สั่งไว้อีก”
เมียวดีแปลกใจ
“แกพูดอะไร ใครสั่งแก สั่งอะไร”
ส่วยไม่ตอบ หัวเราะร่วนเดินเข้ามาใกล้เมียวดี
“อย่าพูดมาก เดี๋ยวศพจะไม่สวย”
“ไอ้พวกหมาหมู่ ไปหาผ้าถุงมานุ่งไป”
ส่วยโกรธยกมือจะตบ เมียวดีไวกว่า ยกเท้าถีบส่วยกระเด็นออกไป
“ฤทธิ์มากหรือวะ...เฮ้ย จับมันไว้”
ลูกน้องสองคน เข้าไปจับขาเมียวดี ไว้คนละข้าง ล็อกดึงไว้ เมียวดีดิ้นรน ร้องโวยวายไม่ยอม ส่วยแสยะยิ้ม
“ตายธรรมดาๆ คงไม่ได้แล้ว อย่างเอ็งมันต้องข่มขืนแล้วฆ่า”
ส่วยพุ่งเข้าไปใหม่ พยายามปลุกปล้ำ เมียวดีร้องลั่น ดิ้นรน
“ปล่อย โว้ย...ปล่อยเรา”
ส่วยกระชากแขนเสื้อเมียวดีข้างหนึ่งหลุดติดมือ แล้วก้มหน้าลงไปหา เมียวดีตาเหลือก
“อย่า”
ฉับพลัน อั๋นโหนสายเคเบิ้ลที่โยงไว้ในอู่รถ เข้ามาถีบหน้าส่วยล้มกลิ้งออกไปทันที
“หมวด!”
พวกลูกน้องกรูเข้าไปเล่นงาน อั๋นตอนแรกก็ตกกระใจเหมือนกันตั้งท่าวิ่งหนี แล้วก็คิดได้หันกลับมา
“เฮ้ย เรามาช่วยเขานี่หว่า...มา เข้ามาเลย”
อั๋นเตะต่อยไม่ยั้ง เอาลังไม้ฟาดศีรษะ ลูกน้องไม้กระจาย ลูกน้องล้ม ส่วยหยิบปืนออกมาจะยิงอั๋น
เมียวดีมองเห็นร้องลั่น
“ระวัง!”
อั๋นหันมอง แล้วกระโดดหลบได้ทันเฉียดฉิว ส่วยวิ่งตามเข้ามายิงอีก ปังๆๆ อั๋นวิ่งหลบไปตามชั้นวางของที่กลายเป็นที่กำบังอย่างดี ส่วยกับพวกลูกน้องวิ่งตามออกไป
อั๋นเข้ามาหลบอยู่ที่มุมด้านหนึ่ง เห็นส่วยกับลูกน้องวิ่งกันเข้ามา ล้อมปิดทางทั้งหมด อั๋นเหงื่อแตก พึมพำต่อว่าตัวเอง
“ไอ้อั๋นนะไอ้อั๋น ทำไมไม่รู้จักพกปืน เป็นตำรวจประสาอะไรวะ”
ส่วยแสยะยิ้มย่างสามขุมเข้ามา
“แส่นัก ตายซะเถอะ”
อั๋นเครียด คิดหาทางเอาตัวรอด ส่วยยกปืนขึ้นเล็งจะยิงศีรษะอั๋น ที่โผล่เหนือชั้นวางของขึ้นมา เป็นเงาตะคุ่มๆ อั๋นนึกได้รีบหยิบมือถือออกมากด เสียงหวอรถตำรวจดังลั่นขึ้นมา ส่วยที่กำลังขึ้นไกจะยิงชะงัก พวกลูกน้องมองหน้ากัน ตื่นเต้น เลิกลั่ก อั๋นแอบป้องปากในมุม แล้วตะโกนออกไป
“ขณะนี้ตำรวจได้ล้อมไว้หมดแล้ว มอบตัวซะโดยดี โทษหนักจะเป็นเบา”
ส่วยหน้าถอดสี ลูกน้องถามอย่างรนราน
“ตำรวจมา ทำไงพี่!”
“ทำไง ก็เผ่นสิวะ”
ส่วยรีบวิ่งหนีออกไป ทางด้านหลังอู่ พวกลูกน้องแตกกระเจิงตามไป อั๋นโผล่หน้าขึ้นมาจากที่ซ่อน เห็นว่าไปกันหมดแล้ว กดปิดเสียงหวอ แล้วยิ้มกระหยิ่ม
“หึหึ เล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับหมวดอั๋น”
เสียงข้าวของหล่นโครมคราม มาจากที่เมียวดีโดนมัดพร้อมเสียงเมียวดีดังเข้ามา
“โอ๊ย...ช่วยด้วย”
อั๋นหันมองตามเสียง แล้ววิ่งหน้าตื่นออกไปด้วยความเป็นห่วง
“เมียวดี!”
อั๋นวิ่งหน้าเริดมาที่เมียวดีโดนมัด
“เมียวดีไม่ต้องกลัว ฉันมาช่วยแล้ว”
เมียวดีสะบัดศีรษะไปมา ร้องโวยวาย เพราะโดนถุงปูนที่หล่นลงมาจากชั้นวางของข้างบนครอบหัวไว้อยู่
“ช่วยด้วย ช่วยเราด้วย เรามองไม่เห็น...”
อั๋นเห็นแล้วขำ หลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เมียวดีพูดทั้งๆที่ถุงครอบศีรษะ
“ขำอะไร หมวดก้านยาว”
“ก็เธอนะสิ...หน้าตาแปลกๆ นะ หน้าเหลี่ยมๆ ยาวๆ เหมือนถุงปูนไงไม่รู้”
“ยังจะมาหัวเราเยาะเราอีก จะไปไหนก็ไปเลย”
อั๋นทำเป็นเดินหนี
“งั้นฉันไปล่ะ”
เมียวดีร้องขึ้นอีกอย่างขัดใจ
“จะทิ้งกันจริงๆ เหรอ หมวด”
“เอ้า ก็เธอไล่ฉันเองนะ”
“หมวดรู้มั้ย มีคนพูดจาวกวน กวนไปมาแบบนี้ เราโดนเตะปากแตกไปหลายคนแล้ว เอาไอ้ถุงบ้าๆนี่ออกไปที แก้มัดเราด้วย”
“โอ้โห้ มาเป็นชุดเลยนะ”
“อย่าช้าซิหมวด ไวๆ”
อั๋นตะเบ๊ะ รับคำสั่ง
“คร๊าบ”
รำพาหันมาต่อว่าอัญชิสา ที่นั่งเล่นไอโฟนอยู่ข้างๆอย่างสบายใจ
“แม่ไม่เข้าใจเลย ลูกหวาน ไปใช้เด็กป่าอย่างนั้นไปส่งของได้ยังไงกันเกิดมันทำเสียงานเสียการขึ้นมาจะทำยังไงคะ”
“งานไม่เสียหรอกค่ะ แต่มันต่างหากที่ต้องเสียใจ”
รำพาชะงัก
“ฮึ...ลูกหวานหมายความว่ายังไงคะ”
“ช่างเถอะค่ะ คุณแม่ เอาเป็นว่านับจากนี้ไป ยายเด็กป่าเมียวดีมันคงไม่กล้าทำท่า ยโสอวดดีใส่หวานกับแม่คุณแม่แล้วล่ะค่ะ”
รำพายิ่งงง
“ยิ่งพูดยิ่งงงค่ะ แม่งง”
“เดี๋ยวมันกลับมา คุณแม่ก็จะทราบเองล่ะคะ หึหึ สมน้ำหน้า ป่านนี้ มันคงนั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าไปแล้วล่ะ”
อัญชิสากระหยิ่มว่า เมียวดีคงเสียท่าโดนพวกส่วยซ้อมไปแล้ว
อั๋นพาเมียวดีมาที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขายื่นแก้วน้ำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่บนม้านั่ง
“ดื่มน้ำก่อนสิ”
“แล้วหมวดล่ะ”
“ผมเรียบร้อยแล้วล่ะครับ เชิญคุณเหมียวเถอะ”
เมียวดียิ้มบางๆ รับแก้วน้ำไปจิบ อั๋นนั่งลงข้างๆ หญิงสาวหันมาหาเขา
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร น้ำแก้วเดียวผมเลี้ยงได้น่า”
“ไม่ใช่เรื่องซื้อน้ำ แต่เป็นน้ำใจของหมวดที่มาช่วยเรา ขอบใจจริงๆนะ”
อั๋นสบตาเมียวดี ยิ้มเขินๆ แล้วเสพูดไปแก้เขิน
“ต้องขอบคุณนี่มากกว่า”
อั๋นหยิบย่ามของเมียวดีออกมายื่นให้
“เฮ้ย...ของเราจริงด้วย” เมียวดีรับไปถือ “ไปอยู่กับหมวดได้ไงเนี้ย”
“ก็นี่ล่ะ ถ้าเธอไม่ลืมไว้บนรถ ผมคงไม่วกรถกลับไปที่ซอยนั่นหรอก...ดีนะเนี่ย ที่ผมจำที่อยู่บนซองได้ด้วย”
“หมวดนี่หัวแหลมจริงๆเลย”
“อยู่แล้วล่ะ เอ้ย...นั่นมันลิงแล้ว”
เมียวดีขำกิ๊กๆ อั๋นพลอยขำไปกับเธอด้วย แล้วมีจังหวะหนึ่งที่ทั้งสองมองมาสบตากันเข้าพอดี
ชายหนุ่มมองหญิงสาวอย่างประทับใจ รู้สึกดีๆ ขึ้นแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เมียวดียิ้มสดใส พูดขึ้น อย่างไม่ประสากับสายตาของเขา
“เฮ้ย...เราไม่เคยหัวเราะได้อย่างสบายใจ แบบนี้มานานแล้ว”
“ผมก็เหมือนกัน ผมไม่นึกเลยว่าผมจะรู้สึกแบบนี้ กับ...”
เมียวดีแปลกใจ
“กับอะไร”
อั๋นสะดุ้งรู้สึกตัว รีบเปลี่ยนเรื่อง
“กับ...กับ อ้อ...กลับบ้านไปตอนนี้คงไม่ดีแน่ เมียวดี”
“ทำไมล่ะ หมวด”
อั๋นชี้ไปที่เสื้อของเธอข้างที่ โดนดึงแขนขาดไป
“ก็เธอใส่เสื้อแขนเดี่ยวแบบนี้ มันจะแฟชั่นก็ไม่ใช่ ติงต๊องก็ไม่เชิงนะสิ”
เมียวดีมองตามแล้วเห็นด้วย
“เออ จริงด้วย ขืนป้าวงศ์ กับเมียพ่อนายเห็นเข้า เราโดนด่าหูชาแน่ๆทำไงดีล่ะ หมวด ดึงอีกข้างให้มันขาดด้วยกันไปเลยดีมั้ย”
เมียวดีทำท่าจะดึงแขนเสื้ออีกข้าง อั๋นรีบห้ามแล้วพูดขึ้น
“ไม่ต้อง...ไม่ต้อง ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้น”
“วิธีอะไรล่ะ”
อั๋นถอดเสื้อตัวนอกของตัวเองออกมา แล้วเอามาคลุมที่ไหล่ให้เมียวดี อย่างน่ารัก เมียวดีนึกไม่ถึง อั๋นยิ้มให้
“ผมให้ยืมก่อนนะ แล้วผมจะพาคุณเมียวไปซื้อชุดใหม่เอง”
อั๋นพาเมียวดีเข้ามาที่ร้านเสื้อ หญิงสาวทำท่าไม่ค่อยอยากเข้าไป อั๋นรีบฉวยมือพาเดินเข้าไปข้างใน พนักงานพาทั้งสองมาเลือกดูชุด อั๋นหยิบชุดหวานๆแบบหญิงๆเซ็กซี่ๆ มาให้ เมียวดีส่ายหน้า เบ้ปาก ไม่เอาสักชุด อั๋นถอนใจ แบบ หมดปัญญา แล้วเมียวดีก็ดึงแขนเขาไปเลือกชุดเสื้อผ้าผู้ชาย เธอเลือกดูอย่างถูกอกถูกใจ
เมียวดีใส่ชุด แบบแมนๆ เดินออกมาจากห้องลองชุด เก๊กท่าแมนให้ดู อั๋นส่ายหน้าไม่ชอบใจเลยสักแบบเมียวดีเซ็งเหมือนกัน
เมียวดีเดินออกมาจากร้าน หน้ามุ่ย อั๋นเดินตามออกมาถาม
“โห...เมียวดี เสื้อผ้าทั้งร้าน ไม่มีชุดไหนถูกใจเธอเลยหรือ”
“ชุดแบบเรา หมวดก็ไม่ชอบ ชุดแบบหมวดเลือกมา ขืนใส่ไป ไอ้หมาลั่นได้หัวเราะตายแน่”
“เฮ้อ...ตลอดชีวิตการช้อปปิ้งกับหญิงของผม ไม่เคยไปกับผู้หญิงคนไหนแล้วปวดหัวอย่างนี้เล้ย”
เมียวดีหันไปมองเห็นแผงเสื้อยืดที่วางอยู่ ตรงบู้ทเล็กๆ ตามทางเดินนั้น เธอยิ้มอย่างต้องใจ วิ่งไปทันที อั๋นมัวแต่บ่นหันมาอีกที เมียวดีหายไปแล้ว
“อ้าว...คุณเมียว ไปไหนแล้ว”
เมียวดีวิ่งเข้ามาดู เสื้อยืดต่างๆลายการ์ตูนต่างๆ ระรานตาแล้วเหลือบไปเห็น เสื้อสกรีนรูปหมีพูห์กับพิกเล็ตคู่กัน เมียวดีเลือกขึ้นมาดู ชอบใจ
“น่ารักดีนะ”
อั๋นตามเข้ามาหาพอดี
“เธอ ชอบหมีพูห์ด้วยเหรอ”
เมียวดีสงสัย
“หมีพูห์”
อั๋นชี้ให้ดู
“นี่ไงครับ ตัวนี้ชื่อหมีพูห์ แล้วนี่ก็ พิกเลต เป็นหมูนะทั้งสองตัวนี้เป็นเพื่อนรักกัน”
“ตอนอยู่ในป่าเรายังไม่เคยเจอ หมูกับหมีเป็นเพื่อนกันได้”
“ความรักไม่มีพรมแดน ไม่มีเผ่าพันธุ์ ถ้ามีหัวใจที่บริสุทธิ์ให้กันไม่ว่าจะแตกต่างกันแค่ไหน เราก็รักกันได้”
อั๋นมองเมียวดีอย่างมีความนัย หญิงสาวยิ้มรับ อย่างใสซื่อ แล้วหันไปบอกคนขาย
“เราซื้อสองตัวนะ”
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวผมจ่ายเอง แต่คุณเมียวจะซื้อไปทำไมตั้งสองตัว จะเอาไปฝากใครหรือครับ”
เมียวดีส่ายหน้า
“เปล่า...เราให้หมวดตัวนึง”
อั๋นมองอึ้ง เมียวดีหยิบเสื้อลายหมีพูห์กับพิกเลตขึ้นมาทาบกับตัวเขา
“ตัวนี้ใหญ่สุดแล้วแหละ หมวดน่าจะใส่ได้นะ...พอดีเป๊ะเลย”
อั๋นแอบมองหน้าหญิงสาวหัวใจยิ่งพองโตซึ้งใจขึ้นมากมาย
“ชอบไหม หมวด”
อั๋นมองหน้า
“ครับ...ชอบ...ชอบมากๆ”
เมียวดียิ้มรับมีความสุข แต่ไม่ได้คิดอะไรเกินเพื่อน อั๋นมองหน้าหญิงสาวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
อ่านต่อ เวลา 17.00 น.
แก้วกลางดง ตอนที่ 14(ต่อ)
วงศ์กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว แล้วมีควันไฟพุ่งเข้ามาในครัว วงศ์ชะงัก
“ฮึ...ควันอะไร”
คนรับใช้ดมๆ
“มีกลิ่นด้วยค่ะ”
วงศ์กับคนรับใช้ทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่น แล้วหันมาเจอกัน ผงะใส่กัน
“ฮึย ยังจะมาทำหน้าทะเล้นอีก”
“ก็มันเหม็นนี่คะ กลิ่นมันทะแม่งๆ เหมือน...เหมือนอะไรน้า”
“โอ้ย...ไฟไหม้บ้านมันก็กลิ่นอย่างนี้แหละแก” วงศ์นึกได้ตกใจขึ้นมา “ฮึ ไฟไหม้”
วงศ์กับคนรับใช้หันมามองหน้ากันแล้วกรี๊ด เสียงดังอย่างตกใจ กลัว
“ไฟไหม้บ้าน!”
วงศ์กับคนรับใช้หญิงวิ่งหิ้วกระป๋องน้ำมาที่ ฟ้าลั่นกำลังจุดเตาต้มยาหม้ออยู่ ควันพวยพุ่งเต็มไปหมด
“เร็วๆ เข้า ไฟไหม้ ช่วยด้วย ไฟไหม้!”
ฟ้าลั่นที่กำลังต้มยาอยู่ตกใจ หันไปหา วงศ์กับคนรับใช้สาดน้ำโครม เข้าหน้าเต็มๆ ฟ้าลั่นบ้วนน้ำออกจากปาก หน้าตาเซ็งๆ วงศ์ตกใจ
“ฟ้าลั่น!”
ฟ้าลั่นเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เดินออกมาจากห้องพร้อมผ้าขนหนูโพกผม เข้ามาหาวงศ์กับคนรับใช้ที่ยืนอยู่แถวหน้าห้อง
“เสื้อเปียกไม่ว่า แต่ยาหม้อของฟ้าลั่นนี่สิ เสียหมดเลย”
“เอ้า ใครจะไปรู้ล่ะว่าแอบไปต้มยาผีบอกอยู่แถวนั้น”
“โห...ป้าพูดอย่างนี้ได้ไง ไม่แสดงความรับผิดชอบเลยเหรอ”
“นี่ถ้าเจ็บป่วยตรงไหนก็บอกมาสิ ฉันจะพาไปหาหมอ”
“ฟ้าลั่นไม่ได้ป่วย”
“อ้าว...แล้วที่มานั่งต้มยานั่นล่ะ ต้มให้แมวกินหรือไง”
“ฟ้าลั่นไม่ได้ต้มให้แมว ฟ้าลั่นต้มให้น้องเชอรี่”
วงศ์ชะงัก
“ว่าไงนะ”
“ก็น้องเชอรี่เจ็บขา ฟ้าลั่นอุตส่าห์หาตัวยาแทบตาย กว่าจะเอามาต้มได้...ป่านนี้น้องเชอรี่คงนอนร้องครวญครางปวดเข้ากระดูกดำไปแล้วน่าสงสารจริง น้องเชอรี่ของพี่ฟ้า”
วงศ์หัวเราะขึ้นมา คนรับใช้เลยหัวเราะตาม วงศ์หันไปดุ
“ทะลึ่ง...ฉันหัวเราะคนเดียวก็พอ”
ฟ้าลั่นต่อว่า
“ป้านี่ใจร้ายใจดำจริงๆ คนเจ็บคนป่วยยังมาหัวเราะเยาะ”
“ก็แล้วใครว่าเชอรี่มันเจ็บล่ะ”
“ฟ้าลั่นนี่ไง ป้าไม่เห็นปากฟ้าลั่นเหรอ”
“น้อยๆ หน่อยนะฟ้าลั่น เอาล่ะ ฉันจะบอกให้เอาบุญ เรานะโดนเชอรี่หลอกแล้ว รู้มั้ย”
“น้องเชอรี่ไม่หลอกฟ้าลั่นหรอก ไม่จริง”
“ก็ฉันเห็นเชอรี่ เดินเฉิบๆ ขึ้นไปบนตึกใหญ่ไปตั้งนานแล้ว เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เราเถอะนะ ฉันจะไปทำกับข้าวล่ะ”
วงศ์เดินสะบัดออกไป คนรับใช้ตาม ฟ้าลั่นงุนงง
“ฮึ...ยังไงกัน น้องเชอรี่จะหลอกฟ้าลั่นทำไม”
อัญชิสายื่นถุงเครื่องสำอางมาให้เชอรี่
“อะ นี่รางวัลของเธอ”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณหวาน” เชอรี่รับไปดู แล้วตื่นเต้นดีใจ “อุ้ย ทั้งแป้ง ลิปสติก อ๊าย ครีมทาจั๊กกะแร้ขาว คุณหวานอ่ะ ทั้งสวยทั้งใจดี รู้ใจเชอรี่ที่สุด”
“ถ้าเธอทำงานดี ซื่อสัตย์กับฉัน ต่อไปเธอจะได้มากกว่านี้อีก”
“คุณหวานพูดจริงๆนะคะ คราวหน้า คุณหวานต้องซื้อกลูต้าให้เชอรี่ได้มั้ยคะ เชอรี่อยากตัวขาวเหมือนดาราค่ะ”
“เออ หมดธุระแล้วก็กลับไปได้”
อัญชิสาลุกขึ้นจะออกไป แล้วนึกได้หันมาหาเชอรี่
“อ้อ...หุบปากให้สนิท อย่าได้ปากสว่างไปบอกใครล่ะ”
ฟ้าลั่นโผล่เข้ามา
“น้องเชอรี่!”
อัญชิสากับเชอรี่ตกใจ ผงะไป
“ว้าย”
“แหม ตกใจอะไรนัก มีความลับอะไรกันเหรอ”
อัญชิสากับเชอรี่ทำหน้าอึกอัก แล้วเชอรี่ผละเข้าไป ต่อว่าฟ้าลั่นฉอดๆ
“ความล้งความลับอะไรล่ะ พี่ฟ้านั่นแหละ ขึ้นมากวนประสาทเชอรี่ทำไมอีกเนี่ย ว่างนักหรือไง”
ฟ้าลั่นมองเชอรี่หัวจรดเท้า แล้วงง
“แล้ว...แล้ว น้องเชอรี่ ไม่เจ็บขาแล้วเหรอ”
เชอรี่อึ้งไป
“ไหนน้องเชอรี่บอกพี่ว่า เจ็บขา พี่ถึงปล่อยให้อีเมียวมันไปคนเดียว...”
ทันใดนั้นเสียงทรงเผ่าดังเข้ามา
“อะไรนะ ฟ้าลั่น...”
อัญชิสาหน้าเสียกลัวทรงเผ่ารู้ความจริง
“คุณเผ่า”
ทรงเผ่าเดินเข้ามาในห้อง
“เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ”
“อ๋อ เราว่าเชอรี่...”
ฟ้าลั่นยังไม่ทันบอก เชอรี่รีบทำเป็นปวดท้องขึ้นมาทันที
“โอ๊ย...อู้ย...โอ้ย”
“น้องเชอรี่ เป็นอะไร ผีเข้าเหรอ”
“บ้าซิพี่ฟ้า” เชอรี่หันไปบอกทรงเผ่า “อาการกำเริบอีกแล้ว เชอรี่ ปวดท้อง อู้ย ไม่มีอะไรหรอกนะคะ คุณเผ่า แบบเรื่องวันเบาๆ ของผู้หญิงน่ะค่ะ”
“วันเบาๆ” ฟ้าลั่นเกาหัวแกร๊ก “มันเบายังไงเหรอ”
อัญชิสารีบบอก
“ก็ประจำเดือนไงฟ้าลั่น”
“อ๋อ”
“พี่ฟ้า พี่ฟ้าไปหายาให้เชอรี่หน่อยได้มั้ย เชอรี่ไม่ไหวแล้ว ยาสมุนไพรก็ได้ พี่ฟ้านะเก่งออก ใช่มั้ย นะ ๆ โอ๊ย”
เชอรี่รีบดึงแขนฟ้าลั่นออกไป แล้วแอบหันมาขยิบตากับอัญชิสา หญิงสาวรีบเข้าไปดึงแขนทรงเผ่าที่ทำท่าจะตามฟ้าลั่นไป
“ฟ้าลั่น...เดี๋ยวก่อน”
“คุณเผ่าไม่ต้องไปสนใจหรอกนะคะ กลับมาเหนื่อยๆ ทานน้ำเย็นๆก่อนดีกว่า เดี๋ยวหวานจะให้เด็กจัดชุดของว่างให้”
ทรงเผ่าอึ้งไปอย่างขัดไม่ได้
เชอรี่ดึงฟ้าลั่นมาถึงมุมหนึ่งก็ปล่อยมือ ฟ้าลั่นยังเดินต่อไปคนเดียว ส่วนเชอรี่เดินแยกไปอีกทางแล้วฟ้าลั่นชะงัก ไม่เห็นเชอรี่อยู่ข้างๆ มองเลยออกไป เห็นเชอรี่กำลังเดินไปอีกทาง
“อ้าว ไปทางโน้นก็ไม่บอก”
ฟ้าลั่นรีบวิ่งตามเข้าไป ดึงแขน
“น้องเชอรี่ ไปกินยา...”
เชอรี่สะบัด
“อย่ายุ่งน่า”
“ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ” ฟ้าลั่นชี้ๆมองสงสัย “นี่หลอกพี่ฟ้าอีกเปล่า เมื่อกลางวันก็ทีนึงแล้ว ชอบหลอกกันแบบนี้น้องเชอรี่เห็นพี่ฟ้าเป็นตัวอะไร”
“อยากเป็นตัวอะไรก็ตามใจเถอะ”
เชอรี่เดินหนีออกไปเลย
“ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริง สงสัยต้องไปปรึกษานายเสียแล้ว...”
เชอรี่ได้ยินชะงักหูผึ่ง แล้วรีบวิ่งกลับมาหาฟ้าลั่น
“พี่ฟ้า จะไปไหน เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะ”
ฟ้าลั่นสะบัดออก
“น้องเชอรี่ไม่สนใจพี่ฟ้าแล้วไม่ใช่เหรอ”
“พี่ฟ้าอ่ะ อย่างอนดิ เชอรี่ไม่ได้หลอกพี่ฟ้านะ เชอรี่แค่ลองใจพี่ฟ้าดู”
“ลองใจ ลองทำไม”
เชอรี่เข้ามาเกาะแขน ออดอ้อน
“แหม พี่ฟ้าทำเป็นไม่รู้ไปได้ เชอรี่ก็อยากจะรู้นะสิว่าพี่ฟ้าเป็นห่วงเชอรี่หรือเปล่า แล้วเชอรี่ก็รู้แล้วว่าพี่ฟ้าเป็นห่วงเชอรี่จริงๆ”
เชอรี่แกล้งทำตาปิ๊งๆอ้อน ฟ้าลั่นยิ้มออก แกล้งตีๆแขนเชอรี่แก้เขิน
“บ้าๆๆ อย่างนี้ก็แกล้งเค้าสิ”
เชอรี่เซผงะเพราะฟ้าลั่นตีแรง แล้วแอบทำเบ้ปาก ก่อนจะหันกลับมาทำยิ้มหวานกับฟ้าลั่น
“พี่ฟ้าหายโกรธเชอรี่แล้วนะจ๊ะ”
ฟ้าลั่นพยักหน้ารับ เชอรี่จับมือเขย่าๆ ยินดี
“เย้ๆ เชอรี่ดีใจที่สุดในโลกเลย”
อัญชิสาเอาใจตักขนมปังหน้าหมูใส่จานให้ทรงเผ่า บัวคลี่ กับ รำพานั่งอยู่ร่วมโต๊ะด้วย
“ทานเยอะๆนะคะ วันนี้หวานสั่งให้เขาทำขนมปังหน้าหมูของโปรดคุณเผ่าเลยนะคะ”
บัวคลี่เลิกคิ้วงง ไม่เคยรู้มาก่อน
“เอ๊ะ คุณเผ่าชอบขนมปังหน้าหมูด้วยเหรอค่ะเนี่ยน้าไม่รู้มาก่อนเลย แหมหนูหวานนี่น่ารักจริงๆ”
รำพารีบพูดสนับสนุนลูกสาว
“ลูกหวานเค้าก็อย่างนี้ล่ะคะ รักใครชอบใครก็ดูแลเต็มที่”
อัญชิสายิ้มหน้าบาน กับบัวคลี่กับรำพา ทรงเผ่าโพล่งขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“ผมไม่เคยชอบขนมปังหน้าหมู”
บัวคลี่กับรำพาชะงักกึก
“ตกลงเมียวดีไปไหนกันแน่ ป่านนี้ทำไมยังไม่กลับอีก คุณน้าทราบมั้ยครับ”
บัวคลี่ส่ายหน้า
“วันนี้ทั้งวันหน้ายังไม่เห็นยายเหมียวเลย”
“คนทั้งคน หายไปไม่มีใครรู้...จะไปเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ก็หวานบอกแล้ว ว่าเห็นแกแอบออกไปกับผู้ชาย ไม่เชื่อถามคุณแม่ดูก็ได้”
อัญชิสาโยนให้ รำพาจำต้องรับลูก
“ใช่ ๆ แหมดูท่าทางคิกคักกันเชียว อย่างว่าแหละนะคะ เด็กสาวๆ สมัยนี้ ก็ต้องมีแฟนเป็นธรรมดา แต่อย่าใจแตกจนเกินเลยไปก็แล้วกัน”
“แต่ยายเหมียวก็ไม่เคยทำอะไรรุ่มร่ามให้เห็นเลยนะคะ” บัวคลี่แย้ง
“ลับตาคุณรำพา จะรู้ได้ยังไง”
ทรงเผ่าไม่พอใจ
“เมียวดีไม่มีทางทำแบบนั้น น่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรกับแกมากกว่า ผมจะไปตามเมียวดี”
รำพาชะงัก
“คุณเผ่าจะไปตามที่ไหนค่ะ”
“ก็ตามโรงพยาบาล สน.อะไรก็ได้”
ทรงเผ่าลุกขึ้นเดินออกไป อัญชิสารีบตามไปด้วย รำพากับบัวคลี่เลยรีบตาม
อั๋นขับรถมาจอดหน้าบ้านทรงเผ่า เปิดประตูรถให้เมียวดีลงมา ทั้งสองใส่เสื้อหมีพูห์กับพิกเล็ตเหมือนกัน อั๋นโค้งให้
“เชิญครับคุณผู้หญิง ถึงแล้วครับ”
เมียวดีนั่งนิ่ง
“เมียวดี ถึงบ้านแล้ว”
อั๋นจับแขน เมียวดีถึงรู้ตัวแล้วก็ลงมา
“คิดอะไรอยู่เหรอ”
“เรากำลังคิดเรื่องคนพวกนั้น ทำไมมันถึงต้องคลุมหน้าคลุมตาด้วย พูดจาก็เหมือนรู้จักเรา”
อั๋นเห็นด้วย
“เออ ก็จริงนะ คนบ้าอะไรจะใส่หมวกปล้ำผู้หญิง หรือว่าจะมีคนสั่งให้ทำ เมียวดี เธอพอจะนึกออกมั้ยว่าเธอเคยมีเรื่องกับใครบ้าง”
เมียวดีคิด อยู่ๆ
“ก็...”
เมียวดียังไม่ทันตอบเสียงทรงเผ่าก็ดังมา
“เมียวดี...เป็นอะไรหรือเปล่า”
เมียวดีหันไป เห็นทรงเผ่าเดินมา มีอัญชิสา รำพา บัวคลี่ตามมาด้วย
“เปล่า...เราไม่ได้เป็นอะไรนาย”
อั๋นยกมือไหว้ผู้ใหญ่ จนมาถึงทรงเผ่า
“ขอโทษทีนะครับพี่เผ่า มาส่งเมียวดีช้าไปหน่อย”
ทรงเผ่าหน้าตึงไปนิดเมื่อเห็นอั๋นมาส่ง อัญชิสารีบพูดแทรก
“งั้นตกลงคุณเผ่าคงไม่ต้องไปตามที่ไหนแล้ว เมียวดีกลับมาปลอดภัยแถมมี ชายหนุ่ม” อัญชิสาเน้นเสียงพร้อมกับมองตากับให้ทรงเผ่ารู้สึกสะกิดใจ “รูปหล่ออย่างคุณอั๋น มาส่งเสียด้วย”
บัวคลี่แปลกใจ
“นี่ตกลงยายเหมียวออกไปกับคุณอั๋นเองเหรอ ไปไหนทำไมไม่บอก เค้าเป็นห่วงกันมากนะ รู้มั้ย”
“เราก็ไปตาม...”
เมียวดีกำลังจะบอกว่าเป็นคำสั่งของคุณหวาน แต่ อัญชิสารีบกรี๊ดขัดขึ้นทันที
“อ๊าย...ตายแล้ว สองคนนี้ทำไมถึงได้ใส่เสื้อเหมือนกันได้ มีแต่แฟนกันนะคะ เค้าถึงทำแบบนี้”
ทรงเผ่าชะงักทันที
“แอบหนีไปซื้อกันตอนไหนค่ะเนี่ย”
อั๋นกับเมียวดีชะงัก
“เมื่อกี้...”
แล้วทั้งสองก็หัวเราะขำที่พูดพร้อมกัน ทรงเผ่าได้แต่จับตามอง อัญชิสาใส่ไฟต่อ
“อุ๊ย...ใส่เสื้อเหมือนกัน ยังพูดเหมือนกันอีก แล้วใจตรงกันด้วยหรือเปล่าคะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีซิครับ เออ...คือผมพูดเล่นนะครับ”
อัญชิสายิ้มล้อๆ
“แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วยละคะ คุณอั๋น”
“แหมคุณหวานก็ จะไม่ให้เขินไงล่ะครับ หน้าผมกับการ์ตูนพวกนี้มันเข้ากันเสียทีไหน แต่เมียวดีเค้าชอบ ก็เลยจัดไปเสียหน่อย”
“เฮ้ย...เราไม่ได้บังคับนะหมวด ถ้าไม่ชอบก็ถอดคืนมาเลย เอามา”
อั๋นลอยหน้าลอยตาเล่นกับเมียวดี
“ถอดก็โง่ซิ อ้อยเข้าปากช้างแล้ว ฮะๆๆ”
เมียวดีแกล้งกำมือยกมะเหงกให้ ทุกคนหัวเราะขำกันกับการล้อเล่นของสองคน มีแต่ทรงเผ่ายิ้มไม่ค่อยออกเท่าไหร อัญชิสาแอบมองทรงเผ่า แอบกระซิบ
“คราวนี้คงเชื่อที่หวานพูดแล้วนะคะ”
ทรงเผ่าหันมาเม้นปาก รู้สึกหึงขึ้นมา อดหันไปมองเมียวดีกับอั๋นไม่ได้
โปรดอ่านต่อวันพรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.
ค่ำนั้น...เมียวดีเดินมาอย่างเซ็งๆ ทรงเผ่าแอบมาดักอยู่ในมุมมืดออกมาฉุดแขน
“เราเจ็บนะนาย มีอะไรพูดดีๆ ไม่ได้เหรอ”
เมียวดีดึงแขนออก ทรงเผ่าเสียงแข็ง
“ฉันว่าเรายังพูดกันไม่จบ ตกลงเธอไปไหนกับมากับเจ้าอั๋น”
เมียวดีชักไม่ชอบบ้างเลยตีร่วน
“เราคงไม่จำเป็นต้องรายงานนายทุกอย่าง เพราะเราก็แค่คนมาอาศัยในบ้านนายเท่านั้น โน่น นายควรจะขึ้นตึกไปดูแลว่าที่คู่หมั้นนายดีกว่า”
“ฉันเป็นผู้ปกครองของเธอ ฉันก็ต้องดูแล ความประพฤติของเธอ และสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ตอนนี้มันไม่เหมาะสม”
“เพิ่งรู้ว่าเราเป็นนักโทษไปแล้ว นายไม่ใส่กุญแจเราล่ะ เราจะได้ไปไหนไม่ได้”
“เมียวดี เดี๋ยวนี้ยอกย้อนเก่งขึ้นทุกวันนะ”
“เราก็ทำเหมือนที่นาย และคนอื่นๆ พยายามสอนให้เราเป็นไง เป็นคนเมือง”
“ด้วยการใส่เสื้อ...ลายการ์ตูนเด็กๆ แบบนี้นะเหรอ เลือกที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วเหรอ”
“ใช่...หมวดอั๋นเลือกให้ แล้วเราก็ชอบมากด้วย เสียแต่กางเกงตัวนี้ มันยาวไปหน่อย สั้นอีกหน่อยก็คงดี”
เมียวดีแกล้งจะถลกกางเกงขึ้นมาให้สูงยั่วโมโห
“เอาลงเดี๋ยวนี้”
“หมวดอั๋นยังชมว่าเราขาสวย มีดีก็ต้องอวดไม่ใช่เหรอ สาวเมืองกรุงเค้าก็ใส่แบบนี้ทั้งนั้น คุณหวานก็ใส่”
ทรงเผ่าโมโหดึงเมียวดีมาใกล้ จับเธอไว้ทั้งสองมือ เขย่าด้วยโมโห
“แต่ฉันไม่ชอบ โดยเฉพาะเธอ มันก็ไม่เหมาะกับเธอแม้แต่นิดเดียวรู้มั้ย”
เมียวดีน้ำตาคลอ ทรงเผ่าคิดได้ปล่อยมือ แขนเมียวดีเป็นรอยแดงจากการบีบ ทรงเผ่าตกใจ จะเข้าไปดู
“เมียวดี ฉัน...”
หญิงสาวถอยหนี ไม่ให้จับ ชายหนุ่มยิ่งเสียใจ
“เราจะเลือกเอง ว่าอะไรที่เหมาะกับเรา”
เมียวดีเชิดหน้า แล้วหันหลังกลับออกไป ทรงเผ่าคอตกไม่กล้าเรียกอีก วงศ์แอบมองอยู่รู้สึกหนักใจ
เมียวดีนั่งกอดเข่าอยู่ในห้องด้วยความน้อยใจ น้ำตาเริ่มไหล ทรงเผ่าเดินมาหน้าห้องถือตลับยามาด้วย หยุดอยู่หน้าห้อง ตัดสินใจอยู่พักก่อนจะยกมือจะเคาะ แต่ต้องชะงักเมื่อวงศ์เรียก
“คุณเผ่าค่ะ”
เมียวดี ได้ยินเสียงเคาะประตู
“เรานอนแล้ว”
เสียงเคาะประตูยังดังอยู่ เมียวดีเช็ดน้ำตาเดินไปเปิดประตู
“มีอะไร”
ปรากฏว่าเป็น ฟ้าลั่นที่โผล่มา
“แฮ่”
เมียวดีเข็กหัวทันที
“มาเคาะข้างฝาเป็นหมาเดือนสิบสองอยู่ได้”
ฟ้าลั่นงงๆเพราะไม่ได้เป็นคนเคาะ
“ข้าเหรอ ก็เพิ่งมานี่แหละ โอ้โห้อีเมียวใส่ชุดนี้แล้วเอ็งดูเป็นนางเอกหนังเลยว่ะ สวยเหมือนกันนะเนี่ย”
เมียวดีขี้เกียจต่อปากจะเข้าห้อง ฟ้าลั่นยื่นโทรศัพท์ออกมา
“ข้าขโมยของน้องเชอรี่มา”
“ไอ้หมาลั่น เอ็งนี่มันสันดานเสียขี้ขโมยไม่หายจริง ๆ”
“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งด่าซิว่ะ ข้าขโมยมาเพราะ ข้าอยากให้เอ็งช่วยอ่านไอ้ตริ๊ง ๆให้หน่อย ข้าเห็นน้องเชอรี่อ่านแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มันน่ารักกว่าข้าเหรอวะ ไอ้โทรศัพท์แบบนี้นะ”
เมียวดีเอามาพยายามกด ทันใดนั้นเชอรี่แย่งโทรศัพท์ไปทันที
“อยู่นี้เอง นี่เอาของฉันไปเหรอ”
“คือ พี่ฟ้าเห็นมันตกอยู่นะ ก็เลยจะให้อีเมียวมันช่วยดูว่าของใคร”
ฟ้าลั่นพยายามขยิบตาส่งซิกให้เมียวดีใหญ่ เชอรี่หน้าตื่น
“จริงเหรอ แล้ว เห็นอะไรมั่ง”
เมียวดีเซ็ง
“ก็ยังไม่ทันดู เธอก็แย่งไป หมดเรื่องแล้วใช่มั้ย เราจะนอน”
“เดี๋ยว เสื้อสวยนะ ใครซื้อให้นะ ของดีเสียด้วยนะเนี่ย”
เมียวดีรำคาญถอดเสื้อทันที เชอรี่รีบเอามือเปิดตาฟ้าลั่น
“เราให้”
เมียวดียัดใส่มือแล้วก็ปิดประตูเข้าห้องทันทีปล่อยให้เชอรี่ชื่นชมเสื้อไป ฟ้าลั่นโล่งอกที่เชอรี่จับไม่ได้เดินออกไป โดยไม่เห็นว่าที่พื้นหน้าห้องมีพวงมาลัยกระแตวางอยู่
เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง วงศ์ยื่นมือมาตรงหน้า ทรงเผ่าจำต้องยื่นตลับยาให้
“ดึกแล้ว ดิฉันเอาไปให้เองดีกว่า คุณเผ่าเอาไปให้คงไม่เหมาะ”
“แม่วงศ์ทำเหมือนผมจะไปปล้ำเมียวดีอย่างนั้นแหละ ผมยังจำได้นะครับว่า ผมเคยพูดว่ายังไง”
วงศ์เหลือบมองหน้า
“ดีค่ะ สมภารไม่กินไก่วัด อีกอย่างคุณเผ่าก็กำลังจะหมั้น”
ทรงเผ่าถอนหายใจอย่างหนักใจ
“ครับ ผมรู้”
วงศ์อดสงสารขึ้นมาไม่ได้
“ตกลงเตรียมงามหมั้นไปถึงไหนแล้วค่ะ มีอะไรให้ดิฉันช่วยมั้ยบอกได้เลยนะคะ”
ทรงเผ่าถอนหายใจอีกครั้ง
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมให้คุณหวานเค้าจัดการ”
“ดูคุณเผ่าไม่ค่อยตื่นเต้นกับงานเลยนะคะ”
“ผมเป็นผู้ชายมั้งครับ เลยไม่ค่อยชอบแสดงออกมาก”
“คุณเผ่าขา อิฉันพอจะเดาได้นะคะว่าทำไมคุณถึงตัดสินใจหมั้นกับคุณหวาน แต่นั้นล่ะค่ะ ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่คุณตัดสินใจเอง ทั้งการหมั้นกับคุณหวาน ทั้งการเอาคุณเหมียวมาดูแล” วงศ์ตบแขนทรงเผ่าอย่างปลอบใจ “เราก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราตัดสินใจนะคะ”
ทรงเผ่าอึ้ง ได้แต่ก้มหัวยอมรับ แล้วเดินออกไป วงศ์ถอนใจ
“ขอโทษนะคะ ดิฉันจำต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ก่อนที่มันจะวุ่นวายไปมากกว่านี้”
อ่านต่อตอนที่ 15 เวลา 17.00 น