บ่วง ตอนที่ 13
ที่บ้านเดือนแรม...คณะจัดโต๊ะจีน วางโต๊ะจีนที่จัดแล้วประมาณห้าโต๊ะเรียบร้อย ใกล้เวลาอาหารออกมาแล้ว เดือนแรมเดินหัวเสียเข้ามา ตามด้วยดีดี้
“โธ่โว้ย โธ่โว้ย โธ่โว้ย! เอ๊ะ โต๊ะพวกนี้อะไรเนี่ย”
“โต๊ะจีนที่คุณนายสั่งมาไง” ดีดี้หันไปบอกบ๋อยที่เดินมาแล้วทักทาย “ซินเจียอยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้”
“โต๊ะจีน แต่เป็นลาวครับ”
“แฮะๆ ไม่งั้นจะขำหรือ อาหารเสร็จหรือยัง เอามาเลยๆ น้ำลายสอแล้ว”
“นังทองดี!” เดือนแรมโกรธ
“เออจริง คุณนายจัดเลี้ยงให้คุณรัมภากับคุณศามนที่หย่ากันแล้วนี่ไม่ได้หย่า จะมีแขกมาไหมเนี่ย”
พูดไม่ทันขาดคำ น้อย แอน เจี๊ยบ เดินเรียงหน้าเข้ามา ชาวตลาดหลายคนตามมาด้วย
“มาแล้วจ้า มาแล้ว นี่ไงล่ะ พวกเรามากันแล้ว” น้อยส่งเสียงดัง
“ฉันไม่ได้เชิญพวกแกสักหน่อย” เดือนแรมมองไม่พอใจ
“เอ๊า เชิญทั้งตลาดเว้นเราได้ไง ตอนแรกที่ว่าจะหย่า ก็ไม่อยากมาเหยียบหรอกนะ” เจี๊ยบแย้ง
แอนเยาะเย้ย
“แต่ตอนนี้ เรารู้กันหมดแล้วว่าไม่ได้หย่า รีบมากันใหญ่เลย เอ้าโว้ยนั่งๆๆอาหารเสิร์ฟเลยมา ออกมาเลย ออกมาให้หมดเลย”
ชาวตลาดกลุ่มใหญ่นั่งลง
“เอ๊า คุณนายก็นั่งสิ เวลาแบบนี้ต้องฉลองนะ ตำแหน่งอะไรนะ อ๋อ ตอนแรกจะฉลองตำแหน่งใหม่ เมียหลวง แต่สุดท้ายก็ตกกระป๋องลงมาที่ตำแหน่งเดิม ว่าที่เมียหลวง...ว่าที่...ว่าแล้วว่าอีก...ว่าแล้วก็ไม่ได้เป็นสักที”
น้อยพูดอย่างสะใจ แล้วทั้งสามสาวก็พากันหัวเราะเยาะ
“พูดซะยาว เรียกง่ายๆว่า อีเมียน้อย! นั่นแหล่ะ” เจี๊ยบสรุปหน้าตาเฉย
“อีสามตัวนี่ มึงตาย”
เดือนแรมบุกจะเข้าไปตบ แอนแปลกใจ เมื่อมองไปเห็นว่าใครเดินเข้ามา ทุกคนในที่นั้นมองไปเป็นตาเดียว เดือนแรมเลยชะงักมือไปด้วย
“เอ๊ะ ... คุณรัมภา” แอนทัก
“มาได้ไงวะ” เจี๊ยบสงสัย
ทุกคนงุนงง รัมภาสีหน้ามั่นใจมองทุกคน รัมภามาในมาดใหม่ สู้คนมากกว่าเดิม ดีดี้หันไปถาม
“นี่ คุณนาย เป็นบ้าไปแล้วหรือไง อย่าบอกนะว่ามางานนี้”
“ค่ะ ฉันมางานนี้ ก็คุณเชิญฉันไม่ใช่หรือ”
“อีรัมภา...นี่แก”
เดือนแรมพูดไม่ออก รัมภาเดินไปบอกพวกชาวบ้าน ที่มองมาเป็นตาเดียว
“เมื่อคราวที่แล้ว ที่สวนหลังตลาด พวกคุณมองฉันกับคุณเดือนแรมในฐานะเมียหลวง เมียน้อย บอกตรงๆ ฉันอายมาก วันนี้ฉันอยากมาสัมผัสความรู้สึกนั้นอีกครั้ง”
รัมภามองไปรอบๆ ทดสอบตัวเองด้วยการมองทุกๆคน เผชิญหน้ากับสายตาชาวบ้าน
“อืม...ที่จริงมันก็ไม่ถึงตายนี่นา”
บุญสืบที่เดินตามมายิ้ม บอกดีดี้
“นายกู เข้มแข็งแล้ว...พวกมึงตายแน่”
“พวกเราไม่ได้อยากให้คุณอายนะ ผัวเราบางคนมันก็มีเมียน้อยเหมือนกัน” แอนบอก
“ใช่ คนที่เราเกลียด อีพวกเมียน้อยต่างหาก” เจี๊ยบหันไปมองเดือนแรม
รัมภาพยักหน้าเข้าใจ
“ฉันก็ไม่เข้าใจนักว่าอายทำไม คงเหมือนคนเดี๋ยวนี้ คนดีขี้อาย คนชั่วหน้าด้าน หึ ไม่กล้าลุกให้คนนั่งบนรถเมล์เพราะกลัวคนมอง แต่คนที่นั่งแล้วปล่อยคนท้องยืน คนพวกนี้กลับไม่อาย นี่ก็เหมือนกัน ฉันเป็นเมียหลวง ผู้หญิงคนนี้เป็นเมียน้อย คุณต่างหาก รู้จักอายเสียบ้าง !”
รัมภาชี้หน้าด่าเดือนแรมตรงไปตรงมา ผิดกับรัมภาคนเดิม
“มึงบ้าไปแล้วแน่ ที่คิดจะสู้กับคนอย่างกู”
เดือนแรมเงื้อมือตบลงมา รัมภาหลบได้อย่างยอดเยี่ยม แล้วหันมาตบคืนสุดแรง แบบชนิดที่เรียกว่า เดือนแรมร่วงลงไปนั่งกองกับพื้น
บุญสืบกระโดดตัวลอย เช่นเดียวกับพวก น้อย แอน เจี๊ยบ สะดุ้งเจ็บหน้าแทน แล้วร้องเย้
“โฮ้ย สุดยอด จัดหนัก จัดเต็ม! เป็นไงล่ะ” น้อยสะใจมาก
“เย้ คุณผู้หญิง เย้ คุณผู้หญิงตบคนเป็นแล้ว ไม่ใช่ตบธรรมดา ตบคว่ำเลย คว่ำเลยเห็นไหม ดูสิดู”
บุญสืบเรียกดีดี้และทุกคน
“นึกว่าตาฝาด...โอ้โห” แอนตื่นเต้น
“เฮ้ย คุณภาเกิดวันที่เท่าไหร่ จะเอาไปแทงหวย” เจี๊ยบรีบถาม
รัมภามองมือตัวเอง มั่นใจในตัวเองขึ้นมาก
“ครั้งแรกของฉัน อืม ไม่เลวใช่ไหมคะคุณเดือนแรม”
“ฮึ อีพวกมือใหม่หัดตบ สู้กูไม่ได้หรอก”
เดือนแรมลุกขึ้นจะตบใหม่ เงื้อมือ แต่พวกแอน น้อย เจี๊ยบ เข้ามาช่วย ยกมือขู่
“มือใหม่ก็จริง แต่มีพวกมือเก่าเข้าข้าง บังเอิญเขาอยู่ฝ่ายความถูกต้อง บอกแล้วไง คดีเมียหลวงเมียน้อย กฎหมายมาไม่ถึง แต่กฎหมู่ถึงแน่” แอนตบที่เท้าตัวเองเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าจะเล่นงานแบบไหน
แอน น้อย เจี๊ยบ บุญสืบเข้ามาล้อมเดือนแรม เช่นเดียวกับพวกชาวบ้าน
“มาเลยมา นี่ก็เย็นแล้ว จะได้ไม่ต้องไปแอโรบิก” น้อยขู่
ทุกคนเดินเข้ามา เดือนแรมเลยต้องถอย
“หนอย พวกมึงออกไปจากบ้านกูให้หมดเลยนะ ออกไป๊”
“ฉันไม่ได้มาเพื่อใช้กำลังกับคุณ คนพวกนี้คือชุมชนที่ฉันอยู่ ฉันและลูกๆต้อง อยู่กับทุกๆคนไปอีกนาน ในเมื่อฉันหนีไม่ได้ ฉันก็ต้องอยู่ อยู่ให้ได้”
รัมภามอง พูดกับเพื่อนบ้านทุกคน
“เราทุกคนอยู่ข้างคุณค่ะ หากต้องการความช่วยเหลือ บอกมาได้นะคะ” เจี๊ยบบอก
“ขอบคุณมากค่ะ ลานะคะทุกคน”
รัมภายิ้มให้ โล่งใจ ต่อไปนี้จะไม่อาย ไม่กลัวเดือนแรมแล้ว เธอเดินออกไป บุญสืบยิ้มเยาะเดือนแรมแล้วเดินไป
เดือนแรมแว๊ดใส่คนที่ยังยืนอยู่
“ดี จะเลือกข้างอยู่กับอีรัมภาใช่ไหม งั้นกูไล่พวกมึงออกจากตลาดของกู พรุ่งนี้ ใครไม่ไปย้ายของ กูจะตามพังมันให้หมด”
“ไม่ต้องไล่ ไม่แน่จริงไม่มา ฉันไปเจรจากับเฮียเส็งแล้ว เขาให้ค่าเช่าเราเท่ากับตลาดของแก เพราะฉะนั้นที่มาเนี่ย ส่วนใหญ่ไปตลาดเฮียเส็งหมดแล้วโว้ย” น้อยบอกทันที
“ฮิ ฮิ หายไปตั้งครึ่งตลาด อยากรู้ มึงจะอยู่ยังไง” แอนเยอะเย้ย
“กรรมติดจรวด ฟิ้ว”
เจี๊ยบชี้มาที่เดือนแรม พวกสามสาวเยาะแล้วเดินจากไป พอดีกับคณะโต๊ะจีนเอาอาหารมาวางบนโต๊ะ
“เฮียเส็งมันลดราคาหรือ...ไม่จริง” เดือนแรมช็อค งง
น้อยหันมาบอก
“อ้อ เกือบลืม คนชั่วมันบ้าเลือดแจกของ เราคนดีต้องเอาไว้ กินไปทิ้งไป ไม่เสียหลาย เฮ้ย หยิบๆ ติดไม้ติดมือไปกันคนละนิดคนละหน่อย”
แอน น้อย เจี๊ยบ และชาวตลาดวิ่งกลับมา ยกจานอาหารคนละจานสองจานติดตัวไป เดือนแรมกับดีดี้ตกใจ เดือนแรมยืนเต้นกรี๊ดๆๆอยู่
“อ๊าย อ๊าย อ๊าย...”
“เฮ้ย ของคุณนาย เฮ้ยหยุดๆ...โฮ้ย เอาคืนมา เหลือให้ข้ามั่ง เฮ้ยโธ่โว้ย”
ดีดี้งง ห้ามไม่ไหว
ที่เรือนใหญ่...หล้าตบเข่าฉาดเมื่อบุญสืบมาเล่าวีรกรรมรัมภาให้ฟัง
“เสียดายไม่ได้ไปเอง อยากเห็นหน้านังคุณนายตะวันฉายนักเชียว” หล้าบอก
บุญสืบสะกิด
“เดือนแรม มันชื่อเดือนแรม”
หล้าพยักหน้างงๆ คำหันไปถามรัมภาที่นั่งยิ้มขำๆอยู่
“ทำไมจู่ๆ คุณผู้หญิงถึงอยากไปลุยนังเดือนแรมนั่นล่ะคะ ไอ้เราเห็นคุณชอบนั่งสมาธิ ยังนึกว่าจะไปบวชชี”
“คุณศามนไม่ได้ทิ้งฉันเพราะหมดรัก มีบางอย่างในบ้านหลังนี้”
“บ้านหลังนี้ เอ บ้านหลังนี้นอกจากผีแล้ว ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับ” บุญสืบพูดหน้าตาเฉย
คำฟาดเข้าให้
“ไฮ้ ไอ้บุญส่งพูดทำไม เดี๋ยวก็มาหรอก”
“เอ หรือว่าที่คุณนังสมาธินี่ ได้ไปคุยกับผีแล้ว แล้วผีมันไม่หลอกคุณหรือครับ” หล้าถาม
รัมภามีเรื่องครุ่นคิดถึงแผนการต่อไปตลอดเวลา นั่งคิดไปเรื่อยๆ
“จริงสิ ถ้าฉันเลือกเดินทางนี้ คงไม่ใช่แต่คน ที่ฉันต้องเอาชนะ ฉันยังต้องสู้กับ....”
โทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ เหล่าคนใช้ สะดุ้งโหยง ร้องออกมา
“ฮึ่ย”
รัมภาขำสามคนที่เข้ามานั่งชิดกันอัตโนมัติ
“ก็แค่โทรศัพท์น่ะ”
รัมภากดรับสาย ไม่มีใครพูดสายด้วย รัมภางง ต้องเรียกสองสามครั้ง
“สวัสดีค่ะ...ฮัลโหล... ฮัลโหล”
เสียงแพงหัวเราะหึๆๆดังขึ้น รัมภาตกใจทิ้งโทรศัพท์
“คุณผู้หญิง มีอะไรหรือเปล่าครับ” บุญสืบถาม
รัมภาหวาดหวั่น มองไปรอบๆ รู้สึกหนาวๆพิกล! ทันใดแพง พุ่งมายืนข้างหลัง
“สู้กับคนน่ะง่าย สู้กับผี สู้กับความกลัวในใจ แกชนะก็ยอดคนแล้วอีรัมภา!”
รัมภากลืนน้ำลายกลัวขึ้นมา ไม่เห็นแต่รู้สึกได้ เช่นเดียวกับหล้า คำ และบุญสืบ ที่มองหน้ากัน หวาดๆ
เย็นวันนั้น...รัมภานั่งทานข้าวกับลูกๆ ที่ลูกกรงหน้าต่างบ้าน มีเสียงกริ๊ก เพราะแพงใช้แหวนที่นิ้วตีที่ลูกกรงดังกริ๊กๆๆ
“เสียงอะไรคะแม่” ไลล่าถาม
รัมภาพยายามอดทน รู้ว่าเป็นเสียงจากอะไร พยายามจะตั้งสติให้ได้
“ทานข้าวเถอะนะลูก เดี๋ยวไปดูการ์ตูนกัน”
ที่หน้าต่างบานอื่น ก็มีเสียงกริ๊กๆๆ ขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
“กริ๊กๆๆๆ” รัสตี้เลียนเสียงที่ตนได้ยิน
“รัสตี้ หยุดนะ” รัมภาดุ
“ไลล่าก็ได้ยินนี่นา แล้วตกลงมันเสียงอะไรล่ะครับหม่ามี้”
รัมภาอึ้งไป รู้ว่ามันเริ่มขึ้นแล้ว...
ค่ำคืนนั้น...รัมภานอนกับลูกทั้งสอง ทั้งหมดหลับไปแล้ว เสียงโซ่ตรวนเคลื่อนมาตามทางเดินในบ้าน รัมภาลืมตาตื่น ได้ยินเสียงแล้ว เสียงโซ่ตรวนมาหยุดอยู่หน้าห้อง รัมภาเหงื่อแตกมองที่ประตูอย่างหวั่นหวาด พยายามบอกตัวเอง...
“นี่บ้านฉัน นี่ชีวิตฉัน ฉันต้องอยู่ให้ได้...”
รัมภาทำสมาธิ เริ่มสวดมนต์
“อิติปิโส ภควา อะระหังสัมมา...”
แพงยืนอยู่หน้าห้อง ขยับโซ่ตรวนให้เกิดเสียงแกรกๆ เพื่อข่มขวัญรัมภาอย่างใจเย็น แพงหัวเราะหึๆ
“อีรัมภา กูอยู่อย่างคนเป็นบ้า มึงกับลูกต้องเป็นบ้าเหมือนกู ฮึ อีคุณหญิงอบเชยมันพูดว่าอะไรนะ ความตายไม่น่ากลัว แต่เจ็บปวดเกือบตาย แล้วไม่ตาย นี่สิน่ากลัว ฮะฮะฮ่า!”
รัมภา นอนปิดหู เพราะเสียงยังดังแกรกๆให้ได้ยินอยู่หน้าห้อง เธอรู้สึกทรมานเหลือเกิน จะนอนก็นอนไม่หลับ
วันต่อมาอนุกูล วรรณศิกา และพัชนีมานั่งทานอาหารที่ร้านอาหารด้วยกัน พัชนีเล่าเรื่องรัมภาให้ทุกคนฟัง เพราะรู้มาจากรัมภา
“โดนผีหลอกหรือ ผีประเภทไหน ชนิดที่ตามติดคนมาได้ไหม แล้วถ้าเราเป็น เพื่อนคุณรัมภา มันจะหลอกเผื่อมาถึงเราไหม ไม่ได้กลัวหรอกนะ ผีน่ะชอบหลอกนางเอก นางร้ายอย่างฉัน ไม่โดนหรอก ฉันรู้อยู่แล้ว แค่ถามเฉยๆ”
วรรณศิกาถามอย่างอยากรู้มาก อนุกูลมองอย่างรำคาญ
“กลัวทำไม อย่างคุณ มีหน้าตาเป็นอาวุธอยู่แล้ว ผีกับโจร ไม่ต้องไปกลัว”
วรรณศิกาตีหัวนุกูลเปรี้ยง
“นี่แน่ะ”
“เฮ้ย ตีหัวเจ้านายอีกแล้ว อะไรวะ เดี๋ยวคนเห็นพอดี”
อนุกูลมองซ้ายมองขวากลัวลูกน้องมาเห็น ค้อนๆ วรรณศิกายักไหล่
“คุณภาบอกว่า เธอขอดูเหตุการณ์สักระยะ ตอนนี้เธอจนตรอกแล้ว เธอไม่ยอมหย่า เธอมีแต่ต้องเผชิญหน้าสู้” พัชนีเล่า
“ว้า...คุณภา ไม่ได้หย่า”
พัชนีตีแขนอนุกูล อนุกูลเจ็บแต่ก็ดีใจ คว้ามือเธอมาจับ
“เฮ้ย หึงเป็นด้วย...บาปนะ ผิดศีลข้อหก”
“บ้า ศีลมีที่ไหนข้อหก” พัชนีงอนหน้าง้ำ
“น่ารักจริง น่าร้ากก”
อนุกูลเห็นเธองอนยิ่งชอบ จับแก้มพัชนีอย่างเอ็นดู หยอกเย้า วรรณศิกาแว๊ดใส่
“โฮ้ยพอๆ สเต็กฉันจืดหมด นี่พี่ถามหน่อยเถอะนะหนูพัช คุณรัมภาคิดจะสู้มันก็ดีหรอกนะ แต่สู้กับผีเนี่ย จะเอาอะไรไปสู้ แล้วไหนจะเด็กสองคนนั้นอีก พูดตรงๆเลยนะ เกิดมันจับหักคอหมดทั้งสามคนจะทำยังไง”
“เฮ้ยดูละครมากไปหรือเปล่า คุณวรรณ พูดซะน่ากลัว” อนุกูลแย้ง
“ที่จริงพัชก็คิดเหมือนพี่วรรณ” พัชนีบอกทันที
“เอ๊า”
“ที่คุณรัมภาเล่าน่ะ เหมือนแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น แค่ออเดิร์ฟก่อนจะถึงจานหลัก แค่สัญญาณเตือนก่อนจะถึง ของจริงชุดใหญ่”
อนุกูลกับวรรณศิกา ฟังแล้วหน้าซีด กลัวแทน...
ที่เรือนใหญ่...รัมภานั่งอยู่กับลูกๆ รัสตี้วาดรูป ไลล่านั่งทำการบ้าน บุญสืบเอาเครื่องดื่มมาให้ ทันใดลมปลิวเข้ามา ที่ม่านปลิวไสว รัมภาระแวงมองม่าน มองขื่อ
“มองอะไรครับ อย่าบอกนะว่าเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น” บุญสืบถามอย่างใจคอไม่ดี
“ความกลัวเกิดขึ้นจากการปรุงแต่งของตัวเราเอง เราต้องไม่ขยายการปรุงแต่งนั้น”
รัมภาพยายามบอกตัวเอง
“เชื่อครับเชื่อ...แต่ทำไม่ได้”
บุญสืบเดินไป ด้วยอาการหวาดๆมองซ้ายมองขวา รัมภาหันไปดูการบ้านไลล่า
“เขียนตัวตรงๆสวยๆสิลูก เอาใหม่ๆ นั่นต้องอย่างนั้น เอ๊ะ แล้วรัสตี้ไม่มีการบ้านหรือ มัวแต่วาดรูปเล่น เอ๊ะ รูปอะไรน่ะ”
รัมภาเห็นรูปที่รัสตี้วาด เป็นรูปน่ากลัว หัวคนที่แอบซ่อนอยู่หลังม่าน!
รัสตี้มองไปที่ม่าน หน้านิ่ง ราวกับประจัญสายตากับใครบางคนที่ม่านนั้น รัมภามองตามไปที่ม่านเช่นกัน แต่ไม่เห็นอะไร
“แม่หนูกลัว” ไลล่าบอก
รัมภาเข้าไปเขย่ารัสตี้อย่างโมโห
“หนูต้องหายจากโรคบ้าๆนี้เสียทีนะรัสตี้ ถ้าหนูยังเพ้อเจ้ออย่างนี้ แม่กับไลล่าจะเป็นยังไงรู้ไหม”
รัสตี้หน้าเฉยโกรธ หลายครั้งเขามีเซ้นส์และมองเห็นมันจริงๆ
“ผมวาดรูปตามที่เห็น ผีผู้หญิงคนนี้อยู่กับเรา แม่ก็เห็นบ่อยๆ ทำไมถึงว่าผมโกหกล่ะครับ”
รัสตี้พูดเบื่อๆ กลัวจนขี้เกียจจะกลัวแล้ว แพงอยู่ที่ม่านจริงๆ ตามที่รัสตี้วาดไม่ผิด แพงยิ้มพร้อมกับหัวเราะหึๆ แล้วแพงก็มองไปที่สมุดการบ้านของไลล่า ครู่หนึ่งไลล่าร้องกรี๊ด เมื่อเห็นรอยขีดฆ่าน่ากลัวที่เกิดขึ้นทีละเส้นจนเต็มหน้ากระดาษ
“ไลล่า ร้องทำไมลูก ร้องทำไม” รัมภาร้องถามอย่างตกใจ
“สมุดการบ้านหนู ใครเขียน ใครเขียน ฮือๆๆ”
รัสตี้โวยขึ้นก่อน
“นั่นไง จะว่าผมเขียนอีกไหม ผีเขียน ผีเขียนทั้งนั้น”
ไลล่าร้องไห้เดินเข้ามากอดรัมภาที่ประหวั่นมองไปรอบๆ ไม่เห็นผี แต่บรรยากาศเต็มไปด้วยผี น่ากลัวเหลือเกิน
“แม่ แม่ ไลล่ากลัว ไลล่ากลัว”
ไลล่าร้องไห้หนัก รัมภามองไปรอบๆกลัวมากเหมือนกัน
บุญสืบเดินกลับมาหาแม่กับพ่อ ที่อยู่ในครัว...
“ฮึ่ย...เครียด” บุญสืบบ่น
“เป็นอะไร เครียดอะไรวะ” หล้าถาม
“อยู่ในบ้านที่มีผีตามอาฆาต จะกินจะเดินต้องคอยหันซ้ายหันขวา ข้าว่าข้าต้องเป็นบ้าก่อนแน่” คำบ่นขึ้นมาก่อน เพราะรู้ว่าบุญสืบหงุดหงิดเรื่องอะไร
“จริง...เป็นบ้าหมู่ด้วย บ้ากันทั่วหน้าทั้งนายทั้งบ่าว ทั้งเด็กทั้งคนแก่ เฮ้อ” หล้าบอกเครียดๆเช่นกัน
รัมภาเดินแยกมานั่งที่มุมหนึ่ง ว้าวุ่นใจ ยกมือพนม
“คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกที ตัวลูกจะเป็นตายร้ายดีอะไรก็ได้ แต่อย่าให้เขาทำอะไรรัสตี้ ไลล่าเลย”
ทันใดเสียงเพล้งดังจากในบ้าน ตามด้วยเสียงกรี๊ดของไลล่า
“กรี๊ด”
“ไลล่าลูกแม่”
รัมภารีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ขณะที่ไลล่ายืนตกใจมองรูปคู่แฝดที่ตกลงมาจากโต๊ะ กรอบกระจกแตก กระจายอยู่บนพื้น รูปใบนั้นค่อยๆขาด ในลักษณะอาการเหมือนมีคนมาฉีกที่คอของเด็กแฝด ต่อหน้าต่อตาไลล่า
แคว่กช้าๆ จนคอขาด !
รัมภาวิ่งเข้ามาเห็นไลล่า ยืนเต้นเร่าๆ ร้องกรี๊ดๆอยู่
“รูป... รูปหนู ไม่มีหัว หัวขาดไป!”
“ยืนเฉยๆ เดี๋ยวเศษกระจกบาด ลูกหยุด ยืนเฉยๆก่อน” รัมภาร้องบอก
“ไลล่าจะเดินไปห้องน้ำ แล้วรูปก็ตกมา แล้วใครก็ไม่รู้ฉีก...หนูมองไม่เห็น ฮือ หม่ามี้ ไลล่ากลัว!”
รัมภากอดไลล่าไว้ มองภาพที่ไม่มีหัว แล้วสะเทือนใจกับคำขู่ของแพงอย่างยิ่ง
ค่ำคืนนั้น...รัมภากอดลูกทั้งสองเอาไว้ กล่อมลูกนอน
“นอนซะนะลูก นอนซะ ฟังนะ... เราเป็นฝ่ายถูกต้อง เราต้องปลอดภัย เราต้องไม่เป็นอะไร เราจะไม่ยอมแพ้ หลับตาซะลูก นอนซะ”
เด็กทั้งสองหลับตา พยายามข่มตาให้หลับ ขณะเดียวกัน คำ หล้า และบุญสืบกลับมาใหม่หลังจากปิดบ้านไปแล้ว ทั้งสามเดินเข้ามาแบบเป็นแถวเกาะกันแน่น
“ก็บอกแล้วว่าอย่าลืมทิ้งของไว้ในบ้านนี้” บุญสืบบ่น
“โธ่ ก็คนมันลืม ถ้าจำได้ จะเรียกว่าลืมไหมล่ะ” คำย้อน
“ที่จริง แค่มือถือ พรุ่งนี้ค่อยมาเอาก็ได้” หล้าเซ็งๆ
“ไม่ได้ พรุ่งนี้หวยออก เดี๋ยวอีเจิดมันจะโทรมาบอกเลข เดี๋ยวไม่ทัน”
“ต้องปลุกกันมาหมดบ้านด้วย โฮ้ย” บุญสืบโวย
“ทีเอ็งจะเข้าห้องน้ำ ยังให้แม่เข้าไปยืนเป็นเพื่อนเลย แค่นี้ พูดมาก”
ทั้งสามเกาะเป็นแถว ค่อยๆเข้ามากลางห้องโถง สักพัก เสียงหัวเราะหึๆดังมา ตามด้วยเสียงโซ่ตรวนดังขึ้นที่พื้น สามคนเบ้หน้า
“เสียงอะไรวะ” คำตกใจ
“คำถามพื้นๆ ไม่เห็นต้องถาม” หล้าพูด
และแล้วก็ไฟดับพรึบ! ทั้งหมดสะดุ้งโหยง ร้องจ๊ากดังลั่น ยิ่งกอดกันแน่น หลับตามิด ครางฮือๆ
“ไฟดับอีกแล้ว ทำไงดี...ทำไงดี” บุญสืบร้องถาม
“ฟิวส์ขาดไง...ฟิวส์ขาดเหมือนเคยนั่นแหล่ะ” หล้าพยายามพูดให้เป็นเรื่องปกติ
รัมภาที่นอนอยู่ข้างๆลูกที่หลับไปหมดแล้ว ไม่ได้คิดอย่างนั้น เธอรู้สึกสังหรณ์ใจ
“ไม่...ไม่ใช่ไฟดับธรรมดา”
ที่กลุ่มของบุญสืบไฟในบ้านมีอาการประหลาดติดๆดับๆ
“โฮ้ย ไฟเป็นอะไรไปอีก รีบหามือถือเถอะแม่ รีบๆหยิบ รีบๆไป” บุญสืบบอก
“เออๆ”
คำยื่นมือออกไปเพื่อหยิบมือถือที่วางอยู่แถวนั้น เลือดหยดลงมาจากบนเพดานลงมาที่มือของคำ
สองสามหยด
“น้ำอะไรวะเหนียวๆ”
บุญสืบเงยหน้าขึ้นมอง แพงนั่งอยู่บนขื่อบ้าน มองลงมาอย่างน่ากลัว ท่ามกลางไฟติดๆดับๆ ร่างของแพงก็ติดๆดับๆ บางจังหวะก็ปรากฏตัวขึ้น บางจังหวะก็หายไป น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
“ผี ๆๆ ผีอยู่ตรงนั้น” บุญสืบตะโกนลั่น “จ๊าก”
รัมภาได้ยินเสียงพวกบุญสืบ รีบวิ่งออกมาจากห้องนอนทันที ขณะที่บุญสืบ หล้า และคำวิ่งกระจัดกระจายไปตามมุมต่างๆในบ้าน ในความมืด
หล้าวิ่งไปชนเสาเปรี้ยงล้มครืน เจ็บหัว ลงไปนั่ง คำวิ่งไปสะดุ้งพรม หกล้มลงพื้นเจ็บก้นกบ
“โอ๊ย”
บุญสืบวิ่งไปจะลงบันได แพงพุ่งมาผลักบุญสืบอย่างแรง บุญสืบตกบันไดหลายขั้นลงไปเจ็บหัวอยู่ที่ชานพัก
“เอ็งสามคนไปซะจากบ้านนี้ ไม่งั้นข้าจะเอาให้ตายข้าต้องการให้พวกมันอยู่อย่างเดียวดาย เหมือนที่ข้าเคยอยู่”
รัมภาวิ่งมาเห็นพอดี ตะโกนลั่น
“บุญสืบ”
เสียงหัวเราะร่าของแพงดังขึ้น
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
รัมภามองไป ไฟติดๆดับๆ ขึ้นมาอีก รัมภาเห็นร่างของแพงวับหายเป็นจังหวะ
“แพง...ผียายแพง”
“วันนี้ วันตายยย...”
แพงยิ้มดุใส่รัมภา พุ่งร่างเข้ามาหา แต่วิญญาณคุณหญิงอบเชย พุ่งเข้ามาขวาง แล้วผลักแพงกระเจิงไป
“อีอบเชย!”
“อย่าคิดมาแตะต้องลูกและหลานกู”
“อีนี่ไม่เคยเข็ด”
แพงพ่นน้ำหมากใส่เป็นไฟเผา คุณหญิงหลับตาแล้วนิ่ง ไม่เจ็บปวด
“เอ๊ะ”
“แม่ชื่นกลิ่นภาวนา ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กูทุกวัน มึงทำอะไรกูไม่ได้อีกต่อไป”
แพงงงครู่หนึ่งแล้วคิดได้
“ทำมึงเจ็บไม่ได้ แต่ขังมึงได้ก็พอแล้ว”
แพงมองไปที่คุณหญิง ฉับพลัน โซ่ของแพงมารัดตัวคุณหญิงไว้ให้อยู่กับที่ รัมภามองเห็นทุกอย่าง
“คุณแม่”
คุณหญิงดิ้นไม่หลุด
“อีแพง ปล่อยกูนะ”
“อีชื่นกลิ่น เอ็งอยากอยู่บ้านนี้นักหรือ ได้...นับจากนี้ ทุกคืน ทุกวัน เอ็งกับลูกจะอยู่กับความกลัว จนต้องกลายเป็นบ้า บ้าจนตายโหงตายห่าไป เหมือนกับข้า”
แพงพุ่งมาประจันหน้า หน้าชนหน้า ตาชนตา รัมภากรี๊ด!
“ไม่ ไม่”
รัมภาวิ่งกลับไปที่ห้องนอน
“โธ่ลูกแม่ อีแพงปล่อยข้านะ บอกให้ปล่อย”
คุณหญิงพยายามขยับตัว แต่ไม่หลุดจากโซ่ที่พันธนาการอยู่
“ฮะฮะฮ่าๆ” แพงหัวเราะสะใจ
อ่านต่อ หน้า 2
บ่วง ตอนที่ 13 (ต่อ)
รัมภาวิ่งมาปลุกเด็กทั้งสอง เด็กแฝดงัวเงียตื่นขึ้นมานั่ง
“ลูกแม่...ลูกแม่ เราอยู่ไม่ได้แล้ว ตื่นเร็วเข้า ตื่นเร็วลูก”
รัมภารีบเอากระเป๋ามาจัดข้าวของ ระหว่างนั้นก็กดมือถือไปด้วย
“191 หรือคะ ช่วยส่งรถพยาบาลมารับคนเจ็บด้วยค่ะ ค่ะ สามคนค่ะ คือฉันไม่แน่ใจ แต่ช่วยส่งรถมาก่อนได้ไหมคะ ค่ะค่ะ ที่อยู่นะคะ...”
รัมภาบอกอย่างร้อนรน แล้วพาลูกๆอพยพหนีผีไปพักที่บ้านวรรณศิกา
“ขอบคุณคุณวรรณมากเลยนะคะ ที่อนุญาตให้เรามานอนที่นี่”
วรรณศิกายิ้มแย้มต้อนรับ
“พอดี คุณสามีไปจีน ไปทำงานตั้งเดือน ยังไงก็อยู่คนเดียวอยู่แล้ว อย่าห่วงเลยค่ะ แล้วหนูสองคนนี้ ก็ไม่ดื้อไม่ซน ดีเสียอีก ป้าจะได้ไม่เหงา”
“เราต้องอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ครับ” รัสตี้ถาม
รัมภาอึ้งตอบไม่ได้ วรรณศิกาเลยช่วยพูด
“อย่าเพิ่งไปสนใจเลยนะ คืนนี้นอนที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เดี๋ยวปิดบ้านให้เรียบร้อยก่อน แล้วขึ้นไปนอนกัน”
รัสตี้ กับไลล่าพยักหน้าเศร้าๆ วรรณศิกาเดินไปปิดประตูบ้าน แล้วยกมือไหว้ไปทางศาลพระภูมิ
“ตามมาหรือเปล่าวะ...เจ้าที่เจ้าทาง ช่วยทำโอทีรอบดึก ดูแลบ้านให้หนูด้วยนะคะท่าน ใครตามมา ไล่ออกไปให้หมดเลยนะคะท่าน”
วรรณศิกา จัดการปิดประตูบ้าน
วันต่อมา รัมภามาเยี่ยมคำ หล้า และบุญสืบที่โรงพยาบาล ทั้ง 3 คน นอนในห้องเดียวกัน บุญสืบหลับไปเพราะฤทธิ์ยา
“เป็นยังไงบ้างคะ” รัมภาถามอย่างเป็นห่วง
“ไอ้สืบหนักหน่อยหัวแตกต้องเย็บ หมอให้ยาแก้ปวดแล้ว ตาหล้าหัวโน ส่วนอิฉันก็มีแผลนิดหน่อย ที่แขนกับที่เข่า” คำบอก
“ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันจะจัดการเรื่องค่ารักษาให้ อยู่พักให้สบายเถอะ”
“คุณก็เห็นเหมือนเราสามคนใช่ไหมครับ” หล้าถามด้วยน้ำเสียงกังวล
รัมภาพยักหน้า คำครวญ
“เฮี้ยนขึ้นทุกวัน...ฮือ เหมือนกินนอนกับผีเลย... ฮือ”
“อยู่แบบนี้กลับบ้านนอกเราดีกว่ามั้ง...เอ้อ ขอโทษครับคุณผู้หญิง” หล้าบอกอย่างกลัวๆ
“พูดไปเรื่อย ถ้าเราไปแล้วคุณหนูกับคุณผู้หญิงจะอยู่กับใคร” คำตวาดแว๊ด
รัมภามองๆ แล้วตัดสินใจ
“เอาอย่างนี้นะ เพื่อความสบายใจ อยู่พักกันที่โรงพยาบาลนี้ก่อน ทั้งสามคนนั่นแหละ ฉันปิดบ้านนั้นไปแล้ว ตอนนี้ รัสตี้ไลล่าก็ไปอยู่บ้านคุณวรรณเหมือนกัน”
“ตกลงคุณจะทิ้งบ้านจริงๆหรือครับ”
รัมภาถอนใจ เพราะยังไม่รู้เหมือนกัน
เมื่อออกจากโรงพยาบาล รัมภาไปหาพัชนี กับช่วงที่บ้าน โดยอนุกูลได้ตามไปสมทบด้วย เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“นี่ถึงกับต้องหอบลูก ไปอยู่กับหนูวรรณเชียวหรือ” ช่วงถามอย่างเป็นห่วง
รัมภาพยักหน้า
“ตัวเองตายไม่กลัวหรอกค่ะ คุณลุง แต่ห่วงลูกกับคนงาน นี่ก็เจ็บกันระนาวไป”
“ผียายแพง ต้องการอะไรคะคุณลุง...คุณลุงเห็นนิมิตเกี่ยวกับยายแพงไหมคะ” พัชนีหันไปถามลุง
ช่วงส่ายหน้า รัมภาบอกให้รู้...
“เขาต้องการพรากเราจากกัน ต้องการให้พี่เป็นบ้าเหมือนเขา”
“อะไรนะคะ”
“งั้นก็อย่ากลับไปเลยครับ หาเช่าบ้านข้างนอกดีกว่า” อนุกูลออกความเห็น
“ไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ คุณเคยบอกว่าอยากรู้ต้นเหตุของเรื่อง แล้วตอนนี้ไหนคุณบอกว่าคุณรู้แล้ว แล้วยังจะอยู่อีกทำไม”
“เรามีชีวิตวนเวียนในภพชาติต่างๆทำไมคะลุงช่วง” รัมภาหันไปถามช่วง
“ทุกภพชาติคือการเรียนรู้ ดวงจิตที่มีปัญญา จะใช้ภพชาติเหล่านี้เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณของตนเอง ให้ไปอยู่ในที่ที่สูงขึ้น”
“ใช่...ชาติที่แล้ว คุณหลวงตาย ฉันก็ตาย ความแค้นและผีร้ายยังคงอยู่ หากฉันทิ้งชาตินี้ไป โดยไม่พยายามแก้ไข เมื่อกลับมาเกิดใหม่ ฉันก็ต้องพบกับสิ่งเหล่านี้อีก”
ช่วงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ใช่...ต้องสู้ สู้แล้วแพ้ ก็แค่ตาย...แค่ล้ม แต่เชื่อเถอะ คุณจะไม่ล้มที่เดิม”
“ที่สำคัญ ฉันทิ้งคุณมนไม่ได้ แล้วไหนจะร่างคุณยายทวดที่ยังไม่ได้เผา ฉันทิ้งพวกเขาไม่ได้”
“โอเค ไปสู้กับผีกัน ขนไปเลย ปืน ระเบิด อาวุธชีวภาพ เอ๊ะ ผีไม่กลัวนี่ ทำไงดี หือ”
ทุกคนกลุ้มกันหมดกับคำถามเชิงประชดของอนุกูล รัมภาหันไปเห็นรูปบนตู้ในบ้าน
“เอ๊ะ”
“มองอะไรคะ”
“พระสงฆ์รูปนี้หน้าคุ้นจัง”
รูปบนตู้นั้นทำให้รัมภาคิดถึงอาจารย์เปรื่องที่มาทำพิธีที่เรือนหลังเล็กในอดีต
“อาจารย์เปรื่อง” รัมภาพึมพำ
“ไม่ใช่ค่ะ ท่านชื่อครูบาขวัญเมือง พระอาจารย์สายวิปัสนากรรมฐาน ที่คุณลุงท่านนับถือ”
“พี่หมายถึงพระรูปนี้ ท่านคืออาจารย์ที่ปราบผียายแพงเมื่อชาติที่แล้ว”
“จริงหรือ” ช่วงถาม
อนุกูลยิ้มแห้งๆ ขอประชดสักนิด เพราะยังทำใจยากที่จะเชื่อ
“เฮ้อ เหรอครับ ท่านนี้ชื่อเปรื่อง...เอ แล้วชาติที่แล้ว ผมชื่ออะไรฮะ”
รัมภาบอกทันที
“ชื่อกล้า ส่วนคุณพัชชื่อบัวสวรรค์”
อนุกูล กับพัชนีตกใจ
“เฮ้ย!” อนุกูลร้อง
“คุณรักกัน คุณมีบุพเพสันนิวาสต่อกัน คุณหนีกันไม่พ้นหรอกค่ะ”
รัมภายืนยัน ทั้งสองตกใจมาก อนุกูลมองช่วงแล้วหน้าซีด ป้องปากบอกรัมภา
“อูย คุณภา เดี๋ยวลุงช่วงเอาปืนมายิงผม เรายังไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง”
ช่วงหน้านิ่งๆ
“ไม่ชอบยิงปืน”
อนุกูลยิ้มดีใจ รีบออกความเห็น
“ท่านถือศีล ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต”
“ชอบใช้มีด”
อนุกูลสะดุ้ง
“เฮ้ย”
อนุกูลโวยเสียงดัง จนช่วงขำ ยิ้มออกมา
“ล้อเล่นหรือครับ ใจตกลงไปถึงตาตุ่ม เห็นหน้านิ่งๆ มีมุกด้วยแฮะ”
สามคนยิ้มกัน มีรัมภาคนเดียวที่ยังคิด เครียดกับรูปครูบาขวัญเมือง
“คุณลุงขา ภาอยากเจอกับพระรูปนี้ค่ะ”
ช่วงพยักหน้ารับ
ช่วง รัมภา อนุกูล และ พัชนี เดินเข้ามาในวัดร่มรื่นสวยงามแห่งหนึ่ง ที่มีมีสวนไว้ให้พระธุดงค์มาปักกลด
“ครูบาขวัญเมือง ท่านเป็นพระธุดงค์ ปกติท่านจะไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นง่ายๆ” ช่วงเล่า
“ไม่ปรากฏตัว ท่านหายตัวได้หรือครับ” อนุกูลสงสัย
“ธุดงค์ หมายความว่าท่านนิยมไปอยู่ในป่า ไม่ออกมาสุงสิงกับผู้คนค่ะ” พัชนีตอบ
“ครูบาท่านนี้ อืม...ท่านมีชื่อเสียงด้านอภิญญา...อภินิหารน่ะ”
“นั่นไง...คุณลุงเคยเห็นกับตาไหมครับ”
“ไม่ครับ ไม่มีใครได้เห็น พระที่แท้จะไม่แสดงสิ่งเหล่านี้ ผิดศีลครับ ปัญญาสำคัญที่สุดในศาสนาของเราคือปัญญาพ้นทุกข์ ไม่ใช่ของพวกนี้”
“ถ้าวันนี้เห็นก็ดีเนอะ ผมอยากเห็น”
“คุณนุ ไม่เอานะคะ อย่าทำเป็นเล่น” พัชนีเตือน
ทั้งหมดเดินมา ผ่านสวนที่อยู่ห่างไป เห็นครูบาขวัญเมืองนั่งอยู่ใต้กลด กำลังนั่งสมาธิ งดงาม ดูสงบเยือกเย็น
“โชคดีจริง ท่านอยู่ตรงนั้น” ช่วงบอก
“คุณภาคะ นี่เรื่องปาฏิหาริย์ชัดๆ ปกติคนจะรอพบท่านเยอะมาก นี่ไม่มีคนเลย เหมือนท่านรอคุณภาอยู่เลยค่ะ” พัชนีบอกอย่างตื่นเต้น
“นี่คงเป็นเวลาที่ฉันจะได้แก้ไขทุกอย่าง ถึงเวลาแล้ว อาจเป็นเวลานี้แหละที่ฉันจะเอาชนะผียายแพงได้เสียที”
ครูบาขวัญเมืองลืมตาขึ้น มองกลุ่มของรัมภา แล้วหลับตาลงใหม่
“ใช่ค่ะ เราต้องชนะ ต้องชนะเสียที ไปค่ะ”
ทั้งหมดเดินผ่านหมู่ต้นไม้ใหญ่ เวลาเพียงเสี้ยวนาที ที่บริเวณนั้น ก็ไม่มีครูบาหรือแม้แต่กลด! ท่านหายตัวไปแล้ว ทุกคนยืนงงหน้าซีด
“เฮ้ย เอาแล้วไง”
“ท่านไม่อยู่แล้ว” ช่วงบอก
“เป็นไปไม่ได้ หายไปหมดเลย แค่เก็บข้าวของนั่นก็ต้องใช้เวลาตั้งนาน แต่นี่หายไป หายไปหมด” รัมภาตกใจ
“ที่โล่งแจ้ง ถ้าท่านเดินไป ก็ต้องเห็น” พัชนีหันดูรอบๆ
รัมภาเสียดายมาก ถึงกับเดินมองไปรอบๆ
“ไม่...ไม่นะ”
“นี่ไง...หายตัว ฮือ ผมไม่น่าพูดเล่นเลย ขอโทษครับคุณภา คงเพราะผม พูดท้าทายท่าน”
อนุกูลบอกอย่างไม่สบายใจ รัมภาเซ็ง แทบเข่าอ่อน ต้องนั่งลงแถวนั้น
“ไม่ใช่เพราะคุณหรอก ไม่ใช่เพราะคุณ แต่เพราะฉัน โธ่ ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้ ลูกต้องการความช่วยเหลือ แต่ท่านให้ไม่ได้ หรือเพราะลูกไม่มีวาสนา ลูกต้องแพ้ผีตนนั้น ต้องแพ้อีกแล้วหรือคะ”
ทุกคนฟังแล้ว พากันสงสารรัมภา
เมื่อกลับมาที่บ้าน ช่วงนำสร้อยคอที่มีพระพุทธรูปห้อยอยู่ สวมให้รัมภา
“ถ้าอยากกลับบ้านจริงๆ สวมพระองค์นี้เอาไว้ พระพุทธคุณของท่านจะปกป้องหนูไว้”
รัมภายกมือไหว้ขอบคุณ
“ให้พัชไปนอนเป็นเพื่อนไหมคะ” พัชนีรีบถาม
อนุกูลเสนอทันที
“ถ้าคุณไป ผมก็ไป ไปกันหมดสามคน ให้คุณวรรณดูแลเด็กๆที่บ้านของเขา”
“ไม่ค่ะ ฉันทำให้ใครเป็นอะไรเพราะผีตนนั้นไม่ได้อีกแล้ว ฉันจะกลับไปที่บ้านนั้นคนเดียว ที่จริงฉันไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกนะคะ วิญญาณของคุณแม่ เอ้อ...ยายทวดอยู่กับฉันเสมอ พวกคุณไม่ต้องห่วง”
รัมภาบอกอย่างมุ่งมั่น
เมื่อกลับมาที่เรือนใหญ่...รัมภาเดินเข้ามาที่หน้าโลงศพ เปลี่ยนดอกไม้ เปลี่ยนอาหาร จุดธูป เพราะไม่มีคนงานทำให้แล้ว รัมภานั่งมองรูปอบเชยที่หน้าโลงศพอย่างครุ่นคิด
ขณะเดียวกัน ศามนยืนคิดถึงรัมภาและลูกๆ ที่ใต้ต้นลั่นทม รัมภาเดินมาคุยด้วย
“คุณยังชอบต้นลั่นทมต้นนี้เหมือนเดิม”
“คุณภา”
“คุณชอบว่ามันหอม แต่ฉันรู้สึกว่ามันเหม็น เหมือนบ้านหลังนี้ ที่คุณชอบมันมาแต่แรก ไม่ใช่เพราะคุณชอบมันจริงๆ คุณชอบเพราะมนตราของผีตนนั้น”
“คุณพูดเรื่องอะไร”
รัมภาหยิบกระเป๋าเงินของศามนมาจากกระเป๋าเสื้อ เปิดออกดูรูปในกระเป๋า เป็นรูปครอบครัว 4 คนพ่อแม่ลูก ตอนที่มีความสุข รัมภายิ้มทันที
“คุณยังเก็บมันเอาไว้ คุณมน...คุณกำลังหลงทางหาทางออกไม่เจอ...ให้ความรักนำทางคุณออกมานะคะ หมั่นคิดถึงฉันและลูก คิดถึงเราให้มากๆนะคะ”
ศามนยืนอึ้ง เดือนแรมเดินมาเห็นเข้า โวยลั่น
“เอ้าไหนใครว่าย้ายออกไปแล้วไงล่ะ คุณมน มานี่ มายืนตรงนี้ เดี๋ยวนี้นะ”
รัมภา กับศามนไม่สนใจ ยังยืนมองหน้ากันลึกซึ้งเหมือนเดิม
“ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน ไม่มีใคร ไม่มีอะไรช่วยฉันเลย คุณมน คุณต้องช่วยฉันนะ พิสูจน์ให้ฉันเห็นว่า ความรักชนะความแค้น บ่วงรักต้องชนะบ่วงแค้น ทำให้ฉันเห็นนะคะ”
รัมภาเอามือศามนขึ้นมาจับเพื่อรับกระเป๋าเงินคืนไป จากนั้นก็เดินไป เดือนแรมด่าตามหลัง
“นี่ ยายเมียน่าเบื่อผัวไม่เอา มาทำอะไรตรงนี้หา ไหนใครบอกว่า พวกแกขนของย้ายหนีออกไปจากเรือนใหญ่แล้วไงล่ะ ไปแล้วก็ไปเลยสิ กลับมาทำไม”
รัมภาหันมาพูดกับเดือนแรม สีหน้ายังมั่นใจ
“ฉันย้ายออกไปจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมแพ้ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ฉันจะเอาผัวของฉันคืน เอาคืนมาจากผู้หญิงชั้นต่ำอย่างคุณ”
สายตารัมภาไม่กลัวเดือนแรมแม้แต่น้อย จนเดือนแรมอึ้งไป
รัมภาไปที่บ้านเดือนแรม เดินเข้าไปในบ้านที่เปิดอย่างง่ายดาย เพราะไม่มีใครใส่ใจมาปิดประตู
“ยายเพ็ญ ยายเพ็ญอยู่ไหมคะ”
รัมภาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงห้องนอน พบว่าเพ็ญนอนป่วยอยู่ ละเมอเพราะพิษไข้อย่างน่าสงสาร
“น้ำ...น้ำ...”
“ยายเพ็ญ”
รัมภาที่เพิ่งมาถึง ตกใจเมื่อเห็นสภาพ
“น้ำ...น้ำ...”
รัมภา รินน้ำแถวนั้น ป้อนให้อย่างดี
“นี่ยายเพ็ญอยู่คนเดียวหรือคะ ตายจริงเป็นไข้ด้วย ยายเดือนแรมนั่นทิ้งทวดแท้ๆที่ไม่สบายเอาไว้ที่บ้าน ในขณะที่ตัวเอง ไปเสวยสุขกับผู้ชาย ฮึ สิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เรียกว่าคน หน้าตาแบบนี้เอง”
เพ็ญดื่มน้ำเสร็จ ลืมตามอง
“คุณชื่น เอ้อ ไม่ใช่”
“ฉันรัมภาค่ะ นึกถึงทวดเพ็ญขึ้นมา ก็เลยมาหา ว่าจะมาถามเรื่องบางอย่าง”
“มาถาม”
“ฉันไม่ได้หวังอะไรมากหรอกนะคะ ถ้าคุณทวดจำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะค่ะ ฉันแค่อยากรู้ หลังการตายของคุณหลวง คุณทวดอบเชย ได้เจอหุ่นรูปรอยไหมคะ”
“หุ่นรูปรอย...คุณท่าน” เพ็ญพยายามคิด
“เฮ้อ ฉันแค่อยากเจอใครสักคนที่ฉันคุยรู้เรื่อง อืม ช่างมันเถอะค่ะ ไปหาหมอไหมคะทวดเพ็ญ เดี๋ยวฉันโทรตามรถพยาบาลนะคะ”
รัมภาเดินออกมาจะมาโทรศัพท์ จู่ๆเพ็ญก็เกิดจำได้
“ไม่เจอ เราหายังไงก็ไม่เจอ”
“ทวดเพ็ญ คุณทวดจำได้หรือคะ”
เพ็ญเล่าเรื่องในอดีตให้รัมภาฟัง...
ในอดีต...หลังเสร็จพิธีศพหลวงภักดีบทมาลย์ ทุกคนพากันกลับมาจากวัด กล้าเอารูปมาวางพร้อมโกศกระดูกของหลวงภักดี วางไว้มุมหนึ่งที่เตรียมไว้แล้วในห้องพระ
บัวสวรรค์ประคองซ่อนกลิ่นที่เศร้าสร้อย กล้าพูดกับโกศเล็กๆที่เอามาด้วย
“คุณหลวงถึงบ้านแล้วนะครับ กลับมาอยู่ที่บ้าน มาอยู่ที่บ้านเรานะครับ”
ชื่นกลิ่นร้องไห้เป็นลมไป ดีที่บัวสวรรค์กอดอยู่
“พี่ชื่น โอ๊ยตาย เอาอีกแล้ว เป็นลมอีกแล้ว วันนี้สามครั้งแล้ว เฮ้อ มาช่วยหน่อยค่ะพี่กล้า”
กล้ารีบมาประคองชื่นกลิ่นอีกคน พาไปห้องนอน คุณหญิงอบเชยมองลูกสาวอย่างเสียใจ
“ฉันทนไม่ไหวแล้ว”
คุณหญิงเอารูปของหลวงภักดีติดมือไปด้วย เดินไปที่เรือนเล็กไปหาแพงที่ทรุดโทรมเต็มที สภาพคนบ้า หัวหูยุ่ง ดวงตาเลื่อนลอย มีโซ่ล่ามเหมือนสัตว์
“วันนี้วันเผาคุณหลวง สุดที่รักของมึงไงอีแพง”
“คุณหลวง...คุณหลวงตาย ไม่...ไม่...กรี๊ด...ไม่”
แพงที่เหม่อๆอยู่ เกิดนึกได้ ร้องกรี๊ดๆ ขยับขาไปมา อบเชยชี้ที่รูป จ่อรูปให้แพงดู
“เขาตายเพราะคุณไสยที่เอ็งทำเขา อีแพง บอกข้าซิ นี่หรือที่เรียกว่าความรัก นี่หรือความรักของเอ็ง”
แพงกรี๊ดอีก
“ไม่...ไม่...คุณหลวง ไม่ตาย ไม่”
“อีแพง ชีวิตลูกสาว ลูกเขยและหลานกูพังพินาศเพราะความรักจอมปลอมของมึง มึงอ้างความรักมาบังหน้าความอยากได้ใคร่มีของมึง วันนี้กูจะเฆี่ยนมึงด้วยมือของกูเอง”
คุณหญิงวางรูปแล้วหันไป หยิบหวายมา แล้วเริ่มเฆี่ยนตีแพง
“โอ๊ยๆ คุณหลวง ช่วยแพงด้วย โอ๊ย”
แพงร้องโหยหวนเจ็บปวด ดึกแล้ว...คุณหญิงยังเฆี่ยนแพง เสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดของแพงยังดังอยู่ก้องบ้าน
เพ็ญเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตอย่างจดจำได้ดี
“ทั้งวันทั้งคืน ที่เรือนหลังเล็ก ไม่มีเสียงอะไรนอกจากเสียงหวายที่ลงมาที่หลัง กับเสียงร้องเจ็บปวดของอีแพง คุณหญิงอบเชยเอาแรงมาจากไหนไม่รู้เฆี่ยนตีแพง ทั้งกลางวันกลางคืน เป็นอย่างนี้อยู่หลายวันจนกลายเป็นเรื่องปกติของเรือนหลังเล็ก”
“เรื่องปกติหรือคะ” รัมภาฟังอย่างเศร้าๆ
“อีแพงโดนเฆี่ยนอย่างนี้อยู่หลายวัน ในที่สุด อีแพงก็เป็นไข้ แล้วตายในวันหนึ่ง”
ในอดีต...พึ่งเดินถือจานอาหารมา มาถึงก็มาเจอภาพน่าอนาถ แพงนอนตาย ตาเหลือก ในสภาพสกปรก หัวหูยุ่งเหยิง มีหนูวิ่งอยู่รอบๆ พึ่งทำของหล่น
“กรี๊ด อีแพง อีแพงลูกแม่...อีแพง ช่วยด้วย...ช่วยด้วย ใครก็ได้ เปิดบ้านนี้ที เปิดที ข้าจะไปหาลูกข้า อีแพง อีแพง”
พึ่งเขย่าลูกกรงตะโกนลั่น ร้องไห้
ในงานศพของแพง สัปเหร่อเปิดฝาโลงให้พึ่งดูเป็นครั้งสุดท้าย ศพแพงอยู่ในโลง มัดตราสังข์เรียบร้อย พึ่งยังร้องไห้
“แพงลูกแม่ ไปดีนะลูกนะ”
พึ่งเอื้อมมือไปปิดตาแพง แต่ศพแพงตายังไม่ยอมหลับ เด้งขึ้นมาใหม่ ลืมตาอีก พึ่งได้แต่ร้องไห้กับศพลูกที่ตายตาไม่หลับ!
“โธ่! แพงลูกแม่”
หลายเดือนต่อมา...เพ็ญเดินนำบ่าวเข้าไปในเรือนเล็ก พร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาด เพ็ญชี้ไปทั่วๆ
“เอ้าเก็บทำความสะอาดซะ คุณหญิงอบเชยจะได้ใช้เรือนนี้ทำประโยชน์”
ติ่ง มิ่ง และมี เริ่มทำงาน เสียงโซ่แกรกๆดังไปทั่ว
“เสียงอะไรวะ”
เสียงเหล็กดัดดังกริ๊กๆๆๆ อย่างที่แพงเคยเคาะหน้าต่างตามมาอีก
“ฮึ่ย ไม่เอาแล้ว...ผีหลอก”
ทั้งหมดวิ่งออกไป เหลือแต่เพ็ญ ที่ยืนหน้าซีด
“อีแพง”
เสียงสวดดังขึ้นที่มุมหนึ่งของห้อง เพ็ญกลัวจนก้าวขาไม่ออก ติ่งต้องวิ่งกลับมาดึงเพ็ญไป
“มานี่เร็วน้าเพ็ญ เดี๋ยวผีก็มาหักคอหรอก”
ห้องว่างเปล่า แต่กลับมีเสียงหัวเราะของแพง หึๆๆ
วันต่อมา อาจารย์เปรื่อง คุณหญิงอบเชยและเพ็ญมาที่เรือนเล็ก อาจารย์เปรื่องเสกยันต์ที่อยู่ในมือ แล้วปะผ้ายันต์นั้นไว้ที่ประตูบ้าน โดยมีเพ็ญคอยช่วยเหลือ
เพ็ญเล่าให้รัมภาฟัง...
“ขนาดมันบ้า มันยังไม่เลิกท่องมนต์ดำ มันยังท่องมนต์เสกเอาไว้ที่เรือนหลังเล็ก แล้วตัวมันก็กลายเป็นผีสิงที่เรือนนั้น คุณหญิงท่านเชิญอาเปรื่องมา ท่านเอายันต์ปิดบ้านเอาไว้ ท่านสั่งเอาไว้ว่า อย่าให้ใครมายุ่งกับเรือนนี้ และ ห้ามแกะทำลายยันต์ที่ปิดหน้าบ้านนี้เด็ดขาด”
รัมภาถอนใจ...
“เรื่องราวในชีวิตของฉัน คุณศามนเปลี่ยนไป ตั้งแต่ย้ายเข้าไปอยู่ที่เรือนเล็ก เป็นแบบนี้นี่เอง ยันต์อันนั้นคงถูกใครสักคนทำลาย”
“ขนาดมียันต์ปิดบ้านแล้ว คุณหญิงอบเชยก็ยังฝันร้ายบ่อยๆ ฝันถึงผีนางแพง แม้กระทั่งในเวลาที่ท่านจะตาย คุณท่านรู้ดีว่าวิญญาณของนังแพงไม่ได้ไปไหน เมื่อท่านตายลง ท่านจึงไม่ยอมให้ใครเผา ให้ตั้งโลงไว้ตรงนั้นเพื่อให้วิญญาณสถิตที่เรือนใหญ่ท่านจะปกป้องลูกหลาน ไม่ยอมไปไหน”
“สาเหตุที่ผีแพงยังคงอยู่ เพราะเราหาหุ่นรูปรอยพวกนั้นไม่เจอใช่ไหมคะ อาจารย์เปรื่องท่านว่าอย่างนั้นใช่ไหมคะ”
เพ็ญพยักหน้า เอื้อมมือสั่นเทามาจับรัมภา กำชับ
“จะปราบผีแพงได้ ต้องหาหุ่นพวกนั้นมาทำลาย อีเพ็ญตายไม่ได้ ต่อให้ตาย ก็นอนตาไม่หลับเพราะเรื่องนี้ คุณชื่นอย่ายอมแพ้ หาหุ่นรูปรอยให้เจอ ทำลายมันทิ้งซะแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น เชื่ออีเพ็ญนะคะ”
รถพยาบาลแล่นมาถึงโรงพยาบาล บุรุษพยาบาลเข็นเพ็ญที่นอนป่วยลงมา รัมภาที่เป็นคนพาเพ็ญมาส่งที่โรงพยาบาล เดินลงมาจากรถแล้วมองตาม ในใจยังครุ่นคิด ถึงคำที่เพ็ญสั่งไว้
‘คุณชื่นอย่ายอมแพ้ หาหุ่นรูปรอยให้เจอ ทำลายมันทิ้งซะแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น เชื่ออีเพ็ญนะคะ’
รัมภายืนคิดอยู่ตรงนั้น จนรถเข็นพาเพ็ญเข้าไปรักษาต่อในโรงพยาบาล...
อ่านต่อหน้า 3
บ่วง ตอนที่ 13 (ต่อ)
วันต่อมา...รัมภาเดินมามองไปรอบๆบ้าน เพราะวันนี้เธอมุ่งมั่นจะหาหุ่นรูปรอยให้เจอ
“ที่เรือนเล็กหาหมดแล้ว หรือว่า ยายแพงแอบเอามาซ่อนในเรือนใหญ่...อืม ยายแพงไม่ใช่คนโง่ ตามโต๊ะ ตามตู้ คงไม่ใช่ คุณแม่อบเชยน่าจะหาหมดแล้ว เราต้องหาในที่แปลกๆ”
รัมภาเริ่มค้นตามหลืบ ตามซอกแปลกๆเคาะดูตามเสา ค้นที่ใต้ฝ้า ปีนค้นที่หลังตู้ เคาะที่พื้นกระดาน งัดบางแผ่นขึ้นมาดู ห้องนั่งเล่น
รัมภาค้นหาจนมืดค่ำก็หาไม่เจอ เธอนั่งลงที่เก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน
“เหนื่อยจัง เฮ้อ”
ค่ำคืนนั้น...รัมภาในชุดนอนเดินมาจุดธูปไหว้พระที่ห้องพระ
“คุณพระคุณเจ้าเจ้าขา ขอบุญกุศลที่ลูกได้ทำมา ช่วยดลบันดาลให้ลูกหาหุ่นรูปรอยพวกนั้นเจอด้วยนะคะ”
รัมภาเริ่มนั่งสมาธิ ซึ่งเป็นกิจประจำวัน
ที่วัด...ครูบาขวัญเมืองปักกลดนั่งสมาธิอยู่ รัมภาเดินเข้ามากราบ ครูบาขวัญเมืองมีลักษณะแตกต่างจากอาจารย์เปรื่อง เหมือนพระทรงศีลที่สงบ เยือกเย็นมาก พูดน้อย แต่ชัดเจนทุกคำพูด แฝงอำนาจ
“ท่านปรากฏกายให้ดิฉันเห็นในที่สุด ดิฉันนึกว่าไม่มีวาสนาเสียแล้ว”
“ขอโทษที่วันนั้นไม่อยู่”
“ท่านคงมีเหตุผล”
ครูบาขวัญเมืองพยักหน้า
“เพราะคนที่อาตมาอยากเจอไม่ใช่สีกา แต่เป็นอีกคนหนึ่ง คนที่จะแก้ปัญหานี้ไม่ใช่สีการัมภา แต่เป็นอีกคนหนึ่ง”
“ใครคะ”
คุณหญิงอบเชยเดินเข้ามากราบ แล้วลงนั่งข้างรัมภา
“ท่านมาปรากฏกายในภวังคจิต เพราะอยากพบดิฉัน”
ครูบาขวัญเมืองพยักหน้า
“ท่านจะช่วยพวกเราปราบผีแพง เหมือนในชาติก่อนที่ท่านเกิดเป็นอาจารย์เปรื่อง ชาติภพนี้ท่านเป็นพระสงฆ์ มีอำนาจบารมีที่จะจัดการนังผีแพงได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
ครูบาขวัญเมืองพยักหน้า
“ท่านจะมาบอกดิฉันใช่ไหมเจ้าคะว่าหุ่นรูปรอยอยู่ที่ไหน อย่างที่ดิฉันคิดไว้ไม่มีผิด ดิฉันจะได้แก้กรรมทั้งปวงในชาตินี้ หุ่นรูปรอยถูกซ่อนไว้ตรงไหนคะ” รัมภาถามอย่างร้อนใจ
“ใช้สติปัญญาสิ” ครูบาขวัญเมืองบอกเรียบนิ่ง
รัมภาถอนใจ
“ดิฉันคิดเรื่องนี้ หาไปจนทั่วแล้ว ตั้งแต่รุ่นคุณแม่จนมาถึงรุ่นดิฉัน จนปัญญาจริงๆเจ้าค่ะ”
“สติปัญญาที่แท้ จะเกิดขึ้นเมื่อจิตประภัสสร จิตที่ใสสว่างด้วยปัญญา จะเกิดขึ้นเมื่อไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส เมื่อสีกาทั้งสอง ยังตกอยู่ภายใต้อารมณ์โกรธ สีกาทั้งสองจะไม่มีวันเจอหุ่นรูปรอย”
คุณหญิงอบเชยหน้าเข้มขึ้น
“ดิฉันตกอยู่ใต้อารมณ์โกรธ สิ่งที่นางแพงทำ มีใครไม่โกรธบ้าง ดิฉันเป็นแค่ปุถุชน ถ้าบอกว่าดิฉันทำผิด แล้วความผิดของอีแพงล่ะเจ้าคะ ใครจะลงโทษมัน”
“ความอยาก ความโกรธ ความไม่รู้ สามอย่างนี้ทำให้เราทุกคนมีห่วง มีบ่วงจำต้องมาเกิด จำต้องมาชดใช้ และสามอย่างนี้ ทำให้เราทุกข์ทรมานทุกๆวัน”
“ดิฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น ความแค้นที่มันทำ ต้องมีใครสักคนกำหราบ ไม่งั้นลูกหลานดิฉันจะอยู่ยังไง ดูเอาเถิด ขนาดว่า...”
“ขนาดเฆี่ยนตีมันจนตาย มันยังกลายมาเป็นผีหลอกลูกหลาน ยิ่งโกรธยิ่งเกลียดเหมือนยิ่งโหมให้นังแพงมีกำลังกล้าแข็ง โหมไฟ ด้วยไฟ มันดับได้จริงหรือสีกา”
“ท่านเป็นพระสงฆ์ ท่านมีหน้าที่สอนให้คนเป็นคนดี ท่านอยากเจอดิฉันเพราะดิฉันทำให้มันตาย ท่านอยากให้ดิฉันให้อภัยมัน แล้วอีผีบ้าตนนั้นล่ะเจ้าคะ ใครจะสอนมัน ที่จริง ท่านควรไปเรียกมัน ให้มานั่งตรงนี้มากกว่าเรียกดิฉันนะเจ้าคะ”
เสียงของคุณหญิงอบเชยดูจะโกรธขึ้นเรื่อยๆ จนรัมภาต้องแตะที่ขาเตือนสติว่าให้ใจเย็นลงบ้าง
“คุณแม่”
คุณหญิงอบเชยอ่อนลงเล็กน้อย
“ถ้าอยากให้ดิฉันอภัย ท่านต้องสอนวิธี เพราะดิฉันทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ยิ่งในเวลานี้ ยิ่งทำไม่เป็น”
“ความโกรธ เอาชนะด้วยเมตตา เมตตาว่า ทั้งเขาทั้งเราก็ทุกข์เหมือนกัน คิดดูดีๆจะเห็นว่านางแพงน่าสงสาร”
“ตอนนี้ที่คิดออกคือ เมื่อไหร่มันจะตกนรกหมกไหม้ สวรรค์และนรกอยู่ตรงไหนมีจริงแน่หรือคะท่าน”
“ความอยากได้ของของเขา ความริษยา ความโกรธแค้น ทุกสิ่งที่นางแพงมี มันเป็นนรกด้วยตัวของมันเอง”
รัมภาอึ้งไป
“หมายความว่ายังไงคะ”
“นางแพงเกิดมาแบบคนบุญน้อย อยู่กับความอดอยาก อยู่กับความเข้าใจผิด สำคัญตนผิด...เมื่อพบกับคุณหลวงก็อยู่กับความหลงใหล สำหรับสีการัมภา คุณหลวงเป็นความรัก เป็นสามี แต่สำหรับนางแพง คุณหลวงเป็นอาหาร เป็นเครื่องนุ่งห่ม เป็นเครื่องเชิดหน้าชูตา เป็นพี่ เป็นพ่อ เป็นความหวัง และ เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวของชีวิต”
“ท่านกำลังจะบอกให้พวกเรา สงสารคุณยายแพงหรือคะ”
“ช่วงชีวิตสุดท้ายของนางแพง เจ็บปวดเร่าร้อน ถูกเฆี่ยนตีซ้ำแล้วซ้ำอีก ไหนจะวิชาคุณไสยที่ย้อนมาทำลายตน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ไม่ใช่แต่เพียงโซ่ตรวนที่รัดร้อยเอาไว้ นางแพง ยังเผาใจตัวเองให้เร่าร้อนด้วยความโกรธความแค้น เฝ้าเผาตนเองอยู่ทุกนาที ชีวิตเช่นนี้ สัตว์นรกแท้ๆ อยู่ในนรกชัดๆ โยมมองเห็นไหม”
รัมภาหน้าเศร้าสงสารแพงเหมือนกัน
“ในขณะที่หนู ได้มาเกิดใหม่ แข็งแรง มีพ่อมีแม่ มีครอบครัว มีชีวิตที่สดใส นางแพงก็ยังคงวนเวียนทุกข์ทรมานที่เรือนหลังเล็ก”
“เป็นคนบ้า น่าสังเวชอยู่แล้ว นี่เป็นผีบ้า ฟั่นเฟือนวิปลาส บางเวลา ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าตนเป็นใคร มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร รู้แต่ว่า ใจตนนั้นเศร้า เจ็บปวดและทุกข์ทรมาน นี่ยังไม่เรียกว่ากรรมสนองอีกหรือสีกา”
“นั่นเพราะมันทำตัวเอง ถ้ามันบอกว่าหุ่นรูปรอยอยู่ไหน ใครจะไปเฆี่ยนตีมัน แต่นี่คุณหลวงกำลังจะตายอยู่บนเรือน จะให้อิฉันทำยังไงเจ้าคะ” คุณหญิงถาม
ครูบาขวัญเมืองพยักหน้า
“เวรกรรมทำงานด้วยตัวเอง เมื่อก่อเวร แล้วไม่ระงับ สีกาอบเชย จึงจองเวรกับนางแพง เป็นบ่วงรัดร้อยเอาไว้อย่างนี้ ดูตัวเองนะสีกา สีกาก็เป็นสัมภเวสีไม่ไปผุดไปเกิดเช่นกัน นางแพงถูกรัดร้อยไว้ด้วยบ่วงแค้น แต่สีกาถูกรัดร้อยไว้ด้วยบ่วงรัก”
คุณหญิงอบเชยตกใจมองหน้ารัมภางุนงง
“ดิฉันหรือเจ้าคะ”
“ชาติที่แล้ว อาตมาเสกยันต์ใส่มันได้ กำหราบมันได้ แต่เมื่อนานวันไป เวทย์มนต์อาตมาเสื่อม เวทมนต์ของยายแพงกล้าแข็งขึ้นเพราะมีความแค้นเป็นเชื้อไฟ นางแพงยังคงติดตามทำร้ายสีกาได้อยู่ เห็นหรือยังว่า วิธีของอาตมานั้นผิด”
รัมภาชะงัก
“หมายความว่าท่านปราบมันไม่ได้หรือคะ”
“อาตมาปราบผีแพงได้ แต่บ่วงกรรมที่มีต่อกัน จะดึงให้ทุกๆคนกลับมาเกิดใหม่วนเวียนอยู่ร่วมชาติเดียวกัน มาแก้แค้นทำร้ายต่อกันไม่สิ้นสุด จะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป เหมือนทุกชีวิตในวัฏสงสาร”
รัมภานิ่งเครียด
“แล้วดิฉันควรทำยังไงคะ”
“เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ตัดกรรมทำได้ด้วยการให้อภัย”
รัมภากับคุณหญิงอบเชยอึ้ง มองหน้ากัน ดูยากยิ่งที่จะกระทำได้
วันใหม่...ศามนนั่งมองรูปครอบครัวที่อยู่ในกระเป๋าเงิน นึกถึงสิ่งที่รัมภาพูด
‘คุณมน...คุณกำลังหลงทางหาทางออกไม่เจอ....ให้ความรักนำทางคุณออกมานะคะ หมั่นคิดถึงฉันและลูก คิดถึงเราให้มากๆนะคะ’
เดือนแรมเดินเข้ามา ศามนรีบซ่อนกระเป๋าเงิน ทำท่าหลับๆ เดือนแรมค้อนๆ
“สองสามวันนี้คุณทำท่าทางแปลกไปนะคะ”
“ผมหรือ”
“คุณอาลัยอาวรณ์นังรัมภาหรือ”
ศามนหันหนีไม่อยากตอบ เดือนแรมยิ่งเห็นยิ่งแค้นพึมพำเบาๆ
“หนอยทำเป็นไม่ตอบ นี่คุณ...”
เดือนแรมยกมือชี้จะด่าให้แล้วนึกได้ ใจเย็นลง ครุ่นคิดในใจ
‘ฉันต้องใจเย็น และอดทนให้มากกว่านี้ พวกผู้ชายมันหนีความจริงทุกคนแหละ’
เดือนแรมเปลี่ยนทีท่าเป็นออดอ้อน นอนลงบนเตียง เคล้าเคลียยั่วยวน
“ช่างเถอะ คืนนี้ หาอะไรทำสนุกๆกันดีกว่านะ”
“ทำไมชีวิตเราถึงมีแต่เรื่องพวกนี้” ศามนถามอย่างเฉยชา
“เมื่อก่อนคุณก็ชอบ นี่คุณเปลี่ยนไปนะนี่”
ศามนไม่ได้เสียงแข็ง ไม่ได้หาเรื่อง เขาแค่กำลังคิดอยู่
“นอกจากเรื่องพวกนี้ ระหว่างเราสองคนมีอะไรอีกไหมนะ”
เดือนแรมหมดความอดทน เริ่มโวย
“อย่ามาโกหกตอแหล จะรวยหรือจน จะมีการศึกษาหรือไม่มี ชีวิตทุกคน มันก็มีแต่เรื่องพวกนี้ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เพราะคุณกับรัมภามันไม่มีหรอกหรือ คุณถึงหนีมาหาฉัน”
“ไม่ใช่...ชีวิตเราต้องมีมากกว่านั้น มีหน้าที่ มีความรับผิดชอบ มีความเห็นอกเห็นใจระหว่างกัน”
เดือนแรมโวยลั่น แสดงกริยาต่ำออกมาทันที ตามธรรมชาติที่แท้จริง
“ที่พูดแบบนี้ แกจะทิ้งฉันไปแล้วใช่ไหมหา ไอ้ศามน บอกมานะ แกจะทิ้งฉันเหมือนคนอื่นอีกแล้วใช่ไหม”
“คุณเดือน ทำไมต้องหยาบคาย พูดดีๆก็ได้นี่นา”
“กูขี้เกียจแอ๊บแล้ว กูจะไม่พูดเพราะๆ ทำตัวดีๆกับมึงอีก มึงก็เหมือนผู้ชายคนอื่นพอได้กู เบื่อกูแล้วก็ทิ้ง ถ้ามึงทิ้งกู คอยดูนะ กูจะเผาบ้านนี้ กูจะเอามึงให้ตาย อ๊าย อ๊าย”
เดือนแรมนั่งกรี๊ดไป ร้องไห้ไป ทุบตีเตียง ทุบตีศามนอาละวาด ศามนมองอย่าเบื่อหน่าย เดินหนีไป
“นี่จะไปไหน โธ่โว้ย”
ศามนเดินมาที่เรือนใหญ่ หนีเดือนแรมมานั่งอย่างเบื่อหน่าย หยิบรูปในกระเป๋าเงินขึ้นมาดูอีก แพงพุ่งเข้ามาส่งเสียงกราดเกรี้ยว ศามนไม่เห็นแพง แต่รู้ว่าเจ็บ
“คุณหลวง คุณไม่มีสิทธิ์คิดถึงมัน”
แพงร่ายมนต์ ศามนปวดหัวทันที
“โอ๊ย”
“เลิกคิดถึงมัน เลิกคิดถึงมัน”
“ปวดๆ”
“บอกสิว่ารักแพง บอกสิ...บอกมา”
“โธ่โว้ย เมื่อไหร่จะตายๆไปเสียทีวะ โอ๊ย...ปวด”
“แพงไม่ได้อยากให้คุณหลวงเจ็บ คุณหลวงก็บอกมาสิว่ารักแพง บอกมา”
ศามนปวดหัวจนกลิ้งลงไปที่พื้นพูดออกมาโดยไม่รู้ว่าตนเองพูดกับใคร แต่มันต้องพูด
“ผมอยากตาย ปวดขนาดนี้ ผมไม่กลัวตาย ผมไม่อยากอยู่แล้ว ขออย่างเดียวถ้าตายไปในเวลานี้ ผมขอเกิดมาเป็นคู่กับคุณรัมภา เป็นพ่อของลูกทั้งสอง เป็นเหมือนเดิม เป็นต่อไปทุกๆชาติ”
แพง ช็อค !ที่ตนทำมาไม่เคยเปลี่ยนใจคุณหลวงได้เลย ทำไมคุณหลวงยังคงรักรัมภาไม่เสื่อมคลาย
“คุณหลวง นี่คุณหลวง ไม่...ไม่...”
ศามนเหงื่อแตก ดิ้นทรมานแต่ปากยังพร่ำพูด
“ลูก...รัมภา ผมรักคุณ ผมรักคุณ”
แพงน้ำตาริน เมื่อต้องฟัง ก็รับไม่ได้ เพ้อพูดออกมาอย่างเจ็บปวด
“เป็นไปไม่ได้ ทำไมมนตราใช้ไม่ได้ผล เป็นไปไม่ได้ คุณหลวงรักอีแพง รักอีแพง คุณหลวงเป็นของอีแพง”
“รัมภา…รัมภา….ลูก ช่วยผมด้วย ช่วยด้วย”
แพงเริ่มมีอาการของคนบ้าอีก เพ้อๆแล้วกรี๊ด
“คุณหลวงรักอีแพง รักอีแพง คุณหลวงเป็นของอีแพง กรี๊ด”
ที่วัด...ช่วงกำลังนั่งสนทนากับพระ มาช่วยงานที่วัดตามปกติ เห็นรัมภามาเลยเดินมาหา
“คุณลุง สวัสดีค่ะ วันนี้ครูบาขวัญเมืองมาที่วัดนี้ไหมคะ”
“ยังไม่เห็นท่านเลย มีอะไรหรือหนูรัมภา”
วรรณศิกาขับรถไปตามถนนพาเด็กไปโรงเรียน เด็กแฝดนั่งคุยกันอยู่เบาะหลัง
“รัสตี้...วันนี้เราต้องส่งการบ้านปลูกต้นไม้ไม่ใช่หรือ”
“เออใช่ ต้นไม้อยู่ที่บ้าน ป้าวรรณครับ โทรหาหม่ามี้ให้หน่อย”
“ป้าวันเพิ่งโทรคุยกับหม่ามี้ หม่ามี้ไปวัดแล้วค่ะ หนูจะเอาอะไรคะ”
“กระถางต้นไม้ของเราสองคน คุณครูให้ส่งการบ้านปลูกผักวันนี้ค่ะ” ไลล่าบอก
“โอ๊ย...ไม่เป็นปัญหา นี่เดี๋ยวก็ผ่านทางเข้าบ้านหนู แวะเข้าไปเอาก็ได้ ยังพอมีเวลา เอ๊ะ...แต่ว่าบ้านนั้น มี ฮือ...”
วรรณศิกาทำหน้ากลัวผี แต่ก็ขับรถต่อไป
รัมภากับช่วงนั่งคุยกันอยู่ในวัด
“ครูบาขวัญเมืองไปเข้าฝันหนูหรือ” ช่วงย้อนถามอย่างสนใจ
“หนูว้าวุ่นใจ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะจิตฟุ้งซ่านหรือเพราะท่านไปจริงๆ พอคิดอะไรไม่ออก ก็เลยแวะมาเผื่อจะมาเจอท่าน”
“ไม่มีใครรู้ว่าท่านจะมาไหม เอางี้ ไหนๆก็มาแล้ว นั่งรอสักครู่ดีไหม ลองเสี่ยงดู”
รัมภาพยักหน้าเห็นด้วย
“ค่ะ งั้นระหว่างรอ หนูไปนั่งสมาธิตรงโน้นนะคะ”
ช่วงพยักหน้าให้
วรรณศิกาขับรถมาจอดหน้าเรือนใหญ่แล้วรำพึงขยาดๆ เด็กทั้งสองตั้งใจรอบนรถ
“บ้านที่ไม่มีคนอยู่ มีแต่ เอ้อ...อยู่ ยังไงดีน้าเรา”
“กระถางต้นไม้อยู่หน้าบ้าน สองใบเล็กๆที่มีเขียนชื่อเราน่ะค่ะ ป้าวรรณเดินลงไปถึงก็เห็นเลย” ไลล่าบอก
“อ้อหรือ งั้นลงไปเอาเองเด่ะ”
เด็กสองคนงงๆ
“เอ้อ...ขอโทษ ป้าลงเอง”
วรรณศิกาลงมาจากรถมองซ้ายมองขวา กลัวผี
“คุณนุบอกเรามีหน้าตาเป็นอาวุธ โอเค้ อย่ามาหลอกกันนะ ไม่งั้นฉันหลอกกลับจริงด้วย แฮ่ แฮ่”
วรรณศิกาเดินไป แยกเขี้ยวแฮ่ๆ ไปเรื่อย เข้าบ้านไป ควันสีดำ ลอยเข้ามาที่มุมหนึ่ง ร่างจำแลงของแพงกลายเป็นร่างของศามน ก่อนจะยิ้มร้ายเดินมาหาเด็กๆที่รถ
“ลูกพ่อ มาหาพ่อเถอะลูก”
เด็กทั้งสองหันไปเห็นดีใจมาก ลงจากรถทันที ไลล่าเข้าไปกอด
“แดดดี้...นั่นแดดดี้นี่”
รัสตี้เข้าไปกอดอีกคน
“แดดดี้ไม่เคยมาหาเราเลย วันนี้มาหาเราแล้ว”
“ลูกพ่อ ตามพ่อมาสิลูก”
ศามนหันหลังเดินนำไปเรือนเล็ก เด็กแฝดวิ่งตามทันทีร้องเรียกพร้อมกัน
“แดดดี้”
ศามนเดินนำมาตามทางเดินในสวน เด็กทั้งสองออกวิ่งตามมาห่างๆแล้วหยุดเดิน รัสตี้มองไปรอบๆ
“ทางไปเรือนเล็ก”
ศามนหันมายิ้มร้าย
“ตามมาสิ ตามมานี่”
ไลล่าจะตาม
“แด๊ดดี้”
รัสตี้จับมือไว้
“ไลล่าเดี๋ยว...หม่ามี้ไม่ให้เราไปเรือนเล็กนะ”
ไลล่าสะบัดออก
“ไลล่าจะหาแด๊ดดี้”
ไลล่าสะบัดออกวิ่งต่อไป รัสตี้เลยต้องวิ่งตาม
ศามนตัวจริงยังนอนหลับอยู่คนเดียวบนเตียง เสียงของลูกดังขึ้นมาจากในสวนเพราะเด็กทั้งสองวิ่งเข้ามาใกล้เรือนเล็กแล้ว
“แด๊ดดี้”
ศามนลืมตาตื่นขึ้นงงๆ ลุกขึ้นนั่ง...ไลล่าและรัสตี้เดินมาถึงริมขอบสระ มองหา ไม่เห็นพ่อ ไลล่าตะโกนเรียก
“แด๊ดดี้ แด๊ดดี้”
รัสตี้มองหา
“แด๊ดดี้หายไปไหนแล้ว”
ศามนโผล่มาหลังเด็กทั้งสอง แล้วกลายร่างเป็นแพงมองเข้าไปในบ้าน แค้นศามนมาก
“อาลัยอาวรณ์กันดีนัก คุณหลวง รักมันสองคน รักนังชื่นกลิ่นนักหรือ ยอมตายแต่ไม่ยอมหยุดรักมันงั้นหรือ ถ้างั้น คนที่ตายต้องเป็นพวกมัน คุณหลวงเป็นคนทำให้แพงต้องทำอย่างนี้ พวกมันต้องตาย พวกมันต้องตาย”
แพงเดินมาผลักเด็กทั้งสองตกลงไปในน้ำตูม! ทันใดนั้นวิญญาณคุณหญิงอบเชยโผล่มา
“หลานทวด...ยายทวดจะช่วยหนูเอง”
แพงเพ่งเสกโซ่มาล่ามคุณหญิงไว้จนขยับตัวไม่ได้ คุณหญิงตกใจมองตัวเอง แพงยังมีฤทธิ์มากกว่าตน
“อีแพง ปล่อยกูนะ”
“อย่าแม้แต่จะคิด อีอบเชย สิ่งที่มึงจะเห็นต่อไปนี้คือการตายอย่างทุกข์ทรมานของหลานมึง มึงยืนตรงนั้น มึงดู ดูให้เห็นกับตา”
ไลล่ากับรัสตี้ อยู่ในน้ำงุนงง
“ไลล่า ไม่ต้องตกใจ น้ำไม่ลึกมาก เดินไป เดินไป”
ไลล่าและรัสตี้ตั้งสติ เดินไปตามทาง กำลังจะใกล้ถึงฝั่ง แต่แพงดึงขาของเด็กทั้งสองเอาไว้จนจมลงไปในน้ำทันที ด้วยแรงดึง
“แด๊ดดี้...แด๊ดดี้ช่วยด้วย”
แพงสะใจ
“ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
เด็กทั้งสองกระเสือกกระสนอยู่ในน้ำ
รัมภานั่งสมาธิอยู่ในวัด เสียงครูบาขวัญเมืองยังดังก้องในหัว
‘เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ตัดกรรมทำได้ด้วยการให้อภัย’
รัมภาพยายามบอกตัวเอง
“แม้จะยังทำไม่ได้เต็มที่ แต่ดิฉันจะไม่ละความพยายาม ดิฉันขอตั้งจิตแผ่เมตตาให้แก่คุณยายแพง ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของดิฉัน ดิฉันขออุทิศส่วนกุศลทั้งปวงทั้งในอดีต ในปัจจุบันและในกาลอนาคต ขอให้ท่านจงมารับผลบุญกุศล นับแต่บัดนี้เถิด”
รัมภาเริ่มนั่งสมาธิ เริ่มฝึกให้อภัยแพง ระหว่างที่แพงจับขาเด็กอยู่ แสงสว่างพาดลงมา ผ่านน้ำลงมาถึงเธอที่อยู่ใต้น้ำกำลังดึงเด็กทั้งสองไว้ มันคือบุญจากการแผ่เมตตาของรัมภา
“แสงสว่างอะไร สบายดีเหลือเกิน”
ขณะเดียวกัน ศามนตัวจริงเดินลงมาเจอเด็กทั้งสองจมน้ำอยู่
“ลูก...ลูกพ่อ”
ศามนรีบวิ่งมาดึงมือเด็กทั้งสองที่ยื่นมือมา แล้วร้องพร้อมกัน
“แด๊ดดี้”
“คุณมน หนอย”
แพงมองไปที่ขาเด็กทั้งสองเสกโซ่ล่ามขาเด็กทั้งสองเอาไว้ในน้ำ แล้วตัวเองพุ่งขึ้นไปจัดการกับศามน มือของเด็กทั้งสองหลุดห่างไปจากมือของพ่อ ศามนจะลงน้ำไปหาลูก ช่วยลูก แต่ก็เจ็บหัวขึ้นมา ขาและมืออ่อนแรงไปทันที
“ลูกพ่อ โอ๊ย”
แพงท่องมนต์ ศามนปวดหัวขึ้นเรื่อยๆจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น ไลล่าตะโกนลั่น
“แดดดี้ ช่วยหนูด้วยแด๊ดดี้”
“ไม่...ไม่...ฉันจะลงไปช่วยลูก ปล่อย...ปล่อยฉัน ลูกๆพ่อ...พ่ออยู่นี่แล้ว ปล่อย...ปล่อย ฉันจะไปช่วยลูก”
คุณหญิงอบเชยพยายามส่งกำลังใจเท่าที่ทำได้
“ศามน...อดทนไว้ คุณคนเดียวที่จะช่วยเด็กได้ อดทนไว้”
ศามนดิ้นพราด ปวดหัวไม่มีแรงเดิน มือและดวงตามองลูกทั้งสอง พยายามจะฝืนตัวเองไปให้ได้ เสียงสวดของแพงยังดังก้อง เด็กทั้งสองหัวหายมิดลงไปในน้ำแล้วเพราะหมดแรง
“คุณหลวงต้องอยู่ใต้มนตราของอีแพง หยุดคิดช่วยมัน หยุดคิดถึงมัน หยุดเดี๋ยวนี้”
แพงเปลี่ยนเป็นดวงตาแดงก่ำเสียงดังก้อง ในที่สุดศามนก็สลบหมดสติไป แพงหัวเราะร่า หันหลังให้ศามน หันไปมองเด็กแฝด
“ฮะฮะฮ่า อีมารหัวขน ถึงเวลาตายของพวกแกแล้ว”
อ่านต่อหน้า 4 พรุ่งนี้
บ่วง ตอนที่ 13 (ต่อ)
ทันใดนั้นที่ด้านหลังของแพง จู่ๆศามนที่สลบไปแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ ไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตา สายตาเขาเพ่งมองมาที่แพง ด้วยความเข้มแข็งพร้อมสู้
“หยุดเสียที หยุดเสียที!”
แพงหันมาเห็นศามนก็งงไป
“คุณหลวง นี่คุณลุกขึ้นมาได้ยังไง”
ศามนไม่เห็นแพง แต่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างคุกคามชีวิตเขามาตลอด และเวลานี้เขาก็เกิดลูกฮึดขึ้นมาแล้ว เสียงของรัมภาดังเข้ามาในหัวเขา
‘คุณมน คุณต้องช่วยฉันนะ พิสูจน์ให้ฉันเห็นว่า ความรักชนะความแค้น บ่วงรักต้องชนะบ่วงแค้น ทำให้ฉันเห็นนะคะ’
“ลูกพ่อ พ่อจะปกป้องลูก พ่อจะไม่ยอมแพ้อีกต่อไป บ่วงรักต้องชนะบ่วงแค้น อานุภาพแห่งรัก ยิ่งใหญ่ที่สุดเสมอ”
ศามนไม่มีทีท่าอ่อนแอในเวลานี้ เขาเดินลงไปในน้ำ แล้วอุ้มลูกทั้งสองขึ้นมา จนโซ่ขาดกระเด็นทีละคน ทีละคน มาวางไว้ ไลล่าหมดสติไปแล้ว ศามนจับเด็กขึ้นมาพาดบ่าแล้วเขย่าตัวเด็กเพื่อให้น้ำออกจากร่างกายทางปาก รัสตี้ไม่ได้หมดสติทีเดียวเห็นหน้าพ่อก็ยิ้มออกมา
“แดดดี้”
รัสตี้พูดได้แค่นั้นก็หมดสติไป คุณหญิงอบเชยดีใจมาก
“คุณหลวง คุณหลวงได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำได้ คุณหลวงทำได้แล้ว”
คุณหลวงอุ้มเด็กเข้าไปในบ้านทีละคน แพงยืนมองภาพตรงหน้า ตกใจมาก ศามนไม่อยู่ภายใต้อิทธิฤทธิ์ของตนแล้ว
“ไม่จริง คุณต้องอยู่ใต้มนตราของฉันถึงจะถูก ไม่...ไม่จริง...”
ศามนอุ้มเด็กทั้งสองเข้ามาวางที่โซฟาในบ้านเรียบร้อย พยายามตบหน้าเบาๆ เรียกเด็กทั้งสองคน แต่เด็กยังสลบอยู่ ไม่ได้สติ
“ลูกพ่อ ลูกพ่อ รัสตี้ ไลล่า...โทรศัพท์ต้องหาโทรศัพท์”
ศามนพยายามควานหาโทรศัพท์มือถือ แต่เนื่องจากทำหายไปนานแล้วเลยหาไม่เจอ แพงพุ่งเข้ามาท่องมนต์ใส่ ศามนปวดหัวลงไปนั่ง สามารถเอาชนะแพงได้บางครั้งคราวเท่านั้นเพราะหุ่นรูปรอยยังไม่ได้ถูกทำลาย
“โอ๊ย”
“ได้...ในเมื่อรักมันมากนัก ในเมื่อยอมตายเพื่อมัน งั้นตายไปด้วยกันเลยดีไหมตายไปเป็นผี บางทีอาจจะดีเหมือนกัน คุณหลวงจะได้เป็นผีมาอยู่กับแพง มาอยู่ด้วยกัน”
“โอ๊ย...โธ่โว้ย”
ศามนโกรธตัวเอง พยายามต่อไป แพงโกรธมาก ยืนด่า ขณะที่ศามนปวดหัวจนลงไปนั่งอีกหงุดหงิดบ้างเพราะตนเองจะหามือถือ เขาพยายามฝืนตัวเองมองหามือถือต่อไป เดือนแรมที่แวะกลับบ้านตั้งแต่เช้าเดินกลับเข้ามาพอดี
“โฮ้ยอะไรกันเนี่ยคุณพี่ เอ๊ะ...เด็กสองคนนี้มาได้ยังไง”
แพงพุ่งเข้าสิงร่างของเดือนแรมทันที เดือนแรมสะดุ้งเฮือก ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง ศามนเจอมือถือแล้ว พยายาม ฝืนความเจ็บปวด หยิบมันขึ้นมา เดือนแรมเดินไปดึงมือถือจากมือเขาแล้วเขวี้ยงทิ้งไป ส่งเสียงออกมาเป็นเสียงผสมของเดือนแรมกับแพง รวมทั้งใบหน้าของเดือนแรมก็มีหน้าของแพงซ้อนอยู่ ซึ่งคราวนี้ศามน เพ่งเห็นจนได้
“คุณหลวง แพงรักคุณหลวง แพงมีชีวิตอยู่ตรงนี้เพื่อรอคอยคุณหลวงทุกๆนาทีชีวิตของแพงมีไว้เพื่อคุณหลวง ทำไมคุณหลวงทำกับแพงอย่างนี้”
“ผู้หญิง ผู้หญิงในฝันที่ฉันเห็นมาตลอด เธอเป็นใครก็ตาม จดจำเอาไว้ฉันเกลียดเธอ ฉันเกลียดเธอ”
แพงช็อค สายตาเกลียดชังของคุณหลวงพุ่งเข้ามาหา คำว่าเกลียด อยู่เต็มหัวใจ แพงเสียใจมาก
“เกลียด...เกลียดแพงรึ ไม่...ไม่...ไม่”
เสียงไม่ครั้งสุดท้ายดังลั่น ฉับพลัน เกิดระเบิดขึ้นที่ม่านไฟลุกด้วยความโกรธสุดขีดของแพง ศามนตกใจ
“ไฟไหม้”
ศามนหันไปหยิบหมอน หยิบผ้าจะมาตีที่ม่านเพื่อดับไฟ นาทีนั้น เดือนแรมใช้ของแข็งแถวนั้นตีไปที่ท้ายทอย ศามนสลบเหมือดไป เช่นเดียวกับเด็กแฝดที่ไม่ยอมตื่น
“นี่แน่ะ คุณหลวงไม่มีสิทธิ์...ไม่มีสิทธิ์”
เดือนแรมที่มีผีแพงสิงอยู่ นั่งลงหมดแรง ท่ามกลางไฟที่ลุกไหม้ เดือนแรมนั่งร้องไห้ ไม่สนใจไฟที่กำลังจะไหม้บ้าน
“ฮือ เมื่อกี๊คุณหลวงพูดว่าอะไรนะ คุณหลวงเกลียดอีแพง คุณหลวงเกลียดอีแพง ไม่ ไม่ ไม่จริง ไม่จริง”
เดือนแรมร้องไห้หนัก ม่านอีกอันหนึ่งเกิดไฟลามมา ลุกไหม้น่ากลัวเช่นกัน มีสี่ร่างอยู่ในบ้าน ที่ไม่มีใครดับไฟ
คุณหญิงอบเชยที่ถูกพันธนาการพยายามตะโกนเรียก
“ศามน รัสตี้ ไลล่า ตื่นเร็วเข้า ไฟไหม้ใหญ่แล้ว ไฟไหม้ใหญ่แล้ว”
วรรณศิกาถือกระถางปลูกผักเล็กๆสองอันติดมือมาที่รถ มาถึงก็ไม่มีเด็กแล้ว
“โฮ้ยกว่าจะหาไอ้นี่เจอ เดินซะรอบบ้าน...เอ้าไปไหนกันหมด”
วรรณศิกาถอยออกมามองหาเด็กแล้วเริ่มเดินไปที่เรือนเล็ก
“ควันไฟ...มาจากเรือนหลังเล็ก”
วรรณศิการีบเดินไปเรือนเล็ก
คุณหญิงที่ถูกพันธนาการยืนร้องไห้คร่ำครวญ
“ฮือ...คุณพระคุณเจ้า เทวาอารักษ์ ทำไมจึงให้อำนาจ อีผีชั่วมันขนาดนี้ทำไม ความรักของฉัน ความรักของพ่อ ความรักบริสุทธิ์ขนาดนี้ ทำไมยังเอาชนะมันไม่ได้ ไม่ยุติธรรม โลกนี้ไม่ยุติธรรม”
สักพักเกิดแสงสว่างวาบขึ้นที่มุมหนึ่ง เสียงระฆังดังโหม่งๆ อันเยือกเย็น ครูบาขวัญเมืองเดินเข้ามาพร้อมแสงเรืองรอง คุณหญิงดีใจ
“ครูบาขวัญเมือง”
ครูบาขวัญเมืองเดินไปที่หน้าเรือนเล็ก แล้วยกมือขึ้น แสงสีทองแห่งพระธรรมกระจายไปจนรอบตัวบ้าน ครูบาขวัญเมืองเดินต่อไป แสงสว่างสีทองส่องเข้ามาในตัวบ้าน ดับไฟที่ม่านทั้งสอง พรึ่บจนควันลอยกรุ่น ไฟที่ไหม้ถูกดับลงแล้วด้วยอิทธิฤทธิ์ของครูบขวัญเมืองที่ปรากฏตัวขึ้นมา เดือนแรมตกใจมากหันมามองแสงจ้านั้น
“หยุดเถอะ วิญญาณบาปหนา บุญกุศลทั้งปวง เมื่อเจ้าไม่ปรารถนา ก็ย่อมหมดสิ้นลง ต่อไปนี้ กรรมชั่วจะแสดงกำลังอำนาจ เจ้าจะเจ็บปวดทั้งกายและใจเหมือนที่เจ้าได้กระทำไว้ต่อผู้อื่น”
แสงส่องสว่างวาบไปที่ตัวของแพง จนกระเด็นออกมาจากเดือนแรม ร่างของเดือนแรมล้มลงสลบไป แพงร้องกรี๊ด
“โอ๊ย ร้อน ร้อน...นี่ท่าน อาจารย์เปรื่อง ท่านมายุ่งอะไรด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องของท่าน โอ๊ะ...โอ๊ย เจ็บ...เจ็บ”
“ความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจที่สีกาทำไว้กับผู้อื่น เมื่อมันส่งผลคืนสู่ผู้กระทำ ผลของมันจะเอนกอนันต์ นับเป็นมูลค่าไม่ได้”
แพงร้อนและเจ็บไปทั้งตัว
“โอ๊ย...ปวด ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
ครูบาขวัญเมืองมองไป โซ่ที่คล้องคุณหญิงหลุดกลับมาที่แพง คุณหญิงเป็นอิสระส่วนแพงมีโซ่ล่ามลงไปดิ้น ด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย ร้อนๆ”
“ต่อไปนี้ วิญญาณบาปของสีกาจะต้องมาอยู่กับอาตมา สีกาจะไม่มีโอกาสทำร้ายใครได้อีก”
“ปล่อย...ปล่อยกูนะ...ปล่อย”
คุณหญิงวิ่งเข้ามานั่งกับพื้น ยกมือไหว้ดีใจมาก
“ท่านมาช่วยเรา เราปลอดภัย เราปลอดภัยแล้ว”
วรรณศิกาเดินมาถึงมองเข้าไปในบ้าน ตกใจมาก
“หนู รัสตี้ ไลล่า คุณศามน นี่มันอะไรกันเนี่ย เป็นยังไงบ้าง เป็นยังไงบ้าง”
วรรณศิกาสบตากับครูบาขวัญเมืองอย่างงงๆ มองไม่เห็นแพงและคุณหญิงอบเชย เห็นแต่ เดือนแรม ศามนและเด็กสลบไม่ได้สติ
รัมภาวิ่งเข้ามาใน โรงพยาบาล...เด็กแฝดอยู่ในชุดโรงพยาบาลและวรรณศิกานั่งรออยู่มุมหนึ่ง
“ลูกแม่”
เด็กทั้งสองร้องพร้อมกัน
“หม่ามี้”
สามแม่ลูกเข้ามากอดกัน รัมภากอดจูบลูกเพราะฟังเรื่องจากวรรณศิกาแล้วกลัวจับใจ
“ลูกแม่ ลูกแม่ ลูกแม่”
รัมภาไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่กอดจูบลูก แล้วพร่ำอยู่อย่างนั้น เพราะรู้ว่า เกือบจะเสียลูกไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว ช่างมหัศจรรย์จริงๆที่ได้คืนมา
“พามาให้หมอตรวจ เปลี่ยนเสื้อเปียกออก หมอบอกว่าสำลักน้ำเข้าไป ตามเนื้อตัวตรวจดูหมดแล้ว ไม่มีแผลอะไร แกปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องห่วงค่ะ” วรรณศิกาบอก
“ขอบคุณคุณวรรณมาก ขอบคุณจริงๆ”
“เราตกลงไปในน้ำ ผีดึงขาด้วย” ไลล่าบอกอย่างตื่นกลัว
รัมภากอดลูกอย่างสงสาร
“โธ่ลูกแม่!”
“แด๊ดดี้มาช่วย...แด๊ดดี้มาช่วยเราครับแม่”
รัมภาดีใจ แปลกใจ
“จริงหรือ”
วรรณศิกานึกได้
“อ้อ ตอนที่ดิฉันไปถึง พบพระรูปหนึ่ง พระรูปนั้นบอกว่าชื่อครูบาขวัญเมือง”
รัมภาอึ้งงง
“เจอที่บ้านหรือคะ ท่านไปที่บ้านหรือคะ”
“คุณรู้จักหรือคะ ท่านมาพบคุณ ท่านฝากบอกอะไรคุณด้วย”
“ฝากบอกว่าอะไรคะ”
“บอกว่าตอนนี้ท่านจะกลับไปที่วัดก่อน จะพายายแพงไปด้วย เอ...แต่ดิฉันเห็นท่านไปคนเดียวนะคะ ยายแพงนี่ใครคะ”
รัมภายิ้มดีใจ
“ชื่อผีตนนั้น ท่านมาปราบผีตนนั้น”
วรรณศิกาตะลึงเซ ไปสองสามก้าวเกือบร่วงลงพื้น ดีแต่ยันไว้ทัน
“อุ๊ย...ขอโทษค่ะ ขามันอ่อนฉับพลัน”
เด็กแฝดทั้งสองคนดีใจ หันมาบอกกัน
“พระมาปราบผี”
ไลล่าดีใจ
“ผีไม่มีแล้ว”
“ในที่สุด ท่านก็มาช่วยลูกจริงๆ”
รัมภาดีใจมาก ตื่นเต้นมาก
รัมภา วรรณศิกา รัสตี้ ไลล่า เดินมาที่หน้าห้องไอซียู วรรณศิกาถอนใจ
“อาการของเด็กๆปลอดภัยดี แต่ผู้ใหญ่สองคน...”
รัมภาดูป้าย
“ไอซียู อย่าบอกนะว่าคุณมน”
วรรณศิกาพาไปที่ช่องมองคนไข้ เห็นศามนนอนอยู่มีเครื่องระโยงระยาง รัมภาตกใจ
“ค่ะ คุณมนไข้ขึ้นสูง แขนขาอ่อนแรง มาถึงหมอส่งเข้าไอซียู ดิฉันตกใจมาก ถามว่าเป็นอะไร หมอบอกว่า ติดเชื้อ ดิฉันถามว่าเชื้ออะไร หมอมองหน้า ไม่ได้พูด แต่จับใจความได้ว่า พูดชื่อไปแล้วน้ำหน้าอย่างหล่อนจะรู้หรือ ประมาณนี้ค่ะ”
รัมภาหน้าเศร้าสลด
“โธ่คุณมน”
“ตอนนี้ห้ามเยี่ยมค่ะ หมอบอกว่า จะติดเชื้อง่าย ส่วนคุณเดือนแรม ก็ยังสลบไม่ได้สติ รายนั้นเป็นไข้เหมือนกัน แต่อยู่ห้องธรรมดา”
“นี่มันอะไรกัน ปราบผียายแพงแล้ว ยังไม่หายอีกหรือ...หรือเพราะหุ่นรูปรอย ยังไม่พบหุ่นรูปรอย ต้องใช่แน่ๆ”
รัมภากังวลมาก
วันใหม่...พัชนี อนุกูล วรรณศิกา เพิ่งมาทำงานดื่มกาแฟคุยกันอยู่ที่มุมกาแฟในออฟฟิศ
“ครูบาขวัญเมืองมาปราบผีแล้ว ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น” พัชนีบอกอย่างโล่งใจ
อนูกลท่าทางหวาดๆ
“ฮึ่ย...ขนลุก แล้วคุณเห็นผีไหม”
วรรณศิกา มองหน้าอนุกูล
“เห็น”
อนุกูลสะดุ้ง
“หา...”
วรรณสิกาชี้หน้าอนุกูล
“ผีทะเลที่อยู่ตรงหน้านี่ไง”
อนุกูลเซ็ง
“ถ้าหน้าอย่างผมเป็นผีทะเล ผู้ชายคนอื่นก็ตะไคร่น้ำแล้ว”
วรรณศิกาหมั่นไส้
“แหวะ...เฮ้อ ตอนนี้ที่ห่วงที่สุด คือคุณศามน ยังนอนอยู่ไอซียูเลย”
พัชนีนึกได้
“พรุ่งนี้วันหยุดไปวัดดีกว่า ไปสวดมนต์ ส่งจิตให้คุณศามนปลอดภัย”
อนุกูลหน้าเหวอ
“เอ๊าก็ไหนบอกเราจะไปดูหนังกันไง ถ้าไม่ดูพรุ่งนี้หนังก็ออกแล้วนะ”
“ก็พัชอยากไปวัดนี่นา”
“ผมตามใจคุณ ไปวัดมาเกือบทั้งเดือนแล้ว ก็เราคุยกันแล้วไง ผมรอหนังเรื่องนี้มาเป็นปี คิวพรุ่งนี้คุณตามใจผมมั่งสิ”
“งั้นคุณไปคนเดียวได้ไหมล่ะ”
“ดูหนังคนเดียวเนี่ยนะ คุณเป็นแฟนผมนะ ถ้ามีแฟนแล้วต้องไปดูหนังคนเดียวแล้วผมจะมีแฟนไปทำไม ฮึ่ย...”
อนุกูลงอน เดินถือแก้ว หนีไปทันที พัชนีหน้าเสีย
“คุณนุ...คุณนุ”
“เอ๊า งอนไปโน่นเลย อะไรของเขา”
ทั้งพัชนีทั้งวรรณศิกางง
ช่วงกลางวัน พัชนีกับวรรณศิกามานั่งในร้านอาหาร พัชพยายามโทรตามอนุกูล
“ทำไมไม่รับสายนะ”
“จะมาไหมล่ะเนี่ย หิวแล้วนะ”
พัชนีกดสองสามครั้งแล้ว
“เอ๊า...ปิดมือถือไปเลย”
“ปิดมือถือเลยหรือ แค่เรื่องดูหนังเนี่ยนะ”
วรรณศิกาลองโทรดูบ้าง โทรหาลูกน้องของอนุกูล
“คุณธง คุณอนุกูลอยู่กับคุณหรือเปล่า”
อนุกูลนั่งกินข้าวแกงที่ร้านอาหารในออฟฟิศกับลูกน้องชายสามสี่คน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ธงรับสาย
“ครับ...อยู่ที่ศูนย์อาหาร กับพวกเราเนี่ยครับ กินอร่อยอยู่เลย”
“เอ๊า แล้วทำไมไม่โทรมาบอกว่าจะกินที่บริษัท ปล่อยเรารออยู่ได้” วรรณศิกาบ่น
ธงยื่นโทรศัพท์ให้อนุกูล
“คุณวรรณ”
อนูกลส่ายหน้าไม่สนใจรับสาย กินต่อไป ธงเลยมาคุยกับวรรณศิกาต่อ
“คุณอนูกูล ยุ่งอยู่กับเขียวหวานไก่ครับ”
วรรณศิกาโมโห
“ฉันจะคุยเรื่องงาน ส่งโทรศัพท์ให้เขา”
ธงยื่นให้อนุกูลอีกครั้ง
“คุณวรรณจะคุยเรื่องงานครับ”
อนุกูลยังไม่รับ กินต่ออีก
“ประชุมพรุ่งนี้จะให้ไปพบใครบอกชื่อมาก็พอ”
วรรณศิกาได้ยินก็โวยทันที
“ได้...ไอ้ผีทะเล!”
ธงฟังสายพอดี เลยบอกอนุกูลหน้าซื่อๆ เชื่อจริงๆว่าชื่อนี้
“ชื่อผีทะเลครับ”
“โธ่โว้ย”
อนุกูลเอาโทรมาฟัง วรรณศิกาด่ายาวเป็นชุดเข้ามาในสายพอดี ด่าๆน้ำเสียงจิกสุดฤทธิ์
“ไอ้ตะไคร่น้ำ ไอ้แพลงตอน ไอ้ปลาไหล ไอ้หอยขม”
อนุกูลพูดตอบมานิ่งๆคำเดียว
“เงือก!”
วรรณศิกายิ้มพอใจ ทำท่าเชิดสวยที่สุดในโลก
“เจ้าหญิงเงือกน้อย little mermaid”
“หน้าเงือก!”
อนุกูลกดปิดสายเปรี้ยง วรรณศิกาแทบกรี๊ด
“อี๊ !”
พัชนีกับวรรณศิกากลับมาจากกินข้าวเดินเข้ามา คุยกันมาด้วย
“ที่จริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทะเลาะกัน เราเถียงกันบ่อย กินข้าวร้านไหนวันหยุดทำอะไร ที่ผ่านมาคุณนุตามใจพัชตลอด...เฮ้อบางที เราคงไปกันไม่ได้”
“ขนาดนั้นเลยหรือ”
“ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง พัชชอบไปวัด เขาชอบดูหนัง พัชชอบไปต่างจังหวัด เขาชอบไปสยาม พัชตื่นเช้า เขาตื่นเที่ยง พัชกินจืด เขากินเผ็ด พัชกำลังคิดว่า เขาคงเบื่อพัชแล้ว”
พัชนีน้ำตาคลอ
“เอ๊า...ปี่แตกซะงั้น”
“เราแตกต่างกันมากเกินไป เขาชอบผู้หญิงสวย ดูพัชสิ เหมือนยายแก่ เชยๆ”
“เอ๊า ก็คุณนุเขาบอกไม่ใช่หรือ ว่าเขาชอบที่ความดีของหนู”
“ผู้หญิงดี สวย และมีชีวิตไม่ต่างจากเขาก็มีนี่คะ ถ้าเขาเลิกกับพัชจริงๆ พัชจะไม่โกรธเขาเลย เราต่างกันเกินไป ต่างกันเกินไปจริงๆ”
“ฮู้ย...ไปกันใหญ่แล้ว”
พัชนีจิตตก นั่งร้องไห้ วรรณศิกาเลยพลอยตกใจไปด้วย
ครูบาขวัญเมืองปักกลดพักอยู่ที่สวนของวัดเหมือนเคย ช่วงจัดสำรับอาหารมาให้ ครูบาขวัญเมืองยื่นมือมารับแล้ววางลง ช่วงยกมือไหว้อธิษฐาน
“ผมขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่วิญญาณบาป ที่อยู่ข้างหลังของผมด้วย ขอให้เป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้ทุกข์กายทุกข์ใจเลย”
ช่วงคลานจากไป แพงที่มีโซ่ล่าม นั่งจ๋องอยู่ด้านหลังช่วงหน้าเศร้าเจ็บปวด ช่วงมองเห็นจากทางใน จึงกล่าวออกมาเช่นนั้น
“ปล่อยข้าไป ปล่อยข้าไป ข้าจะไปหาคุณหลวง ปล่อย...ปล่อยข้าไป”
ครูบาขวัญเมืองเริ่มเทศน์สั่งสอน
“สีกาแพง เจ้ารู้จักความรักหรือไม่”
“แพงรักคุณหลวง...แพงรักคุณหลวง”
“ไม่นั่นไม่ใช่ความรัก รักแท้ คือกรุณา กรุณาแปลว่า กระทำเพื่อให้คนที่รักมีความสุข เจ้ารักคุณหลวง แล้วคุณหลวงมีความสุขไหม”
“ไม่...แพงรักคุณหลวงมากกว่านางชื่น เมื่อแพงได้คุณหลวงมา แพงจะทำให้คุณหลวงมีความสุขยิ่งกว่าอยู่กับนางชื่น”
“ไม่...รักแท้ไม่มีแม้ตัวเอง มีแต่คนที่เรารักเท่านั้น รักแท้เลือกให้ตัวเองเจ็บปวดแต่ไม่ยอมให้คนที่รักทุกข์ทรมาน ถ้าเจ้ายอมเจ็บปวดได้จริง ยอมปล่อยคุณหลวงไป จึงจะเรียกว่ารักคุณหลวง”
“ไม่...แพงรักคุณหลวง แพงรักคุณหลวง”
“สีกาใช้ความรัก เพื่อเป็นเหตุผลสำหรับความเห็นแก่ตัว ยอมรับความจริงนี้เสีย เมื่อเข้าใจตัวเองอย่างถูกต้องแล้ว จึงจะเดินจากตรงนี้ไปได้ ยอมรับเสียเถิด”
แพงหน้าเศร้า ส่ายหน้า ยังไม่สามารถยอมรับความจริงได้ในทันที
จบตอนที่ 13
อ่านต่อตอนที่ 14 ตอนอวสาน วันพรุ่งนี้