“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 1
บ่ายวันหนึ่ง ท่ามกลางเปลวแดดร้อนเปรี้ยง มีกลุ่มควันกำลังพวยพุ่งจากโรงเก็บของหลังตลาด “ร่วมใจเกื้อ” มันเป็นกลุ่มควันหนาทึบ ผู้คนในตลาดหนีตายอลหม่านเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายไปหมด
คิตตี้หรือสมคิด กะเทยร่างยักษ์แม่ค้าขายดอกไม้จิตตกวิ่งวุ่นอยู่ที่แผง เช่นเดียวกับแม่ค้าพ่อค้าคนอื่นๆ ทั่วทั้งตลาดก็กำลังแตกตื่น ร้องวี้ดวายไปมา ต่างไม่รู้จะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาทางไหนดี
“อ๊าย อ๊าย!” เสียงคิตตี้ร้องโวยวาย พลางวิ่งไปวิ่งมา
รูปร่างอวบอ้วนกลายเป็นการกีดขวางทางจราจรกลางตลาด... ขวางกระแสผู้คนที่กำลังวิ่งพุ่งมา แม่ค้าคนอื่นเห็นดังนั้นก็โวยวายร้องด่ากันจ้าละหวั่น แถมหมั่นไส้ปนรำคาญในท่าทางสะดีดสะดิ้งของคิตตี้
“อีคิตตี้ จะยืนให้ไฟมันตามมาเผาตรงนี้รึไงฮะ จะไปไหนก็ไปซักทางซิ” แม่ค้าคนหนึ่งตะโกนด่า
“อ๊าย อ๊าย!”
คิตตี้ยังคงไม่ได้สติ ร้องวี้ดว้ายอยู่อย่างนั้น จนแม่ค้าคนหนึ่งต้องเอาถังน้ำแช่ดอกไม้ของร้านคิตตี้สาดใส่หัวเพื่อเรียกสติ คิตตี้หยุดร้องยืนนิ่ง แต่ทุกคนวิ่งจ้ำอ้าวต่อไปได้
ขณะเดียวกันที่เขียงหมูเต๊กไฮ้ ซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของตลาด เต๊กไฮ้กำลังพยายามโกยแหลกหวังจะขนเนื้อหมูไปให้ได้มากที่สุดในขณะที่ลักษณ์ เมียคนไทยของเต๊กไฮ้พยายามฉุดดึงให้ผัวรีบหนีออกจากตลาด
“พอได้แล้ว จะขนไปทำไมนักหนาเฮีย”
“ไม่ได้ซิ หมูทั้งแผงนี่มันตั้งกี่ร้อยกี่พัน จะปล่อยไว้ให้ไฟมันเผาเงินเล่น รึไง”
“ถ้าเห็นว่าหมูมีค่ากว่าชีวิตตัวเองก็ตามใจ ชั้นจะได้มีผัวใหม่”
ลักษณ์ เมียของเต๊กไฮ้พูดจบแล้วเดินออกไปทันที
“รออั๊วด้วยซิ อาลักษณ์”
เต๊กไฮ้เลยต้องแบกเนื้อหมูเท่าที่แบกได้ตามลักษณ์ออกไปเช่นกัน
เวลาไล่เลี่ยกันนั้นที่แผงปลา และอาหารทะเลของกิมฮวย แม่ค้าปากจัดมือวางอันดับหนึ่งและมีอิทธิพลคับตลาดร่วมใจเกื้อ แถมยังเป็นแม่จอมบงการของกิมลั้ง สาวหมวยหน้าตาน่ารัก กล่องดวงใจของกิมฮวย ที่กำลังพะวักพะวงอะไรบางอย่างทางด้านหลัง กิมฮวยรีบลากกิมลั้งไปแบบไม่ทันมอง
“เร็วๆ เข้าซิอากิมลั้ง เรี่ยวแรงลื้อหายไปไหนหมดนะ”
กิมลั้งที่ถูกดึงมาตามแรงกิมฮวย หันไปมองเห็นหญิงชราซึ่งกำลังวิ่งหนีไฟอยู่ด้านหลัง แต่เพราะรีบร้อนยายคนนั้นจึงล้มลงไป กิมลั้งสะบัดมือกิมฮวยสุดแรงแล้ววิ่งฝ่าฝูงคนกลับไปช่วย จนกิมฮวยหันไปด่า
“ลื้อจะบ้ารึไงอากิมลั้ง”
กิมลั้งยังคงกุลีกุจอประคองช่วยยายที่ล้มให้ลุกขึ้น
“กลั้นใจลุกหน่อยนะยาย เดี๋ยวหนูพายายออกไปเองนะ”
“อากิมลั้ง ลื้ออยากเป็นผีเฝ้าตลาดรึไงฮะ”
กิมลั้งโวยวายทันที
“แล้วม้าจะให้อั๊วทิ้งให้ยายนอนตายตรงนี้เหรอ”
“แต่อีจะทำให้อั๊วกับลื้อตายตามไปด้วยเข้าใจมั้ย ญาติโยมก็ไม่ใช่ ปล่อยอีไว้ตรงนี้ล่ะ”
กิมฮวยพูดจบรีบฉุดกิมลั้ง แต่ดูเหมือนลูกสาวจะขืนตัวไม่ยอมไป
“ถ้าวันนี้คนที่ล้มเป็นม้า ม้าจะอยากให้คนอื่นช่วยมั้ย”
กิมลั้งพูดใส่กิมฮวยจนอีกฝ่ายอึ้งไป แต่กลับโวยวายกลบเกลื่อน
“โอ๊ย ก็ถ้าอยากจะช่วยอี ลื้อก็รีบๆ เข้าซิ”
กิมฮวยเข้าไปช่วยกิมลั้งพยุงยายที่หนีไฟไหม้ในตลาดอย่างเสียมิได้
เวลาเดียวกัน อีกฟากหนึ่ง ติ๋มเจ้าของแผงผัก ซึ่งท้องโตเดินโซซัดโซเซ เหงื่อเต็มหน้าทำท่าจะไม่ไหวแต่ยังไม่มีใครช่วยเธอร้องจนแทบจะลมจับ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ทว่าไม่มีใครสนใจ และในจังหวะที่ติ๋มล้มลงนั้น ก็มีมือคู่หนึ่งข้ามาประคองไว้ทัน เต๋า ผู้เป็นสามีนั่นเองที่เข้ามารับร่างติ๋มไว้ด้วยอาการหน้าตาตื่น ติ๋มดีใจอุทานออกมา
“พี่เต๋า!”
ไม่ทันขาดคำติ๋มก็เป็นล้มล้มคาอ้อมกอดเต๋า จนอีกฝ่ายต้องรีบพยุงหนีไฟไหม้ออกไปอีกทาง
ความโกลาหลแตกตื่นยังคงดำเนินต่อไป
เวลานั้น พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ทั้งป้าพิณ แม่ค้าขายข้าวแกง พร้อมกับเขียวหวาน ลูกจ้างในร้าน คำมูล หนุ่มอีสานพ่อค้าขายส้มตำรถเข็น จะเด็ด ชายสูงวัยเจ้าของร้านชำ รวมทั้งชมพู่ น้อยหน่า เลื่อน และรักเร่ ล้วนแล้วแต่หนีไฟมารวมตัวกันอยู่หน้าตลาด ป้าพิณอุทานขึ้นอย่างเหนื่อยใจ
“โอ๊ย มันเกิดขึ้นได้ยังไงเนี่ย ข้าอยู่ตลาดนี่มาร้อยวันพันปีไม่เคยจะมี เรื่องไฟฟืนไหม้ซักหน”
เขียวหวานที่ยืนอยู่ข้างๆ เสริมขึ้นถึงชะตากรรมน่าเศร้าของตนด้วยเช่นกัน
“ทำไมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเราอย่างนี้ก็ไม่รู้นะป้าพิณ ไอ้ห้างเวรี่แฮปปี้เพิ่งมาฉกลูกค้าตลาดเราไปไม่เท่าไหร่ ไฟยังตามมาไหม้อีก กะจะไม่ให้ พวกเรามีที่ทำมาหากินกันเลยรึยังไง”
คำมูลที่ยืนอยู่ สบโอกาสรีบเข้าไปโอบเขียวหวานทำคะแนนทันที
“โถๆ ถ้าเขียวหวานหมดที่ทำกิน ก็มาเข็นรถ ขายปาปาย่าป๊อกป๊อกกับพี่คำมูลซิจ๊ะ คัมม่อน”
ป้าพิณเห็นเข้ารีบเข้าไปดึงคำมูลออกมาจากเขียวหวาน
“เฮ้ย นี่เองมาสอยลูกจ้างข้าต่อหน้าต่อตาอย่างนี้เลยไอ้ชิท”
“ชิท ใครกันป้า”
คำมูลสงสัย
“ก็เอ็งไงไอ้คำมูล มูลแปลว่าอึ อึกับ shit ก็คำเดียวกัน เห็นขยันพูดภาษาปะกิตนักไม่ใช่เหรอ”
ระหว่างนั้นจะเด็ดเดินเข้ามาพอดี
“เอ้าๆ แล้วนี่มีใครเรียกรถดับเพลิงรึยังนี่”
“แล้วน้าจะเด็ดเรียกรึยังล่ะ”
น้อยหน่าตะโกนถามกลับมา
“ก็ข้าคิดว่าคนอื่นเรียกแล้วก็เลยไม่ได้เรียก”
“ก็คิดกันซะอย่างนี้ สรุปว่าไม่มีใครเรียกรถดับเพลิงซักคน”
น้อยหน่าโพล่งขึ้น ส่วนเลื่อนกับรักเร่ รีบช่วยกันเข็นรถบรรทุกน้ำกันผ่านเข้ามาด้วยอาการรีบร้อน
“เอ้า แล้วมายืนนิ่งกันอยู่ทำไมล่ะเนี่ย ทำไมไม่ไปช่วยกันหาน้ำท่ามาดับไฟ จะปล่อยให้ไฟมันไหม้ทั้งตลาดก่อนรึไงฮะ”
“โอ๊ย น้ำที่พวกเอ็งขนๆมันจะดับไฟได้ซักเท่าไหร่กันหะไอ้เลื่อน ไอ้รักเร่”
จะเด็ดแอบดูถูกน้ำที่เลื่อนและรักเร่เข็นเข้ามา ก่อนที่รักเร่จะสวนขึ้น
“ถึงมันจะน้อยยังไง ก็ยังมากกว่าน้ำใจคนแถวนี้ละกัน รีบไปกันเถอะไอ้เลื่อน เสียเวลา”
เลื่อน เด็กขายของ จอมปากเก่งประจำตลาดกับรักเร่ช่วยกันเข็นน้ำไป ปล่อยให้ที่เหลือยืนหน้าเจื่อนทำอะไรไม่ถูกกันต่อไป
ต่อจากนั้น เลื่อนกับรักเร่ที่กำลังเข็นรถบรรทุกน้ำมุ่งหน้าไปที่จุดควันดำโขมง โรงเก็บของใสตลาด ทั้งคู่ช่วยกันแบกน้ำกระหน่ำสาดไปที่กองเพลิง ครู่หนึ่งบะหมี่กับเกี๊ยวร้องโวยวายขึ้น
“เฮ้ย!”
“อะไรกันเนี่ย”
บะหมี่ตะโกนเสียงดังขึ้น
“เฮ้ย หยุด!”
ทำเอาเลื่อนกับรักเร่หยุดชะงัก หันมองหน้ากันด้วยความงง
“อะไรวะ”
บะหมี่กับเกี๊ยวเนื้อตัวเปียกปอนรีบเดินออกมาจากกลุ่มควันดำหนา
“ไอ้บะหมี่....”
เลื่อนเอ่ยเสียงดัง.
“ไอ้เกี๊ยว...”
รักเร่อุทานขึ้น
“เอ็งสองคนไปทำอะไรในนั้นวะ”
เลื่อนถามขึ้น บะหมี่รีบตอบกลับ
“ข้าซิต้องถามว่าพวกเอ็งทำอะไร อยู่ๆเอาน้ำมาสาดพวกข้าทำไมเนี่ย”
“ก็พวกข้ามาดับไฟ เอ็งก็เห็นนี่ว่าไฟมันไหม้ควันโขมงออกอย่างนี้”
รักเร่ถามขึ้น
“ไอ้โง่ ใครบอกว่าไฟไหม้ ข้ากับไอ้บะหมี่กำลังเผาข้าวของที่พวก ชาวบ้านเอาไปสะเดาะเคราะห์ไว้กับอาจารย์จะเด็ดต่างหาก”
เลื่อนได้ยินแล้วถึงกับเกิดอารมณ์เซ็ง
“เผาของสะเดาะเคราะห์เหรอ ข้านึกว่าจะเผาตลาด นี่เอ็งคิดจะบอกใครบ้างมั้ย ตอนนี้คนในตลาดหนีตายกันใหญ่แล้วเพราะคิดว่าไฟไหม้”
“วันนี้ถ้ามีคนหัวใจวายหรือถูกเหยียบตาย ก็ให้รู้ไว้ว่าเป็นเพราะเอ็งสองคน”
รักเร่รีบเสริมเลื่อน ในขณะที่บะหมี่กับเกี๊ยวมองหน้าจ๋อยไปทันที
เวลาต่อจากนั้นไม่นาน นอกตลาด เลื่อนกับรักเร่เข็นรถออกมาอย่างอารมณ์เสีย
“ไอ้เราก็ตกใจแทบแย่ ที่แท้ก็ฝีมือไอ้หมี่เกี๊ยวนี่เอง” รักเร่ว่า
“ความจริงข้าว่าเกิดเรื่องแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ” เลื่อนกล่าว ทำเอารักเร่มองหน้า
“พูดยังไงของเอ็งวะ ชีวิตมันเรียบไปรึไง ถึงชอบเรื่องอกสั่นขวัญแขวน”
“ไม่ใช่เว้ย เอ็งไม่เห็นเหรอ พอเกิดเรื่องคับขันแบบนี้ขึ้น มันก็ทำให้เราเห็นธาตุแท้ของคนในตลาดมากขึ้นด้วย”
“เออว่ะ ถ้าไฟไหม้จริงป่านนี้มันคงลามไปทั้งตลาดแล้ว เพราะทุกคนเอาแต่คิดถึงตัวเอง”
เลื่อนกับรักเร่เข็นรถมาเรื่อยๆ จนพบกับ เต๋าที่กำลังพยุงติ๋ไปด้วยอาการอิหลักอิเหลื่อ
“อดทนอีกนิดเดียวนะติ๋ม จะถึงถนนใหญ่แล้ว”
เต๋าปลอบใจติ๋ม เลื่อนกับรักเร่รีบมุ่งเข้าไปหาทั้งสองคนในทันที
“พี่เต๋า พี่ติ๋ม ไม่ต้องหนีไฟแล้ว เดี๋ยวลูกก็ไหลพอดี”
เต๋ายังทำหน้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทำไมวะ”
บ่ายวันเดียวกัน เต๋าดูแลติ๋มอย่างใกล้ชิด เช็ดหน้าเช็ดตาให้เมื่อกลับมาถึงบ้าน
“พอแล้วล่ะจ้ะพี่ ชั้นดีขึ้นแล้ว”
ติ๋มบอกเต๋าอย่างเห็นใจสามีที่ดูแลอย่างดี
“วันนี้ถ้าติ๋มเป็นอะไรไปนะ พี่ตามไปฆ่าไอ้หมี่เกี๊ยวถึงที่เลยคอยดู”
“ดีพี่ พี่จัดการไอ้บะหมี่ ชั้นฆ่าไอ้เกี๊ยวเอง”
“เอ้าติ๋ม ไม่ห้ามพี่หน่อยเหรอ”
“ก็มันน่าโมโหมั้ยล่ะ ถ้าชั้นคลอดก่อนกำหนดขึ้นมาจะว่ายังไง แล้วคนในตลาดเราก็จริงๆ ไม่มีน้ำใจช่วยคนท้องกันเลย”
“นั่นซิ ทำไมถึงได้ใจดำกันขนาดนี้ โชคดีนะที่วันนี้เฮียปิดอู่ครึ่งวัน พี่เลยแวะไปหาติ๋ม ถ้าพี่เข้าไปรับติ๋มไม่ทันตอนกำลังล้ม ไม่อยากคิดเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
“ดีแล้วล่ะพี่ที่เกิดเรื่อง ต่อไปนี้เวลาไปขายของชั้นจะได้ระวังตัวให้มากขึ้น เพราะรู้แล้วว่าคงจะพึ่งใครไม่ได้จริงๆ”
ติ๋มบอกสามีราวกับทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนเต๋ากำลังคิดอะไรบางอย่าง
“ไม่ต้องแล้วล่ะติ๋ม พี่จะไม่ยอมให้ติ๋มไปขายผักอีกแล้วจนกว่าจะคลอดลูก”
“ไม่ได้หรอกพี่ แล้วมันจะพอกินได้ยังไง แค่จ่ายค่าเช่าบ้านเงินเดือน ช่างของพี่มันก็แทบจะหมดแล้ว”
“พี่ให้ติ๋มหยุดพัก แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าเราจะต้องหยุดขายผักไปด้วย”
ติ๋มยังไม่เข้าใจที่เต๋าพูด
“ก็ถ้าชั้นไม่ขาย แล้วใครจะขายล่ะ”
“ไอ้ต๋องไง”
บ่ายวันต่อมา ที่สมุทรสงคราม บรรยากาศท้องนาท้องไร่เสียงขลุ่ยกับชายหนุ่มที่เป่าบนหลังควาย ลีลาพลิ้วไหว ราวกับผู้ชำนาญการเป่าขลุ่ยแต่หาใช่ต๋อง หนุ่มหล่อที่เต็มไปด้วยจินตนาการ รักศิลปะ รักเสียงดนตรีที่เป็นคนเป่า แต่กลายเป็นเสียงขลุ่ยจากทรานซิสเตอร์ ต๋องนั่งเป่าก้านมะละกอฟองสบู่กระจัดกระจายบวกกับความสวยงามตามธรรมชาติราวกับมิวสิควิดีโอลูกทุ่ง อย่างเพลิดเพลินเจริญใจ โดยมีแกละเด็กซี้จอมซน กำลังย่องมาช้าๆแล้วใช้หนังสติ๊กยิงจู่โจมต๋องจากทางด้านหลังหลายลูกติดต่อกันอย่างสนุกสนาน
“โอ๊ย โอ๊ย!”
ต๋องหันหลังกลับมาก็เห็นแกละที่กำลังเล็งลูกดินลูกต่อไป ก่อนที่เขาจะตะโกนใส่แกละ
“ไอ้แกละ ไอ้เด็กเว....(ร)”
ต๋องยังพูดไม่ทันจบคำดี ลูกดินถูกดีดเข้าไปค้างอยู่ในปาก ต๋องถุยลูกดินออกจากแล้วกระโดดจากหลังควายมายืนจังก้า ชี้หน้าแกละอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ตายแน่มึง”
ต๋องไม่เท่าทันแกละเสียแล้ว เจอยิงเข้าที่กลางเป้าจนลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น ทำเอาแกละหัวเราะชอบใจ
“สูญพันธุ์บ้าวันนี้ล่ะวะพี่ต๋อง”
ต๋องพยายามลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาแกละ แกละวิ่งแจ้นแถมหันมาเยาะเย้ยพร้อมส่ายก้นให้
“จ้างก็จับไม่ทัน จ้างก็จับไม่ทัน”
“ถ้าข้าจับได้ วันนี้เอ็งได้เปลี่ยนชื่อแน่ไอ้แกละ จะจับกร้อนผมให้เป็นไอ้โกร๋นเลยมึง”
แกละทำเป็นแกล้งกลัวเสียงสั่น ล้อเลียนต๋อง
“อุ๊ย!กลัวจัง”
“เฮ้ย!”
ต๋องเร่งความเร็วไปหาแกละอย่างไม่ลดละแต่ก็ไม่ทันความเร็วของอีกฝ่ายตามเคย
เวลาต่อจากนั้น ต๋องไล่วิ่งจับแกละมาถึงใต้ถุนบ้าน ทั้งสองหยุดดูเชิง ซึ่งต๋องยิ้มอย่างเป็นต่อ
“เสร็จล่ะมึงคราวนี้ เสร็จล่ะมึง”
ต๋องก็พุ่งไปหาแกละ แกละวิ่งหัวซุกหัวซุนจนสะดุดล้ม แล้วต๋องก็ก้าวมายืนคร่อมแกละไว้ ต๋องแกล้งหัวเราะใส่แกละคล้ายแบบเดียวกันกับผู้ร้ายในหนังไทยสมัยก่อน
“ฮ่าๆ”
ต๋องเอื้อมมือจะไปจับแกละแต่มีมือมือหนึ่งยื่นเข้ามาจับมือต๋อง ต๋องชะงักเงยหน้าไปจึงเห็นว่าเป็นกล้าผู้เป็นพ่อ ซึ่งมีแม่อย่างแก้วยืนอยู่ข้างหลัง
“พ่อ”
แกละรีบลุกขึ้นยืนอย่างได้ที หัวเราะด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าอย่างเยาะเย้ย
“ฮ่าๆ หัวเราะทีหลัง มันดังกว่าแบบนี้นี่เอง”
ต๋องทำท่าจะเตะแกละ แต่อีกฝ่ายรีบวิ่งหนี
“หยุดนะไอ้ต๋อง ไม่อายบ้างรึไงวะรังแกเด็ก”
กล้าดุลูกชาย
“มันต่างหากที่รังแกชั้น”
“ก็ใช่ไง เอ็งรังแกมัน”
ต๋องเริ่มหงุดหงิด เพราะพ่อหูไม่ค่อยได้ยินได้ยินความเป็นอีกอย่าง
“ไม่ใช่ ชั้นบอกว่าไอ้แกละมันรังแกชั้นก่อน”
“ก็ถ้าไม่ใช้วิธีนี้แล้วเอ็งจะยอมกลับบ้านมาง่ายๆมั้ยล่ะ”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นแผนเรียกชั้นกลับเข้าบ้านนี่เอง บอกกันดีๆไม่เป็นหรือไงพ่อ”
กล้าได้ยินแล้วของขึ้น
“อะไรนะ เอ็งไม่เห็นว่าข้าเป็นพ่อ”
“โอ๊ย ชั้นบอกว่าจะเรียกกลับบ้านก็บอกกันดีๆ พ่อไม่เห็นต้องส่งเด็กไปทำร้ายชั้นเลย”
ต๋องตะโกนใส่เพราะรู้ว่าพ่อไม่ได้ยิน
“กว่าข้าจะเรียกเอ็งกลับมาได้แต่ละทีนี่มันยากแค่ไหนรู้มั้ยไอ้ต๋อง วันๆไม่รู้ทำอะไรนัก หายหัวไปตั้งแต่เช้าจดค่ำ หรือเอ็งแอบไปมีเมียไว้ที่ไหนฮะ”
“อย่าเอาชั้นไปเทียบกับตัวเองน่ะพ่อ ถ้าชั้นจะมีเมียซักคนไม่เที่ยวแอบไป
ซุกไปซ่อนไว้ตามเถียงนาเหมือนพ่อหรอก”
ต๋องถึงพ่อจนเกือบโดนขันฟาดหัว ต๋องรีบไปหลบหลังแก้วผู้เป็นแม่อย่างออดอ้อน
“แม่ แม่จ๋า แม่ดูซิ พ่อลงไม้ลงมือกับต๋อง”
แก้วกอดต๋องอย่างปลอบโยนเอาอกเอาใจ
“ โถๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมา เต๋าลูกแม่”
ต๋องคลายตัวเองจากกอดของแม่อย่างเสียอารมณ์เมื่อได้ยินแม่เรียกชื่อตัวเองผิด
“ต๋องแม่ ไม่ใช่เต๋า โอ๊ย มีพ่อก็หูหนวก มีแม่ก็อัลไซเมอร์”
“ชิชะไอ้ต๋อง แต่ถ้าไม่มีข้ากับแม่เอ็ง เอ็งก็ไม่มีวันได้ชิงหมามาเกิดแบบนี้หรอกเว้ย”
กล้าได้ยินเต็มสองหูขึ้นมาทันที
“ทีอย่างงี้ล่ะหูดีเชียวนะ แล้วตกลงเรียกชั้นมาทำไมเนี่ย”
ต๋องรีบถามถึงธุระที่พ่อและแม่กำลังจะเอ่ยขึ้น
ต่อจากนั้น กล้าและแก้วเล่าเรื่องเต๋าให้ฟัง ต๋องถึงกับโวยวาย
“ฮะ! พี่เต๋าจะให้ชั้นไปขายผักแทนพี่ติ๋มเนี่ยนะ ชั้นมีธุระต้องทำที่นี่อีก
ตั้งเยอะ ปิดเทอมแค่ไม่กี่เดือนเอง”
“งั้นบอกมาซิว่าธุระบ้าบอของเอ็งคืออะไรถึงต้องขี่นังสีดาไปลุยสวนลุยนา ทั้งวี่ทั้งวัน แต่ไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ใครเห็นเค้าก็หาว่าเอ็งบ้ากันทั้งนั้น” กล้าย้อนขึ้น
“บอกไป พ่อกับชาวบ้านแถวนี้ไม่มีทางเข้าใจไอ้ที่ชั้นพยายามจะทำหรอก” ต๋องอธิบาย
“ก็แล้วใครจะไปเข้าใจคนพิเรนทร์ยังเอ็งล่ะ วันๆคิดแต่เรื่องแผลงๆ ทำอะไรแต่ละอย่างผ่าเหล่าผ่ากอเหมือนไม่ใช่ลูกข้า ว่าไปแล้วหน้าตาเอ็งก็ไม่เหมือนข้าเท่าไหร่ ตกลงไอ้ต๋องนี่แก
ท้องกับชั้นรึเปล่าฮะ แม่แก้ว”
กล้าพูดพลางหันไปทางแก้ว แต่อีกฝ่ายดันตอบกลับมาทันที
“ เอ่อ ชั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันน่ะพ่อกล้า”
“อะไรนะแม่แก้ว”
กล้าย้อนถามกลับด้วยความงง
“จะเอาอะไรกับคนความจำเสื่อมละพ่อ เอาเป็นว่าพ่อก็บอกพี่เต๋าแล้วกันว่าชั้นไม่ว่าง”
“ไอ้ต๋อง นี่ธุระของเอ็งมันสำคัญกว่าพี่น้องอีกเหรอ”
“ที่ชั้นจะทำน่ะไม่ใช่เพื่อตัวชั้นนะ แต่มันจะเป็นประโยชน์กับทุกคน”
“ไม่จริงหรอก เอ็งทำทุกอย่างเพื่อตัวเองก็ได้ เอ็งอยากเห็นพี่สะใภ้เอ็ง ทนขายของจนแท้งลูกก็ตามใจ แล้วเอ็งก็จะกลายเป็นฆาตกรฆ่าหลานในไส้ ไอ้คนใจร้าย ใจดำ กรรมต้องสนองเอ็งเข้าซักวัน ถ้าเอ็งมีเมีย เมียก็จะมีชู้ ถ้ามีลูก ลูกก็จะปัญญาอ่อน”
“พอได้แล้วพ่อ จะให้ทำอะไรก็สั่งมาเลยมา”
ต๋องยอมใจอ่อน กล้าแอบหันไปอมยิ้มกับแก้ว แก้วยิ้มตอบเข้าใจไปอีกอย่าง แล้วยื่นมือแอบไปสะกิดกล้าด้วยความอายในทำนองชู้สาว กล้าเห็นแล้วงงที่เมียเข้าใจผิดไปคนละเรื่อง
บ่ายวันใหม่ ที่ตลาดร่วมใจเกื้อ เต๋าซึ่งมีเป็นพี่ชายพาต๋องเข้าไปดูแผงในตลาดเรียบร้อยแล้วเดินออกมาหยุดที่กองเข่งผักที่วางเรียงรายอยู่ด้านหน้าทางเข้าตลาด
“เดี๋ยวเอ็งก็เอาผักพวกนี้ไปวางเรียงบนแผงตามที่ข้าบอกเมื่อไว้กี้”
“พี่เต๋า ชั้นต้องเรียงผักตามที่พี่บอกเด๊ะๆขนาดนั้นเลยเหรอ”
เต๋าชักสีหน้าก่อนตอบ
“มีปัญหาอะไรวะ แค่จัดผักนี่ทำไมต้องพลิกต้องแพลง ต้องครีเอทีฟ เดี๋ยวข้าจะถีบเอ็งให้”
เต๋าอ้าขาจะเตะน้องชายส่วนต๋องรีบหลบ
“ก็ได้ๆ จัดไปตามที่พี่บอก”
เต๋ามองนาฬิกาหลังสั่งงานต๋องเสร็จ
“เข้าใจก็ดี งั้นข้าไปทำงานแล้ว เดี๋ยวสาย”
ต๋องยังรั้งแขนพี่ชายไว้
“เฮ้ย เดี๋ยวซิพี่”
“อะไรของเอ็งอีก”
“ใจคอพี่จะไม่ช่วยกันแบกเข่งเข้าไปข้างในก่อนเหรอ มีแต่ของหนักๆทั้งนั้น ชั้นคนนะไม่ใช่ควาย”
เต๋าเงื้อมือมาเขกกะโหลกต๋อง
“เอ็งน่ะควายไม่ใช่คน อยู่กับนังสีดาเยอะจนโง่ เอ็งจะมายกของเองทำไมฮะ เค้าจ้างรถเข็นแถวนี้กันทั้งนั้น เฮ้ย”
เต๋าเดินออกไปอย่างรำคาญใจ ปล่อยให้ต๋องยืนเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ในตลาดอย่างทำอะไรไม่ถูก
เวลาเดียวกันในตลาดอีกมุม กิมฮวยกับเคี้ยง ผู้เป็นสามีช้างเท้าหลัง ยกลังปลาจากท้ายรถมาวางให้กิมฮวยที่ยืนอยู่เสร็จพอดี
“เดี๋ยวอั๊วไปส่งของต่อนะ”
เคี้ยงถามกิมฮวย อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
“อ้อ วันนี้ถ้าเห็นควันอะไรก็ดูให้ดีๆล่ะ จะได้ไม่วิ่งเตลิดเปิดเปิงออกมาเหมือนเมื่อวานอีก”
“ทำไมเฮียเคี้ยง จะให้อั๊วยืนรอจนแน่ใจ เกิดไฟมันไหม้ขึ้นมาจริงๆลื้อจะได้หาเมียใหม่ใช่มั้ย”
กิมฮวยโวยวายตามเคย
“พูดไปเรื่อย อั๊วไปแล้วดีกว่า”
เคี้ยงพูดจบเดินออกมาทันที แต่กิมฮวยไม่วายขู่สามีส่งท้าย
“ขับรถไปส่งปลาล่ะ ถ้าจับได้ว่าไปส่งน้องปลาน้องปูที่ไหนล่ะน่าดู”
เคี้ยงส่ายหัว ปิดประตูรถแล้วขับออกไป
บ่ายวันใหม่ หน้าทางเข้าตลาด ต๋องเห็นรถเข็นเลื่อนกำลังเข็นรถมาจึงกวักมือเรียกจะใช้บริการ แต่เลื่อนมาทางด้านเดียวกับกิมฮวยที่กำลังเดินเข้ามาพอดี จึงร้องเรียกด้วยเสียงอันดังกังวานตามประสาแม่ค้า
“เอ้า อาเลื่อน มาขนของให้อั๊วหน่อย”
“เอ่อ พี่ชายคนนั้นเค้าเรียกชั้นแล้วน่ะเจ๊”
เลื่อนพยายามอธิบายว่าต๋องเรียกก่อน กิมฮวยหันหน้าไปที่ต๋องแต่ก็ไม่ยอมรับว่าตนเรียกทีหลัง
“เรียกอะไร อั๊วไม่เห็นได้ยินใครเรียกชื่อลื้อนอกจากอั๊ว”
“น้าจ๊ะ ถ้าจะเรียกใช้บริการแค่กวักมือเรียกน้องเค้าก็รู้แล้ว ไม่เห็นต้อง ตะโกนเรียกเลย”
ต๋องรีบอธิบายกับกิมฮวยในขณะที่อีกฝ่ายเหมือนไม่รับฟัง
“อั๊วไม่เห็นว่าลื้อกวักมือนี่ ช่วยไม่ได้ ยังไงอั๊วแก่กว่า อั๊วก็ต้องได้ไปก่อน ขนของขึ้นรถเลยไอ้เลื่อน”
“เอ่อ...”
เลื่อนอึดอัดใจ
“เอ้า ได้ยังไงล่ะน้า นี่กรุงเทพนะไม่ใช้หนองหญ้าปล้องถึงจะได้ไม่ต้องเข้าคิว ใครมาก่อนก็ต้องได้ก่อน ไม่ใช่เกิดก่อนได้ก่อน”
ต๋องไม่ยอมเช่นกัน ยืนเถียงกับกิมฮวย จนพ่อค้าแม่ค้าที่เดินไปมาเริ่มหยุดมองการสนทนาที่ทำท่าจะเผ็ดร้อน ที่สำคัญไม่เคยมีใครกล้าเถียงกิมฮวยมาก่อน
“อั๊วจะเอาก่อนลื้อจะทำไม อั๊วอยู่ที่นี่มาตั้งเท่าไหร่ รู้มั้ย อั๊วเป็นใคร”
“น้ายังไม่รู้ว่าน้าเป็นใคร แล้วชั้นจะรู้มั้ย”
กิมฮวยโกรธท่าทียียวนของต๋อง
“ไอ้... ไอ้....ไอ้....”
กิมฮวยโกรธจนติดอ่าง ต๋องจึงรีบให้ข้อมูล
“ต๋อง เป็นน้องพี่เต๋าสามีพี่ติ๋มที่กำลังท้องอยู่ ชั้นมาขายผักแทนพี่ติ๋ม ชั้นก็น่าจะมีสิทธิ์เท่าเทียมกับคนในตลาด”
ต๋องเถียงกลับเป็นชุด พ่อค้าแม่ค้าเริ่มมามุ่งดูกันมากขึ้น
“งั้นก็กลับไปถามพี่สะใภ้ลื้อละกันว่าเจ๊กิมฮวยเป็นใคร” กิมฮวยเบ่งขึ้นมาทันที
“อ๋อ ที่แท้ก็เจ๊กิมฮวยนี่เอง คนที่ขายปลาเค็มใช่มั้ย” ต๋องเอ่ยขึ้น จนเลื่อนต้องตัดบท
“ไม่ใช่พี่ เจ๊เค้าขายพวกปลา พวกอาหารทะเลน่ะพี่”
“อ้อ สับสนนิดหน่อย เคยได้ยินมาว่า น้ากิมฮวย ขายปลาแล้วก็เค็ม ก็เลยนึกว่าขายปลาเค็ม”
“อั๊วจะขายอะไรก็ไม่ได้ไปหนักกบาลลื้อ ไอ้เลื่อน ขนของขึ้นรถลื้อเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้ายังอยากให้อั๊วใช้บริการต่อไป”
เลื่อนยังนิ่งดูเกรงใจต๋อง กิมฮวยเลยแบกของขึ้นรถเอง
ต๋องตบมือเสียงดังก่อนตะโกนขึ้นแบบไม่เกรงใจกิมฮวย
“เอ้า พ่อแม่พี่น้อง เร่เข้ามาจ้ะเร่เข้ามา มาดูผู้ใหญ่รังแกเด็กเร็ว มาทีหลังแต่แซงคิวคนอื่นเฉย ไม่รู้ว่าเป็นพ่อแม่ใคร น่าอายแทนลูกหลานจริงจริ๊ง “
กิมฮวยได้ยินถึงกับหยุดขนของ ร้องกรี๊ดลั่นตลาดด้วยความโกรธและอายในประโยคแทงใจ
“อ๊าย!”
พ่อค้าแม่ค้า ผู้คนที่รุมมองกันอยู่ตกใจกันใหญ่ คนที่อยู่ในเหตุการณ์รีบเมาท์ให้ฟังต่อทันทีเมื่อมีผู้กล้าต่อกรกับกิมฮวย
เพียงไม่นาน ทั้งตลาดก็พูดกันถึงเรื่องต๋องเถียงกับกิมฮวยลั่นตลาด ชมพู่กับน้อยหน่า พนักงานในร้านเสริมสวย ฟังเรื่องราวมาจากร้านทำผม ที่ลูกค้าที่มาใช้บริการในร้านต่างยืดคอฟังกันอย่างสนใจ ชมพู่ไปเมาท์เรื่องกิมฮวยให้ป้าพิณ เขียวหวาน และคำมูลที่ร้านข้าวแกงฟังต่อ โดยมีคนที่ร้านกินไปฟังไปอย่างสนใจ ไม่นานนักป้าพิณก็ไปเมาท์ให้คิตตี้ อาโก และลักษณ์ฟังที่ร้านกาแฟ ต่อกันเป็นทอดๆ เพราะไม่เคยมีใครกล้าโต้เถียงกับกิมฮวยมาก่อน
เวลาต่อมา ที่แผงปลาของกิมฮวยเต๊กไฮ้ จะเด็ด และกิมฮวยมองต๋องที่กำลังจัดผักแล้วผิวปากอย่างอารมณ์ดี
“ไอ้จ๋องกรอดนั่นน่ะนะที่ด่าเจ๊กิมฮวย”
จะเด็ดเอ่ยขึ้น
“ไอ้เวรนั่นน่ะล่ะ มันทำให้อั๊วอายจนแทบจะเอาปี๊บคลุมหัว”
“มันกล้ามามากนะที่ทำแบบนี้ รู้จักเจ๊กิมฮวยน้อยไปซะแล้ว” เต๊กไฮ้ พ่อค้าเขียงหมูพูดอย่างรู้นิสัยกิมฮวยดี
“แล้วมันจะได้รู้จักอั๊วมากกว่านี้”
กิมฮวยคำรามในลำคอ
โปรดติดตามอ่าน “รักเกิดในตลาดสด” ต่อหน้า 2
“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 1 (ต่อ)
กิมฮวยแค้นฝังหุ่นโกรธต๋องฝังใจ แต่แผงขายของดันอยู่ไม่ไกลกันนัก จังหวะนั้นอีกฝ่ายรู้สึกเหมือนถูกมองอยู่ จึงหันมาที่แผงปลากิมฮวย ต่างฝ่ายต่างจ้องสู้ตากัน สักครู่หนึ่งต๋องก็เอื้อมมือไปเปิดวิทยุ เพลง มองได้แต่อย่าชอบ เสียงดังลั่นตลาด
“มองได้แต่อย่าชอบ เพราะมันทำให้หัวใจชั้นบอบช้ำ คุยได้แต่อย่านาน อย่าสร้างความผูกพัน ให้ใจชั้นหวั่นไหว ...”
นอกจากนั้นต๋องยังเต้นท่าอาโนเนะประกอบ กิมฮวยเห็นแล้วยิ่งโกรธจัด ขว้างปลาไปที่แผงผักต๋องอย่างอดรนทนไม่ได้ ต๋องรีบคว้ากระจาดรับ แล้วมองปลาในกระจาดพลางยิ้ม
“มื้อเย็นมีกับข้าวแล้วเว้ย เย้!”
กิมฮวยยิ่งทวีความโกรธ
“อ๊าย!”
ตอนบ่ายวันเดียวกันนั้น กิมลั้งหัวเราะอย่างอารมณ์ดีและชอบอกชอบใจ เมื่อได้ยินอาโกคนขายกาแฟเล่าเรื่องการทะเลาะกันระหว่างกิมฮวยและต๋อง พร้อมกับถ่ายรูปนิ้วมือด้วยมือถือไปด้วย
กิมลั้งนั้นโดนแม่จับให้อยู่แต่ในตลาด ไม่ยอมให้เรียนต่อ วันๆ จึงขลุกอยู่ในตลาด กิมลั้งยังชอบถ่ายภาพนิ้วมือตัวเองกับสถานที่ต่างๆ ไว้เสมอ
“ขนาดนั้นเลยเหรออาโก เป็นไปได้ยังไง”
“ไอ้หยา ลื้อขำที่แม่ลื้อถูกเด็กใหม่อย่างอาต๋องลูบคมเหรอฮะเนี่ย”
อาโกงง ที่เห็นกิมลั้งขำในเรื่องที่ตัวเองเล่าอย่างเมามัน
“โก ลื้อก็รู้ว่าม้าอั๊วน่ะใช่ย่อยซะที่ไหน เจอมวยถูกคู่น่ะดีแล้ว จะได้สมน้ำสมเนื้อ แหม อยากเห็นจังว่าคู่กรณีม้านี่หน้าตาเป็นยังไง เมื่อกี้จะรอเจอที่แผงซักหน่อย พอดีม้าไล่อั๊วมาซื้อโอเลี้ยงซะก่อน”
“เดี๋ยวลื้อก็ได้เห็นล่ะ วันนี้ขายของวันแรกอีเลยวิ่งวุ่นเป็นหนูติดจั่น นี่ ว่าไปแล้ว อีนี่หล่อเข้าขั้นเลยน้า”
อาโกชื่นชมต๋องจนออกหน้าออกตา
“แต่คงหล่อไม่พอน่ะ ม้าถึงไม่ประทับใจ อ้อ โอเลี้ยงน่ะชงเข้มๆ ล่ะโก ไม่งั้นเจอ
เจ๊กิมฮวยบ่นสามวันไม่หยุดแน่ แล้วก็ด่วนด้วยนะ เจ๊แกอยากโอเลี้ยงจัดจนจะลงแดงแล้ว”
สั่งโอเลี้ยงเสร็จกิมลั้งนั่งกางหนังสือพิมพ์อ่าน ระหว่างนั้นต๋องที่ดูหิวกระหายก็เดินพุ่งมาหาอาโกด้วยความรวดเร็ว
“โก โอเลี้ยงชื่นใจด่วนๆถุง”
อาโกมัวแต่ง่วนชงโอเลี้ยงจนไม่ทันมองว่าคนที่สั่งเป็นต๋อง
“ล่ายๆ”
ต๋องยังยืนรออยู่ แต่แวะหันไปมองหนังสือพิมพ์ที่กิมลั้งกางอ่านอยู่ ซักครู่อาโกก็ยื่นมือมาแขวนถุงโอเลี้ยงที่หน้าโต๊ะ ต๋องหันกลับมาอีกทีเห็นถุงโอเลี้ยงจึงหยิบขึ้นมา แล้วควักเงินจ่าย
“รวดเร็วทันใจจริงๆ ตังค์อยู่นี่นะโก”
อาโกหันหน้ามาก็เห็นว่าต๋องก็ดูดโอเลี้ยงของกิมฮวยไปรียบร้อยแล้ว
“ไอ้หยา นั่นมันไม่ใช่ของลื้อ”
กิมลั้งได้ยินอาโกส่งเสียงดังจึงรีบวางหนังสือพิมพ์แล้วลุกเดินมา คิดว่าเกี่ยวกับเรื่องตัวเองแน่
“อะไรโก”
กิมลั้งถามขึ้น
“ก็อาต๋องน่ะซิ ดันหยิบโอเลี้ยงของเจ๊กิมฮวยไปดูด”
ต๋องกับกิมลั้งต่างแปลกใจ ทั้งคู่เพิ่งหันมามองหน้ากันแบบเต็มๆตา และในใจลึกๆก็แอบต่างพึงพอใจกันตั้งแต่แรกเห็น แต่กิมลั้งเก็บอาการไว้
“อ้อ ที่แท้ก็เธอนี่เองที่มีเรื่องกับแม่ชั้น ทำแบบนี้มันแกล้งกันนี่” กิมลั้งเอ่ยขึ้นอารมณ์กรุ่น
“ชั้นจะไปรู้ได้ไงว่านี่มันของแม่เธอ สั่งปุ๊บโกก็แขวนถุงปั๊บ ชั้นก็นึกว่าของชั้นน่ะซิ”
ต๋องอธิบาย
“นี่เค้าเรียกว่าไม่ใช้สมองนี่ คิดเองไม่ได้รึไงว่าสั่งแล้วจะได้ของทันทีได้ยังไงในเมื่อโกยังไม่ทันชงเลย”
“ก็เพราะสมองเยอะกว่าเธอไง ถึงได้คิดว่าโกเค้าชงโอเลี้ยงไว้ทีเยอะๆ จะได้ขายของทันใจลูกค้า”
ต๋องเถียงจนกิมลั้งเริ่มโกรธ
“มันก็ต้องใช้เวลาตักน้ำแข็งใส่ถุงผูกหนังยางกันบ้างล่ะ แต่ถ้าคนขายยื่นของมาให้ภายในไม่กี่วินาทีที่สั่งมันก็ต้องรู้ได้ด้วยเซนส์แล้วที่สำคัญ ชั้นนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ ไม่คิดบ้างรึไงว่าคนเค้ารออะไรอยู่”
“ใจเย็นอากิมลั้ง เดี๋ยวอั๊วชงให้ใหม่”
อาโกห้ามศึกทันที
“ไม่โก”
ต๋องรีบยื่นถุงโอเลี้ยงไปห้อยกับมือกิมลั้งทันที
“งั้นเธอเอาถุงนี้ไปให้แม่ละกัน”
กิมลั้งวางถุงโอเลี้ยงลงแล้วโวยวายใส่
“บ้าเหรอ เอาโอเลี้ยงดูดแล้วมาให้แม่ชั้นเนี่ยนะ”
“แล้วจะให้ทำไง ถ้ารอนิดรอหน่อยไม่ได้มันก็มีวิธีเดียวเท่านั้นล่ะ”
“ไม่สงสัยเลยว่าทำไมแม่ชั้นถึงได้เกลียดหน้าเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ”
“อย่างกะชั้นรักแม่เธอตายงั้นล่ะ เธอเองก็ระวังตัวไว้เถอะขืนถอดนิสัยแบบแม่มาขนาดนี้ ผู้ชายได้หนีกระเจิง”
“ไอ้พวกผู้ชายโง่ๆ ที่มองไม่เห็นเนื้อในอันผ่องแผ้วนพคุณของชั้น ให้มันหนีไปให้ไกลๆชีวิตน่ะดีแล้ว”
“โห หลงตัวเองเข้าขั้น อยากรู้แล้วซิว่าผู้ชายประเภทไหนที่คู่ควรกับเธอ”
“ไม่ใช่ประเภทที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าชั้นแน่ๆ”
“จำคำพูดตัวเองเอาไว้นะ อย่าให้รู้ละกันว่าแอบเก็บเอาชั้นไปฝันถึง”
“ชั้นไม่ยอมให้หน้าเธอโผล่เข้ามาในสมองชั้นหรอก แค่คิดก็หยะแหยงแล้ว”
“จริงเหรอ”
ทันใดนั้นต๋องก็เข้าไปจับตัวกิมลั้งเข้ามาใกล้ตัวเอง แต่พอมาอยู่ใกล้กันจริงๆทำให้ทั้งคู่ต่างอึ้งกันไปพักหนึ่ง พอได้สติกิมลั้งรีบผลักต๋องออกไปจากตัว
“ทำอะไรของเธอ”
“ก็แค่จะพิสูจน์ว่าเธอหยะแหยงชั้นจริงมั้ย”
“ไม่งั้นชั้นจะผลักเธอออกไปเหรอ”
“โอ๊ย ไอ้ที่ผลักน่ะเพราะเธอหวั่นไหว”
ต๋องกวนใจกิมลั้งจนอีกฝ่ายลนไปเหมือนกัน
“เพ้อเจ้อ”
กิมลั้งรีบเดินออกไป ต๋องตะโกนไล่หลัง
“พอเมมโมรี่หน้าชั้นจนขึ้นใจก็รีบไปเลยนะ”
กิมลั้งที่เดินออกไปหน้างอแต่แอบอมยิ้ม ต๋องมองตามกิมลั้งแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
เวลาต่อจากนั้น กิมลั้งเดินเพลินกลับมาที่แผงซึ่งมีกิมฮวยรออยู่ กิมฮวยเห็นกิมลั้งเดินกลับมามือเปล่าจึงตะโกนถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“อากิมลั้ง ไหนล่ะโอเลี้ยงของอั๊ว”
กิมลั้งเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมโอเลี้ยงของแม่เข้าอย่างจังหลังจากต่อปากต่อคำกับต๋อง
“เอ้า คือคือน้ำตาลที่ร้านโกหมดน่ะ อั๊วเลยกลับมาก่อน เดี๋ยวค่อยกลับไปซื้อให้ม้าใหม่นะ”
กิมฮวยหงุดหงิดใส่ลูกสาวทันที
“อะไรกันนักหนาเนี่ย โอเลี้ยงก็เกิดจะไม่มี อั๊วยิ่งเก๊กซิมอยู่”
“อย่าอารมณ์เสียน่ะม้า เดี๋ยวแก่ไวนะ”
กิมลั้งชวนแม่เปลี่ยนเรื่อง
“เป็นลื้อ ลื้อจะทนไหวมั้ย เจอคนเฮงซวยแต่เช้า ไม่รู้ผีเจาะปากมันมาพูดรึยังไง แต่ละคำแสบๆทั้งนั้น พ่อมันต้องเป็นกรรไกร หรือไม่แม่มันก็เป็นมีด แถมยังทำตัวเหมือนลิงหลอกเจ้า เห็นแล้วกวนประสาท”
กิมฮวยพูดยังไม่ทันขาดคำ ต๋องเดินเข้าตลาดมาพอดี กิมฮวยหันไปมองทันที ชาวตลาดจับมองทั้งคู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วอยู่ๆต๋องก็ยิ้มให้กิมฮวย อีกฝ่ายเมินหน้าใส่ แต่ปรากฏต๋องยิ้มให้กิมลั้งที่ยังทำตัวไม่ถูก พอกิมฮวยหันมาอีกทีก็เห็นว่าต๋องยิ้มให้กิมลั้ง เลยขยับตัวบังลูกสาว ต๋องเลยเอนตัวไปยิ้มให้กิมฮวยจากอีกด้าน กิมฮวยก็ขยับตามไปบังอีก ต๋องเลยเอนตัวไปอีกด้าน เลยกลายเป็นว่าทั้งต๋องทั้งกิมฮวยเอนตัวตามกันไปมาราวกับเต้นเบรกแดนซ์ พอรู้สึกตัวอีกที กิมฮวยรีบหยุดเต้น
“เฮ้ย ทำบ้าอะไรของลื้อวะ”
“แหม ก็ชั้นเป็นเด็กใหม่ก็เลยพยายามจะทำความรู้จักทุกคนไงจ๊ะ น้ากิมฮวย นั่นกิมลั้งลูกสาวน้าใช่มั้ย ชั้นต๋องนะเธอ ยินดีที่ได้รู้จัก”
กิมลั้งยังไม่เข้าใจ ว่าต๋องมาไม้ไหนกันแน่ จึงได้แค่พยักหน้าตอบ แต่กิมฮวยสกัดไว้ก่อน
“นี่ไอ้ต๋อง ลูกสาวอั๊วคงไม่ยินดีจะรู้จักลื้อหรอก”
“เอ้า ทำไมล่ะน้า”
“พวกอั๊วน่ะชอบคบคน ไม่ชอบคบหมา”
ต๋องแกล้งหันไปมองที่บั้นท้ายของตัวเอง
“เอ้า ชั้นก็ไม่มีหางนี่”
“โอ๊ย ไม่ต้องมีหางหรอก แค่ปากยื่นปากยาว ชอบเห่า ขยันกัด ลื้อก็มีคุณสมบัติของความเป็นหมาแล้ว”
“อืม ถ้าเรายังคุยกันรู้เรื่อง ชั้นกับน้าก็น่าจะเป็นประเภทเดียวกันนะ”
“นี่ลื้อหาว่าอั๊วเป็นหมาเหรอ”
“ชั้นไม่ได้พูดอะไรนะ แค่บอกว่าเราเห่า เอ๊ย เราพูดกันรู้เรื่อง”
พูดจบต๋องแอบปรายตาให้กิมลั้งก่อนจะเดินไปที่แผงของตัวเอง ในขณะที่กิมฮวยโกรธตัวสั่นคว้าปลาจะขว้างใส่ต๋อง
“ไอ้ต๋อง”
“ไม่ต้องแล้วน้า ขอบใจ เมื่อเช้าให้ชั้นมาทำกับข้าวตัวหนึ่งแล้วไงจำไม่ได้เหรอ”
กิมฮวยเลยชะงักวางปลาไว้ที่ถาดเหมือนเดิม กิมลั้งแอบขำกิมฮวยที่เจอคู่ปรับเข้าแล้ว
“โอเลี้ยง ลื้อไปซื้อโอเลี้ยงมาให้อั๊วเดี๋ยวนี้เลยอากิมลั้ง”
“ได้ม้าได้ ใจเย็นนะ รอแป๊บ”
ขณะที่กิมลั้งกำลังลุกขึ้นก็มีเสียงกรี๊ดดังขึ้นมา ทุกคนหันไปที่ต้นกำเนิดเสียงพร้อมกัน
เวลาเดียวกันคิตตี้ กับชมพู่ และสาวๆในตลาดเข้ามารุมกรี๊ดกร๊าดต๋องกันใหญ่ ต๋องยังคงสงสัยว่าทุกคนกรี๊ดตนด้วยเหตุใด
“อ๊าย นี่เหรอต๋องที่เค้าร่ำลือ หล่อนรกพังสวรรค์แตกจริงๆ”
คิตตี้พูดพร้อมยื่นกุหลาบไปเสียบที่กระเป๋าเสื้อต๋องด้วยอาการวาบหวิว
“กุหลาบฝากใจนี่มาจากร้านของคิตตี้เองนะ เวลคัมทูร่วมใจเกื้อมาร์เก็ตจ้ะ”
“ขอบใจนะ”
ต๋องเอ่ยคำขอบคุณ แต่ชมพู่รีบแทรกเข้ามาคั่นกลางระหว่างคิตตี้กับต๋องทันที พร้อมกับยื่นถุงของชุมพู่ให้ต๋องอีกต่างหาก
“ชั้น ชมพู่จ้ะพี่ต๋อง ไม่ได้ขายผลไม้ แต่ก็ตั้งใจเอามาให้ วันนี้ให้ชิมผลไม้ แต่วันหน้าจะชิมคนบ้างก็ได้นะจ๊ะพี่ต๋อง”
คิตตี้เริ่มหมั่นไส้ชมพู่
“นี่ ถามต๋องเค้าหน่อยมั้ยว่าอยากชิมชมพู่แห้งๆฝาดๆอย่างแกรึเปล่า”
“จะแห้งจะฝาดยังไงชั้นก็ยังกินได้ ไม่ใช่พวกวิปริตผิดเพศอย่างแกหรอกนังสมคิด ไม่ต้องคิดจะเอาเข้าปาก แค่เห็นก็อยากจะอ้วกแล้ว”
“อ๊าย!”
คิตตี้ ความจริงแล้วชื่อสมคิด แต่ไม่อยากให้ใครเรียกเพราะมันแมนเกินไป ชมพู่ยกมือขึ้นทำท่าจะตบกันจนต๋องต้องเข้าไปแทรกกลางแล้วจับมือของทั้งคู่ไว้
“ไม่เอาน่ะ พี่ต๋องขอ อยู่ตลาดเดียวกัน รักกันไว้ดีกว่านะ”
คิตตี้ถึงกับเสียงอ่อนระทวยเมื่อได้ยินเสียงต๋องห้าม
“ถ้าต๋องขอ คิตตี้ก็ต้องให้”
“ต่อให้พี่ต๋องขอมากกว่านี้ ชมพู่ก็ให้ได้จ้ะ”
ต๋องเนื้อหอมสาวๆรุมตอมกันทั้งตลาด
ใกล้กันกิมฮวยนั่งอยู่ที่แผงปลาตัวเอง แอบมองมาที่สาวๆรุมตอมต๋องอยู่ด้วยความหมั่นไส้
“เชอะ รุมกันเหมือนแมลงวันตอมขี้ ผู้ชายห่วยๆแบบนั้นมันมีอะไรน่าพิศวาสนักหนา “
ก่อนจะหันมาพูดกับกิมลั้งอย่างจริงจัง
“อากิมลั้ง จำไว้นะ ลื้ออย่าพลาดไปหาผัวกะลั่วๆแบบนี้มาเป็นลูกเขย อั๊วเด็ดขาด อ้อไม่ใช่ซิ ผัวน่ะลื้อไม่ต้องหา เพราะอั๊วหาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
กิมลั้งมีอารมณ์เซ้งขึ้นมาทันที
“นี่ม้ายังไม่เลิกคิดที่จะจับคู่อั๊วกับลูกชายอาเต๊กไฮ้อีกเหรอ”
“เลิกได้ยังไงกัน อั๊วกับเต็กไฮ้น่ะหมายหมั้นเรื่องนี้มาตั้งแต่ลื้อสองคนยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ”
กิมลั้งเริ่มหงุดหงิด
“เอ้า ก็ถ้าอยากดองกันนัก ตอนนั้นทำไมม้าไม่แต่งงานกับเต๊กไฮ้ไปเลยให้หมดเรื่อง”
กิมฮวยมองหน้ากิมลั้งอย่างมีความในใจที่ลูกสาวยังไม่ล่วงรู้เรื่องราวในอดีตมาก่อน
วันเดียวกัน เวลาต่อจากนั้นเคี้ยง กิมฮวย กิมลั้ง กิมแช เต๊กไฮ้และลักษณ์ สนทนากันบนโต๊ะอาหารกันอย่างออกรสชาติเพื่อเล่าเรื่องราวในอดีตให้กิมลั้งกับกิมแช น้องสาวหุ่นตุ้ยนุ้ยของกิมลั้งฟัง
“เมื่อก่อนน่ะพ่อแม่อั๊วกับพ่อแม่อากิมฮวยจับมือสาบานกันต่อหน้า บรรพบุรุษว่าถ้ามีลูกจะให้ลูกได้แต่งงานกัน แต่บังเอิญอั๊วไปทำ อาลักษณ์ท้องซะก่อน แล้วตอนนั้นอากิมฮวยก็มีอาเคี้ยงมาชอบพอ ทุกอย่างก็เลยต้องยกเลิก”
เต๊กไฮ้เริ่มเล่าด้วยอาการอาย ด้านกิมฮวยเริ่มเล่าต่อ
“แต่คำสาบานที่ทำไว้กับบรรพบุรุษเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าลูกหลานไม่ทำตามก็จะมีอันเป็นไป พ่อแม่ของเราสองคนก็เลยให้เราเลือกกันว่าจะทำตามคำสัญญา หรือจะยกยอดไปให้ลูกของเราที่จะเกิดมาไปทำแทน อั๊วกับอาเต๊กไฮ้เลยตอบทันทีแบบไม่ต้องคิดว่า...”
“ให้ลูกทำแทน..”
กิมฮวยกับเต๊กไฮ้พูดขึ้นพร้อมกัน
“แล้วเราก็ยึดถือเป็นคำมั่นสัญญาตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา”
“เฮ้อ ลูกก็เลยซวยแทนไป”
กิมลั้งพูดขึ้นมาอย่างลอยๆ
“อะไรนะอากิมลั้ง”
กิมฮวยได้ยินแว่วๆ
“เอ่อ อั๊วบอกว่า ลูกๆก็เลยต้องช่วยทำแทนไป”
“คราวนี้ลื้อเข้าใจรึยังว่าทำไมลื้อถึงต้องแต่งงานกับอาใจอัง เอ๊ย อาจาตุรงค์”
“แล้วถ้าเกิดตอนนี้เจ้กิมลั้งท้องอยู่กับผู้ชายคนอื่นล่ะ”
กิมแชเอ่ยขึ้น จนทุกคนตกใจไปกันหมด
“ฮะ”
“ไม่ใช่ๆ อั๊วแค่ติ๊งต่าง ก็เหมือนสมัยป๊ากับม้าไงที่ต่างคนต่างก็มีคนรักของตัวเองอยู่แล้ว”
กิมแชอธิบายในขณะที่กิมลั้งรีบโวย
“ซี้ซั้วต่าน่ะอากิมแช เรื่องนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วอั๊วก็ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด เพราะถ้าผิดคำสาบานกันอีกครั้ง ตระกูลของพวกเราล่มจมแน่”
เคี้ยงผู้เป็นพ่อเห็นกิมลั้งกดดัน จึงรีบแทรกขึ้น
“อั๊วว่าเราเลิกพูดเรื่องเครียดๆกันดีกว่านะ ว่าแต่เมื่อไหร่เต๊กไฮ้จะพาอาจาตุรงค์มาเจอกับอากิมลั้งซักทีล่ะ ถ้าได้ไปมาหาสู่กัน ลูกๆเราจะได้คุ้นเคยกันมากขึ้น”
“นั่นซิ เจอกันครั้งสุดท้ายก็ตอนเด็กมากแล้ว อั๊วยังจำได้เลยว่าลูกเราชอบเล่นผัวเมียกันประจำ”
กิมฮวยเสริม
“จริงด้วย ๆ แต่อั๊วรับรองว่าเล่นตอนโตนี่สนุกกว่าตอนเด็กแน่ๆอากิมลั้ง”
เต๊กไฮ้กับกิมฮวยพากันหัวเราะชอบใจกันใหญ่ในขณะที่กิมลั้งแอบหันไปมองหน้ากิมแชด้วยความรู้อายมากที่ผู้ใหญ่พูดเรื่องอะไรแบบนี้
ส่วนลักษณ์ เมียเต๊กไฮ้ รีบพูดเชียร์ลูกชายขึ้นมาทันที
“เอ่อ เอาเป็นว่า ชั้นจะรีบบอกจาตุรงค์ให้มาหาหนูกิมลั้งแล้วกัน ที่ผ่านมาอีมัวแต่คร่ำเคร่งอยู่กับการเรียนเลยไม่ได้สนเรื่องอื่น นี่อีก็เพิ่งจบ คงมีเวลามาทำความรู้จักกับหนู
กิมลั้งมากขึ้น”
ผู้ใหญ่เออออหอหมกกัน ในขณะที่กิมลั้งทำหน้าวิตกซึ่งกิมแชก็สังเกตอาการพี่สาวอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
คืนนั้น วันเดียวกัน กิมลั้งเดินเข้าห้องมายืนถอนหายใจด้วยอาการเหนื่อยหน่ายอยู่ตรงหน้าต่าง ซักครู่กิมแชก็เข้ามาในห้องนอน แล้วถามขึ้น
“เซ็งเหรอเจ้”
“มันน่าเบื่อมั้ยล่ะ เวลาที่เราทำอะไรกับชีวิตตัวเองไม่ได้เลย”
“แล้วทำไมเจ้ไม่ปฏิเสธม้าเรื่องพี่จาตุรงค์เค้าไปล่ะ”
“คนในบ้านนี้ไม่ทำตามความต้องการของม้าได้ด้วยเหรอ”
กิมแชเข้าใจพี่สาว รีบเข้าไปจับมือปลอบใจ
“หรือบางทีมันถึงเวลาที่เราต้องหัดทำตามความต้องการของตัวเองบ้างแล้วฮะเจ้”
กิมลั้งยิ้มฝืนตอบน้องสาว เพราะรู้ดีว่าคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
เวลาเดียวกัน เต๋ากำลังเฉ่งต๋องอยู่ที่บ้าน ถึงวีรกรรมที่ต๋องไปเถียงกับกิมฮวย
“อะไรนะไอ้ต๋อง นี่เอ็งไปมีเรื่องกับเจ๊กิมฮวยเหรอ”
“แล้วชั้นอยากมีเรื่องกับน้าเค้านักเนี่ย ชั้นก็ว่าไปตามความถูกต้อง ตามเหตุตามผล แต่พอมาเจอคนไม่มีเหตุผลมันก็เลยกลายเป็นความผิด”
“ยังจะมาตีฝีปาก เอ็งรู้มั้ยว่าเจ๊กิมฮวยน่ะใหญ่แค่ไหนในตลาด มีเรื่องกับเค้าก็เท่ากับปิดประตูตอกฝาโลงให้ตัวเอง”
ต๋องหันไปหาติ๋มพี่สะใภ้เพื่อการันตีความแสบของกิมฮวย
“อะไรมันจะขนาดนั้น”
“จริงต๋อง หลายคนขายของในตลาดไม่ได้เพราะไปขัดแข้งขัดขาน้ากิมฮวยแกนี่ล่ะ ที่ผ่านมาพี่ถึงต้องคอยผูกมิตรแกไว้ จะได้ไม่มีปัญหา”
“แต่ทุกอย่างที่เมียข้าปูทางไว้ต้องมาหมดไปเพียงแค่เอ็งมาขายของในวันเดียว”
เต๋าโวยขึ้น
“ลืมไปแล้วเหรอว่าพี่เรียกชั้นมาขายของเองนะ”
“ไอ้เวรนี่”
เต๋าทำท่าจะหลังมือใส่ต๋อง แต่ติ๋มเข้าห้ามไว้
“อย่าพี่”
“เอ้อ ข้าเรียกเอ็งให้มาช่วยขายของ แต่มึงไม่ใช่สมองเลยรึไงว่ามันไม่ใช่แค่เอาผักไปแลกตังค์ ไม่ว่าจะในตลาดสด ตลาดหุ้น ทำอะไร มันต้องมีพรรคพวกทั้งนั้นเว้ย ไม่รู้ล่ะ พรุ่งนี้เอ็งต้องรีบไปขอโทษเจ๊กิมฮวยทันทีที่ไปถึงตลาด เพราะมันคือทางเดียวที่จะทำให้เจ๊แกให้อภัย”
“ให้อภัยทำไม ก็ชั้นไม่ได้ทำอะไรผิด”
ต๋องข้องใจไม่หาย เต๋าโมโหคว้าของใกล้มือจะขว้างใส่ จนต๋องต้องรีบวิ่งหนีออกไป
เช้าวันใหม่...พ่อค้าแม่ค้าชาวตลาดร่วมใจเกื้อ กำลังจัดแผงของใครของตัวเองอย่างขยันขันแข็ง กิมฮวยกับกิมลั้งกำลังจัดวางของอย่างขะมักเขม้นเหมือนทุกวัน
สักครู่ต๋องเดินเข้าตลาดมา พอเห็นกิมฮวย ต๋องก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมา เหมือนต้องการจัดการให้สิ้นเรื่อง ต๋องตัดสินใจเดินมุ่งหน้าไปหากิมฮวย
ชาวตลาดเห็นต๋องเดินเข้าไปหากิมฮวย ต่างก็พากันมองด้วยอาการลุ้นระทึก
อีกมุมเลื่อนกับรักเร่ที่กำลังเข็นรถขนของอยู่ถึงกับหยุดยืนมองเหตุการณ์
กิมฮวยหันมา เห็นต๋องกำลังเดินหน้าตาจริงจังมุ่งหน้ามาที่ตนจึงหันไปจ้อง แล้วเดินอาดๆเข้าไปหาต๋อง
กิมลั้งเห็นว่าแม่กำลังเดินไปหาต๋องด้วยทีท่าพร้อมปะทะก็ตกใจ กิมฮวยกับต๋องเดินมาประจันหน้ากันที่กลางทางเดินในตลาดราวเสือกับสิงห์ ทั้งคู่เหมือนกำลังหยั่งเชิงกันและกัน
แต่แล้วจู่ๆ ต๋องก็ยกนิ้วก้อยที่แขวนถุงโอเลี้ยงยื่นไปให้กิมฮวยเพื่อจะบอกว่าดีกันนะ ผู้คนที่ลุ้นกันอยู่พากันงงเป็นไก่ตาแตกที่หวยพลิกล็อกไปเสียได้
“ชั้นซื้อมาฝากน่ะจ้ะ รู้มาว่าน้ากิมฮวยชอบ” ต๋องบอกเหมือนสำนึกผิด
กิมฮวยยังคงทำหน้านิ่ง
“ถือว่าโอเลี้ยงถุงนี้เป็นโอเลี้ยงสมานฉันท์ แทนการขอขมาจากชั้นที่เผลอไผลล่วงเกินน้ากิมฮวยไปละกันนะจ๊ะ ที่แล้วๆ มาถ้าบกพร่องผิดพลาดประการใด มันก็เป็นความบกพร่องโดยสุจริต น้ากิมฮวยคงเข้าใจนะจ๊ะ”
กิมฮวยจ้องมองถุงโอเลี้ยงด้วยอาการต่อสู้กับความอยากของตัวเอง สุดท้ายกิมฮวยก็ตัดสินใจยื่นมือไปรับถุงโอเลี้ยงมาจากนิ้วของต๋อง อีกฝ่ายยิ้มดีใจ
ชาวตลาดฮือฮากันใหญ่ด้วยความแปลกใจ แต่จู่ๆ กิมฮวยก็ค่อยๆ เทโอเลี้ยงทิ้งลงพื้นราวกับกำลังกรวดน้ำ คราวนี้ชาวตลาดที่กำลังลุ้นถึงกับร้องคราง
“ความผิดน่ะมันไม่ได้ใช้ลิควิดลบกันง่ายๆนะไอ้ต๋อง โอเลี้ยงถุงนี้ อั๊วถือว่ากรวดน้ำคว่ำขันให้สัมภเวสีอย่างลื้อละกัน นับจากวันนี้ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน อย่ามาปะปนกัน”
ชาวตลาดหันมองไปทางต๋องทันทีว่าจะโต้ตอบกิมฮวยอย่างไร เมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีไม่ดีด้วยแน่
“ไม่เป็นไรจ้ะน้ากิมฮวย เด็กอย่างชั้นได้ทำหน้าที่แสดงน้ำใจกับผู้ใหญ่ไปแล้ว แต่ถ้าผู้ใหญ่ไม่มีน้ำใจตอบกลับมาให้ คนบุญน้อยชั้นก็คงต้องทำใจ ทุกคนก็คงเห็นสิ่งที่ชั้นพยายามทำแล้ว”
ต๋องพูดจบ หันไปพูดกับชาวตลาดตาละห้อย
หลังจากหลอกด่ากิมฮวยไปแบบเนียนๆ ต๋องก็ทำเป็นเดินหงอยออกไป ชาวตลาดต่างเห็นใจต๋อง ยิ่งกิมฮวยเห็นชาวตลาดสงสารต๋องยิ่งทวีความโกรธเข้าไปอีก
เลื่อนกับรักเร่เห็นอาการจะเป็นจะตายของกิมฮวยแล้วยิ่งขำชอบใจ
“ฮ่าๆ พี่ต๋องนี่แน่จริงๆเว้ย เล่นงานเจ้าที่อย่างเจ๊กิมฮวยซะกระอัก นี่แค่มาวันสองวันนะ แต่ปล่อยระเบิดปูพรมซะจนเจ๊แกน่วม” เลื่อนพูดขึ้น
“เหนือกระดาษยังมีซาลาเปา เหนือน้ำเน่ายังมียุงลายเว้ย” รักเร่เสริม
“นี่เอ็งชมพี่ต๋องเค้าใช่มั้ยวะ” เลื่อนสงสัย
“ชมซิวะ เจ๊แกน่ะต้องเจอผู้ท้าชิงซะบ้าง ต่อไปเราคงมีคู่ขวัญคู่ใหม่ให้คนในตลาดลุ้นระทึกรายวันแน่ๆ”
บ่ายวันเดียวกัน ต๋องเดินทำหน้าเศร้าออกมาหลังเถียงกับกิมฮวย แล้วก็มาหยุดยืนเปลี่ยนทีท่ากลับมาเป็นปกติแบบเหนื่อยๆ ใจกับความเป็นกิมฮวย ทันใดนั้นกิมลั้งก็โผล่มาทันที
“มีความสุขมั้ย เล่นงานแม่ชั้นได้”
ต๋องตกใจเล็กน้อย หันกลับไปหากิมลั้งที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“ท่าทีอ่อนน้อมเจียมกะลาหัวของชั้นเมื่อตะกี้เนี่ยนะ เป็นอาการของคนที่กำลังเล่นงานใคร”
“เลิกตีสองหน้าซักที ชั้นแค่อยากจะบอกว่าถ้าไม่ชอบหน้าแม่ชั้น ต่อไปก็แค่ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกัน แค่นั้นจบ”
“นี่ ชั้นไม่ได้อยากมีปัญหากับแม่เธอหรือใครที่นี่เลยนะมีแต่คนบ้าเท่านั้นล่ะที่อยากมีศัตรู”
“เหรอ แต่เท่าที่ชั้นเห็นมันสวนทางกับที่เธอพูดคนละเรื่อง”
“กิมลั้ง ชั้นอาจจะดูแปลกคนนะ แต่เธอคงไม่เห็นว่าคนที่คิดต่าง ทำต่างจากคนอื่นเป็นคนประหลาดใช่มั้ย”
“ไม่รู้ ต้องดูเป็นคนๆ ไป”
“ขอให้เธอรอดูชั้นจริงๆ เถอะ”
“นี่เธอพูดเรื่องอะไรกันแน่”
“ชั้นก็แค่ไม่อยากให้เธอ แม่เธอ หรือคนที่นี่รีบตัดสินว่าชั้นเป็นคนยังไง ชั้นเพิ่งมาใหม่ มันก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัวกันบ้าง”
“คงไม่บ้างล่ะ ชั้นว่าต้องเยอะเลย”
“งั้นต้องปรับยังไง สงสัยเธอต้องแนะนำชั้นเป็นพิเศษแล้วมั้ง”
“มันหน้าที่อะไรของชั้น” กิมลั้งงวยงง
“เพราะเธอเป็นลูกสาวน้ากิมฮวย”
กิมลั้งยังงงอยู่
“แล้วมันเกี่ยวอะไร”
“เอ้า ก็ตอนนี้คนที่กำลังไม่เข้าใจชั้นที่สุดคือน้ากิมฮวย แล้วใครกันล่ะที่ จะทำให้เราสองคนเข้าใจกัน ถ้าไม่ใช่เธอ”
“อย่าดีกว่า แค่ตัวชั้นยังไม่เข้าใจเธอเลย”
“งั้นก็ลองทำความเข้าใจซะตั้งแต่ตอนนี้ซิ”
ต๋องมองกิมลั้งอย่างมีความหมาย อีกฝ่ายเขินแต่ทำเป็นเบือนหน้าไปทางอื่น
โปรดติดตามอ่าน “รักเกิดในตลาดสด” ต่อหน้า 3
“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 1 (ต่อ)
หลังจากนั้น ต๋องถือโอกาสเดินเล่นสำรวจตลาดเล่น ระหว่างนั้นก็ไปเจอคนใบ้ขายตั๊กแตนสานต๋องเลยช่วยอุดหนุน ต๋องกำลังเดินชื่นชมตั๊กแตนสานในมือมาเรื่อย จนถึงแถวหน้าร้านข้าวแกงป้าพิณ ก็เห็นว่าร้านข้างๆ กำลังเอาโต๊ะ เก้าอี้ออกมากางวางล้ำหน้าร้านป้าพิณ
พอป้าพิณกับเขียวหวานเดินออกมาเห็น ก็เข้าไปโวยใหญ่ แล้วผลักโต๊ะเก้าอี้กลับเข้าไปในเขตของอีกร้าน ปรากฏว่าฝ่ายตรงข้ามก็ชี้ไปที่ร่มที่ก้านอยู่ในเขตป้าพิณ แต่ปีกร่มล้ำมาในเขตตน ก็เลยถอนร่มของป้าพิณขว้างทิ้งบ้าง ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันลั่น ต๋องเห็นแล้วยังงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า
ต๋องเดินต่อไปเรื่อยๆ และก่อนจะถึงร้านเสริมสวยของชมพู่กับน้อยหน่า ก็เห็นเจ้าของร้าน ร้านหนึ่งกำลังกวาดขยะหน้าร้านตัวเองไปที่ร้านข้างๆ แล้วเดินกลับเข้าร้านไป พอเจ้าของร้านที่อยู่ติดกันออกจากร้านมา เห็นขยะเกลื่อนอยู่ก็เลยกวาดไปให้พ้นๆ หน้าร้านตัวเองแล้วก็ไปนั่งกางหนังสือพิมพ์อ่านหน้าตาเฉย
ครู่ต่อมาน้อยหน่ากับชมพู่เปิดประตูมาส่งลูกค้าออกจากร้าน พอเห็นขยะปลิวเกลื่อนก็โวยใหญ่ว่าใครทำ เจ้าของร้านข้างๆ จึงรีบยกหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่ขึ้นบังหน้าตัวเอง ทำเป็นไม่รับรู้ ต๋องเห็นแล้วส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมการเอารัดเอาเปรียบของคนในตลาดบางกลุ่ม
บ่ายวันนั้น ต๋องเดินด้วยความเซ็ง แต่แล้วก็หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงดนตรี ต๋องมองหาต้นเสียงจึงเห็นว่าพวกเลื่อนกับรักเร่กำลังซ้อมดนตรีกันอยู่ ต๋องเห็นแล้วยิ้มรีบเดินไปหา แล้วตะโกนดังไปแต่ไกล
“เฮ้ ขอแจมด้วยคนได้มั้ย”
พวกเลื่อนรักเร่หันกันไปมองต๋อง แต่ไม่นาน ต๋อง เลื่อน และรักเร่เล่นดนตรีกันอย่างเมามัน ชนิดที่ลีลาการเล่นดนตรีของต๋องทำอาเลื่อนกับรักเร่ และคณะถึงกับอึ้ง พอเล่นดนตรีจบเพลง ทุกคนปรบมือให้ต๋องกันใหญ่
“สุดยอดเลยพี่ต๋อง ไม่ธรรมดาเลยนะพี่เนี่ย” เลื่อนเอ่ยชม
“ไม่ใช่ฝีปากดีอย่างเดียว ฝีมือเล่นดนตรียังเข้าขั้นอีก” รักเร่เสริมเลื่อน
“ฝีปากดี” ต๋องถามด้วยความสงสัย
“รักเร่มันหมายถึงที่พี่กล้าปะฉะดะกับเจ๊กิมฮวยไง พี่ต๋องรู้มั้ยว่าปกติน่ะไม่มีใครกล้าเล่นกับเจ๊แกหรอกนะ”
“ข้าน่ะไม่ได้อะไรหรอกนะเว้ย แค่เป็นคนตรงไปหน่อยเลยดูเหมือนระราน คนนั้นคนนี้ เอ้อ ว่าแต่จะรังเกียจกันมั้ยถ้าข้าจะขอแจมกับวงพวกเอ็งด้วยบ่อยๆ” ต๋องอธิบาย
“โอ๊ย ถือว่าเป็นเกียรติของพวกชั้นมากกว่าพี่ ฝีมือระดับนี้น่ะต้องมาเป็นหัวหน้าวงพวกชั้นแล้ว พี่จะได้ถ่ายทอดวิทยายุทธให้พวกชั้นบ้าง”
“เฮ้ย ชมกันซะจนตูดข้าลอยแล้ว เอ็งคิดอะไรกับข้ารึเปล่าเนี่ยรักเร่”
“เอางี้มั้ยพี่ต๋อง พี่มาเป็นหัวหน้าวงให้พวกชั้นอย่างที่ไอ้รักเร่มันว่าซะเลยพี่ก็ได้เล่นดนตรีเอามัน ส่วนพวกชั้นได้วิชา”
“งั้นก็ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่าได้ ข้ามันคนใจง่าย พวกเอ็งว่าไงก็ว่าตาม” ลูกวงเฮกันใหญ่
“เอางี้ ไหนๆก็ร่วมหัวจมท้ายกันแล้ว เดี๋ยวไปร่วมน้ำสาบานกันที่ร้านกาแฟอาโกกันหน่อยดีกว่าเว้ย ข้าเลี้ยงเอง”
“เฮ้”
สาวกต๋องส่งเสียงดังชอบใจกันใหญ่กับหัวหน้าวงดนตรีหน้าหล่อคนใหม่
ต่อจากนั้น ทุกคนไปฉลองกันที่ร้านอาโก ทั้งหมดยกแก้วโอเลี้ยง กาแฟเย็น ชาเย็นขึ้นชนกันอย่างสนุกสนาน
“แด่มิตรภาพของพวกเราเว้ย” ต๋องเอ่ยเสียงดังขึ้น
“แล้วก็แด่ลูกพี่คนใหม่ของพวกเราด้วย”
เลื่อนตอบกลับทันที ทั้งหมดดื่มแก้วใครแก้วมัน ต๋องกวาดตามองตลาดอย่างพิจารณา
“เอ้อนี่ ข้ายังไม่ค่อยรู้จักคนที่นี่ดีเท่าไหร่เลย พวกเอ็งช่วยเล่าให้ฟัง หน่อยได้มั้ยวะ ว่าใครเป็นใครยังไงบ้าง” ต๋องเอ่ยขึ้น รักเร่รับอาสาเล่าเรื่องตลาดร่วมใจเกื้อให้ฟัง
“ได้ซิพี่ งั้นเริ่มที่เจ้าของตลาดก่อนแล้วกัน คุณนายสดศรีสาวใหญ่หัวใจเปลี่ยว มีลูกสาวคนเดียวชื่อณดา ใครๆก็รู้ว่าคุณนาย สดศรีเค็มขนาดไหน...”
รักเร่อธิบายจนเห็นภาพสดศรีเดินเข้ามาตลาดแล้วพวกพ่อค้าแม่ค้าพร้อมใจกันหลบอยู่หลังแผงกันพรึ่บพรั่บ สดศรีกวาดตามองหาเป้าหมายใหญ่ รักเร่เล่าต่อ
“วันไหนไฟไม่มาน้ำไม่ไหลอย่าได้คิดถามหา แต่ถึงเวลาเก็บค่าเช่าเมื่อไหร่แกถึงตลาดก่อนพระบิณฑบาตทุกที”
รักเร่เล่าถึงวีรกรรมสดศรีว่าถ้าไม่ได้เก็บค่าเช่า หรือไม่จ่ายเงิน สดศรีจะลากรถเข็นที่มีเข่งวางอยู่มาแล้วหยิบของต่างๆที่วางขายตามแผงต่างๆลงเข่งอย่างเพลิดเพลินเจริญใจ รักเร่เสริมสรรพคุณสดศรีให้ต๋องฟังต่อ
“เรื่องทวงค่าเช่าไม่เคยเป็นปัญหา เพราะแกหาวิธีเรียกเก็บเงินได้ทุกครั้ง”
พอพวกแม่ค้าเห็นว่าข้าวของของตัวเองถูกสดศรีกวาดลงเข่งจึงรีบออกจากที่ซ่อนแล้วพุ่งไปหา สดศรียิ้มแบมือออกไป พวกพ่อค้าแม่ค้ารีบควักค่าเช่าจ่ายทันที
ที่ร้านกาแฟยังคงเล่าถึงตลาดร่วมใจเกื้อต่อ เลื่อนรีบแนะนำคนต่อไป
“คราวนี้เป็นคิวของคู่ปรับพี่บ้างดีกว่า เจ๊กิมฮวย”
ภาพกิมฮวยซึ่งกำลังขอดเกล็ดปลาอย่างช่ำชองอยู่ที่แผง เลื่อนเล่าต่อว่า
“เจ๊กิมฮวยแกขายของที่ตลาดนี่มาตั้งแต่ยุคบุกเบิก ก็เลยได้พบรักกับเฮียเคี้ยงสามีที่นี่ แต่บางทีชั้นก็สับสนว่าระหว่างเจ๊กิมฮวยกับเฮียเคี้ยง ใครเป็นผัวใครเป็นเมียกันแน่”
นอกจากขอดเกล็ดปลาเต็มหน้า เคี้ยงมักเป็นช้างเท้าหลังคอยนวดให้เมียอย่างกิมฮวยแต่เคี้ยงนวดไม่ตรงจุด กิมฮวยหันไปตวาดใส่บางทีกิมฮวยก็ทะเลาะกับชายฉกรรจ์แบบไม่กลัวใคร เลื่อนเล่าต่อ
“ด้วยความที่แกไม่เคยกลัวใครแม้แต่ผัว เจ๊ก็พลอยติดนิสัยชอบออกฤทธิ์ออกเดชกับคนอื่นไปด้วย เกิดมีใครขัดอกขัดใจแกเมื่อไหร่ ก็บอกได้คำเดียวว่าตัวใครตัวมัน”
เลื่อนเล่าถึงวีรกรรมของกิมฮวยที่คว้าหอยคว้าปลาอยู่ที่แผงขว้างใส่คู่กรณีราวนินจาจนคู่กรณีกระเจิง ไม่ใช่คู่กรณีของกิมฮวยเท่านั้นที่บาดเจ็บ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าลูกค้าที่อยู่ใกล้ๆพากันโอดโอยเพราะโดนลูกหลงจากหอยที่กิมฮวยขว้างจนเลือดตกยางออกไปตามๆกัน
“แต่เห็นแกแสบๆอย่างนี้ แกก็ทำเรื่องดีๆไว้ให้ตลาดเหมือนกันนะพี่”
เลื่อนเล่าต่อ แต่รักเร่สงสัยว่ากิมฮวยทำความดีอะไรไว้
“เฮ้ย มีด้วยเหรอวะไอ้เลื่อน”
“เอ้า ก็เพราะเจ๊กิมฮวยทำให้สาวสวยอย่างกิมลั้งเกิดมา ตลาดเฉาๆของเราถึงได้มีอาหารตาอาหารใจให้มองดูกันอยู่ทุกวันนี้ไงละวะ”
ต๋องทำหน้ากรุ้มกริ่มคิดตามกับคำพูดของเลื่อนเรื่องกิมลั้ง พลางจินตนาการถึงกิมลั้งด้วยความน่ารัก จนเลื่อนต้องเรียกเตือนสติ
“พี่ต๋อง พี่ต๋อง เป็นอะไร”
ต๋องสะดุ้ง
“อ๋อ ข้าแค่คิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ เอ ว่าแต่เจ๊กิมฮวยนี่เค้าสนิทกับเขียงหมูไม่ใช่เหรอ เต๊ก เต๊ก...”
“อ๋อ เต๊กไฮ้”
รักเร่เล่าเสริม จนเห็นลีลาการแล่เนื้อหมูของเต๊กไฮ้สุดชำนาญ โอเว่อท่ามากจนบางครั้งมีดเกือบจะทิ่มหัวเมียทีเดียว
“เต๊กไฮ้นี่เค้ามือแล่ประจำตลาด เรียกว่ากำมีดออกมาจากท้องแม่เลย ก็ว่าได้ แกมีเมียเป็นคนไทยชื่อลักษณ์ ก็ช่วยกันขายหมูอยู่ที่แผงน่ะล่ะเต๊กไฮ้กับเจ๊กิมฮวยเนี่ยนิสัยไม่ได้ทิ้งกันเท่าไหร่ถึงได้ซี้กันไงพี่ แต่ถ้าจะให้แก๊งนี้ครบจริงๆ ต้องมีคนนี้ด้วย น้าจะเด็ด”
“น้าจะเด็ดเค้าเปิดร้านโชว์ห่วยอยู่ในตลาดเรานี่ล่ะ แต่วันๆไม่ค่อยได้ขายของเท่าไหร่เพราะง่วนอยู่กับอาชีพเสริมที่กลายเป็นอาชีพหลักไปแล้ว”
จะเด็ดชอบใส่ชุดขาวใบ้หวยให้กับชาวบ้านอยู่ด้วยลีลาสุดๆ แต่ด้วยความท่ามากจึงล้มลงผ้าถุงเปิด ชาวบ้านเห็นจุ๊ดจู๋ของจะเด็ดเลยตีเลขเด็ดกันใหญ่
“แกทำสำนักทรงอยู่หลังร้าน จะผัวทิ้ง หญิงไม่รัก สักยันต์กันภัย เป็นไข้เป็นเอดส์ หาเลขเด็ด แกจัดให้ได้หมด”
“ทั้งเจ๊กิมฮวย เต๊กไฮ้ น้าจะเด็ด ก็เหมือนเทพสามฤดูของตลาดเรานี่ล่ะ ชี้เป็นชี้ตายให้ใครต่อใครได้” รักเร่ว่า
“ความจริงก็ไม่ได้มีใครมอบหมายตำแหน่งอะไรให้พวกแกหรอกนะ แต่ถ้ามีปัญหากับแก๊งนี้เมื่อไหร่ ก็เตรียมย้ายสำมะโนครัวได้เลย”
เลื่อนสรุปให้ต๋องฟัง จนอีกฝ่ายเริ่มกังวล
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“งั้นมาพูดเรื่องเบาๆบ้างดีกว่าเดี๋ยวพี่เครียด ถ้าจะถามหาเรื่องตลกคอมมาดี้ ชั้นแนะนำคู่นี้เลย นังคิตตี้กะอีชมพู่”
เจ้าของแผงดอกไม้สวยงามของคิตตี้ แต่จู่ๆคิตตี้ที่แต่งหน้าเข้มมากก็โผล่หน้าขึ้นมาที่หลังพุ่มดอกไม้ดูน่ากลัวมาก แต่โผล่หัวมาไม่เท่าไหร่พวงหรีดที่แขวนอยู่ด้านบนก็ร่วงมาสวมหัวคิตตี้ คิตตี้รีบเอาพวงรีดออกจากหัวกลัวไม่เป็นมงคล เลื่อนรีบเล่าต่อ
“คิตตี้ชื่อเดิมคือสมคิด ที่จริงมันมาจีบผู้ชายที่เป็นเจ้าของแผงดอกไม้ที่มันขายอยู่นี่ล่ะ แต่มันก็โดนเค้าปอกลอกจนหมดตัว ผู้ชายคนนั้นหนีไป ทิ้งหนี้กองใหญ่ให้มันไว้ มันเลยต้องขายดอกไม้ใช้หนี้แทนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”
คนต่อไปคือชมพู่ น้องสาวในร้านเสริมสวย รักเร่รีบเล่าต่อ
“นังชมพู่มันเป็นน้องของพี่น้อยหน่าเจ้าของร้านเสริมสวย ก็เลยต้องช่วยพี่สาวทำงานอยู่ที่นั่น มันชอบบ่นว่าวันๆทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เวลาชั้นเข็นของ ผ่านไปที่ร้านทีไร เห็นมันมัวแต่เสริมสวยให้ตัวเองทุกที”
“ปกติคิตตี้กับชมพู่น่ะเป็นตัวขำขัน อารมณ์ดีประจำตลาด”
แต่ทันทีที่คิตตี้กับชมพู่หันมาเจอกัน บรรยากาศมาคุ
“แต่ก็แปลก ถ้าสองคนนี้เจอหน้ากันเมื่อไหร่เป็นได้มีเรื่องกันแทบจะทุกที”
รักเร่เล่าอย่างเมามัน
“นิสัยของทั้งคู่ผิดกันสุดขั้ว จะเหมือนกันก็เรื่องเดียวเท่านั้นคือ บ้าผู้ชาย”
“ร้านต่อไปที่ชั้นจะแนะนำให้พี่รู้จักนี่ถือว่าสำคัญมากเพราะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของคนในตลาดเลย ร้านข้าวแกงป้าพิณ ฝีมือทำกับข้าวของป้าพิณนี่ชั้นขอบอกว่าอร่อยในสามโลก กินชาตินี้รสชาติติดปากไปถึงชาติหน้า ที่สำคัญใครก็ไม่มีวันทำอาหารรสเดียวกับแกได้เด็ดขาด เพราะแกเก็บสูตรไว้เป็นความลับดำมืด หน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะมีโอกาสรู้สูตรลับ แม้แต่นังเขียวหวานลูกมือของแกเอง
เขียวหวานลูกน้องป้าพิณชอบแอบดูว่าป้าพิณปรุงอาหารอย่างไรแล้วแอบจดใหญ่ แต่พอป้าพิณหันไปเห็นเข้าเลยเอาทัพพีตีหัวเขียวหวาน
เลื่อนเล่าต่อถึงคำมูลพ่อค้าส้มตำ หนุ่มอีสานในชุดฮิปฮอปชอบควงสากตำส้มตำไปร้องเพลงฮิปฮอปไป
“แต่ถ้าวันไหนพี่เปรี้ยวปากอยากกินแซ่บๆ ก็ต้องส้มตำของไอ้คำมูล ที่ชอบพูดภาษาอังกฤษกับลูกค้า เพราะตักส้มตำให้ลูกค้าชิมแล้วถามว่า “วอท แซ่บ แมน ?” ลูกค้าก็จะยกนิ้วโป้งว่าแซ่บกันทั่วหน้า และคำมูลก็แอบชอบเขียนหวาน เด็กร้านข้าวแกงป้าพิณ ตำส้มตำไปมองเขียวหวานไปทุกที
“รถเข็นคำมูลมันหาไม่อยากหรอก แค่ดูว่านังเขียวหวานอยู่ไหน รถมันก็อยู่ตรงนั้น”
“ฝีมือไอ้นี่นี่ใช้ได้เลยนะพี่ แต่คำมูลเคยบอกว่าจะเปลี่ยนใจไปขายสเต็ก มันว่าหนังหน้ามันไม่เข้ากับส้มตำกับครก ชั้นก็เลยซื้อกระจกให้ไปบาน ตั้งแต่นั้นมันก็ไม่พูดถึงเรื่องขายสเต็กอีกเลย”
เลื่อนกับรักเร่เล่าไปเรื่อยๆ ต๋องทำหน้าเหมือนใช้ความคิดอะไรบางอย่าง จนเลื่อนกับรักเร่สังเกตเห็น
“เป็นอะไรรึเปล่าพี่ต๋อง”
“ข้ากำลังคิดน่ะว่าทำไมตลาดเราคนถึงได้เดินน้อยนัก”
“เมื่อก่อนก็ไม่ขนาดนี้หรอกพี่ แต่ตั้งแต่ห้างเวรี่แฮปปี้มาเปิดใหม่ข้างหน้านี่ คนก็บางลงไปถนัดตาเลย” รักเร่รีบตอบ
“แต่ข้าว่าไม่เกี่ยวกับห้างว่ะ”
“ไม่เกี่ยวได้ไงพี่ ก็พวกลูกค้าน่ะหนีไปเข้าห้างกันเห็นๆ”
“ถ้าที่นี่ดีจริงลูกค้าเค้าจะหนีไปทำไมวะ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ห้าง แต่มันอยู่ที่ว่าตลาดมีข้อบกพร่องยังไง มันก็ต้องแก้ไขตรงนั้นเว้ย”
“อ๋อ คนที่นี่เค้าก็เตรียมการเรื่องแก้ไขไว้แล้วล่ะพี่”
“จริงเหรอ เค้าจะทำอะไรกันวะ” ต๋องยิ้มแล้วถามอย่างสงสัย
“เห็นว่าอาทิตย์หน้าเค้าจะทำพิธีแก้เคล็ดล้างซวยให้ตลาดกันนะ”
ต๋องได้ยินถึงกับร้องเสียงหลง “ฮะ!”
เย็นนั้นที่มุมหนึ่งในตลาด ยินเสียงดังกังวานของระฆังที่ตีให้จังหวะ คลอขับรับกับเสียงเคาะกะลาฟังแล้วรู้สึกเข้มขลัง ขอบฟ้าสีแดงดูอึมครึมเพราะใกล้มืดเต็มที่ บรรยากาศโดยรอบของตลาดยามนี้ราวกับหลุมดำที่ถูกห่อหุ้มด้วย ควันธูปหนาราวกับสายหมอก
ชาวตลาดร่วมใจเกื้อ แต่ละคนมีสีหน้าและแววตารอคอยความหวัง หมู่มวลกำลังรวมตัวกันอยู่อย่างพร้อมเพรียง โดยมีบะหมี่ลูกทีมของจะเด็ดคอยตีระฆังเล็กๆ ใบหนึ่ง ส่วนเกี๊ยวก็เคาะกะลาไปมา ระหว่างรอการทำพิธีของจะเด็ดที่เวลานี้เนื้อตัวสั่นพรึ่บๆ และกำลังส่งเสียงครางครืดคราดราวกับจะแปลงร่าง
ชาวตลาดเห็นอาการของจะเด็ดต่างก็ฮือฮากันยกใหญ่ กิมฮวยตาลุกวาว อุทานออกมา
“เจ้าพ่อสมิงดำลงประทับแล้ว”
จะเด็ดเงยหน้าเชิดขึ้นด้วยแววตาและทีท่าที่เปลี่ยนไป น้ำเสียงแก่แต่ดูกังวาน มีอำนาจดุดันชาวบ้านก้มลงกราบจะเด็ดตัวสั่นงันงก แต่จู่ๆ จะเด็ดก็เอามือปัดเครื่องเซ่นไหว้ลงพื้นอย่างหงุดหงิดโมโห ผู้คนพากันหลบกระเจิง จะเด็ดในร่างทรงชี้กราดไปทั่วทุกตัวคน
“บังอาจ พวกเอ็งเรียกข้ามาทำไมตอนนี้ รู้ๆอยู่ว่าเป็นช่วงจำศีลของข้า เฮ้ย”
จะเด็ดเกรี้ยวกราดด้วยอาการโมโห พร้อมกับหันไปทำลายข้าวของอีกรอบ จนเกี๊ยวต้องรีบเทเหล้าจากไหใส่ถ้วยตะไลแล้วส่งซิกให้กิมฮวยรีบเอาไปถวายเจ้าพ่อสมิงดำ
จังหวะที่จะเด็ดหันหลังกลับมา ก็เห็นถ้วยเหล้าจ่ออยู่ตรงหน้าแล้ว จะเด็ดชะงักแล้วรีบคว้าถ้วยมาซดเสียงดัง
“ขอโทษด้วยค่ะท่าน ลูกช้างรอไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าไม่รีบอัญเชิญท่านมาตอนนี้ คงได้พากันซี้หมู่แหงๆ” กิมฮวยอารัมภบท
“จริงครับท่าน ตอนนี้ตลาดร่วมใจเกื้อของเราน่ะซบเซามาก ลูกค้าหดหาย คนขายหดหู่ ยิ่งมีห้างใหม่มาเปิดข้างหน้า ตลาดเราก็แทบจะกลายเป็นป่าช้าแล้ว”
เต๊กไฮ้รีบเสริม
“เรื่องแบบนี้แล้วแต่เวรแต่กรรมเว้ย ใครทำบุญมากก็ได้มาก ทำบุญน้อยก็ได้น้อย” จะเด็ดในคราบเจ้าพ่อสมิงดำสาธก
ชาวตลาดฟังแล้วต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แล้วรีบควักเงินใส่พานที่อยู่ตรงหน้าจะเด็ดกันให้ควัก จะเด็ดทำทีเหมือนไม่สนใจเงิน
“แล้วเอ็งจะให้ข้าช่วยอะไร” จะเด็ดถาม
“ก็ช่วยปัดรังควานอาเพศที่เกิดขึ้นกับที่นี่ไงคะ”
คิตตี้รีบเอ่ยขึ้น หวังให้เจ้าพ่อช่วยหาทางออกให้ชาวตลาด
“เอ็งน่ะเหรอ” จะเด็ดถาม
“ไม่ใช่ค่ะ อย่างหนูน่ะลักเพศ แต่อาเพศน่ะหมายถึงเสนียดจัญไรที่มันครอบคลุมตลาดเราอยู่ ก็มีแต่ท่านเท่านั้นที่ช่วยเราได้” คิตตี้สาธยาย
จะเด็ดตวัดสายตาไปที่ชาวตลาด ซึ่งต่างเลื่อมใสสมยอมพร้อมใจกันยกมือไหว้จะเด็ดกันทั่วหน้า ส่งเสียงประสานเซ็งแซ่
“ช่วยพวกเราด้วย...”
เวลาเดียวกัน ไม่ไกลจากสำนักของจะเด็ดมากนัก ต๋องกับพรรคพวกที่ซ้อมดนตรีกันอยู่ เหลือบตามองไปที่ปะรำพิธี พร้อมกับส่งเสียงดังร้องเพลงฮิปฮอป ซึ่งมีเนื้อหาเสียดสีชาวตลาดที่กำลังทำเรื่องไร้สาระกันอยู่ ต๋องร้องท่อนแร็พแบบใส่อารมณ์ผสมอินเนอร์เต็มที่
“ไม่ช่วยตัวเองแล้วใครจะช่วย ไม่ช่วยตัวเองแล้วใครจะช่วย อยากมีเงินทองร่ำรวย ก็ต้องด้วยตัวเองไง”
ในขณะเดียวกันที่หน้าปะรำพิธี จะเด็ดกำลังทำน้ำมนต์ โดยหยดเทียนใส่บาตรพร้อมกับร่ายคาถา
“โอม ปะติโถ ปะติถัง”
จังหวะที่จะเด็ดจะหยดเทียนลงบาตร ชาวตลาดแอบยืดคอดูเพราะหวังจะได้เลขเด็ดไปแทงหวย ส่วน ต๋อง เลื่อน และรักเร่ หมุนเร่งวอลลุ่มเครื่องขยายเสียงให้ดังขึ้นเต็มที่
“ไม่มีใครได้ไปทางลัด บนบาน หมอบคลาน ปัดเดี๋ยวปั๊ด”
เสียงเพลงดังกลบ จนจะเด็ดเริ่มเสียสมาธิ ท่องคาถาผิดๆ ถูกๆ ชาวตลาดเริ่มมองไปที่ต้นเสียงคือต๋องกับเพื่อนๆ ต๋องยื่นหน้ายื่นตาร้องเพลงส่งเสียงมาทางปะรำ และยิ่งแผดเสียงร้องดังขึ้นไปอีก
“เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวอ่อนหัด รอฟ้าฝนแล้วได้ผลมั้ยฮ้าฟ มัวงอไม้งอมือ ไม่ยืนหยัด บอกได้เลยครับคงต้องซวยกันต่อไป โอมเพี้ยง เพี้ยงๆ”
ต๋องทำท่าอธิษฐานแล้วหันไปทางปะรำพิธี พอจะเด็ดท่องคาถาผิดมากๆ เริ่มสั่นด้วยความโกรธ หมู่มวลชาวตลาดต่างพากันตกใจกลัวเจ้าพ่อสมิงดำแผลงฤทธิ์ กิมฮวยหันไปที่ต้นตอของเสียง
“ไอ้เวรต๋อง”
ว่าแล้วกิมฮวยลุกพรวดไปหาต๋องทันควัน โดยมีเคี้ยงตามไปติดๆ เพราะกลัวเมียจะทำมิดีมิร้าย
กิมฮวยพุ่งทะยานมาถึงต๋องและคณะ เคี้ยงรีบคว้าแขนกิมฮวยเมียรักและเคารพไว้
“ลื้อจะทำอะไร ใจเย็นๆ น่ะอากิมฮวย ถ้าเก๊กซิมก็กินเก๊กฮวยก่อนก็ได้”
กิมฮวยทำตาถลนใส่เคี้ยงทันที
“เฮียเคี้ยง ถ้าลื้ออยากซวยก็เอาเก๊กฮวยมา”
เคี้ยงหน้าเสียรีบปล่อยมือ กิมฮวยรีบพุ่งไปกระชากไมค์ที่ปักอยู่ข้างหน้าต๋อง อีกฝ่ายทำหน้าไขสือ
“เอ้า น้ากิมฮวย อยากร้องเพลงเหรอ เอาเพลงไรเดี๋ยวต๋องจัดให้”
“จัดให้เตี่ยลื้อเหอะ”
ต๋องตีหน้าซื่อ “เตี่ยลื้อเหรอ ล่ายๆ เตี่ยน้ากิมฮวยต้องชอบเพลงนี้แน่ เถียน มีมี่”
จากนั้นต๋องก็ร้องครวญครางไปตามเรื่อง โดยมีเลื่อนกับรักเร่เล่นดนตรีตาม กิมฮวยของขึ้นแทบคลั่ง
“อ๊าย ไอ้ต๋อง นี่ลื้อกวนประสาทอั๊วใช่มั้ย แล้วมาแหกปากร้องเพลงตอนนี้ทำไม เห็นมั้ยว่าเค้ากำลังทำอะไรกันอยู่”
“แหม ชั้นก็ซ้อมวงตามปกติของชั้นแบบนี้ ตรงนี้ แถวนี้ประจำ น้าก็รู้ก็เห็นว่าตรงนั้น แถวนั้น ผู้คนดูเครียด ชั้นก็ร้องเพลงเผื่อแผ่ไปให้ได้ยิน ยังไม่ดีอีก”
“ดีกะผีน่ะซิ เจ้าพ่อท่านกำลังทำพิธีเสริมมงคลให้ตลาดเราอยู่ เจอเสียงเห่าหอนของลื้อเข้าไป สมาธิท่านก็กระเจิงกันพอดี”
“แน่ใจเหรอว่าเสริมมงคล ชั้นว่าเสริมอัปมงคลมากกว่า เจ้าอะไรสั่นอย่างกะถูกหมาบ้ากัด แถมพูดกระโชกโฮกฮากเหมือนจะงับใคร แต่คนร่วมพิธีก็บ้ากว่า เพราะยกมือไหว้คนบ้ากันอยู่นั่น”
เจอต๋องสวนกลับ กิมฮวยโกรธจนพูดไม่ออก
“ไอ้...ไอ้....ไอ้..” เคี้ยงนึกว่ากิมฮวยลืมชื่อต๋องเลยรีบเติมให้
“ต๋อง...” กิมฮวยหันขวับไปที่เคี้ยงอย่างหงุดหงิด
“อั๊วรู้แล้วว่ามันชื่ออะไร นี่ไอ้ต๋อง” แล้วหันมาใส่ต๋องอีกรอบ “ลื้อรู้มั้ยว่าลื้อกำลังพูดจาลบหลู่เจ้าพ่อสมิงดำอยู่ ตลาดมันจะไม่เจริญก็เพราะคนอย่างลื้อนี่ล่ะ ออกไปให้พ้นแถวนี้เลยนะ ไม่งั้นอั๊วได้แพ่นกะบาลลื้อแน่”
“อะไรกันน้ากิมฮวย ชั้นอุตส่าห์เอาความบันเทิงมามอบให้ทุกคนแท้” ต๋องแถต่อ
กิมฮวยถือไม้กวาดแกมขู่ “ออกไป”
ต๋องกับพรรคพวกรีบเก็บอุปกรณ์ออกไปทันทีแบบไม่มีต่อรอง
จากนั้นกิมฮวยก็กลับไปร่วมพิธีต่อ เป็นจังหวะที่จะเด็ดกำลังพรมน้ำมนต์ให้ชาวตลาดที่แย่งกันรับราวกับจะได้น้ำทิพย์
กิมฮวยยิ้มกริ่มดูจะมีความสุขมากเมื่อปราศจากการรบกวนของต๋อง
เย็นนั้น ต๋องกับเพื่อนๆกำลังปรับจูนเครื่องดนตรีกันอยู่ที่อีกมุมของตลาด บรรดาลูกน้องเห็นลูกพี่ต๋องหน้ามุ่ยจึงถามขึ้น
“พี่ต๋อง ยังอารมณ์ค้างอยู่อีกเหรอ” รักเร่ถามขึ้น ต๋องยังทำหน้ามึนไม่ตอบ เลื่อนจึงพูดขึ้น
“ก็แหม นะ รู้ว่าเจ๊กิมฮวยแกเหม็นขี้หน้าพี่อยู่ ก็ยังหาเรื่องใส่ตัวอีก ตั้งใจเปิดลำโพงเสียงดังขนาดนั้นชั้นว่าพี่เดินเข้าไปพังพิธีซะดีกว่า”
“ก็กะจะทำเหมือนกันถ้าไม่กลัวโดนประชาทัณฑ์ซะก่อน ไม่เข้าใจเลยว่าคนที่นี่คิดอะไรกันอยู่ เชื่อกันเข้าไปได้ เจ้าพ่อสมันดำ”
“สมิงดำ!” เลื่อนกับรักเร่ค้านพร้อมกัน
“เออ นั่นล่ะ มัวดูปาหี่สั่นทนสั่นนานของเจ้าพ่อ แย่งกันรับน้ำมนต์อย่างกะเป็นน้ำวิเศษ นี่เหรอวิธีแก้ปัญหาชีวิต”
“แหมพี่ ก็คนมันทุกข์น่ะ ถ้าหาทางออกไม่ได้ มีอะไรยึดไว้ให้อุ่นใจก็ยังดี” เลื่อนอธิบาย
“เลื่อน ทางออกน่ะมันมี อยู่ที่ว่าเราอยากจะเดินไปเจอมันรึเปล่า” ต๋องพูดเป็นงานเป็นการ
“ใครจะไม่อยากล่ะพี่ แต่มันไม่มาให้เจอมากกว่า” รักเร่ย้อนขึ้นมา
“เราจะเจอมันได้ก็ต่อเมื่อเปลี่ยนวิธีคิดเว้ยไอ้รักเร่”
“ยังไง”
เลื่อนกับรักเร่มองหน้ากันงง
“ก็ถ้าเปลี่ยนความคิด ชีวิตมันก็จะเปลี่ยน”
“ยังไง ยังงง”
“อย่างแรกเลยนะ ต้องไม่นอนรอโชคชะตา หวังพึ่งเจ้าบ้าบอที่ไหนให้มาช่วยเสกคนเข้าตลาด ขั้นต่อไป ทุกคนก็ต้องหัดคิดถึงตัวเองให้น้อยลง จะได้คิดถึงส่วนรวมให้มากขึ้น แต่ขั้นตอนนี้คงจะยากหน่อย”
“ทำไมอ่ะพี่” เลื่อนถามต่อ ต๋องแหงนหน้ามองอะไรบางอย่าง
“แค่ป้ายชื่อตลาด ขนาดสระอือหายไปยังไม่คิดจะช่วยกันแก้ไขเลย”
ต๋องหันไปที่ป้ายตลาดซึ่งอ่านได้ว่า “ตลาดร่วมใจเก้อ” และป้ายมีแต่คราบสกปรกของสระอือที่เหลือไว้เป็นร่องรอย
“ตลาดร่วมใจเกื้อ กลายเป็น “ร่วมใจเก้อ” ก็มัวแต่รวมตัวกันง่วนกับเรื่องงมงาย ทำอะไรมันถึงได้เก้อ”
ต๋องพูดไม่ทันขาดคำจู่ๆ ตัว อ.อ่าง ก็ดันน็อตหลุดห้อยต่องแต่งกลายเป็น “ตลาดร่วมใจเก้...”
“เห็นแล้วก็หมดแรง ซ้อมเพลงเติมไฟกันดีกว่าเว้ยเฮ้ย”
ต๋องหันไปเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ ต่อ บรรเลงเพลงอย่างออกรสชาติเพื่อคลายเครียดกับสถานการณ์ตลาดร่วมใจเกื้อในเวลานี้
“รักเกิดในตลาดสด” ตอนที่ 1 (ต่อ)
ส่วนที่บริเวณปะรำพิธีเวลานั้น ชาวตลาดกำลังจดจ้องมองจะเด็ดที่ตาปะหลับปะเหลือก ร่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว และกำลังบ้วนอะไรบางอย่างจากปากใส่ตะเกียงไฟซ้ายที ขวาที จนไฟลุกท่วม แล้วจู่ๆก็เป็นลมล้มพับไป สักครู่หนึ่งจึงค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้นมา
“อาจะเด็ดฟื้นแล้ว” กิมฮวยตะโกนเสียงดังลั่น
บะหมี่กับเกี๊ยวช่วยกันพยุงร่างหมดสติของจะเด็ดให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วเอาน้ำมาให้ดื่ม โดยการจัดหาของป้าพิณ
“เอ้า กินน้ำก่อนพ่อ”
จะเด็ดในอาการสุขุมแล้วส่งเสียงทุ้มเนิบช้าออกมา ผิดกับตอนถูกเจ้าเข้าเป็นคนละคน ก่อนจะโพล่งขึ้น
“ท่านไปแล้วเหรอ”
“เจ้าพ่อเพิ่งออกไปเมื่อตะกี้นี้ล่ะพี่” คำมูลรีบตอบ
“แล้วท่านสั่งให้ชั้นทำอะไรต่อบ้าง”
เต๊กไฮ้ชี้ไปที่ผ้ายันต์แดงหลายผืนที่อยู่ใกล้ๆ
“อ้อ เมื่อกี้ท่านเขียนผ้ายันต์กันมนต์ดำไว้ให้ บอกให้อาจะเด็ดรีบไปว่า คาถาแปะไว้ตามจุดสำคัญของตลาดทันทีที่ฟ้ามืด” เต๊กไฮ้อธิบาย
“เอ้า งั้นก็รีบไป ช่วยดึงข้าที บะหมี่ เกี๊ยว”
สองลูกสมุนบะหมี่กะเกี๊ยวช่วยกันพยุงจะเด็ดให้ลุกขึ้น
คืนนั้น ต๋องกับคณะ ยังคงเล่นดนตรีกันอย่างสนุกสนาน ซ้อมร้องเพลงกันอย่างเมามัน สักครู่กิมลั้งเดินโผล่เข้ามาอย่างได้จังหวะราวนางเอกมิวสิควิดีโอ ต๋องเห็นเข้ายิ้มร่า ยิ่งทำให้หัวใจต๋องรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ต๋องรีบแหกปากร้องแบบจัดหนักเข้าไปอีก พร้อมเอื้อมมือไปเร่งเครื่องเสียง กิมลั้งเห็นอาการของต๋องแอบเขินไปเช่นกัน
อีกมุมไม่ไกลกันที่ตลาด จะเด็ดกำลังปิดผ้ายันต์ที่จุดหนึ่ง บะหมี่ถือขันน้ำมนต์ให้ประพรมยันต์ เกี๊ยวถือแป้งสำหรับเจิมยันต์ โดยมีขบวนชาวตลาดตามกันเป็นพรวน
“มหา ลา โภ”
จะเด็ดเริ่มท่อง เพลงของต๋องเริ่มขึ้น จะเด็ดเริ่มเสียสมาธิอีกครั้ง ชาวตลาดพากันมองหาตำแหน่งของต้นเสียง ต๋องกำลังดึงไมโครโฟนจากที่เสียบเดินร้องเพลงรุกเข้าไปกิมลั้งที่ยืนนิ่งราวกับถูกร่ายมนต์
จะเด็ดเสียสมาธิเริ่มท่องคาถาแบบไม่เป็นส่ำ แล้วต่อสู้กับตัวเองสุดฤทธิ์
“เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ”
ต๋องแผดเสียงดังขึ้นอีก ในที่สุดจะเด็ดก็เผลอร้องเพลงไปกับต๋องด้วย ชาวตลาดตกใจ จะเด็ดสะดุ้งสุดตัวที่เสียสมาธิไป กิมฮวยปรี๊ดขึ้นสมอง
“คราวนี้มึงซี้แน่ ไอ้ต๋อง”
กิมฮวยวิ่งออกไปหาต้นกำเนิดเสียง ชาวตลาดตามไปด้วยอย่างลุ้นระทึก
ต๋องกับเพื่อนเล่นดนตรีให้กิมลั้งฟังแบบสุดตัวทิ้งทวน แต่จู่ๆก็เกิดไฟช็อต ประกายไปลุกพรึ่บขึ้นที่อุปกรณ์ดนตรีทั้งหลาย ต๋องที่ไม่ทันตั้งตัวเลยตกใจมากจนกระโดดไปหากิมลั้ง แล้วทั้งคู่หงายหลังลงไปนอนกองกันในเข่งผักเข่งใหญ่ที่วางอยู่ใกล้ๆ ทำให้เห็นหน้าของต๋องและกิมลั้งที่จ้องมองกันระยะประชิดวูบวาบ กิมฮวยและชาวตลาดพร้อมกับจะเด็ดพากันเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์ก็ถึงกับช็อก
“ไอ้หยา อากิมลั้ง”
คิตตี้ กะเทยขายดอกไม้ที่แอบชอบต๋องเห็นแล้วเอามือปิดตาคล้ายกับว่าทำใจรับไม่ได้
“โถ่ ต๋อง”
กิมลั้งกับต๋อง หันไปเห็นกิมฮวยและชาวบ้านด้วยความตกใจ
“หม่าม้า”
ทันใดนั้นไฟทั้งตลาดก็ดับลงทุกคนต่างตกใจ กิมฮวยกลัวต๋องจะฉวยโอกาสใช้ความมืดทำมิดีมิร้ายลูกสาวตนจึงรีบเข้าไปดึงกิมลั้งขึ้นมา
“ไอ้ต๋อง ไอ้บ้ากาม นี่เอ็งคิดจะทำอะไรลูกสาวอั๊วหา”
“อากิมฮวย ไม่ฟังเค้าก่อนเหรอ”
เคี้ยงห้ามกิมฮวย
“นี่เฮียเป็นพ่อมัน หรือพ่ออากิมลั้งกันแน่”
“ถูกของพ่อ เอ้ย น้าเคี้ยง ฟังชั้นก่อนซิ ทั้งหมดมันเป็นอุบัติเหตุ”
ต๋องรีบเห็นด้วยกับเคี้ยง
“หนอย เป็นอุบัติเหตุที่ลื้อเจตนาจะให้เกิดขึ้นใช่มั้ย ไอ้โรคจิต ไอ้วิตถาร ไอ้สันดานงูเห่า”
“พอได้แล้วหม่าม้า มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ เมื่อกี้อยู่ๆพวกเครื่องดนตรีก็ไฟช็อตขึ้นมา ต๋องเค้ากระโดดหนีไฟเลยมาชนกับอั๊วเข้า ก็เลยล้ม”
“อ้อ ที่แท้ก็ลื้อนี่เองที่ทำให้ไฟดับทั้งตลาด แล้วพรุ่งนี้จะขายของกันยังไงฮะ”
“ไอ้ต๋องนะไอ้ต๋อง ขยันก่อเรื่องแทบไม่เว้นวัน”
“นั่นซิ เอ็งนี่มันตัวซวยแท้ๆ” แม่ค้าต่างโทษต๋องกันยกใหญ่
“อาจะเด็ด ถ้าลื้อจะหาที่ปิดยันต์ อั๊วว่าหน้าไอ้ต๋องนี่ล่ะเหมาะที่สุด”
กิมฮวยสั่งจะเด็ด ชาวตลาดเห็นด้วย ยกเว้นเคี้ยง ลักษณ์และคิตตี้ จะเด็ดทำซื่อรีบพุ่งไปหาต๋องพร้อมกับบะหมี่และเกี๊ยว จะเด็ดเอายันต์แปะที่หน้าผากต๋องโดยใช้แป้งเจิมเป็นกาวแปะ ต๋องทำท่าขัดขืน บะหมี่กับเกี๊ยวเลยช่วยกันจับแขนไว้ แล้วจะเด็ดพรมน้ำมนต์ใส่ต๋องจนเกือบจะแทบราด กิมลั้ง เคี้ยง ลักษณ์ คิตตี้ เลื่อน และรักเร่เห็นเหตุการณ์เริ่มหน้าเสีย
“ปล่อยนะทำบ้าอะไรกันเนี่ย”
ต๋องสะบัดตัวออกมาจากบะหมี่และเกี๊ยว จะเด็ดทำท่าจะราดน้ำมนต์ใส่ต๋องอีก
“ก็ปัดเสนียดจัญไรให้เอ็งไงไม่ดีเหรอ”
“น้าจะเด็ด ขืนเข้ามาอีกก้าวเดียว ได้โดนชั้นเอาก้านมะยมในมือน้าทั้งกำฟาดแน่”
ต๋องตะโกนสั่ง จะเด็ดชะงัก
“อะไรกัน มีอะไรก็โทษชั้น ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆไฟมันดับได้ยังไง ชั้นซ้อมดนตรีของชั้นอยู่ทุกวันไม่เห็นว่าไฟมันจะเคยช็อต”
เหตุการณ์ชุลมุนันอยู่ ยามในตลาดรีบวิ่งเข้ามาทุกคนจ้องเป็นตาเดียว
“ขอโทษด้วยนะครับทุกคน ที่ไฟมันดับน่ะไม่ได้เกี่ยวข้องกับต๋องหรอกครับ”
ยามหน้าตลาดวิ่งมาอธิบาย คนในตลาดต่างตั้งใจฟัง
“เอ้า แล้วมันเป็นเพราะอะไร” กิมฮวยรีบถามแทรก
“คือตัวจ่ายไฟมันระเบิดน่ะครับ อย่างว่าของมันเก่าหลายปีแล้ว ผมแจ้งคุณนายสดศรีแกให้เปลี่ยนตั้งหลายทีแต่แกไม่ยอม เดี๋ยวผมจะรีบไปบอกแกที่บ้านคืนนี้ล่ะ พรุ่งนี้ขายของจะได้ไม่ลำบากกัน”
ยามอธิบายอย่างละเอียด ต๋องกวาดตามองหน้าคู่กรณีทั้งหลาย
“เป็นไงล่ะ ทีนี้ยังจะมาโทษชั้นอีกมั้ย”
ทั้งหมดดูอึ้งไป เถียงไม่ถูก ต๋องเลยหันไปเล่นงานกิมฮวย
“ว่าไงน้ากิมฮวย ชั้นล่ะอยากจะเอาน้ำมนต์พรมที่ปากน้าจริงๆ”
“พรมทำไม” กิมฮวยลอยหน้าลอยตาเถียง
“เอ้า ก็ปากพาซวยแบบนี้ ก็ต้องไล่เสนียดหน่อยซิ”
“นี่ลื้อด่าอั๊วเหรอไอ้ต๋อง โธ่ ยังไงคนอย่างลื้อมันก็ตัวซวยวันยังค่ำล่ะวะ ขนาดไฟจะช็อต มันยังเลือกมาช็อตที่ลื้อเลย จริงมั้ยพวกเรา” กิมฮวยหาแนวร่วม
“จริง”
ชาวบ้านพากันเห็นด้วยกับกิมฮวย ต๋องส่ายหน้าด้วยความระอา กิมลั้งมองไปที่ต๋องด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
วันใหม่ ที่ตลาดบรรยากาศยังมืดและไม่มีไฟฟ้าใช้เพราะเสียตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่ได้รับการซ่อม
พ่อค้าแม่ค้าขายเดินกันไปมา ป้าพิณกับเขียวหวานง่วนกับการช่วยกันยกหม้อกับข้าวมาวางที่ตู้ คำมูลก็เข็นรถส้มตำมาจอดใกล้ๆ ส่งตาหวานให้เขียวหวาน เขียวหวานเขินจนหม้อแกงจืดที่ถือคนละข้างกับป้าพิณเกือบคว่ำ ป้าพิณทำหน้าจิกใส่เขียวหวานอย่างอารมณ์เสีย
เลื่อนและรักเร่ เข็นรถเข้ามาในตลาด แผงเต๊กไฮ้กำลังช่วยกันสับหมูอย่างช่ำชองอยู่กับลักษณ์ คิตตี้กำลังเอาน้ำประพรมดอกไม้อยู่ กิมฮวยกำลังหันหลังเทน้ำแข็งใส่ปลาอยู่ กิมลั้งเห็นต๋องเข็นรถผักมาแต่ทำไม่สนใจ ต๋องเหยียบอยู่บนรถเข็นคันหนึ่งและเท้าขวาเหยียบอยู่บนรถอีกคัน มากับรักเร่เข็นมาตามทาง ต๋องส่งยิ้มหวานให้กิมลั้ง แต่กิมลั้งก็ยังไว้เชิงสนใจแผงปลาต่อไป ไม่ทันไรรถเข็นถูกเข็นถอยหลังกลับมาให้
ต๋องที่ยิ้มเขินอีกครั้ง จนกิมลั้งแทบจะยิ้มเขินตามไปด้วยแต่แอบกลั้นไว้ แต่จังหวะนั้นกิมฮวยหันมาพอดี พอเห็นต๋องก็ชักหน้ายักษ์ใส่ เลื่อนกับรักเร่เลยต้องรีบเข็นต๋องออกไป
รถเข็นจอดลงที่แผงผักของต๋องซึ่งอยู่เยื้องกับแผงปลากิมลั้ง ต๋องลงจากรถเข็นของเลื่อนกับรักเร่
“ชั้นไปทำงานนะ” เลื่อนลาต๋อง
“เออ ขอบใจเว้ย”
ต๋องกระโดดขึ้นแผงผักของตนแต่สายตาก็ไม่วายปรายตาไปที่แผงกิมลั้ง กิมฮวยที่นั่งอยู่หน้าเขียวพอเห็นต๋องทำท่าเหลือบมามองกิมลั้งก็หั่นปลาบนเขียงข่มขวัญอย่างแรงจนหัวปลากระเด็นมาตกที่แผง ต๋องเห็นหัวปลาที่ตาถลนแล้วสยอง
บ่ายวันเดียวกัน เลื่อนกับรักเร่เข็นรถแข่งกันมาด้วยความเริงร่าแล้วก็มีอาการตื่นๆเมื่อหันไปเห็นอะไรบางอย่าง
“คุณนายสดศรี”
เลื่อนกับรักเร่อุทานพร้อมกัน พอเข็นใกล้จะถึงตัวสดศรีทั้งคู่หักหัวรถแยกกันไปทางซ้ายขวา สดศรีในชุดสีสดกำลังเก็บค่าเช่าอยู่ที่แผงของเต๊กไฮ้
“เต็กไฮ้นี่น่ารักจริงๆ ไม่เคยติดค่าเช่าชั้นเลยซักครั้ง”
“ครับ”
สดศรีเอ่ยขึ้น เต๊กไฮ้ยิ้มรับ สดศรีเดินออกไปแผงถัดไป เต๊กไฮ้ก็หันมาบ่นกับลักษณ์ทันที
“ใครจะกล้าติดล่ะ ดอกเบี้ยเท่าตัวขนาดนั้น”
สดศรีที่เพิ่งรับเงินมาจากแม่ค้าคนหนึ่ง สดศรีคลี่แบงก์ออกดูเห็นมาแบงก์กาโม่ผสมอยู่ด้วย รีบตวัดสายตาใส่แม่ค้าผู้โชคร้ายทันที
“เล่นตลกอะไร ชั้นไม่ขำด้วยนะ”
“อุ๊ย โทษทีค่ะคุณนาย เมื่อคืนหนูเล่นเกมเศรษฐีกับลูก เลยติดมาด้วย ตายแล้ว หนูไม่มีแบงก์เลยน่ะค่ะ ขอติดส่วนที่ขาดไว้พรุ่งนี้ได้มั้ยคะ”
“ไม่เป็นไร”
แม่ค้าควานหาแบงก์แต่ไม่มี และแทบไม่เชื่อหูตัวเองที่สดศรีให้ค้างเงินไว้ก่อนได้
“นี่คุณนายพูดจริงเหรอคะ”
“คนอย่างสดศรีเคยพูดเล่นด้วยเหรอ”
“ขอบคุณ”
แม่ค้ายังพูดไม่ทันจบประโยคก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสดศรีหยิบของนั่นนี่ที่ร้านเธอใส่ตะกร้าของตัวเอง
“แค่นี้ก็คงจะราคาพอๆกับที่เธอจ่ายขาดแล้วล่ะ ชั้นไปนะ”
“แม่เจ้าโว้ย...”
แม่ค้ามองสดศรีเอาของในร้านไปอย่างเคยเมื่อไม่มีเงินจ่ายค่าดอก
พอมาถึงแผงของคิตตี้ เจ้าของแผงดอกไม้ร้องเพลงไปจัดดอกไม้ปักแจกันไปอย่างอารมณ์ดี แต่พอเห็นสดศรีกำลังเดินมาแต่ไกลถึงกับลนทำอะไรไม่ถูก พอสดศรีเดินมามาใกล้ไม่รู้จะทำไงเลยเดินไปหลบหลังถังน้ำที่ใส่พวกใบไม้กำใหญ่ที่ใช้สำหรับแซมดอกไม้
“แถวนี้มันไม่ใช่ป่าเขานะจ๊ะแม่คิตตี้ จะได้เอาใบไม้ใบหญ้ามาพรางตัว”
คิตตี้ทำตาใส โผล่มาจากพุ่มไม้
“อุ๊ย คุณนายเองเหรอคะ เผอิญคิตตี้ หาหนอนที่มันเกาะใบไม้อยู่น่ะค่ะ คุณนายสบายดีนะคะ”
“นี่ไม่ใช่เวลาทักทาย แต่เป็นเวลาจ่ายค่าเช่า ตัดใจควักเงินออกมาเร็วๆเถอะคิตตี้ ถ้าไม่อยากเห็นชั้นเล่นงิ้วโชว์”
สดศรีรีบทวง คิตตี้รีบหยิบเงินจากตะกร้าส่งให้สดศรีที่เดินเชิดหน้าออกไปจนพบกับณดาลูกสาวที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพอดี
“คุณแม่!”
“เอ้า ณดา”
สดใสแปลกใจที่ลูกวิ่งมาหา แต่ก็ไม่วายพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานผิดกับการทวงหนี้จากแม่ค้าอย่างสิ้นเชิง
เวลาต่อจากนั้นที่ร้านกาแฟ สดศรีนั่งดูดโอเลี้ยง หน้าตาชื่นใจโดยมีณดานั่งอยู่ใกล้ๆ
“นี่หนูครื้มอกครื้มใจอะไรคะถึงได้มาเหยียบตลาดได้ เอ หรือหนูเปลี่ยนใจคิดจะมาเรียนรู้งานที่นี่แล้วลูก”
“นี่คุณแม่ยังคิดว่าคนอย่างณดาเหมาะกับสถานที่แบบนี้อีกเหรอคะ”
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะลูก ที่เรามีกินมีใช้ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะที่นี่เหรอ”
“ก็ใช่ค่ะ แต่คุณแม่อย่าลืมนะคะว่าณดาไม่ได้ใช้ชีวิตจมปลักกับที่นี่มาตั้งแต่แรกเหมือนคุณแม่ ณดาไม่มีทางปรับตัวได้หรอกค่ะ”
สดศรีแอบเหนื่อยใจกับท่าทางการไม่ชอบตลาดของลูกสาว แถมติดแบรนด์เนมอีกต่างหาก
“ถ้าวันนึงแม่เป็นอะไรขึ้นมา แล้วใครจะดูแลที่นี่ล่ะลูก”
ณดารีบเข้าไปกอดแม่
“โธ่ ณดาไม่ยอมให้คุณแม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกค่ะ”
ลูกสาวอ้อนเข้าหน่อยสดศรีอารมณ์ดีขึ้น
“เอ ถ้างั้นหนูมาที่นี่ทำไมคะ”
ณดาหยิบสมุดเช็คออกมาจากกระเป๋าสะพายพร้อมปากกามายื่นให้สดศรี
“เมื่อเช้าคุณแม่ลืมเซ็นเช็คให้ณดาน่ะค่ะ”
สดศรีชะงักไปนิดเมื่อรู้ว่าลูกสาวมาตลาดทำไม แต่ยังไม่ยอมรับปากกามาเซ็นหวังจะหลอกล่อให้ลูกสาวดูงานซักนิดก็ยังดี
“เดี๋ยวแม่จะเซ็นให้ แต่หนูต้องไปช่วยแม่เก็บค่าเช่าแผงสุดท้ายก่อน”
ณดาทำหน้าเซ็ง
ต่อจากนั้นสดศรีกับณดาเดินผ่านมาทางแผงปลาของกิมฮวย ด้วยความสวยสง่าแถมใส่ชุดแปลกตาไปกว่าคนอื่นของณดา ทำให้คนในตลาดพากันหันมองตามไม่เว้นแม้แต่กิมลั้ง แม่ลูกไปหยุดยืนตรงหน้า
ต๋องที่กำลังยกหนังสืออ่านบังปิดหน้าอยู่ ณดาดูด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย
“อ่ะแฮ่ม”
สดศรีกระแอม ทันใดนั้นณดาที่เห็นต๋องกำลังลดมือที่ถือหนังสือลง จึงเผยให้เห็นใบหน้าหล่อ เท่ห์ แบบเซอร์ๆซึ่งตรงสเปกณดาอย่างมาก เธอจ้องต๋องราวกับต้องมนต์
“เอ้า คุณนายนั่นเอง”
ต๋องเอ่ยทักสดศรี
“เมื่อกี้ชั้นเดินมาทีแล้ว เห็นเธอไม่ได้อยู่ที่แผง”
“มีอะไรเหรอครับ”
ต๋องถามอย่างสงสัย
“ถ้าเห็นหน้าชั้นมันก็คงมีอยู่เรื่องเดียวล่ะมั้งต๋อง”
“มิน่าล่ะ ก็สนใจแต่เรื่องค่าเช่า คุณนายเลยไม่ได้สนเลยว่าคนที่นี่จะเป็นยังไง”
ต๋องเริ่มอธิบายเรื่องไฟดับทั้งตลาด สดศรียังงง
“เธอพูดอะไร”
“ไฟมันดับตั้งแต่เมื่อคืน ป่านนี้ทำไมคุณนายยังไม่จัดการให้เรียบร้อยอีกครับ เห็นมั้ยว่าพอไฟไม่มีตลาดมันก็มืด ตลาดมืดแล้วลูกค้าที่ไหนจะเข้า”
ผู้คนเริ่มหันมองเมื่อเห็นต๋องเสียงดังใส่สดศรี ณดาเห็นแล้วก็แปลกใจที่ต๋องกล้าเสียงดังกับแม่ตน
“นี่ ค่าเช่าชั้นก็เก็บถูกแล้ว อย่างอื่นก็หัดดูแลกันเองบ้างซิ”
ต๋องกระโดดลงมาจากแผงเพื่อประจันหน้ากับสดศรี
“ไปถามพ่อค้าแม่ค้าแถวนี้ซิครับว่ามีตลาดไหนที่ค่าเช่าแพงกว่าที่นี่อีกมั้ย คุณนายได้เงินไปจากพวกเราตั้งเท่าไหร่ แต่ไม่เห็นเคยเอามาทำนุบำรุงสถานที่บ้างเลย”
ต๋องใส่สดศรีไม่ยั้ง ณดาเห็นความกล้าคิดกล้าพูดของต๋องก็ยิ่งถูกชะตาเข้าไปใหญ่
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าวันนี้ไม่ซ่อมไฟให้เสร็จ ผมไม่จ่ายค่าเช่าคุณนายแน่”
ต๋องเดินออกไปแบบไม่สนใจ สดศรีมองคนรอบข้างที่จับจ้องอยู่ด้วยความอาย
“เธอจะทำกับชั้นอย่างนี้ไม่ได้นะ”
สดศรีรีบเดินตามต๋องไป ณดาก็ตามไปติดๆ และเริ่มประทับใจในตัวต๋องมากขึ้นในความกล้า
ต๋องเดินลิ่วออกมา โดยมีสดศรีกับณดารั้งท้าย
“หยุดเดี๋ยวนี้นะต๋อง ชั้นบอกให้หยุด”
ต๋องยอมหยุด สดศรีเดินมาดักหน้า
“ยังไงๆวันนี้เธอก็ต้องจ่ายค่าเช่ามา”
“ผมว่าผมพูดทุกอย่างเคลียร์แล้วนะครับ”
“เอ๊ะ”
ณดารีบแทรกขึ้นมา
“ก็ได้ เดี๋ยวทางเราจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง”
ต๋องหันมองไปที่ณดาครั้งแรกด้วยความงง เพราะที่ผ่านมามัวแต่เถียงกับสดศรี
“ทำไมหนูไปตกปากรับคำอย่างนั้นล่ะลูก”
“แต่ถ้าเค้าขายของกันไม่ได้ คนที่นี่ก็จะไม่มีค่าเช่ามาจ่ายคุณแม่นะคะ”
ณดารีบแจงจนแม่อึ้งไป
“จะว่าไปแล้วมันก็เป็นความรับผิดชอบในส่วนของเราจริงๆ”
“ดีจังครับที่คุณเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย” ต๋องรีบพูด
“แต่คุณก็ต้องเข้าใจทางเราบ้างนะคะว่าตลาดก็ไม่ใช่ที่เล็กๆ จะหวังให้คุณแม่กับพนักงานไม่กี่คนดูแลก็อาจจะไม่ทั่วถึง บางอย่างถ้าช่วยกันคนละไม้ละมือได้ก็ขอให้ช่วยกันบ้าง”
ณดาพูดพลางหยิบนามบัตรจากกระเป๋ายื่นให้ต๋อง
“ต่อไปถ้าคุณมีปัญหาอะไรก็ติดต่อชั้นได้เลย เพราะชั้นจะเข้ามาช่วยคุณแม่ดูแลที่นี่”
สดศรีฟังแล้วยิ่งงง แต่แอบชอบใจเมื่อได้ยินว่าลูกจะมาช่วยงาน ต๋องรีบอาจนามบัตร
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณณดา”
“เช่นกันค่ะคุณต๋อง อ้อ ในเมื่อชั้นทำหน้าที่ของเจ้าของตลาดแล้ว คุณจะไม่ทำหน้าที่ของผู้เช่าบ้างเหรอคะ”
ต๋องทำหน้างงๆ ณดาเลยเหล่ไปทางสดศรีเป็นการส่งซิกให้ต๋องยื่นเงินค่าเช่าแผงให้สดศรีที่ยืนงงกับการเข้ามาช่วยงานในตลาดของณดาอย่างง่ายดาย
“งั้นผมจ่ายค่าเช่าให้ก่อนก็ได้ ไหนๆลูกสาวคุณนายก็รับปากจะจัดการเรื่องไฟแล้ว”
“ขอบใจ”
ต๋องกับณดามองหน้ากันด้วยความรู้สึกในทางบวก ณดารู้สึกดีใจเป็นพิเศษแต่ก็เก็บอาการไว้ยังไม่แสดงออก
บ่ายวันนั้นที่บ้านสดศรี หลังกลับจากตลาด สดศรีลงจากรถอย่างอารมณ์ดี แต่เมื่อเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้านก็ยังคงงง ทวี สาวใต้สำเนียงทองแดงเดินออกมาจากในบ้านรีบรายงาน
“คุณนายขา มีแขกมารอพบค่ะ”
“ใคร?”
“เค้าบอกว่าชื่อเสี่ยชายศักดิ์ค่ะ”
พอได้ยินชื่อ สดศรีหน้าเครียดทันที
ต่อจากนั้น สดศรีและชายศักดิ์คุยกันในบ้านด้วยบรรยากาศอึมครึม
“ถ้าจะมาพูดเรื่องเดิม ชั้นบอกได้เลยว่าเสียเวลาเปล่า ยังไงๆชั้นก็ไม่มีวัน ขายตลาดให้เธอแน่”
สดศรียืนยันคำตอบเดิม
“แล้วจะเก็บมันไว้ต่อไปทำไมฮะ เห็นๆกันอยู่ว่าทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีลูกค้าเข้าตลาดเธอแล้ว เพราะเค้าหันมาเดินห้างติดแอร์ของชั้นกันหมด พอคนหายไปเรื่อยๆ อีกหน่อยร้านมันก็หายตาม ถึงตอนนั้นจะมีค่าเช่าให้เธอเก็บกินได้อีกกี่มากน้อย”
“เรื่องอดตายน่ะชั้นไม่กลัวหรอก เมื่อก่อนตอนที่ต้องกัดก้อนเกลือกินมากับเธอ เราสองคนยังผ่านมาได้”
สดศรีพูดเหน็บแนมรัศมี เมียของชายศักดิ์ อีกฝ่ายโกรธแต่แกล้งทำไม่สะทกสะท้าน
“ตกลงว่าที่ไม่ยอมขาย ที่แท้คุณพี่ก็จะเก็บตลาดไว้เป็นอนุสรณ์ความรักที่เคยกับมีกับเสี่ยชายศักดิ์นี่เอง”
“ความรักของชั้นมันตายไปตั้งแต่วันที่ผู้ชายคนนี้เลือกผู้หญิงอย่างเธอแล้วล่ะรัศมี”
สดศรีโพล่งขึ้น ทั้งชายศักดิ์ทั้งรัศมีอึ้ง
“เลิกพูดถึงอดีตที่ไม่มีวันกลับมาเถอะน่า”
ศักดิ์ชายตัดบท สดศรีฟังชายศักดิ์พูดแล้วนึกช้ำใจ
“ลองไปคิดดูใหม่ให้ดีนะศรี ถ้าเธอยอมขายที่ให้ชั้นมาขยายห้าง เธอก็จะได้เงินเป็นกอบเป็นกำ แค่ฝากธนาคารอย่างเดียวก็นอนกินดอกเบี้ยไม่หวาดไม่ไหวแล้ว”
ชายศักดิ์ยังมีหวังในการซื้อตลาด
“ถ้าหมดธุระแล้วก็กลับไปซักที” สดศรีไล่ รัศมียังยื้อ
“ฟังเราก่อนซิคะ”
“ชั้นทนฟังมากพอแล้ว เชิญ อ้อ แล้วก็ไม่ต้อง กลับมาเหยียบทีนี่อีกนะ เพราะบ้านหลังนี้ไม่ต้อนรับเธอสองคน”
“แล้วเธอจะเสียใจ”
ชายศักดิ์พูดแล้วเดินหนีอย่างขัดใจรัศมีตามติด พอทั้งคู่เดินออกไปพ้นแล้ว สดศรีถึงได้แสดงสายตาอ่อนแอออกมา ท่าทีอ่อนใจ
เวลาต่อจากนั้น ชายศักดิ์กับรัศมีคุยกันหน้าเครียดในรถ
“ตกลงเสี่ยจะยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้เหรอคะ”
รัศมีพูดดักคอ
“พูดอะไรคนอย่างชายศักดิ์ไม่เคยแพ้ใคร แค่ขอเวลาตั้งหลักหน่อย”
“งั้นก็ดีแล้วค่ะ เสี่ยไม่เห็นทีท่าของนังคุณนายสดศรีเหรอคะ ทำจองหองพองขน มองเราอย่างกะเป็นคนละชั้น คงคิดจะใช้วิธีนี้แก้แค้นที่เคยถูกเสี่ยทิ้งไปมั้งคะ ป่านนี้คงนั่งหัวเราะเยาะเราใหญ่แล้ว”
รัศมีใส่ไฟสดศรี
“ไว้ให้ชั้นได้ที่ดินนั่นมาก่อนเถอะ แล้วจะรู้ว่าเสียงหัวเราะใครดังกว่ากัน”
รัศมีลอบยิ้มชอบใจเมื่อเห็นว่ายุชายศักดิ์ขึ้นในเวลานี้
โปรดติดตามอ่าน “รักเกิดในตลาดสด” ต่อ ตอนที่ 2 พรุ่งนี้