“ไพบูลย์” หวั่น รบ.รีบพิจารณาเอฟทีเอ เข้าทางเอกชน ปชช.รับผลกระทบ ปัดขวาง แนะดูให้ชัดเรื่องยา การลงทุนของต่างชาติ ทำประเทศเสียหาย และเหล้า บุหรี่ล้นทะลัก “หมอเจตน์” ติง รบ.ทั้งชุดเก่าปัจจุบัน ยอมเขมรให้จับคนไทยในเขตไทย แถมถูกละเมิดสิทธิฯ ในคุก จี้ดูแล “คำนูณ” เตือนอย่าชะล่าใจ ศาลโลกอาจฟันธงเขตแดน แนะวางแผนสู้คดีให้ดี “สุมล” ดีใจ “ปู” สั่งลุยปมพระวิหาร แต่ขอตอบโต้ พร้อมช่วยเต็มที่ ชี้ควรฟังทุกด้าน
วันนี้ (28 ม.ค.) ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา หารือถึงการประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 29 มกราคม ว่าจะมีพิจารณาเรื่องด่วนลำดับที่ 24 การพิจารณาร่างกรอบเจรจาการตกลงการค้าระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป ทราบว่าจะมีการเลื่อนขึ้นมาเป็นเรื่องด่วนที่ 3 เนื่องจากนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปสหภาพยุโรปในเดือนมีนาคม จึงอาจมีการเร่งรัดเรื่องดังกล่าวเข้าสู่รัฐสภา เท่าที่ทราบกรอบการเจรจาดังกล่าวกระทรวงพาณิชย์เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนที่จะรับฟังความคิดเห็นของประชาชน นักวิชาการ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่อาจไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีการเร่งรีบ ซึ่งจะกระทบต่อประชาชน ดังนั้นควรจะพิจารณาปรับปรุงดังนี้ คือ 1. เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับยา ซึ่งหากเป็นไปตามกรอบการเจราจาจะมีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนหลายล้านราย
นายไพบูลย์กล่าวว่า 2. เกี่ยวกับการคุ้มครองการลงทุนที่เปิดให้ระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน โดยใช้กระบวนการอนุญาตโดยตุลาการระหว่างประเทศเป็นทางเลือก ซึ่งเรื่องนี้ต่อไปจะทำให้ประเทศไทยถูกกองทุนต่างชาติที่มาลงทุนใช้กลไกดังกล่าวเรียกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากงบประมาณแผ่นดิน รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลต้องยกเลิกนโยบายสาธารณะบางประการซึ่งมีปัญหา เพราะไปขัดกับกรอบข้อตกลงเอฟทีเอ ที่ตกลงกันไว้ และ 3. เกี่ยวกับสินค้าทำลายสุขภาพ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่ ที่ทางสหภาพยุโรปมีความประสงค์อย่างยิ่งที่จะลดภาษีให้เหลือ 90% ภายใน 7 ปี จะทำให้สินค้าเหล่านี้เข้ามาขายเพิ่มเติมมากขึ้น จะเป็นการทำลายสุขภาพประชาชน
อย่างไรก็ตาม ฝากไปยังนายกรัฐมนตรีว่าตนเห็นด้วยที่จะมีการทำเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป แต่ก็เชื่อว่านายกรัฐมนตรีคงไม่ต้องการให้กรอบเจรจาเป็นประโยชน์เฉพาะเอกชนบางราย แต่ส่งผลเสียหายต่อประชาชนหลายล้านคน จึงขอให้ได้มีการปรับปรุงกรอบเจรจาในการประชุมร่วมรัฐสภาในครั้งนี้ด้วย
ด้าน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา หารือว่า เมื่อวันที่ 25 มกราคม ระหว่างที่ตนเดินทางไปร่วมประชุมนานาชาติ เรื่องประชากรและพัฒนาของสมาชิกรัฐสภาระหว่างประเทศเอเชียและแอฟริกา ที่กรุงพนมเปญ ได้ขอให้สถานทูตไทยประสานเข้าไปเยี่ยมนายวีระ สมความคิด ที่ถูกจับกุมด้วยข้อหาโจรกรรมข้อมูลความมั่นคง เพื่อดูสภาพความเป็นอยู่ และถือว่านายวีระเป็นตัวแทนคนไทยในการต่อสู้เรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่งได้สอบถามสารทุกข์สุกดิบ สรุปว่านายวีระถูกจำคุกมา 2 ปีเศษแล้ว ตั้งแต่ 25 ธันวาคม 2553 ด้วยข้อหาที่นายวีระไม่ยอมรับถือการล้ำพรมแดน แต่นายวีระถือว่าหมู่บ้านหนองจาน ที่ถูกจับกุมนั้นเป็นพื้นที่ของไทย รัฐบาลทั้งชุดปัจจุบันและรัฐบาลก่อนกำลังทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน เพราะไม่พยายามต่อสู้และให้การช่วยเหลือ ไปยอมรับแผนที่มาตรา 1 : 200,000 โดยกัมพูชายึดถือแผนที่ที่ประเทศฝรั่งเศสทำขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงสันปันน้ำตามหลักสากล
นพ.เจตน์กล่าวต่อว่า แต่ที่สำคัญคือรัฐบาลไม่ให้การช่วยเหลือนายวีระที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ถูกขังเดี่ยว ไม่ยอมให้พูดคุยกับใคร และไม่ให้เขียนหรืออ่านหนังสือใดๆ กระทรวงการต่างประเทศต้องลงมาดูแลเรื่องนี้ เพราะการสูญเสียอิสรภาพโดยไม่มีความผิดกระทบต่อจิตใจมากอยู่แล้ว แต่กลับอ่านและเขียนหนังสือไม่ได้ถือเป็นการผิดหลักสากลของทุกองค์กรระหว่างประเทศทุกแห่ง
ส่วนนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา หารือถึงข้อพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหารว่า มีการให้ข่าวกันมากว่าคดีปราสาทพระวิหารภาค 2 โอกาสที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) จะชี้เรื่องเขตแดนเป็นไปได้น้อย เพราะคำพิพากษาใน พ.ศ. 2505 ไม่ได้ชี้เรื่องเขตแดนไว้ โดยโอกาสที่ประเทศไทยจะแพ้มีเพียง 0.0001% ตนคิดว่าแม้จะไม่ผิดก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะภาค 2 ศาลกำลังจะตีความคำพิพากษา พ.ศ. 2505 ในบทปฏิบัติการข้อ 2 ว่าด้วยอาณาบริเวณหรือบริเวณใกล้เคียงตัวปราสาทบนอาณาเขตของกัมพูชา ที่ประเทศไทยจะต้องถอนกำลังออกมา กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องเขตแดนก็จริง แต่หลังคำพิพากษาดังกล่าวไทยก็ยึดถือเขตพื้นที่ที่ไทยล้อมรั้วและถอนกำลังออกมา ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 10 มกราคม พ.ศ. 2505 โดยที่กัมพูชาไม่ได้คัดค้าน แต่อีกหลายสิบปีต่อมากัมพูชากลับบอกว่าอาณาบริเวณของตัวปราสาทคือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ตามแผนที่ระวางดงรัก
ดังนั้น อาณาบริเวณของตัวปราสาทโอกาสเป็นไปได้มี 2 ขั้นตอน คือ ถ้าศาลโลกรับตีความ ซึ่งโอกาสเป็นไปได้ก็ 50:50 แต่หากรับตีความก็มีความเป็นไปได้อีก 3 ทาง ทางเสมอตัวของประเทศไทยมีเพียงทางเดียว คือ 1 ใน 3 หรือ 33% โดยศาลชี้ว่า 10 มกราคม พ.ศ. 2505 ถูกต้องแล้ว ส่วนอีก 2 ทางหรือ 66% ก็ล้วนเป็นแนวทางที่ประเทศไทยจะเสียหายมากขึ้น เพราะฉะนั้นการจะปฏิบัติตามหรือไม่ จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงในข้อนี้ด้วย
ขณะที่ น.ส.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่นายกรัฐมนตรีสั่งให้สู้เต็มที่รวมทั้งนั่งเป็นประธานการประชุมที่เชิญทุกฝ่ายเข้าร่วม โดยนายกรัฐมนตรีต้องการให้ทุกฝ่ายแสดงหลักฐาน แต่ไม่ต้องการให้มีการตอบโต้ไปมาในความเห็นที่ไม่ตรงกันจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงไม่อยากให้ดึงไปเป็นเรื่องทางการเมือง ดังนั้น ทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีหลักฐานในเรื่องนี้ก็ควรนำมาเสนอและบอกต่อรัฐบาล ซึ่งกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษา ตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ไว้ รอให้นายกรัฐมนตรีเรียกเข้าไปหารือ เพื่อจะได้ชี้แจงรายละเอียด ฉะนั้นในเวลาอีก 2 เดือนที่เหลืออยากให้นายกรัฐมนตรีรับฟังข้อมูลทุกด้าน