ตันจง กรุ๊ป เป็นกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ของมาเลเซีย และได้สยายปีกเข้าไปดำเนินธุรกิจหลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศไทยที่นับเป็นตลาดสำคัญ ด้วยการถือสิทธิ์ผลิตและขายรถยนต์มากถึง 5 ยี่ห้อ และหนึ่งในนั้นเป็นแบรนด์ “ซูบารุ” ซึ่งกำลังเป็นหนึ่งในอนาคตของกลุ่มตันจง จึงได้ลงทุนขึ้นไลน์ประกอบที่ฐานผลิตในมาเลเซีย เพื่อส่งออกมาไทยและทั่วภูมิภาค
เหตุนี้ในโอกาสเปิดไลน์ใหม่ “ตันจง อินเตอร์เนชั่นแนล” จึงได้เชิญสื่อมวลชนไทยไปชมกระบวนการผลิต และร่วมพิธีฉลองเปิดตัวรถ “ซูบารุ เอ็กซ์วี” ที่ออกจากไลน์ผลิตอย่างเป็นทางการครั้งแรก
“พัฒนาการของกลุ่มตันจงในครั้งนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ เพราะการที่เราสามารถผลิตรถซูบารุในประเทศมาเลเซียได้นั้น เท่ากับเป็นการก้าวเข้าสู่กรอบข้อตกลงอาเซียน อันจะนำให้เราสามารถดำเนินการขยายโครงการจัดจำหน่ายรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
นั่นเป็นคำกล่าวของ “เกลนน์ ตัน” ผู้อำนวยการบริหารของ ตันจง อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทในกลุ่มตันจง ดูแลรับผิดชอบธุรกิจยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยถึงความสำคัญของการลงทุนขึ้นไลน์ผลิตรถซูบารุครั้งนี้ พร้อมกับว่า... “โครงการนี้ช่วยส่งเสริมความสามารถและคล่องตัว ขณะเดียวกันยังส่งเสริมภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของเราในเอเชียด้วย”
จะเห็นว่าที่กลุ่มตันจงให้ความสำคัญกับการผลิตรถครั้งนี้ แม้จะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในมาเลเซียอยู่แล้ว เพราะเป็นผู้ผลิตรถญี่ปุ่นชื่อดังอย่างแบรนด์ “นิสสัน” แต่นี่ถือเป็นโครงการระดับภูมิภาค เพราะอย่างน้อย 65% ของจำนวนการผลิตรถซูบารุ เอ็กซ์วี จะส่งออกไปจำหน่ายยังอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยที่ภายหลังการเปิดจองในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012 ปรากฏว่าได้รับการตอบรับมาก จนเหนือความคาดหมาย
“ในการวางการตลาดรถยนต์ซูบารุ เอ็กซ์วี ที่ผลิตในมาเลเซียครั้งนี้ ได้ใช้เงินลงทุนกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 1 พันล้านบาท ในการขึ้นไลน์ผลิต สร้างแบรนด์ และเพิ่มเครือข่ายการขาย โดยคาดว่าบริษัทจะทำรายได้จากทั้ง 3 ประเทศ -มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และประเทศไทย เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าในปีแรก” เกรนน์ ตันกล่าว
ทั้งนี้โรงงานผลิตรถยนต์ของกลุ่มตันจง มีประสบการณ์ในการผลิตรถยนต์มานาน โดยเฉพาะรถยนต์นิสสันที่เป็นผู้ถือสิทธิ์จำหน่ายและผลิตในมาเลเซีย ดังนั้นการเปิดไลน์ผลิตรถยนต์ซูบารุ เอ็กซ์วี จึงมั่นใจในเรื่องดำเนินการผลิต และทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานการผลิตของทาง ฟูจิ เฮฟวี อินดัสตรี ประเทศญี่ปุ่น เจ้าของแบรนด์ซูบารุทุกอย่าง โดยใช้ชิ้นส่วนภายในอาเซียน 40% กำลังการผลิตเบื้องต้น 5,000 คันต่อปี และสามารถเพิ่มได้สูงสุด 7,000 คันต่อปี และหากตลาดมีความต้องการมาก มีโอกาสที่จะขยายไลน์การประกอบมายังโรงงานที่ลาดกระบังในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันผลิตรถบรรทุก “ฟูโซ” และกำลังจะขึ้นไลน์ผลิตรถบรรทุก “โฟตอน” และในอนาคตเป็นรถบรรทุกเล็ก “ฉางอัน”
สำหรับซูบารุ เอ็กซ์วี เป็นรถยนต์อเนกประสงค์คอมแพกต์เอสยูวี ผลิตจำหน่าย 2 รุ่น คือซูบารุ เอ็กซ์วี 2.0i และซูบารุ เอ็กซ์วี 2.0i-Premium วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC ขนาด 2.0 ลิตร 150 แรงม้า ขับเคลื่อนผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT จำหน่ายในประเทศอินโดนีเซีย ราคาเริ่มต้น 338 ล้านรูปี, มาเลเซียมีราคาเริ่มที่ 1.5 แสนริงกิต และประเทศไทย ราคาเริ่มต้นที่ 1.35 ล้านบาท
“เอ็กซ์วี”…เป็นแค่จุดเริ่ม
ในโอกาสฉลองการเปิดตัวซูบารุ เอ็กซ์วี ออกจากไลน์การผลิตโรงงานกลุ่มตันจงในประเทศมาเลเซีย ทางกลุ่มผู้บริหารของฟูจิ เฮฟวี อินดัสตรี ประเทศญี่ปุ่น ผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์ซูบารุ นำโดย “จุน คอนโด” Representative Director of the Board & Deputy President ของบริษัทฟูจิฯ ได้เดินทางมาร่วมแสดงความยินดี และเปิดให้สื่อมวลชนไทยสัมภาษณ์ถึงทิศทางของซูบารุด้วย…
การขึ้นไลน์ผลิตเอ็กซ์วีนอกญี่ปุ่น
รถยนต์ซูบารุ เอ็กซ์วี หลังจากการเปิดตัวได้รับการตอบรับอย่างมาก และซูบารุต้องการจะขยายตลาด โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียนที่กำลังมีการเติบโต เหตุนี้ทางฟูจิฯ จึงตัดสินใจขึ้นไลน์ประกอบรุ่นเอ็กซ์วีในมาเลเซีย โดยให้โรงงานของกลุ่มตันจงเป็นผู้ผลิตรองรับในภูมิภาคนี้ และแม้จะประกอบนอกญี่ปุ่น แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามมาตรฐาน Global Standard Subaru ดังนั้นไม่ว่าจะผลิตที่ไหนก็ตาม จึงมีคุณภาพและมาตรฐานเหมือนกันทั่วโลก
โอกาสขยายการผลิตรถรุ่นอื่น
ณ ปัจจุบัน ซูบารุต้องการเน้นไปที่รุ่นเอ็กซ์วีให้ดีที่สุด เพราะนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของซูบารุ และแน่นอนคงต้องดูตัวอื่นๆ ในอนาคตที่จะขึ้นไลน์ประกอบต่อไปในตลาดภูมิภาคนี้
มองไทยและบทบาทต่อซูบารุ
ในภูมิภาคอาเซียนประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งเรื่องการฐานการผลิตรถและชิ้นส่วน ซึ่งไทยเป็นตลาดที่ใหญ่และมีความสำคัญกับซูบารุ โดยเชื่อว่ารุ่นเอ็กซ์วีจะทำให้ซูบารุเติบโตได้ในไทย แต่เราก็ต้องดำเนินงานเป็นสเต็ป หรือทีละขั้นตอน
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหากมีการขยายตัวมาก ไทยนับว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ แต่การลงทุนในต่างประเทศค่อนข้างสูง ดังนั้นซูบารุจึงต้องร่วมมือกับผู้แทนจำหน่าย หรือดิสทริบิวเตอร์