ASTV ผู้จัดการรายวัน – จีเอ็มและเชฟโรเลตเดินหน้าทำสถิติ ดันยอดขายในไทยทะลุแสนคัน สนับสนุนดีลเลอร์ลงทุนกว่า 1.5 พันล้านบาท ปรับภาพลักษณ์และมาตรฐาน ตลอดจนขยายเครือข่ายรองรับการเติบโต รวมถึงสยายปีกบุกทั่วภูมิภาคอาเซียน พร้อมเปิดตัวรถใหม่สู่ตลาดต่อเนื่อง
นายมาร์ติน แอพเฟล ประธานกรรมการประจำประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด หรือจีเอ็ม(GM) ในประเทศไทย และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในไทยปีที่ผ่านมาถือเป็นปีแห่งความสำเร็จ สามารถทำสถิติยอดขายรถยนต์เชฟโรเลตสูงสุดต่อเนื่อง โดยปิดตัวเลขการขายตลอดปีที่กว่า 7.5 หมื่นคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 39% ครองส่วนแบ่งการตลาด หรือแชร์ 5.3% และในภูมิภาคอาเซียนสามารถทำยอดขายรวมกว่า 9.17 หมื่นคัน เทียบกับปีก่อนหน้าเติบโต 8%
“ในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรถยนต์เชฟโรเลตในไทยมากกว่า 1 แสนคัน หรือครองส่วนแบ่งการตลาดเกิน 8% และเมื่อรวมยอดขายในภูมิภาคอาเซียนจำนวนไม่ต่ำกว่า 1.25 แสนคัน ซึ่งไทยเป็นตลาดสำคัญของจีเอ็มและเชฟโรเลต โดยเฉพาะเก๋งซับคอมแพ็กต์ เชฟโรเลต โซนิค ที่เพิ่งเปิดตัวในไทย มั่นใจปีนี้จะมียอดขายสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของรถรุ่นนี้ทั่วโลก แต่ปิกอัพโคโลราโดยังเป็นรถที่มีบทบาทหลัก ที่มีสัดส่วนยอดขายสูง 40-45% ของทั้งหมด”
ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้จีเอ็มประสบความสำเร็จดังกล่าว มาจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด 3 รุ่นในปีที่ผ่านมา ประกอบกับกำลังซื้อเทมาจากช่วงน้ำท่วมในปลายปี 2553 และโครงการรถคันแรกของรัฐบาล รวมถึงการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากผู้แทนจำหน่าย หรือดีลเลอร์ ตลอดซัพพลายเออร์และพันธมิตรทางธุรกิจ โดยในปี 2556 จีเอ็มและเชฟโรเลตยังคงจะเดินหน้าในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และร่วมมือกับดีลเลอร์สร้างความแข็งแกร่ง ทั้งก่อนและหลังการขายต่อไป
นายแอพเฟลเปิดเผยว่า สำหรับในปีนี้จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เชฟโรเลต สปิน รถมินิเอ็มพีวีที่ได้มีการเผยโฉมในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012 ที่ผ่านมา ซึ่งโรงงานที่อินโดนีเซียจะเริ่มการผลิตเต็มที่ในครึ่งแรกของปี และจะเปิดตัวขายเป็นทางการในไทยในปีนี้ เช่นเดียวกับเชฟโรเลต ครูซ ที่จะไมเนอร์เชนจ์ และเป็นอีกรุ่นสำคัญของเชฟโรเลตในไทย
“ในปีนี้จะมีการลงทุนเป็นมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านบาท สำหรับปรับปรุงภาพลักษณ์โชว์รูมและมาตรฐานศูนย์บริการ ตลอดจนขยายเครือข่ายการขายจากปัจจุบัน 93 แห่ง เพิ่มเป็น 120 แห่งภายในปีนี้ โดยเป็นการลงทุนของดีลเลอร์และเชฟโรเลตสนับสนุนเป็นบางส่วน เพื่อรองรับการเติบโตต่อไปในอนาคต พร้อมกับตอบสนองและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ประกอบกับปี 2556 เป็นปีที่จีเอ็มดำเนินงานในประเทศครบรอบ 20 ปีพอดี”
นอกจากการขยายเครือข่ายในไทย จีเอ็มและเชฟโรเลตยังมุ่งมั่นที่จะขยายบทบาทในอาเซียน เพื่อรองรับการเติบโตในภูมิภาคนี้ ซึ่งไม่เพียงมองไทยและอินโดนีเซียเป็นตลาดเดียวกัน จากการผลิตและใช้ชิ้นส่วนระหว่างสองประเทศนี้ เมื่อปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดศูนย์ผู้แทนจำหน่ายแห่งแรกในประเทศลาว และในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 นี้ เชฟโรเลตจะเปิดศูนย์จำหน่ายแห่งแรกในกัมพูชา รวมถึงพิจารณาเข้าไปในประเทศพม่า คาดว่าภายในสิ้นปีนี้น่าจะเริ่มดำเนินการขายได้
ในส่วนของโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ นายแอพเฟลระบุว่าไม่เห็นด้วยกับการที่ยังมีเรื่องของเทคโนโลยีเป็นตัวกำหนดอยู่ เพราะถ้าจะยึดเรื่องปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) ก็อยากจะให้ใช้เกณฑ์ตรงนี้กำหนดไปเลย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรจีเอ็มพร้อมที่จะดำเนินการและปรับตัว โดยศึกษาและวางแผนการผลิตให้เหมาะสม
“สำหรับเรื่องการปรับค่าแรง 300 บาท อาจจะไม่มีผลต่อจีเอ็มนัก แต่ในภาพรวมย่อมส่งผลกระทบทั้งระบบ ส่วนจะเห็นผลเมื่อไหร่หรือมากน้อยแค่ไหน ไม่สามารถบอกได้ คงต้องติดตามและคอยดูกันต่อไป แต่ที่เป็นปัญหาเรื่องแรงงานฝีมือเข้าสู่ระบบ จีเอ็มจึงมีโครงการร่วมมือกับสถาบันอาชีวะศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับนักเรียนนักศึกษา โดยในปีนี้จีเอ็มจะมีการจ้างแรงงานเพิ่มเป็น 6,000 คน จากปัจจุบันมีอยู่ 5,600 คน” นายแอพเฟลกล่าว
นายมาร์ติน แอพเฟล ประธานกรรมการประจำประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด หรือจีเอ็ม(GM) ในประเทศไทย และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในไทยปีที่ผ่านมาถือเป็นปีแห่งความสำเร็จ สามารถทำสถิติยอดขายรถยนต์เชฟโรเลตสูงสุดต่อเนื่อง โดยปิดตัวเลขการขายตลอดปีที่กว่า 7.5 หมื่นคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 39% ครองส่วนแบ่งการตลาด หรือแชร์ 5.3% และในภูมิภาคอาเซียนสามารถทำยอดขายรวมกว่า 9.17 หมื่นคัน เทียบกับปีก่อนหน้าเติบโต 8%
“ในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรถยนต์เชฟโรเลตในไทยมากกว่า 1 แสนคัน หรือครองส่วนแบ่งการตลาดเกิน 8% และเมื่อรวมยอดขายในภูมิภาคอาเซียนจำนวนไม่ต่ำกว่า 1.25 แสนคัน ซึ่งไทยเป็นตลาดสำคัญของจีเอ็มและเชฟโรเลต โดยเฉพาะเก๋งซับคอมแพ็กต์ เชฟโรเลต โซนิค ที่เพิ่งเปิดตัวในไทย มั่นใจปีนี้จะมียอดขายสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของรถรุ่นนี้ทั่วโลก แต่ปิกอัพโคโลราโดยังเป็นรถที่มีบทบาทหลัก ที่มีสัดส่วนยอดขายสูง 40-45% ของทั้งหมด”
ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้จีเอ็มประสบความสำเร็จดังกล่าว มาจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด 3 รุ่นในปีที่ผ่านมา ประกอบกับกำลังซื้อเทมาจากช่วงน้ำท่วมในปลายปี 2553 และโครงการรถคันแรกของรัฐบาล รวมถึงการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากผู้แทนจำหน่าย หรือดีลเลอร์ ตลอดซัพพลายเออร์และพันธมิตรทางธุรกิจ โดยในปี 2556 จีเอ็มและเชฟโรเลตยังคงจะเดินหน้าในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และร่วมมือกับดีลเลอร์สร้างความแข็งแกร่ง ทั้งก่อนและหลังการขายต่อไป
นายแอพเฟลเปิดเผยว่า สำหรับในปีนี้จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เชฟโรเลต สปิน รถมินิเอ็มพีวีที่ได้มีการเผยโฉมในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012 ที่ผ่านมา ซึ่งโรงงานที่อินโดนีเซียจะเริ่มการผลิตเต็มที่ในครึ่งแรกของปี และจะเปิดตัวขายเป็นทางการในไทยในปีนี้ เช่นเดียวกับเชฟโรเลต ครูซ ที่จะไมเนอร์เชนจ์ และเป็นอีกรุ่นสำคัญของเชฟโรเลตในไทย
“ในปีนี้จะมีการลงทุนเป็นมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านบาท สำหรับปรับปรุงภาพลักษณ์โชว์รูมและมาตรฐานศูนย์บริการ ตลอดจนขยายเครือข่ายการขายจากปัจจุบัน 93 แห่ง เพิ่มเป็น 120 แห่งภายในปีนี้ โดยเป็นการลงทุนของดีลเลอร์และเชฟโรเลตสนับสนุนเป็นบางส่วน เพื่อรองรับการเติบโตต่อไปในอนาคต พร้อมกับตอบสนองและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ประกอบกับปี 2556 เป็นปีที่จีเอ็มดำเนินงานในประเทศครบรอบ 20 ปีพอดี”
นอกจากการขยายเครือข่ายในไทย จีเอ็มและเชฟโรเลตยังมุ่งมั่นที่จะขยายบทบาทในอาเซียน เพื่อรองรับการเติบโตในภูมิภาคนี้ ซึ่งไม่เพียงมองไทยและอินโดนีเซียเป็นตลาดเดียวกัน จากการผลิตและใช้ชิ้นส่วนระหว่างสองประเทศนี้ เมื่อปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดศูนย์ผู้แทนจำหน่ายแห่งแรกในประเทศลาว และในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 นี้ เชฟโรเลตจะเปิดศูนย์จำหน่ายแห่งแรกในกัมพูชา รวมถึงพิจารณาเข้าไปในประเทศพม่า คาดว่าภายในสิ้นปีนี้น่าจะเริ่มดำเนินการขายได้
ในส่วนของโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ นายแอพเฟลระบุว่าไม่เห็นด้วยกับการที่ยังมีเรื่องของเทคโนโลยีเป็นตัวกำหนดอยู่ เพราะถ้าจะยึดเรื่องปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) ก็อยากจะให้ใช้เกณฑ์ตรงนี้กำหนดไปเลย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรจีเอ็มพร้อมที่จะดำเนินการและปรับตัว โดยศึกษาและวางแผนการผลิตให้เหมาะสม
“สำหรับเรื่องการปรับค่าแรง 300 บาท อาจจะไม่มีผลต่อจีเอ็มนัก แต่ในภาพรวมย่อมส่งผลกระทบทั้งระบบ ส่วนจะเห็นผลเมื่อไหร่หรือมากน้อยแค่ไหน ไม่สามารถบอกได้ คงต้องติดตามและคอยดูกันต่อไป แต่ที่เป็นปัญหาเรื่องแรงงานฝีมือเข้าสู่ระบบ จีเอ็มจึงมีโครงการร่วมมือกับสถาบันอาชีวะศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับนักเรียนนักศึกษา โดยในปีนี้จีเอ็มจะมีการจ้างแรงงานเพิ่มเป็น 6,000 คน จากปัจจุบันมีอยู่ 5,600 คน” นายแอพเฟลกล่าว
