xs
xsm
sm
md
lg

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 4

ฟากสุพจน์และกำลังตำรวจที่เหลือจ้องมองด้วยความตื่นตะลึงเมื่อเห็นโรงเก็บของทั้งหลัง อยู่ในกรงขังที่เกิดจากอานุภาพของลูกสะกดหัวใจสิงห์ หาญเดินเข้าไป กระเต็นตาม สุพจน์โบกให้ตำรวจตาม

เสือไทพยายามขยับขวานในมือแต่ไม่เป็นผล
“ป่วยการเปล่า เราคงโดนอาคมเล่นงานเข้าแล้ว”
“เช่นนั้นเป็นฝีมือผู้ใด”
ขุนโชติหน้าเครียด ไม่ทันตอบอะไร หาญก็เดินเข้าประตูมา ทั้งสามเสือเห็นหาญ ต่างตกตะลึง แล้วภาพ
ตอนที่ขุนโชติถูกหลวงณรงค์ฆ่าก็หวนกลับมา ขุนโชติทั้งแค้นทั้งแปลกใจเพราะหาญเหมือนหลวงณรงค์ราวกับคนๆ เดียวกัน
“เอ็งยังไม่ตาย”
หาญชะงัก แปลกใจที่ขุนโชติเหมือนรู้จักตน กระเต็น สุพจน์และตำรวจที่เหลือตามเข้ามาสมทบพร้อมปืนในมือ
สุพจน์เข้าไปปลดอาวุธ สวมกุญแจมือพวกขุนโชติอย่างระมัดระวัง หาญตามไปเป่ามนต์กำกับลงบนกุญแจมือ
ทั้งสามเสือได้แต่จ้องหน้าหาญ อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ สร้อยที่ร้อยลูกสะกดทั้ง 9 พุ่งผ่านหน้าต่างกลับมาเข้ามือหาญ
“พวกมันไม่ใช่ไอ้ทิวนี่คะ”
“ถึงจะไม่ใช่ แต่ก็อันตรายเกินกว่าจะปล่อยไว้ ข้าลงอาคมกำกับไว้แล้ว คงจะกำราบพวกมันได้”
หาญหันไปบอกสุพจน์ สุพจน์ส่งสัญญาณให้ตำรวจเอาตัวไป แต่เสือไทไม่ยอมตอนนี้ทั้งสามเสือขยับตัวได้ เพราะหาญเก็บลูกสะกดแล้ว
“ไอ้หลวงณรงค์ ไอ้ตาขาว เอ็งจงถอนอาคมที่สะกดไว้ แล้วมาสู้กันอย่างลูกผู้ชายสิวะ”
กระเต็นสบตาหาญอย่างสงสัย
“มันเรียกพี่สิงห์ว่าหลวงณรงค์”
“ข้าไม่ใช่หลวงณรงค์ แล้วก็ไม่เคยรู้จักพวกเอ็งมาก่อน”
ขุนโชติเห็นหาญปฏิเสธหนักแน่น ท่าทางไม่รู้จักพวกตนจริง
“ถ้าเอ็งไม่ใช่หลวงณรงค์ แล้วใยหน้าตาถึงเหมือนกันอย่างกับแฝด” ขุนโชติจ้องหน้าหาญ นึกได้ “รึว่าเอ็งเป็นลูกหลานสาแหรกเดียวกับมัน หึหึ งั้นก็เหมาะ”
หาญยิ่งงง ทันใดขุนโชติก็ยกมือที่ถูกมัดขึ้น เป่ามนต์ลงกุญแจมือ กระชากจนขาดออกจากกัน ขุนโชติชักดาบของตัวเองที่อยู่ในมือตำรวจ ตวัดฟัน ตำรวจคนนั้นล้ม ขุนโชต์หันไปจะฟันสุพจน์ แต่หาญยังไว ถีบขุนโชติจนกระเด็นไป ดึงสุพจน์หลบ
เสือดำกับเสือไทต่างกระชากกุญแจมือจนขาด คว้าอาวุธประจำกายจะฆ่าตำรวจที่เหลือ แต่กระเต็นพุ่งมาขวางใช้ไม้พายเรือขึ้นรับขวานของเสือไทไว้ ออกแรงดันกัน กระเต็นสู้แรงไม่ไหว พลิกหนีได้ทัน ขวานฟันลงบนแคร่แตกกระจุย กระเต็นใช้ไม้พายเรือตอบโต้กลับ อาศัยความเร็วที่เหนือกว่าเล่นงานเสือไท
ขุนโชติพุ่งกลับมาใช้ดาบประจุพรายโจมตีหาญ หาญมัวแต่ตั้งรับด้วยสนับเล็บเสือ เสือดำฉวยทีเผลอ ตรงเข้าล็อกหาญจากด้านหลัง ถูกศอกหาญกระทุ้ง อัดจนทรุด เสือดำง้างหน้าไม้จะลอบยิงหาญ สุพจน์ชักปืนยิงสกัด แต่เสือดำไม่สะท้าน หันหน้าไม้มาทางสุพจน์แทน สุพจน์กระโจนหลบได้หวุดหวิด แล้วพุ่งเข้ากระแทกเสือดำจนกลิ้งไปด้วยกันทั้งคู่
ขุนโชติใช้ดาบในมือโจมตีหาญด้วยความโกรธแค้น หาญถอยตั้งหลัก ว่าคาถา แล้วเป่าลงกำปั้นของตัวเอง
“หมัดธนูมือ”
ชกใส่ขุนโชติที่พุ่งเข้ามาหา เงาหมัดพุ่งออกจากกำปั้นหาญ เหมือนลูกกระสุน กระแทกเข้าใส่ร่างขุนโชติลอย”
กระเด็น ข้ามร่างกระถินที่สลบอยู่ ทะลุผนังโรงเก็บของออกไปด้านหลัง กระถินรู้สึกตัวลืมตา เสือดำกับเสือไทต่างตกใจ
“พี่โชติ”
ทั้งสองคนพุ่งเข้าหาหาญ หาญชกหมัดคู่ออกไป เงาหมัดกระแทกใส่เสือดำกับเสือไทร่วง หาญรีบตามออกไปจัดการขุนโชติต่อ เสือดำกับเสือไทจะตาม แต่กระเต็นกับสุพจน์ก็มาขัดขวางไว้ กระถินฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสนใจ แอบหนีไป

หาญตามออกมามองหาขุนโชติ แต่ไม่เจอ ทันใดขุนโชติก็กระโดดลงมาจากกิ่งไม้ ง้างดาบฟันหาญ หาญกลิ้งหลบได้หวุดหวิด
“ฝีมือเอ็งไม่ด้อยไปกว่าไอ้หลวงณรงค์เลย สมแล้วที่เป็นทายาทกัน”
“เอ็งมีความแค้นอะไรกับคนที่ชื่อหลวงณรงค์นักหนา”
“มันปลิดชีวิตข้าอย่างอำมหิต แล้วยังสะกดวิญญาณข้าให้ทนทรมานอยู่ในวังพยัคฆ์”
“เอ็งรู้จักวังพยัคฆ์ด้วยรึ เอ็งเป็นใครกันแน่”
“ทำไมข้าจักไม่รู้ ในเมื่อวังพยัคฆ์เป็นที่สถิตของข้าข้า..ขุนโชติแห่งทุ่งพระกาฬ”
หาญตกใจที่ได้ยินชื่อขุนโชติ
“ขุนโชติ เป็นไปไม่ได้ เอ็งเอาอะไรมาพูด ขุนโชติตายไปเป็นร้อยปีแล้ว”
“ฮ่าๆๆ คงเป็นชะตาที่ลิขิตไว้แล้ว ถึงมีคนยอมสละตัวเอง เพื่อชุบชีวิตข้าให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง” ขุนโชติจ้องหาญ แค้น “ถึงข้าจักไม่เคยแค้นเคืองกับเอ็ง แต่ในเมื่อเอ็งเป็นทายาทของไอ้หลวงณรงค์ เอ็งก็ต้องรับกรรมแทนมัน”
ขุนโชติบริกรรมคาถา เป่าลงบนดาบ อักขระสีเลือดบนดาบเรืองรองขึ้น ขณะที่หาญก็ว่าคาถา ปลุกเสือเผ่น รอยสักเสือเผ่นเรืองแสงขึ้น ทั้งสองคนเข้าปะทะกัน สูสี หาญพลาดถูกอัดทรุด ขุนโชติตวัดดาบใส่ เกิดเงาดาบสีแดงพุ่งเข้าหาหาญ หาญกระโจนหลบทัน ต้นไม้ข้างหลังระเบิด
“พยัคโฆ พยัคฆา”
หาญว่าคาถารอยสักเสือเผ่นเรืองแสงขึ้นอีก หาญทะยานเข้าหาขุนโชติอย่างรวดเร็ว จู่ๆ ร่างหาญก็หายวับไป
ขุนโชติมองหา แล้วหาญก็ปรากฏตรงหน้าขุนโชติ รัวหมัดใส่ไม่ยั้ง

ขุนโชติทรุด แต่กัดฟันตวัดดาบ เงาดาบสีแดงพุ่งเข้ากระแทกหาญ จนหาญกระอักร่างกระเด็นไป

ส่วนอีกมุมหนึ่ง สุพจน์ถูกเสือดำอัดร่วง จะตามซ้ำ กระเต็นผละจากสู้กับเสือไท เข้าขวางจึงถูกเสือดำกับเสือไทรุม กระเต็นสู้ไม่ได้ กำผงดินขึ้นมาเป่ามนต์ สะบัดออกไปเป็นต่อแตนนับร้อยบินเข้าโจมตีเสือไทกับเสือดำ ทั้งสองคนได้แต่ปัดป้อง

ทันใดกำลังเสริมของตำรวจก็บุกเข้ามาช่วยพร้อมอาวุธ
“ยิง”
สุพจน์รีบสั่งการ ตำรวจต่างระดมยิงใส่เสือทั้งสองอย่างหูดับตับไหม้ ถึงแม้จะยิงไม่เข้า แต่เสือดำกับเสือไทเห็นท่าไม่ดี รีบหนีไปทางด้านหลัง

ขุนโชติปักดาบลงบนดิน บริกรรมคาถา เป่าลงบนดาบ อักขระสีเลือดเรืองรองขึ้น
“นะรายัสสะ จักราวุทธัง เอหิชัยยะ สัพพะศัตรู วินาศาโล”
เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงบนดาบ ทันใดนั้นเงาดาบสีแดงนับสิบ กระจายออกไปจากดาบ พุ่งเข้าหาหาญ หาญหลบได้ช่วงแรก แต่ก็ไม่วายถูกเงาดาบที่เหลือเฉือน เสื้อขาดเป็นริ้ว เลือดเป็นทาง ขุนโชติหัวเราะสะใจ หาญกระชากลูกสะกดจากคอ ว่าคาถาแล้วเป่า สะบัดสร้อยที่ร้อยลูกสะกดออกไป เกิดเป็นลำแสงคล้ายแส้พุ่งสะบัดเข้าโจมตี ขุนโชติตวัดดาบขึ้นฟัน เงาดาบพุ่งไปปะทะกับลำแสงของแส้ เกิดเสียงระเบิดสนั่น ทันใดเงาดาบก็สลายไปเพราะสู้อานุภาพลูกสะกดไม่ได้

หาญตวัดสายลูกสะกดซ้ำ ลำแสงสะบัดพุ่งเข้าหาขุนโชติอีกครั้ง เสือไทกับเสือดำเข้ามาเห็นพอดีก็ตกใจ
เสือไทกระโจน เอาตัวขวางไว้ ถูกพลังจากลูกสะกดกระแทก
“อ๊ากก”
เสือไทบาดเจ็บกระอักเลือด
“ไอ้ไทๆ”
“พวกโปลิศมันมีกำลังมาสมทบ” เสือดำบอกเมื่อเห็นเสือไทอาการไม่ดี “แล้วไอ้ไทก็เจ็บถึงเพียงนี้ เราหลบไปก่อนดีกว่าพี่”
สุพจน์กับกระเต็นนำกำลังตำรวจไล่ตามมา ระดมยิง ขุนโชติเครียด หาทางหนี
“ลุงจ๊ะ ทางนี้”
กระถินที่ขับเรือหางยาวมาเทียบใกล้ตลิ่งเรียก เสือดำแบกร่างเสือไทไว้ ขุนโชติว่าคาถาปลุกยันต์จักรวาลฟ้าครอบบนตัว ยันต์จักรวาลฟ้าครอบเรืองแสง แล้วลอยขึ้นซ้อนกันกลายเป็นกำแพงคุ้มกันพวกขุนโชติจากกระสุนของตำรวจไว้ ทั้งสามเสือฉวยโอกาสกระโดดลงเรือ เรือแล่นออกอย่างรวดเร็วไปตามลำคลอง
หาญกับกระเต็นรีบวิ่งตาม ขึ้นสะพาน หมายจะกระโจนลงเรือ แต่แล้วมวลอากาศแหวกเป็นช่อง เรือหางยาวทั้งลำพุ่งหายไป หาญกับกระเต็นได้แต่ยืนมอง เจ็บใจที่หลุดมือไปได้

ในห้องทำงานสุพจน์ หาญนั่งรออยู่ที่โซฟาขณะที่กระเต็นเดินไปมาร้อนใจ
“จริงเหรอคะ ที่พ่อหาญเคยเห็นมันในนิมิต”
หาญพยักหน้ารับ
“ใช่ แต่ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่ามันคือขุนโชติจึงยังไม่ได้บอกเอ็ง”
“แล้วขุนโชติเป็นใครกัน? เหมือนคุณพ่อจะรู้จักดี”
“ขุนโชติคือขุนโจรในตำนาน ที่เสือทุกคนให้ความศรัทธาบางชุมถึงกับต้องทำพิธีบวงสรวงก่อนออกปล้นทุกครั้ง”
“แล้วคุณพ่อเชื่อที่มันบอกอย่างนั้นเหรอคะ หนูว่าท่าทางพวกมันจะฟั่นเฟือน เหมือนไอ้ทิวยังไงไม่รู้” กระเต็นบอกแล้วตกใจ “หรือว่ามันจะเป็นพวกเดียวกับไอ้ทิวจริง”
“อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย เรายังสรุปอะไรไม่ได้ จนกว่าจะได้สอบสวนพวกมัน”
กระเต็นยังไม่วายกังวลใจ สุพจน์ก็เปิดประตูห้องเข้ามา กระเต็นรีบถาม
“เป็นยังไงบ้างคะคุณพจน์ เจอมั้ย”
“ตำรวจเจอแต่เรือเปล่าๆ จอดอยู่แถววัดคลองปทุม ห่างออกไปหลายกิโล แต่ไม่พบตัวพวกมัน”
“พวกมันมีวิชาย่นระยะทาง กำบังกาย คงจะหาตัวลำบาก”
“นี่ถ้าไม่เห็นกับตาผมคงไม่เชื่อ ว่าวิชาอาคมพวกนี้จะสร้างปาฏิหาริย์ได้ถึงขนาดนั้น ตอนเพชรยังอยู่ก็ไม่ยอมแสดงอะไรให้ดูเท่าไหร่”
“แล้วทางตำรวจพอจะทราบรึยังครับ ว่าพวกมันเป็นใคร”
“ไม่มีข้อมูลเลยครับ ทั้งทะเบียนราษฎร์หรือประวัติอาชญากรเหมือนพวกมันไม่มีตัวตน”
หาญสบตากระเต็นเครียด

ที่บ้านกระเต็น กล้าเดินกุมๆ ท้อง หงุดหงิดกลุ้มใจ จุกนั่งมองอยู่นานจึงบอกออกมา
“เอาน่าก็เรายังไม่หายดี แม่เค้าเป็นห่วง”
“โธ่ น้า ผมไม่ใช่นักโทษนะ ผมอยากรู้ว่าคนอื่นๆ เค้าเป็นยังไงบ้าง”
“เอาน่า คิดถึงเพื่อนก็ใช้โทรศัพท์ไปก่อนได้”
“ผมโทร.แล้วน้า แต่ไม่มีใครอยู่รับสายซักคน ไอ้นุก็ไม่รู้หายหัวไปไหน”
รักกับยมโผล่เข้ามา
“พี่กล้า มีคนมาหน้าบ้าน โวยวายใหญ่เลย”
“ใช่จ้ะ”

จุกกับกล้ามองหน้ากัน สงสัย

กล้ากับจุกออกไปดูจึงพบว่าคนที่มาโวยวายก็คือนุกูล กล้าจึงพานุกูลมานั่งคุยที่ศาลาในสวน

“ไอ้ภูมินทร์นี่มันเลวได้โล่จริงๆ แต่แม่พี่สิเจ๋งกว่า จับมันเข้าคุกตะรางจนได้ สมน้ำหน้ามัน” กล้าพยักหน้ารับ เครียดๆ นุกูลมองกล้า แปลกใจ “ไม่เห็นพี่เป็นอะไรเลยนี่”
“พี่ดีขึ้นแล้วล่ะ”
กล้าสีหน้าเครียด ห่วงคะนึงนิจ นุกูลเห็น
“พี่เป็นไรอ่ะ ทำไมดูไม่ดีใจเลย รึว่ายังเจ็บแผล”
“เปล่า ก็ แค่เบื่อๆ น่ะ”
“ก็น่าเบื่อนะพี่ ตำรวจหน้าบ้านพี่ก็คุมซะเข้มเลย ดูซิ กว่าผมจะเข้ามาได้”
จุกเดินเข้ามา
“เอาๆ ฟ้องลูกพี่ใหญ่เลยนะเจ้านุ มาก็ดีแล้ว น้าคิดถึงแผงพระจะแย่ ฝากกล้าด้วยนะ”
แล้วจุกก็รีบเดินออกไป
“แกก็เหมือนโดนขังกับพี่นั่นแหละ” นุกูลขำ กล้าจึงขำจุก
“อืมม์ แล้วนี่พวกแกเป็นไงบ้างล่ะ”
“อ้าว นี่น้าจุกยังไม่ได้เล่าเรื่องที่พวกฉันน่ะโดนพวกไอ้เบิ้ม มันรุมเหรอพี่”
“ฮะ”
นุกูลเปิดฉากเล่าเป็นชุด
“ได้ยินไม่ผิดหรอกพี่ แต่พวกฉันไม่เป็นอะไรเลยซักคน เพราะอะไรรู้ไหมพี่ จู่ๆ ก็มีคนมาช่วยพวกฉันไว้ คาถาอาคม งี้เพียบ ทั้งปัดอาวุธ ทั้งนะจังงัง พี่เห็นพี่ต้องอึ้ง” กล้าฟังแต่ทำหน้าล้อ ไม่ค่อยเชื่อ “แต่ฉันไม่คิดจะแก้แค้นพวกมันแล้วล่ะพี่ ฉันไม่อยากกัดกันเหมือนหมา คิดแล้วอาย”
“เออดี คิดได้ก็ดีแล้ว เราน่ะถ้าจะสู้ ก็สู้เพื่อความถูกต้อง ความยุติธรรม ไม่ใช่มาตีกันเพื่อความสะใจ”
“ฉันไม่ได้คิดเองหรอกพี่ พี่ชายที่ช่วยไว้นั่นแหละสอนมา” กล้าคิดตาม นึกชื่นชม “จริงสิ มะลิของพี่เป็นไงบ้างล่ะ นั่นแน่ นี่หาย เร็วเพราะมะลิหอมๆ รึเปล่าพี่” นุกูลแซว
“มะลิ มะลิอะไรของแกวะไอ้นุ”
กล้างง

กล้ากลับเข้าบ้านหยิบเจ้ากระแตมะลิตัวน้อยจากถังขยะขึ้นมามอง เซ็งสุดๆ
“แม่พี่นี่สุดยอดไปเลย สงสัยจะไม่ชอบราชาวดีเอามากๆ”
กล้าเครียด อยากไปหาราชาวดีตามลำพัง
“แกกลับไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้มีสอบไม่ใช่เหรอ”
“จะดีเหรอพี่ ก็น้าจุกฝากพี่ไว้กับผม”
“พี่แข็งแรงขนาดนี้ แกจะห่วงอะไรอีก ไปเถอะน่า ไป”
นุกูลรู้ทัน แซว
“จะไปหาหญิงอะดิ งั้นไว้สอบเสร็จ ผมจะพาพวกไอ้ป๋องมาเยี่ยมด้วยนะพี่”
นุกูลออกไป กล้าดมมะลิแล้วคิดแผนหนีออกไป
“รัก ยม อยู่แถวนี้รึเปล่า”
รัก ยมปรากฏตัวขึ้น ยิ้มร่า
“พี่กล้า เรียกเราทำไมเหรอจ๊ะ”
“พี่มีอะไรสนุกๆ ให้ทำ”
รักยมมองกล้า สงสัยว่าอะไร

เย็นวันนั้นเมื่อกระเต็นขับรถมาเทียบหน้าบ้านก็เห็นตำรวจ 2นาย นั่งสลบคอพับอยู่ กระเต็นตกใจมาก วิ่งลงจากรถเข้าไปเขย่าร่างตำรวจ
“จ่าๆ” ตำรวจไม่ยอมฟื้น “หลับลึกแบบนี้ เหมือนโดนอาคม”
กระเต็นเครียดจัด วิ่งเข้าไปในบ้านทันที

กระเต็นวิ่งขึ้นบันไดบ้านมา ตรงไปที่ห้องกล้า
“กล้าๆ กล้าๆ”
ยมโผล่มาขวางไว้
“แม่กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมตำรวจถึงสลบไม่ได้สติ แล้วพี่กล้าล่ะ พี่กล้าปลอดภัยใช่มั้ย”
ยมโกหก อ้ำอึ้ง
“ไม่มีอะไรนี่จ๊ะแม่ พี่กล้า พี่กล้าก็หลับอยู่ในห้องแหละจ้ะ” กระเต็นหยิบกุญแจจะไขประตู ยมกางมือขวาง “พี่กล้าบอกว่าไม่ให้กวน เอ่อ จะนอนน่ะจ้ะ”
“ถอยไป แม่จะไปดูพี่กล้า” ยมมองอ้อน
“แต่”
“ถอย”
กระเต็นมองดุ ยมจำต้องถอย กระเต็นไขประตูห้องเข้าไปเห็นกล้าหลับอยู่บนเตียง โล่งอก เข้าไปหา
“กล้าเป็นไงบ้างลูก เจ็บแผลอีกเหรอ”
กล้าลืมตามองแม่ ส่ายหน้า ไม่ตอบอะไร แววตาแบบเด็กๆ มีพิรุธสุดๆ
“ให้แม่ดูแผลสิ” กระเต็นจะเข้ามาเปิดแผล แต่กล้าตกใจ ขยับหนี “เอ้า จะหนีไปไหนล่ะ ทำตัวเป็นเด็กไปได้”
กล้ายอมอยู่นิ่ง กระเต็นเปิดเสื้อกล้าขึ้น แต่ผ้าพันแผลหายไปแล้ว กระเต็นแปลกใจ “เอะ แผลหายแล้วเหรอ”
กระเต็นเอามือลูบ กล้าทนขำไม่ไหว หัวเราะกลิ้งเพราะจั๊กจี๊ ทันใดร่างของกล้าก็กลายเป็นสีดำก่อนจะกลายร่างเป็นรัก รักกับยมตกใจที่แผนแตก หายตัวไปทันที กระเต็นรู้ว่าโดนหลอก โกรธมาก
“รัก ยม กลับมาเดี๋ยวนี้นะ”
กระเต็นตวาด รักกับยมปรากฏร่างขึ้นอย่างกลัวๆ
“จ๋า แม่”
“นี่มันอะไรกัน พี่กล้าอยู่ที่ไหน” รักยมมองหน้ากัน กลุ้ม ประมาณเอาไงดี “หมดเวลาเล่นแล้ว ว่ายังไง”

กระเต็นบอกเสียงเข้ม

ขณะนั้นราชาวดีเดินหน้าเศร้า น้ำตาคลอกลับบ้าน คะนึงนิจตามมาด้วย สงสารเพื่อนจับใจ

“เห็นดุๆ อย่างนั้น ไม่น่าหูเบา เชื่อพวกยัยงามตาง่ายๆ เล้ย นิจจะไปเคลียร์กับแม่พี่กล้าให้เอง วดีอย่าคิดมากเลยนะ”
“อย่าลำบากเลยนิจ นิจยังติดหนี้เค้า แลัวยังต้องพักที่นั่นอยู่เราไม่อยากให้เดือดร้อนเพราะเรา เราไม่เป็นไรหรอก”
“เพราะไอ้พี่กล้าคนเดียว เป็นลูกแหง่หรือไงเนี่ย ถึงต้องให้แม่คอยออกหน้า”
ราชาวดีเข้าใจเหตุผล แต่ไม่วายเสียใจ
“เป็นแม่ก็ต้องห่วงลูกเป็นธรรมดาแหละนิจ เราผิดเอง เราเป็นต้นเหตุให้พี่กล้าต้องถูกทำร้าย” คะนึงนิจก็รู้สึกผิด
“มันไม่เกี่ยวกับวดีซะหน่อย ถ้าจะโทษก็ต้องโทษพี่ภูต่างหาก”
ราชาวดีไม่อยากให้กล้าเดือดร้อนเพราะตนอีก
“จะเพราะใครมันก็ไม่สำคัญหรอกนิจ ในเมื่อเราตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่เจอกับพี่กล้าอีก”
ทั้งราชาวดีกับคะนึงนิจต่างเศร้าใจ ขณะนั้นมีเสียงกีตาร์ดังเข้ามา
“เกิดเป็นความรัก ความรักเมื่อแรกเจอ
จิตใจละเมอติดยังฝังตรึง ความรักมันเรียกร้อง
ทุกเวลาให้ฝันถึงวันก่อน...อยากบอกเธอ...รักครั้งแรก”
ทั้งสองสาวจำเสียงได้ มองหา กล้าโผล่เข้ามาดักหน้า ยิ้ม พร้อมสะพายกีตาร์ ราชาวดีกับคะนึงนิจเห็นกล้าก็ดีใจที่กล้าไม่เป็นไร
“พี่กล้า”
ราชาวดีลืมสิ่งที่พูดไว้ ก้าวเท้าไปหากล้า แต่แล้วก็หยุด มองกล้าที่เดินยิ้มเข้ามาหา รอยยิ้มนี้ทำให้เธอเศร้าใจเหลือเกิน
“ถึงกับอึ้งเลยเหรอครับ พี่หายแล้วจริงๆ นะ” กล้ามองซึ้งก่อนจะเอามะลิในมือขึ้นมาดม “ถ้าไม่มีเจ้ากระแตตัว
น้อยๆ นี้ พี่คงยังนอนหยอดน้ำข้าวต้ม อยู่อีกนาน” กล้าสบตาราชาวดี “ขอบคุณนะสำหรับความห่วงใยที่วดีมีให้พี่”
กล้าเอื้อมมือจับไปจับมือราชาวดี ราชาวดีสบตากล้ากลับ สายตาที่จริงใจของกล้าทำให้เธอทั้งหวั่นไหวและอ่อนแอ จนต้องน้ำตารื้นแต่เสมื่อนึกถึงคำพูดกระเต็น ราชาวดีจึงหักใจเดินหนีกล้าเข้าบ้านไป กล้าเห็นแล้วอึ้ง งง“วดี วดีเป็นอะไรไป โกรธอะไรพี่เหรอ วดีๆ”
กล้าจะตามเข้าบ้านด้วย แต่คะนึงนิจขวางไว้ คะนึงนิจทั้งหมั่นไส้ทั้งโกรธกล้า
“นี่พี่กล้ายังไม่รู้ตัวอีกเหรอ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอนิจ พี่งงไปหมดแล้ว”
“ก็แม่พี่ไปด่าวดีถึงที่สหวิช แล้วยังห้ามไม่ให้วดีเจอหน้าพี่อีก”
กล้าพอจะเดาเรื่องราวได้กถึงกับอึ้ง
“แม่พี่ทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”
“นิจจะโกหกไปทำไม เค้าเห็นกันทั้งวิทยาลัย”
“วดี”
กล้าพยายามตะโกนเรียกราชาวดี
“พี่กล้า นิจขอร้องล่ะ วันนี้พี่กลับไปก่อนเถอะ วดียังไม่พร้อมจะเจอพี่หรอก”
คะนึงนิจตามราชาวดีเข้าบ้านไป กล้าเครียด

กล้านั่งเครียดอยู่ที่ริมน้ำตามลำพัง กล้าถอนใจกลุ้มที่เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ สายตากล้ามองดูเจ้ากระแตดอกมะลิตัวน้อยที่ราชาวดีร้อยมาให้ในมือ
ไกลออกไปมุมหนึ่ง กระถินวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาจะไปตามหมอ พลางมองซ้ายมองขวาไปด้วย ทันใดมีตำรวจ 2 นาย ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจากทางด้านหลัง กระถินตกใจรีบวิ่งไปหลบหลังต้นไม้แถวๆ ที่รถมอเตอร์ไซค์ของกล้าจอดอยู่ ใจกระถินเต้นระทึกกลัวถูกจับได้
ตำรวจขี่รถมอเตอร์ไซค์ขับผ่านมาที่ต้นไม้ แล้วหยุดมองสำรวจรอบๆ เห็นแต่กล้านั่งอยู่ริมน้ำ ตำรวจเห็นไม่มีอะไรจึงรีบขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไป กระถินโล่งออก เดินออกมาจากหลังต้นไม้ จังหวะเดียวกับที่กล้าเดินกลับมาที่รถมอเตอร์ไซค์พอดี 
“อ้าว น้อง”
“พี่”
 
สองคนเจอหน้ากันก็จำได้เพราะกล้าเคยขอซื้อเสื้อจากกระถิน

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 4 (ต่อ)

ไม่นานนัก กระถินพากล้าเดินเข้ามาข้างในโรงไม้แห่งหนึ่ง บรรยากาศเงียบเชียบ สภาพเหมือนปิดกิจการ กล้ามองอย่างสงสัย

“ลุงหนูอยู่ที่นี่เหรอ”
“จ้ะ พี่ช่วยลุงหนูด้วยนะจ๊ะ”
กล้าระมัดระวังรู้สึกว่ามีคนตาม หันหลังกลับ แต่ไม่ทันขุนโชติที่โผล่มาใช้ดาบปาดคอหอยกล้าไว้
“เอ็งเป็นผู้ใด”
กระถินต้องรีบห้าม
“อย่าจ้ะลุง พี่เค้าเป็นพวกเดียวกัน หนูเป็นคนพาพี่เค้ามาเอง”
ขุนโชติจ้องกล้าตาเขม็ง ยังไม่ยอมวางดาบ

ที่บาดแผลของเสือไทเป็นรอยช้ำสีดำ ค่อยๆ ขยายวงกว้างออกเรื่อยๆ กล้ามองบาดแผล รู้ว่าไม่ธรรมดา“อาการหนักไม่ใช่น้อย คงต้องรีบพาไปหาหมอ”
“ไม่มีผู้ใดรักษามันได้ดอก บาดแผลนี้เกิดจากฤทธิ์ของอาคม แม้จะแก้ด้วยคาถาบทใดก็ยังไม่เป็นผล”
กล้าคิดเครียด
“จะถอนอาคมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยิ่งถ้าเป็นคนที่ประกอบแต่กรรมชั่ว ไม่อยู่ในศีลในธรรมแล้วละก็ยิ่งถอนยาก”
“เอ็งพูดเช่นนี้ หมายความว่ากระไร” เสือดำโมโห
“ผมก็แค่พูดตามที่ผู้ใหญ่สอนมา ไม่ได้มีเจตนาร้าย” กล้ามองขุนโชติและพวกด้วยความสงสัย “พวกน้าเป็นใคร มาจากไหน กันแน่ ทำไมถึงไปมีเรื่องกับคนมีวิชาอาคมได้”
“เอ็งจะถามซอกถามแซกเพื่อการอันใดวะ ถ้ารักษาไม่ได้ก็กลับไป” เสือดำบอกอย่างไม่ไว้ใจ กล้าจะกลับแต่กระถินเรียกไว้
“เดี๋ยวสิจ๊ะพี่ ลุงหนูเค้ามาจากบ้านนอก แล้วถูกพวกนักเลงรุมทำร้าย พี่ช่วยลุงหนูด้วยนะ หนูขอร้อง”
“พี่รักษาอาการแบบนี้ไม่เป็นหรอกนะ แต่แม่พี่อาจจะพอรู้จักใครที่ช่วยได้ เดี๋ยวพี่มา”
ทันใดเสือไทก็กระอักเลือดพุ่ง กระถินตกใจ
“ลุงๆ”
กล้ามองเป็นห่วง นึกถึงตอนที่พ่อรักษาคน จึงตัดสินใจถอดตะกรุดออกจากคอมองไปที่เสือไท
“เอ็งจักทำอันใดไอ้หนุ่ม”

กล้าเอาตะกรุดสามกษัตริย์แช่น้ำในขัน ว่าคาถา กระถินถูกกันให้อยู่ด้านนอก ตะกรุดค่อยๆ หมุนอยู่กับที่ เร็วขึ้นเรื่อยๆ น้ำในขันจึงหมุนตามกลายเป็นน้ำวน ทันใดน้ำในขันก็ส่องแสงสว่างวาบขึ้น ขุนโชติจ้องขันน้ำและกล้าด้วยความแปลกใจ ยังไม่ไว้ใจ กล้าส่งขันน้ำให้ดื่ม เสือดำรับไปป้อนให้เสือไท สักพักจะเห็นว่าบาดแผลค่อยๆ เลือนหายไปจนหมด กระถินดีใจวิ่งมาดู
“ลุง ลุงหายแล้ว”
กระถินหาผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดตาเสือไท
“เอ็งไปร่ำเรียนอาคมมาจากสำนักใด จึงมีของดีติดตัวเช่นนี้”
“พ่อผมเป็นคนสอนให้ตั้งแต่เด็ก ไว้เป็นวิชาติดตัว”
“นับว่าไอ้ไทมันยังมีบุญ วันนี้มึงช่วยพวกข้า วันหน้าข้าจักตอบแทนน้ำใจเอ็ง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้ทำอะไร ตะกรุดสามกษัตริย์ต่างหากที่ช่วยรักษา”
“รึเอ็งนึกรังเกียจน้ำใจพวกข้า”
กล้าจำใจน้อมรับ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ขุนโชติพอใจ รู้สึกถูกชะตากับกล้า

คืนนั้นกล้าปีนกลับเข้าห้องทางหน้าต่าง สีหน้ากล้าดูเครียด ตรงไปที่โต๊ะรีบเอาเจ้ากระแตมะลิตัวน้อยเก็บใส่กล่องเพื่อซ่อนไม่ให้กระเต็นเห็น กล้าถอดรองเท้าแล้วมุดเอาไปซ่อนไว้ใต้เตียง เสียงของหล่นกระทบพื้น เงยหน้าขึ้นมา ปรากฏว่าเจ้ากระแตมะลิตัวน้อยหล่นอยู่ที่พื้น กล่องกระจาย กล้าดุ ยังอารมณ์เสียอยู่
“รัก ยม อย่าแกล้งกันแบบนี้ พี่ไม่ผิดสัญญาหรอกน่า” กล้าหยิบตัวกระแตใส่กล่อง วางบนโต๊ะใหม่ รักกับยมปรากฏตัวขึ้น หน้าซีด ส่ายหน้า “ขอบใจมากนะที่ร่วมมือด้วย แม่มาแล้วใช่มั้ย พี่เห็นรถจอดอยู่ พี่มีธุระสำคัญต้องคุยกับแม่ เสร็จแล้วจะจัดขนมไหว้ให้”
รักยมได้แต่ส่ายหน้า มองไปที่มุมนึง ตกใจ แล้วหายตัวไป ทันใดจะเห็นกล่องเลื่อนได้เอง หล่นลงพื้นอีก
“ไม่เล่นแบบนี้นะ พี่ไม่ชอบ มะลินี้สำคัญกับพี่มากเข้าใจมั้ย”
กระเต็นที่ใช้คาถากำบังกายค่อยๆ ปรากฏร่างขึ้น เหน็บใบพลูทัดหู กระเต็นจ้องหน้าลูกชายตัวเอง
“สำคัญกว่าแม่แกด้วยใช่รึเปล่า”

“แม่” กล้าครางด้วยความตกใจ

กระเต็นมองหน้าลูกชายด้วยความโกรธ

“จะบอกแม่ได้รึยัง ว่าแกออกไปไหนมา” กล้าไม่ตอบ หน้าเครียด “ราชาวดีอีกแล้วล่ะสิ แม่นั่นคงจะเอาเรื่องเมื่อเช้ามาฟ้องแกแล้วใช่มั้ย”
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมแม่ต้องไปต่อว่าวดีอย่างนั้นด้วยที่ผมถูกทำร้ายไม่ได้เกี่ยวกับวดีเลย”
กระเต็นโมโหที่กล้ายังเข้าข้างราชาวดี
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง แม่นั่นเที่ยวโปรยเสน่ห์ ยั่วผู้ชายให้มาตีกัน แกควรจะตาสว่างได้แล้ว เลิกปกป้องผู้หญิงอย่างนั้นซะที”
“ไม่จริงนะครับ วดีไม่ใช่คนแบบนั้น แม่ไปฟังมาจากไหน”
“แม่จะฟังมาจากไหน มันไม่สำคัญหรอก ถ้าแม่นั่นยังมายุ่งวุ่นวายกับแก แกก็คงบวชอย่างสงบไม่ได้หรอก”
“งั้นผมก็ไม่บวช”
“กล้า”
กล้าตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
“แม่เชื่อแต่คำทำนายของหลวงปู่ แต่แม่กลับไม่เชื่อใจผมทั้งๆ ที่ พ่อกับแม่สอนผมมาตลอดว่า ใครทำอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น ถ้าเราทำดีก็ต้องได้ดี พ่อกับแม่สอนผมมาแบบนี้เอง ไม่ใช่เหรอครับ”
“มันไม่เหมือนกันนะกล้า คราวนี้ลูกต้องมารับผลกรรมที่ตัวเองไม่ได้ทำ แม่ยอมไม่ได้”
“หมายความว่ายังไงครับ ผลกรรมอะไร แม่ปิดบังอะไรผมไว้” กล้าถามอย่างสงสัย
กระเต็นรู้ตัวว่าหลุดปาก ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีเลยพาลอารมณ์เสีย
“แกไม่มีสิทธิ์มาคาดคั้นแม่ แกรับปากแม่แล้ว ถ้าแกจะมาผิดสัจจะกับแม่เพราะผู้หญิงคนเดียว เราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกัน”
กระเต็นเดินกลับออกไป กล้ากลุ้มหันไปเจอจุกยืนอยู่ กล้าถึงกับอึ้งไป

“เฮ้ยใจเย็นสิกล้า แม่เค้าทำไปเพราะเป็นห่วงแกนะ”
จุกปลอบใจกล้า
“บอกตรงๆ นะน้า ผมว่าแม่ต้องปิดบังอะไรผมซักอย่าง ปกติแม่ไม่ใช่คนที่จะตามห่วง ตามหวงอะไรผมขนาดนี้”
“มันก็คงเพราะเรื่องไอ้ทิวนั่นแหละ” จุกนึกได้ว่าหลุดปากออกไป
“ไอ้ทิว? ใครกันครับ”
“เอ่อ คือ”
จุกรู้ตัวว่าทำทุกอย่างเสีย กล้าจ้องมองอย่างคาดคั้น

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นหาญก็นิมิตเห็นทิว ภาพในนิมิตมีหมอกควันหนาทึบดูลึกลับแล้วก็เห็นทิวเดินสะเปะสะปะ ไม่รู้ทิศทาง
“ไอ้ทิว ไอ้ทิว”
ทิวชะงักหันมา
“ใคร ใครเรียกข้า”
หาญเดินฝ่าหมอกมา
“ข้าเอง”
“ไอ้สารเลว”
ทิวพุ่งจะทำร้ายหาญแต่หาญหลบ หลีก ทิวปะทะเข้ากับพลังของลูกสะกดกระเด็นไป หาญเห็นตัวทิวโปร่งแสง ถึงกับอึ้ง
“เอ็งไม่ใช่คน เอ็งตายแล้วเหรอไอ้ทิว”
“เพราะเอ็ง เอ็งทำให้ข้าต้องเป็นแบบนี้ ข้าจะจองเวรเอ็งทุกภพทุกชาติ”
“ข้าไม่เคยคิดฆ่าเอ็ง ข้าตั้งใจจะจับเอ็งส่งทางการเท่านั้น”
ทิวมองหาญตาขวาง
“ไอ้ขุนโชติ ไอ้โจรตะบัดสัตว์ เอ็งใช้เลือดข้าชุบชีวิตให้เอ็งบอกว่าจะแก้แค้นให้ข้า แต่เอ็งกลับฆ่าข้า ข้าขอสาปแช่งเอ็ง”
“ขุนโชติเหรอ เอ็งถูกขุนโชติฆ่าเหรอทิว”
ทิวมองไปข้างหลังหาญ
“ไม่นะ ข้าไม่ไป”
ทิววิ่งหนีหาญวิ่งตาม
“ทิว ทิว”
ทิววิ่งหนีไปเจอยมฑูตสองตัว นุ่งผ้าแดง ถูกจับลากไป
“ช่วยด้วย ข้าไม่ไป”
ทิวร้องลั่น หาญวิ่งตามไปแต่เจอกำแพงไฟเข้าไม่ได้ ผงะออกมา
หาญลืมตาจากนิมิต
“ไอ้ทิวตายแล้วหรือนี่”

ขณะนั้นกระเต็นนั่งอยู่หน้าโกศและรูปภาพของเพชร น้ำตาคลอ
“เพชร ทำไม นายไม่อยู่คอยแก้ปัญหากับฉัน ทำไมนายต้องทิ้งฉันไว้คนเดียว”
กล้าเปิดประตูห้องเข้ามา กระเต็นรีบเช็ดคราบน้ำตา กล้ามองเห็น รู้สึกผิดจึงคุกเข่ากราบแม่
“ผมขอโทษครับที่เมื่อกี้ล่วงเกินแม่ไป”
กระเต็นลูบหัวลูกชายอย่างเอ็นดู
“แม่ไม่ได้โกรธกล้า แต่แม่เป็นห่วงกล้าเข้าใจมั้ย”
“ครับ น้าจุกเล่าเรื่องไอ้ทิวให้ผมฟังแล้ว ทำไมแม่ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผมเลย” กล้าตัดพ้อ
“แม่ไม่อยากให้กล้าเป็นกังวล ไอ้ทิวก็แค่บ้าอวิชชา มันแค้นที่พ่อเป็นคนจับมันเข้าคุก มันเลยตามมาล้างแค้นพวกเราทุกคน” กล้ามองรูปเพชร
“แต่พ่อทำตามหน้าที่ เพื่อความสงบสุขของชาวบ้าน ผมเชื่อมั่นในความดีที่พ่อทำ ผมเป็นลูกของพ่อ เป็นลูกตำรวจผมไม่เคยกลัวพวกคนเลว ผมจะต้องลากคอมันมาให้กฎหมายลงโทษ แม่ไม่ต้องกลัว ผมจะปกป้องแม่เอง”
กระเต็นสะเทือนใจ เพราะกุมความลับที่กล้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตนไว้ กระเต็นกอดกล้า
“หนอยไอ้ลูกคนนี้ รู้จักแม่ตัวเองน้อยไปซะแล้ว ถึงวิชาอาคมแม่จะมีติดตัวไม่เท่าไหร่ แต่วิชาเอาตัวรอด
แม่ก็เป็นหนึ่งในตองอูนะจะบอกให้”
“ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่วางใจ จนกว่าไอ้ทิวจะถูกจับ”
“คุณพจน์เค้าออกหมายจับไปทั่วประเทศแล้ว อีกไม่นานก็จับตัวมันได้ กล้าไม่ต้องห่วงแม่หรอก คราวก่อนที่ไอ้ทิวมันหนีไป ไม่ใช่เพราะสู้แม่ไม่ได้เหรอ” กระเต็นจำใจโกหก มองรูปเพชร “ถึงไม่มีคำทำนายหรืออันตรายใดๆ ทั้งพ่อและแม่ก็อยากเห็นกล้าบวชมานานแล้ว” กระเต็นสบตากล้า ขอร้อง “บวชเถอะนะลูก ถึงไม่เห็นแก่แม่ ก็คิดเสียว่าเห็นแก่พ่อ เรื่องผู้หญิงน่ะ ถ้าคู่กันแล้วคงไม่แคล้วกันหรอก กล้าสึกออกมาเมื่อไหร่ แม่สัญญาว่าจะไม่ห้าม ไม่ว่ากล้าจะรักกับใคร เชื่อแม่สักครั้ง เราเหลือกันแค่สองคนแม่ลูกนะกล้า”
กล้ามองรูปเพชร ใจอ่อน
“ครับแม่ ผมจะบวชให้พ่อกับแม่”

กระเต็นโล่งอก กอดกล้าด้วยความปลาบปลื้มใจ

วันต่อมากระเต็นมาหาหาญที่อพาร์ตเม้นต์

“กล้าจะบวชมะรืนนี้เหรอ”
“ใช่ค่ะ หนูไม่อยากรอฤกษ์อะไรแล้ว ยังไงก็ขอให้กล้าได้อยู่ในผ้าเหลืองก่อน ส่วนเรื่องไอ้ทิวค่อยว่ากัน”
“พ่อคิดว่าไอ้ทิวคงตายแล้ว”
“พ่อหาญรู้ได้ยังไงคะ”
“ดวงจิตของพ่อเจอวิญญาณของมัน มันบอกว่าไอ้ขุนโชติเป็นคนฆ่ามัน แล้วก็ใช้เลือดของมันชุบชีวิตตัวเองขึ้นมา”
“แล้วมันรู้จักกันได้ยังไง”
“พ่อก็อยากรู้ เพราะฉะนั้น ต้องหาตัวไอ้ขุนโชติให้เจอเท่านั้น ปริศนาทุกอย่างก็จะกระจ่าง รวมทั้งเรื่องที่มันเรียกพ่อว่าเป็นหลวงณรงค์ด้วย”
“แต่เราจะหามันเจอได้ยังละคะ” หาญเครียดขึ้นมาทันที
“เอ็งติดต่อ เพื่อนตำรวจของเอ็งได้มั้ย ข้าอยากรู้ว่าบ้านของเด็กผู้หญิงคนที่ช่วยขุนโชติหนีอยู่ที่ไหน”

กระถินพาขุนโชติและลูกน้องมาหลบที่โรงไม้แห่งหนึ่ง
“พวกข้าต้องใส่ของพวกนี้จริงๆ รึวะ”
ขุนโชติถามกระถินขณะติดกระดุมกางเกงยีนส์
“จริงสิจ๊ะ พวกลุงจะได้ไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ เค้า”
ขุนโชติยืนหันหลังใส่เสื้อกั๊กยีนส์ ก่อนจะหันหน้ากลับมา
“ข้าดูเป็นเยี่ยงไรวะนังกระถิน”
กระถินพิจารณาก่อนจะยกนิ้วโป้งให้
“เท่ระเบิดเลยลุง”
ขุนโชติ เสือดำ เสือไท เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าร่วมสมัยแล้ว แต่ท่าทางยังไม่มั่นใจ อึดอัด

เหรียญและธนบัตรยุคพ.ศ.2525 วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ขุนโชติ เสือดำ เสือไท ดูอย่างสงสัย
“เอ็งเอากระไรมาให้พวกข้าดูวะ นังกระถิน”
“เงินจ้ะลุง เอาไว้ซื้อของได้ในสมัยนี้” กระถินหยิบแต่ละอันขึ้นมาสอน “อันนี้เหรียญหนึ่งบาท เหรียญห้าบาท แบงก์สิบ แบงก์ยี่สิบ แบงก์ร้อย แล้วก็แบงก์ห้าร้อย”
“แบ๊งรึ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เสือไทหยิบเหรียญห้าบาทมาแทะแล้วโยนทิ้ง
“ถุย มันไม่ใช่เงินแท้นี่”
เสือดำหยิบธนบัตรขึ้นมาบ้าง
“แล้วไอ้กระดาษพวกนี้จะมีค่าได้เยี่ยงไร”
กระถินไม่รู้จะตอบยังไง ขุนโชติดูจะเข้าใจกว่าคนอื่น
“กาลสมัยมันเปลี่ยนไป อย่าว่าแต่คนเลย ของมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วยสิวะ เงินพวกนี้มันก็เหมือนอัฐหรือเฟื้องที่พวกเราเคยใช้กันกระมัง”
กระถินรีบพยักหน้ารับ
“ใช่จ้ะ อย่างนั้นแหละลุง”
เสือดำกับเสือไทยังสนใจกับธนบัตรดูงุนงง ไม่รู้จะใช้ยังไง
“เอ็งมีน้ำใจกับพวกข้ามากนังกระถิน ข้าไม่รู้จะตอบแทนเอ็งเยี่ยงไรดี”
“พวกลุงก็ช่วยเหลือหนูตั้งหลายอย่าง หนูมีเงินพอที่จะพาแม่ไปรักษาได้ก็เพราะพวกลุง”
“เอ็งเป็นเด็กที่รู้คุณคน จงรักษาสิ่งนี้เอาไว้ให้จงดี แต่ตอนนี้เอ็งควรกลับบ้าน ไปหาแม่ได้แล้ว”
“ลุงจะไล่หนูแล้วเหรอจ๊ะ”
“เอ็งอย่ามาสำออยกับข้า ขืนอยู่กับพวกข้ารังแต่จะเสี่ยง”
กระถินโผเข้ากอดขุนโชติแน่น ขุนโชติลูบหัว นึกถึงลูกตัวเอง ร่ายคาถา แล้วเป่าลงบนกระหม่อมของกระถิน
“จักไม่มีใครทำร้ายเอ็งได้เอ็งจงไปได้แล้ว” กระถินน้ำตาคลอ
“หนูไปก่อนนะจ๊ะ พวกลุงๆ ดูแลตัวเองด้วย”
ขุนโชติไม่ตอบอะไรกลับหันหลังให้ กระถินวิ่งออกไป เสือดำกับเสือไทมองตาม
“ปล่อยนังกระถินไปอย่างนี้จะดีรึพี่ ข้าเกรงว่าพวกโปลิศมันจะตามรอยนังกระถินกลับมาหาเราอีก”
“เด็กคนนี้มีความกตัญญูเป็นที่ตั้ง เอ็งไม่ต้องเกรงไปดอก แลถึงมันจะเป็นจริง ใยจะต้องกลัว เพราะข้าจะประกาศศึกกับพวกโปลิศอยู่แล้ว” เสือดำกับเสือไทสบตากันอย่างฮึกเหิม “ข้ายังอยากเจอลูกหลานไอ้หลวงณรงค์คนนั้นอีกครั้ง”

ขุนโชติมีแผนล่อเสือออกจากถ้ำอยู่ในใจ

กระถินกลับมาบ้านได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ในบ้านจึงสงสัย แอบดู แล้วกระถินก็เห็นหาญคุยอยู่กับพ่อและแม่ของตัวเอง กระถินจำหาญได้จึงแอบฟัง

“ผมบอกไปแล้วไง ว่านังกระถินมันทำของมันเอง ผมไม่เกี่ยวอะไรด้วย”
พ่อกระถินบอกขณะที่แม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ห่วงลูกสาว
“แล้วได้ข่าวนังกระถินบ้างรึเปล่าจ๊ะ มันอยู่ที่ไหน ปลอดภัยรึเปล่า”
หาญได้แต่ส่ายหน้า ทันใดรู้สึกว่ามีคนแอบฟังจึงหันมอง กระถินตกใจรีบหนี แต่พ่อตามไปลากตัวกลับมาได้
“มานี่เลยนังตัวดี ตัวแค่นี้ริอาจคบค้าพวกโจร”
“อย่านะพี่ อย่าทำอะไรลูกนะ”
แม่ที่เป็นอัมพาตตะเกียกตะกายจนหล่นเก้าอี้ หาญรีบเข้าประคอง พ่อเงื้อมือตบกระถิน กระถินหลับตา แต่กลับกลายเป็นว่ามือของพ่อไถลไปตบโดนขอบโต๊ะเข้าให้ พ่อสะบัดมือด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย”
หาญมองด้วยความตกใจ สงสัย แล้วหาญก็เห็นพ่อกระถินหันไปคว้าไม้ขัดหม้อมาตี แต่พอไม้ใกล้ตัวกระถิน ยันต์คุ้มกายก็ลอยออกจากตัวกระถิน กระทบไม้ขัดหม้อหักเป็นสองท่อนทันที พ่อโกรธจะฟาดซ้ำ หาญจึงคว้ามือพ่อเอาไว้
“พอได้แล้ว”
“ฉันจะสั่งสอนลูกฉัน แกยุ่งอะไรด้วย”
หาญส่งเงินให้ พ่อกระถินยิ้ม ทิ้งไม้ รีบคว้าเงินแล้วออกไป หาญจ้องกระถินแล้วคาดคั้น
“นี่ใครเป่ายันต์คุ้มกายให้เอ็งมา?”
กระถินไม่ตอบแต่กลับวิ่งไปกอดแม่ หาญมองอย่างมั่นใจว่าเป็นอาคมของขุนโชติที่คุ้มกันกระถินไว้

หาญคุยอยู่กับกระถิน กระถินได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“หนูบอกไม่ได้หรอกว่าพวกลุงเค้าซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แล้วป่านนี้ พวกลุงๆ เค้าก็คงไปที่อื่นกันแล้วล่ะ”
“แล้วพวกลุงของเอ็ง เค้าบอกรึเปล่าว่าเป็นใคร มาจากไหน”
กระถินจำเป็นต้องโกหก
“เค้าไม่ได้บอกอะไรหนูหรอก รู้แต่ว่าพวกลุงๆ เค้ามาจากต่างจังหวัด น้าจะรู้ไปทำไมกัน น้าเป็นตำรวจเหรอ”
หาญรู้ว่ากระถินไม่พูดความจริง
“ข้าไม่ได้เป็นตำรวจหรอก เพียงแต่มีบางเรื่องที่อยากซักถามลุงของเอ็ง” หาญจ้องกระถิน “เอ็งรู้ใช่มั้ยว่าคนพวกนั้นเป็นโจร” กระถินหลบตาเพราะรู้ดี “การช่วยเหลือคนร้าย มันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำหรอกนะ ข้าว่า ถ้าแม่เอ็งรู้เข้า คงจะเสียใจ”
“แต่พวกลุงๆ เค้ามีบุญคุณกับหนู เค้าสอนวิชาไว้เลี้ยงตัว” กระถินกอดห่อผ้าไว้แน่น“แล้วยังให้เงินหนูไว้รักษาแม่”
“แต่เงินที่ปล้นเค้ามา มันเป็นเงินบาป”
“แล้วจะให้ทำไง ในเมื่อแม่กำลังจะตาย พ่อก็เอาแต่กินเหล้า หนูไปขอยืมเงินใครก็ไม่มีใครให้ เงินบาปที่น้าว่า
จะช่วยให้แม่ของหนูไม่ตาย ถ้าเป็นน้า น้าจะทำยังไง”
หาญอึ้ง ไม่รู้จะตอบอะไร

อีกด้านหนึ่งที่ตำหนักอาจารย์ยอด ภูมินทร์ยกพานไหว้ครูให้อาจารย์ยอด อาจารย์ยอดมองด้วยความพอใจ รับมา ภูมินทร์ก้มลงกราบอย่างไม่เต็มใจนัก
“ในเมื่อเอ็งยอมกราบเป็นศิษย์ของข้า เรื่องที่แล้วมาข้าก็ไม่ติดใจเอาความ”
ภูมินทร์สบตาเสี่ยไพบูลย์ เสี่ยไพบูลย์พยักพเยิดให้ตามน้ำ
“ขอบคุณอาจารย์ที่เมตตาผม มีแต่อาจารย์เท่านั้นที่ผมจะพึ่งได้”
“ฮ่าๆๆ พูดได้ดี ข้ารับรองว่าเอ็งจะไม่ผิดหวัง ทั้งผู้หญิงที่เอ็งรักและน้องสาวเอ็งจะมาสยบแทบเท้าเอ็งในไม่ช้า”
“ที่สำคัญกว่านั้นคือไอ้กล้า ผมไม่อยากเห็นมันอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป” ภํมินทร์บอกอย่างแค้นๆ
“แต่มันมีตำรวจเป็นพวก แล้วยังมีเสือหาญคอยตามคุ้มกันอีก” เสี่ยไพบูลย์บอก
“ข้อนั้นไม่ต้องห่วง ข้าจะทำให้มันกลายเป็นคนเลวในสายตาของทุกคน ดูสิยังจะมีใครช่วยมันได้อีกมั้ย” แววตาอาจารย์ยอดดูเหี้ยมขึ้น “จากนั้นเราจะกำจัดมันทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้”
ภูมินทร์กับเสี่ยไพบูลย์ยังไม่เข้าใจ
“อาจารย์จะใช้วิธีไหนเล่นงานมันครับ”
“เดี๋ยวพวกเอ็งก็จะรู้เอง เสี่ยไพบูลย์ เอ็งไปสืบมาว่าไอ้กล้ามันมีศัตรูอยู่ที่ไหนบ้าง”
เสี่ยไพบูลย์รับคำ เมื่อเห็นยอดยิ้มอย่างมั่นใจ

ภูมินทร์มีความหวังจะกำจัดกล้าลงได้

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 4 (ต่อ)

กล้ากลับมาอยู่วัด กระเต็นและจุกกราบเจ้าอาวาส

“ฝากกล้าด้วยนะคะหลวงพ่อ ส่วนเรื่องงานบวช เครื่องอัฐบริขารก็เตรียมไว้พร้อมหมดแล้วเจ้าค่ะ จัดงานเล็กๆ ก็พอ”
เจ้าอาวาสพยักหน้ารับ
“ดีแล้ว งานบวชงานบุญไม่ได้สำคัญที่การเฉลิมฉลองอะไรหรอก มันสำคัญที่ใจต่างหาก...กล้า เมื่อจะบวชแล้ว
ต้องตั้งจิตตั้งใจให้ดี ธรรมะจะทำให้คนเต็มคนรู้ไหม?”
“ครับหลวงพ่อ แม่ น้าจุก สิ่งใดที่ผมเคยล่วงเกินไป ผมขออโหสิกรรมนะครับ” กล้ายกมือไหว้แม่กับจุก กระเต็นกับจุกรับไหว้
“ดีแล้วไอ้หลานชาย ติดค้างใครไว้ก็ต้องขออโหสิกรรมซะ เวลาบวชจิตใจจะได้สงบ”
“ครับน้า”
กล้าคิดแว๊บไปถึงตอนที่ไปดักพบราชาวดี แต่ราชาวดีหนีเข้าบ้านไม่คุยด้วย กล้ากลุ้มใจ แต่พยายามเก็บอาการ
“มีอะไรโยมกล้า รึว่ายังมีใครที่ติดข้องในใจอยู่อีก” เจ้าอาวาสถาม
“เปล่าครับ”
“งั้นก็ไปพักผ่อนเถอะโยม พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
“ครับ”
กล้าไหว้กระเต็นกับจุกแล้วลุกออกไป เจ้าอาวาสมองกล้าจนพ้นสายตาจึงพูดกับหาญที่นั่งกำบังกายอยู่
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยนะ โยมกล้าพักอยู่ในกุฏิอาตมา รับรองไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่องอีกแน่”
หาญออกจากกำบังกาย
“ครับท่าน”
หาญ กระเต็น จุก พยักหน้าให้กันอย่างวางใจ

วันต่อมาที่สหวิช นุกูลนั่งกินข้าวอยู่กับป๋อง โป้ง เปี๊ยก
“เฮ้ย พรุ่งนี้เลยเหรอวะไอ้นุ ทำไมกะทันหันจังวะ” ป๋งถามนุกูลเมื่อรู้ข่าวกล้าจะบวช
“นั่นดิ แบบนี้จะหาชุดหล่อทันเหรอวะเนี่ย”
“เออน่า จะบ่นทำไมวะ มีอะไรก็ใส่ๆ ไปเหอะ”
“จริงของไอ้นุมัน พวกเราหล่อมันมาตรฐานโว้ย ชุดไหนก็ดูดี”
นุกูลเห็นงามตาเดินเข้ามากับนงคราญ นุกูลรีบหลบเพราะยังเซ็งที่โดนด่าคราวที่แล้ว เปี๊ยกเห็นท่าทางนุกูลจึงถามออกมา
“ไอ้นุ หลบน้องงามของเอ็งทำไมวะ ถือซะว่าหญิงด่าแปลว่าหญิงรักนะเว้ย” งามตาเดินผ่านมาที่โต๊ะ เปี๊ยกขยับให้นั่ง “นั่งด้วยกันไหมจ๊ะงามจ๋า”
งามตาหยุดชายตามองเบะปากเชิดใส่ แล้วเดินออกไปไม่สน
“อย่าไปกวนใจเค้าน่า”
เปี๊ยกคิด ลุกขึ้นเคาะแก้ว
“เอ้าๆๆ หยุดกินกันก่อน ไอ้เปี๊ยกมีข่าวดีมาแจ้งให้ทราบนะ คร้าบเพื่อนทุกท่าน”
เพื่อนๆ ในโรงอาหารหยุดกิน หันมาฟัง ราชาวดีกับดวงใจเดินเข้ามาพอดี ดวงใจสะกิดให้หยุดฟัง นุกูลมองกลุ่มงามตาที่หันมามอง
“เฮ้ย ไอ้เปี๊ยก ทำอะไรวะ”
“เฉยเหอะน่า” เปี๊ยกตะโกนต่อ “พรุ่งนี้เช้าพี่กล้าของพวกเราจะบวชแล้วนะครับพี่น้อง” เปี๊ยกเหล่ไปทางงามตา “ใครอยากไปร่วมยินดี ก็ไปเจอกันได้เลยที่วัดมะยมในนะคร้าบ”
เปี๊ยกโค้งแล้วนั่งลง ป๋องกับโป้ง ปรบมือให้เปี๊ยก
“ฮิ้ว”
“ไอ้เปี๊ยก จะบ้าเหรอวะ เดี๋ยวแม่พี่กล้าก็ว่าเอาหรอก” นุกูลดุเปี๊ยก
“ว่าก็ว่า ยัยงามจะได้รู้ซะมั่งว่าพี่กล้าเป็นพระไปแล้ว ไม่ต้องมาพร่ำเพ้ออีกต่อไป เอ็งจะได้มีหวัง”
นุกูลใจชื้นขึ้น

“อยู่ดีดีก็จะบวช แล้วบวชนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เกิดบวชไม่สึกขึ้นมาจะทำไง”
งามตาบ่นกับนงคราญ
“ งั้นก็เอางี้ซิ แกแต่งตัวให้สวยเซ็กซี่ที่สุด ไปขอถือหมอนเพื่อประกาศตัวให้ใครใครรู้ว่า แกเป็นแฟนพี่กล้า พี่กล้าเห็นความงามของแก ก็จะได้อยากสึกเร็วๆ”
“จริงด้วย แกหัวแหลมมากๆ สมเป็นเพื่อนฉัน”
งามตาเหลือบไปเห็นราชาวดี จึงหันมามองหน้านงคราญอย่างรู้กันก่อนจะปรี่เข้าไปหาเรื่อง
“ไงจ๊ะวดี อยากจะไปงานบวชพี่กล้ามั้ย เนี่ยแม่พี่กล้าโทรมาชวนฉันตั้งแต่เมื่อวานละ ก็คงให้ไปถือหมอนน่ะนะ เธอไปด้วยกันไหมล่ะ เอ๊ะ แต่ไม่รู้แม่พี่กล้าจะให้เธอเข้างานรึเปล่านะ”
งามตาพูดจบก็หัวเราะกับนงคราญร่วน ดวงใจจะเอาเรื่อง ราชาวดีดึงแขนไว้
“งามตา ขอบใจนะที่บอก แต่เราต้องเตรียมตัวสอบ ฝากอนุโมทนากับพี่กล้าด้วยนะ”

ราชาวดีเดินไปนิ่งๆ ดวงใจตาม งามตาสะใจ

ทั่วบริเวณกุฏิเจ้าอาวาสยามค่ำคืนเงียบงัน กล้ามองใบพลูที่ถืออยู่ในมือ เสียงที่จุกพูดดังเข้ามา

“ดีแล้วไอ้หลานชาย ติดค้างใครไว้ก็ต้องขออโหสิกรรมซะ เวลาบวชจิตใจจะได้สงบ”
กล้าลองลุกไปแง้มประตูดู เห็นเจ้าอาวาสนั่งสมาธิอยู่กลางกุฏิ กล้าปิดประตูเบาๆ คิดตัดสินใจ

กล้าเดินออกจากห้องแล้วมองเจ้าอาวาสที่นั่งสมาธิอยู่ ร่างของกล้าโปร่งใสที่หูทัดใบพลู ค่อยๆ ย่องผ่านหน้าท่านเจ้าอาวาสช้าๆ เจ้าอาวาสไอแล้วลืมตาขึ้น กล้าเกร็ง ยืนนิ่ง ลุ้นว่าเจ้าอาวาสจะเห็นไหม เจ้าอาวาสมองตรงมาที่กล้านิ่ง ก่อนที่จะลุกเดินผ่านหน้ากล้ากลับเข้าห้องเพื่อจำวัด กล้าโล่งอก
ขณะนั้นราชาวดีนั่งใจลอยอยู่ในบ้าน คิดถึงที่งามตาพูด
“ไงจ๊ะวดี อยากจะไปงานบวชพี่กล้ามั้ย เนี่ยแม่พี่กล้าโทรมาชวนฉันตั้งแต่เมื่อวานละ ก็คงให้ไปถือหมอนน่ะนะ เธอไปด้วยกันไหมล่ะ เอ๊ะ แต่ไม่รู้แม่พี่กล้าจะให้เธอเข้างานรึเปล่านะ”
ราชาวดีถอนใจ รู้สึกแย่มากๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แต่ราชาวดีเหม่อ จนไม่ได้ใส่ใจเสียงโทรศัพท์ คะนึงนิจวิ่งเข้าห้องมาจากห้องวาดรูป เห็นราชาวดีที่นั่งเหม่ออยู่ก็แปลกใจแล้วรีบไปรับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ บ้านครูเริงค่ะ”
กล้าคุยโทรศัพท์อยู่ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าวัด
“วดีใช่ไหม นี่พี่กล้านะ”
คะนึงนิจหน้าตึงขึ้นมาทันที
“ไม่ใช่ค่ะ นี่คะนึงนิจพูด”
“ขอพี่พูดกับวดีหน่อยได้มั้ย” คะนึงนิจเหลือบมองเพื่อนแล้วพูดต่อ “คงไม่ดีมั้งคะ แม่พี่ก็บอกอยู่แล้วว่าห้ามวดียุ่งกับพี่อีก แค่นี้นะคะ”
ราชาวิดีเห็นคุยนานหันมาฟัง เอะใจว่าเป็นกล้า ลุกขึ้น
“เดี๋ยวๆ นิจ ฟังพี่ก่อน พี่ขอร้อง พรุ่งนี้พี่จะบวชแล้ว”
คะนึงนิจกำลังจะวางหูได้ยินก็ชะงัก ฟังต่อ
“บวช”
“ใช่ พี่โทร.มาขออโหสินะนิจ พี่รู้ว่าวดีกับนิจยังโกรธเรื่องแม่พี่อยู่ แต่ขอให้รู้ว่าพี่ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยจริงๆ”
คะนึงนิจหันไปเจอราชาวดีที่เดินเข้ามาใกล้
“งั้นรอเดี๋ยวนะคะ...พี่กล้าจะบวช เค้าโทรมาขออโหสิ”
คะนึงนิจบอกราชาวดี ราชาวดีทำเหมือนจะรับ แล้วเปลี่ยนใจ
“บอกเค้าด้วยว่าเราอโหสิ”
ราชาวดีบอกแล้วเดินออกไปเลย
“วดี เดี๋ยวซิวดี” กล้าได้ยิน จึงรู้สึกผิดหวัง “พี่กล้า คือ”
“พี่ได้ยินแล้วละ ขอบใจมากนะ นิจ” คะนึงนิจอึ้ง
“แล้ว พี่”
กล้าวางหู คะนึงนิจวางหู รู้สึกเหงาๆ ที่กล้าจะหายไป

ราชาวดีเข้ามายืนน้ำตาไหลอยู่ในครัว คะนึงนิจเข้ามา ราชาวดีแกล้งหยิบนั่นนี่ไปล้างทำความสะอาด
“วดี”
“นิจหิวไหม เดี๋ยวเราทำของว่างให้”
“เรื่องที่พี่กล้าจะบวช”
“เรารู้จากพวกนุกูลแล้ว”
“เหรอ แล้วเค้าจะบวชนานมั้ย”
“ไม่รู้ซิ เราไม่ได้ถาม ก็เรากับเค้าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วนี่”
“นั่นซินะ บวชๆ ไปซะได้ก็ดี จะได้เลิกเจ้าชู้วุ่นวายกับสาวๆ บวชไม่สึกเลยได้ยิ่งดี”
สองสาวต่างทำเป็นรื่นเริง แต่ก็คิดถึงกล้า

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ร้านข้าวต้มในตลาดโต้รุ่ง โจ๊ก เบิ้มและกลุ่มเพื่อนๆ นั่งสังสรรค์กันอยู่
“ได้ข่าวมาว่า ไอ้กล้า สหวิช มันจะบวชวันพรุ่งนี้นี่หว่าเด็กสหวิชคงไปกันเยอะ พวกเราน่าจะไปเดินเหยียบงานบวชมันเล่นซะหน่อยนะ” เบิ้มบอกขึ้นมา
“ไปได้ยังไงวะ เราสองคนโดนคุมประพฤติอยู่ แกอยากกลับเข้าสถานพินิจอีกรอบเหรอ แต่ฉันไม่เอาแล้ว รำคาญแม่ด่า”
“ใจเสาะทำไมวะไอ้โจ๊ก พ่อฉันรู้จักผู้ใหญ่ตั้งหลายคน ยังไงโรงเรียนก็ไม่กล้าทำอะไรเราอยู่แล้ว แค่แม่ด่านิด ด่าหน่อยจะกลัวอะไรนักหนา ถ้าป๊อดนักพรุ่งนี้แกไปลาออกจากไทกนกเลยดีกว่า แล้วเอากระโปรงมานุ่งซะด้วยนะ อยู่ไปก็เสียศักดิ์ศรีสถาบันวะ”
“เฮ้ย ใครว่าฉันกลัววะ ไปหามันคืนนี้เลยยังได้ คราวก่อนยังข้องใจไม่หาย ยิงมันตกน้ำกับมือ ยังไงก็ไม่รอด แต่มันกลับไม่เป็นอะไรเลย”
“หรือว่ามันจะมีของดีอย่างที่เค้าลือกัน งั้นเรารอให้งานบวชมันผ่านไปก่อน แล้วค่อยไปหาที่วัด ตอนนั้นมันก็เป็นพระไปแล้ว ไม่กล้าทำอะไรพวกเราหรอก”
กล้าเดินตรงเข้ามาในร้านข้าวต้ม แววตากล้าดูเหี้ยมผิดปกติ
“ไอ้โจ๊ก ไอ้เบิ้มคนไหนวะ”
โจ๊กและเบิ้มลุกขึ้นมองกล้าอย่างแปลกใจ
“อะไรกันวะ แกลืมฉันสองคนได้ลงคอเชียวเหรอ ไอ้กล้า”
“กำลังอยากเจออยู่พอดีเลย ไหนว่าบวชยังไงวะ หรือว่าจะมากราบตีนขอขมาพวกฉันก่อนบวช”
ทั้งสองคนสบตากัน รวมทั้งเพื่อนๆ หัวเราะลั่น กล้าไม่สนใจ ชักปืนที่เหน็บไว้ด้านหลัง สาดกระสุนยิงใส่เบิ้มและพวกจนหมดแม็ก ทุกคนในร้านข้าวต้มต่างตกใจ วิ่งหลบ
“กรี๊ดๆๆๆ ช่วยด้วยๆ”
พวกผู้หญิงร้องด้วยความตกใจ โจ๊กกับเพื่อนๆ วิ่งหนีตายไปได้ ส่วนเบิ้มตายคาที่

กล้ามองสะใจ ก่อนรีบวิ่งหายไป

กล้าเดินถือปืนกลับมาที่ตำหนักอาจารย์ยอด แล้วเดินขึ้นบันไดไป

ประตูตำหนักถูกเปิดออกอย่างแรง กล้าก้าวเข้ามา กวาดสายตามองเห็นอาจารย์ยอด ภูมินทร์ เสี่ยไพบูลย์ เหล็งนั่งอยู่
“งานที่ข้าให้ไปทำ เอ็งทำสำเร็จมั้ย”
อาจารย์ยอดถามขึ้นมา
“ผมยิงมันจนหมดแม็ก ถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตล่ะ” กล้าบอก อาจารย์ยอดยิ้มอย่างพอใจ
กล้าเดินไปนั่งในวงล้อมของสายสิญจน์ที่เตรียมไว้อาจารย์ยอดร่ายคาถา แล้วเป่ามนต์ถอนอาคม ทันใดร่างของกล้าก็กลับกลายเป็นร่างของคม ภูมินทร์กับเสี่ยไพบูลย์ต่างตะลึง
“คาถานารายณ์แปลงรูป เพิ่งได้เห็นเป็นบุญตาก็วันนี้เอง”
“คราวนี้ต่อให้ไอ้กล้ามันมีปีก ก็หนีความผิดไม่พ้น”
ยอดหันมองภูมินทร์มั่นใจในฝีมือตัวเอง ภูมินทร์สะใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นที่วัดมีพิธีโกนหัวกล้า กระเต็นถือกรรไกรขลิบผมกล้า ผมกล้าร่วงลงบนใบบัว กระเต็นยิ้มให้กล้าที่นั่งพนมมืออยู่ด้วยความปลาบปลื้มใจ โดยเจ้าอาวาส จุก นุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยก จ่าลุย เด็กอู่ ต่างชื่นชมยินดี สองแม่ลูกยิ้มให้กัน บรรยากาศชื่นมื่น
หาญปะปนอยู่ในกลุ่มคนด้านหลังๆ มองอยู่ กระเต็นยิ้มให้หาญ เจ้าอาวาสกำลังจะปลงผม ทันใดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาจากมุมหนึ่ง ตู้ม
ทุกคนต่างเซ ตกใจ หาญตกใจมาก มองไปทางเสียงระเบิด กล้าลุกขึ้นจะไปดู กระเต็นรีบดึงกล้าไว้
“กล้า ไม่ต้องไป”
“แต่นั่นเสียงระเบิดนะครับแม่”
“อาตมาว่าพวกโยมเข้าไปอยู่ในโบสถ์ก่อนเถอะ” เจ้าอาวาสบอก กล้าจะเถียงแต่จ่าลุยเข้ามา
“ใช่ เข้าไปก่อน วันนี้วันดีอย่าให้มีอะไรมาทำให้วอกแวก เดี๋ยวพวกลุงจะออกไปดูเอง ไป”
จ่าลุยเดินนำนุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยก และเด็กอู่ออกไป เจ้าอาวาสนำเข้าโบสถ์ กล้าถูกจุกลากเข้าไป กระเต็นรั้งท้ายหันมามองหาญ หาญพยักหน้า กระเต็นเข้าไปประตูโบสถ์ปิด หาญวิ่งออกไปทางด้านหน้า

จ่าลุย นุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยก เด็กอู่ 3 คน ออกมาจากเขตโบสถ์ ทุกคนต้องอึ้งเมื่อเห็น พระ เณรและชาวบ้าน ต่างบาดเจ็บ นอนร้องโอดโอยอยู่ โจ๊กกับกลุ่มเพื่อนเดินเข้ามาพร้อมมีดดาบ เหล็กขุดชาร์ปและไม้หน้าสามในมือ
“พ่อ นี่มันพวกไทกนก”
นุกูลบอก จ่าลุยตวาดไล่
“เฮ้ย ไอ้พวกเด็กนรก หาเรื่องคนจะบวชมันบาปไม่รู้รึไงวะ”
“หุบปากไปเลยไอ้แก่” โจ๊กมองหา ไม่เห็นกล้า ตะโกนด่า “ไอ้กล้า ไอ้ฆาตกร คิดจะบวชหนีความผิด มันไม่ง่ายหรอกโว้ย แน่จริงก็ออกมา อย่าเอาแต่หดหัวอยู่สิวะ”
“พี่กล้าไปทำอะไรให้พวกแก”
“มันฆ่าไอ้เบิ้ม”
โจ๊กกับพวกพากันเฮโลจะบุกเข้าไปหน้าโบสถ์ให้ได้ จ่าลุย นุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยกกับเด็กอู่ต่างหาไม้ หาของใกล้ตัวเป็นอาวุธ กรูกันเข้าขวาง ทั้งสองฝ่ายซัดกันพัลวัน

เสียงเอะอะด้านนอกดังเข้ามาในโบสถ์ทำให้กล้าร้อนใจ
“ผมได้ยินคนเรียกชื่อผม มันต้องเกี่ยวกับผมแน่ให้ผมออกไปเถอะครับ”
“แกหูฝาด แม่ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”
เจ้าอาวาสจับหัวกล้า
“หลับตาแล้วว่าตามอาตมา” กล้าจำเป็นต้องพนมมือว่าตาม “โกธํ ฆตวา น โสจติ ฆ่าความโกรธได้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก”
กล้าพยายามว่าตาม กระเต็นกับจุกลุ้น

หาญตามออกมาแล้วต้องอึ้งเมื่อเห็นพวกโจ๊กกำลังสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เห็นสภาพหลุมระเบิด เห็นสภาพข้าวของพังยับ เห็นพระและชาวบ้านที่ถูกสะเก็ดระเบิดบาดเจ็บ
“โกโธ สตถมลํ โลเก ความโกรธเป็นดังสนิมศาสตราในโลก โกธํ ฆตว่า สุขํ เสติ ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมอยู่เป็นสุข ความโกรธครอบงำนรชนเมื่อใด ความมืดมนย่อมเกิดมีขึ้นเมื่อนั้น”
เสียงกล้าท่องตามเจ้าอาวาส หาญตัดสินใจพุ่งเข้าไปแย่งมีดดาบจากโจ๊ก แล้วพลิกสันมีดสับไปที่ขา โจ๊กทรุดไป เพื่อนๆ โจ๊กเห็นต่างเข้ามารุมจะช่วย แต่หาญเอาสันมีดสู้จนล้มไปเป็นคนๆ
พวกจ่าลุยต่างกรูกันเข้าล็อกตัวพวกที่ล้มไป แต่โจ๊กไม่ยอมแพ้ โมโห ชักปืนที่เหน็บมาด้วย วิ่งจะเข้าไปในโบสถ์
หาญกระโดดเข้าไปขวาง
“หยุดได้แล้ว พอเสียที”
พวกจ่าลุยมอง นุกูลเห็นก็จำหาญได้
“เฮ้ย น้าคนที่มีวิชานี่ มาได้ไงวะ”
โจ๊กไม่สนใจหาญ ยกปืนยิงทันที เปรี้ยง หาญว่าคาถา พร้อมกับยกมือขึ้นบังกระสุน กระสุนพุ่งเข้ามาที่หาญ แล้วหยุดนิ่งในอากาศก่อนจะตกลง โจ๊กอึ้ง หาญไม่รอช้าตรงเข้าไปที่โจ๊ก ปัดปืนทิ้ง แล้วใช้สันมีดสับขาโจ๊กจนล้มลง
ขณะนั้นสุพจน์กับพวกตำรวจแห่กันเข้ามาพอดี
“หยุด วางอาวุธ”
พวกจ่าลุย หาญชะงัก ถอยไปหลบฉากดูเหตุการณ์

เสียงข้างนอกเงียบไปกล้าสงบลง
“เสียงเงียบไปแล้วพี่เต็น”
“ถ้างั้นคงไม่มีอะไรแล้วละ”
จุกไปที่ประตูอย่างดีใจ เปิดกลอน แต่ประตูเปิดออกก่อน สุพจน์กับตำรวจยืนอยู่ จุกงง สุพจน์ก้าวเข้ามาสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณพจน์ ข้างนอกเป็นยังไงบ้างคะ”
กระเต็นถาม สุพจน์หน้าเครียด
“เด็กไทกนกพวกนั้นถูกเอาตัวไปหมดแล้วครับ” กระเต็นโล่งอก “แต่...”
“แต่อะไรคุณพจน์”
จ่าลุย ป๋อง โป้ง เปี๊ยก นุกูล เข้าโบสถ์ตามมา สุพจน์ไม่อยากทำ แต่จำใจ
“ผมขอจับกล้าในข้อหาเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายครับ”

กระเต็น กล้าและทุกคนตะลึง หาญซึ่งยืนอยู่นอกโบสถ์ตกใจ เครียด

ฝ่ายนงคราญกับงามตารีบมาที่วัด

“เร็วๆ เลยแก ไอ้สองแถวบ้า ไม่รู้จะมาเสียทำไมตอนนี้ ถ้าฉันไม่ทันถือหมอนจะทำยังไงเนี่ย”
งามตาบ่นแต่พอมาถึงวัด มองไปที่มุมหนึ่งนอกโบสถ์ งามตากลับต้องชะงักเมื่อเห็นสภาพที่พังยับเยินเพราะแรงระเบิด เจ้าอาวาสและคนที่ไม่บาดเจ็บกำลังช่วยประคองผู้บาดเจ็บกัน ส่วนสุพจน์และตำรวจกำลังคุมกล้าที่ถูกใส่กุญแจมือขึ้นรถตำรวจไป ขณะที่กระเต็น จุก จ่าลุย นุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยกและหาญที่ยืนหลบอยู่มุมหนึ่ง ได้แต่มองตามเครียด
งามตากับนงคราญมองหน้ากัน ทั้งสองอึ้ง

ที่สหวิชราชาวดีกำลังซื้อข้าวอยู่ที่โรงอาหาร จู่ๆ ก็มีเสียงหนุ่มๆ นักเรียนในโรงอาหารโห่ฮิ๊วผิวปากแซวงามตาดังขึ้นมา ราชาวดีกับดวงใจหันไปมอง เห็นงามตากับนงคราญแต่งชุดสวยเข้ามาในโรงอาหาร งามตาอารมณ์เสีย ด่าใหญ่
“มีพ่อเป็นนกหวีดรึไง” หนุ่มๆ ทำเสียงฮูใส่ แล้วสลายตัวไป ราชาวดีทำเป็นไม่สน เดินถือถาดผ่าน “รู้แบบนี้ฉันไม่แต่งตัวสวยไปให้เหนื่อยหรอก”
“แต่โชคก็เข้าข้างนะแกที่พวกเราไปสาย ไม่งั้น อึ๋ย...ขนลุก ระเบิดกลางงานบวชแบบนั้น ฉันต้องเสียโฉมแน่เลย ดีแล้วล่ะที่แกยังไม่ได้เป็นแฟนเค้า ถูกจับแบบนั้น น่าอายจะตาย”
ราชาวดีได้ยินเข้าก็ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเหรองามตา”
งามตาอารมณ์เสียอยู่ เลยพูดซะดัง
“อ๋อ อยากรู้เหรอ ฉันจะบอกให้ ก็พี่กล้าขวัญใจเธอน่ะสิ เค้าถูกจับฐานฆ่าคนตาย”
ราชาวดีปล่อยจานลงพื้นเสียงดัง
“อะไรนะ พี่กล้าน่ะเหรอฆ่าคนตาย” ราชาวดีอึ้ง
“ถ้าหล่อนไม่เชื่อก็ลองหิ้วโอเลี้ยงไปเยี่ยมเค้าดูสิยะ อ๊ะ แถมข้าวผัดอีกห่อด้วยก็ดีนะ เพราะสงสัยคราวนี้จะติดคุกยาว”
งามตาพูดเสร็จก็หัวเราะเยาะกับนงคราญที่ราชาวดีจะได้มีแฟนขี้คุก ดวงใจเดินมา
“มีอะไร วดี”
ทุกคนในโรงอาหารได้ยินก็ต่างส่งเสียงฮือฮา เมาท์ต่อกันใหญ่ เสียงประกาศจากลำโพงก็ดังขึ้น
“ประกาศๆ” นักเรียนทุกคนหยุดเมาท์ ตั้งใจฟัง “เนื่องจากวันนี้ตำรวจได้ขออนุญาตเข้าตรวจค้นอาวุธและ
สิ่งผิดกฎหมายภายในวิทยาลัยของเรา ดังนั้นทางวิทยาลัยจึงขอหยุดการเรียนการสอนชั่วคราว ขอให้อาจารย์ประจำวิชาควบคุมให้นักเรียนทุกชั้นทุกแผนกอยู่แต่ในห้องเรียนด้วยความสงบเรียบร้อย”
พวกเด็กนักเรียนดีดี ไม่พอใจ บ่นใหญ่
“ทุกที ตีกันทุกที เมื่อไหร่ไอ้พวกเหลือขอมันจะเลิกก่อเรื่องซักที ดูซิ ใกล้สอบแล้วด้วย เสียทั้งชื่อเสียทั้งเวลา ถ้าโรงเรียนเราถูกสั่งปิดขึ้นมาจะทำยังไง”
ราชาวดีกับดวงใจมองหน้ากันอึ้งๆ รู้ว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องกล้า

หน้าอาคารเรียน อาจารย์ชายเดินนำตำรวจขึ้นตึกไป สีหน้าเครียด ในอาคารเรียนตำรวจพากันตรวจค้นล็อกเกอร์ โต๊ะเรียน ของเด็กนักเรียน พวกอาจารย์ เด็กๆ ยืนมองเซ็งๆ
โรงอาหาร ตำรวจขอตรวจค้นตัวเด็กนักเรียนชาย หาอาวุธและสิ่งผิดกฎหมาย ราชาวดีกับดวงใจมองอึ้งๆ กับสภาพความวุ่นวายในโรงเรียน

ส่วนที่โรงพักทุกคนต่างจับกลุ่มเพื่อรอสุพจน์กับร้อยเวรเจ้าของคดี กล้านั่งนิ่งสีหน้าเครียด มีตำรวจควบคุมตัว กระเต็นร้อนรนผิดปกติ
“ไม่จริงใช่ไหมกล้า มันไม่จริงใช่ไหม บอกแม่มาสิ”
กล้ารีบอธิบาย
“แม่ครับ ผมไม่ได้ทำจริงๆ แม่เชื่อผมสิ”
โจ๊กตะโกนด่ากล้า
“ถุย ไอ้ขี้ขลาด คนเค้าเห็นกันทั้งตลาดว่าแกบุกมายิงพวกข้า”
“มันเป็นไปไม่ได้ พวกแกใส่ร้ายฉัน ฉันไม่เคยคิดฆ่าพวกแก”
กระเต็นหวั่นใจเพราะมีพยานยืนยันหลายคน พ่อเบิ้มสมทบ
“พวกคุณจะใหญ่มาจากไหนผมไม่สนหรอกนะ ใช่ว่าคุณจะมีเส้นสายแค่ฝ่ายเดียว งานนี้ผมไม่ให้เบิ้มตายฟรีแน่” จ่าลุยทนไม่ไหว
“กล้ามีแต่จะห้ามเด็กพวกนี้ไม่ให้ตีกัน เค้าไม่มีทางทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้แน่”
ป๋อง โป้ง เปี๊ยก สมทบ
“ใช่ๆ”
เปี๊ยกชี้โจ๊กกับเพื่อน
“พวกมันต่างหากที่หาเรื่องพวกเราไม่เลิก”
โจ๊กไม่พอใจ ชี้หน้าตอบ
“เฮ้ย พูดงี้ก็สวยสิวะ”
“ก็เอาเด่”
เด็กทั้งสองพวกปรี่จะเข้าซัดกันจะซัดกันให้ได้ กล้าจะลุกห้ามแต่กระเต็นดึงไว้ จุก จ่าลุย ผอ.ทั้งสองสถาบันและตำรวจพยายามเข้าห้าม สุพจน์กับร้อยเวรเข้ามาเห็นพอดี โมโห ตะโกนลั่น
“หยุดนะ” เด็กๆ ทั้งสองพวกชะงัก “ตกลงจะตีกันให้ได้ใช่ไหม จะต้องตายกันอีกกี่ศพฮะ” ทุกคนในห้องเงียบกริบ สุพจน์สั่งร้อยเวร “คุมตัวผู้ต้องหาไปไว้ในห้องสอบสวนก่อน” ร้อยเวรพากล้าออกไป กระเต็นตามไป สุพจน์กวาดตามองเด็กๆ “แค้นกันมาตั้งแต่ชาติไหน ถึงเห็นหน้ากันเป็นไม่ได้ สมองน่ะมีไหม? รึจะตามแต่ก้นรุ่นพี่ อยากมีศักดิ์ศรีก็ต้องทำเรื่องดีๆ นี่อะไร มีแต่คนเค้าสาปแช่ง...พาเด็กพวกนี้ไปทำเรื่องแล้วส่งไปสถานพินิจ”

สุพจน์สั่งลูกน้อง โจ๊กและเพื่อนๆ หน้าซีด ผอ.ทั้งสองต่างเครียด

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 4 (ต่อ)

ภายในห้องสอบสวน สุพจน์เดินไปปิดมูลี่ ก่อนหันถามกล้า

“ไม่ใช่แค่เพื่อนของนายโจ๊กนายเบิ้มเท่านั้นที่เป็นพยาน ยังมีชาวบ้านแถวนั้นที่พูดตรงกันอีกด้วยว่ากล้าเป็นคนยิง”
“ผมไม่ได้ยิง แม่เชื่อผมซิครับ ผมไม่มีวันทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้น”
“มีใครเป็นพยานให้กล้าได้มั่ง”
“ท่านเจ้าอาวาสไงลูก” กล้าอึ้งไป“กล้าก็ต้องหลับอยู่ที่กุฏิท่านเจ้าอาวาส ใช่มั้ยลูก”
“ผมเรียนถามไปทางท่านเจ้าอาวาสแล้ว ท่านบอกว่ากล้าเข้านอนไปเมื่อตอนสองทุ่ม แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ากล้าจะแอบออกมาข้างนอกไม่ได้”
กล้ายิ่งอึ้ง กระเต็นเห็น
“กล้า ทำไมเงียบล่ะ กล้านอนอยู่ในกุฏิตลอดเวลาใช่มั้ย”
“ผมว่าคุณกระเต็นใจเย็นก่อนนะครับ”
กระเต็นไม่ฟัง ลังเลว่าลูกอาจจะทำจริง
“กล้า อย่าทำให้แม่ผิดหวังนะลูก ถ้ายังเห็นว่าแม่เป็นแม่อยู่ก็พูดออกมาว่าไม่ได้ออกไปไหน กล้าไม่ได้ทำ กล้าอยู่แต่ในกุฏิ สาบานกับแม่สิกล้า”
“ผมสาบานว่าผมไม่ได้ฆ่าเบิ้ม”
กล้าลำบากใจ นั่งเงียบ ไม่กล้าสาบาน
“กล้า หมายความว่ากล้าออกไปนอกกุฏิใช่มั้ย”
“ใจเย็นๆ ครับ ตอนนี้กล้าอาจจะเครียด ออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะนะครับ ผมจะคุยกับกล้าเอง”
ตำรวจพาตัวกระเต็นออกไป กระเต็นมองกล้าด้วยความกังวล กล้าคิดหนัก

ทุกคนมาอยู่บ้านกระเต็น ต่างพากันเครียด จ่าลุยผลักหัวนุกูล
“เพราะพวกแก ถ้ากล้าไม่ไปช่วยปกป้องพวกแก ก็ไม่ต้องมาติดคุก” นุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยก จ๋อย “โดยเฉพาะแก ไอ้นุ ไอ้ลูกไม่รักดี ฝีมือเท่าหางอึ่ง ริจะเป็นนักเลง เลี้ยงเสียข้าวสุก ฉันจะทำยังไงกับแกดี หา”
จ่าลุยทำท่าจะอัด จุกเข้าห้าม
“เฮ้ยๆๆๆ จ่า อยากไปนอนกินข้าวแดงข้อหาฆ่าลูกในไส้อีกคนหรือไง”
“ผมไม่ได้หาเรื่องมันก่อนนะ มันต่างหากที่มาก่อกวน พวกผมทนไม่ไหวเลยต้องป้องกันตัว น้าจุกเป็นพยานได้ วันที่ผมไปขอเครื่องราง พวกมันก็มาหาเรื่อง”
“อะไรนะ นี่แกไปขอเครื่องรางกับจุกเหรอ หนอย หนอยข้าอุตส่าห์ส่งเสียให้เรียน ดันอยากเป็นนักเลง ไอ้ลูกเวร”
จ่าลุยเข้าไปเบิร์ตกะโหลก นุกูลปัดป้องโวยวาย จุกกับพวกป๋อง โป้ง เปี๊ยก ห้ามกันเอะอะ
“พอ พอแล้ว กลับไปกันให้หมด ไป” กระเต็นบอก ทุกคนอึ้ง
“ผมขอโทษนะครับ แต่คุณนายไม่ต้องกลุ้มใจ กล้าไม่ผิดแน่ๆ สายเลือดตำรวจเต็มตัวอย่างนั้น วิญญาณท่านผู้การต้องไม่ปล่อยให้กล้าติดคุกแน่”
“ฉันบอกให้กลับไปไง ฉันอยากอยู่คนเดียว”
จุกพยักหน้าให้จ่าลุย
“ก็ได้ ถ้ามีอะไรคุณนายบอกผมได้ทันทีนะครับ ไป ไอ้นุ เรามีเรื่องต้องสะสาง”
จ่าลุยลากนุกูลไป ป๋อง โป้ง เปี๊ยกตาม กระเต็นนั่งซบหน้ากับฝ่ามือ จุกเข้าไปปลอบ
“พี่เต็น อย่าเพิ่งเครียดไปเลย ถ้ากล้ามันไม่ผิด ตำรวจมันต้องปล่อยตัวออกมาแน่”
“ไม่ กล้าต้องไม่ได้ออกมา กล้าต้องกลายเป็นโจร กล้ามันมีเลือดโจร ในที่สุดสิ่งที่ข้ากลัวมันมาถึงแล้ว”
“อะไร พี่หมายถึงอะไร เลือดโจร น้าหาญน่ะเหรอ”
กระเต็นคิดถึงหาญทันที
“จริงซิ พ่อหาญ พ่อหาญอยู่ที่ไหน”

หาญมายังสถานที่เกิดเหตุซึ่งยังถูกกั้นเอาไว้ สภาพข้าวของพังและยังมีรอยเลือดอยู่ที่พื้น หาญนั่งลง ยื่นมือไปแตะที่รอยเลือด แล้วหาญก็เห็นเหตุการณ์ที่คมปลอมเป็นกล้าเข้ามายิงโจ๊ก เบิ้ม หาญขมวดคิ้วกับใบหน้าของกล้าที่เขาเห็น
ภาพที่หาญเห็นใบหน้ากล้ามีภาพหน้าคมซ้อนอยู่ แต่เห็นไม่ชัด
“ไม่ใช่กล้า” หาญพึมพำออกมา
“เฮ้ย ใครน่ะ” หาญหันไป เห็นตำรวจ ชักปืน “เข้ามาทำอะไรในนี้ ที่นี่เพิ่งเกิดเรื่องฆ่ากันตาย ห้ามเข้า”
“คือข้า เอ่อ ฉันไม่รู้ ขอโทษ”
“อย่าเพิ่งไป ท่าทาง มีพิรุธ ไปโรงพักกันไป”
ตำรวจจะเข้าล็อค หาญเป่ามนต์พรวด ตำรวจยืนจังงังแล้วร่วงลงไปนั่ง

“ขอโทษนะ จ่า”

หาญกลับมาที่อพาร์ตเม้นต์ กระเต็นตื่นเต้นกับสิ่งที่กล้าบอก

“หมายความว่า กล้าไม่ได้เป็นคนยิง แต่มีคนปลอมตัวเป็นกล้ามันเป็นใครคะ”
“ข้าเห็นหน้าไม่ชัด แต่แน่ใจว่ามันต้องใช้คาถานายรายณ์แปลงรูป”
กระเต็นเดินไปมา พลุ่งพล่าน
“แล้วทำไม ในเมื่อกล้าไม่ได้ทำผิด ทำไมกล้าไม่ยอมยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ออกไปนอกกุฏิ กล้าปิดบังอะไร”
คะนึงนิจเดินมาพอดี
“เจ้ากล้าคงมีเหตุผล”
“เหตุผลอะไรละคะ ถ้าเป็นเรื่องดี กล้าจะปิดเราเหรอ กล้าคงแอบออกไปจากกุฏิเพื่อไปทำเรื่องเลวๆแน่ ตอนนี้ติดคุก ต่อไปก็คงไม่แคล้วต้องเป็นเหมือน...”
หาญรู้สึกมีใครอยู่หน้าประตู รีบชู้ว์ปากไม่ให้กระเต็นพูด หาญไปเปิดประตู คะนึงนิจหัวคะมำเข้ามา
“นี่เธอ เธอมาสอดแนมแอบฟังอะไร”
“เปล่านะคะ นิจเดินผ่านมา ได้ยินว่ากำลังคุยกันเรื่องพี่กล้า นิจเลยอยากบอกว่าเมื่อคืนพี่กล้าโทรไปหาวดีที่บ้าน”
กระเต็นกับหาญมองหน้ากัน
“ที่วัดไม่มีโทรศัพท์นี่คะ? นี่เท่ากับกล้าแอบออกจากวัดเพราะยัยเด็กราชาวดีงั้นเหรอ ในที่สุดก็เกิดเรื่องเพราะผู้หญิงคนนี้จนได้”
คะนึงนิจหน้าเสีย
“ใจเย็นๆกระเต็น มันอาจเป็นเรื่องดีก็ได้ นิจรู้ไหมว่าตอนนั้นมันซักกี่โมง”
“ประมาณสี่ทุ่มค่ะน้าสิงห์”
กระเต็นคิดขึ้นได้
“นั่นมันเวลาที่นายเบิ้มถูกยิงนี่คะ”
กระเต็นดีใจ เหมือนมีความหวัง

ที่โรงพัก กล้านั่งกลุ้มใจอยู่ในห้องขังมีห่อข้าวอยู่ข้างหน้าพร้อมน้ำ จุกอยู่ข้างนอก
“ผมกินไม่ลงหรอกครับน้าจุก”
“ยังไงก็ต้องกิน เดี๋ยวแม่แกมาตีกบาลน้า หาว่าไม่ดูแล”
“ผมคงบาปมากที่ทำให้แม่กลุ้มใจ”
“แล้วตกลงไอ้ที่เอ็งอ้ำอึ้งๆ มันอะไรกันแน่ ทำไมเอ็งไม่พูดให้ขาดไปเลยว่าเอ็งออกมาจากกุฏิรึเปล่า”
“ผมไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน”
“ใครวะ กล้าเอ๊ย ตอนนี้มีใครที่จะเดือดร้อนไปกว่าเอ็งกับพี่กระเต็นอีกวะ เอ็งอยากติดคุกไปตลอดชีวิตหรือไง”
“เพราะผมอยู่ในคุกน่ะซิครับ ถ้าผมบอกอะไรแม่ไป แม่ก็คงไม่อยู่เฉย ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมก็ออกไปแก้ไขอะไรไม่ได้”
“น้าไม่รู้หรอกนะว่าเอ็งหมายถึงเรื่องอะไร แต่ตอนนี้แม่เอ็งไม่ได้อยู่หัวเดียวกระเทียมลีบ พี่กระเต็นมีผู้ช่วยที่โคตรๆๆ เจ๋ง ในปฐพีนี้รับรองไม่มีใครเทียบ อุบ” จุกรีบหุบปากเมื่อนึกได่
“ใครกันครับน้า”
“เอ่อ เฮ้ย ดึกแล้ว น้าต้องรีบไปเก็บแผงก่อน ให้คนเฝ้าไว้ป่านนี้มันเชิดพระดีดีไปหมดแล้ว พรุ่งนี้น้ามาใหม่นะ”
จุกรีบไป
“น้าจุก น้าจุก”
กล้าสงสัยสุดๆ

หาญกับกระเต็นเดินมาหยุดแถวตู้โทรศัพท์หน้าวัด กระเต็นเครียดมาก
“ทำยังไงดีคะ ชาวบ้านแถวนี้ไม่มีใครเห็นกล้าออกมาโทรศัพท์เลย”
หาญมองที่ตู้โทรศัพท์
“ตู้นี้ใกล้วัดที่สุด กล้าอาจจะโทร.จากที่นี่ก็ได้ พ่อจะลองดูนะ”
หาญเอื้อมมือไปจับที่ตู้โทรศัพท์ หลับตา ร่ายคาถา เพ่งตาทิพย์ แล้วหาญก็ชาวบ้าน 2-3 คนมาโทรศัพท์ ก่อนจะเป็นกล้าที่เดินเข้าตู้โทรศัพท์ เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จกล้าเดินออกจากตู้ ตากล่ำที่เมามายเดินมาชนพอดี กล้าประคองไม่ให้ล้ม ขอโทษแล้วรีบกลับเข้าวัด ตากล่ำมองตาม ด่า
หาญลืมตาขึ้น บอกกระเต็นอย่างดีใจ
“เรามีพยานแล้วกระเต็น”

กระเต็นดีใจนักอยากรู้ว่าใคร

วันต่อมาที่ตำหนักอาจารย์ยอด ภูมินทร์ก้มกราบอาจารย์ยอดที่นั่งอยู่

“อาจารย์มีฝีมือจริงๆ ไม่คิดเลยว่าแผนนี้จะได้ผลทันตาเห็น”
ภูมินทร์พยักหน้าให้คม คมเอาพานที่ถูกคลุมด้วยผ้ามาวางตรงหน้าอาจารย์ยอด อาจารย์ยอดมอง อยากรู้ว่าอะไรแต่เก็บอาการ ภูมินทร์ดึงผ้าออก เผยให้เห็นทองคำแท่งวางอยู่บนพาน
“อาจารย์ช่วยผม ผมก็ต้องตอบแทนถึงจะถูก”
อาจารย์ยอดมองตาวาว ชอบใจ
“ในเมื่อเป็นความต้องการของเอ็ง ข้าก็จะรับไว้ เอ็งน่ะเป็นศิษย์ของข้าแล้ว ไม่ว่าจะยังไง ข้าก็ต้องช่วย”
คมรีบถามอาจารย์ยอด เพื่อเอาใจภูมินทร์
“แล้วเรื่องน้องสาวของพ่อเลี้ยงกับผู้หญิงที่ชื่อราชาวดีล่ะครับอาจารย์ เราจะทำยังไงกันดี”
“ผมขอนะครับอาจารย์ พวกเสน่ห์ยาแฝดอะไรพวกนั้นผมไม่เอา ผมต้องการให้เค้ามาด้วยใจเท่านั้น”
“เอ็งไม่ต้องห่วง คอยดูกันไป รับรองใครกราบเป็นศิษย์ของข้าแล้ว ไม่มีคำว่าผิดหวัง หึๆ”
อาจารย์ยอดเจ้าเล่ห์คิดแผน ส่วนภูมินทร์อยากรู้ว่าอาจารย์ยอดมีแผนการอะไร

คะนึงนิจสะพายเป้ถือถุงกับข้าวเดินเข้ามาในบ้านราชาวดีพลางพูดอย่างคุ้นเคย
“ครูคะ นิจซื้อกับข้าวมาฝากค่ะ” คะนึงนิจมองไปเห็นข้าวของหล่นอยู่ที่พื้นทางเข้าไปห้องวาดรูปก็พึมพำออกมา “ขโมย”
คะนึงนิจคิดว่าขโมย รีบวางถุงข้าว แล้วหยิบฉวยร่มคันใหญ่ที่วางอยู่แถวนั้น ก่อนจะค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ๆ
ยิ่งใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงกุกกักดังออกมาจากในห้อง คะนึงนิจกำร่มแน่น หลบที่ประตูหน้าห้องวาดรูป ก่อนจะตัดสินใจพุ่งเข้าไปในห้องพลางตะโกนลั่น
“หยุดนะ ไอ้หัวขโมย”
แต่แล้วกลับต้องอึ้ง เมื่อภาพตรงหน้าคือครูเริงกำลังดิ้นพราดๆ

ขณะนั้นราชาวดียังอยู่ที่โรงเรียน ราชาวดีนั่งเปิดหนังสือเหม่อ แล้วก็ตัดสินใจเก็บหนังสือลุกขึ้นเดินแกมวิ่งไปอย่างรีบร้อน จนชนกับดวงใจที่เลี้ยวมา ดวงใจประคองราชาวดีไว้
“อุ๊ย ขอโทษ ดวง”
“เรากำลังตามหาตัวอยู่พอดี”
“เราจะออกไปข้างนอก ช่วยบอกอาจารย์ด้วยว่าเรามีธุระด่วน”
“อ้าว นี่วดีรู้แล้วเหรอ”
“ทำไม พี่กล้าเป็นอะไรอีก นี่เรากำลังจะไปเยี่ยมพี่กล้า”
“เดี๋ยววดี ไม่ใช่พี่กล้า พ่อเธอต่างหาก นิจโทรมาที่ห้องพักอาจารย์ บอกว่าพ่อเธอเข้าโรงพยาบาล”
“ฮะ”
ราชาวดีตกใจมาก

ราชาวดีกึ่งเดินกึ่งวิ่งรีบร้อนออกมาจากโรงเรียน ขณะนั้นรถของภูมินทร์จอดรอดูอยู่แล้วมุมหนึ่ง พอเห็นราชาวดี ภูมินทร์จึงขับเข้ามาเทียบ ราชาวดีหยุด แปลกใจ ภูมินทร์ลงจากรถแล้วถามอย่างห่วงใย
“วดี จะรีบร้อนไปไหน”
ราชาวดีอึ้งที่เป็นภูมินทร์
“คุณ”
“ผมมาบริจาคเงินให้ที่นี่ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ วดีจะรีบไปไหนโรงเรียนก็ยังไม่เลิก”
“ฉันมีธุระด่วนค่ะ”
“ถ้าด่วนมาก ให้ผมไปส่งนะ ยังไงไปรถผมก็เร็วกว่าสองแถวมาก”
ราชาวดีลังเล ตัดสินใจว่าจะเอาไงดี
ห่างออกไปขณะนั้นงามตาเดินเข้ามากับเพื่อนๆ งามตามองเห็นภูมินทร์กับราชาวดียืนคุยกันอยู่ที่รถ งามตาอึ้ง จ้องมองภูมินทร์ที่เปิดประตูให้ราชาวดีขึ้นรถ รถถูกขับออกไป
“นังราชาวดี เป็นไปได้ยังไง”
งามตานึกอิจฉารีบวิ่งตาม แต่นุกูลขี่จักรยานเข้ามาขนาบงามตาไว้แถมกดกริ่งจักรยานกริ๊งๆ ซะด้วย นุกูลรวบรวมความกล้า
“งะ งาม จะไปไหน ซ้อนจักรยานเราไปมั้ย” งามตาโมโหผลักจักรยาน จนนุกูลล้มลงไปด้วย “โอ๊ย งาม”
งามตาด่าเป็นชุด
“อย่างแกแค่เสื้อโดมอนก็ยังไม่มีใส่ ไปเลยไป ถ้าไม่มีรถล่ะก็อย่าหวังเลยว่าฉันจะสน”
นุกูลเจ็บใจ อาย ส่วนงามตาเดินไปอย่างอารมณ์เสีย อิจฉาราชาวดี

ภายในรถภูมินทร์ ภูมินทร์นั่งหลังกับราชาวดี ราชวดีดูเกร็งๆ ระวังตัว ภูมินทร์ชำเลืองมองแล้วพูดให้ราชาวดีไว้ใจ
“สมัยที่ผมกับนิจยังเด็ก เราได้รับข่าวร้ายว่าพ่อกับแม่รถคว่ำตาย ตอนนั้นผมกอดนิจไว้แน่น ทั้งๆ ที่ใจตัวเองก็แทบจะสลาย” ภูมินทร์มองราชาวดีซึ้งๆ “วดี เข้มแข็งไว้นะ พ่อต้องไม่เป็นอะไร”

ราชาวดีพยักหน้ารับ นั่งก้มหน้าเงียบ น้ำตาซึม

อีกด้านหนึ่งที่ร้านก๋วยเตี๋ยวชานเมือง ขุนโชติ เสือดำ เสือไทในชุดยุคปัจจุบันเดินเข้ามาในร้าน ส่วนอาวุธต่างก็พันด้วยผ้าใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทาง เสือดำมองพ่อค้าถือก๋วยเตี๋ยวไปเสิร์ฟโต๊ะข้างๆ

“ของที่เอ็งปรุงขายนี้ ราคามันเท่าใดกัน”
เสือดำถามพ่อค้า พ่อค้ามองๆ เพราะแปลกหน้า
“สิบบาท จะเอาอะไรยังไงกี่ชามก็บอกมา”
เสือดำนั่งนับนิ้วคำนวณในใจอย่างไม่พอใจ
“มันก็เท่ากับหลายตำลึงเลยสิวะ ขูดรีดกันชัดๆ”
“เอ็งเห็นว่าพวกข้าโง่นักกระนั้นรึ” เสือไทกระชากคอเสื้อพ่อค้า ขุนโชติรีบดึงไว้
“ไอ้ไท อย่าทำเสียเรื่อง” เสือไทปล่อย พ่อค้ามองไม่พอใจ “ข้าต้องขอโทษด้วย พวกข้าเพิ่งมาจากป่าจากดอย ไม่รู้ธรรมเนียมในพระนคร”
“มิน่า ที่แท้ก็พวกบ้านนอกเข้ากรุง ถ้าไม่มีเงินก็ไปให้ไกลๆ เลย ไม่งั้นอั๊วจะตามตำรวจมาจัดการ”
“ตำรวจ โปลิศ แถวนี้มีโปลิศด้วยรึ”
“มีซิวะ ป้อมตำรวจอยู่แค่หัวถนนแค่นี้เอง หรือจะลอง”
“วิเศษนัก ข้ากำลังอยากเจอโปลิศพอดี”
ขุนโชติ มองลูกน้องยิ้มเหี้ยม พ่อค้างง

ที่ป้อมตำรวจ ตำรวจเอาหมวกปิดหน้า นอนงีบหลับอยู่ในป้อม เสียงเคาะประตูดังขึ้น แรงและรัว ปึงๆๆๆ
ตำรวจสะดุ้งตื่น หงุดหงิด
“ใครโว้ย” ตำรวจหงุดหงิด เดินไปเปิดประตู แต่กลับไม่มีใคร จึงยิ่งหงุดหงิดมาก “ใครแกล้งวะ เดี๋ยวจับติดตะรางให้เข็ด” ตำรวจหันกลับมาแต่ต้องชะงัก เพราะเสือไทยืนอยู่ในป้อม “แกเข้ามาได้ยังไง”
เสือไทไม่ตอบแต่กลับควงขวานในมือ หน้าเหี้ยม ตำรวจคิดว่าคนบ้า กลัว จะหนีออกไป แต่ที่ประตูก็มีเสือดำพร้อมธนูในมือขวางอยู่ ตำรวจอึ้ง ชักปืนจะยิง
“พวก พวกแกต้องการอะไร”
“หัวของเอ็งไง ฮ่าๆๆๆ”
ขุนโชติค่อยๆ ปรากฏกายขึ้น หัวเราะเสียงดังสะใจ เสือดำกับเสือไทร่วมประสานเสียงด้วย เดินเข้าหา
ประตูป้อมปิดลงเองอย่างแรง เสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ตามด้วยเสียงตำรวจร้องอย่างโหยหวน

ที่หน้าเพิงขายเหล้า กระเต็นกับหาญเดินเข้ามาที่ร้าน มองๆ หาแต่ไม่เห็นใคร
“สัปเหร่อกล่ำอยู่ที่นี่แน่เหรอคะ เราตามหาที่วัดจนทั่วยังไม่เจอเลย”
“ถ้าตามที่เด็กวัดบอก ก็ต้องใช่ที่นี่แน่”
หาญเดินเข้ามาที่หลังร้าน เห็นหลังของชายสองคนกำลังตะคุ่มๆ อยู่ที่ป่ารก หาญกับกระเต็นพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณอย่างรู้กัน ทั้งสองแยกกันไปคนละทาง
ชายสองคนกำลังต้มเหล้าเถื่อนกันอยู่ ลักษณะด้านหลังชายคนหนึ่งคล้ายตากล่ำ
“นายกล่ำ”
ผู้ชายทั้งสองคนตกใจ
“เฮ้ยตำรวจ”
ชายทั้งสองต่างพากันตกใจแตกตื่น พากันวิ่งหนีเข้าป่าไปคนละทิศละทางทันที หาญตามชายคนที่คล้านตากล่ำไป ส่วนกระเต็นโผล่มาจากอีกทาง เข้าขวางชายอีกคนเอาไว้ทันมันจึงหยิบปืนลูกโม่ยิงกระเต็น กระเต็นหลบแล้วพุ่งเข้าปัดปืนแทงเข่าเข้าที่ท้องจนผู้ชายจุก ทรุดลงไปกองกับพื้น
ขณะนั้นหาญกำลังวิ่งไล่ชายอีกคน ซึ่งมันวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต หาญวิ่งไล่ตามมาติดๆ
“หยุดก่อน นายกล่ำ”
ชายไม่หยุด หาญตัดสินใจดึงลูกสะกดหัวใจสิงห์ออกมา เป่าอาคม แล้วสะบัดออกไปที่ผู้ชาย ลูกสะกดหัวใจสิงห์พุ่งตรงไปที่ตัวของผู้ชาย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเชือกรัดตัวไว้ทันที ผู้ชายล้มลงไป หาญรีบวิ่งตามเข้ามา
“นายกล่ำ”
แต่แล้วเมื่อผู้ชายซึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่หันมา หาญก็ต้องอึ้ง เพราะไม่ใช่ตากล่ำที่ตามหาอยู่แต่อย่างใด

กระเต็นกับหาญลากตัวชายทั้งสองคนที่สะบักสะบอมเข้ามาที่เพิงขายเหล้า
“ตากล่ำที่เป็นสัปเหร่อมาที่นี่รึเปล่า?”
“มาจ๊ะมา มันเพิ่งมาซื้อเหล้าไปเมื่อเช้า แต่พวกฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันไปไหน งั้น พะ พวกฉันลาล่ะจ๊ะ”
ชายทั้งสองคนไหว้กระเต็นกับหาญแล้วรีบชิ่งออกไปทันที กระเต็นกับหาญมองหน้ากันเครียดที่ตามตัวตากล่ำไม่เจอ

ภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ครูเริงกุมท้องดิ้นพราดๆ บรรยากาศวุ่นวาย พยาบาลต่างช่วยกันจับตัวครูเริงไว้
“โอ๊ยๆ ปวดท้อง ปวดท้อง”
ราชาวดีเข้ามาพร้อมกับภูมินทร์ คะนึงนิจแปลกใจ
“พ่อๆ พ่อเป็นยังไงบ้าง วดีอยู่นี่แล้ว พ่อไม่เป็นไรนะ”
“วดีๆ พ่อไม่ไหวแล้ว มันปวดท้องไส้จะขาด”
หมอเข้ามาพร้อมแผ่นเอกซ์เรย์ สีหน้าหนักใจ
“ฟิล์มเอกซ์เรย์ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แปลกมาก ถ้าเป็นแบบนี้เราคงต้องให้แอดมิดและรักษาตามอาการไปก่อน”
“คุณหมอรักษาพ่อของหนูให้หายด้วยนะคะ หนูขอร้อง”
คะนึงนิจกอดปลอบเพื่อนให้สงบ
“ช่วยรักษาให้เต็มที่นะครับ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมรับผิดชอบเอง”
ภูมินทร์บอกกับหมอ ราชาวดีมองพ่อที่ร้องโอดโอย น้ำตาไหล สงสารจับใจ

ที่ตำหนักอาจารย์ยอด ลมพัดกรู แรง ท้องฟ้าเหนือตำหนักมีเมฆสีดำทะมึนลอยคว้างอยู่ บรรยากาศน่ากลัว
เสียงบริกรรมของอาจารย์ยอดดังออกมา
“อัมเหหิ พินาศะเว อัมเหหิ”
อาจารย์ยอดกำลังบริกรรมคาถาบิดไส้ไปที่ในหุ่นดินเหนียว พลางบิดเนื้อดินบริเวณท้องของหุ่น
“พินาศะเว พินาศะเว อัมเหหิ พินาศะเว พุททิ ยา มา
ภิกสะ นวนนชัย พินาศะเว พินาศะเว อัมเหหิ”
อาจารย์ยอดจ้องไปที่หุ่น ภาพครูเริงนอนปวดท้องดิ้นพราดๆ ปรากฎขึ้นมา
“เอ็งไม่มีทางสู้คาถาบิดไส้ของข้าได้หรอก ฮ่าๆๆ”

อาจารย์ยอดยิ้มเหี้ยม

ติดตาม "เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง" ตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น