xs
xsm
sm
md
lg

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 3

กล้าฉวยโอกาสที่ทุกคนเผลอ ดึงราชาวดีกับคะนึงนิจหนีออกไปนอกบ้าน กล้าวิ่งนำราชาวดีกับคะนึงนิจออกมา

“นิจพาวดีหนีไปก่อน” กล้าบอกคะนึงนิจ
“พี่กล้าจะทำอะไร ทำไมเราไม่หนีไปด้วยกัน”
“ขืนไปด้วยกันเราหนีไม่พ้นแน่ พี่จะถ่วงเวลาไว้ให้ วดีรีบไปแจ้งตำรวจ”
“อย่างงั้นนิจขออาสาอยู่ที่นี่เอง พี่ภูไม่ทำอะไรนิจหรอก”
กล้าเห็นภูมินทร์กับพวกตามมา
“อย่ามัวเสียเวลาน่า รีบไป” กล้าจับแขนคะนึงนิจ “พี่ฝากวดีด้วยนะ”
คะนึงนิจสบตากล้า เจ็บแปลบในใจ ฝืนพยักหน้า กล้ารีบผลักสองสาวไป สองสาวหันกลับมามอง เป็นห่วง คะนึงนิจตัดใจรีบลากราชาวดีออกไป ภูมินทร์เห็นสองสาวหนีไป
“พวกแกจับน้องสาวฉันกลับมาให้ได้”
กล้าเข้าขวางพวกคมไว้ ภูมินทร์ตามมาโจมตีกล้าด้วยดาบ กล้าได้แต่ชิงจังหวะหลบแล้วตอบโต้ด้วยเท้า
พวกคมเข้ามารุมกล้า ภูมินทร์สบโอกาสตวัดดาบฟันเต็มแรง
“มึงตาย”
กล้าตกใจ หลบไม่พ้น
“อ๊าก”
ตะกรุดสามกษัตริย์เรืองแสงขึ้นวูบนึง เสื้อกล้าขาดเป็นแนวยาว เผยให้เห็นตะกรุดที่คอชัดขึ้น กล้าจับหน้าอกตัวเองที่ถูกฟัน เข่าทรุด ภูมินทร์มองด้วยความสะใจ กล้าตายแน่ แต่แล้วก็ต้องอึ้งเมื่อเห็นกล้าค่อยๆ ลุกขึ้น งุนงงที่ตัวเองไม่เป็นอะไรเลย
“ตะกรุดนั่นทำให้มันหนังเหนียว” คมบอกแล้วโมโห “มีของดีนักเหรอมึง! ได้” คมหยิบกระดูกหน้าผากผีตายโหงที่พกอยู่ขึ้นมา บริกรรมคาถา แล้วเป่าลง “ไอ้โหงพราย จัดการมัน”
ทันใดควันดำก็ลอยออกจากกระดูก เห็นตาวาวสีแดงก่ำ พุ่งเข้าใส่กล้าอย่างรวดเร็ว กล้าไม่ทันว่าคาถา ได้แต่ยกมือขึ้นป้อง ตะกรุดสามกษัตริย์เรืองรองขึ้น เกิดเป็นครอบแก้วคุ้มตัวกล้าไว้ วิญญาณผีตายโหงพุ่งเข้าปะทะกับครอบแก้ว เกิดเป็นแสงจ้าและแรงสะท้อนกระจายออก ภูมินทร์ตะลึงกับอานุภาพที่ปรากฎ
“ตะกรุดนั่น” ภูมินทร์อยากได้ตะกรุดทันที
ผีตายโหงพุ่งมาเข้าภูมินทร์ ดาบประจุพรายในมือภูมินทร์ร่วงปักพื้น ภูมินทร์ล้มหงายตึง ตาแข็งค้าง กล้าได้สติ รีบวิ่งหนีหายไปในความมืด คมกับลูกน้องรีบเข้าไปดูนาย
“พ่อเลี้ยงๆๆ”
แต่ภูมินทร์ยังตาค้าง ไม่ได้สติ

เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านราชาวดี คะนึงนิจเดินเข้ามาหากล้ากับราชาวดีด้วยสีหน้าเศร้า รู้สึกผิด
“เราต้องขอโทษวดีแทนพี่ชายของเราด้วย ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเรา ถ้าเราไม่หนีพี่ภูมาที่นี่ ไม่โกหกวดี โกหกครู เรื่องร้ายๆ แบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ถ้าวดีจะโกรธจะเกลียด เราก็เข้าใจ”
ราชาวดีจับมือคะนึงนิจ
“ทำไมนิจพูดแบบนั้นล่ะ วดีจะโกรธนิจได้ยังไง”
กล้ายังกังวลเรื่องของคะนึงนิจ
“แล้วนี่นิจทะเลาะอะไรกับพี่ชาย ถึงขนาดต้องหนีออกจากบ้านเลยเหรอ พอจะบอกได้ไหม เผื่อพี่จะช่วยอะไรได้”
คะนึงนิจไม่กล้าบอกความจริงที่พี่ชายทำเรื่องผิดกฎหมาย
“พี่ภูเห็นแก่ตัว ชอบบังคับขู่เข็ญ เราทะเลาะกันเพราะพี่ภู ไม่ยอมให้นิจเรียนศิลปะ นิจเลยหนีมากรุงเทพ จนได้เจอกับวดีและครู”
กล้าคุ้นๆ เหมือนว่าเคยเจอคะนึงนิจมาก่อนที่ไหนสักแห่ง แล้วภาพตอนที่กล้าช่วยคะนึงนิจไว้ในงานโรงเรียนก็แวบเข้ามา กล้านึกออกทันที
“ที่แท้ เธอก็คือเด็ก คนที่มาขอให้พี่ช่วยวันนั้น มิน่าทำไมถึงคุ้นๆ มาตลอด”
“แหม ไม่นึกออกซะชาติหน้าเลยล่ะ ใช่ วันนั้นพี่ภูตามมาเจอนิจในงานสหวิช นิจเลยต้องปลอมตัว แล้วขอให้
พี่กล้าช่วย” คะนึงนิจสบตาราชาวดี ท่าทางจริงจัง “วดี เราจะกลับไปอยู่ที่อพาร์ทเมนท์นะ เราไม่อยากทำให้วดี
กับครูต้องเดือดร้อนไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
ราชาวดีไม่ยอม รีบห้าม
“ไม่ได้นะนิจ...มันอันตราย”
“พี่ภูเค้าไม่ทำร้ายเราหรอกวดี เราดูแลตัวเองได้”
กล้ายังเป็นห่วงคะนึงนิจ
“พี่ก็ไม่เห็นด้วยนะ ที่นิจจะไปอยู่ตามลำพัง กอดปัญหาไว้คนเดียว อย่างนั้นเราจะมีเพื่อนไว้ทำไม”
ราชาวดีพยักหน้าเห็นด้วย คะนึงนิจประทับใจกล้าแต่ก็ยังฟอร์ม
“รู้แล้วน่า ว่าแมน แต่ตอนนี้ยังไม่อยากให้ช่วย เข้าใจมั้ย”
“เฮ้ย ทำไมบ้านเป็นอย่างนี้วะ” ราชาวดีตกใจเสียงพ่อ กล้ารีบไปหลบข้างรั้ว ประตูบ้านเปิดออกครูเริงกุมขมับออกมา “อ้าววดี ตื่นแล้วเหรอ ทำไมข้าวของไหนบ้านมันกระจายซะขนาดนั้นล่ะ”
“ฝีมือนังเหมียวน่ะพ่อ วดีเพิ่งไล่มันไปเมื่อกี้เอง”
“ใช่ค่ะ ไอ้แมวขโมยนี่มันหัวดื้อจริงๆ น่าตีให้ตาย” ราชาวดีเห็นครูเริงหน้าซีดรีบเข้าไปประคอง “พ่อไม่สบายรึเปล่าหน้าซีดจัง”
“ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน พ่อวาดรูปอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็หลับไป พอตื่นมามันก็มึนๆ หัว”
“งั้นพ่อนอนพักต่อเถอะจ้ะอย่าเพิ่งลุกเลย เดี๋ยววดีชงยาหอมให้”

ราชาวดีหันมองกล้าเห็นว่าปลอดภัย รีบพาครูเริงเข้าบ้าน กล้าซ่อนตัวอยู่ โล่งอกรีบหลบออกไป

กล้าขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดหน้าบ้าน มองเสื้อที่ขาดแล้วหาเรื่องโกหก กระเต็นเดินหน้าบึ้งออกมาหากล้า
ก่อนจะแสร้งฉีกยิ้ม

“งานคงยุ่งทั้งคืนสินะ เหนื่อยมากมั้ย กินอะไรมารึยัง”
กล้าได้แต่หลบตา
“รถลูกค้าถูกชนหนักมาน่ะครับแม่ เลยต้องเปลี่ยนอะไหล่หลายชิ้นหน่อย นี่ผมก็ถูกอะไรไม่รู้เกี่ยวเสื้อขาดเลย”
“เหรอ นี่แกคิดจะเลิกโกหกแม่เมื่อไหร่เฮอะ เจ้ากล้า”
กล้าเสียววาบเมื่อเห็นสีหน้ากระเต็นเปลี่ยนไป ที่ประตูบ้านจะเห็นนุกูลค่อยๆ เดินออกมา ท่าทางกลัว ยกมือไหว้ประหลกๆ ขอโทษกล้า
“พี่ ผมขอโทษ”
กล้ารู้ตัวว่างานเข้าแล้ว

กระเต็นเดินบ่นหน้าหงิก ขณะที่กล้ากับนุกูลนั่งจ๋อย
“นี่ถ้าเจ้านุมันไม่มาหาแกเมื่อเช้า ป่านนี้แม่ก็ยังเป็นคนโง่ที่ถูกลูกหลอกอยู่ใช่มั้ย” กล้ากราบแม่
“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะโกหก แค่ไม่อยากให้แม่เป็นห่วง”
“แล้วตกลงเมื่อคืนแกไปไหนมา” กล้าเงียบ ไม่ยอมบอก “ไปบ้านเด็กผู้หญิงที่ชื่อราชาวดีมาใช่มั้ย” กล้าตกใจ
“แม่รู้ได้ยังไงครับ”
หล้าหันมองนุกูล นุกูลตีหน้าเศร้าผิดไปแล้ว รีบชิ่ง
“เรื่องในครอบครัว ผมเป็นคนนอกขอตัวกลับก่อนดีกว่าครับลาล่ะครับแม่”
นุกูลไหว้กระเต็นกับกล้าแล้วรีบออกไป กล้ามองตามเซ็ง
“อย่าไปโกรธนุกูลเลย แม่เป็นคนบังคับให้มันเล่าเอง ทั้งเรื่องที่แกชอบผู้หญิงคนนั้น แล้วยังไปขอเรียนศิลปะกับพ่อเขาอีก จะรักใครชอบใครแม่ไม่ว่าหรอกนะ แต่ควรเลือกให้มันดีกว่านี้ นี่อะไร นัดแนะผู้ชายแล้วหายไปกันทั้งคืนแบบนี้ ผู้หญิงดีๆ เค้าไม่ทำกันหรอก”
“แม่กำลังเข้าใจวดีผิดนะครับ ผมเป็นฝ่ายไปหาเค้าเอง เพราะมีธุระสำคัญที่ต้องคุย แต่บังเอิญเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน” กระเต็นสงสัย “วดีถูกคนร้ายจับตัวไป ผมเลยต้องตามไปช่วยจนไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืน”
“กล้า กล้าทำอะไรคิดบ้างมั้ย เพื่อผู้หญิงคนเดียว ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอะไรเสี่ยงๆ เกิดถูกทำร้ายบาดเจ็บขึ้นมา จะทำยังไง ทำไมไม่ปล่อยตำรวจเค้าจัดการ” กระเต็นโวยวาย
“มันฉุกละหุกจนไม่ทันแจ้งความครับ แต่ตอนนี้ทุกคนก็ปลอดภัยแล้ว”
“แม่ขอสั่งห้ามเลยนะ ไม่ต้องไปยุ่งกับผู้หญิงคนนี้อีก แกกำลังจะบวชอยู่แล้ว อย่าให้มีมารมาผจญ”
“แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะบวช” กล้าตัดสินใจบอกออกมา
“เพราะผู้หญิงคนนี้ใช่มั้ย ยังไงแกก็ต้องบวช ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่พร้อม “
“แม่จะให้ผมบวชเพราะเชื่อเรื่องเบญจเพศ แต่ผมไม่เชื่อ คนเราฝืนดวงชะตาได้ ผมมีสองมือที่จะกำหนดชีวิตตัวเอง” กล้าเถียง กระเต็นถึงกับอึ้ง
“กล้า”
“ถ้าผมต้องมีอันเป็นไปจริง ผมก็คงหลีกเลี่ยงชะตากรรมไม่พ้น เวลาที่เหลือ ผมขอเลือกเผชิญหน้ากับมันทำในสิ่งที่ผมเชื่อ ดีกว่าอยู่อย่างหวาดกลัวแบบนี้”
แต่กระเต็นไม่ยอมเหมือนกัน
“แกจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แม่ไม่ห้าม แต่เรื่องบวชแกรับปากแม่แล้ว ลูกผู้ชาย สัญญาแล้วก็ต้องทำให้ได้”

กระเต็นออกไปทันที ปล่อยให้กล้าเครียดอยู่ตามลำพัง

ขึ้นตอน 3
ในนิมิตรของหาญ หาญเห็นขุนโชติจ้องมองด้วยแววตาโกรธแค้น
“ข้าจักเอาเลือดหัวเอ็ง มาล้างตีนข้า ไอ้หลวงณรงค์”
ขุนโชติตวัดดาบฟัน
หาญลืมตาขึ้นจากการนั่งสมาธิ สีหน้างุนงง แปลกใจที่เห็นขุนโชติซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน หาญสังหรณ์ใจไม่ดี“มันเป็นใครกัน”
ทันใดเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น หาญไปเปิด เป็นกระเต็นที่ก้าวเข้าห้องมาสีหน้าเครียด
“หนูมีเรื่องร้อนใจ เกี่ยวกับกล้า”
“เจ้ากล้า ทำไม”
“หนูรู้แล้วว่าทำไมกล้าไม่อยากบวช ตอนนี้กล้าไปหลงรักรุ่นน้องที่สหวิชค่ะ”
หาญเองก็หนักใจ แต่พยายามปลอบกระเต็นไม่ให้คิดมาก
“ใจเย็นๆ กระเต็น มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ยังเวียนว่ายในกิเลส บางทีถ้าเราหาที่ที่สงบให้เขาอยู่ ใจกล้าอาจจะสงบลง”

จากคำแนะนำของหาญ กระเด็นจึงพากล้ามาพบเจ้าอาวาสที่วัด กล้ากับกระเต็นกราบเจ้าอาวาส
“ขอบพระคุณหลวงพ่อนะเจ้าคะ ที่เมตตาให้กล้าพักอยู่ที่นี่”
“คนกำลังจะบวชพักอยู่ที่วัดก็ดีแล้ว จะได้ฝึกปฏิบัติกิจของสงฆ์ไปด้วย เดี๋ยวโยมตามอาตมาไปที่กุฏินะ
กล้าในชุดนุ่งขาวสำรวม แม้ในใจจะยังไม่อยากบวชก็ตาม” เจ้าอาวาสบอกกล้า
“ครับหลวงพ่อ”
หาญที่แอบมองจากมุมนึง เห็นหลวงพ่อเดินออกมาจากโบสถ์ กระเต็นเดินคุยออกมากับลูกชาย
“แล้วแม่จะแวะมาหาบ่อยๆ ตั้งใจท่องขานนาค หลวงพ่อท่านสั่งท่านสอนอะไรก็ตั้งใจเรียนรู้ อย่าทำให้แม่ผิดหวังอีกนะกล้า”
กล้าไม่เต็มใจนักแต่ก็รับคำ
“ครับแม่”
กล้ารู้สึกตัวว่ามีใครจ้องมองอยู่ หันขวับมองรอบๆ อย่างระวัง
“มีอะไร”
กล้าไม่พบอะไรที่ผิดสังเกต
“เปล่าครับ แค่รู้สึกเหมือนมีใครอีกคนอยู่แถวนี้”
“ใครที่ไหน ไม่มีซะหน่อย ไปได้แล้ว หลวงพ่อท่านจะรอ”
กล้าไหว้กระเต็นแล้วออกไป หาญจึงออกจากที่ซ่อนมาสมทบกับกระเต็น
“ที่นี่จะปลอดภัยสำหรับกล้า ใช่มั้ยคะ”
“ไม่มีที่ไหนปลอดภัยจากวิบากกรรมที่เคยทำหรอก แต่อย่างน้อยกุศลกรรมที่ได้รับใช้พระศาสนา คงจะช่วย
คุ้มครองกล้าได้ ระหว่างนี้เราควรสืบข่าวไอ้ทิวให้รู้แน่ชัดว่ามันตายรึยัง ถ้ามันยังอยู่ เอ็งก็ต้องระวังตัวเช่นกัน”

“หนูไม่กลัวหรอกค่ะ ขอให้กล้าปลอดภัย หนูยินดีแลกชีวิตกับมัน”

รถตู้วิ่งมาตามถนนในกรุงเทพ คนขับรถตู้ขับมาอย่างกลัวๆ เหลือบมองข้างหลังซึ่งขุนโชติ เสือดำ และเสือไท นั่งอยู่กับพื้น หลับตานิ่ง บรรยากาศท้ายรถมืดสลัว

เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ทั้งสามเดินมาที่ท้องถนนเปลี่ยว
“นั่นแสงไฟ”
“มันพุ่งมาทางนี้ หรือจะเป็นผีพุ่งใต้ ระวังนะพี่โชติ”
ทั้งหมดกระชับอาวุธ ชายชาวบ้านขี่มอเตอร์ไซด์มาใกล้ชะลอเห็นทั้งสามยืนจังก้าดูน่ากลัว
“จ๊าก ผีหลอก”
ชายหักมอเตอร์ไซด์ลงข้างทาง กลิ้งไปคอหักตาย ขุนโชติกับพวกมองตกใจ ขุนโชติเดินเข้าไปดู เอาดาบเคาะมอเตอร์ไซด์ เสือดำ เสือไทเข้าไปดูศพ
“คนผู้นี้ตายแล้วพี่”
“มันแต่งตัวประหลาดนัก”
“ของสิ่งนี้ยิ่งประหลาดกว่า พวกเอ็งมาดู”
แสงไฟจากรถตู้ สาดมาแต่ไกล
“โน่น พี่โชติ มันมาอีกแล้ว”
ขุนโชติว่าคาถาแล้วยกมือ รถตู้เบรคเอี๊ยด คนขับหัวโขกกระจก
“โอ๊ย อะไรวะ”
คนขับเห็นทั้งสามยืนอยู่เป็นซิลุเอท เปิดประตูรถจะลง แต่ขวานมาจ่อคอแล้ว เสือไทกระชากคนขับลงมาจากรถ
“เฮ้ย อย่าทำอะไรฉันนะ จะเอาอะไรก็เอาไปเลย”
“บอกมา เอ็งใช้คาถาอะไรบังคับ ไอ้ตัวประหลาดนี้”
คนขับตาเหลือก มองสามคนอย่างหวาดกลัว ตัวสั่น ปากสั่น
“นี่มันรถยนต์ ใช้น้ำมัน ไม่มีได้ใช้คาถาอะไรทั้งนั้น”
“รถยนต์? น้ำมันอะไรวะ ไม่รู้เรื่อง”
“มันจะเหมือนเรือกลไฟที่เราเคยเห็นหรือเปล่า”
“จะอะไรก็ช่าง พวกข้าจะไปตามล่าตัวศัตรูที่พระนคร ถ้าเอ็งไม่อยากตายก็พาพวกข้าไป”
“พระนคร กรุงเทพน่ะเหรอ”

กลับมาปัจจุบัน รถตู้จอดอยู่มุมหนึ่งของอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ขุนโชติและสมุนลืมตาตื่นขึ้น
“ไอ้เกวียนเหล็กนี้มันมิได้วิ่งแล้ว”
“แสดงว่าเรามาถึงพระนครแล้วรึพี่โชติ”
ประตูรถถูกล็อกอยู่เสียงคาถาสะเดาะห์กลอนดังขึ้น สักพักตัวล็อกก็เด้งขึ้น ปลดล็อกเอง ประตูรถเลื่อนเปิดออกเองด้วยคาถา ทั้งสามเสือมุดกันออกมาจากรถตู้ มองแล้วอึ้ง
“นี่หรือพระนคร”
ทั้งสามเจออนุสาวรีย์ตระหง่าน ทั้งสามตกใจกระชับอาวุธ
“อะไรกันนั่น”
“มีแต่เกวียนเหล็ก เต็มไปหมด”
“หรือมันเป็นภาพลวงตา มีคนใช้อาคมกับเรา”
เสือดำวิ่งไปดูที่คนขับ
“คนผู้นั้นมันหนีไปแล้ว”
“บัดซบ”
เสียงตำรวจดังขึ้น
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ มอบตัววางอาวุธ”
ตำรวจ 4-5 นาย พร้อมอาวุธปืนในมือ ล้อมอยู่ด้านท้ายรถที่จอดไกลออกไป ร.ต.อ. ที่เป็นหัวหน้าชุดตะโกนสั่ง
“บอกให้วางอาวุธแล้วยกมือขึ้น”
“มันพูดไม่รู้เรื่องหรอกครับ ผมว่าพวกมันต้องเล่นของจนเป็นบ้า” คนขับบอกกับตำรวจ
ขุนโชติ เสือดำ และเสือไทยืนตระหง่านอยู่ แปลกใจ
“มันบอกให้เราวางอาวุธ รึจะเป็นคนของหลวง”
“พวกไอ้หลวงณรงค์”
“พวกแกมอบตัวซะ แล้วก็คืนดาบเล่มนั้นกับวัตุโบราณอื่นๆ ที่ขโมยไป มา”
“ข้าต้องการเจอหลวงณรงค์ ไปพามันมาพบข้าที่นี่” ขุนโชติบอก
“หลวงเหลิงอะไร เขาฉลองกรุงเทพสองร้อยปีกันแล้ว” ทั้งสามโจรอึ้งแต่ไม่เชื่อ “พวกแกอย่าแกล้งทำเป็นบ้าตบตาเลย ยังไงก็ถูกจับเข้าตารางอยู่ดี”
“ข้าไม่ใช่ขโมย ข้าเป็นโจร ปล้น ฆ่า” ขุนโชติชักดาบออก เดินเข้าหา
“วางอาวุธแล้วหยุดอยู่ตรงนั้น”
ขุนโชติไม่ฟังเสียงวิ่งเข้าฟันตำรวจนายหนึ่งล้ม ตำรวจต่างระดมยิงสกัด แต่กระสุนกลับไม่ระคายผิวขุนโจรทั้ง
สาม ตำรวจต่างตกใจ ทั้งสามโจรพุ่งเข้าโจมตีต่อ ตำรวจและเจ้าหน้าที่ถูกฆ่าตายหมด ขุนโชติจับร.ต.อ.เป็นตัวประกัน
“เอ็งจงพาข้าไปหาไอ้หลวงณรงค์”
ร.ต.อ.เอาตัวรอด
“ได้ ฉันจะพาแกไปหาหลวงณรงค์ แต่แกใจเย็นแล้ววางดาบก่อน”
เสียงเฮลิคอปเตอร์บินมาโดยบังเอิญ จะไปลงที่กรมทหารแถวนั้น ดัง พวกขุนโชติแหงนมอง
“เฮ้ย นั่นมันตัวอะไรพี่โชติ”
ร.ต.อ.เห็นทีเผลอ ถองแล้วสะบัดตัวหลุด ขุนโชติ วิ่งตามฟันฉับเข้ากลางหลัง ร.ต.อ.ล้มลง
“เอาไงดีพี่ ข้าว่ามันทะแม่งๆ ตั้งแต่นั่งไอ้เกวียนประหลาดนี้มาแล้ว”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ควรถอยไปตั้งหลักก่อน”
ขุนโชติว่าคาถาย่นระยะ มวลอากาศเปิดออกเป็นช่อง

ทั้งสามโจรหนีหายไป ร.ต.อ.จ้องมองอยู่ด้วยความประหลาดใจก่อนจะสลบไป

สุพจน์นั่งคุยอยู่กับกระเต็นที่โซฟา กระเต็นมีท่าทางเป็นกังวล

“ดิฉันได้ฟังข่าว ที่ตำรวจชุดจับกุมถูกฆ่าแล้ว มันอุกอาจมาก จะใช่ไอ้ทิวรึเปล่าคะคุณพจน์”
หาญกลับมาจากข้างนอกพอดี ได้ยินชื่อไอ้ทิว จึงแอบฟัง
“จากพยานและหลักฐานก็ยังระบุไม่ได้เหมือนกันครับว่าใช่ไอ้ทิวมั้ย พวกมันมีกัน 3 คน ขโมยดาบโบราณ
จากพิพิธภัณฑ์แล้วปล้นรถชาวบ้านมา”
“งั้นก็ไม่น่าใช่ คงเป็นโจรธรรมดามากกว่า” กระเต็นปลอบใจตัวเอง
“แต่ตำรวจที่รอดตายบอกว่า พวกมันยิงไม่เข้า และยังหายตัวได้ด้วย”
หาญที่แอบฟังอยู่ตกใจ
“แสดงว่าพวกมันต้องมีวิชาอาคม”
สุพจน์เห็นสีหน้ากระเต็นเครียดขึ้นอีก
“อย่ากังวลเลยครับ ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรคุณได้ ครอบครัวของเพชรก็เหมือนครอบครัวของผม” กระเต็นยิ้มรับ
“ขอบคุณมากนะคะคุณพจน์ คุณเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของครอบครัวเรา” สุพจน์ผิดหวัง แต่ซ่อนความรู้สึก กระเต็นนึกได้ รีบเปลี่ยนเรื่อง “เอาอย่างนี้ได้มั้ยคะ ดิฉันอยากขอพบตำรวจคนนั้นสักครั้ง อย่างน้อยดิฉันก็เคยประมือกับไอ้ทิวมาแล้ว ถ้าได้คุยรายละเอียดมากขึ้น ดิฉันน่าจะระบุได้ว่าคนร้ายเป็นไอ้ทิวรึเปล่า”
“ได้สิครับ ผมจะรีบไปจัดการให้ ถือว่าช่วยทางการด้วย”
สุพจน์ลากลับไป กระเต็นมองตามเครียด หาญออกมาสมทบ
“พ่อหาญคงได้ยินหมดแล้ว” หาญพยักหน้ารับ “พ่อหาญคิดว่าคนร้ายจะเป็นไอ้ทิวรึเปล่าคะ”
ภาพขุนโชติที่หาญเห็นในนิมิตรเข้ามา
“จะใช่หรือไม่ใช่ เราก็ประมาทไม่ได้ เป็นไปได้ที่ไอ้ทิวจะไปตามพรรคพวกมาเพิ่ม”
กระเต็นนึกเป็นห่วงลูกชาย
“งั้นกล้าก็...”
“พ่อจะคอยดูกล้าเอง เอ็งไปสืบทางตำรวจเถอะ เผื่อได้เบาะแสเพิ่มเติม”
“ค่ะ”
กระเต็นรีบร้อนออกไป หาญมองตามหนักใจ รู้สึกว่าภัยร้ายกำลังคืบคลานมา

หาญเดินหน้าเครียดขึ้นบันไดมา กำลังจะกลับห้องก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน หาญหันไปมองจึงเห็นคะนึงนิจกับสมพรเถียงกันอยู่ มีกระเป๋าเสื้อผ้า เพลทวาดรูปวางกองที่หน้าห้อง ประตูห้องถูกคล้องสายยูไว้
“ล็อกห้องกันอย่างนี้ได้ไง เอากุญแจมานี่นะ”
“ไม่ ยังไงฉันก็ไม่ให้”
สมพรซ่อนกุญแจไว้ด้านหลัง คะนึงนิจไม่ยอมแพ้ เข้าไปกอด พยายามแย่ง แต่สมพรก็ชูกุญแจในมือออกไปสุดเหยียด หาญเข้ามาแยก
“เดี๋ยวใจเย็นก่อน มีเรื่องอะไรกัน”
“พี่สิงห์ ก็เด็กคนนี้ไม่จ่ายค่าเช่า สมพรเลยต้องล็อกห้องไว้ตามที่คุณนายสั่งค่ะ”
คะนึงนิจเห็นท่าทางสมพรเกรงใจหาญ จึงหันมาอ้อนวอนขอความเห็นใจ
“ไม่ใช่ไม่จ่าย แต่ตอนนี้หนูยังไม่มีเงิน แค่ขอความเมตตา ผลัดผ่อนไปอีกหน่อยไม่ได้เชียวเหรอ”
“ที่ผ่านมาสองเดือนยังไม่เมตตาอีกรึไง”
คะนึงนิจเถียงไม่ออก บีบน้ำตาแทน
“ถ้าไล่ไปตอนนี้ คืนนี้หนูคงต้องซุกหัวนอนข้างถนน ผู้หญิงตัวเล็กๆ ลำพังคนเดียว จะเป็นตายร้ายดียังไง
ก็คงไม่มีใครสนใจ”
หาญรู้ทัน แต่รู้สึกถูกชะตากับคะนึงนิจ
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องบีบน้ำตา ไม่มีใครไล่เอ็งไปไหนหรอก”
สมพรรีบกระซิบกับหาญ
“คุณนายยังสงสัยว่า เด็กคนนี้จะเป็นพวกเดียวกับพวกที่มาตามอาละวาดคราวก่อนด้วยนะคะ”
“เดี๋ยวข้าจัดการให้เอง” หาญบอกสมพรแล้วหันมาพูดกับคะนึงนิจ “เราคงมีเรื่องที่ต้องคุยกันยาว”

กุญแจห้องคะนึงนิจถูกไข ประตูเปิดออก หาญเดินนำคะนึงนิจที่ถือสัมภาระเข้ามาวาง
“สรุปว่าเอ็งชื่อคะนึงนิจ หนีออกจากบ้านที่เชียงใหม่ มาเที่ยวเร่ขายของตามลำพัง เพื่อหาเงินเรียนวาดรูป”คะนึงนิจพยักหน้ารับ “เอ็งไม่กลัวเหรอ?”
“ไม่ค่ะ ถ้าคนเราจะต้องยืนหยัดเพื่อพิสูจน์อะไร สักอย่าง เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องไม่ท้อ” คะนึงนิจบอกอย่างมุ่งมั่น หาญมองคะนึงนิจอย่างชื่นชม คะนึงนิจยกมือไหว้“หนูไหว้ล่ะน้า ขอร้อง ขอให้หนูอยู่ต่ออีกสักพัก ตอนนี้หนูก็พยายามหาเงินมาจ่ายค่าห้องอยู่ แต่มันยังไม่พอจริงๆ”
“แล้วพวกที่ตามหาตัวเอ็งล่ะ”
“พวกนั้นเป็นคนของพี่ชายหนูเอง เราไม่ลงรอยกัน เขาไม่อยากให้หนูเรียนศิลปะ แต่หนูสัญญานะคะ ว่าจะไม่ให้คนพวกนั้น มาสร้างความเดือดร้อนที่นี่เด็ดขาด”
หาญสงสารและเห็นใจคะนึงนิจ
“ข้าเชื่อที่เอ็งพูด” คะนึงนิจเริ่มมีรอยยิ้ม “แต่การที่เอ็งหนีออกจากบ้านมาเร่ร่อนคนเดียว มันไม่ถูกต้องข้าไม่เห็นด้วย” คะนึงนิจหน้าเสีย สบตาหาญ “เอาเถอะ เห็นแก่ความมุ่งมั่นของเอ็ง ข้าจะช่วยพูดกับเจ้าของที่นี่ ให้เอ็งอยู่ต่อ”
คะนึงนิจดีใจ กระโดดตัวลอย
“ไชโย ขอบคุณนะน้า” คะนึงนิจจะเข้ามากอดหาญ แต่นึกได้เปลี่ยนเป็นไหว้แทน “หนูขอบพระคุณน้ามาก”
หาญขำท่าทางของคะนึงนิจ อมยิ้มนิดๆ พร้อมพยักหน้าให้

ที่บ้านภูมินทร์ ภูมินทร์ถูกผีเข้า สภาพโทรม หน้าตาซีดเผือด ตาโหล สภาพห้องเละข้าวของกระจัดกระจาย
ภูมินทร์บ้าคลั่ง ถีบประตู
“ปล่อยกู ขังกูทำไม ปล่อยกู” ที่หน้าของภูมิทร์จะเห็นหน้าผีผู้ชายสีหน้าโกรธขึ้งซ้อนขึ้นมา “พวกมึงต้องตาย กูจะฆ่าพวกมึงให้หมด”
เสี่ยไพบูลย์ คม และเหล็ง ยืนอยู่หน้าห้อง ทั้งหมดหน้าเครียด
“ไม่ได้การ พ่อเลี้ยงเป็นแบบนี้ มีคนเดียวเท่านั้นที่รักษาได้”

คมสงสัยว่าเป็นใคร

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 3 (ต่อ)

ที่ตำหนักอาจารย์ยอด อาจารย์ยอดเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสัก คอห้อยประคำ ยืนอยู่ที่ริมน้ำ ในมือกำปลัดขิก 5 อัน สวดคาถาปลุกปลัดขิกฟังไม่ได้ศัพท์ แล้วเป่ามนต์ลงไปแสงสีแดงเรืองขึ้นที่กำปั้น

ก่อนจะสะบัดมือขว้างปลัดขิกลงน้ำปลัดขิกจมหายไปทั้งที่เป็นไม้ ปากอาจารย์ยอดว่าคาถาเสียงดังก้องไม่ได้ศัพท์
ที่ผิวน้ำจะเห็นปลัดขิกทั้งหมด ว่ายวนไปมาเหมือนปลา ลมพายุบริเวณรอบๆ พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ลูกศิษย์ที่ยืนมองอยู่ ต่างมองดูกันตาค้าง
อาจารย์ยอดว่าคาถาจบ พร้อมกับเอาไม้ครู(ตะพดสั้น) ชี้ไปที่พานซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างหน้าตนจะเห็นว่าปลัดขิกทั้งหมดลอยคว้างขึ้นจากน้ำ ลงมาอยู่ในพานทันที ลูกศิษย์ทั้งหมดอึ้ง นั่งลง ยกมือไหว้อาจารย์ยอดกันใหญ่
อาจารย์ยอดมองเหล่าลูกศิษย์อย่างพอใจ ชอบที่มีคนกราบไหว้บูชาตน
เหล็งเข้ามาหาอาจารย์ยอดอย่างรีบนร้อน
“เสี่ยไพบูลย์มีเรื่องเดือดร้อนสินะ”
“คะ...ครับ อาจารย์ยอด”

อาจารย์ยอดยืนอยู่หน้าห้องภูมินทร์ ระตูห้องถูกทุบเสียงดังลั่นตลอดเวลา
“ปล่อยกู กูบอกให้ปล่อย ปล่อยกู”
อาจารย์ยอดรู้ทันที หันถามเสี่ยไพบูลย์
“ใครเอาไอ้โหงพรายตนนี้มา”
คมรีบสารภาพ
“ผมเองครับ มีคนเอาปั้นเหน่งผีตายโหงมาให้ แต่ผมไม่นึกว่ามันจะเป็นแบบนี้”
“เปิดประตู ข้าจะกำราบมันเอง”
“แต่...”
“เปิด”
คมขยับเข้าไปที่ประตูห้อง เสี่ยไพบูลย์ เหล็ง และพวกที่เหลือต่างแหยง พากันขยับหนีไปหลบ
คมกลั้นใจ ปลดล็อคสายยูออก ทันใดนั้นเอง ภูมินทร์ที่ถูกผีเข้าสิงก็ถีบประตูผัวะออกมา คมโดนประตูผงะหงายไป
ภูมินทร์ที่ตาเป็นสีแดงก่ำ มองไปรอบๆ อย่างคุ้มคลั่ง แล้วพุ่งเข้าไปบีบคอเสี่ยไพบูลย์
เสี่ยไพบูลย์ดิ้นพราดๆ หายใจไม่ออก แต่ไม่มีใครกล้าช่วย ต่างกลัวกันหมด อาจารย์ยอดเห็นก็ตรงเข้าไปเอาไม้ครู (ไม้ตะพดสั้น) ฟาด ภูมินทร์โมโห ปล่อยเสี่ยไพบูลย์ปรี่เข้ามาจะทำร้าย บีบคออาจารย์ยอดบ้าง อาจารย์ยอดไม่กลัว ใช้ตะพดจี้ที่หน้าผาก แล้วเขียนยันต์ด้วยความรวดเร็ว ยันต์ที่ถูกเขียนลากไปเป็นหน้าผากด้วยแสงเรืองสีขาววูบนึง ซึมเข้าหัวไป ภูมินทร์ชะงักนิ่ง ตาค้าง
“อ๊าก”
เสียงผีผู้ชายดังก้องโหยหวน ภูมินทร์สลบไป

เมื่อภูมินทร์ฟื้นคืนสติดีแล้ว
“ขอบใจอาจารย์ยอดมาก เด็กผมมันไม่ได้ความ ก่อเรื่องให้ต้องเดือดร้อนกันไปหมด” ภูมินทร์เหลือบไปมอง ดุคม คมจ๋อย ภูมินทร์ยื่นซองเงินปึกใหญ่วางหน้าอาจารย์ยอด “นี่ ถือว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”
อาจารย์ยอดรับมา ใส่ย่ามของตัวเอง ชอบใจ
“ช่วยกันได้ก็ช่วยกัน ข้าทนเห็นคนเดือดร้อนไม่ได้อยู่แล้ว”
เสี่ยไพบูลย์รีบบอกภูมินทร์
“พ่อเลี้ยงรู้ไหม ว่าฝีมือของอาจารย์ยอดหาใครเทียบได้ยาก ของเก่าโบราณที่ผมหามาได้ ก็ได้อาจารย์ยอดนี่แหละช่วยล้างอาถรรพ์ ล้างมนต์สะกดให้ รับรองไม่มีวิญญาณหรือคำส่งคำสาปอะไรแน่นอน”
“แบบนี้นี่เอง”
“แต่เคราะห์ของเอ็งยังไม่หมด พ่อเลี้ยง ดวงเอ็งกำลังตก ต้องหาคนดีมีวิชาไว้ช่วย เลิกหยิ่งจองหองซะ”
ภูมินทร์ไม่พอใจฝืนยิ้ม
“อาจารย์ ผมก็ไม่ได้หยิ่งอะไร คนเล่นของต้องมีกฏโน่นนี่ แต่ตัวผมน่ะชอบจะอยู่เหนือกฏเกณฑ์ซะมากกว่า”
“ข้าไม่ได้บอกให้เอ็งเล่นของ แค่เอ็งกราบเป็นศิษย์ของข้า รับรองอยากได้อะไรจะได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเงิน อำนาจ บารมี ผู้หญิง”
เสี่ยไพบูลย์สนับสนุนทันที
“เอาเลยพ่อเลี้ยง อาจารย์ไม่เคยพูดกับใครแบบนี้มาก่อนเลย”
ภูมินทร์ไม่อยากทำ เพราะคนอย่างตนไม่จำเป็นต้องกราบไหว้ใคร อาจารย์ยอดหรี่ตามองภูมินทร์
“ไม่จำเป็น ผมสะดวกใจที่จะทำทุกอย่างให้เป็นธุรกิจมากกว่า”
อาจารย์ยอดโมโห ลุกขึ้น จ้องภูมินทร์ ภูมินทร์มองตอบไม่สะทกสะท้านใดๆ อาจารย์ยอดเดินออกไป
“โธ่ พ่อเลี้ยง” เสี่ยไพบูลย์รีบตามอาจารย์ยอดไป “อาจารย์ครับอาจารย์”
เหล็งเดินตามเสี่ยไพบูลย์กลับไป
“หึ คิดเหรอว่าคนอย่างฉันจะก้มหัวให้ใคร”
ภูมินทร์นั่งสะใจ ส่วนคมเสียดายเพราะชอบเรื่องทางนี้อยู่เป็นทุน

กล้านุ่งขาวห่มขาวกำลังกวาดใบไม้ที่ลานวัดอยู่ สีหน้าไม่ค่อยสบายใจ กล้าคิดถึงตอนที่เถียงกับแม่
“แม่จะให้ผมบวชเพราะเชื่อเรื่องเบญจเพศ แต่ผมไม่เชื่อ คนเราฝืนดวงชะตาได้ ผมมีสองมือที่จะกำหนดชีวิตตัวเอง”
“กล้า”
“ถ้าผมต้องมีอันเป็นไปจริง ผมก็คงหลีกเลี่ยงชะตากรรมไม่พ้น เวลาที่เหลือ ผมขอเลือกเผชิญหน้ากับมันทำในสิ่งที่ผมเชื่อ ดีกว่าอยู่อย่างหวาดกลัวแบบนี้”
แต่กระเต็นไม่ยอมเหมือนกัน
“แกจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แม่ไม่ห้าม แต่เรื่องบวชแกรับปากแม่แล้ว ลูกผู้ชาย สัญญาแล้วก็ต้องทำให้ได้”

กล้าถอนใจ ไม่ชอบเลยที่ต้องมาบวชแบบถูกบังคับอย่างนี้ เหมือนมีใครกำลังแอบจ้องมองกล้าอยู่

กล้ารู้สึกตัวหันขวับมองไปทันที กล้าเห็นคนหลบไปอีกทาง กล้ารีบวิ่งตามออกไป
กล้าวิ่งตามเข้ามาที่หน้าโบสถ์ มองหาแต่ไม่เห็น เห็นแต่ประตูโบสถ์แง้มอยู่ กล้าคิดว่าต้องเป็นขโมยแน่ รีบตามเข้าไปดูในโบสถ์ทันที
กล้าเข้ามาในโบสถ์เงียบๆ มองไปที่หลังพระประธาน หวังจะจับตัวให้ได้ กล้าถึงหลังพระประธาน โผล่พรวด พร้อมง้างไม้กวาดจะฟาด แต่แล้วต้องชะงัก เพราะไม่เห็นใคร
“เป็นไปได้ยังไง”
กล้าออกมามองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นใคร เพราะหาญกำบังกายหูทัดใบพลู ยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง กล้าเดินผ่านหน้าหาญไป หาญออกจากกำบังกาย มองหลาน โล่งอกที่กำบังกายทัน

ที่หน้ากุฏิเจ้าอาวาส กล้าบอกเจ้าอาวาสอย่าง ร้อนใจ
“มันต้องเป็นพวกโจรที่คิดมาขโมยของในวัดแน่ๆ ครับหลวงพ่อ” เจ้าอาวาสคิดตาม“ผมว่าเราน่าจะจัดเวรยามให้แน่นหนา มันอาจมาดูลาดเลากันไว้ก่อน เรื่องนี้ให้ผมช่วยด้วยนะครับหลวงพ่อ”
เจ้าอาวาสยิ้ม
“ขอบใจนะโยมกล้า แต่อาตมาคิดว่าโยมควรตั้งใจปฏิบัติธรรม เตรียมตัวบวชเรียนจะดีกว่า ส่วนเรื่องขโมยน่ะอาตมาจะจัดการเอง”
“แต่”
“เชื่ออาตมา โยมกลับไปฝึกท่องขานนาคเถอะ”
“ครับ หลวงพ่อ”
กล้าไหว้หลวงพ่อ แล้วจำใจต้องกลับออกไป เจ้าอาวาสรู้ว่าหาญดูอยู่
“ออกมาเถอะโยมพี่”
หาญออกจากกำบังกาย เดินเข้ามา ไหว้เจ้าอาวาสซึ่งเจ้าอาวาสเคยเป็นพระรุ่นน้องของหาญ
“ต้องขอโทษท่านจริงๆ”
“โยมพี่คงเป็นห่วงหลานมากอาตมาเข้าใจ แต่การทำเช่นนี้รังแต่จะสร้างความวุ่นวายใจให้แก่เขาเสียมากกว่า”
หาญคิดตาม

ร่องสวน ริมคลอง เงาหน้าขุนโชติอยู่ในน้ำกำลังจ้องดูตัวเองแววตาเครียด ขุนโชติคิดถึงเหตุการณ์ตอน
ที่ตำรวจล้อมจับ / ขุนโชติเห็นเฮลิคอปเตอร์ / ตำรวจบอกฉลองกรุงเทพสองร้อยปีแล้ว/ อนุเสารีย์ชัยสมรภูมิ...ขุนโชติ
วักน้ำล้างหน้า ไล่ความสับสน
บรรยากาศเงียบสงบของลำคลอง มีเรือหางยาวลำหนึ่งแล่นลอดใต้สะพานผ่านไป เสือดำกับเสือไทโผล่จากพกหญ้าริมตลิ่งแอบมอง
“เหตุใดทุกอย่างมันถึงดูแปลกหูแปลกตาเยี่ยงนี้วะไอ้ดำ ข้างงไปหมดแล้ว”
“รึว่า เอ็งกับข้าจักอยู่ในย่านฝรั่งที่เขาร่ำลือกัน”
ขุนโชติตามมาสมทบ แววตาแค้น
“มิใช่ดอก ไอ้หลวงณรงค์มันสะกดวิญญาณพวกเอ็งกับข้าไว้ในถ้ำ นานสักกี่ปีก็ไม่รู้ได้ ข้าต้องหาคนที่จักแจ้งเรื่องนี้ให้กระจ่าง”
มีเสียงฝีเท้าคนเดินแว่วมา พวกขุนโชติรีบหาที่ซ่อน กระถิน เด็กผู้หญิงท่าทางฉลาด ประมาณชั้น ป.6 ชุดนักเรียนซ่อมซ่อ กระเป๋านักเรียนขาดวิ่น เดินข้ามสะพานมา ในมือมีห่อข้าวสองห่อ ทันใดขุนโชติก็โผล่ออกมาขวางหน้าไว้ กระถินจ้องมองตกใจ

ขุนโชติกับสมุนทั้งสองนั่งกินข้าวในห่ออย่างหิวโหย กระถินยืนมองอยู่ๆใกล้ๆ ด้วยความสงสาร ขุนโชติยังสีหน้าเครียดอยู่
“ขอบใจเอ็งมากนังหนู ที่มีน้ำใจกับพวกข้า” กระถินยิ้มให้
“ไม่เป็นไรจ๊ะ เราคนจนเหมือนกัน หนูสงสารพวกลุง พวกลุงคงไม่มีบ้านอยู่ พอดีวันนี้ป้าในตลาดแบ่งข้าว
มาให้เยอะซะด้วย” กระถินมองขุนโขติกับลูกน้องอย่างพิจารณา “พวกลุงแต่งตัวแปลกๆ นะ เหมือนในหนังสือเลย”
กระถินหยิบหนังสือเรียนในกระเป๋ามาเปิดให้ดู “นี่ไงจ้ะ” ภาพในหนังสือเป็นภาพวาดชาวบ้านบางระจัน “คนนี้นายจัน หนวดเขี้ยว คนนี้นายทองเหม็น ชาวบ้านบางระจัน อยุธยา มีดาบเหมือนลุงด้วย”
“ไม่ใช่ดอกนังหนู พวกข้าเป็นโจ...” ขุนโชติจะบอกว่าเป็นจารแต่นึกได้ “พวกข้าอยู่ในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง”
“พระพุทธเจ้าหลวง ก็รัชกาลที่ห้าสิ ลุงอย่ามาอำหนูน่า หนูเรียนหนังสือนะ ตอนนี้รัชกาลที่เก้าแล้วนะลุง”
ทั้งสามโจรสบตากันอึ้ง
“จริงรึนังหนู เอ็งไม่ได้หลอกพวกข้านะ”
กระถินพยักหน้ารับ
“จริงสิจ๊ะ...รัชกาลที่ห้า พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่หก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่เจ็ด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว”
“พอได้แล้วนังหนู” กระถินชะงัก “นี่มันผ่านมากี่สิบปีแล้ว”
“ปีนี้เค้าฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบสองร้อยปีกันใหญ่โต ถ้าพวกลุงอยู่สมัยรัชกาลที่ห้าจริง โอ้โห ตอนนี้อายุพวกลุงก็เป็นร้อยปีเลยนะ”
ทั้งสามเสือได้ฟังถึงกับช๊อก
“ร้อยปี ร้อยปีเชียวรึ”
ขุนโชติรู้ว่าความหวังที่จะแก้แค้นศัตรูพังลงแล้ว โมโหจนพูดอะไรไม่ออก
“ลุง ลุงเป็นอะไรไป”
ขุนโชติไม่ได้ยิน แต่กลับเดินไร้สติออกไป
“พี่โชติ”

ขุนโชติเดินขึ้นสะพานมาหยุดกลางสะพาน แววตาแดงกล่ำ อัดอั้นเพราะความเจ็บแค้น
“นี่ข้าตายไปแล้วร้อยปีจริงรึ แล้วข้าจะฟื้นขึ้นมาล้างแค้นกับผู้ใด ไอ้หลวงณรงค์” ขุนโชติกำดาบในมือแน่น นึกถึงตอนที่ถูกหลวงณรงค์ฆ่า ขุนโชติมองไปเบื้องหน้า ไฟแค้นสุมอก

“ข้าขอสาบาน ต่อให้เอ็งไม่อยู่บนแผ่นดินนี้แล้ว ลูกเอ็งหลานเอ็ง ก็ต้องชดใช้กรรมที่เอ็งทำไว้กับข้าอย่างสาสม”

วันต่อมาครูเริงพาภูมินทร์กับคมเข้ามาในบ้าน

“เชิญนั่งก่อนครับ”
ภูมินทร์นั่ง แต่คมยืนคุมข้างหลัง ภูมินทร์มองภาพเขียนที่ประดับอยู่ตามผนังในบ้าน ทำพูดเอาใจชื่นชม
“ผมได้ข่าวจากเพื่อนฝูง ว่างานของครูมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร มารบกวนถึงบ้านแบบนี้ หวังว่าครูคงไม่ว่าอะไรนะครับ”
ครูเริงตอบรับแบบไว้เชิง
“ไม่เป็นไรครับ ตัวผมยินดีต้อนรับคนที่เห็นค่าของงานศิลปะอย่างแท้จริงเสมอ”
ราชาวดีลงมาจากข้างบน เห็นภูมินทร์ยิ้มให้ก็อึ้ง
“คุณ”
“วดี นี่คุณภูมินทร์ ไพรพญา เค้ามาขอชมงานของพ่อเดี๋ยวเอาน้ำมาให้แขกด้วยนะ”
ครูเริงแนะนำ ราชาวดีหน้าซีดกลัวพ่อจะรู้เรื่องลักพาตัว
“ค่ะพ่อ”
“เชิญที่ห้องทำงานผมดีกว่าครับ”
ครูเริงเดินนำพาภูมินทร์กับคมออกไป ภูมินทร์เดินตาม พอผ่านราชาวดีก็ลอบยิ้มให้ แล้วเดินผ่านไป ราชาวดียืนหน้าซีดเพราะไม่รู้ว่าภูมินทร์จะมาไม้ไหนอีก

ที่ห้องทำงานครูเริง ภูมินทร์ยืนมองภาพเขียนสีน้ำมันของครูเริงที่ผนังอย่างชื่นชม
“งานของครูไม่ธรรมดาจริงๆ ผมชอบ ภาพนี้ ภาพนี้แล้วก็ภาพนี้ด้วย ผมให้ภาพละแสนไปเลย”
ครูเริงมองภูมินทร์อย่างประเมิน ไม่ชอบในท่าทีโอ่รวย
“คุณชอบมันตรงไหน?”
ราชาวดีเดินถือแก้วน้ำเข้ามาที่ภูมินทร์พอดี ภูมินทร์ยิ้มให้แล้วรับแก้วน้ำโดยมือของภูมินทร์จับเลยไปที่มือ
ราชาวดี ราชาวดีสะดุ้งรีบปล่อยมือ ภูมินทร์ทำไม่รู้ไม่ชี้ ครูเริงเห็น ไม่พอใจแต่ยังนิ่ง ภูมินทร์จิบน้ำแล้วตอบครูเริง
“ผมว่างานศิลปะก็เหมือนกับผู้หญิง” ภูมินทร์เหลือบมองไปที่ราชาวดี แล้วพูดต่อ “ชอบก็คือชอบ เราคงไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลมาอธิบายเอาเป็นว่าถ้าครูตกลงผมจะให้เด็กยกรูปไปเลย ส่วนเงิน...”
“ผมไม่ขาย”
ภูมินทร์ชักสีหน้า แล้วกดอารมณ์โกรธไว้
“ผมคงให้ราคาต่ำไป เอาล่ะ งั้นรูปละสองแสน แล้วผมก็อยากได้รูปที่วางกองอยู่ตรงนั้นทั้งหมดด้วย ครูจะคิดราคาเท่าไหร่ก็ได้ ตามใจ”
ครูเริงโมโห ไม่ชอบ
“ผมไม่คิดจะขายรูปพวกนี้”
ภูมินทร์ไม่พอใจเสียงเข้มใส่
“นี่ผมทำอะไรให้ครูไม่พอใจรึเปล่า”
“จริงๆ ผมจะมอบรูปให้ใครเลยก็ได้ ถ้าเขาเห็นคุณค่าของมันแต่ต้องไม่ใช่กับพวกคนรวยที่ซื้องานไว้ประดับบารมี”
“เฮ้ย” คมจะเข้ามาเล่นงานครูเริง ภูมินทร์ยกมือห้ามคม
“ถ้าครูคิดอย่างนั้น ผมก็เสียใจ กลับ”
ภูมินทร์วางแก้วน้ำกระแทกลงที่โต๊ะข้างๆ ตัวแล้วเดินฉุนเฉียวกลับออกไป ครูเริงมองตามไม่ส่ง ส่วนราชาวดีโล่งอก
“วดี ลูกรู้จักกับนายภูมินทร์คนนี้รึเปล่า”
“ปะ เปล่าค่ะพ่อ”
“ดีแล้ว เราต้องหัดอ่านคนให้ออก คนที่คิดว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง คือคนที่จิตใจหยาบกระด้าง ไม่ควรคบหา”
ครูเริงเดินออกไปจากห้อง ราชาวดีเป็นกังวล กลัวว่าภูมินทร์จะไม่จบเพียงแค่นี้

ภูมินทร์เดินมาที่รถหน้าเครียด คมเดินตามพูดกะประจบเต็มที่
“มันหยิ่งจองหองทั้งพ่อลูกแบบนี้ ผมว่าพ่อเลี้ยงฉุดเลยดีกว่า”
“ไม่ต้องยุ่ง วู่วามอย่างแกมีแต่จะเสียกับเสีย” ภูมินทร์ตวาด
“เอ่อ แล้วทำไมพ่อเลี้ยงถึงไม่อยากเป็นศิษย์อาจารย์ยอดละครับ อาจารย์จะได้ช่วยพ่อเลี้ยงเรื่องเสน่ห์ยาแฝด รับรองไม่ต้องเหนื่อยแรง”
“หุบปากไอ้คม คนอย่างพ่อเลี้ยงภูมินทร์ ไม่มีทางทำเสน่ห์ให้ผู้หญิงมาหลง ฉันต้องเอาชนะด้วยสมองของฉันเอง”
“อย่าลำบากเลยดีกว่าค่ะ”
ภูมินทร์หันตามเสียง เห็นราชาวดีเดินเข้ามา
“ราชาวดี”
ราชาวดีรวบรวมความกล้า
“ในฐานะที่คุณเป็นพี่ของนิจ ฉันคิดว่าเราคงคุยกันได้ ขอร้องเถอะค่ะ เลิกยุ่งกับเราสองคนพ่อลูก เรื่องที่ผ่านไปฉันจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น”
ภูมินทร์ยิ้มอย่างใจเย็น
“ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะขอโทษเธอ แล้วฉันก็ไม่ได้เร่งรัดให้เธออภัยให้ฉันตอนนี้ ถ้าเธอให้โอกาสฉัน เธอจะรู้ว่า
ฉันสามารถบันดาลทุกอย่างให้เธอได้ ยกเว้นแต่ดาวกับเดือน”
“เผอิญ ฉันเป็นมนุษย์เดินดิน ไม่ได้ต้องการของสูงขนาดนั้น ขอบคุณนะคะพ่อเลี้ยง”
ราชาจะเดินเข้าบ้าน
“เพราะไอ้กล้าใช่มั้ย”
“เรื่องนั้น ฉันคงไม่ต้องตอบ ขอตัวนะคะ”
ราชาวดีหันหลังกลับ แล้วเดินออกไป ภูมินทร์มองตามด้วยความโมโห
“ไอ้คม แกไปสืบมาว่าไอ้กล้ามันอยู่ที่ไหน ฉันอยากจะรู้นัก ถ้าไม่มีมันแล้ว เธอจะทำยังไง ราชาวดี”
ภูมินทร์แค้นใจ คิดหาทางกำจัดกล้า

กระเต็นพาหาญเดินเข้าหน้าห้องพักฟื้นในโรงพยาบาลซึ่งสุพจน์รออยู่ที่ประตูแล้ว
“มาแล้วเหรอครับ กำลังรออยู่พอดี”
สุพจน์รู้สึกคุ้นหน้าหาญจึงมองอย่างแปลกใจ
“อ๋อ พี่สิงห์ค่ะคุณพจน์ เป็นญาติห่างๆ ของเพชร พอดีแกมาจากต่างจังหวัด จะต้องไปทำธุระกับดิฉันต่อ
เลยต้องพามาด้วย คงไม่รบกวนนะคะ”
“ถึงว่าผมคุ้นๆ หน้าที่ไหน ไม่รบกวนหรอกครับ เชิญในห้องเถอะ พยานในเหตุการณ์รออยู่แล้ว”

ทั้งหมดเปิดประตูเข้าห้องไป

ภายในห้อง ร.ต.อ.ซึ่งได้รับบาดเจ็บ นอนบนเตียง กำลังเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นแก๊งขโมยวัตถุโบราณธรรมดาครับ มากัน 3 คน แต่งตัวประหลาด นุ่งเตี่ยว รอยสักเต็มตัวเลย พูดจาแปลกๆ ท่าทางเหมือนเสียสติ แล้วก็ถามหาแต่คนชื่อหลวงณรงค์”
ทุกคนแปลกใจ
“หลวงณรงค์”
กระเต็นสบตาหาญ หาญส่ายหัวไม่เคยได้ยิน
“มันมีกันแค่สามคน แต่ทำไมตำรวจเราถึงถูกฆ่าตายหมด”
“พวกมันโหดเหี้ยมมาก ฆ่าตำรวจอย่างไม่ปรานี โดยเฉพาะไอ้ตัวหัวหน้า ใช้ดาบที่ขโมยมาแคล่วคล่องยังกับนักรบโบราณ”
“ได้ยินว่าพวกมันมีอาคมด้วย”
“ผมก็ไม่อยากเชื่อหรอกนะ ยุคนี้แล้ว แต่กระสุนของเราทำอะไรมันไม่ได้เลย มันไม่ใช่คน ผมเห็นกับตาว่าพวกมันหายตัวไปในอากาศ”
หาญนึกถึงภาพในนิมิต ภาพขุนโชติตวัดดาบฟันในนิมิตหาญเข้ามา หาญหวั่นใจกลัวสิ่งที่คิดจะเป็นจริง

หาญและกระเต็นมาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตรงจุดเกิดเหตุตำรวจปะทะกับขุนโชติ กระเต็นมองรอบๆ
“พวกมันอุกอาจมาก ถึงขนาดฆ่าตำรวจกลางกรุงเทพ กลางวันแสกๆ ถ้าไม่บ้าก็คงสิ้นคิด”
หาญสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง
“พ่อรู้สึกได้ว่า อาคมของพวกมันกล้าแกร่งนัก”
“คุณพ่อคิดว่าใช่ไอ้ทิวรึเปล่าคะ”
“ถึงจะมีอาคมเหมือนกัน แต่จากลักษณะที่ตำรวจบอกไม่น่าเป็นไอ้ทิว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะวางใจได้”
“แล้วพวกมันเป็นใครกัน รวมทั้งคนที่ชื่อหลวงณรงค์ด้วยหวังว่าจะไม่เกี่ยวกับกล้า”
หาญยังพะวงกับนิมิตที่เห็น
“กันไว้ก่อนดีกว่าถึงคราวเคราะห์ อะไรก็เกิดขึ้นได้เราต้องรู้ให้ได้ว่าพวกมันมาจากไหน มีเจตนาอะไรกันแน่”
มือหาญเอื้อมมือไปอังตรงรอยเลือดที่ยังหลงเหลืออยู่แล้ว หลับตา ร่ายคาถา เพ่งตาทิพย์ ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหน้าหาญ จะเห็นว่าเบื้องหน้าเป็นขุนโชติเงื้อดาบฟัน ร.ต.อ.ที่หลังล้มลง ขุนโชติว่าคาถาย่นระยะทาง มวลอากาศแหวกออก ขุนโชติกำลังจะหนีแต่หันมามองหาญแว่บนึง หาญลืมตาด้วยความตกใจ
“คุณพ่อมองเห็นอะไรคะ”
หาญไม่อยากให้กระเต็นกังวลไปกว่านี้ จึงไม่บอกว่าตนเคยเห็นขุนโชติในนิมิตมาแล้ว
“พวกมันใช้คาถาย่นระยะทางหนีไป ถ้าออกตามหาในรัศมี 5 กิโลนี้ เราอาจเจอเบาะแส”
หาญสังหรณ์ใจว่าขุนโชติจะเป็นภัยกว่าไอ้ทิวยิ่งนัก

อีกด้านหนึ่ง กระถินพนมมือไหว้ขุนโชติ สีหน้างงๆ ขุนโชติรับดอกไม้ธูปเทียนในมือกระถินไป กระถินก้มกราบ
“ต่อแต่นี้เอ็งก็คือลูกศิษย์ของข้า ข้าจะสอนคาถาไว้ให้เอ็งเลี้ยงตัว แต่เอ็งต้องเล่าเรื่องราวของพระนคร ในแผ่นดินรัชกาลที่เก้าให้ข้าฟัง”
“ได้จ้ะลุง แต่ว่าไอ้คาถาที่ลุงจะสอนหนู มันคืออะไรจ้ะ เหมือนสวดมนต์ใช่รึเปล่า”
“นังกระถิน เอ็งนี่มันหัวไวพอตัว ก็ทำนองนั้นแหละ ทำจิตให้เป็นสมาธิแล้วจำคาถานี้เอาไว้ให้ขึ้นใจ” ขุนโชติหลับตา ท่องคาถา “จินดามะณี ปันนามะกะปา จินดาตะวะ ทัตตะมาโน จินติตะยา หิตะเมจะ ปัตโตติ”
กระถินจ้องมองตาไม่กระพริบ ขุนโชติเป่ามนต์ลงในน้ำ สักพักจะเห็นฝูงปลาแหวกว่ายจากทุกทิศมาอยู่ตรงหน้าขุนโชติเต็มไปหมด กระถินดีใจ
“ปลา ปลาเต็มไปหมดเลยลุง ลุงเรียกปลามาให้หนูเหรอ”
กระถินยิ้มหน้าบาน วิ่งไปหาอะไรมาจับปลา ขุนโชติมองตามนึกเอ็นดู เสือดำกับเสือไทมีสีหน้าเป็นกังวลเพราะรู้ความจริงกระจ่างแล้ว
“แล้วเสือพลัดถิ่นอย่างเรา จักทำเยี่ยงไรต่อไป”
“ป่านนี้ไอ้หลวงณรงค์มันคงตายไปแล้ว เราจะไปล้างแค้นเอากับผู้ใด”
“ขึ้นชื่อว่าเสือ อยู่ที่ใด ก็ต้องเป็นเสือวันยังค่ำ แม้นไอ้หลวงณรงค์มันจักสิ้นชื่อไปแล้ว ข้าก็จักตามทวงคืนสมบัติที่มันชิงไป แล้วกุดหัวลูกหลานมันมาสังเวยแค้น”

เสือไทกับเสือดำยิ้มสะใจ ขุนโชติมุ่งมั่นจะชิงสมบัติคืนและแก้แค้นให้ได้

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 3 (ต่อ)

หาญกับกระเต็นที่ร้านกาแฟในตลาดริมคลองแห่งหนึ่ง กำลังอธิบายลักษณะของขุนโชติให้ชาวบ้านฟัง
แต่ทุกคนกลับส่ายหน้า ไม่มีใครเคยเห็น ทั้งสองคนผิดหวัง แต่ยังไม่หมดความพยายาม

หาญกับกระเต็นเดินข้ามสะพาน มองหาพวกขุนโชติ ทันใดก็สะดุดตาเข้ากับกระถินที่กำลังใช้สวิงตักฝูงปลาอยู่ที่ท่าน้ำ หาญแปลกใจ ชี้ให้กระเต็นดู
“ดูนั่น”
“เด็กจับปลา ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ”
“แต่ดูเหมือนว่า ปลามันจะมารวมกันตรงหน้าเด็กคนนั้น แค่จุดเดียว”
กระเต็นเริ่มเก็ท ทั้งสองตรงเข้าไปหากระถิน
“หนู ทำไมแถวนี้จึงมีปลาอยู่เต็มไปหมด ใครเลี้ยงเอาไว้เหรอ”
“ไม่มีใครเลี้ยงหรอกน้า ปลาพวกนี้หนูเป็นคนเรียกมาเอง”
“หนูเรียกปลามาอย่างนั้นเหรอจ้ะ ทำได้ยังไงกัน”
“เก่งมั้ยล่ะ มีลุงใจดี 3 คน เค้าสอนวิชาเรียกปลาให้หนู”
“ลุงพวกนั้น เค้ามีลักษณะยังไงบ้าง” กระเต็นถามอย่างร้อนใจ
“พวกลุงเค้าตัวใหญ่ ไม่ใส่เสื้อ มีรอยอะไรไม่รู้เต็มตัวไปหมดเลย”
“ถือดาบด้วยใช่มั้ย”
กระถินจ้องหาญกับกระเต็นดย่างสงสัย
“น้ารู้ได้ยังไงล่ะ”
หาญกับกระเต็นสบตากัน ใช่แน่
“พวกนั้นน่ะเป็นผู้ร้าย หนีตำรวจมา หนูรู้มั้ยว่าพวกมันอยู่ที่ไหน”
“ไม่จริง ลุงพวกนั้นเป็นคนดี”
กระเต็นทำท่าจะเถียง หาญจับไว้แล้วยิ้มอย่างใจดี
“ลุงหนูอาจจะเป็นคนดีก็ได้ แต่ยังไงน้าขอเจอกับเค้าก่อนได้มั้ย น้ามีธุระสำคัญกับพวกเค้า”
กระถินมองไม่ไว้ใจแล้ว

กระถินเดินนำหาญกับกระเต็นลัดเลาะไปตามร่องสวน จนเห็นเพิงพักสังกะสีอยู่ไกลๆ
“โน่นไงจ้ะน้า ข้ามท้องร่องไปก็ถึงแล้ว”
หาญเป็นห่วงกระถิน กลัวจะมีการปะทะกัน
“เอ็งกลับไปเถอะ จากนี้พวกน้าไปเองได้ ขอบใจนะ”
กระถินออกไปพร้อมปลาในมือ หาญกับกระเต็นรีบข้ามท้องร่องไป

ที่แคร่หน้าโรงเก็บของ ขุนโชตินั่งทำสมาธิอยู่ ลืมตาทันใด คว้าดาบ เสือดำกับเสือไทตกใจ
“มีอะไรรึพี่”
“ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าคน”
ทั้งสามคนคว้าอาวุธ ระวังตัว

ด้านหลังเพิงพัก หาญกับกระเต็นย่องเข้ามาหลบหลังต้นไม้ หาญมองไปเห็นด้านหลังของเพิงพักอยู่ห่างออกไปไม่มาก มีต้นไม้บังสายตาไว้ ที่ช่องระหว่างสังกะสีจะเห็นเงาบางอย่างวูบไหวอยู่ข้างใน หาญกับกระเต็นสบตากัน เตรียมพร้อมสู้ หาญสวมสนับเล็บเสือ กระเต็นชักปืน ทั้งสองคนพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนที่ด้านหลังโรงเก็บของ ขุนโชติโผล่มาขวาง ง้างดาบในมือจะฟัน แต่ต้องชะงักที่เป็นกระถิน กระถินตกใจกลัว ตาค้าง เป็นลมล้มไป

หาญกับกระเต็นวิ่งเข้ามาหน้าเพิ่งพักแต่กลับไม่มีใครอยู่ เห็นแมวตัวหนึ่งกระโจนหนีออกไป ทั้งสองคนผิดหวัง“รึว่าเด็กนั่นจะหลอกเรา”
“คลองฝั่งโน้นเป็นชุมชน พวกมันคงหนีไปหาที่กบดานใหม่ที่สงบกว่าก็เป็นได้”
“อีกนิดเดียวแท้ๆ”
“เราคงต้องออกตามพวกมันวันหลัง นี่จะมืดแล้ว เอ็งกลับบ้านไปก่อน ข้าจะไปที่วัด คอยดูเจ้ากล้ามันเอง”
“หนูฝากกล้าด้วยนะคะคุณพ่อ”
หาญพยักหน้ารับ ทั้งสองคนกลับออกไป

กระถินฟื้นขึ้นมาเห็นทั้งสามเสือนั่งจ้องมองอยู่ก็ตกใจ
“พวกลุงอย่าฆ่าหนูนะ หนูไม่ได้บอกอะไรใครทั้งนั้น”
“เอ็งพูดกระไร เอ็งไปบอกอะไรใครอย่างนั้นรึ”
“ก็มีคนมาตามหาพวกลุง เค้าถามถึงดาบเล่มนั้นของลุงด้วย”
“พวกมันมากันกี่คน ท่าทางเป็นเช่นไร”
“ผู้ชายคนผู้หญิงคนจ้ะ เค้าบอกว่าพวกลุงเป็นผู้ร้าย หนูไม่เชื่อหรอก หนูเลยหลอกพาไปที่สวนอื่นแทน หนูเก่งมั้ยล่ะ”
“เอ็งฉลาดมากนังกระถิน กลับบ้านไปได้แล้ว ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็น ก็ไม่ต้องมาหาพวกข้า”
“ลุงทะเลาะกับพวกเค้ามาเหรอจ๊ะ” กระถินถามอย่างสงสัย
“เอ็งไม่ต้องสู่รู้ดอก พี่โชติไล่กลับก็กลับไปได้แล้ว” เสือไทบอกอย่างหงุดหงิดจนกระถินนึกกลัวจึงรีบลากลับไป
“พวกโปลิศมันคงออกตามล่าเรา ไม่ผิดแน่”
ขุนโชติหน้าเครียด

ส่วนที่วัดกล้าในชุดขาวนั่งสวดมนต์ติดๆ ขัดๆ อยู่ในกุฎิด้วยใจพะว้าพะวง
“อุกาสะ วัน...ทามิ ภันเต, สัพพัง อะ?...อะปะราธัง...เอ่อ...ขะมะถะ เม ภันเต,”
แต่แล้วกล้าก็ต้องหยุด ถอนหายใจ หงุดหงิดตัวเองที่ไม่มีสมาธิ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงเอื้อนขับเสภาจากวิทยุดังแว่วเข้ามา กล้าลุกขึ้น เงี่ยหูฟัง
“ลุงกล่ำฟังเสภาอีกแล้วเหรอเนี่ย”

ขณะนั้นตากล่ำ ซึ่งเป็นสัปเหร่อนั่งฟังวิทยุทรานซิลเตอร์อย่างอารมณ์ดีอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก
“โอ้พิมนิ่มนวลของเณรแก้ว เจ้าไปแล้วจะรำลึกถึงพี่บ้าง”
กล้าล้มตัวลงนอน ฟังเสภา ใจลอยไปถึงราชาวดี
“หรืองามปลื้มแม่จะลืมน้ำใจจาง แต่ครุ่นครางครวญคิดจนค่อนคืน
ทำไฉนจึงจะได้นางพิมชม ให้เคลื่อนคลายอารมณ์ร่ำสะอื้น
รักนางพ่างเพียงจะกล้ำกลืน หญิงอื่นหมื่นแสนไม่นำพา”
เสียงเสภาเงียบไป กล้าลุกขึ้นนั่ง ถอนใจยิ่งคิดถึงราชาวดีจนอยากไปหา แต่ขัดใจแม่ไม่ได้
“ไม่รู้ป่านนี้วดีจะเป็นยังไงบ้าง” จู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “ครับ ลุงกล่ำเหรอ” แต่เสียงเงียบ กล้าเอะใจ เริ่มระวังตัวลุกไปถามหลังประตู “ผมถามว่าใคร”
“พี่กล้า”
“วดี”

กล้ารีบเปิดประตู ออกไป

กล้าออกมาหน้ากุฏิจึงเห็นคมล็อคคอราชาวดีที่ยืนเนื้อตัวสั่นเทา สีหน้าซีดเผือด มีมีดจ่ออยู่

“แก จับราชวดีทำไม ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้”
“อยากได้ตัวผู้หญิงนี้คืนก็ตามมา”
คมกระชากราชาวดีวิ่งไป กล้าไม่ทันคิดว่าทำไมราชาวดีถึงรู้ที่อยู่ของตน รีบวิ่งตามไปโดยไม่ทันสังเกตุเห็นขาตากล่ำที่นอนสลบอยู่อีกมุมโผล่ออกมา

อากาศถูกแหวกออก หาญย่นระยะทางโผล่ออกมาจากช่องอากาศ หาญเห็นประตูกุฏิของกล้าเปิดอยู่ก็แปลกใจ
“อูย”
หาญได้ยินก็รีบหันตามเสียง เห็นตากล่ำที่เพิ่งฟื้นนั่งลูบหัวตัวเองอยู่ หาญเข้าไปถาม
“นายกล่ำ เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันนั่งของฉันอยู่ดีดีก็มีคนมาฟาดหัวเข้าให้ อูย...อย่าให้รู้นะว่าเป็นใคร พ่อจะตามไปกระทืบให้ อูย”
หาญเครียด เอะใจ รีบเดินไปที่กุฏิกล้า
หาญเข้ามาในกุฎิ มองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นกล้ายิ่งเครียดจัด

คมพาราชาวดีวิ่งมาที่โกดังแห่งหนึ่ง กล้าวิ่งตามมา พอมาถึงหน้าโกดังยามสองคนก็โผล่พรวดมาขวางกล้าจนเกิดการต่อสู้กัน กล้าซัดยาม 2 คนด้วยมือเปล่า จนหมอบไปอย่างรวดเร็ว กล้าหยิบปืนยาม แล้วบุกเข้าประตูโกดังไปทันที
กล้าบุกพรวดเข้ามาในโกดัง ขณะนั้นคมกอดราชาวดีอยู่ที่กลางโกดัง
“แกต้องการอะไร”
“ตะกรุดสามกษัตริย์” กล้าอึ้ง “ส่งตะกรุดมาแล้วฉันจะคืนผู้หญิงให้”
กล้ายังคิดหาทาง คมเอามีดกรีดแขนราชาวดี เธอร้องโหยหวน
“อย่า” กล้าถอดตะกรุด เดินเข้าไป “นี่ตะกรุด คืนราชาวดีให้ฉัน” คมพาราชาวดีเดินเข้าหา กล้ายื่นตะกรุดให้คมคว้าตะกรุดผลักราชาวดีสู่อ้อมกอดกล้า “วดี เป็นยังไงบ้าง” ราชาวดีกลับไปตอบ กล้าสังเกตแผลไม่มีเลือด “เอ๊ะ”
ลูกน้องภูมินทร์อีกคนโผล่มาข้างหลัง เอาไม้ฟาดกล้าฟุบลงไป กล้าลุกขึ้น คมวิ่งเข้ามาแทงสวนเข้าทีท้องกล้า กล้าเจ็บ อึ้ง

หาญร้อนใจที่ตามหากล้าไม่เจอ
“ผมหาทั่วแล้ว ไม่เจอเลยครับท่าน”
หาญบอกกับเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็ร้อนใจ
“อาตมาจะให้พระลูกวัดช่วยอีกแรง”
เจ้าอาวาสรีบเดินออกไป หาญเครียด ลองนั่งลง เอามือหยิบดินบนพื้นขึ้นมา หลับตา ร่ายคาถา เพ่งตาทิพย์แล้วหาญก็เห็นภาพราชาวดีเอาไม้ฟาดหัวตากล่ำจนสลบไป
ภาพเร่งสปีดเร็วเห็นราชาวดีเรียกกล้า กล้าออกมาแล้วสองคนพากันออกไป หาญลืมตาขึ้น เครียด วิ่งตามทางที่กล้าวิ่งออกไป

กล้ามองมีดที่แทงเข้าท้องตัวเองเลือดอาบ
“เค้าเรียกมีดอาบระดูโว้ย ไอ้กล้า”
ยันต์อิติปิโสแปดทิศลอยจากหน้าอก ทะลุผ่านเสื้อกล้าออกมาจากนั้นสลายหายไปจากตัวของกล้า กล้าเสียเลือดหน้าซีด เจ็บแผล ทรุดลง คมลุกขึ้น มองสะใจ แล้วเตะกล้าอย่างแรง กล้าหงายกระเด็นไป เสียงปรบมือของภูมินทร์ดังขึ้น
ภูมินทร์เดินปรบมือชอบใจเข้ามาพร้อมกับเสี่ยไพบูลย์ เหล็ง และลูกน้องภูมินทร์ 5 คน ทั้งหมดล้อมกล้าไว้
“ไอ้ภูมินทร์”
คมเดินเข้าไปหาภูมินทร์ ยื่นตะกรุดสามกษัตริย์ให้
“นี่ครับนาย”
ภูมินทร์รับ มองตะกรุดอย่างพึงพอใจก่อนจะผูกที่คอตนเอง
“แกนี่มันโง่จริงๆ นี่คงเพราะหลงผู้หญิงจนไม่ลืมหูลืมตาสินะ” ภูมินทร์เยาะเย้ย ราชาวดีเข้ามา ยืนข้างคม ยิ้มเย้ยกล้า กล้าอึ้ง งงไปหมด “ดีมากไอ้คม คราวนี้ของๆ แกใช้ได้ดีจริงๆ”
คมยิ้มชอบใจก่อนพนมมือพึมพำว่าคาถา ทันใดราชาวดีก็กลายร่างเป็นหุ่นพยนต์ร่วงลงที่มือคม คมเก็บเข้ากระเป๋า
“แก...แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
ภูมินทร์คว้าท่อนเหล็กจากมือลูกน้อง
“ไอ้กล้า”
ภูมินทร์ตรงดิ่งไปที่กล้า กล้ากลั้นใจดึงมีดออกจากท้อง
“อ๊า”
พยายามลุก ถือมีดตั้งท่าสู้ไม่ยอมแพ้ ภูมินทร์เข้าไปที่กล้า ฟาดท่อนเหล็ก กล้าหลบสวนแทงมีดกลับแต่เพราะเจ็บไม่มีแรงนัก ภูมินทร์ไวกว่าเอาท่อนเหล็กฟาดเข้าที่แขนกล้า กล้ามีดร่วงลงพื้น ภูมินทร์สะใจ ง้างท่อนเหล็กซัด

ขณะนั้นหาญวิ่งออกมาทางหลังวัดจะเห็นเป็นทางแยก หาญหน้าเครียด
“แกไปที่ไหนกันแน่กล้า”
หาญหลับตาเพ่งหากล้า ภาพด้านหน้าโกดังขึ้นมาซ้อนบนหน้าหาญ ต่อด้วยภาพของกล้าที่กำลังโดนภูมินทร์ซัดด้วยท่อนเหล็ก สภาพช้ำน่วม หาญลืมตาขึ้นเครียด
“กล้า”

กล้าโดนซัดจนเลือดอาบร่างทรุดลงนอนกองกับพื้น ภูมินทร์มองกล้าด้วยความสะใจ
“ฮ่าๆ”
เสี่ยไพบูลย์เข้ามาข้างๆ ยื่นปืนให้
“นี่เลยดีกว่าพ่อเลี้ยง นอกจากจะให้ยืมสถานที่แล้ว ผมยังยินดีให้พ่อเลี้ยงทดลองใช้ปืนเถื่อนกระบอกใหม่ รับรองถูกใจ ใช่เลย”
ภูมินทร์รับปืนจากเสี่ยไพบูลย์ เล็งไปที่กล้า หรี่ตามองอย่างเหี้ยม กะยิงกล้าให้ตาย กล้านอนจมกองเลือดมองภูมินทร์อยู่ มือภูมินทร์กำลังจะลั่นไกปืนทันใดหาญเคลื่อนตัวอย่างเร็วเข้ามาขวางไว้
“หยุดนะ”
ภูมินทร์งง หาญโผล่มาจากไหน
“แกเป็นใคร ฮะ”
กล้ามองเห็นด้านหลังของหาญ แล้วภาพเบลอก่อนจะสลบไป
“ข้าจะเป็นใครไม่สำคัญ เอ็งคิดฆ่าคนโดยไม่เห็นแก่บาปบุญ เช่นนี้ รู้รึไม่ว่าสุดท้ายแล้ว เอ็งจะทุกข์ทรมานเพียงใด”
เวสี่ยไพบูลย์อึ้ง ขาสั่น ทั้งช็อกทั้งกลัวหาญ
“พะ...พ่อเลี้ยง นะ นะ หนี ก่อนเถอะ”
“ไม่ ยังไงวันนี้ไอ้กล้าก็ต้องตาย”
หาญจ้องภูมินทร์กับเสี่ยไพบูลย์นิ่ง เสี่ยไพบูลย์กลัวมาก
“ตะ ตะ ตะ...แต่นั่นนะ เสือหาญนะพ่อเลี้ยง”
“ไอ้เสือที่เสี่ยเล่าให้ฟังนะเหรอ เป็นไปไม่ได้ ป่านนี้มันต้องแก่จนจะเข้าโลงแล้วต่างหาก” ภูมินทร์สวมตะกรุดอยู่ ไม่กลัว “แล้วถึงจะใช่ เราก็มีตะกรุดสามกษัตริย์คุ้มครอง กลัวอะไร”
หาญมองตะกรุดที่คอภูมินทร์
“ตะกรุดดอกนี้ไม่ใช่ธรรมดา เอ็งจิตใจต่ำช้า บุญบารมีไม่ถึง มีก็เหมือนไม่มี คืนข้ามาเสียดีกว่า”
ภูมินทร์เล็งปืนไปที่หาญ
“ในเมื่อแกเสนอตัว ฉันก็จะสนองให้เอง”
ภูมินทร์ลั่นกระสุนรัวใส่หาญสามนัดติดกัน หาญยกมือรับกระสุนไว้ แล้วสะบัดออก กระสุนสองนัดเฉี่ยวผมภูมินทร์ไป ส่วนกระสุนอีกนัดเฉี่ยวที่แขนเสื้อเสี่ยไพบูลย์ขาด ภูมินทร์อึ้ง เสี่ยไพบูลย์อ้าปากค้าง หายใจถี่ กลัวมาก
เหล็งรีบเอาออกซิเจนส่วนตัวของเสี่ยไพบูลย์ให้สูด เสี่ยไพบูลย์รีบสูดออกซิเจนใหญ่ แล้วรีบกะเผลกหนีไปกับเหล็งทันที
หาญเดินตรงมาที่ภูมินทร์อย่างไม่กลัว ภูมินทร์ถอยพลางตะโกนสั่งลูกน้อง
“จัดการมันสิวะ”
คมและลูกน้องภูมินทร์ทั้ง 5 คนถือไม้ ถือท่อนเหล็กเข้ารุมหาญ หาญใส่สนับมือ แล้วปลุกเสือเผ่นทันที
“พยัคโฆ พยัคฆา”
หาญเคลื่อนตัวหลบและโต้กลับอย่างเหนือกว่า หาญซัดจนคมกระเด็นไป ลูกน้องที่เหลือเข้ามารุมอีก แต่ภายในพริบตาทุกคนก็ลงไปนอนกองกับพื้น โอดโอย ภูมินทร์เห็นไม่ยอมแพ้ โมโห หยิบถือท่อนเหล็กปรี่เข้าไปซัดหาญ
หาญเคลื่อนตัวหลบ สับมือภูมินทร์ท่อนเหล็กร่วง ภูมินทร์กำหมัดซัดหาญต่อ หาญโยกหลบ ซัดสนับกลับที่หน้า
ภูมินทร์หน้าหัน หาญซัดที่ท้องต่อเต็มๆ ภูมินทร์จุกจ้องหาญแค้น ทรุดลงกับพื้น หาญจ้องตอบก่อนกระชากตะกรุดที่คอ
“นี่ไม่ใช่ของๆ เอ็ง”
หาญเก็บตะกรุด ตรงไปที่กล้าที่สลบอยู่ แล้วอุ้มขึ้นมา หาญว่าคาถาอากาศแหวกออก หาญอุ้มกล้าเดินเข้าไปในช่องอากาศ ช่องอากาศปิดลง

ภูมินทร์มองตาม ทั้งอึ้งทั้งแค้น

หาญพากล้ากลับมาที่บ้าน แล้วเอาว่านและสมนุไพรต่างๆ ประคบรอยแผลที่ถูกแทงตรงท้องของกล้า กล้าตื่นละลึมสะลืมเห็นหน้าหาญเบลอๆ

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเอ็งเอง” หาญบอก กล้าสลบไปอีก “วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโรฯ”
มีแสงสีขาวเรืองใต้ฝ่ามือหาญ จุกจ้องอยู่ ตาโต ส่วนกระเต็นยืนลุ้นอยู่ด้วยความเป็นห่วง
“กล้าปลอดภัยแล้วใช่ไหมคะพ่อหาญ”
“พวกมันทำให้ของในตัวกล้าเสื่อมแล้วรุมทำร้าย แม้ข้าช่วยหยุดเลือดให้แล้ว แต่ร่ายกายก็บอบช้ำมาก”
“ฮ้า นี่พวกมันร้ายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
กระเต็นมองกล้า สะเทือนใจมาก
“โธ่ กล้า”
“ไม่เป็นไรนะกระเต็น กล้าดีขึ้นเมื่อไหร่ พ่อจะหาโอกาสปลุกยันต์เกราะเพชรให้เจ้ากล้าใหม่เอง”
หาญลูบหัวและมองกล้าด้วยความรัก แม้จะรู้ว่าไม่ใช่หลานแท้ๆ ของตน กระเต็นมองลูกชายด้วยความเป็นห่วงเหลือเกิน

เช้าวันรุ่งขึ้น กระเต็นนั่งหลับกุมมือกล้าอยู่ข้างๆ ตามรอยบอบช้ำถูกทายาแล้ว ท้องมีผ้าพันแผลแปะปิดไว้
ส่วนจุกนอนหลับน้ำลายยืด กรนคร่อกๆ อยู่ข้างเตียง กล้าค่อยๆ ฟื้น มองเห็นกระเต็นเบลอๆ แล้วค่อยชัดขึ้น
“แม่ แม่”
จุกได้ยิน ตื่นขึ้นมาดีใจ
“กล้า พี่เต็น กล้าฟื้นแล้ว”
กระเต็นตื่นขึ้น เห็นกล้าฟื้นก็ดีใจ
“กล้า กล้าฟื้นแล้วเหรอลูก” กล้าพยายามยันตัวขึ้นนั่ง กระเต็นกับจุกช่วย “ค่อยๆ นะ”
“แม่ น้าจุก ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ก็ผม...”
กระเต็นมองจุก รู้กัน แล้วโกหก
“เอ่อ มีชาวบ้านเค้าแจ้งตำรวจว่าพบแกนอนสลบอยู่ข้างทาง เป็นไง เจ็บตรงไหนบ้าง”
“ปวดๆ ตามตัว แล้วก็เจ็บที่แผลนิดหน่อยครับแม่” กล้ามองที่ท้องเห็นมีผ้าพันแผลแปะอยู่ “แผลของผม ผมถูกแทงมานี่นา?”
กระเต็นกับจุกอึกอัก มองหน้ากันแล้วโกหก
“แผลแกไม่ลึกมาก แม่ทำแผลให้เอง พักหน่อยเดี๋ยวก็คงหาย”
กล้างงๆ คิดว่าแผลตนน่าจะหนักกว่านี้ แล้วนึกถึงความฝันตอนฟื้นขึ้นมาได้
กล้าตื่นละลึมสะลืมเห็นหน้าหาญเบลอๆ
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเอ็งเอง”
กล้าสลบไปอีก
“ผมฝันว่าหลวงปู่หาญมาหา เหมือนกับท่านมาช่วยรักษาผม ในฝันหลวงปู่หนุ่มมากเลยครับแม่ แล้วท่านก็ไม่ได้เป็นพระแล้วด้วย”
กล้าบอก กระเต็นยิ้ม
“ถ้างั้นที่แกไม่เป็นอะไรมาก ก็คงเป็นเพราะหลวงปู่ท่านแผ่บุญบารมีมาช่วยไว้ด้วย ใช่ไหม จุก”
“ใช่ๆ” จุกรีบสมทบ กล้าคิดตามแม่
“ครับแม่ ผมก็คิดว่าอย่างนั้น”
กล้ายกมือไหว้ คิดถึงหาญ
“แล้วตกลงเรื่องมันเป็นมายังไง คนที่ทำร้ายแกเป็นใครกันแน่”
กล้าไม่อยากบอก
“เอ่อ”
“กล้า แม่รู้แกมันชอบทำตัวเป็นลูกพี่ เที่ยวปกป้องใครเค้าไปทั่ว คราวนี้เป็นใคร ใครมันมาเอาคืนแก”
“โธ่ แม่ครับ”
กระเต็นจ้องลูกตาเขียว
“ฉันเป็นแม่ของแกนะ ฉันมีสิทธิที่จะรู้ แกเป็นแบบนี้ฉันจะอธิบายกับวิญญาณพ่อแกยังไง”
“บอกแม่กับน้ามาเถอะกล้า”
กล้าอ้ำอึ้ง จำใจตอบ
“พ่อเลี้ยงภูมินทร์ครับ”
“มันเป็นใคร ทำไมถึงต้องทำแกแบบนี้ด้วย”
“นั่นสิ มันเป็นใคร น้าคิดว่าเป็นพวกไอ้เบิ้ม ไอ้โจ๊กซะอีก”
“เอ่อ” กล้าไม่อยากให้รู้ว่าเกี่ยวกับราชาวดี กระเต็นเริ่มเก็ทจากอาการลูก
“ไม่อยากจะบอกฉันแบบนี้....รึว่าเป็นเรื่องที่แกช่วยเด็กที่ชื่อราชาวดีไว้ ฮะ”
“แต่สิ่งที่ไอ้พ่อเลี้ยงภูมินทร์ทำ มันไม่ถูกต้องนะครับแม่”
กระเต็นโมโห คิดหาทางปกป้องลูก และจัดการคนที่ทำร้ายลูกตัวเอง

ภูมินทร์แค้นกล้ามาก เดินงุ่นง่านอยู่ในห้องเห็นดาบประจุพรายวางอยู่ก็คว้ามาฟันม่านขาด คมเคาะประตู เปิดเข้ามาภูมินทร์ฟัน คมกระโดดหลบ ภูมินทร์จึงฟันไปโดนแจกันขาดครึ่ง คมตะลึง
“ผมเองครับ พ่อเลี้ยง”
“มีอะไรวะ ถ้าเรื่องไร้สาระ ก็ออกไป ฉันอารมณ์ไม่ดี”
“ตำรวจมาครับ บอกว่าขอเชิญตัวพ่อเลี้ยงไปสอบสวนที่โรงพัก”
ภูมินทร์อึ้ง

นุกูล ราชาวดี คะนึงนิจ มาบ้านกระเต็นพอถึงหน้าบ้าน ตำรวจก็ขวางไว้
“มาหาใครน้อง”
“เอ่อ พวกผมเป็นรุ่นน้อง มาเยี่ยมพี่กล้าครับ” นุกูลบอก
“ไม่ได้หรอก ถึงจะเป็นรุ่นน้องก็เข้าไปไม่ได้ คุณนายกำชับไว้ ใครก็ห้ามเข้าไปในบ้านโดยเด็ดขาด”
“งั้นพี่บอกแม่พี่กล้าให้ทีสิครับ ว่าพวกผมมาเยี่ยม”
“คุณนายไม่อยู่หรอก”
นุกูลจ๋อยถามราชาวดีกับคะนึงนิจ
“ทำไงดี...” นุกูลหันไปขอร้องตำรวจอีกครั้ง “พี่ให้พวกผมเข้าไปเถอะครับ ผมไปหาพี่กล้าที่วัด พอรู้เรื่องจากท่านเจ้าอาวาสก็รีบมาที่นี่เลย”
“ใช่ค่ะพี่ตำรวจ พวกหนูมาเยี่ยมพี่กล้า ไม่ได้มาทำอะไรซะหน่อย ไม่เชื่อเรียกพี่กล้ามาถามดูเลยก็ได้”
“ใช่ครับ ใช่”
ตำรวจสองนายส่ายหน้า ไม่ยอม
“น้องกลับไปเถอะ ให้รุ่นพี่น้องพักดีกว่า อีกอย่างพวกเราขัดคำสั่งไม่ได้ รุ่นพี่ของน้องอาจโดนพวกมันตามมาแก้แค้นอีก พวกเราต้องคุ้มกันตามหน้าที่”
“งั้น ถ้าไม่ให้เยี่ยม อย่างน้อยก็บอกพวกเราได้ไหมคะว่าใครทำร้ายพี่กล้า”
“ใช่ครับ ผมถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ไม่รู้ พวกไทกนกรึเปล่าครับพี่”
ตำรวจมองหน้ากัน ประมาณบอกดีไหม สุดท้ายก็ยอมบอก
“เอาล่ะๆ พวกเราได้ยินมาแค่ว่ามันเป็นคนที่มีอิทธิพล มาก แต่ชื่ออะไรน่ะไม่รู้หรอก”
“ใครกันน่ะ” ราชาวดีส่ายหน้า ไม่รู้เหมือนกัน
“ไม่รู้สินุ”
“รึว่า...” คะนึงนิจสงสัยว่าจะเป็นพี่ชายเธอ
“นิจ ถ้าเค้าไม่ยอมให้เยี่ยมเราก็กลับกันเถอะ ไม่เป็นไรหรอก” คะนึงนิจพยักหน้ารับ ราชาวดีหยิบถุงยื่นให้ตำรวจ “หนูชื่อราชาวดี ฝากของเยี่ยมนี่ให้พี่กล้าด้วยนะคะ”

ตำรวจรับถุงไป คะนึงนิจกังวลใจ คิดว่าอาจเป็นฝีมือพี่ชายตัวเอง

ด้านนุกูลวางหูโทรศัพท์หลังจากรู้อาการกล้าจากจุก

“น้าจุกบอกพี่กล้าไม่เป็นไรมากแล้ว นอนพักอยู่” ราชาวดี กับคะนึงนิจโล่งอก “แต่แกก็ไม่ยอมบอกว่าใครทำพี่กล้า แกบอกเรื่องของผู้ใหญ่” คะนึงนิจถึงกับเครียด “เราขอโทษนะ พวกเธออุตส่าห์มาเยี่ยมพี่กล้าแท้ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก” คะนึงนิจเห็นราชาสีหน้าเครียด “วดีเป็นอะไรรึเปล่า”
ราชาวดีดึงคะนึงนิจมาไม่อยากให้นุกูลได้ยิน
“พี่ชายเธอไปหาเราที่บ้าน”
“อะไรนะ แล้วเขาทำอะไรเธอรึเปล่า”
“เปล่าๆ เขาพูดกับเรากับพ่อดี แต่เขาถามถึงพี่กล้า”
“ฉันพอจะเข้าใจแล้ว นุกูล เราฝากส่งวดีให้ถึงบ้านด้วยนะ เรามีธุระต้องไปจัดการ”
คะนึงนิจรีบร้อนวิ่งออกไป
“นิจ เดี๋ยวสินิจ”
“เค้าจะรีบไปไหนของเค้านะ”
ราชาวดีมีสีหน้าเป็นกังวล

ที่ห้องสอบสวนในโรงพัก ภูมินทร์นั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวร คมยืนอยู่ใกล้ๆ กับภูมินทร์
“พยายามฆ่าเหรอครับคุณตำรวจ? ผมว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ”
ภูมินทร์ปฏิเสธ กระเต็นเดินเข้ามากับสุพจน์
“ไม่ผิดหรอก คุณทำร้ายลูกชายฉัน” กระเต็นเห็นคมยืนอยู่ก็จำได้ “แก”
คมทำยืนนิ่ง
“คุณเป็นใคร จู่ๆ ก็มาใส่ร้ายผม ผมเป็นเจ้าของปางไม้ ลงมาทำธุรกิจที่นี่ จะไปเกี่ยวข้องกับนายกล้าอะไรนั่นได้ยังไง”
“แล้วถ้าฉันมีพยานเป็นคนเกือบทั้งอพาร์ตเม้นต์ล่ะ” กระเต็นมองหน้าคม “คุณพจน์คะ ฉันจำได้ คนของนายภูมินทร์เคยไประรานฉันที่อพาร์ตเม้นต์ด้วย”
สุพจน์พยักหน้าให้ร้อยเวรสอบปากคำต่อ
“ที่คุณนายพูด จริงรึเปล่าครับ”
คมก้มกระซิบภูมินทร์ ภูมินทร์เก็ต แต่ทำหัวเราะขำ
“คุณเลิกสร้างเรื่องซะทีเถอะ ผมทำอะไรให้คุณกับลูกชายนักหนา ถึงได้มาใส่ความกันแบบนี้”
“ถ้างั้นคุณรู้จักเด็กผู้หญิงที่ชื่อ ราชาวดี ไหมล่ะคะ?” ภูมินทร์นิ่ง ไม่ตอบ “คุณพจน์คะ ถ้าจะขอให้เชิญตัวเค้ามาด้วยจะได้ไหมคะ”ภูมินทร์เริ่มนิ่งขรึม คิดหาทาง กระเต็นยิ่งรุก “เงียบทำไมล่ะคะ คุณส่งคนไปลักพาตัวราชาวดี แต่กล้าตามไปช่วยกลับมาได้ คุณคงแค้นเค้ามากสินะ”
“คุณก็แค่พูดลอยๆ ไม่ได้มีหลักฐานอะไร อีกอย่างถ้าเป็นเรื่องจริง ทำไมผู้หญิงที่ชื่อราชาวดีถึงไม่แจ้งความจับผม”
คมยิ้มสะใจ และมั่นใจว่าเอาผิดนายไม่ได้แน่ ภูมินทร์กับกระเต็นจ้องหน้ากันนิ่งจนกระทั่งมีเสียงเอะอะดังเข้ามา
“เข้าไปไม่ได้ เดี๋ยวก่อน”
คะนึงนิจเปิดประตูห้องเข้ามา ภูมินทร์หันไปเห็นก็อึ้ง
“ยัยนิจ เธอมาทำไม”
“พี่ภู” คะนึงนิจจำกระเต็นได้ในฐานะเจ้าของอพาร์ตเม้นต์ “คุณน้า?”
กระเต็นมองคะนึงนิจ แปลกใจ ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
“นิจ”
ภูมินทร์แปลกใจที่สองคนรู้จักกัน แต่กลัวเสียเรื่อง รีบไล่
“กลับไปยัยนิจ นี่ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
คะนึงนิจไม่ยอมกลับ
“ไม่ นิจตามไปหาพี่ภูที่บ้าน ถึงได้รู้ว่าอยู่ที่นี่ พอทีเถอะค่ะพี่ภู นิจปล่อยให้พี่ภูทำเรื่องแย่ๆ ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
“ยัยนิจ แกพานิจกลับไป เร็ว”
ภูมินทร์สั่งคม สุพจน์ขวางคม แล้วถามคะนึงนิจ
“ที่หนูพูด มันหมายความว่ายังไง? พี่ชายหนูทำอะไร รึว่าหนูรู้เรื่องการลักพาตัวด้วย”
คะนึงนิจนิ่งเงียบ
“ว่าไง”
ภูมินทร์มองน้องด้วยสายตากร้าว ห้ามไม่ให้พูด ส่วนกระเต็นมองลุ้น คะนึงนิจรักพี่ชายมากจึงต้องเจ็บปวด แต่ก็ตัดสินใจเลือกความถูกต้อง
“วดีเป็นเพื่อนหนู หนูอยู่ในเหตุการณ์ลักพาตัววันนั้นด้วยค่ะ”
“พี่ชายของหนูลักพาตัวราชาวดีไปจริง” คะนึงนิจพยักหน้ารับ ภูมินทร์อึ้ง หน้าซีด กระเต็นยิ้ม “คุณภูมินทร์ เมื่อมีพยานปากสำคัญแบบนี้แล้ว ผมคงต้องขอควบคุมตัวคุณไว้ที่นี่ก่อน”
ภูมินทร์มองคะนึงนิจโมโหมาก คะนึงนิจน้ำตาคลอ แม้จะสะเทือนใจมากแต่ก็เลือกความถูกต้อง ร้อยเวรลุก เอากุญแจมือออกมาจะเข้าควบคุมตัวภูมินทร์ คมรีบเข้ามาขวาง
“ไอ้คม หยุด” ภูมินทร์ตวาด คมฮึดฮัด
“ผมคงต้องควบคุมตัวนายคมลูกน้องของคุณไว้ด้วย” สุพจน์บอก คมโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้

ภูมินทร์มองคะนึงนิจด้วยความโมโห ผิดหวังที่น้องไม่เข้าข้างตน คะนึงนิจน้ำตาคลอ

ติดตาม "เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง" ตอนที่ 3 (ต่อ) 09.00 น.

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 3 (ต่อ)

ร้อยเวรเปิดห้องขัง ภูมินทร์หยุดอยู่หน้าห้องขัง จ้องเข้าไป กำหมัดแค้น ไม่คิดว่าตนจะต้องถูกขัง ภูมินทร์ก้าวนำคมเข้าไปในห้องขัง ภูมินทร์ยืนอยู่ที่กลางห้องร้อยเวรปิดห้องขัง ล็อกกุญแจ ภูมินทร์กำหมัดแค้นแน่น ตาแดงก่ำ ผิดหวังในตัวน้อง

“เอาไงดีครับนาย” คมเข้ามาถาม
“หุบปาก ฉันกำลังใช้ความคิด”
คมจ๋อย เดินไปนั่งหลบที่มุมห้อง ภูมินทร์ยืนคิดหาทางออกอยู่
“พี่ภู”
ภูมินทร์ได้ยิน ตอบกลับโดยไม่หันหน้ามา
“กลับไปซะ ฉันไม่มีน้องอย่างเธอ”
คะนึงนิจสะเทือนใจ รู้ว่าตนทำพี่เจ็บแสบ
“แต่ทุกอย่างที่นิจทำไป ก็เพราะว่าพี่ภูคือพี่ของนิจ”
ภูมินทร์หันกลับ จ้องคะนึงนิจตาแดงก่ำ
“ตั้งแต่พ่อแม่ตายไป เธอคือสิ่งสำคัญสิ่งเดียวที่ฉันต้องปกป้อง นี่ใช่ไหม คือสิ่งที่เธอตอบแทนฉัน”
“พี่ภูแค่เสียใจเพราะนิจ แล้วพี่กล้าล่ะเค้าบาดเจ็บเพราะใคร ใจพี่ภูทำด้วยอะไร ถึงได้เอาแต่คิดอาฆาตแค้น”
ภูมินทร์เห็นน้องก็รู้ว่าน้องห่วงกล้ามาก
“กลับไปซะ ถ้าแกรักแกห่วงมันนักก็กลับไป” คะนึงนิจน้ำตาคลอ เดินกลับออกไป “นิจเป็นแบบนี้ก็เพราะแก ไอ้กล้า”
ภูมินทร์ยิ่งแค้นกล้า

กระเต็นกลับเข้าบ้านก็เห็นจุกหลับอยู่ที่โซฟา กระเต็นท้าวสะเอวมอง
“ไอ้จุก” จุกสะดุ้งตื่น
“พี่เต็น กลับมาแล้วเหรอ”
“เอ็งนี่ เอาแต่นอน ข้าให้เฝ้าหลานแท้ๆ”
“โธ่ พี่เต็น กล้ามันก็นอนพักอยู่ข้างบน อีกอย่าง รักยมก็อยู่จะกลัวอะไร อ้า จริงสิ นี่จ้ะพี่”
จุกหยิบถุงของราชาวดีที่ซ่อนอยู่ออกมาให้กระเต็น กระเต็นรับ หยิบขึ้นเป็นดอกมะลิที่เอามาร้อยเป็นตัวกระแตเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ประดิษฐ์อย่างน่ารัก
“อะไรของเอ็ง เอามาให้ข้าทำไม?” กระเต็นถามอย่างแปลกใจ
“ไม่ใช่ของพี่ ของเจ้ากล้ามัน จ่าเค้าบอกว่ารุ่นน้องคนที่ชื่อ...ชื่อราชาวดีเอามาฝากไว้ ฉันก็เลยแอบเก็บไว้ให้พี่ดูก่อนน่ะ”
กระเต็นจี๊ดขึ้นมาทันที
“คนอะไร เป็นตัวการแท้ๆ ไม่สำนักบ้างเลยรึไง”
กล้าลงมาจากข้างบนพอดี เดินเจ็บๆ แผลที่ท้อง
“แม่ครับ”
“ดูดีขึ้นแล้วนี่เรา”
“ยังเจ็บแผลนิดๆ ครับแม่ เอ่อ คดีเป็นยังไงบ้างครับ”
“จริงสิพี่ เป็นไงมั่ง จัดการมันได้ไหม”
“คุณนายมือปราบซะอย่าง ทำไมจะจัดการไม่ได้ รู้ไหมว่าน้องสาวของมันก็มาเป็นพยานให้ฉันด้วย ตอนนี้พ่อเลี้ยงภูมินทร์นั่นเลยต้องนอนตบยุงในห้องขัง”
“สุดยอดเลยพี่ ฉันละสะใจจริงๆ”
“น้องสาว...”
กระเต็นเห็นกล้าหน้าเครียด
“เป็นอะไร ไม่ดีใจรึไง?” กล้าเป็นห่วงคะนึงนิจ
“เราไม่ต้องเอาเรื่องเค้าได้ไหมครับแม่ ผมไม่อยากให้คนอื่นต้องเดือดร้อนเพราะผม”
กระเต็นไม่พอใจ
“กล้า ทำไมไม่หัดห่วงตัวเองบ้าง จะเป็นห่วงเด็กราชาวดีนั่นไปถึงไหน” กล้าเงียบ “ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร แต่ฟังฉันไว้นะ ฉันเป็นแม่ ฉันจะเอาเรื่องคนที่ทำลูกฉันให้ถึงที่สุด”
จุกได้ยินก็ทำปากประมาณอู้หู พี่เต็นเอาเรื่อง กระเต็นโยนเจ้ากระแตมะลิตัวน้อยทิ้ง แล้วเดินขึ้นบ้านไปอย่างหัวเสีย กล้ามองตามแม่ กลุ้ม ก่อนจะหันมองในถังขยะ แล้วแปลกใจเมื่อเห็นเจ้ากระแตมะลิตัวน้อยนอนอยู่ก้นถัง

กล้ากลับเข้าห้อง นั่งลงบนเตียง เครียด เสียงที่กระเต็นพูดดังเข้ามา
“คุณนายมือปราบซะอย่าง ทำไมจะจัดการไม่ได้ รู้ไหมว่าน้องสาวของมันก็มาเป็นพยานให้ฉันด้วย ตอนนี้พ่อเลี้ยงภูมินทร์นั่นเลยต้องนอนตบยุงในห้องขัง”
กล้าเป็นห่วงคะนึงนิจ
“เด็กนั่นจะเป็นยังไงบ้าง”

ขณะนั้นคะนึงนิจอยู่บนดาดฟ้าของอพาร์ตเม้นต์และกำลังยืนเหม่อคิดถึงสิ่งที่ที่ภูมินทร์ต่อว่าตัวเอง...ภูมินทร์หันกลับมาจ้องคะนึงนิจตาแดงก่ำ
“ตั้งแต่พ่อแม่ตายไปเธอคือสิ่งสำคัญสิ่งเดียวที่ฉันต้องปกป้อง นี่ใช่ไหม คือสิ่งที่เธอตอบแทนฉัน”
คะนึงนิจน้ำตารื้นเศร้าเป็นห่วงพี่
“พี่ภู”
มุมหนึ่งหาญยืนมองอยู่ด้วยความเป็นห่วง แล้วเดินเข้ามาข้างๆ คะนึงนิจ คะนึงนิจเห็น รีบเช็ดน้ำตา
“น้าสิงห์”
“ข้ารู้เรื่องทั้งหมดจากกระเต็นแล้ว เอ็งไหวใช่ไหม บางครั้งชีวิตมันก็ไม่ได้ง่ายนัก แต่ถ้าหนักแน่นพอ เราก็จะ
ข้ามผ่านมันไปได้”
คะนึงนิจสะเทือนใจ กลั้นน้ำตา
“ฉันผิดไหมน้า ที่เลือกความถูกต้องแทนที่จะช่วยพี่ชายตัวเอง”
“เอ็งทำถูกแล้ว ชีวิตคนเราจะมีค่าก็ตรงนี้”
“แล้วความกตัญญูล่ะน้า เราจะทิ้งมันไปได้เหรอ”
หาญรู้สึกชื่นชมในตัวคะนึงนิจ
“ความกตัญญูน่ะสำคัญ แต่เราต้องตอบแทนบนความถูกต้อง เชื่อข้า สักวันพี่ชายเอ็งจะเข้าใจ”

คะนึงนิจพยักหน้ารับ น้ำตาซึม

วันต่อมาที่ร้านกาแฟในตลาดริมคลองแห่งหนึ่ง ชาวบ้านล้อมวงเชียร์มวยไทยช่อง7 กันอย่างเมามัน
ห่างออกไปจะเห็นเสือดำกับเสือไท โผล่จากที่ซ่อน มองผู้คนและบรรยากาศอย่างตื่นตะลึง

“ไอ้ดำ เอ็งรู้รึ ว่าทายาทไอ้หลวงณรงค์มันอยู่ที่ใด”
“ข้าก็ไม่รู้ดอก แต่พี่โชติให้มาสืบ ก็ต้องลองควานหาดู”
มีหญิงสาวหุ่นดีแต่งกายตามแฟชั่นเดินผ่านไป ทั้งสองเสือรีบหลบ เสือไทจ้องสะโพกหญิงสาวในกางเกงยีนส์ฟิตเปี๊ยะ เลี้ยวเข้าซอยไป
“ผู้หญิงในพระนครนี่ มันช่างยั่วกำหนัดข้านัก”
เสือดำมัวแต่มองทางอื่น ไม่ได้รู้ว่าเสือไทตามหญิงสาวไปแล้ว
“เอ็งอย่าทำให้เสียงาน เรื่องผู้หญิงก็ผ่อนๆ ลงบ้าง
“ช่วยด้วยๆ ปล่อยฉันนะไอ้บ้า”
เสือดำหันมองตามเสียง ไม่เห็นเสือไท รู้ว่าไปก่อเรื่องแน่ รีบตามไป
เสือไทตบหน้าหญิงสาวจนทรุด เสือดำตามมาพอดี
“ไอ้ไท เอ็งทำอะไร”
“ข้าจักฉุดมันไปทำเมีย มันกลับตบหน้าข้า แต่ข้าชอบ ฮ่าๆๆ”
ทันใดตำรวจ 2 นาย เข้ามาทางด้านหลังพร้อมอาวุธปืน
“หยุด ยกมือขึ้น แล้วหันมาช้าๆ”
เสือไทหันไปเห็นว่าเป็นตำรวจ แค้น คว้าขวานที่เหน็บหลังขว้างออกไป ขวานของเสือไทพุ่งแหวกอากาศ กระแทกเข้ากลางหน้าผากตำรวจ
“อ๊าก”
ตำรวจล้มทั้งยืน ตายคาที่ หญิงสาวกรีดร้อง คลานหนี ไทยมุงต่างกระเจิง ตำรวจอีกคน กลัว ยิงเสือไทและเสือดำจนกระสุนหมด แต่ทั้งสองไม่เป็นไร เสือดำตรงเข้าหักคอตำรวจด้วยมือเปล่า
“เอ็งมันหาแต่เรื่อง ถ้าพี่โชติรู้เข้าคงบรรลัยแน่ รีบกลับกันเถิด” เสือดำจะกลับแต่เสือไทเดินไปหาศพตำรวจ “นั้นเอ็งจักทำการใดอีก”
“ข้าเป็นเสือก็ต้องปล้นสิวะ”
เสือดำกระชากสร้อยทองที่ศพตำรวจมา

ที่โรงเรือนเก็บของท้ายสวน ของมีค่าที่ปล้นมาถูกเทออกจากถุงกองตรงหน้าขุนโชติ
“ข้าให้พวกเอ็งออกไปสืบข่าว ว่าเรือนหลวงณรงค์มันอยู่ที่ใด หมายจักเอาสมบัติของข้าคืน” ขุนโชติหยิบสร้อยทองขึ้นมา “แล้วนี่กระไร กลับได้ของพวกนี้มา”
“ข้าสองคนเจอโปลิศล้อมจับกลางทาง จึงกุดหัวพวกมันสิ้น แล้วชิงสมบัติของพวกมันมา”
“กล้าทำเกินที่สั่งเชียวรึ พวกเอ็งยังเห็นหัวข้าอยู่รึไม่” ขุนโชติบอกอย่างโมโห
“แต่ข้าแค้นที่พวกโปลิศมันออกตามล่าเรา แล้วสมบัติของพวกมันก็ปล้นไปจากเราทั้งนั้น พวกข้าเอากลับคืนมา ก็สมควรยิ่งแล้ว”
“ถุย! ข้าอับอายแทนพวกเอ็งนัก เป็นขุนโจรนามกระเดื่องกลับปล้นของสวะพวกนี้” เสือดำกับเสือไทได้แต่หลบตา “พวกมึงเป็นเสือ แต่กลับทำตัวเยี่ยงหมา”
กระถินเข้ามาพอดี พร้อมกับห่อข้าวและกระติกน้ำในมือ
“ลุงๆ หนูเอาข้าวมาให้แล้วจ้ะ” กระถินเห็นของมีค่ากองอยู่ “โอ้โห ของแพงๆ ทั้งนั้นเลย”
ขุนโชติหยิบสร้อยทองส่งให้
“นังกระถิน ข้าให้เอ็ง”
กระถินไม่กล้ารับ
“ลุงไปเอาของพวกนี้มาจากไหน”
ขุนโชติไม่รู้จะตอบยังไง
“ข้าเก็บได้จากริมทาง” เสือดำบอก
“เก็บได้ก็ต้องเอาไปคืนเจ้าของสิ ป่านนี้เค้าคงตามหาแย่แล้ว”
เสือไทรำคาญ ยังอารมณ์เสียอยู่
“พี่โชติเขาให้ เอ็งก็รับไปเถิด อย่ามัวพิรี้พิไร ข้ารำคาญ”
ว่าแล้วก็เอาสร้อยทองยัดใส่มือกระถิน กระถินไม่กล้าเถียงอีกเพราะกลัว

กระถินวิ่งดีใจเข้าบ้านมาหาแม่ที่นอนเป็นอัมพาตอยู่บนฟูก
“แม่ๆ ดูนี่สิจ๊ะ”
แม่ผงกได้แต่ศีรษะขึ้นมอง กระถินหยิบสร้อยทองออกมาจากกางเกง แม่เห็นก็ตกใจ
“กระถิน เอ็งไปเอาสร้อยเส้นนี้มาจากไหน ขโมยของใครเค้ามา มันไม่ดีนะลูก”
“หนูไม่ได้ขโมยนะ มีลุงใจดีเค้าให้หนูมา วันก่อนลุงเค้ายังสอนคาถาเรียกปลาให้หนูเลย”
“ยังจะมาโกหกแม่อีก เอาไปคืนเจ้าของเค้าเดี๋ยวนี้เลย”
ทันใดพ่อขี้เมาก็ออกมาจากหลังบ้าน แย่งสร้อยทองไปจากมือกระถิน
“เอามานี่ เดี๋ยวกูเอาไปคืนให้เอง”
“พ่อเอาคืนมานะ ของหนู หนูจะเอาไปขาย เอาเงินไว้รักษาแม่”
“ก็กูจะเอาไปขายให้ไง แต่เงินน่ะ ขอยืมไปกินเหล้าก่อน”
กระถินพยายามแย่งสร้อย แต่ถูกพ่อขี้เมาผลักกระเด็น
“กระถิน แก แกอย่าทำอะไรลูกนะ”

พ่อขี้เมาไม่ได้ฟัง เดินออกไปเลย กระถินได้แต่ร้องไห้กอดแม่แน่น

ที่อาคารเรียนแผนกการเรือนของสหวิช กระเต็นเดินลงมาจากตึก มองนาฬิกาข้อมือ แล้วชะเง้อมองเด็กๆ ที่ผ่านไปมา งามตากับนงคราญเดินคุยกันเข้ามาพอดี

“หนู หนู”
งามตาชี้ตัวเอง
“เรียกฉันเหรอป้า”
กระเต็นเซ็งโดนเรียกป้า แต่อดใจไว้
“พวกหนูรู้จักเด็กที่ชื่อราชาวดีรึเปล่า”
“รู้จักสิ อยู่โรงอาหาร เดี๋ยวคงมา ป้ามีอะไรกับยัยนั่นล่ะ”
กระเต็นชักไม่พอใจ
“นี่ถ้าไม่มีเรื่องฉันคงไม่มาหรอกนะ แล้วฉันไม่ใช่ป้า ฉันเป็นแม่ของนายกล้า เค้าเป็นศิษย์เก่าของที่นี่”
งามตากับนงคราญมองหน้ากัน หูผึ่ง
“อุ๊ย คุณแม่พี่กล้านี่เอง” งามตากับนงคราญไหว้อ่อนช้อยขึ้นมาทันที “สวัสดีค่ะคุณแม่ ถ้าคุณแม่อยากรู้อะไรล่ะก็ หนูชื่องามตาเป็นเพื่อนสนิทชนิดที่รู้ไส้รู้พุงของยัยวดีเลยล่ะค่ะ”
กระเต็นมองงามตา อยากรู้เรื่องของราชาวดี

ขณะนั้นราชาวดีนั่งกินข้าวอยู่กับคะนึงนิจ ราชาวดีไม่สบายใจเมื่อรู้เรื่องที่เกิดขึ้น
“โธ่นิจ ทำไมเรื่องมันถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ เราขอโทษนะนิจ ทั้งหมดเป็นเพราะเราแท้ๆ”
“วดีอย่าพูดแบบนั้นเลย เราไม่อยากให้วดีไม่สบายใจรู้ไหม”
ราชาวดีกุมมือคะนึงนิจ
“นิจอย่าห่วงเราเลย เรารู้นะว่านิจทั้งเสียใจทั้งลำบากใจแค่ไหน”
คะนึงนิจน้ำตารื้น กุมมือราชาวดีกลับ
“ขอบใจนะวดี”
“แล้วนี่นิจจะเอายังไงต่อไป แม่พี่กล้าจะให้นิจออกจากอพาร์ตเม้นต์รึเปล่า”
“ไม่หรอก คุณน้าก็ดูตึงๆ กับเราล่ะนะ แต่ก็บอกว่ามันคนละเรื่องกัน อีกอย่างเค้าก็รู้จากน้าสิงห์ไปแล้ว ว่าเรากับพี่ภู ทะเลาะกันอยู่ ป่านนี้เค้าคงดูแลพี่กล้า ไม่สนใจเราแล้วล่ะ” คะนึงนิจเก็บของ ลุกขึ้น “วดีไปเรียนต่อเหอะ เราจะไปหาซื้อของมาทำขาย”
“สู้ๆ นะนิจ ไว้เย็นนี้เจอกัน”
คะนึงนิจยกมือขึ้นมาให้แปะ
“งั้นเราสู้ด้วยกัน”
ราชาวดียกมือแปะมือคะนึงนิจ สองคนยิ้มให้กำลังใจกัน
“ราชาวดี”
ทั้งสองคนหันตามเสียง เห็นกระเต็นเดินเข้ามากับงามตาและนงคราญ ราชาวดีแปลกใจว่าใคร คะนึงนิจอึ้ง“คุณน้า” ราชาวดีงงๆ “วดี นี่แม่พี่กล้า”
คะนึงนิจบอก ราชาวดีตกใจ รีบไหว้กระเต็น กระเต็นไม่รับไหว้ มองราชาวดีนิ่ง ข่มอารมณ์โกรธ แต่ก็แทบไม่ไหว
“ราชาวดี ฉันไม่รู้ว่าเธอทำยังไง กล้าถึงได้หลงเธอหัวปักหัวปำขนาดนี้ ในฐานะแม่ ฉันขอให้ผู้หญิงอย่างเธอ ออกไปจากชีวิตลูกฉันซะ” ราชาวดีอึ้ง
“คุณน้า”
งามตากับนงคราญเบะปากใส่ สะใจ คะนึงนิจเถียงแทนเพื่อน
“อะไรกัน ทำไมถึงต้องพูดขนาดนี้ด้วยคะคุณน้า”
“ฉันเป็นคนพูดตรง ยิ่งเห็นลูกฉันเจ็บ ฉันยิ่งต้องพูดให้ชัด ราชาวดี ถ้าเธอไม่มายุ่งกับนายกล้า เรื่องร้ายๆ แบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
นักเรียนคนอื่นเริ่มยืนมุงดู ซุบซิบกัน คะนึงนิจเห็นราชาวดีน้ำตาคลอ รีบอธิบายทันที
“มันไม่เกี่ยวกับวดีนะคะคุณน้า จริงๆ มันเป็นเพราะหนู ต่างหาก ถ้าหนูไม่ไปนอนบ้านนิจ พี่ภูก็คงไม่...”
“หยุดแก้ตัวแทนเพื่อนซะที นิจ ทำไมเธอถึงได้หลงมาคบกับเพื่อนที่เหลวแหลกแบบนี้ได้ เธอรู้ไหมว่าเค้านิสัย
แย่แค่ไหน รึว่าจริงๆ เธอก็เป็นเหมือนกัน”
“ไม่จริงนะคะ” คะนึงนิจมองงามตากับนงคราญ “เรื่องนี้ต้องมีคนใส่ร้าย”
งามตาทำเป็นพูดเรียบร้อย
“นงคราญจ๊ะ เรื่องนี้ใครๆ เค้าก็รู้กันทั่วเนอะ”
“นั่นสิจ๊ะงาม สงสารพี่กล้าจัง”
คะนึงนิจโมโห เดินใส่จะเอาเรื่อง
“ยัยงามตา” งามตาทำเป็นกลัว
“ว้าย” งามตาหลบหลังกระเต็น “คุณแม่ขา ช่วยหนูด้วย”
ราชาวดีรีบดึงคะนึงนิจไว้
“นิจ อย่า เราขอร้อง”
“ไม่ เราทนให้พวกมันใส่ร้ายวดีไม่ได้”
คะนึงนิจจะพุ่งเข้าใส่งามตา กระเต็นขวาง
“พอซะที ฉันยืนอยู่ทนโท่แบบนี้ ยังไม่คิดเกรงใจกันอีก พวกเธอนี่มันร้ายจริงๆ”
“คุณน้า”
งามตากับนงคราญลอบยิ้มเยาะใส่ราชาวดีและคะนึงนิจ ราชาวดีสะเทือนใจมาก
“พอเถอะนิจ” ราชาวดีไหว้ขอโทษกระเต็น “หนู หนูขอโทษค่ะคุณน้า หนูจะไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับพี่กล้าอีก”
คะนึงนิจถึงกับอึ้ง
“วดี”
ราชาวดีน้ำตาร่วง
“รักษาคำพูดของเธอให้ดี”
กระเต็นพูดจบก็เดินออกไป งามตากับนงคราญเดินตาม พลางทำหน้าล้อใส่ สะใจ ราชาวดีร้องไห้เสียใจ คะนึงนิจสงสารเพื่อนจับใจ

กระเต็นมาหาสุพจน์ที่กองปราบจึงรู้ว่าภูมินทร์ถูกประกันตัวไปแล้ว
“ให้ประกันตัวไปแล้วเหรอคะ ได้ยังไงกัน”
กระเต็นถามอย่างโมโห สุพจน์ถึงกับเครียด
“เป็นคำสั่งของท่านรองฯอำนวยครับ ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้”
“จับมาแล้วก็ปล่อย แล้วเราจะมีตำรวจ มีกฎหมายไปทำไม ในเมื่อคนผิดยังลอยนวลอยู่ได้”
สุพจน์เถียงไม่ออก
“ขอโทษครับ ผมจะให้ตำรวจนอกเครื่องแบบตามคุ้มกันกล้า 24 ชั่วโมง” กระเต็นสงบลง “ฉันขอโทษที่ใส่อารมณ์กับคุณ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของคุณซะหน่อย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจดีว่าคุณเป็นห่วงกล้า ผมก็ห่วงเค้าไม่ต่างจากคุณหรอก”
ทันใดตำรวจก็เข้ามารายงาน
“ขออนุญาตครับ เราเจอเบาะแสของคนร้ายที่ฆ่าตำรวจแล้วครับผู้การ”
ทั้งสุพจน์กับกระเต็นต่างสนใจ
“มันอยู่ที่ไหน”
“มีคนเมาเอาสร้อยทองของตำรวจที่ตาย มาขายที่เยาวราช ท้องที่เลยรวบตัวเอาไว้แล้ว แต่จากลักษณะท่าทาง คงไม่ใช่พวกที่ปล้น”
“ผมจะไปสอบปากคำมันเอง”
“ฉันขอตามไปด้วยนะคะ”

สุพจน์พยักหน้ารับ แล้วนำกระเต็นออกไป

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ภูมินทร์ดูรูปถ่ายของตัวเองกับน้องสาว แล้วเจ็บใจ

“หึ น้องสาวฉัน น้องสาวที่ฉันอุตส่าห์เลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็ก แต่มันกลับตอบแทนฉัน ด้วยการทรยศไปเข้าข้างศัตรู”
คมแอบชอบคะนึงนิจอยู่จึงพูดปกป้อง
“ผมว่าคุณนิจคงโดนไอ้กล้าหลอกใช้แน่เลยครับนายไม่งั้น คงไม่ใส่ร้ายนายแบบนี้ จริงๆ แล้วคุณนิจรักนายจะตายไป”
ภูมินทร์เห็นด้วย ยิ่งแค้นกล้า
“ไอ้กล้า แกแย่งทุกคนที่ฉันรักไปจากฉัน แกกับฉันคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้”
เสี่ยไพบูลย์สนับสนุนเสียงเข้ม
“ไม่ว่าพ่อเลี้ยงจะเอายังไง ผมเอาด้วย”
ภูมินทร์แปลกใจ
“ขอบคุณที่เสี่ยมีน้ำใจ แค่ช่วยวิ่งเต้นประกันตัวให้ผมก็มากพอแล้ว ไอ้กล้ามันมีแบ็กเป็นตำรวจ แล้วยังได้
เสือหาญคอยคุ้มกันอีก ผมไม่อยากให้เสี่ยต้องมาเสี่ยง”
“ในเมื่อไอ้กล้าเป็นลูกของผู้การเพชร เป็นหลานของเสือหาญ ก็หมายความว่าพ่อเลี้ยงกับผมมีศัตรูคนเดียวกัน” เสี่ยไพบูลย์ยกขาตัวเองวางบนเก้าอี้ ถลกขากางเกงขึ้น เผยให้เห็นขาเทียม “เพราะไอ้เสือหาญ ผมเลยต้องหนีไปอยู่ชายแดน ถูกระเบิดจนขาพิการแบบนี้ ถ้าหลานมันถูกฆ่า มันคงทรมานเหมือนตายทั้งเป็น ฮ่าๆๆ”
ภูมินทร์เข้าใจความแค้นของเสี่ยไพบูลย์ ยื่นมือให้
“ตกลง เราจะร่วมเป็นพันธมิตรกัน ส่งไอ้กล้ากับไอ้เสือหาญลงนรก”
เสี่ยไพบูลย์ยื่นมือมาจับ ต่างสะใจ คมขัดจังหวะ
“แล้วเราจะเล่นงานมันยังไงครับพ่อเลี้ยง แค่เสือหาญคนเดียวก็อยู่ยงคงกระพัน ไม่แก่ ไม่ตาย” ทุกคนหนักใจ
“นั่นสิ ทำไมมันถึงยังหนุ่มแน่นเหมือนสามสิบปีที่แล้ว มีคนเดียวเท่านั้นที่จะให้คำตอบเราได้”
ภูมินทร์รู้ว่าเสี่ยไพบูลย์หมายถึงใคร

เสี่ยไพบูลย์แปลกใจกับสิ่งที่อาจารย์ยอดบอก
“วิชาอมฤตเทวา”
“ใช่ ข้าเคยได้ยินจากครูบาอาจารย์ ว่าเป็นวิชาโบราณที่จะย้อนวัย คืนความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ แต่ผู้ที่จะใช้วิชานี้ได้ จะต้องครองตนบริสุทธิ์ อยู่ในศีลในธรรมเป็นเวลานาน ที่สำคัญวิชาอมฤตเทวามันสูญหายไปเกือบร้อยปีแล้ว”
เสี่ยไพบูลย์มีสีหน้าวิตก
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เสือหาญมันก็ฆ่าไม่ตาย”
“ข้าบอกแค่ว่าวิชาอมฤตเทวาทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้น ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอมตะ”
“งั้นเราก็ฆ่ามันได้”
อาจารย์ยอดจ้องภูมินทร์อย่างท้าทาย
“ได้ ถ้าเอ็งเก่งพอ”
ภูมินทร์รีบยื่นเงื่อนไข
“หากอาจารย์กำจัดไอ้กล้ากับเสือหาญให้ผมได้ จะเอาเท่าไหร่ ผมยอมจ่ายไม่อั้น” ภูมินทร์ส่งสัญญาณให้คมเอาเงินปึกใหญ่ที่เตรียมมาวางบนพาน “นี่เป็นเงินมัดจำล่วงหน้า”
อาจารย์ยอดมองเงิน ชักสีหน้าไม่พอใจ ภูมินทร์เห็นอาจารย์ยอดยังนิ่ง เพิ่มเงินสดให้อีก 2 ปึกใหญ่ อาจารย์ยอดโมโห
“เอ็งคิดว่าเงินแค่นี้จะฟาดหัวข้าได้อย่างนั้นเหรอ” อาจารย์ยอดปัดพานกระจาย ลุกยืน “ถ้าเอ็งยังจองหองนัก ก็หาทางกำจัดศัตรูเอาเองแล้วกัน”
อาจารย์ยอดเดินกลับเข้าห้องไป
“เดี๋ยวสิอาจารย์ อาจารย์ยอด พ่อเลี้ยงไม่น่าทำให้อาจารย์โกรธอย่างนี้เลย แล้วทีนี้ใครจะช่วยเรา”
ภูมินทร์หน้าเครียดที่ทำพลาด
อาจารย์ยอดแง้มประตูแอบดู ยิ้มเจ้าเล่ห์ เพราะนี่เป็นแผนที่จะให้ภูมินทร์ยอมก้มหัวให้

หาญยืนรออยู่หน้าอพาร์ตเม้นต์จนรถกระเต็นแล่นเข้ามาจอด หาญรีบขึ้นรถ รถแล่นออกไป “ตำรวจรู้ที่กบดานของพวกคนร้ายแล้วค่ะ อยู่ละแวกเดียวกับที่เราไปเดินหากันวันก่อน ทีนี้เราจะได้รู้ซะทีว่าใช่
ไอ้ทิวรึเปล่า”
หาญเป็นกังวลเพราะรู้ว่าคนร้ายมีอาคมกล้าแข็งกว่าไอ้ทิวนัก
“งั้นเราควรรีบ ลำพังกำลังตำรวจคงรับมือกับอาคมของพวกมันยาก”
กระเต็นพยักหน้ารับ แล้วเหยียบคันเร่ง

กระถินเดินเข่ามาที่โรงเก็บของท้ายสวนพร้อมกับห่อข้าวและกระติกน้ำในมือ สีหน้ากระถินหวาดกลัว เหลียวมองข้างหลังตลอดเวลา ซึ่งสุพจน์นำกำลังตำรวจสะกดรอย ซุ่มอยู่รอบๆ โรงเก็บของ กระถินเดินเข้ามาในโรงเก็บของ
“ลุงจ๊ะ หนูเอาข้าวมาให้แล้ว” กระถินบอกเสียงสั่น
“กำลังหิวเลย”
เสือไทคว้าห่อข้าวไปแกะ เสือดำเปิดกระติกน้ำจะดื่ม กระถินรีบเดินกลับออกไป แต่ชะงัก เปลี่ยนใจ หันกลับ
“กินไม่ได้นะ”
เสือดำกับเสือไทมองอย่างแปลกใจ ขุนโชติลืมตาจากสมาธิ
“ทำไมนังหนู มีอะไรกระนั้นรึ”
“ในน้ำกับในข้าวใส่ยานอนหลับไว้” กระถินตัดสินใจบอก ขุนโชติเดินเข้าไปใกล้ แววตาดุ
“ยานอนหลับ มันคือสิ่งใด” กระถินกลัวไม่กล้าตอบ “เอ็งคิดจักวางยาพวกข้ากระนั้นรึ”
กระถินน้ำตาคลอ
“หนูเปล่านะ แต่ตำรวจจับพ่อหนูไว้ แล้วบังคับให้หนูพามาที่นี่ เค้าบอกว่าพวกลุงเป็นโจร” เสือไทโมโห
“เอ็งหักหลังพวกข้า ข้าจะบั่นหัวเอ็งซะ ตาย”
เสือไทคว้าขวานจะฆ่ากระถิน แต่ขุนโชติยกดาบกันไว้ กระถินตกใจจนเป็นลมล้ม เสือดำแอบมองลอดช่องออกไป
“พวกโปลิศซุ่มอยู่ข้างนอกนับสิบ จักเอาเยี่ยงไรพี่โชติ”
“ข้าจักตีฝ่าพวกมันออกไปเอง”
“ไม่ต้องดอกไอ้ไท ข้าจักรอพวกมันอยู่ในนี้”
ขุนโชติยิ้มเหี้ยม มีแผนในใจ

สุพจน์เห็นข้างในโรงเก็บของยังเงียบกริบ กระถินยังไม่กลับออกมา
“เด็กยังไม่ออกมาซะที..หรือว่า” สุพจน์เป็นห่วงเด็ก จึงตัดสินใจ “ส่งคนของเราบุกเข้าไปเลย”
ประตูโรงเก็บของถูกเปิดออก ตำรวจ 4 นาย พร้อมปืนในมือบุกเข้ามาอย่างระมัดระวัง ตำรวจมองหาโจรทั้งสามแต่ไม่พบใคร มีเพียงกระถินที่นอนสลบอยู่ ตำรวจรีบเข้าไปดู
“หนูๆ เป็นอะไรรึเปล่า หนู”
ทันใดประตูก็ปิดลงเอง เสียงหัวเราะของขุนโชติ เสือดำและเสือไทดังกังวานขึ้น ตำรวจต่างตกใจ วิ่งไปจะเปิดประตู แต่แคร่ที่อยู่ใกล้ๆ ก็เลื่อนมาขวางทางไว้ หน้าต่างทุกบานของโรงเก็บของขยับเปิดปิดเองเหมือนผีหลอก
ตำรวจมองหน้ากันเลิกลั่ก เขยิบใกล้เกาะกลุ่มกัน
ตำรวจเห็นขุนโชติ เสือดำ เสือไท ปรากฏร่างขึ้นคนละมุม เดินเข้าหาแต่ละคนมีใบพลูเหน็บหู ตำรวจหันปืนเล็ง แต่แล้วร่างทั้งสามก็หายไป จู่ๆ ปืนในมือตำรวจนายนึงก็ถูกแรงบางอย่างกระชากจนกระเด็น ตำรวจนายนั้นวิ่งไปเก็บ แต่แล้วก็ถูกลูกดอกพุ่งปักกลางอก
เสือดำปรากฏร่างขึ้น ใช้หน้าไม้ยิงลูกดอกอีกเล่มปักเข้ากลางหน้าผาก ตำรวจนายนั้นล้มลง เสือไทปรากฏกายด้านหลัง ใช้ขวานจามลงกลางหลังตำรวจอีกนาย เหลือตำรวจแค่สองนาย กลัว วิ่งหนี แต่ขุนโชติปรากฏร่างขวางไว้ ตำรวจทั้งสองนายระดมยิงใส่ขุนโชติ แต่กระสุนไม่ระคายผิว ขุนโชติชักดาบประจุพรายออกจากฝัก ตวัดฟันร่างตำรวจทั้งสองนาย เลือดสาดกระเซ็น
“อ๊าก”

สุพจน์ตกใจที่มีเสียงปืนดังขึ้น จึงเรียกวอ
“ว.2 ได้ยินมั้ย ตอบด้วย ข้างในเกิดอะไรขึ้น” เงียบไม่มีเสียงตอบ “วิทยุแจ้ง ขอกำลังเสริมมาด่วน”
สุพจน์สั่งลูกน้อง ทันใดประตูก็เปิดออก ตำรวจนายหนึ่งออกมามีรอยดาบลึก ผ่าจากหน้าผากถึงลำตัว เลือดอาบ ล้มลง สุพจน์สีหน้าเครียด ตัดสินใจบุก
“ทุกคนตามผมมา ระวังตัวด้วย”
“เดี๋ยวค่ะคุณพจน์”
หาญกับกระเต็นที่มาถึงพอดี เข้ามาสมทบ
“ขืนรีบร้อนบุกเข้าไป อาจเพลี่ยงพล้ำแก่อาคมของพวกมันได้”
หาญบอก สุพจน์มองแปลกใจ
“พี่สิงห์แกพอมีวิชาติดตัวอยู่บ้าง ดิฉันจึงขอให้มาช่วย”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าจะดีกว่า”
“แล้วพี่สิงห์จะเข้าไปในนั้นได้ยังไง ตำรวจเรายังไม่รอดกลับมาสักคน”
หาญปลดลูกสะกดหัวใจสิงห์ออกมา
“ไม่ต้องห่วง ข้ามีลูกสะกดหัวใจสิงห์”
กระเต็นสบตาสุพจน์ มั่นใจ สุพจน์จึงพยักหน้ารับเป็นเชิงอนุญาต หาญบริกรรมคาถา เป่ามนต์ลงบนสร้อยที่ร้อยลูกสะกดไว้ ขว้างขึ้นไปบนหลังคาโรงเก็บของ
บนท้องฟ้า ลูกสะกดแบ่งตัวกระจายออก ลอยอยู่เก้าจุดเหนือหลังคา เกิดประจุไฟฟ้าขึ้นระหว่างลูกสะกดแต่ละลูก ทันใดก็เกิดลำแสงพุ่งจากลูกสะกดแต่ละลูกลงสู่พื้นดิน
ในโรงเก็บของ ทั้งสามเสือกระชับอาวุธในมือเตรียมสู้ ย่างสามขุมจะออกจากโรงเก็บของ แต่ปรากฏว่าจู่ๆ ก็ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้
“ข้าขยับตัวไม่ได้ เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้”

ทั้งสามเสือสบตากัน ต่างคนต่างประหลาดใจ
 
โปรดติดตามตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น