xs
xsm
sm
md
lg

เสือสมิง ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เสือสมิง ตอนที่ 7

 
สือทศจากไปแล้ว เบิ้มสงสัยไม่หายว่าเสี่ยรงค์ปล่อยเสือทศกับพวกไปทำไม
 

“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเสี่ยปล่อยมันไปทำไม วันนึงมันอาจจะแว้งมาก็ได้”
อองไชยพูดขึ้น
“แต่ข้าว่าเสี่ยทำถูกแล้ว”
เสี่ยรงค์มองอองไชยอย่างพอใจแล้วบอกเหตุผล
“ใช่...ฉันว่าคนอย่างมันน่ะ มักใหญ่ใฝ่สูง ฉันรู้จักนิสัยไอ้ใจมันดี ใครนอกคำสั่งมัน มันเอาตายแน่ แสดงว่าไอ้เสือทศนี่มันต้องอยากใหญ่ และไอ้คนแบบนี้แหละ ฉันจะเอามันมาใช้ฆ่าไอ้ใจเอง”
เบิ้มเข้าใจ อองไชยขอตัว
“ข้าขอตัว...จะไปดูไอ้เสือตัวที่มันบอกหน่อย”
เสี่ยรงค์พยักหน้าเชิงอนุญาต สายตาจ้องที่มีดอันเล็กที่คล้องคออองไชยอย่างสนใจ

จงใจกับหินออกมาตามหาแก้วกับสมรักษ์ แล้วมาตรงจุดที่ทั้งคู่ขึ้นจากน้ำ หินเห็นบางอย่าง
“พี่! มาดูตรงนี้เร็ว”
จงใจมองร่องรอย
“นี่จะเป็นรอยของผู้หมวดกับกับแก้วหรือเปล่า”
“น่าจะใช่ นี่รอยเท้าผู้หญิง นี่รอยเท้าผู้ชาย”
หินชี้ให้จงใจดูรอยเท้าที่แตกต่างกัน แล้วไล่ไปที่กองไฟ
“เมื่อคืนทั้งคู่นอนที่นี่ เฮ้ย...นั่น”
หินมองเห็นสร้อยข้อมือของแก้วตกอยู่ เขาหยิบขึ้นมา
“นี่สร้อยของแก้ว”
“จริงด้วย พี่ร้อยให้แก้วเอง...เขาไปไหนกันนะ”
หินเห็นว่ามีล่องรอยลากแพ
“แสดงว่าแก้วบาดเจ็บ หมวดคงพาแก้วกลับไป”
“หรือว่าหมวดเอาแก้วไปส่งที่หมู่บ้าน”
“ตายแล้ว...เรารีบไปเถอะพี่ ต้องไปให้ทันก่อนพวกพี่ทศ”
จงใจเห็นด้วยแล้วคิดอะไรได้อย่างหนึ่ง
“เราต้องใช้ม้า”

จ่าชิตลงจากรถภราดรแล้วเข้าไปในบ้านเดินมามองภาพถ่ายลูกที่แบเบาะในอ้อมแขนเมีย แล้วตัดสินใจไปที่หิ้งพระเอาเครื่องราง และมีดหมอสมัยพ่อ พร้อมอาวุธปืนยาวและกระสุนก่อนจะออกไปตามล่าเสือสมิง
ทางด้านกินรีออกตามหาพะอูกับมะค่าในป่า ตามที่พะอูชอบไป เมื่อมาถึงทางที่จะขึ้นเขาต้องห้าม มะค่าก็เจอมีดของพะอูตกอยู่
“กินรี มาดูนี่เร็ว”
กินรีหันมองตามที่มะค่าชี้
“นี่ใช่มีดของพะอูรึเปล่า”
กินรีก้มลงหยิบมีดขึ้นมาดู
“ใช่...ใช่มีดของพะอูจริงๆด้วย”
กินรีมองไปรอบๆจุดที่พบมีดเพื่อหาร่องรอยอื่นๆเพิ่มเติม
“มะค่านี่มันรอยเท้า”
มะค่ามองหาว่ารอยเท้าไปทางไหน
“รอยนี่มันไปตามทางขึ้นเขาต้องห้าม...”
กินรีมองขึ้นไปบนเขาต้องห้าม กังวลเป็นห่วงพะอู
“พะอู...”
“เอาไงดีล่ะ พี่...”
กินรีตัดสินใจ ในใจกล้าๆกลัวๆ

แม่หมอกำลังเก็บผ้าที่ตากที่ลานบ้าน ภราดรเดินมาหากับจ่าชิต
“แม่หมอครับ กินรีอยู่มั้ย”
แม่หมอตอบอย่างไม่พอใจ
“มันไม่อยู่”
“ไปไหนหรือครับ”
“หมอจะรู้ไปทำไม”
ภราดรรู้สึกเป็นห่วง
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าว่าหมอกลับไปซะดีกว่า ชาวบ้านที่นี่เขาไม่ค่อยจะชอบหมอนัก”
ยังไม่ทันที่ภราดรตอบโต้ ชาวบ้าน 2 คนเดินผ่านมาเห็นภารดรยืนอยู่กับแม่หมอ
“เฮ้ยแกว่านั้นไอ้หมอรึเปล่าว่ะ”
“ข้าว่าใช่แน่ๆ หน้าอย่างนี้มีมันคนเดียว”
ชาวบ้านทั้งคู่เดินปรี่เข้าไปเพื่อทำร้ายภราดร
“เฮ้ยไอ้หมอ”
ภารดรหันไปทางต้นเสียง และโดนหมัดของชาวบ้าน ที่สวนมาอย่างจังถึงกลับทรุดลง เขาพยุงตัวลุกขึ้นก็โดนอีกคนล็อกตัวไว้ เขาพยายามขัดขืน แต่ก็โดนหมัดชาวบ้าน อีกหลายหมัด จ่าชิตผ่านมาพอดีเห็นชาวบ้านกำลังทำร้ายภารดรจึงยิงปืนขึ้นฟ้าส่งสัญญาณให้หยุด ชาวบ้านสองคนหันมองเมื่อรู้ว่าเป็นจ่าชิตก็รีบวิ่งหนีไป จ่าชิตตรงเข้าไปพยุงภารดร
“เป็นยังไงบ้างหมอ”
“ขอบใจมากนะจ่า ผมไม่เป็นอะไร”
จ่าชิตจ้องเขม็งไปที่แม่หมอ แล้วถามหยั่งเชิง
“กินรีไม่อยู่หรือ”
ภราดรส่ายหน้า จ่าชิตหันไปถามแม่หมอ
“อ้าวแล้วหลานไม่อยู่หรอกเหรอ มันไปไหนล่ะ”
แม่หมอตอบเชิงบ่ายเบี่ยง
“ไม่รู้...ไม่เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว”
จ่าชิตนึกถึงเหตุการณ์ที่กินรีเอาเครื่องเส้นไปไหว้ที่ต้นไม้แล้วมีเสือปรากฏขึ้น เขาเข้าใจว่าแม่หมออาจจะเกี่ยวข้องเรื่องเสือด้วย เขาบอกกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น

“อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกมีส่วนเกี่ยวข้องกับเสือสมิง รู้เมื่อไรฉันจะถลกหนังหัวแกเป็นคนแรก”


เสือทศ เสือเรืองและลูกน้อง เดินกลับมาตามทางตรงไปที่ผูกม้าไว้
“พี่ทศคิดดีแล้วหรือที่จะค้าขายกับเสี่ยรงค์”
“แน่นอน ข้าคงไม่ดักดานเป็นโจรเป็นเสือ ตลอดชีวิตหรอก ข้าจะผันตัวเองเป็นพ่อเลี้ยงโว้ย”
“แล้วพ่อเสือล่ะ”
“เมื่อไหร่ที่ข้ามีเงิน มีอำนาจ เอ็งว่าพ่อเสือจะมีความหมายหรือวะ”
“แต่เรื่องนี้ถ้าพ่อเสือรู้ล่ะก็ พี่กับฉันหัวขาดแน่”
“ถ้าเอ็งไม่พูด ข้าไม่พูด แล้วพ่อเสือจะรู้ได้ยังไง”
เสือเรืองมองไปที่สมุนอีกคน ที่เดินฟังมาตลอดทำนองว่ามีอีกคนที่รู้ เสือทศชักปืนยิงลูกน้องอย่างรวดเร็ว ลูกน้องขาดใจตายทันที
“ทีนี้ก็เหลือเอ็งกับข้าแล้ว”
เสือทศหัวเราะ แล้วเดินจากไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หินกับจงใจควบม้าไปตามทางในป่ามุ่งหน้าสู่ชุมเสือ ทั้งคู่จูงม้าเปล่าไปอีกสองตัว....สมรักษ์พาแก้วเดินมาถึงป่าใกล้ชุมโจร แก้วชี้มือชี้ไม้บอกทาง
“ใกล้จะถึงแล้วหมวด”
สมรักษ์หยุด มองไปรอบๆ
“ได้...แก้วไหวไหม...”
แก้วกัดฟัน
“ไหว...ยังไงแก้วก็ต้องไปให้ถึง”
สมรักษ์รู้สึกสะท้าน มีอาการเหมือนไม่สบาย เขาเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง แก้วทรุดตัวลงเพราะเดินไม่ไหว สมรักษ์ตัดสินใจอุ้มแก้วขึ้นหลัง
“ขึ้นหลังไปผมไป”
แก้วทำตามอย่างว่าง่าย ตัวโอนเอนไม่มีแรง สมรักษ์หน้ามุ่งมั่นแล้วแบกแก้วเดินไป

เสือทศกับเสือเรืองมาถึงที่ซ่อนม้า พบว่าม้าหายไปหมด
“เฮ้ย...ม้าหายไปไหนหมดวะ”
เสือทศหันมาถามเสียงเข้ม
“เอ็งแน่ใจนะว่า เอ็งซ่อนไว้ตรงนี้”
เสือเรืองมองไปที่ต้นไม้จุดสังเกต
“แน่สิ...ฉันจำต้นไม้ต้นนี้ได้”
“มือดีที่ไหนวะ บังอาจมาตบหน้าข้า”
เสือเรืองมองไปรอบๆอย่างหวั่นๆ
“ฉันกลัวมันจะเป็นไอ้ลายพลาดกลอนผีตัวนั้นน่ะสิ...ฉันว่าเรารีบไปเหอะเดี๋ยวจะมืดเสียก่อน”
“เอ็งนี่มันกลัวอะไรไม่เข้าท่า...ไปก็ไป”
ปากเสือทศพูดไปอย่างนั้น แต่ตัวเองก้าวขายาวออกนำหน้าทันที เสือเรืองตามไปติดๆ

กินรีตัดสินใจที่จะขึ้นไปบนเขา
“มะค่าไปทางนี้เร็ว”
มะค่าเห็นรอยเลือดเป็นทาง จึงคว้ามือกินรีไว้
“ฉันว่าเราอย่าไปเลย กลับไปตามชาวบ้านมาช่วยกันดีกว่า”
เสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนมาจากบนเขา กินรีกับมะค่าชะงัก...งะดินเด รับรู้ว่ากินรีจะมา เขาแค่นเสียงร้องออกมาอย่างโหยหวนเพราะอยากจะพบกินรี มะค่าสังเกตเห็นว่ากินรีนิ่งไปก่อนที่จะกลายเป็นชะเวมะรัตแล้วกำลังจะเดินขึ้นไป มะค่าเห็นแล้วตกใจ ค่อยๆย่องตามไป
แม่หมอนั่งเข้าญาณ ในนิมิต บังเกิดเป็นภาพที่เลือนรางของถ้ำที่อับชื้น เมื่อเพ่งจิตภาพในนิมิตก็ชัดขึ้น และได้เห็นงะดินเดนั่งนิ่งอยู่บนแท่นหินโดยมีเสือโคร่งตัวใหญ่นอนหมอบอยู่ใกล้ๆ ลืมตาโพลงขึ้นมา แล้วแผดร้องอย่างโหยหวน สะกดญาณแม่หมอให้ดิ่งลึกเข้าไปยังอดีตชาติปรากฏเป็นภาพเด็กชายกับหญิงสาวชาวพม่าในชุดโบราณกำลังถูกเผาทั้งเป็น...เสียงร่ำไห้ยังคงดังอยู่และโอดครวญมากขึ้นกว่าเก่า...โต๊ะหมู่บูชาสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ ในนิมิตแม่หมอเห็นเสือที่หมอบอยู่คำรามแล้วกระโจนใส่ รูปปั้นผีนัตตกลงมาจากโต๊ะหมู่บูชาทำให้แม่หมอสะดุ้งสุดตัวและออกจากญาณ

จ่าชิตกับภราดรเดินมาตามป่า ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากเขาตามด้วยเสียงเสือ ภารดรตกใจกลัว แม้จะพยายามเก็บอาการแต่จ่าชิตก็สังเกตได้
“คนที่บ้านสางเขาเชื่อกันว่าบนเขาลูกโน้น เป็นที่อยู่อาศัยของภูตผีปิศาจ หากใครรุกล้ำเข้าไปมักจะไม่ได้กลับมา”
“สมัยนี้ยังมีคนเชื่อเรื่องแบบนี้อีกหรือจ่า”
“แล้วจ่าล่ะ เชื่อเหมือนคนบ้านสางมั้ย” ภราดรพยายามหยั่งดูว่าจ่าชิตกลัวหรือเปล่า
“หมอ...ถ้าผมฆ่าเสือได้ก็เท่ากับว่าความคับแค้นทั้งหมดที่สั่งสมมาสิบกว่าปีได้ถูกสะสางลงแต่ถ้า...ตำนานมันเป็นมันเป็นจริง ไปแล้วจะได้กลับหรือมันไม่ได้กลับ ก็ไม่มีความหมายอะไรกับผม...ว่าแต่หมอเถอะ ยังอยากจะไปอีกมั้ย”
“ผมตัดสินใจมาแล้ว ยังไงก็ไม่มีถอย”
ทั้งคู่จึงตัดสินใจเร่งฝีเท้าขึ้นไปบนเขา

อองไชยตามแกะรอยเสือสมิงด้วยอาคม เขาท่องมนต์ได้สักครู่รอยเท้าก็ค่อยๆปรากฏชัดเจนขึ้นบนพื้นดินมุ่งตรงขึ้นไปบนเขา
ทางด้านมะค่าตามกินรีมาเรื่อยๆพร้อมร้องเรียกให้รู้สึกตัว อองไชยตามมาแล้วพบกินรี ทั้งคู่ประจันหน้ากัน อองไชยมองที่เท้ากินรี แล้วยกปืนเล็ง คิดว่าเป็นเสือสมิง
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ไอ้เสือปีศาจ”
กินรีนิ่งเหมือนคนไร้สติ ภาพที่อองไชยเห็นกลับเป็นชะเวมะรัตไม่ใช่กินรี
“นี่แกเป็นใครกันแน่...”
จ่าชิตกับภราดรตรงเข้ามา จ่าชิตยิงอองไชยทันทีเพราะคิดว่า อองไชยจะยิงกินรี แต่ลูกปืนไม่ระคายผิว อองไชยหนีไปเพราะรู้ว่ากินรีคือใคร ภราดรตรงเข้าไปหากินรีแล้วจับตัวเขย่า
“กินรี...กินรี”
จ่าชิตแปลกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
“เฮ้ย...นี่มันอะไรกันวะ”
มะค่ารู้สึกแปลกใจและกลัวจึงขยับตัวเข้าหาจ่าชิต ภราดรสบตาชะเวมะรัต ภาพในอดีตแว่บเข้ามาในหัว ทั้งสองคนเคยอยู่ในวังด้วยกัน เป็นคู่ครองกัน ภราดรเป็นเจ้าเมือง ท่าทางมีความสุข ทันใดนั้นมีมนต์ดำแทรกเข้ามาในภวังค์ มันคืออำนาจของงะดินเด ที่ส่งมาหมายจะฆ่าภราดร ทั้งสองตื่นจากภวังค์ จ่าชิตรีบบอกอย่างร้อนใจ
“หมอ...กินรี...เรารีบไปจากที่นี่ดีกว่า บรรยากาศที่นี่ชักไม่ค่อยดี”
มะค่าตื่นกลัว
“ใช่...ใช่ รีบไปเหอะ”
ภราดรกับกินรีรู้สึกตัวแล้วคิดตามจ่าชิต ทันใดนั้น มนต์ดำปีศาจแสดงอำนาจให้เกิดลมพายุ ทำให้ทุกคนกระเจิงไป จ่าชิตพยามจะช่วยทุกคนเพราะพอจะมีวิชาอยู่บ้าง และมีประคำที่พระธุดงค์ให้ไว้
“หมอ...”
ทุกคนหนีแตกกระเจิง พลัดหลงกันไปคนละทาง ด้วยอำนาจหมอกและลมพายุที่พรางตา กินรีไปกับภราดร มะค่าไปกับจ่าชิต
“มะค่า...ไปเร็ว...ทางนี้”
จ่าชิตพามะค่าไป กินรีกับภราดรเกาะมือกันเหนียวแน่น
“นี่มันอะไรกัน...จับเอาไว้นะกินรี”

อองไชย พลัดออกมาจากกลุ่ม แต่เขาก็ยังหาที่ยึดได้
“นี่มันอาคม...ใครกันนะที่มีอาคมแก่กล้าเพียงนี้”
อองไชยบริกรรมคาถาและตั้งสมาธิ ขณะเดียวกันภายในถ้ำ งะดินเดแสยะยิ้มพึงพอใจ คนรูหมอบอยู่ข้างๆ
“มารนหาที่ถึงถิ่นข้าเลยรึบาเยงโบ คราวนี้เจ้าไม่รอดแน่”
งะดินเดบริกรรมคาถาแล้วส่งเสือสมิงออกไป

อองไชย ถือมีดเล่มเล็กที่ห้อยคอ บริกรรมคาถา มีดแสดงอิทธิฤทธิ์สยบอำนาจพายุของงะดินเดได้ พายุสงบลง อองไชยลืมตาขึ้นแววดาดุดัน
เมื่อพายุและหมอกควันสงบลง ภราดรแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆพายุก็สงบลง”
กินรีนิ่งคิด
“อาคม...มันเป็นอาคมของใคร”
ภราดรกับกินรีสงสัยและมองไปรอบๆ

งะดินเดลืมตาจากการบริกรรมคาถา ไม่พอใจที่อองไชยหยุดอาคมของเขาได้
“ใคร...มันมีดาบเล่มนั้นได้ยังไง...อยากลองดีกับข้าหรือ”

ภราดรกับกินรีมองไปรอบๆ แล้วมีเสียงเสือสมิงที่งะดินเดเสกมาคำรามขึ้น
“เสือ...” ภราดรชะงัก

ทั้งคู่จ้องหน้ากันแล้วมองหาที่มาของเสียง เห็นพุ่มไม้หนาทึบสั่นไหว ทันใดนั้นเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวมหึมา กระโดดขึ้นมายืนต่อ แยกเขี้ยวคำรามก้องป่า ภราดรคว้าได้ไม้อันเขื่องที่วางอยู่บริเวณนั้น ยกไม้ในมือขึ้นสู้อย่างพร้อมที่จะปกป้องกินรี
“ไม่ต้องกลัวนะกินรี”
กินรีกอดภราดรแน่น

จ่าชิต กับมะค่าอยู่ห่างจากภราดรพอสมควร
“เป็นอะไรไหมมะค่า”
“ข้าไม่เป็นไร...”
“ไปหากินรีกับหมอกันเถอะ”
ทั้งคู่กำลังจะเคลื่อนตัวออกไป คนรูตัวเมียมาขวางหน้าไว้ มันแยกเขี้ยวยืนจังก้าอย่างน่ากลัว จ่าชิตผงะ มะค่ารีบแอบข้างหลังจ่าชิต
“ตัวอะไรน่ะจ่า”
“เฉยไว้...”
จ่าชิตยกปืนขึ้นมาเล็งไปที่คนรูตัวเมีย
“ซ่านักหรือ มึงอย่าอยู่เลย...”
จ่าชิตยังไม่ทันเหนี่ยวไกปืน คนรูตัวผู้ก็เข้ามาตบปืนกระเด็นไปไกล แล้วมันก็ตรงเข้าบีบคอจ่าชิต คนรูตัวเมียตรงเข้าไปจับตัวมะค่า เธอดิ้นและสู้สุดฤทธิ์ แต่ก็ไม่ไหว คนรูตัวผู้ขึ้นค่อมแล้วบีบคอจ่าชิตเอาไว้ พลางหันมาสั่งเมีย
“เอาหัวใจนังนี่ไปให้พ่อนายเร็ว...”
คนรูตัวเมียพยักหน้ารับแล้วตรงเข้าล็อคคอมะค่าหมายจะเอานิ้วควักหัวใจ
“จ่า...ช่วยด้วย”
จ่าชิตถีบคนรูตัวผู้กระเด็นไปแล้วชักมีดสั้นออกมาหมายจะจ้วงแทงคนรูตัวเมีย แต่มันไหวตัวหลบไปก่อน มะค่าจึงเป็นอิสระ ทรุดลงหายใจหอบ
“เป็นยังไงบ้างมะค่า”
“ข้าไม่เป็นอะไร...จ่า...ระวัง”
มะค่าตาไวหันไปเห็นคนรูตัวผู้กำลังเป่าลูกดอกอาบยาพิษเข้าใส่...จ่าชิตหลบได้ทันแล้วตั้งหลักได้ คนรูทั้งสองตัว กลับมายืนตั้งหลักแยกเขี้ยวขู่และคิดหาทางสู้ต่อไป จ่าชิตกำมีดสั้นไว้แน่น โดยมีมะค่าอยู่ข้างหลัง

ภราดรกระชับไม้ในมือแน่น กินรียังคงอยู่ข้างหลัง...เสือโคร่งย่างเท้าเข้าใส่ภราดรอย่างรวดเร็ว พอได้ระยะที่เหมาะเจาะก็กระโจนใส่ หมายขย้ำให้แหลกคากรงเล็บของมัน ภราดรตกใจสุดขีด ร้องเสียงหลง
“เฮ้ย!”
ทันใดนั้น เสือโคร่งที่กระโจนเข้าหาภราดร ลอยคว้างอยู่ในอากาศ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงสู่พื้นดิน ซึ่งอยู่ห่างจากภราดรไปพอประมาณ ขณะเดียวกันนั้นกลุ่มควันสีขาวค่อยๆจางลง จนเห็นชะเวมะรัต ปรากฏกายขึ้นแทนร่างของกินรี ผิวพรรณของนางผุดผ่องสะดุดตา ใบหน้างดงามดูเรียบเฉย แต่งกายในชุดพม่าชาววัง ผมที่เกล้าสูงยิ่งเพิ่มความสง่า หากแต่แฝงความลึกลับอยู่ในที ภราดรตะลึงกับภาพเบื้องหน้าที่ได้เห็น
“กินรี”
ชะเวมะรัตหันมามองสบตานิ่งนาน แววตาของนางยังเต็มไปด้วยแววตัดพ้อน้อยใจ เสียใจ ก่อนจะยื่นมือมาให้ภราดร อย่างช้าๆ...ภราดร ตกตะลึง จ้องมองเธอราวถูกมนต์สะกดก้าวเท้าเข้าไปหายื่นมือออกไป หวังจะคว้ามือของหญิงสาวที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นเสียงเสือสมิงคำรามขึ้น มันเดินวนไปมาอยู่ไม่ไกล ท่าทางงุ่นง่าน แค้นเคือง แยกเขี้ยวคำรามชวนให้น่าหวั่นกลัวยิ่งนัก มันทำท่าเหมือนจะกระโจนเข้าใส่ภราดรอีกครั้ง ชะเวมะรัตยกมือขึ้นสะบัดหมุนเป็นวงกลมไปทางภราดร กลุ่มควันสีขาวเหมือนปุยเมฆล้อมรอบตัวของเขาเอาไว้ เสือสมิงทำอะไรไม่ได้มันคำรามอย่างโกรธจัด เดินวนไปมา ชะเวมะรัตจ้องมองมันก่อนจะพูดขึ้น
“น้องพี่...จงละวางความโกรธแค้นพยาบาท แล้วให้อภัยเถิด เพื่อที่วันข้างหน้าเจ้าจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในวัฏสังขารนี้อีกต่อไป”
เสือร้ายแผดเสียงร้องคำราม ดังก้องป่า เดินวนไปเวียนมา

จ่าชิตยังคงคุมเชิงดูคนรูทั้งคู่อยู่ มะค่ายังคงเกาะอยู่ข้างหลัง คนรูสองผัวเมียตัดสินใจสู้ตายหมายจะเอาหัวใจทั้งสองคนให้ได้ จ่าชิตใช้หางตาชำเลืองมองไปที่ปืนยาวที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก แล้วบอกมะค่าเบาๆ
“ข้าสั่งให้วิ่งก็วิ่งหนีไปเลยนะ”
“จ้ะ...”
จ่าชิตตัดสินใจบุกเข้าไปหาคนรูทั้งสองพร้อมสั่งมะค่า
“มะค่า...วิ่ง...”
มะค่าทำตามโดยวิ่งสุดชีวิต คนรูตัวเมียจะวิ่งเข้าไปจ่าชิตขวางไว้แล้วเตะกระเด็นไป
“อ๊ากก”
คนรูตัวผู้พุ่งเข้าใส่อย่างไม่รอช้า
“จ๊ากกกก...”
จ่าชิตโถมตัวใส่มันโดยใช้มีดจ้วงแทงแต่ถากไป
“เข้ามา...”
จ่าชิตเห็นว่ามะค่าไปไกลแล้วเข้าจึงกลิ้งตัวไปคว้าปืน แล้วยิงใส่คนรูทั้งสองตัว แต่พลาด คนรูตัวผู้ตะโกนบอกเมีย
“หนีเร็ว...”
คนรูอาศัยความว่องไวหนีไปได้ มันวิ่งไปคนละทางกับมะค่า จ่าชิตวิ่งตามมะค่าไป

งะตินเดโกรธ คั่งแค้น นัยน์ตาแดงก่ำเป็นสีเลือด น่าสะพรึงกลัว แผดเสียงร้องโหยหวน ระบายอารมณ์ที่คลุ้มคลั่ง
“อ๊าากก! ชะเวมะรัต...นี่เจ้า เห็นแก่ความรัก เห็นแก่ตัว จนถึงกับทรยศตระกูลของเจ้าได้เชียวเรอะ”
งะดินเดถอดร่างกายทิพย์พุ่งออกมาจากถ้ำ...ลำแสงพุ่งออกมาปรากฏร่างกายทิพย์ของงะดินเดตรงหน้าชะเวมะรัต ภราดรถึงกับผงะ เสือสมิงเดินไปหมอบข้างๆ ชะเวมะรัตผงะเล็กน้อย
“ท่านพ่อ...ข้าขอร้อง ได้โปรดละความพยาบาท หยุดก่อกรรมที่หาได้จบสิ้นเถิด”
งะตินเดแผดเสียงหัวเราะ เยาะหยัน
“เจ้า...หาได้รับรู้ว่าความเจ็บปวดที่พ่อของเจ้าได้รับนั้นมันมากมายเยี่ยงไร ยังจำได้มั้ย ชะเวมะรัต เจ้าลองทบทวนดูใหม่ซิว่า...ใครกันแน่ที่มันชั่ว...”
ชะเวมะรัตหน้าสลด แววตาเศร้า
“ทุกสิ่งทุกอย่างมีกรรมเป็นตัวกำหนดอยู่แล้ว...ท่านพ่อ...แล้วท่านยังจะตกอยู่ในบ่วงกรรมนี้อีกหรือ เรื่องราวในครั้งนั้นยังทำให้ท่านเจ็บปวดไม่พออีกหรือ...”
“ไม่มีครั้งไหน เจ็บปวด ทุกข์ทรมานเท่าครั้งนั้นอีกแล้ว และสิ่งที่พวกมันต้องได้รับย่อมต้องเป็นความทุกข์ทรมานเช่นกัน”

ใบหน้างะตินเดเจ็บปวด แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาต พยาบาท และเจ็บปวดกับเรื่องราวในอดีต

ในอดีต...เพชฌฆาต สามคนรายล้อม โยนคบไฟเข้าไปในกองฟืนที่สุมอยู่พร้อมๆกัน คบเพลิงลอยไปกระทบกับกองฟืนจนไฟลุกโชติช่วงขึ้นมาเผาไหม้ร่างของชะเวโบ ซึ่งถูกผูกโยงเอาไว้ เขาดิ้นเร่าๆอย่างเจ็บปวด ทรมาน ชาวบ้านมารอดูการประหารมากมาย บางส่วนมีอาการโกรธแค้น ชูมือ ส่งเสียงร้องตะโกน
“ฆ่ามัน เผามัน เผามัน ฆ่ามัน ไอ้กบฏ”
ชาวบ้านร้องตะโกนเชียร์ให้ประหารนักโทษ งะดินเดยืนหลบๆอยู่ ในชุดแต่งกายรัดกุม คลุมศีรษะด้วยผ้าเพื่อ อำพราง ใบหน้า เขามองตรงไปที่กลางลานประหารด้วยสายตาที่เจ็บปวด ไม่อาจเข้าช่วยเหลือลูกชายได้...ชะเวมะรัตที่อยู่ในชุดชาววังพม่าที่งดงาม ยืนสงบนิ่งรอการประหาร งะดินเดมองอย่างเจ็บปวด เคียดแค้น กัดกรามแน่นเป็นสันชัดเจน ก่อนตั้งจิตอธิษฐาน
“ข้าขอสาบาน จะต้องแก้แค้นให้กับลูกข้าให้จงได้...ไม่ว่าจะต้องรอไปจนถึงชาติภพใด”

ปัจจุบัน...งะตินเดน้ำตาไหลด้วยอารมณ์ที่เจ็บแค้น
“ไม่ว่านานสักแค่ไหน ข้าไม่เคยลืม หรือเจ้า ลืมจนหมดสิ้น”
ชะเวมะรัต ท่าทางและแววตาสงบเฉย
“ท่านพ่อ ข้าจะทำอย่างไร จึงจะช่วยบรรเทาไฟแค้นในดวงวิญญาณของท่านได้”
“แค่เพียงเจ้าไม่เข้ามาขัดขวาง!”
“ข้าทำเพื่อท่านและเพื่อน้อง...จะได้ไม่ต้องทำบาปอีก”
งะตินเด หัวเราะ เยาะหยัน
“มันต้องชดใช้ในสิ่งที่มันทำไว้กับพวกเรา”
“แน่นอน ใครทำกรรมใดไว้ก็ต้องชดใช้ แต่ท่านพ่อไม่มีสิทธิ์ตัดสินกรรมของใคร ข้าขอร้อง จงให้อภัยเถอะ อย่าได้จองเวรกันอีกเลย เห็นแก่ความสุขของลูกหลานเถอะนะ ท่านพ่อ”
“มันต้องชดใช้ในสิ่งที่มันทำไว้ อย่างสาสม เจ้า...ไม่ต้องมายุ่ง ไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้”
งะดินเดใช้เวทมนต์โบกร่างของชะเวมะรัตจางหายไป กลายเป็นกินรีนอนนิ่งอยู่ ภราดร รีบเข้าไปพยุง
“กินรี...กินรี”
งะดินเดไม่พอใจ
“รักกันมากนักน่ะสิ...ข้าจะสงเคราะห์ให้”
งะดินเดมองเสือสมิงที่หมอบอยู่ข้างๆ เสือสมิงพุ่งเข้าใส่ทันที ภราดรถูกเสือกัดและตะปบเข้าที่ไหล่และหลังส่งเสียงร้องเจ็บปวด
“โอ๊ย...”
อองไชยโผล่เข้ามาแล้วเอาปืนอาคมยิงเสือสมิงกระเด็นไป งะดินเดแค้นจัด
“เจ้าเป็นใคร ใยจึงมายุ่งกับเรื่องของข้า”
“เจ้าล่ะเป็นใคร...ควบคุมเสือสมิงได้อย่างไร”
งะดินเดหัวเราะก้อง
“ข้านี่แหละงะดินเดจอมขมังเวทย์...อยากหาที่ตายนักใช่ไหม”
งะดินเดใช้อาคมใส่อองไชย
“มา...จอมขมังเวทย์รึ...นี่แน่...”
ออไชยตั้งรับได้แล้วใช้ดาบเล่มเล็กขว้างเข้าใส่ ดาบเล่มจิ๋วแสดงปาฏิหาริย์ ทำลายเวทมนต์งะดินเด และทำให้ร่างสลายไป
“อ๊าก...”
จังหวะเดียวกันกับที่จ่าชิตและมะค่าวิ่งเข้ามาพอดี เสือสมิงวิ่งเข้าป่าหายไป อองไชยตัดสินใจตามเสือสมิง
“จ่า...ดูหมอด้วย ข้าจะไปตามล่าเสือ”
“ข้าไปด้วย”
“จ่าจะปล่อยให้หมอตายหรือ”
อองไชพูดจบแล้ววิ่งตามเข้าป่าไป จ่าชิตยืนนิ่งแล้วตัดสินใจไปดูภราดร
“หมอ...”
กินรีทำอะไรไม่ถูกภราดรสลบและมีเลือดเต็มตัวไปหมด
“หมอ...หมอต้องไม่เป็นอะไรนะ”
“รีบพาไปอนามัยเถอะ”
ทั้งหมดเห็นด้วย

กายทิพย์พุ่งเข้าร่างของงะดินเดที่นั่งอยู่บนแท่นหินอย่างรวดเร็ว งะดินเดลืมตาขึ้นเจ็บปวดที่หน้าอก
“มันเป็นใครกัน มันมีดาบเล่มนั้นได้ยังไง”
คนรูเข้ามาด้วยอากาสะบักสะบอม มันรีบรายงมางะดินเด
“ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าเอาหัวใจมาไม่ได้”
งะดินเดโกรธจัดตบหน้าคนรูทั้งสองคนด้วยอาคม
“บัดซบ...ข้าต้องการหัวใจมนุษย์อีก กายข้ามันยังไม่แกร่ง พวกเจ้าต้องอกมาหามาให้ข้าให้มากที่สุด...ไป”
คนรูรนรานออกไป งะดินเดครุ่นคิด ทันใดนั้นมีเสียงเสือคำรามเข้ามาแต่ไกล งะดินเดกังวล
“ลูกข้า...”

อองไชยวิ่งไล่เสือสมิงมาตามป่า เห็นหลังมันไวๆ เสือสมิงกลายร่างเป็นคนแต่มีลายเสือ วิ่งผ่านต้นไม้ในป่าไปอย่างรวดเร็ว อองไชยยกปืนยิงใส่ไปสองสามนัด และแล้วเขาต้องแปลกใจเมื่อเห็นเสือสมิงเลือนหายไปต่อหน้า
“ไอ้นี่ไม่ใช่ธรรมดา...”
อองไชยหลับตาบริกรรมคาถาเสกให้ป่าเปิด ต้นไม้ในป่าเลือนหายไป เสือสมิงยืนจังก้าอยู่ไม่ห่างจากอองไชยนัก ทั้งคู่จ้องตากัน อองไชยยกปืนขึ้นยิง เสือสมิงกำลังจะพลาดท่า ทันใดนั้น นกแสกตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่ใบหน้าอองไชยจนเสียหลักหน้าหงาย และกระสุนลั่นขึ้นฟ้าพลาดเป้า
“เฮ้ย...”
เสียงงะดินเดเรียกเสือสมิงดังแว่วมา
“รีบกลับมาลูกพ่อ”
เสือสมิงพุ่งหายวับไป ป่าทั้งป่ากลับคืนสู่ปกติ อองไชยครุ่นคิด แววตากร้าว
“งะดินเด”

สมรักษ์เดินแบกแก้วมาตามทางอย่างอ่อนล้า แก้วหน้าซีดและอาการทรุดลงเนื่องจากเสียเลือดมาก เธอรู้สึกสงสารเขา
“แก้วพอเดินไหวนะหมวด...ให้แก้วเดินเองเถอะ...หมวดแบกแก้วมาตั้งหลายกิโลแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกแก้ว ต่อให้อีกกี่กิโลฉันก็ไหว...ถ้าแก้วไม่ช่วยฉันไว้ ฉันคงไม่ได้มาแบกแก้วอย่างนี้”
แก้วน้ำตาคลอแล้วซบกับไหล่เขาในใจรู้สึกดี

จงใจกับหินห้อม้ามาตามทางอย่างเร่งรีบ พร้อมกับจูงม้าอีกสองตัวมาด้วย สักครู่ทั้งคู่ก็ชะลอม้าแล้วหยุดลง
“เฮ้อ...ถึงซะที”
“รีบเข้าเถอะพี่เดี๋ยวไม่ทันหมวดสมรักษ์”
จงใจพยักหน้าแล้วลงจากม้าไป หยิบใบไม้มาท่องคาถาเปิดป่า แล้วเข้าไปในชุมโจรทันที หินตามไปติดๆ

สมรักษ์แบกแก้วมาถึงอาณาเขตของชุมเสือ เธอบอกให้เขาหยุด
“หยุดก่อนจ้ะหมวด”
“มีอะไรหรือแก้ว”
“ถึงแล้วจ้ะ”
สมรักษ์สงสัยมองไปรอบๆเห็นแต่เป็นป่าโปร่ง ไม่เห็นมีชุมชน
“ถึงแล้ว ทำไมไม่เห็นมีบ้านคนเลยล่ะ”
“ปล่อยแก้วสิจ๊ะ”

เสือสมิง ตอนที่ 7 (ต่อ)

สมรักษ์ยังงงอยู่ แต่ก็ทำตามที่แก้วขอ แก้วเดินไปหยิบใบไม้มาใบหนึ่งแล้วท่องคาถาเปิดป่า พลันสมรักษ์ก็เห็นหมู่บ้านชุมเสือเลือนขึ้นมาเบื้องหน้าและตรงที่เขายืนอยู่มันไม่ห่างจากคอกม้านัก
“เป็นไปได้ยังไงเนี่ย...ที่แท้...”
แก้วอธิบายแทรกมาทันที
“พ่อเสือบังตาไว้ด้วยคาถาจ้ะ...ใครจะเข้าจะออกต้องมีคาถาเปิดป่า”
“อย่างนี้นี่เอง...”
“หมวดสัญญานะจ๊ะว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร มันจะเป็นอันตรายจากชาวบ้านที่เขาทำกินกันอย่างสุจริต”
สมรักษ์สงสัยในคำพูดของแก้ว
“สุจริต...หรือ”
แก้วอ่อนแรงจะล้มลง สมรักษ์รีบเข้าไปรับ
“แก้ว...”
“ไปต่อเถอะจ้ะ” แก้วฝืนเดิน ทั้งๆที่เจ็บมาก

เสือใจนั่งอยู่กับ เสือดำ เสือชิน เสือเข้ม แวววางกาน้ำชาลงข้างๆ เสือใจหยิบกาน้ำชากำลังจะรินให้สมุนทั้ง 3 เสียงสมุนดังมาจากด้านนอก
“พ่อเสือ พ่อเสือ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว มีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านเรา”
เสือใจ และทุกคนลุกขึ้น ต่างก็คว้าอาวุธที่วางอยู่ข้างๆตัว
“พวกมันมากันกี่คนวะ”
“คนเดียวจ๊ะพ่อเสือ มัน มัน มันอุ้มไอ้แก้วมาด้วย”
“ว่าไงนะ!”
แววดีใจ
“ไอ้แก้วกลับมาแล้ว แก้วลูกแม่...ทำไมต้องมีคนอุ้มมาด้วย มันเป็นอะไรแล้วตอนนี้ ไอ้แก้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ”
ทุกคนรีบตามไปดู

สมรักษ์แบกแก้วเดินเข้ามาในหมู่บ้าน เสือใจ เสือชิน เสือเข้ม เสือดำ และชาวชุมเสือ ยืนจังก้าขวางทาง แวววิ่งเข้ามาหาลูกทันที
“แก้ว...แก้วลูกแม่”
สมรักษ์ปล่อยแก้วลง ตัวเองทรุดลงสภาพอิดโรย เสือใจแววตาดุหน้าสงบนิ่งมองชายหนุ่มที่สวมเสื้อและกางเกงสีกากี ขาดวิ่นมี 2 ดาวประดับอยู่บนบ่า ทรุดลงตรงหน้า
ในอ้อมแขนของแววมีร่างของแก้วที่ได้รับบาดเจ็บ เสื้อผ้า เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือด เสือดำขยับปืนจะยิงสมรักษ์
“ไอ้ดำ”
เสือใจห้ามเสียงเข้ม เสือดำลดปืนลง
“เอ็งเป็นใคร”
สมรักษ์ไม่ตอบได้แต่จ้องหน้าเสือใจอย่างไม่เกรงกลัว แววกอดแก้วด้วยความเป็นห่วง
“แก้ว ไอ้แก้วลูกแม่ เอ็งไปโดนอะไรมารึนี่ โธ่...ลูก...”
“แม่...แม่...แก้วรักแม่ แก้วคิดถึงแม่ ยกโทษให้แก้ว...นะ”
“แก้ว แม่ก็คิดถึงเอ็ง แม่...ไม่เคยโกรธเอ็งเลย” แววมองบาดแผลของลูกสาว “นี่เอ็งไปโดนอะไรมา เจ็บมากมั้ยลูก...โธ่”
สมรักษ์มองทุกคน
“ผมว่าทุกคนน่าจะช่วยกันดูแลบาดแผลแก้วก่อนดีกว่า”
แววหันกลับไปทางเสือใจ มองอย่างอ้อนวอน
“พี่เสือ ช่วยไอ้แก้วลูกฉันก่อนเถอะนะพี่...”
เสือใจมองแววและแก้ว แววตาอ่อนลง
“เอานังแก้วไป”
แววกับชาวบ้านกระรีกระวาดช่วยกันพาแก้วไป สมุนของเสือใจยังคงจ้องปืนไปที่สมรักษ์ คุมเชิงอยู่ เสือใจยืนจ้องสมรักษ์ที่ท่าทางอ่อนแรง แล้วถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“เอ็งเป็นใคร...”
สมรักษ์เริ่มตาปรือจะหมดแรงแล้วบอกชื่อไป
“ร้อย ตำ รวจ...โท...สมรักษ์”
สมรักษ์ฟุบหมดสติลงทันที
“ลากมันไปขังเอาไว้ก่อน”
บรรดาเสือต่างๆรับคำสั่งและกำลังจะปฏิบัติตาม จงใจตะโกนเข้ามา
“เดี๋ยวก่อน...”
เสือใจและทุกคนหันไปมอง เห็นว่าเป็นจงใจกับหิน
“พ่อจะทำอย่างนั้นกับเขาไม่ได้...”
“ทำไม”
หินรีบบอก
“เพราะเขาช่วยชีวิตแก้วเอาไว้”
เสือใจตัดสินใจ
“เอาไอ้นี่ไปไว้บ้านเอ็ง...ไอ้หิน”
พูดจบเสือใจเดินกลับไปกับพวกลูกสมุน จงใจถอนใจเฮือกใหญ่ ดีใจที่มาทันเวลา

แก้วนอนอยู่บนเสื่อ ที่ไหล่ยังเห็นมีเลือดไหลซึมออกมา เปียกชุ่มผ้าพันแผล และเสื้อที่เธอสวมอยู่ หมอยาพื้นบ้านประจำชุมเสือกำลังดูแลรักษา แววเฝ้าอย่างเป็นห่วง
“ลุง...นังแก้วมันเป็นยังไงบ้าง”
“ท่าทางมันเสียเลือดมาก”
แวววิตกกังวลเป็นห่วงลูกสาว เสือใจ จงใจ และหินเข้ามา พวกสมุนโจรต่างแบกสมรักษ์มานอนพัก จงใจเข้าไปดูแก้วอย่างเป็นห่วง
“แก้ว”
หินตามไป
“แก้ว...เป็นยังไงบ้าง”
แก้วยิ้มที่เห็นหินกับจงใจ
“นึกว่าจะไม่ทันพบหน้าพี่จงใจกับเอ็งแล้ว”
“เอ็งทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ”
แก้วอ่อนล้าเต็มทีพูดจาช้าลง
“หมวดล่ะ...”
“เขาอยู่นี่”
แก้วหันไปมองสมรักษ์ ที่นอนอยู่อีกมุมหนึ่งก็โล่งใจที่เห็นเขาปลอดภัย
“ข้าจะดูแลเขาอย่างดี” จงใจบอกกับแก้ว
เสือใจหันมาหาแก้ว
“พักผ่อนเอาแรงไว้ก่อนเถอะแก้ว ไม่ต้องพูดอะไรหรอก”
เสือใจนั่งลงข้างๆแวว มองดูแก้ว เอื้อมมือลูบหัวอย่างเวทนา
“กินยาซะก่อนซีไอ้แก้ว...”
แก้วได้ยินเสียงเสือใจ หันไปมองตามเสียง แววตาสำนึกถึงความผิดของตัวเอง พยายามยกมือไหว้ แต่ก็ลำบากเต็มที
“พ่อเสือ...ฉัน ขอโทษ ที่พาคนนอก...เข้า...มา”
“ไม่ต้องคิดอะไรมาก พักรักษาตัวซะก่อน ข้าเข้าใจแล้ว”
“กินยาซะก่อน เอ้า แม่แวว ป้อนยาลูกซี...”
เสือใจแสดงความมีน้ำใจ และอ่อนโยนกับแก้ว แววป้อนยาต้มให้แล้วบอก
“แก้ว...พักผ่อนเถอะ...ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
แก้วเหลือบไปมองสมรักษ์ แล้วค่อยๆหลับตาลง แววมองๆอย่างเข้าใจว่าแก้วคงชอบสมรักษ์

ค่ำนั้น...ภราดรถูกนำมาทำแผลที่อนามัย เขาสลบไม่รู้สึกตัว ระรินฉีดยาแก้วปวดและแก้อักเสบให้ เดือนช่วยอยู่ข้างๆ ห่างออกมา จ่าชิต กินรี ประเดิม มะค่า นั่งรอดูอาการอย่างเป็นห่วง
“พากันไปทำอะไรมาดูซิเนี่ย หมอบาดเจ็บหนักเลย...ดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก”
ระรินบ่น จ่าชิตรำคาญ
“คุณระรินแต่งงานกับหมอตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
ระรินลอยหน้าลอยตาตอบ
“ยัง...แต่กำลังจะแต่ง...”
ประเดิมตัดบท
“ผมว่าเราปล่อยให้หมอพักผ่อนก่อนดีกว่า”
เดือนหันมาถาม
“แล้วใครจะเฝ้าไข้คุณหมอล่ะ”
กินรีเสนอตัว
“ฉันเองค่ะ...ฉันกับมะค่าจะเฝ้าให้ พวกคุณกลับบ้านไปเถอะค่ะ”
ระรินไม่ยอม
“ไม่...ไม่เด็ดขาด ฉันไม่ปล่อยให้หมออยู่กับแกหรอก เดี๋ยวเกิดหิวขึ้นมา แกไม่ดูดเลือดหมอจนหมดตัวหรือ...ฉันเฝ้าเอง”
จ่าชิตไม่ค่อยพอใจ
“ถ้ากินรีจะกินเลือดใคร ผมว่าคุณน่าจะเป็นคนแรกนะ”
ระรินมองกินรีอย่างสยอง
“ให้ฉันเฝ้าเถอะค่ะ ฉันอยากตอบแทนคุณหมอบ้าง” กินรีขอร้อง
จ่าชิตเห็นด้วย
“ดีเหมือนกัน กินรีกับมะค่าอยู่ที่นี่เถอะ”
ระรินจะห้าม แต่เบิ้มส่งเสียงเรียกจากข้างล่าง
“คุณระรินครับ...คุณระริน...เสี่ยรงค์ให้มารับกลับบ้านครับ เสี่ยไม่ค่อยสบาย”
ระรินเสียอารมณ์
“แหม...พ่อนะพ่อจะมาเป็นอะไรตอนนี้นะ...” ระรินหันมาสั่งเสียงเข้ม “ดูแลหมอให้ดีนะถ้าหมอเป็นอะไรไปฉันไม่เอาแกไว้แน่”
ระรินออกไปอย่างหงุดหงิด กินรีรู้สึกเบาใจ
“กลับไปเถอะเดือน เดี๋ยวฉันอยู่ดูกับกินรีเอง” ประเดิมหันไปบอกเดือน
เดือนพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป จ่าชิตตบบ่าประเดิม
“ฝากด้วยนะประเดิม...”
ประเดิมแปลกใจ
“อ้าว...จ่าจะไปไหน”
จ่ายิ้มๆ
“ไปหาเหล้ากิน”
กินรีนึกได้
“จ่า...ฝากบอกยายด้วยนะว่าไม่ต้องเป็นห่วงฉัน”
จ่าชิตพยักหน้ารับ แล้วเดินออกไป กินรีมองใบหน้าภราดรอย่างเป็นห่วง

เสือใจยืนเหม่อมองออกไปเบื้องหน้า ครุ่นคิดเรื่องสมรักษ์ ห่างออกไปเสือทศกับเสือเรืองเดินเข้ามาในหมู่บ้าน เห็นเสือใจยืนอยู่
“พ่อเสือ...”
เสือทศจะเดินเข้าไปหาเสือใจ เสือเรืองชะงักท่าทางกลัว
“จะเข้าไปทำไมล่ะพี่ พ่อเสือยืนอยู่นั่น เอาไว้เช้าๆเราค่อยเข้าหน้าพ่อเสือไม่หรือ”
เสือทศไม่กลัว
“จะไปกลัวทำไมวะ อีกหน่อยข้าก็จะได้เป็นหัวหน้าแล้ว...ไป...แล้วทำตามข้า...”
ทั้งคู่เดินเข้าไปหา เสือใจมองนิ่ง เสือทศทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไอ้ทศ”
เสือทศสะดุ้งปากบอกไม่กลัวแต่ใจหวั่น
“จ้ะ...พ่อเสือ”
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเอ็ง”
เสือทศหน้าซีดเล็กน้อยมองหน้าเสือเรือง

จงใจกับแววเข้ามาในบ้าน ขณะที่หินเฝ้าแก้วที่หลับอยู่
“ขอบใจนะจงใจ กลับไปนอนเถอะ น้าอยู่กับหินได้” แววหันไปถามหิน “แก้วเป็นยังไงบ้าง”
“ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ”
จงใจมองแก้วอย่างเป็นห่วง ก่อนจะบอกแวว
“ไม่เป็นไรหรอกน้า...ฉันอยากอยู่ดูอาการหมวดด้วย”
แววพยักหน้ารับรู้ แล้วหันไปมองสมรักษ์ที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ มีผ้าห่มห่มอยู่หลายชั้นหน้าเซียว ปากซีด เนื้อตัวสั่นเทาด้วยพิษไข้ กระสับกระส่าย อยู่ในอาการเพ้อนิดๆ
“น้ำ...น้ำ...ขอน้ำหน่อย...”
จงใจดีใจ
“ฟื้นแล้ว น้าแวว เขาฟื้นแล้ว”
“รีบเอาน้ำให้กินก่อน เร็วเข้า”
จงใจวางขันยาต้มลงบนโต๊ะไม้เล็กๆ แล้วรีบหยิบขันน้ำเดินตรงไปหาสมรักษ์ทันที เธอประคองศีรษะของเขาขึ้นไว้บนตัก แล้วค่อยๆป้อนน้ำจากขันให้ด้วยความห่วงใย
“กินยาแก้ไข้ก่อนะหมวด”
สมรักษ์ปรือตามองเห็นหน้าจงใจเลือนลาง เบลอๆเพราะพิษไข้
“คุณ...คุณ...แข็งใจตื่นขึ้นมากินยาต้มก่อนนะ”
สมรักษ์ค่อยๆฝืนลืมตา แววรีบเอาถ้วยใส่ยาต้มส่งให้ จงใจประคองใบหน้าของเขาเพื่อป้อนยา สมรักษ์พยายามดื่มยาอย่างยากเย็น ก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้ง
“หายเร็วๆนะคุณตำรวจ...”
จงใจพูดเบาๆ ใช้มือเสยผมที่ตกมาปรกหน้าของชายหนุ่ม สายตาของเธอมองเขาด้วยความเป็นห่วง ไม่ปิดบังอำพรางความรู้สึกที่มีต่อชายหนุ่มอีกต่อไป

เสือใจกับเสือทศ คุยกันมาครู่ใหญ่...
“โธ่พ่อ...ฉันเป็นห่วง น้องจงใจนี่ ฉันขอโทษที่ขัดคำสั่งพ่อ”เสือทศเฉไฉ
“ข้าก็คงต้องยกโทษให้เอ็ง...เอ็งมันคงดีกว่านี้ไปไม่ได้แล้ว...ขืนสั่งสอนไปก็คงจะเอือมระอากันเปล่าๆ”
เสือทศเลือดขึ้นหน้าเมื่อดูถูก แต่เก็บอารมณ์ เสือใจสั่งต่อ
“และข้าขอร้องเอ็งว่าอย่าไปยุ่งกับหมวดคนนั้น”
“ทำไมล่ะพ่อ...มันเป็นคนนอก และเป็นตำรวจด้วย มันจะกลับมาแว้งกัดเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“เรื่องนี้ข้าจะเป็นคนตัดสินใจเอง พวกเอ็งกลับไปได้แล้ว”
“เอ่อ...แล้วน้องจงใจล่ะ...”
“อยู่ที่บ้านแวว”
เสือทศรู้ว่าจงใจต้องไปดูแลสมรักษ์ก็ไม่พอใจ

จงใจเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตามใบหน้าและแขนของสมรักษ์เพื่อลดไข้ แววเดินเข้ามาดูแล้วเข้าใจ
“ท่าทางหนูจะชอบเขามากสินะ”
“มันไม่ผิดใช่ไหมคะ น้าแวว”
แววถอนใจ
“ไม่ผิดหรอก อีกอย่างเขาเป็นคนดี เป็นตำรวจ แต่เรานี่สิเป็นผู้ร้าย เป็นเสือ ชีวิตมันตรงกันข้ามกันสิ้นเชิง”
จงใจเศร้าขึ้นมาทันที
“พ่อเสือจะยอมไหมจ๊ะ”
“อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวของหมวดคนนี้เอง”
แววพูดเป็นนัยๆ จงใจไม่เข้าใจแต่อย่างน้อยก็ยังมีหวัง

เสือทศเตะข้าวของที่วางอยู่ใกล้ๆกระจุยกระจาย
“โธ่เว้ย...! เฮ้ย...จะเป็นอย่างนี้อีกนานมั้ยวะ”
เสือเรืองยุทันที
“ท่าทางจะเป็นอีกนานเลยแหละพี่...ก็มีคนคอยดูแลเป็นอย่างดีซะขนาดนั้นน่ะ”
เสือทศอารมณ์ไม่ดี
“เอ็งพูดถึงใครวะ”
“อ้าว ! ก็ใครล่ะพี่...ที่มันกำลังเป็นที่โจษจันกันไปทั้งชุมเสือเราตอนนี้น่ะ”
“ไอ้ผู้หมวดสมรักษ์”
เสือทศบีบแก้วสังกะสีที่ถืออยู่ในมือจนบุบบู้บี้ ก่อนจะปล่อยให้หล่นลงพื้น
“มันก็อยู่ที่นี่ได้อีกไม่นานหรอกวะ”
“ก็แล้วถ้ามันอยู่นาน...ล่ะ พี่”
“ข้านี่แหละจะเก็บมันซะเอง ไม่ปล่อยไว้ให้รกหูรกตาข้านานหรอกโว้ย”
เสือเรืองพอใจที่ยุลูกพี่ของมันได้เข้าเป้า เสือทศหยุดคิด
“ไอ้เรือง...เอ็งมานี่”
“พี่...มีอะไรจะให้ไปเก็บไปกวาดก็สั่งมาได้เลยจ๊ะพี่”
เสือทศกระซิบทันที

ประเดิมหอบเครื่องนอนเข้ามาในห้อง...
“เอ้า...นี่หมอนกับผ้าห่ม...ตามสบายนะ”
มะค่ามารับไปปูนอน กินรียังคงดูแลภราดรที่หลับอยู่ หันไปบอก
“ขอบใจนะ ประเดิม”
“ฉันต่างหากที่ต้องขอบใจกินรี ที่อุตส่าห์มาดูแลคุณหมอ”
กินรีหน้าสลด
“เพราะฉันเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้คุณหมอเป็นอย่างนี้ ท่าทางคุณระรินไม่พอใจฉันสินะ”
“โอ๊ย...อย่าไปถือสาแกเลย แกก็เป็นแบบนี้กับทุกคนนั่นแหละ คนไม่มีแม่และถูกตามใจมาตั้งแต่เล็ก”
กินรีแปลกใจ
“แล้วแม่เขาไปไหนเสียล่ะ”
“เห็นว่าแม่ของเขาถูกโจรปล้นแล้วฉุดไปนะ...โอ๊ย...เรื่องนี้มันเกือบ 20 ปีแล้วมั้ง...”
“น่าสงสารคุณระรินนะ”
กินรีพูดอย่างจริงใจ
“ผมก็ว่าอย่างนั้น” ประเดิมเห็นด้วย

แม่หมอนั่งบริกรรมสวดมนต์อยู่ที่หน้าแท่นบูชา รูปปั้นชะเวโบมีเลือดที่มุมปาก
“พวกเจ้าไปถึงไหนกัน...ทำไมยังไม่กลับนะ”
แม่หมอลุกออกมานอกห้อง แล้วต้องตกใจเพราะจ่าชิตยืนอยู่
“เฮ้ย...จ่าชิต...ข้าตกใจหมดเลย”
จ่าชิตจ้องหน้าแม่หมอตาเขม็ง
“มีธุระอะไร...ถึงได้มามืดค่ำ”
“จะมาบอกว่ากินรีกับมะค่า ดูแลหมออู่ที่อนามัยคืนนี้คงไม่กลับ”
แม่หมอแปลกใจ
“ดูแลหมอ...หมอเป็นอะไร”
“เสือกัด...”
“เสือกัด...เสือที่ไหน” แม่หมอตกใจ
จ่าชิตมองอย่างสงสัย
“พะอูมาหรือยัง”
“ยัง...ถามถึงมันทำไม”
“ไม่มีอะไร”
จ่าชิตเดินออกไป แม่หมอมองตามอย่างกังวล

จ่าชิตนั่งดื่มเหล้าอยู่ในบ้าน เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เสือโคร่งจะขย้ำ แล้วพระธุดงค์ก็ปรากฏกายขึ้นห้าม
‘ช้าก่อน...จงหยุดการทำปิตุฆาตเถิดโยม หากโยมทำอนันตริยกรรมลงไปแล้ว โยมนั่นแหละจะเดือดร้อน เพราะการ ทำบาปที่ใหญ่หลวงที่สุดนั้น ต้องตกมหาอเวจีนรก ชั่วกัปชั่วกัลป์’
“ปิตุฆาต รึ...” จ่าชิตคิดๆแล้วกระดกเหล้าลงคออีก

อ่านต่อเวลา 17.00น.

อองไชยนั่งดื่มบรั่นดีดับกระหายหลังจากที่ได้ปะทะกับงะดินเด ที่ห้องรับรองบ้านเสี่ยรงค์ เขาดื่มรวดเดียวหมดแก้ว เสี่ยรงค์เดินเข้ามาหาแล้วรินให้อีก
“เหล้าดีนี่” อองไชยชม
“ฉันสั่งมาจากเมืองนอก ท่าทางท่านจะเหนื่อยสินะ ทำไมไอ้เสือตัวนี้มันร้ายขนาดท่านยังเอาไม่อยู่เชียวรึ”
อองไชยดื่มเหล้าอีก แววตาเข้ม
“เปล่า...แต่มันมีคนควบคุมมัน”
“เสือสมิงควบคุมได้ด้วยหรือ”
“เรื่องนี้ข้าไม่เคยได้ยิน รู้เพียงว่าเสือสมิงมีพลังและอำนาจจิตที่ใช้ควบคุมตัวเอง จะเปลี่ยนร่างกายเมื่อไหร่ก็ได้แต่นี่...”
“แสดงว่าท่านไม่สามารถจะปราบมันได้”
อองไชยมองหน้าเสี่ยรงค์อย่างไม่พอใจ
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก...แต่ถึงยังไงมันก็ทำอะไรข้าไม่ได้ตราบใดที่ข้ายังมีไอ้นี่”
อองไชยล้วงดาบเล่มเล็กที่ห้อยคออยู่
“อะไร”
“ดาบจำลองของกษัตริย์บาเยงโบแห่งพุกาม”
ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อ ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอด
“ระรินมาแล้วสิ”
เบิ้มขับรถมาจอดหน้าบ้าน ระรินลงจากรถอย่างกระฟัดกระเฟียดเดินขึ้นบ้านพร้อมบ่นมาตลอดทาง
“จะมาเป็นอะไรกันตอนนี้ก็ไม่รู้ ป่านนี้นังกินรีคงทำเสน่ห์ใส่หมอไปแล้วก็ไม่รู้ พ่อนะพ่อ”
ระรินเดินบ่นมาถึงในบ้าน เสี่ยรงค์ต่อว่าลูกสาว
“กว่าจะกลับมาได้...”
“อ้าว...ไหนบอกว่าพ่อหัวใจกำเริบ...ไหงยังมานั่งกินเหล้าอยู่ได้ล่ะ...พ่อนะพ่อ”
“ถ้าไม่ใช้ไม้นี้ลูกจะกลับหรือ”
อองไชยมองระรินอย่างพินิจสายตาโลมเลีย ระรินรู้สึกตัวว่าถูกมอง
“ลูกจะอยู่เฝ้าไข้หมอภราดรเสียหน่อย ไม่รู้ป่านนี่นังกินรีทำอะไรหมอไปบ้าง คอยดูนะพรุ่งนี้จะไปเฉ่งมันแต่เช้าเลย”
อองไชยเตือนระริน เขาเห็นบางอย่างในตัวกินรีมาแล้ว
“ข้าว่า คุณหนูอย่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนี้ดีกว่า”
“ทำไม”
ระรินแววตากร้าวมองหน้า อองไชยเฉยแล้วพูดเปรยๆ
“นางไม่ใช่คนธรรมดา”
ระรินนึกได้และคิดเช่นเดียวกับอองไชยแต่ยังเข้าข้างตัวเอง
“ไม่รู้ล่ะ...หมอภราดรต้องเป็นของฉัน”
ขาดคำระรินก็เดินเข้าไปข้างใน เสี่ยรงค์มองตามแล้วหันมามองดาบที่คออองไชย
“มานี่สิ ฉันจะให้ดูอะไร”
ออไชยมองหน้าเสี่ยรงค์อย่างสงสัย

เสี่ยรงค์พาอองไชยมาที่ห้องเก็บของโบราณ เอารูปปั้นไม้แกะสลักของบาเยงโบที่เขาซื้อเอาไว้แต่ไม่รู้ว่าเป็นรูปปั้นอะไรมาให้อองไชยดู
“ท่านรู้จักรูปปั้นนี้ไหม”
“บาเยงโบ กษัตริย์แห่งพุกาม ท่านได้มาจากไหน”
“พ่อค้าของเก่าชาวพม่าเอามาขายให้ข้า”
อองไชยพินิจดูรูปปั้นแล้วเห็นว่าที่มือข้างซ้าย เหมือนกับว่าถืออะไรอยู่แต่มันถูกดึงออกไป
“มีมือนี่...”
“ใช่...ข้าสงสัยว่ารูปปั้นนี้จะต้องทรงดาบเอาไว้”
เสี่ยรงค์มองหน้าอองไชยและมองที่ดาบ อองไชยเข้าใจถอดเอาดาบออกมาแล้วลองสวมเข้าไปในมือซ้ายของรูปปั้นซึ่งดาบสอดเข้าไปได้อย่างพอดี อองไชยกับเสี่ยรงค์มองหน้ากันอย่างแปลกใจ ทันใดนั้นด้านนอกปรากฏฟ้าแลบฟ้าคะนองราวกับสิ่งอัศจรรย์กำลังจะเกิดขึ้น

ฟ้าร้องเสียงดังลั่น ก่อนจะผ่า เปรี้ยง...แม่หมอสะดุ้งตื่นตกใจมองไปรอบๆ
“อะไร...”
รูปปั้นชะเวมะรัตในห้องบูชา เรืองแสงขึ้น แม่หมอเห็นแสงลอดออกมาจึงเดินเข้าไปดู แล้วต้องทรุดลงกราบอย่างวิตก
“จะมีอาเพศอะไรอีกหรือนี่”

งะดินเดมองออกมานอกถ้ำ เห็นฟ้าคะนองเขารู้ได้ทันทีด้วยญาณ
“บาเยงโบกำลังจะคืนชีพแล้วรึ...ไม่มีทาง...ต่อให้เจ้ามีอีก 10 ชีวิตก็ไม่มีทางโค่นข้าได้”
คนรูสองผัวเมียหมอบอยู่ไม่ห่างและในมุมมืดมีเสือสมิงนอนหมอบอยู่ งะดินเดครุ่นคิด
“ข้าต้องแข็งแกร่งกว่านี้...พวกเจ้า...”
คนรูตัวผู้หมอบคลานมาหา
“มีอะไรบัญชามาได้เลยนายท่าน”
“พวกเจ้าเร่งไปหาหัวใจมนุษย์มาให้มากที่สุดข้าต้องการเพิ่มพลังให้มาดที่สุด เตรียมรับมือกับมัน...”
คนรูรนรานออกไปอย่างรวดเร็ว เสือสมิงคำรามน่ากลัว งะดินเดหันไปมองแววตาเข้ม
“กลับไปได้แล้ว...ชะเวโบ...และอย่าลืมว่าเจ้าเองก็ต้องกินหัวใจมนุษย์เหมือนกัน”
เสือสมิงคำรามแล้วทะยานออกไปทันที งะดินเดมองตามอย่างมีความหวังที่จะได้แก้แค้น

ฟ้าคะนอง ลมพัดกรรโชกทำให้หน้าต่างอนามัยปิดเข้ามาด้วยแรงลมปังใหญ่ กินรีสะดุ้งตื่นแล้วรีบลุกไปปิดหน้าต่าง
“อยู่ดีๆมีพายุได้ยังไง...”
กินรีถอนหายใจมองไปที่มะค่าที่ยังหลับสนิท แล้วมองไปที่เตียงภราดรเห็นว่าเขานอนหลับอยู่หน้าตาอิ่มเอิบขึ้น เธอเดินเข้าไปมองหน้าเขาอย่าชื่นชม
“ทำไมกินรีถึงรู้สึกรักคุณหมอตั้งแต่แรกเห็น...ทำไมรู้สึกเหมือนว่าเราผูกพันกันมานานคะ”
แม้ว่าภราดรจะหลับ แต่กินรีก็รู้สึกได้ว่าตาของเธอได้ประสานกับตาของเขา

เสือสมิง ตอนที่ 7 (ต่อ)

ในอดีต...เมื่อ 800 ปีที่ผ่านมา บาเยงโบนอนหลับสนิทอยู่ในห้องบรรทม หลังจากได้รับการรักษา ที่หัวนอนมีหน้ากากทองของแม่ผีฟ้าวางอยู่ ชะเวมะรัต นอนอยู่ไม่ห่างเขา นางสนมสองคนนอนหลับเฝ้าดูอาการอยู่ห่างออกไป บาเยงโบเริ่มรู้สึกตัวและงัวเงียขอน้ำดื่ม
“ใครอยู่แถวนี้ขอน้ำให้ข้าด้วย”
ชะเวมะรัตสะดุ้งตื่นทันที แล้วรีบมาหาเขา
“พ่ออยู่หัว...ฟื้นแล้วหรือ พ่ออยู่หัวปรารถนาสิ่งใด”
“ชะเวมะรัต...เรากระหาย อยากได้น้ำ”
นางสนมตื่นขึ้นพร้อมกัน ชะเวมะรัตหันไปสั่ง
“ได้ยินแล้วหรือไม่ พวกเจ้ารีบไปนำน้ำมหานที ที่ข้ากลั่นเอาไว้มาให้พ่ออยู่หัวดื่มบัดเดี๋ยวนี้”
บาเยงโบเริ่มมีสติขึ้นแล้วมองไปรอบๆ พร้อมชันตัวลุกขึ้น ชะเวมะรัตเข้าประคอง
“นี่ข้ายังไม่ตายหรือ”
“ยังไม่ตายแต่ก็เกือบไปเพคะ”
“เจ้ามีความหมายอันใดรึ”
บาเยงโบมองหน้าชะเวมะรัต แล้วมองเห็นหน้ากากทองที่แม่ผีฟ้าให้มา
“แม่ผีฟ้า”
“พ่ออยู่หัวอาการไม่ดีขึ้น หมอหลวงก็หาได้มีปัญญารักษาต่อไป ข้าเลยต้องไปขอร้องแม่ผีฟ้า”
บาเยงโบแปลกใจมาก
“เป็นไปได้เยี่ยงไรที่แม่ผีฟ้าจะ...”
“เป็นไปได้เพราะเงื่อนไขบางอย่าง”
ชะเวมะรัตมองไปที่หน้ากากทองก่อนจะเล่า
“นับบัดนี้จนต่อไปเบื้องหน้า ข้าคือแม่ผีฟ้าหน้าทองคนต่อไป”
บาเยงโยแปลกใจ ทันใดนั้นมีฟ้าแลบคะนองครืนเข้ามา

ฟ้ายังคะนองครืนคราง สายฟ้าแลบเป็นระยะ อิระวดีแต่งกลายมิดชิดด้วยผ้าคลุม เดินมาตามทางสู่บ้านของงะดินเด มีนางกำนัลที่เป็นองครักษ์เดินประกบมาสองคน เมื่อถึงบ้านงะดินเด อิระวดีสั่งให้นางกำนัลรออยู่ข้างล่าง
“เจ้าสองคนรออยู่ตรงนี้”
นางกำนัลทำตามคำสั่ง อิระวดีเดินขึ้นบ้านงะดินเด ตรงไปเคาะประตูห้องอย่างเร่งด่วนร้อนใจ
“ท่านมหาราชครู ท่านมหาราชครู”
งะดินเดนอนหลับตาอยู่ในอ่างน้ำว่าน เขาลืมตาขึ้นโพลง...อิระวดีกำลังจะเรียกต่อ งะดินเดเปิดประตูออกมา
“มีเหตุร้อนรนอันรึพระสนม”
“พ่อยู่หัวฟื้นแล้ว”
งะดินเดตระหนก แต่แววตายังเข้ม
“เข้ามาก่อน”
อิระวดีเข้าห้องงะดินเดไป ชะเวโบผ่านมาและมองเห็นแต่ไกล เขาชะงักสงสัย

บาเยงโบดื่มน้ำมหานทีที่ชเวมะรัตกลั่น ทันทีที่ดื่มเสร็จร่างกายของเขาดูมีราศีขึ้น
“ข้าขอบใจเจ้ามากนะ ชะเวมะรัตที่ยอมเสียสละเพื่อข้า”
“หม่อมฉันหาได้เสียสละเพื่อพระองค์อย่างเดียวไม่ หากแต่เพื่อความสงบสุขและ ความเป็นอยู่ที่ดีของอาณาประชาราษฎร์ทุกตัวคน สิ้นพ่ออยู่หัวไปจะหาความสงบสุขร่มเย็นเยี่ยงนี้ได้เช่นไร”
บาเยงโบดึงชะเวมะรัตเขามาซบที่ไหล่ ในใจรู้สึกชื่นชม แต่แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ที่โดนรอบสังหาร
“ข้าแปลกใจนัก เหตุใดศัตรูถึงลอบสังหารข้าได้ และเหตุใด น้ำว่านมหาพิพัฒน์ของท่านมหาราชครูจึงหาได้มีอาคมปกป้องตัวข้า”
ชเวมะรัตหนักใจ แล้วนึกถึงงะดินเดแต่ไม่ได้พูดอะไร

งะดินเดครุ่นคิดหาทางออก ขณะที่อิระวดีกังวลมาก
“ถ้าพ่ออยู่หัวรู้ว่าท่านจงใจทำเครื่องหมาย ตอนอาบน้ำว่านและมีส่วนในการลอบสังหารล่ะก็...โทษถึงประหาร 7 ชั่วโคตรทีเดียว”
งะดินเดไม่หวั่น
“ไม่ต้องมาย้ำหรอก ตระกูลของข้าเป็นผู้ร่วมร่างกฎมณเทียรบาลนี้ข้ารู้ดี”
“แต่ท่านยังเฉย”
อิระวดีลูบไล้ไปตามร่างกายของงะดินเด อย่างยั่วยวน
“ข้าไม่ได้เฉยข้ากำลังเตรียมรับมือ”
“เช่นนั้นหรือ...”
“ท่านนี่เก่งจริงๆ...มักหาทางออกได้เสมอ”
งะดินเดปัดป้อง เมื่อนางเข้ามาคลอเคลีย
“วันนี้ไม่...ข้าต้องบำเพ็ญศีล...”
ชะเวโบแอบฟังอยู่ข้างห้องได้ยินทั้งคู่คุยกันอย่างชัดเจน เขาตระหนกอย่างมาก อิระวดีเปิดประตูออกมา งะดินเดออกมายืนส่ง
“ขอให้ท่านโชคดี”

งะดินเดไม่ได้นอนทั้งคืน เขานั่งอยู่ในอ่างน้ำว่าน พระอาทิตย์ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เขารู้ได้ว่าเป็นวันใหม่แล้ว งะดินเดลุกขึ้นแล้วเดินมาเปิดประตูออกมานอกห้อง จังหวะเดียวกับชะเวโบหอบเสื้อผ้าเพื่อเตรียมเดินทางไกลผ่านมา
“เจ้าจะไปไหนรึ...ชะเวโบ” งะดินเดเรียกไว้
ชะเวโบสะดุ้งปากสั่น
“ท่านพ่อ”
“ท่าทางจะเดินทางไกล...”
ชะเวโบตัดสินใจบอก
“ใช่...ข้าจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว ข้าได้ยินพระสนมคุยกับท่านพ่อเมื่อคืนนี้ พ่ออยู่หัวฟื้นแล้ว หาได้สวรรคตตามที่ท่านพ่อคาดการณ์”
งะดินเดหน้านิ่ง ไม่กังวลแต่อย่างใด
“แล้วยังไง”
“ข้าจะไม่อยู่รอให้พ่ออยู่หัว กุดหัวข้าหรอก”
งะดินเดดึงคอเสื้อของลูกชายเข้ามา
“เจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“ไม่...ข้าไม่ยอมนั่งรอความตายหรอก”
งะดินเดโกรธ ตบหน้าลูกชายจนคว่ำลงไป
“ไอ้ขี้ขลาด”
“ท่านพ่อ...” ชะเวโบมองพ่อไม่เข้าใจ
“เจ้าต้องนิ่งและใจเย็นๆ ข้าไม่ปล่อยให้ตระกูลของเราเป็นอะไรหรอก”
ชะเวโบลุกขึ้นโวยวาย
“ข้าไม่มีวิชาอาคมแบบท่านพ่อนี่ จะได้รู้หลบรู้สู้”
งะดินเดมองหน้าลูกชายแล้วตัดสินใจ
“ข้าจะถ่ายทอดวิชา ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลของเราให้เจ้า”
ชะเวโบดีใจทันที
“จริงหรือท่านพ่อ”
“จริงสิลูกรัก...เจ้าต้องไม่หนี เจ้าต้องสู้ บัลลังก์หาได้ไกลเกินเอื้อมไม่”
ชะเวโบรู้สึกเข้มแข็งและมีกำลังใจขึ้นมา

บาเยงโบนั่งบัลลังก์ว่าราชการในท้องพระโรง ชะเวมะรัตและอิระวดีนั่งซ้ายขวา เบื้อล่างงะดินเด ชะเวโบ และเหล่าเสนาบดีต่างๆกำลังถวายบังคม
“ขอให้พ่ออยู่หัวจงทรงพระเจริญ”
บาเยงโบยิ้มรับ งะดินเดในฐานะมหาราชครูแสดงความยินดีแต่มีความระแวง
“ของแสดงความยินดีต่อพ่ออยู่หัว ที่ทรงมีพระพลามัยแข็งแรงหายจากการบาดเจ็บ” มหาอำมาตย์กราบทูล
“ขอบใจทุกคนที่เป็นห่วงเรา บัดนี้หัวเมืองน้อยใหญ่อันเป็นประเทศราชต่างยอมสยบแก่พุกามสิ้น บ้านเมืองของเราคงจะสงบสุขไปอีกนาน แต่นั่นก็หาได้ประมาท จงเตรียมพร้อมการศึกให้มั่นตลอดเวลา”
ทุกคนน้อมรับ
“พระพุทธเจ้าข้า”
มหาอำมาตย์สงสัย
“ข้าพระพุทธเจ้าแปลกใจจริงว่าเหตุใดอาคมของน้ำว่านมหาพิพัฒน์ ใยจึงหมดความศักดิ์สิทธิ์”
งะดินเดสะดุ้ง แต่ก็นิ่งฟัง
“นั่นสิ...เรื่องนี้ข้าเองก็สงสัยอยู่เช่นกัน เห็นทีจะขอให้ท่านมหาราชครูช่วยอธิบายด้วย”
งะดินเดพยายามหาทางออก
“เอ่อ...ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่า มันน่าจะมีอาเพศอะไรบางอย่างอาคมถึงไม่ได้ผล อาจเกี่ยวข้องกับดวงเมืองก็เป็นได้”
บาเยงโบหัวเราะแล้วเหน็บแนม
“มันอาจจะเป็นเพราะข้าแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการก็เป็นได้ ดวงเมืองมันจึงคลาดเคลื่อน หรือไม่ก็อาคมของท่านที่ว่าขมังนักหนาอาจเริ่มเสื่อมลง”
งะดินเดเหมือนถูกตบหน้า ทุกคนในท้องพระโรงต่างอื้ออึง งะดินเดจำต้องแบ่งรับแบ่งสู้แม้จะอาฆาต
“อาจเป็นเยี่ยงนั้น”
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะดำเนินการอะไรต่อ มีประกาศจากมหาดเล็กหลวงมาจากด้านหน้า
“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นกล้าพ้นกระหม่อม เจ้าเมาะลำเลิงเมืองประเทศราชขอเข้าเฝ้าถวายบรรณาการพระพุทธเจ้าข้า”
ทุกคนนิ่งและรอรับเจ้าเมือง เจ้าเมาะลำเลิงเข้ามาพร้อมข้าราชบริพารถือสิ่งของบางอย่างมาถวาย
“ถวายบังคมพ่ออยู่หัวบาเยงโบ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”
“ยังไม่ถึงเพลาส่งเครื่องบรรณาการ เหตุใดพระน้องจึงเร่งเร้าจัดเครื่องราชมาเยี่ยงนี้ อีกทั้งเสด็จมาด้วยตัวเองมันมิแปลกไปหน่อยรึ” บาเยงโบแปลกใจ
เจ้าเมาะลำเลิงอธิบาย
“พ่ออยู่หัวอย่าได้ตีความเป็นอื่น ข้าพระพุทธเจ้าเสด็จมาด้วยการ 2 ประการ ด้วยสิ่งแรกตั้งใจจะมาแสดงความปิติยินดีที่พ่ออยู่หัวชนะศึก ประการที่สองข้าพระพุทธเจ้ามีสิ่งของสำคัญมาทูลเกล้าถวายที่จำเป็นต้องเดินทางควบคุมมาด้วยตนเองพระพุทธเจ้าข้า”
เจ้าเมาะลำเลิงเพยิดหน้าให้ข้าราชบริพาร หยิบเอากล่องใบขนาดย่อมออกมาวางข้างหน้าแล้วเปิดออก เป็นก้อนเหล็กไหลที่มีลำแสงวนไปโดยรอบตลอดเวลา ทุกคนมองด้วยความประหลาดใจ บาเยงโบตาวาว
“เหล็กไหล”
งะดินเดจ้องเหล็กไหลตาไม่กระพริบ เจ้าเมาะลำเลิงหันมาทูล
“เหล็กไหลก้อนนี้เป็นเหล็กไหลบริสุทธิ์ เหมาะสำหรับจอมกษัตริย์ผู้เกรียงไกร เห็นว่าพ่ออยู่หัวยังขาดเหล็กไหลอันเป็นมวลสาระสำคัญในการสร้างดาบอาญาสิทธิ์เล่มใหม่ ข้าพระพุทธเจ้าจึงนำมาถวายพระพุทธเจ้าข้า”
บาเยงโบรู้สึกยินดี
“ขอบใจน้องเรามาก...เดินทางมาไกลขอเชิญน้องเราและเหล่าข้าราชบริพารพักผ่อนดื่มกินให้สบาย เราจัดเครื่องบรรณาการตอบรับอย่างสมเกียรติ...” บาเยงโบหันไปสั่ง “พระยาราม ท่านจงจัดหาที่พักอาหารรับรองพระน้องเราอย่างสมเกียรติ”
เจ้าเมาะลำเลิงน้อมรับ
“ขอบพระทัย พ่ออยู่หัวบาเยงโบ”
พระยารามนำเจ้าเมาะลำเลิงกับข้าราชบริพารออกไป บาเยงโบมองกล่องเหล็กไหลอย่างพอใจแล้วบอกงะดินเด
“คราวนี้ดาบของข้าคงจะเสร็จซักทีนะ”
“ข้าพระพุทธเจ้าจะทำพิธีชุบดาบในราตรีนี้”
“ดี...ข้าจะไปชมด้วยตัวข้าเอง”
งะดินเดรับคำแววตาริษยาจ้องมองเหล็กไหลตาไม่กระพริบ

งะดินเดกับชเวโบนั่งเสลี่ยงมาคู่กัน ตามหลังด้วยพระรามราชมนู ที่นำเอาเหล็กไหลตามมา
“พ่ออยู่หัวหักหน้าท่านพ่อชัดๆ หวังจะให้ท่านพ่อเป็นตัวตลกในท้องพระโรง” ชะเวโบบ่นอย่างไม่พอใจ
“ปล่อยมันไปก่อน บาเยงโบไม่คุ้ยเรื่องน้ำมหาว่านพิพัฒน์ต่อไปอีกก็ดีอยู่แล้ว”
ชะเวโบร้อนรน
“ท่านพ่อจะทำเยี่ยงใดต่อไป”
“ตอนนี้ปล่อยไปก่อน ข้าคงต้องรีบตีดาบเล่มนี้”
“น่าเสียดายที่ดาบดีๆต้องตกเป็นของคนอื่น”
งะดินเดบอกอย่างมั่นใจ
“เมื่อข้าครองบัลลังก์ มันก็จะเป็นของข้าทันที”
“แล้วเรื่องวิชาของข้าล่ะ”
“อีกสามราตรีจะเป็นคืนที่ไร้พระจันทร์ ถึงวันนั้นเจ้าจะได้รับการถ่ายทอดทันที”
ชะเวโบยิ้มอย่างพอใจ

บาเยงโบเดินเล่นมากับชะเวมะรัตตามเขตพระราชฐาน อย่างอารมณ์ดี
“ดูพ่ออยู่หัวอารมณ์ดีเป็นพิเศษ” ชะเวมะรัตพลอยดีใจไปด้วย
“แน่นอน...ข้ารอดาบเล่มนี้มานานมาก ราตรีนี้มันจะกวัดแกว่งในมือข้าแล้ว มันจะเป็นดาบคู่ราชบัลลังก์ของข้าตลอดไป”
“คิดว่าเป็นหม่อมฉันเสียอีก...ที่แท้ก็เป็นดาบ”
“เจ้านี่ช่างเหน็บแนมจริงๆ”
หัวหน้าองครักษ์เดินเข้ามาแล้วถวายบังคม บาเยงโบเดินห่างออกไปจากชะเวมะรัต
“พ่ออยู่หัวมีพระประสงค์อันใด” หัวหน้าองครักษ์ทูลถาม
“สอดแนมงะดินเดตลอดเพลา”
“พระพุทธเจ้าข้า”
หัวหน้าราชองครักษ์รับคำแล้วออกไป บาเยงโบเดินไปหาชะเวมะรัตด้วยท่าทางปกติ
“เจ้าหิวหรือยัง”
“เรื่องพ่อของหม่อมฉันใช่ไหมเพคะ”
บาเยงโบหนักใจ
“มเหสีข้าช่างหลักแหลมเสียจริง....ข้าจำเป็น”
“หม่อมฉันหาได้ตำหนิพ่ออยู่หัว หม่อมฉันรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร และยินดีสละชีพเพื่อรักษาราชบัลลังก์”
บาเยงโบดึงชะเวมะรัตมากอดแล้วปลอบใจ
“เจ้าจะต้องอยู่เคียงข้างข้าไปชั่วชีวิต”

ชะเวมะรัตยิ้มแต่ในใจรู้ดี นางคงไม่มีโอกาสนั้น

อิระวดีนั่งให้นางกำนัลพอกใบหน้าให้ นางกำนัลถามอย่างกังวล
“พระสนมคิดว่าพ่ออยู่หัวจะสงสัยท่านงะดินเดไหม”
“พ่ออยู่หัวเป็นคนฉลาดเรื่องแค่นี้หาได้ผ่านพระปัญญาไปได้”
“แล้วพระสนมจะทำเยี่ยงไร”
“ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ถ้างะดินเดพลาดท่าข้าก็จะสุมไฟให้เขาเอง”
อิระวดียิ้มอย่างมีแผน

งะดินเดเข้ามาในห้องบูชา แล้วเปิดกล่องไม้ที่หน้าหิ้งออกมาเป็นดาบที่สวยงามเล่มหนึ่ง แต่ยังไม่มีสง่าเพราะยังไม่ผ่านพิธี เขาได้นำดาบมาที่ลานพิธีกรรม บาเยงโบนั่งอยู่ในปรัมพิธี ข้างๆมีชะเวมะรัตและอิระวดีนั่งอยู่ด้วย เหล่ามหาอำมาตย์ เจ้าเมาะลำเลิงและข้าราชบริพารรายล้อม ชะเวโบอยู่ริมสุด
งะดินเดกวัดแก่งดาบทำพิธีพร้อมบริกรรมคาถา เกิดฟ้าคะนองเปรี้ยงปร้าง ทุกคนต่างมองอย่างอัศจรรย์ใจ งะดินเดหลับตาบริกรรมคาถาต่อไป บังเกิดแสงเรืองที่ดาบ เหล็กไหลที่อยู่ในพานวิ่งไปมามีลำแสงเรืองรอง
ทันใดนั้นดวงตางะดินเด ลืมขึ้นอย่างฉับพลับพร้อมชูดาบขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์...เหล็กไหลในพานวิ่งเป็นสายไปหาดาบแล้วหล่อหลอมรวมกัน เมื่อดาบเสร็จพิธีกรรมอย่างสมบูรณ์เรืองแสงดูมีสง่า บาเยงโบยิ้มอย่างพอใจ งะดินเดถือดาบเดินขึ้นมาถวาย จากนั้นมหาอำมาตย์เอาฝักดาบที่ทำเอาไว้มาถวาย บาเยงโบนำดาบมาสวมฝัก ปรากฏฟ้าร้องครืนคราง บาเยงโยยืนถือดาบด้วยมือซ้ายยืนอย่างสง่า

เสี่ยรงค์ฟังเรื่องราวที่อองไชยเล่าถึงบาเยงโบอย่างสนใจมาก
“ท่าทางกษัตริย์องค์นี้เกรียงไกรไม่เบา”
“บาเยงโบเป็นต้นแบบของกษัตริย์มอญทุกคน น่าเสียดายที่ต่อมามอญอ่อนแอเลยถูกพม่ากลืนชาติไป วิชาอาคมของมอญ จึงสูญหายไป ที่เหลืออยู่ก็น้อยเต็มที”
“ท่านว่าดาบเล่มนี้จะมีของจริงไหม”
“ข้าเชื่อว่ามันมีจริง แต่มันอาจจะสูญหาย หรือมีนายทุนฝรั่งซื้อไปแล้ว...”
อองไชยหยุดคู่หนึ่งแล้วพูดอย่างไม่มั่นใจ
“ท่านเชื่อเรื่องหลุมฝังศพของกษัตริย์บาเยงโบไหม...บางทีมันอาจะถูกฝังไปพร้อมกับท่านก็ได้”
“ข้าเชื่อ แต่มีคนบอกว่ามันเป็นแค่ตำนาน แต่คนค้าวัตถุโบราณบางคนก็บอกว่ามันมีอยู่ในดินแดนที่ไปไม่ถึง ในนั้นเต็มไปด้วยสมบัติมากมาย”
“ดาบเล่มนั้นมีค่ามากกว่าสมบัติใดๆทั้งหมด”
เสี่ยรงค์เชื่อในสิ่งที่อองไชยบอก

ค่ำนั้น กระท่อมกลางไร่ข้าวโพด ดับไฟสนิท พ่อ แม่ ลูกสองคน นอนหลับอยู่ ด้านนอกกระท่อมมีบางสิ่งเคลื่อนที่เร็วมาตามต้นข้าวโพดแล้วมาหยุดดูอยู่ที่หน้ากระท่อมที่แท้เป็นคนรูสองผัวเมียนั่นเอง
“เราออกจากป่ามาไกลมากแล้วนะ เราไม่เคยออกมาไกลขนาดนี้เลย” คนรูตัวเมียท่าทางหวั่นๆ
“มันจำเป็น รีบจัดการเถอะทำให้เร็วที่สุด จะได้รีบไป”
คนรูทั้งสองคนเคลื่อนที่เร็วเข้าไปในกระท่อมทันที เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงขบกัด เสียงกระแทกต่างๆดังออกมาจากกระท่อม...ไม่นานนักคนรูทั้งสองตัวก็ออกมา ในมือมีหัวใจคนละสองดวงแววตากร้าวน่ากลัว ปากเต็มไปด้วยเลือดสดๆ ร้อง ด้วยความน่ากลัวแล้วพุ่งออกไปในความมืด

เช้าวันใหม่...ภราดรตื่นขึ้นมาท่าทางสดชื่นขึ้น แต่ยังเจ็บแผล เขามองไปรอบๆรู้ว่าอยู่ที่ห้องพยาบาลในอนามัย กินรีกับมะค่าเดินถือข้าวต้ม ปลาแห้ง กับผักกระป๋อง เข้ามา
“ตื่นแล้วหรือคะ”
ภราดรดีใจที่ตื่นมาแล้วพบกับกินรีเป็นคนแรก
“ครับ...ดีใจจังที่ลืมตามาแล้วเห็นคุณเป็นคนแรก”
กินรียิ้มให้
“ทานข้าวต้มก่อนเถอะค่ะ จะได้มีแรง”
“ได้ครับไปเอามาจากไหนครับเนี่ย”
“เห็นในครัวมีของพวกนี้อยู่ก็เลยถือวิสาสะทำมาให้ค่ะ”
มะค่ายกข้าวต้มไปวางให้ที่ข้างๆเขา
“ยังร้อนอยู่เลย”
ประเดิมเดินเข้ามาพร้อมอาหารในปิ่นโตเหมือนกัน เขาทักอย่างอารมณ์ดี
“สงสัยผมคงจะมาช้าไป...โดนข้าวต้มของกินรีตัดหน้าไปซะแล้ว” ประเดิมวางปิ่นโตแล้วเข้าไปหาภราดร “เป็นยังไงบ้างครับหมอ”
“ก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังเจ็บแขนอยู่เลย”
“ทานข้าวต้มก่อนนะคะหมอ เดี๋ยวเย็นหมด”
ภราดรพยักหน้ารับคำพยายามชันตัวให้ลุกขึ้นแต่ไม่ไหว กินรีเข้าไปประคองช่วย มะค่าจะเข้าไปประเดิมแอบดึงแขนไว้แล้วบอกเบาๆ
“จะเข้าไปทำไม”
ภราดรลุกขึ้นได้แล้วพิงกับเตียง ประเดิมรีบชิงพูด
“ท่าทางหมอจะไม่ไหวจริงๆ แล้วจะกินข้าวยังไงล่ะ”
ประเดิมขยิบตาให้ ภราดรรับมุข
“เอ่อ...ใช่...ใช่...โอยยกแขนไม่ขึ้นเลย”
“กินรีป้อนข้าวต้มให้หมอหน่อยนะ ไป...มะค่าเราไปเอาอาหารมาใส่จานกัน”
ประเดิมสั่ง แล้วมะค่าดึงออกไป กินรีป้อนข้าวต้มให้ภราดรอย่างเขินๆ

แววตากพริกอยู่หน้าบ้าน สมรักษ์เดินออกมาเซนิดๆ
“ค่อยยังชั่วแล้วหรือคะ คุณ” แววหันไปเห็น
สมรักษ์เกรงใจ
“ครับคุณน้า...ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณหรอกครับ เรียกสมรักษ์เฉยๆก็ได้”
แววชอบความมีสัมมาคารวะของสมรักษ์
“คุณนี่ดูไม่เหมือนตำรวจเลยนะ”
“ทำไมหรือครับ ผมหล่อไปหรือ”
แววขำ
“ไม่ถือตัว ไม่วางมาด ไม่อวดอำนาจ”
“ผมเป็นลูกจ้างประชาชนครับ ทำงานให้ประชาชนครับ...เรื่องแก้ว...ผมขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้แก้วต้องบาดเจ็บ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ...แก้วมันไม่เป็นอะไรแล้ว เดี๋ยวมันก็คงจะฟื้น หมวดไม่ต้องกังวลหรอก”

สมรักษ์พยักหน้ารับ จงใจเดินเข้ามาหอบเอากล้วย ส้ม ฝรั่ง มะม่วงสุก มาเต็มกระจาดไม้ไผ่ แววตากพริกออกไปห่างๆปล่อยให้ทั้งคู่คุยกัน
“ทำไมออกมาตากลมอยู่ตรงนี้ล่ะคุณ เดี๋ยวไข้ก็กลับมาอีกหรอก”
สมรักษ์หันมองจงใจ ด้วยท่าทางสบายใจ
“ผมอยากออกมายืดเส้นยืดสายมั่ง นอนซมอยู่ก็ตั้งหลายวันแล้ว”
จงใจยิ้ม วางกระจาดผลไม้ลง
“ฉันเห็นผลไม้พวกนี้มันสุก น่ากินดีแล้ว ก็เลยเก็บเอามาฝากน่ะ”
สมรักษ์มองผลไม้งามๆพวกนั้นอย่างสงสัย
“เก็บมาฝาก...ที่นี่ท่าทางอุดมสมบูรณ์ไม่ใช่เล่น”
“ไม่ใช่แค่ผลไม้พวกนี้หรอกนะ พืชไร่แล้วก็ผักสวนครัวอีกตั้งเยอะตั้งแยะที่พวกเราปลูกกินเอง แล้วส่วนที่เหลือก็ยังเก็บเอาไปขายฝั่งโน้นได้อีกด้วย”
จงใจชี้มือไปทางหนึ่ง สมรักษ์มองตามเห็นเป็นทิวเขาสูง สลับซับซ้อน นายตำรวจหนุ่มรู้สึกแปลกใจในเรื่องที่ได้ยิน ได้ฟัง
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ คุณไม่เชื่อที่ฉันพูดเหรอ” จงใจสังเกตเห็นอาการของเขา
“เปล่า เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น ผมเพียงแต่แปลกใจน่ะ”
จงใจขำๆ
“ทำไมต้องแปลกใจด้วยล่ะ มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่ ถ้าไม่ปลูกกินเอง แล้วจะทำไงได้ล่ะ”
สมรักษ์ยังไม่ทันได้ตอบโต้ แต่ท่าทางก็ยังมีอาการสงสัย
“อ๋อ...คุณคงคิดว่าเราปล้นเขากินซีนะ”
สมรักษ์ไม่ตอบ มองจงใจนิ่งอยู่อย่างนั้น
“แล้วฉันจะพาไปดูงานที่พวกเราทำกัน ลองชิมผลไม้พวกนี้ก่อนสิ”
ชายหนุ่มหยิบผลไม้ไปชิม หญิงสาวคอยดูอยู่แล้วพูดคุยกันอย่างมีความสุขก่อนจะเดินไปด้วยกัน แววกำลังตากพริกหันมามองๆ เสือใจเดินเข้ามาเห็นจงใจเดินไปกับสมรักษ์จะตามไป
“พี่ใจ”
แววส่ายหน้าช้าๆ เสือใจเข้าใจแล้วหยุด ได้แต่มองตามไป ด้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เสือเรืองกำลังส่องกล้องมองสมรักษ์อย่างปองร้าย

ประเดิมจัดสำรับข้าวอยู่ในห้องครัวของอนามัย มีมะค่าเป็นผู้ช่วย
“กับข้าวนี่น้าทำเองหรือ” มะค่าเห็นอาหารน่ากินจึงถามอย่างสงสัย
“เออสิ...ทำไมหรือ”
“เปล่า...นึกว่าเมียน้าทำให้”
ประเดิมถึงกับสะอึกแล้วพูดแบบกัดฟัน
“น้ายังโสดโว้ย...เอาใส่จานเร็วๆเข้า”
มะค่าอมยิ้ม เสียงรถยนต์ดังที่ด้านหน้า ประเดินรู้ทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“คุณระริน...ตายโหงแล้ว”
ประเดิมรีบชะโงกไปดูเห็นระรินรีบขึ้นมาแล้วตรงไปที่ห้องที่ภราดร
“ทำยังดีวะ...” ประเดิมคิดหนัก

กินรีป้อนข้าวต้มให้ภราดรเป็นคำสุดท้ายพอดี ระรินเข้ามาเห็นภาพบาดตาก็โวยวายลั่น
“นังกินรี ใครใช้ให้แกป้อนข้าวหมอ นั่นมันหน้าที่ฉัน”
“เอ่อ...ฉันไม่ทราบนี่คะ”
“แกนะแก...สาระแนไปได้ทุกเรื่อง ออกไป ฉันจะดูแลหมอเอง”
ภราดรทนไม่ไหว
“นี่คุณระริน มันจะมากไปแล้วนะ คุณไม่ได้มีหน้าที่มาป้อนข้าวป้อนน้ำผมสักหน่อย งานของคุณคือไปคอยรักษาคนไข้”
ระรินไม่ลดละ
“แต่ตอนนี้ยังไม่มีคนไข้นี่คะ...มาระรินจะเช็ดตัวให้”
กินรียืนนิ่ง ระรินตรงเข้ามา ทันใดนั้น ประเดิมอุ้มมะค่าที่ท่าทางอ่อนแรงและนอนสลบไสลอยู่ในอ้อมแขนของเขาเข้ามา
“แย่แล้วครับหมอ มะค่าเป็นอะไรก็ไม่รู้ อยู่ดีๆก็ล้มวูบหมดสติไป”
กินรีรีบวิ่งมาดู
“มะค่า...มะค่า...”
มะค่าไม่ได้สติ กินรีร้อนใจ
“ทำยังไงดีคะหมอ”
“เอาไปนอนที่เตียงห้องโน้นก่อน”
ภราดรทำท่าจะลุกแต่ไม่ไหวจริงๆ เขาเป็นห่วงมะค่าแล้วสั่งระริน
“คุณระริน”
ระรินจำใจต้องไปดูอาการของมะค่า ประเดิมส่งสายตาให้ ภราดรเข้าใจและโล่งใจ กินรีจะตามไปภราดรรั้งไว้
“คุณอยู่นี่แหละกินรี...ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้ มะค่าไม่เป็นอะไรหรอก มาเช็ดตัวให้ผมดีกว่า...เชื่อผมสิ...”
กินรีหันไปมองมะค่าที่ประเดิมอุ้มไปด้วยความเป็นห่วง แต่คราวนี้มะค่าหันมาสบตากินรีแล้วขยิบตายิ้มให้ กินรีจึงรู้ว่าเป็นแผน แล้วหันมามองภราดรยิ้มๆ
“สำคัญนักนะมะค่า”
ภราดรได้ยินแว่วๆ
“มีอะไรหรือครับ”
“อย่าบอกนะว่าหมอไม่รู้”
ภราดรยิ้มแบบสารภาพ กินรีหัวเราะออกมาอย่างขำๆ

แก้วรู้สึกตัวตื่นขึ้นพอดีกับที่แววเดินเข้ามาในบ้าน
“รู้สึกตัวแล้วหรือแก้ว” แววดีใจรีบเข้าไปหาลูกสาว
“นี่ฉันสลบไปนานเลยหรือแม่”
“ไม่หรอก สองวันเอง”
แก้วหายงัวเงียท่าทางดีขึ้น แล้วมองหาสมรักษ์
“หมวดล่ะแม่ หมวดไปไหน”
“หมวดแกฟื้นตั้งแต่เมื่อวาน นี่คงไปดูที่ไร่กับจงใจล่ะมั้ง”
แก้วผุดลุกขึ้นทันที แววตกใจ
“อ้าวแก้ว...เอ็งจะไปไหน”
“ฉันจะไปที่ไร่จ๊ะ”
“แต่เอ็งยังไม่หายดีนะ”
“ฉันหายแล้ว...ไปล่ะนะ”
แก้วผลุนผลันวิ่งออกไปอย่างคิดถึงสมรักษ์มาก แววมองตามแล้วจับความรู้สึกของลูกสาวได้แล้วรำพึง

“โธ่แก้วเอ๊ย...เอ็งก็รู้ว่าหมวดเขาชอบใคร”

เสือสมิง ตอนที่ 7 (ต่อ)

มะค่านอนอยู่บนเตียงพยาบาล ระรินรีบวัดความดัน แล้วตรวจการเต้นของหัวใจ
“โอ๊ย...เด็กเวรเอ๊ย...มาเป็นอะไรตอนนี้นะ...เอ...ก็ไม่มีอะไรนี่ ปกติดีทุกอย่าง”
ระรินก้มหน้าก้มตาตรวจต่อเพื่อให้แน่ใจ ประเดิมยืนอยู่ห่างไปเล็กน้อยอมยิ้ม มะค่าหลบหน้าระรินแล้วขยิบตาให้ประเดิม

กินรีเช็ดตัวให้ภราดรอย่างนุ่มนวล ชายหนุ่มสบายใจและอบอุ่น
“คุณน่าจะไปเป็นพยาบาลจัง”
“ทำไม่ล่ะคะ”
“มือเบาๆแบบนี้ฉีดยาคงไม่เจ็บ คนไข้ชอบ...ไหนดูสิ มือนุ่มหรือเปล่า”
ภราดรเอื้อมมือไปจับมือกินรีช้าๆ ทั้งเบาและนิ่มนวล หญิงสาวยอมให้จับแต่โดยดี ทั้งคู่สบตากันอย่างหวานซึ้งเริ่มมีความรักให้กัน

บริเวณทิวเขาสลับซับซ้อน ต้นไม้น้อยใหญ่ เขียวขจี มีหมอกบางๆปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณแปลงผักสวนครัวที่เรียงรายอยู่ตามไหล่เขา ชาวบ้านบางคนกำลังรดน้ำผัก บ้างก็ดูแลถอนหญ้าเล็กๆที่ไม่ต้องการทิ้งไป สมรักษ์กำลังเดินชมแปลงผัก โดยมีจงใจอยู่ใกล้ๆคอยให้คำอธิบาย
“เราปลูกผักสวนครัว และพืชไร่พวกนี้ไว้ตามไหล่เขา โดยการปลูกหมุนเวียน สลับสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละแปลง แต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ดินและรักษาธาตุอาหารในดินให้สมดุล แล้วพวกเราก็ยังจะได้เก็บผลผลิตพวกนี้ไปขายได้บ่อยๆอีกด้วยนะ”
จงใจอธิบายอย่างมีความสุข สมรักษ์กวาดตามองรอบๆตัวอย่างทึ่งๆ
“คุณจบเกษตรมาหรือ ท่าทางชำนาญจัง”
“เปล่า...แต่พวกเราเรียนรู้จากประสบการณ์และการทดลอง ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ ถ้าเราเข้าใจมัน เราก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข”
สมรักษ์มองจงใจแล้วคิดว่าไม่น่าจะมาเป็นลูกโจรเลย จงใจอธิบายต่อชี้ไปอีกทาหนึ่งไกลๆ
“ทางด้านโน้น เราก็ทำสวนสมุนไพรด้วย อย่างยาหม้อที่ช่วยลดไข้ รักษาอาการคุณจนหายเนี่ย...ก็ได้มาจากสวนสมุนไพรของเรานั่นแหละ ยังมีอีกนะเดี๋ยวคราวหน้า ฉันจะพาคุณไปที่ฟาร์มเลี้ยง สัตว์ของเรา”
สมรักษ์อึ้ง
“ยังมีเลี้ยงสัตว์อีกด้วยเหรอ”
“ใช่ เราเลี้ยงแกะ เป็ดเนื้อ แล้วก็โคเนื้อ ทั้งเลี้ยงไว้กินเอง แล้วก็เลี้ยงไว้ขายด้วย สัตว์เลี้ยงพวกเนี้ย ถือเป็นรายได้หลักของที่นี่เลยเชียวล่ะ”
จงใจกับสมรักษ์เดินผ่านมาถึงคนงานที่กำลังเก็บผัก เธอหยิบผักที่วางอยู่ในกระบุง ส่งให้เขา
“พ่อเสือน่ะ พยายามหาความรู้เรื่องการเลี้ยงสัตว์ แล้วก็การเพาะปลูกพืชพวกนี้ เพื่อให้คนในชุมชนของเรามีอาชีพ แล้วทุกคนก็จะได้เลี้ยงตัวเองได้”
จงใจมองหน้า สบตากับสมรักษ์อย่างจริงจัง
“ไม่เข้าใจเลยว่าเป็นเสือแต่ทำไมมาปลูกผักปลูกหญ้า”
“พ่อฉันเลิกปล้นมาหลายปีแล้ว เรื่องเก่าของพ่อ ฉันเองก็ตอบคุณไม่ได้หรอก สิ่งเดียวที่ฉันรู้ก็คือพ่อเสือของฉันเป็นคนดี มีน้ำใจ แล้วพ่อก็สั่งห้ามเด็ดขาด ไม่ให้ใครปล้นเขากินอีก”
สมรักษ์เหน็บแนม
“แต่ก็มีคนบางคนแหกกฎ”
จงใจรู้ดีว่าหมายถึงเสือทศ
“เรื่องพี่ทศ พ่อเสือกำลังจัดการอยู่ ไปทางโน้นดีกว่า”
สมรักษ์มองจงใจอย่างเอ็นดู ไม่พูดอะไรถึงเรื่องเสือใจอีก...ห่างออกไปแก้วยืนมองหน้าเศร้านิดๆและตัดสินใจไม่เข้าไปรบกวนจงใจกับสมรักษ์

เสือใจนั่งอยู่บนแคร่ไม้ที่ใต้ถุนบ้าน ข้างๆตัวมีอาวุธชนิดต่างๆวางรวมกันอยู่ เขากำลังเช็ดทำความสะอาดปืนยาว ปืนสั้น และอาวุธเหล่านั้น ใกล้ๆกันนั้นยังมีสมุนคู่ใจ เสือชิน เสือเข้ม เสือดำ นั่งเช็ดอาวุธอยู่ด้วย
“ข้าขอบอกพวกเอ็งทุกคนไว้ว่า เรื่องไอ้ตำรวจนั่น อย่าเพิ่งไปทำอะไรทั้งนั้น ห้ามใครไปวอแวหรือมีเรื่องกับเขา เข้าใจไหม ข้ารับปากนังแก้วมันแล้วไม่อยากเสียกับผีสางมัน”
สมุนทั้งสาม รับทราบเรียบร้อยแล้ว ก้มหน้าก้มตาทำงานที่อยู่ตรงหน้าต่อไป
“ไอ้นี่ก็ดูมันกล้าบ้าบิ่นดีเหมือนกันนะพี่ อุตส่าห์พาไอ้แก้วมาส่งถึงที่นี่” เสือชินพูดขึ้น
เสือดำเห็นด้วย
“ข้าก็...ก็ว่างั้นเหมือนกัน ใจมันเด็ด”
เสือเข้มหันมาหาเสือใจ
“พ่อเสือคิดว่ามันจะมาสอดแนมพวกเราหรือ”
เสือใจพูดไปด้วยขณะที่เล็งปืนผ่านลำกล้อง
“ข้าไม่ได้กลัวใครทั้งนั้น ต่อให้ตำรวจยกมาทั้งกรมข้าก็สู้ตาย แต่ข้าไม่อยากให้ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมันพูดได้ว่า คนอย่างเสือใจเก่งได้แต่คนที่ไม่มีทางสู้...”
พูดถึงเรื่องรังแกคน เสือใจจึงถามถึงเสือทศ
“นี่ไอ้ทศมันไปไหน”
เสือชินหันมาบอก
“เห็นนอนเล่นอยู่ที่บ้านจ้ะ”
“ใครเจอมันช่วยเอาคำพูดของข้าไปถ่ายทอดด้วย ถ้ามีการขัดคำสั่งอีกคราวนี้ล่ะ...มึง...”
หน้าของเสือใจฉายแววดุดัน เหี้ยมเกรียม แล้วยกปืนส่องเล็งเหนี่ยวไกเปล่าดังเชี๊ยะ...

เสือทศนั่งครุ่นคิดอยู่ที่บ้าน สักพักเข้าไปในบ้าน แล้วเปิดใต้แคร่เป็นช่องมีไม้ปิด เสือทศเปิดฝาออกเขาซ่อนเงินกับข้าวของมีค่าไว้มากมาย เขาหยิบเงินสดบางส่วนกับเครื่องประดับอีกนิดหน่อย ทันใดนั้นมีเสียงกอกแกรกที่หน้าบ้าน เขารีบรวบเงินและเครื่องประดับที่แอบปล้นมาได้ใส่กระเป๋าสะพายข้างแล้วรีบออกมาหน้าบ้าน เสือเรืองเดินมาพบกับเสือทศที่หน้าบ้านพอดี
“เป็นยังไงบ้างวะไอ้เรือง”
“มันอี๋อ๋อกันน่าดู ฉันนี้หมั่นไส้แทนพี่จริงๆ จะให้ฉันเก็บมันเลยดีไหม”
“ใจเย็น...ปล่อยมันไปก่อน” เสือทศห้าม
เสือเรืองสังเกตเห็นเสือทศเตรียมจะไปข้างนอก
“พี่ทศจะไปไหน”
“ไปทำธุรกิจ...”

เสือเรืองสงสัย เสือทศยิ้มๆอย่างมีแผน

คนงานที่ปางไม้ของเสี่ยรงค์มายืนรวมกันหน้าตาหวาดกลัว ต่างรวมกันจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องมีคนงานหายไปสองคน เสี่ยรงค์ อองไชย เบิ้ม และหัวหน้าคนงานดูที่เกิดเหตุแล้วสรุป
“ไอ้สมิงตัวนั้นแน่ๆ” อองไชยแค้นๆ
“ดูท่ามันไม่เกรงกลัวพวกเราเลย...จะเอายังไงดีท่านอองไชย”
“ข้าคงจะต้องหายามมาเฝ้าที่นี่แล้ว เย็นนี้ข้าจะกลับมา”
อองไชยเดินจากไป ทุกคนสงสัยว่าอองไชยจะพาใครมาเฝ้ายาม
“ใครจะกล้ามาวะ...งง” เบิ้มงงๆ
เสี่ยรงค์มองคนงานแล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ไปทำงานได้แล้ว...”
ทุกคนต่างรนรานไปด้วยความกลัว เสี่ยรงค์หันไปสั่งเบิ้ม
“ไหนไปดูข้างบนซิ”
“ครับ”
เบิ้มกับหัวหน้าคนงานเดินนำเสี่ยรงค์ไป

คนงานกำลังขนฝิ่นและผลิตเฮโลอีนกันอยู่อย่างแข็งขัน มีเฮโลอีบริสุทธิ์ บรรจุถุงเรียบร้อย วางอยู่บนโต๊ะสิบกว่าถุง เสี่ยรงค์เดินไปที่โต๊ะแล้วชิมดู เขายิ้มพอใจ
“ใช้ได้ แบบนี้มีเท่าไหร่ก็ขายไม่พอ มีแค่นี้หรือเบิ้ม”
“ครับ”
เสี่ยรงค์ไม่ค่อยพอใจ
“ทำอะไรกันอยู่นะ...หมดเวลาไปเป็นเดือนๆ ได้มาแค่นี้เอง...”
“โธ่เสี่ย...เรื่องผลิตน่ะพวกผมไม่กลัวหรอก แต่ไอ้วัตถุดิบนี่สิ มันไม่มีมาป้อนน่ะสิ”
“แกหมายถึงฝิ่นหรือ”
เบิ้มพยักหน้ารับ เสี่ยรงค์ครุ่นคิด

เสือทศนั่งดื่มเหล้ากับเสือเรืองในร้านน้ำชา ซึ่งมีอยู่ร้านเดียวกลางตลาดชายแดน ร้านนี้เป็นที่ชุมนุมของบรรดาพ่อค้าต่างเผ่าต่างภาษา ทุกคนจะเอาสินค้ามาขายและแลกเปลี่ยน
“ไหนว่าจะมาทำธุรกิจไง กลับมากินเหล้าซะงั้น”
“เอ็งเฉยๆไอ้เรือง เงินทองก้อนมหาศาลกำลังเดินทางมาหาเรา”
พ่อค้าชาวว้าแดงสองคนเข้ามาในร้านแล้วนั่งอีกโต๊ะพร้อมกับสั่งเหล้า
“เอาเหล้ามา...อาหารด้วย...”
เจ้าของร้านรับคำแล้วไปจัดมาให้ แต่ไม่ทันใจพ่อค้าชาวว้าแดง
“ได้หรือยังวะ...เดี๋ยวพังร้านซะเลย”
เสือทศลุกหิ้วเหล้าของตนเองไปตั้งที่โต๊ะของพ่อค้า
“ถ้ากระหายนักก็เอาของข้าก่อนก็ได้”
พ่อค้าว้าแดงสองคนมองเสือทศตาขวาง
“ข้าไม่รับของคนแปลกหน้า”
เสือทศยิ้มอย่างเป็นต่อ เสือเรืองลุกไปคุมเชิง เสือทศหยิบเอาเครื่องประดับทองคำและเพชรพลอยออมากำมือหนึ่งแล้วโยนลงกลางโต๊ะ
“แล้วไอ้นี่ล่ะ รับไหม”
ว้าแดงสองคนตะลึงด้วยความดีใจ แล้วคว้ามาดูเห็นว่าเป็นของจริง
“แลกกับอะไร”
“ฝิ่นดิบ”
พ่อค้าว้าแดงสองคนมองหน้ากันแล้วรับคำ
“เท่าไหร่”
“ไม่อั้น...ต้องการเป็นคาราวานเกวียน และห้ามส่งให้ใครนอกจากข้า”
เสือทศโยนของมีค่าที่เตรียมมาทั้งหมดลงบนโต๊ะ
“นี่ค่าของ...ถ้าพวกเจ้ามีไม่อั้น ของพวกนี้ก็มีไม่อั้นเหมือนกัน”
“ตกลง”
เสือทศยิ้มอย่างพอใจ เมื่อทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ต้องการ
ภราดรกับกินรีมาเดินเล่นที่บริเวณสวนด้านข้างอนามัย ภราดรเซจะล้ม กินรีกอดแขนไว้ แล้วประคองไปนั่งที่ม้าหิน
“ขอบใจนะ”
“บอกให้หมอนอนพักก่อนก็ไม่เชื่อ ดีนะที่ไม่ล้มลงไป” กินรีบ่นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“นอนทั้งวันมันเบื่อ อีกอย่างมันต้องเดินบ้างไม่อย่างนั้นกล้ามเนื้อจะไม่มีแรง”
“กินรีต้องกลับแล้วนะคะ เป็นห่วงยายไม่รู้ป่านนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ได้ครับ แต่ถ้าจะให้ผมบอกตรงๆล่ะก็ผมไม่อยากให้คุณกลับไปเลย ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะอยู่กับคุณชั่วชีวิต”
ทั้งคู่มองตากันอย่างตกอยู่ในภวังค์ ภราดรค่อยๆเข้ามากอด กินรียอมแต่โดยดี เพราะมีใจให้ภราดรเช่นกัน
“ผมรักคุณกินรี รักตั้งแต่แรกเห็น” ภราดรสารภาพ
“กินรีก็รักหมอค่ะ”
กินรีสารภาพเช่นกัน ภราดรยิ้มอย่างยินดี
“ถ้าอย่างนั้นเรา...เอ่อ...”
กินรีรู้ว่าภราดรจะพูดอะไร
“คงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะหมอ...ยายคงไม่ยอม เพราะที่หมู่บ้านสางถือว่าหมอเป็นคนนำรางไม่ดีมาสู่ชาวบ้าน”
“ยังไงผมก็ต้องพิสูจน์ว่า ผมไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด”
ภราดรบอกอย่างมุ่งมั่น ห่างออกไประรินแอบยืนมองอยู่ เธอได้ยินทุกอย่าง มองกินรีอย่างแค้นใจ

ระรินเดินกระฟัดกระเฟียด มาที่ห้องพักพยาบาล
“นังกินรี นะนางกินรี แกจะอยู่ร่วมโลกกับฉันไม่ได้แล้ว”
เดือนละสายตาจากงาน
“นี่คงไปมีเรื่องกับกินรีเขามาอีกสิ”
“เปล่า...แต่กำลังจะมี”
“นี่ระริน คนเขารักกันก็หักใจเถอะ”
ระรินหันขวับด้วยความไม่พอใจ
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้หรอกที่หมอทั้งหล่อ ทั้งมีอนาคต จะไปรักสาวชาวบ้าน ฉันว่าอีนังแม่มดนี่มันต้องทำเสน่ห์ใส่หมอแหงๆ”
“ฉันว่ากินรีเขาดูซื่อๆเรียบร้อยดีออก คงไม่ทำอะไรอย่างนั้นมั้ง”
“น้อยไปสิ...มันน่ะ..นังมารร้ายตัวแม่เลย คอยดูนะฉันจะต้องแย่งหมอกลับมาให้ได้”
“เธอจะทำยังไง”
ระรินมีแผน
“ฉันมีวิธีก็แล้วกัน...เกลือมันต้องจิ้มด้วยเกลือ”
“อ้าว...ไม่ได้เอาไว้จิ้มมะม่วงหรือ”

เดือนแกล้งแหย่ แต่ระรินไม่ขำด้วย

แม่หมอเอากระชุมาตักน้ำที่ลำธารหลังบ้าน เมื่อแกแหวกหญ้าลงไปก็พบว่าพะอูนอนสิ้นสติอยู่ เนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลและมีเลือดเปื้อนไปตามตัวไปหมด แต่ไม่มีบาดแผลฉกรรจ์
“พะอู...”
แม่หมอรีบเข้าไปดูอาการ

จ่อยนำชาวบ้านหลายคนมาที่หน้าบ้านผู้ใหญ่สน แล้วตะโกนเรียก
“ผู้ใหญ่...ผู้ใหญ่”
ผู้ใหญ่สนลงเรือนมากับเสนที่ไม่ค่อยเพ้อเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“พวกเอ็งมีอะไรวะ แห่มาที่บ้านข้ากันแต่เช้า”
ชาวบ้านตะโกนบอก
“ก็ไอ้มิ่งน่ะสิ เมื่อคืนมันโดนเสือกัดตายทั้งครอบครัวเลย”
ผู้ใหญ่สนตกใจ
“หา...จริงหรือ”
“จริงจ๊ะ...เหมือนเดิม มันควักหัวใจออกไปหมดเลย”
เสนได้ยินเช่นนั้นอาการคุ้มคลั่งเพ้อขึ้นมา
“เสือ...เสือสมิงไงล่ะ...เสือ...กัดแม่ตาย และกำลังจะมากัดทุกคนตาย...กลัว...ฉันกลัวแล้ว”
เสนวิ่งหนีขึ้นบ้านไปอย่างหวาดกลัว ผู้ใหญ่สนหน้าเครียดแล้วตัดสินใจ
“มันเริ่มบานปลายขึ้นทุกที ข้าว่าเราไปหารือกับแม่หมอดีกว่า”
ทุกคนเห็นด้วยแล้วเดินไป จ่าชิตยืนถือขวดเหล้าฟังอยู่

แม่หมอปักธูปในมือลงในกระถางธูปเล็กๆบนโต๊ะหมู่บูชา แล้วก้มลงกราบ
“ขอให้เจ้าแม่หน้าทองและผีนัค รวมทั้งเทพเทวาทั้งหลายช่วยคุ้มครองพะอูมันด้วยเกิด”
พะอูที่นอนอยู่ใกล้ๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา แม่หมอยกมือขึ้นลูบคลำเนื้อตัวของหลานชายด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างพะอู”
พะอูท่าทางสบายดีขึ้น แม่หมอพอใจ
“อืม...เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วลูก มันเกิดอะไรขึ้น ถึงได้หายไปซะเป็นวันสองวันอย่างนี้น่ะ”
พะอูชี้ไปบนภูเขา แม่หมอพูดตาม
“ขึ้นไปอยู่บนภูเขานั่น”
พะอูเล่าต่อไปเรื่อยๆ บอกว่าจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้
“แล้วจำอะไรไม่ได้เลยหรือ”
พะอูพยักหน้า เสียงผู้ใหญ่สนเรียกดังมาจากหน้าบ้าน
“แม่หมอ...แม่หมอ”
“เออ...รู้แล้ว”
แม่หมอร้องตอบแล้วลุกไป พะอูตัวสั่นหวาดกลัว รีบห่มผ้าห่มไป จ่าชิตมองพะอูลอดจากฝาบ้านอยู่
“ฉันอยากมาปรึกษา แม่หมอเรื่องเสือสมิงน่ะ มันหนักข้อเข้าทุกวัน เมื่อคืนมันก็เล่นล้างครัวไอ้มิ่งเลย...ตายเรียบ”
แม่หมอหนักใจ
“เรื่องนี้ข้าจนปัญญาจริงๆ อยู่กันอย่างสงบมาตั้งนาน ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้”
จ่อยโพล่งขึ้นมา
“หรือว่ามันเป็นเพราะหมอภราดร ตามที่คำทำนายบอก”
ผู้ใหญ่สนเห็นด้วย
“นั่นสิ...ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆเราจะทำยังไง”
แม่หมอส่ายหน้า
“ไม่รู้ เรื่องนี้มันเป็นลิขิตของผีฟ้า”
ผู้ใหญ่สนหน้าเสีย
“แก้ไขอะไรไม่ได้เลยหรือ”
แม่หมอตัดสินใจ
“คืนนี้ข้าจะลองทำพิธีขอขมาแม่ผีฟ้าดู”
“ดีเหมือนกัน ชาวบ้านจะได้มีกำลังใจดีขึ้นบ้าง ข้าจะไปเตรียมจัดของ”
ผู้ใหญ่สนกับพวกชาวบ้านกลับไป แม่หมอเข้าบ้านไปแล้วไม่เห็นพะอู
“พะอู...พะอู...มันไปไหนของมันอีกนะ”
แม่หมอกังวล

พะอูเดินมาตามชายป่าไปเรื่อยๆ จ่าชิตที่ตามมาขึ้นนกแล้วยกปืนยาวขึ้นเล็งที่ข้างหลัง
“ไอ้ใบ้...เอ็งจะไปไหน”
พะอูหันหลังหลังกลับมาเห็นเป็นจ่าชิต พะอูทำท่าว่าไม่รู้เรื่อง
“เอ็งเป็นใครกันแน่” จ่าชิตไม่เชื่อ
พะอูยังคงทำเหมือนเดิม จ่าชิตคาดคั้นแล้วขู่หนักขึ้น
“บอก เอ็งเป็นใคร...เอ็งหายไปไหนมาตั้งสองคืน...เร็ว”
พะอูไม่แสดงอาการบอกอะไรทั้งสิ้น จ่าชิตท่าทางเอาจริง แต่ก่อนที่จะทำอะไรลงไปเสียงแม่หมอก็ดังเข้ามา
“ข้าใช้มันไปเก็บสมุนไพรในป่า”
จ่าชิตหันมาเห็นแม่หมอ มองอย่างไม่เชื่อ
“พะอู กลับบ้าน”
แม่หมอสั่ง แล้วเดินนำพะอูกลับไป จ่าชิตมองตามอย่างไม่ไว้ใจ

ประเดิมขับรถมารับกินรี กับมะค่าเพื่อจะไปส่งที่บ้าน ภราดรซึ่งอาการดีขึ้นแล้วขึ้นรถด้วย
“หมอไปพักผ่อนเถอะค่ะ...ให้พี่ประเดิมไปส่งก็ได้” กินรีบอกอย่างเป็นห่วง
“ผมไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว แค่นั่งรถไปเป็นเพื่อน...ออกรถเถอะประเดิม”
ภราดรยิ้มให้กินรี ประเดิมขับรถออกไป ระรินกับเดือนยืนมองอยู่บนอนามัย
“วันนี้มาแปลก ไหนจะแย่งหมอคืนทำไมถึงปล่อยให้เขาไปด้วยกันง่ายๆล่ะ” เดือนแหย่
“ฉันมีวิธีของฉันแล้วน่า...ตอนนี้ต่อให้มันไปก่อน” ระรินบอกอย่างมั่นใจ

อองไชยเข้าไปในป่า กระทั่งถึงต้นไม้ใหญ่อายุหลายร้อยปี จึงลงมือขุดดินที่ใต้ต้นไม้ พร้อมกับท่องคาถาไปด้วย เขาขุดดินลงไปลึกสักศอกแล้วหยิบเอาดินก้อนเท่ากำปั้นขึ้นมาแล้วเอาใส่ย่ามไป
อีกด้าน พระธุดงค์ ปักกลดอยู่ใต้ต้นไม้กำลังนั่งหลับตา อยู่ในสมาธิ จ่าชิตเดินอย่างเร็วเข้ามาหา พระธุดงค์นั่งสงบนิ่งอยู่ทักจ่าชิตโดยไม่ลืมตา
“เหตุใดจะต้องร้อนใจไป...อีกไม่นานเรื่องของโยมก็จะบรรลุผลแล้ว”
จ่าชิตหยุดกึกแล้วค่อยๆคลานเข้าไป
“นมัสการพระคุณเจ้า...”
“เจริญพร”
“พระคุณเจ้าพูดอะไรผมไม่เข้าใจ”
พระธุดงค์ลืมตา
“แล้วโยมมาหาอาตมาด้วยเรื่องอันใดล่ะ”
“ปิตุฆาต”
พระธุดงค์ถอนหายใจ
“อาตมาไม่อยากฝืนชะตาแต่เอาเป็นว่า ลูกชายโยมยังไม่ตาย”

จ่าชิตตกใจไม่เชื่อกำลังจะซักต่อไปแต่พระธุดงค์ก็ค่อยๆเลือนหายไป จ่าชิตสับสนว้าวุ่นใจ

งะดินเดสูบพลังจากหัวใจที่วางอยู่หลายสิบดวง เข้าไปยังภายในร่าง ขณะที่คนรูหมอบอยู่ไม่ไกล
“ยัง...มันยังไม่พอ มันไม่ได้สร้างพลังให้ข้าได้เท่าไหร่เลย...พวกเจ้าไปหามาอีก...ไป...”
งะดินเดตวาดลั่น คนรู้ต้องรีบออกมาข้างนอก งะดินเดเดินตามออกมาแล้วยืนที่หน้าประตูทดลองใช้พลังและอาคมทำลายกำแพงไฟ แต่มันไม่ได้ผล
“เจ้าขังข้าได้ไม่นานหรอก...อ้ากกกก”
งะดินเดตะโกนก้อง เสียงสะท้อนไปทั่วป่า

รถของภราดรมาจอดที่หน้าบ้านแม่หมอ
“ลงมาดื่มน้ำกันก่อนค่ะ” กินรีบอก เมื่อลงจากรถพร้อมมะค่า
ภราดร กับประเดิมลงจากรถ แม่หมอออกมาหน้าตาเกี้ยวกราด มีพะดูยืนอยู่ข้างๆ หน้าตาไม่ต่างจากแม่หมอ
“ไม่จำเป็นต้องลงมาหรอกหมอ กลับไปซะ”
ทุกคนหันกลับไปมองแม่หมอ กินรีกับมะค่าเห็นพะอูก็ดีใจ
“พะอู...”
พะอูวิ่งลงมาหากินรีกับมาค่า
“อื้อ...อ้า...”
พะอูไล่ภราดรไป แววตาเกลียดชัง
“ทำไมไปทำอย่างนั้นกับคุณหมอล่ะพะอู คุณหมอเขาอุตส่าห์ไปช่วยพี่ตามหาพะอูนะ” กินรีปราม
มะค่าเสริม
“ใช่...หมอเขาเกือบตายก็เพราะเอ็ง”
ไม่ไกลนักมีชาวบ้านคนหนึ่งกลับจากไร่
“ไอ้หมอ...มันมาทำไมของมันอีกวะ...”
ภราดรอึ้ง ประเดิมรีบบอก
“กลับกันเถอะหมอ ผมว่าบรรยากาศชักจะไม่ดีแล้ว”
“ไม่...ผมไม่ได้ทำอะไรผิด อีกอย่างคนที่นี่ไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับหมอ หมอที่มาดูแลรักษาพวกเขา”
ภราดรขึ้นเสียง แม่หมอแววตากร้าว
“ข้าขอเตือนหมอเป็นครั้งสุดท้าย ให้กลับไปซะ ไม่อย่างนั้น...”
แม่หมอพูดไม่ทันขาดคำ ชาวบ้านประมาณ 7 – 8 คนก็เฮโลกันมาแต่ไกลพร้อมตะโกนไล่
“ออกไป...ที่นี่ไม่ต้องการเอ็ง”
“ใช่ เรามีเจ้าแม่หน้าทองแล้ว...กลับไป อย่านำความวิบัติมาให้พวกเราเลย...ไป”
กินรีหน้าเสีย ประเดิมรีบบอก
“กลับเถอะหมอ”
ภราดรตัดสินใจยื่นคำขาด
“ไม่”
ชาวบ้านต่างไม่พอใจ
“ไม่ไปใช่ไหม”
ชาวบ้านต่างพากันเอาอิฐ หินขว้างปาภราดร ลามปามไปถึงประเดิมด้วย กินรีรีบมาห้าม
“อย่า...อย่าทำหมอ...ฉันขอเถอะ”
หินก้อนหนึ่งกระเด็นมาโดนหน้าผากกินรีแตกเลือดไหลอาบ ภราดรตกใจ เข้าไปประคอง
“กินรี”
ชาวบ้านยังไม่มีวี่แววหยุด แม่หมอไม่รู้จะทำยังไง พะอูกระโดดลงมาขวางกินรีไว้ไม่ให้หินถูกอีก ทันใดนั้น จ่าชิตยิงปืนขึ้นฟ้าสองสามนัด
“หยุด...ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้”
ชาวบ้านหยุดทันที จ่าชิตเดินเข้าไปหาภราดรแล้วถามชาวบ้าน
“นี่มันอะไรกัน”
“พวกเราไล่ไอ้หมอคนนี้ แต่มันไม่ยอมไป”
จ่าชิตเข้าข้างภราดร
“แล้วไปไล่เขาทำไม”
“ก็มันตัวซวย ทำให้หมู่บ้านเราเกิดเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน”
“ไหนหลักฐาน...”
ทุกคนเงียบ จ่าชิตกวาดตามอง
“ไม่มี...แต่สิ่งที่ข้าเห็นพอจะเป็นพยานให้หมอได้ว่าพวกเอ็งกำลังทำร้ายร่างกายเขา ถ้าพวกเอ็งยังอยากนอนกอดเมียอย่างมีความสุขล่ะก็กลับไปซะ ไม่อย่างนั้นข้าจะให้ไปนอนกอดยุงในคุก”
ชาวบ้านตัดสินใจกลับไป กินรีโล่งอก
“กินรีแผลลึกนะ...มาผมดูให้”
ภราดรจะเข้าไปดู แม่หมอเข้ามาห้าม
“ไม่ต้อง...เรารักษากันได้”
จ่าชิตตัดบท
“หมอ...ไปกับผม”

ภราดรจำยอมตามจ่าชิตไป แม้จะเป็นห่วงกินรี

จบตอนที่ 7

อ่านต่อตอนที่ 8 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
กำลังโหลดความคิดเห็น