เสือสมิง ตอนที่ 1
พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าสาดแสงส่องไปทั่วบริเวณ รถแวนขับเคลื่อนสี่ล้อคันหนึ่ง วิ่งฝ่าความมืดสลัวยามค่ำคืน มาตามถนนลูกรังระหว่างหมู่บ้าน รถกระโดดเป็นระยะเพราะสภาพถนนที่ขรุขระ
ประเดิมขับรถอย่างระมัดระวังเพราะ ภราดร หมอที่มาประจำอนามัยคนใหม่ นั่งอยู่ข้างๆ ด้านหลังระริน ซึ่งเป็นพยาบาลนอนหลับอยู่
“มาวันแรกก็เหนื่อยเลยนะครับหมอ” ประเดิมชวนคุย
“ไม่เหนื่อยเท่าไหร่หรอกประเดิม โชคดีที่เรามาทันไม่อย่างนั้นคนไข้คงไม่รอด”
ประเดิมยิ้มรู้สึกพอใจและศรัทธาในตัวภราดร เพราะเขาทำงานทันทีที่มาถึง รถขับไปเรื่อยๆจนเห็นทางแยกด้านหน้า มีผู้คนเดินเข้าไปในหมู่บ้านหลายคน ภราดรมองอย่างสนใจแล้วถาม
“นั่นชาวบ้านเขาไปไหนกันน่ะ”
“อ๋อ....คงไปดูพิธีกลืนบาปกันน่ะครับ วันนี้วันเพ็ญ พระจันทร์เต็มดวง มันเป็นประเพณีของชาวบ้านสางเขาน่ะครับ”
ภราดรรู้สึกอยากเข้าไปดู
“น่าสนใจ เข้าไปดูหน่อยสิประเดิม ผมอยากเห็น”
“ครับ”
ประเดิมเลี้ยวรถเข้าไปในหมู่บ้าน ผ่านป้ายหน้าหมู่บ้านที่เขียนว่า “บ้านสาง”
ในหมู่บ้านเห็นผู้คนเดินตรงไปที่บ้านแม่หมอ ซึ่งเป็นสถานที่ทำพิธีกลืนบาป บางคนไม่สบายแต่ยังเดินไหว บางคนที่ป่วยหนักถูกหามใส่รถเข็นมาบ้าง ใส่เกวียนมาบ้าง รถของภราดรเคลื่อนเข้าไปจอด ระรินตื่นขึ้นมางัวเงียถาม
“ถึงแล้วหรือคะหมอภราดร”
ภราดรลงจากรถ ประเดิมหันมาบอก
“ยังไม่ถึงหรอกครับคุณระริน นี่บ้านสางคุณหมอเขาอยากมาดูพิธีกลืนบาป”
ระรินทะลึ่งพรวดออกมาหวังจะปรามแต่ไม่ทัน ภราดรกับประเดิมเดินไปเสียแล้วเธอเดินตามไปอย่างหัวเสียแล้วบ่น
“พิธีลวงโลกเนี่ยนะ...ไม่เห็นจะน่าดูตรงไหนเลย”
บริเวณลานบ้านแม่หมอ...พะอู เด็กหนุ่มวัย 15 หน้าตาอัปลักษณ์ ริมฝีปากแหว่งวิ่น และแผลเป็นเต็ม ใบหน้า ตีฆ้องเป็นจังหวะ เพื่อเริ่มพิธี...
ในห้องบูชา...มีรูปปั้นผีนัตสองตน และรูปปั้นอื่นๆที่นับถือ แม่หมอมองกินรี หลานสาวซึ่งเป็นร่างทรงของเจ้าแม่หน้าทอง สวมหน้ากากผีฟ้าหน้าทองเรียบร้อยแล้ว พยักหน้าบอกว่าให้ไปกันได้แล้ว ทั้งคู่ลุกออกไป กินรีค่อยๆก้าวลงมาจากเรือน ตามจังหวะเสียงฆ้อง แม่หมอประคองกินรีอย่างนอบน้อมเหมือนทาสรับใช้
ทันทีที่ชาวบ้านเห็น พากันก้มลงกราบอย่างศรัทธา พวกคนป่วยที่นอนอยู่กับพื้นต่างก็ยกมือขึ้นประนมไหว้กับอก ห่างออกไปกลุ่มผู้ชาย 4 คน มีเสือใจ เสือทศ เสือดำ เสือชิน แต่งตัวเหมือนชาวบ้านแถวนั้น ใช้ผ้าขาวม้าพันโพกหัว อย่างต้องการหลบบังสายตาของใครๆ ขณะที่เสือเข้มนอนสลบไสลบนเปลหาม อยู่ตรงหน้า
“ทศ...ระวังตัวกันด้วย อย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่าพวกเราเป็นใคร”
เสือใจหันไปบอกเสือทศ ที่เลี้ยงดูเหมือนลูกมาตั้งแต่เด็กๆอย่างกังวล
“จ้ะ...พ่อเสือ...แล้วนี่เขาจะรักษาให้เราหรือเปล่า ดูท่าไอ้เข้มมันจะไม่ไหวแล้ว”
“ก็ต้องลองดู....พวกเอ็งเก็บปืนให้มิดชิดด้วย”
ทุกคนรับรู้แล้วทำตาม อีกด้าน...ผู้ใหญ่สน สมร และเสน ลูกชายวัย 14 ปี นั่งดูพิธีอยู่ ประเดิมพาภราดรเข้ามานั่งด้วย ระรินตามประกบภราดรไม่ห่าง
“สวัสดีครับผู้ใหญ่” ประเดิมยกมือไหว้
ผู้ใหญ่สนหันมายิ้มให้
“สวัสดีครับคุณประเดิม คุณระริน ...นี่พาใครมาล่ะ”
“หมอภราดรครับ แกมาจากกรุงเทพเพิ่งมาประจำที่อนามัย หมอครับนี่ผู้ใหญ่สนแกเป็นผู้ใหญ่บ้านที่นี่ครับ”
“สวัสดีครับ ผู้ใหญ่” ภราดรไหว้อย่างนอบน้อม
“พอดีหมอแกอยากมาดูพิธีกลืนบาปน่ะครับ”
ผู้ใหญ่สนหัวเราะเบาๆแล้วถ่อมตัวแบบอายๆคนกรุง
“มันเป็นความเชื่อของชาวบ้านน่ะครับ”
ภราดรไม่ได้ถือสาจ้องแต่จะดูพิธี กินรีที่สวมหน้ากากเดินผ่านมา ประเดิมรีบกระซิบเบาๆ
“กราบซีครับหมอ...”
ภราดรค้อมศีรษะลง แต่สายตาเงยหน้ามอง กินรีเดินผ่านไป ระรินนั่งหน้าเชิด ทำไม่รู้ไม่ชี้เพราะไม่เชื่อถือ ผู้ใหญ่สน สมร และ เสนกราบอย่างนอบน้อม เช่นเดียวกับเหล่าชาวบ้าน...
กินรีกับแม่หมอ เดินมาใกล้หน้าปะรำพิธี แล้ว กินรีก็กรีดนิ้ว กรีดแขนขึ้นร่ายรำ ตามจังหวะฆ้องที่พะอูตี หญิงสาวเดินไป รำไป ที่หน้าบายศรีเครื่องบูชา หยิบเครื่องเซ่นขึ้นมา แล้วเอาเข้าปากเคี้ยว ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่แคร่ ใบหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่มีความรู้สึกใดๆ มีเพียงแขนและมือเท่านั้น ที่ขยับไปมา ตามเสียงฆ้อง
ห่างออกไปเล็กน้อย ร้อยตำรวจโท สมรักษ์ เดินเข้ามากับลูกน้อง ตรงมาที่พิธี เขาเห็นผู้ใหญ่สนแล้วเดินตรงมากับตำรวจสองสามนาย เสือทศถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นตำรวจเดินมา
“พ่อเสือ...ตำรวจ”
เสือใจพยักหน้ารับรู้แล้วเตือนเสียงเข้ม
“ข้าเห็นแล้ว...เฉยไว้ เก็บปืนซะ”
เสือทศที่จะชักปืนออกมาทำตาม ทุกคนระวังตัว ขณะที่สมรักษ์กับตำรวจ ที่ติดตามมานั่งใกล้ๆผู้ใหญ่สน
“มีอะไรหรือหมวด” ผู้ใหญ่สนหันมาถาม
“ชาวบ้านแจ้งมาว่าเห็นพวกเสือใจ กับเสือทศ มาป้วนเปี้ยนแถวนี้”
ภราดรหันไปมอง สมรักษ์สงสัยว่าเป็นใครไม่เคยเห็นหน้า ผู้ใหญ่สนแนะนำ
“นี่หมอภราดร เพิ่งย้ายมาใหม่”
“สวัสดีครับ” ภราดรยิ้มแย้มทักทาย
สมรักษ์ยิ้มบางๆ
“สวัสดีครับ ผมร้อยตำรวจโทสมรักษ์ ประจำอยู่ที่นี่”
การสนทนาชะงักเมื่อแม่หมอลุกขึ้นยืน ก้าวออกไปข้างหน้า แล้วประกาศกับทุกคน
“เอาล่ะๆทุกๆคน วันนี้เป็นวันเพ็ญ วันที่พระจันทร์เต็มดวง และเป็นวันที่เรามาร่วม กันทำพิธีบูชาเจ้าแม่หน้าทองสืบทอดมาจากปู่ย่าตายายของเรา นับร้อย นับพันปีมาแล้ว วันนี้เจ้าแม่จะมากลืนบาป ให้ลูกหลานทุกๆคนที่มีความศรัทธา ใครคนใด ป่วยต้องการให้รักษา พวกเอ็งก็จงพาเข้ามาได้แล้ว”
มะค่าเด็กสาววัย 14 ปี เป็นเพื่อนกับพะอู ถือหม้อดินใบใหญ่มาวางไว้ข้างแคร่ แล้วเดินไปนั่งลงข้างๆพะอู
ชาวบ้านที่มาชุมนุมหน้าลานบ้านแม่หมอ ต่างช่วยกันประคองคนป่วยให้ลุกเดินออกมาจากที่นั่ง มานอนรออยู่บนเสื่อหน้าปะรำพิธี
เสือทศขยับตัวจะลุกขึ้น แต่เสือใจรั้งมือเอาไว้ พลางพยักพเยิดไปทางลูกสมุนอีกสองคนแล้วสั่งเบาๆ
“ไอ้ดำ ไอ้ชินพวกเอ็งช่วยกันหามไอ้เข้มออกไปซิ ส่วนเอ็งไอ้ทศ เอ็งอย่าสะเออะออกไปตอนนี้ ถ้าเกิดตำรวจมันจำหน้าได้แล้วจะยุ่ง เอาไว้รอจังหวะดีๆ”
เสือดำ กับเสือชินช่วยกันหามเสือเข้มไปนอนรอที่หน้าปะรำพิธีเหมือนกับคนอื่นๆ...คนป่วยนอนเรียงรายอยู่บนเสื่อ และมีญาตินั่งเฝ้าอยู่ไม่ไกลนัก กินรีนั่งอยู่บนแคร่ที่ปะรำ แม่หมอหันไปส่งสัญญาณกับพะอูให้ตีฆ้องเป็นจังหวะ พอได้ยินเสียงฆ้อง ร่างของกินรีก็ค่อยๆลุกขึ้น ขยับเท้า ก้าวเดินออกมา เหมือนกับว่าเสียงฆ้องคือจงหวะชีวิตของเธอ
“พะอู...ตีให้เป็นจังหวะ อย่าให้สะดุดเป็นอันขาด” แม่หมอกำชับ
พะอูพยักหน้ารับคำอ้อแอ้ เพราะเป็นใบ้
“อ้า...อ้อ...”
แม่หมอชี้ไปที่คนป่วยคนแรกที่นอนอยู่ใกล้ที่สุด ญาติๆรีบเข้ามาหามขึ้นไปนอนอยู่บนแคร่ กินรีเดินเข้าไปดู ก่อนที่จะนั่งลงใกล้ๆ ปากร่ายคาถา ในขณะที่มือแบคว่ำลงแล้วเลื่อนไปบนร่างกายของคน ป่วย ภราดรจ้องดูอย่างสนใจคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชาวบ้านลุ้นว่าคนป่วยจะต้องหาย
ลมพัดแรงขึ้น กรรโชกเหมือนมีอาถรรพณ์บางอย่าง ภราดรรู้สึกประหลาดใจแต่ก็จ้องดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ชาวบ้านยกมือท่วมศีรษะด้วยความศรัทธา กินรีชะโงกหน้าไปใกล้ๆ พร้อมกับที่ริมฝีปากของเธอเผยอขึ้น มีเงาประหลาดจางๆสีเงินยวงพวยพุ่งขึ้นมาจากปากของคนป่วย พุ่งเข้าสู่ปากของกินรี สีหน้าของหญิงสาว เปลี่ยนไป เหมือนได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส แต่ก็ยังคงกลืนกินบาปซึ่งก็คืออาการเจ็บป่วยของไข้ ภราดรถึงกับตะลึงมองความอัศจรรย์นั้น แต่ในใจยังไม่ค่อยเชื่อคิดว่าอาจเป็นการเล่นกล....
กินรีช่วยรักษาชาวบ้านไปหลายคน ภราดร มองดูด้วยความสงสัย สนใจแล้วกระซิบถามประเดิม
“เขาทำได้ยังไง”
“นี่แหละหมอที่เขาเรียกว่า พิธีกลืนบาปล่ะ”
“มันอาจจะเป็นภาพลวงตาก็ได้”
ประเดิมบอกขำๆ
“คุณหมอควรใช้วิจารณญาณในการชม...และดูต่อไป”
ภราดรมองไปที่ปะรัมพิธีอย่างสนใจ ระรินนั่งฟังทั้งสองคนคุยกันอย่างหมั่นไส้ เธอเบะปากอย่างไม่พอใจ สะบัดหน้าไปทางอื่น พลางบ่น
“ปาหี่ชัดๆ”
กินรีดูดซับความป่วยไข้จากร่างกายของผู้ชายที่นอนอยู่เบื้องหน้า ก่อนที่จะหันไปทางมะค่า เด็กสาวรู้งาน รีบเอาหม้อดินมาวางไว้เบื้องหน้า กินรีค่อยๆคายเลือดออกมาจากปากลงไปในหม้อดิน ใบหน้าแสดงอาการเจ็บปวดทรมาน
ภราดรจ้องมองนัยน์ตาไม่กระพริบ สงสัยในความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น แม่หมอมองดูอาการของกินรีอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
“เจ้าแม่...”
“ทำพิธีต่อไป” กินรีน้ำเสียงเข้มและดุ
คนป่วยที่ถูกดูดกลืนความเจ็บปวดเรียบร้อยแล้ว นอนอยู่สักครู่ ก็มีคนมาพยุงลุกเดินออกไป มีคนป่วยคนต่อไปเข้ามานอนแทนที่ กินรีใช้พลังลึกลับดูดซับความเจ็บป่วยออกมาคายทิ้งเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนถึงคิวเสือเข้ม ที่เสือชินกับเสือดำ ช่วยกันหามขึ้นวางบนแคร่ แม่หมอมองดูอย่างสงสัยในอาการของคนไข้ เพราะสลบไสลไม่ได้สติ ต่างจากคนอื่นที่ยังพอรู้สึกตัวอยู่บ้าง
“ไอ้คนนี้มันเป็นอะไร”
“มันโดนลูกดอกเข้าที่คอจ้ะ ไม่รู้ว่ามีพิษหรือเปล่า” เสือชินบอก
“ไหน...ให้ข้าดูหน่อยซิ”
แม่หมอเดินเข้ามาพลิกดูบาดแผลของคนไข้ แลเห็นรอยแผลที่คอดำคล้ำ กระจายออกมาเป็นแผ่น ดวงตาของ หมอผีชราลุกวาวด้วยความตกใจ ขณะที่ใช้มือที่เหี่ยวย่น พลิกดูร่องรอยที่ลำคอ กินรีเดินเข้ามาใกล้
“ถอยไปเถอะ ข้าจะรักษามันเอง”
แม่หมอยกมือขวางไว้ พลางห้าม
“คนนี้รักษาไม่ได้”
“ทำไมล่ะ ทำไมข้าถึงรักษามันไม่ได้”
“มันโดนลูกดอกอาบยาพิษ”
“แต่ข้าไม่ได้กลัวพิษ ข้าหาได้เกรงสิ่งใด ถอยไปเถอะ”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ...!”
ดวงตาภายใต้หน้ากากของกินรีลุกวาว
“มันต้องไม่ตายต่อเบื้องหน้าข้า ถอยไป...!”
แม่หมอผงะ ในขณะที่กินรีก้าวเข้ามา ยกมือขึ้นร่ายคาถา พร้อมกับก้มหน้าลงไป แม่หมอหน้าตื่นตกใจ
“อย่า...”
กินรียื่นมือออกไป กันแม่หมอเอาไว้ ขณะที่ใช้พลัง ดูดดึงพิษและความเจ็บปวดออกจากร่างของเสือเข้มเข้าปาก อย่างช้าๆ...ภราดรสงสัยมากขึ้นเมื่อได้เห็นท่าทางของแม่หมอไม่ยอมรักษา
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ ทำไม ยายคนนั้นไม่ยอมให้ร่างทรงรักษา ท่าทางจ้าแม่นั่นดูจะไม่ไหวแล้วนะ”
“ช่างเขาสิคะ หมออย่าไปยุ่งดีกว่า” ระรินขัดขึ้น
ผู้ใหญ่สน หันมาบอก
“ครับ...ปล่อยให้เจ้าแม่ทำพิธีต่อไปดีกว่า นี่รายสุดท้ายแล้วและก็เป็นคนต่างถิ่นที่อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล”
ภราดรมองอย่างเป็นห่วงอาการของกินรี
“เราควรเข้าไปช่วยเขานะ ประเดิม”
“ปล่อยเขาเถอะครับ เราควรปล่อยให้พวกเขาทำตามวิถีของพวกเขา”
ภราดรจับตาดูต่อไป สมรักษ์ ได้ยินผู้ใหญ่สนพูดรู้สึกสนใจ
“ผู้ใหญ่บอกว่าคนป่วยเป็นคนต่างถิ่นเหรอครับ”
“ใช่ครับ ชาวบ้านที่นี่บอกว่าไม่ใช่คนที่บ้านสางแน่นอน”
สมรักษ์ครุ่นคิด ตั้งข้อสงสัย
“มีใครพอรู้ไหมว่า เป็นใคร มาจากไหน”
ตำรวจ 2-3 นาย มองหน้ากันเลิกลั่ก สมรักษ์ส่งสัญญาณให้ตำรวจนายหนึ่งเอียงหน้าเข้ามา
“จ่าลองไปดูสิว่า มีคนแปลกหน้าเข้าหมู่บ้านมาเท่าไหร่ และใครมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยอย่างไรบ้าง”
ตำรวจนายนั้นรับคำแล้วเรียกพวกแยกย้ายกันออกไปอย่างเงียบๆ เสือทศและเสือใจ กำลังจับตามองดูการรักษาที่ปะรำพิธี ขณะที่กินรีกำลังร่ายคาถาพึมพำ พร้อมทั้งเลื่อน ฝ่ามือไปตาม ร่างกายของเสือเข้มเพื่อใช้พลังจิตไล่ให้ยาพิษไหลวนเวียนไปสู่ปาก
เสือใจเหลือบมองไปเห็น สมรักษ์ ซึ่งอยู่ในชุดตำรวจ กำลังสั่งการอะไรบางอย่างกับจ่าชิตอย่างจริงจัง และเคร่งเครียด ด้วยประสบการณ์เสือปล้น เสือใจรู้ว่าการมาของตนน่าจะถูกตำรวจล่วงรู้แล้ว
“เฮ้ย ท่าจะไม่ค่อยดีแล้วล่ะวะไอ้ทศ เอ็งกับข้า สงสัยจะต้องเผ่นกันก่อนล่ะวะ”
“ทำไมล่ะพ่อ”
เสือใจบุ้ยปากไปที่กลุ่มของสมรักษ์ เห็นจ่าชิตลุกขึ้นเดินออกไปคุยกับตำรวจที่เฝ้าระวังอยู่ และเห็น ตำรวจเหล่านั้นกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“สงสัยพ่อเอ็งรู้แล้วว่ะ ว่าพวกเราลงจากเขามากัน”
“แล้วไอ้สามคนนั่นล่ะ”
“ไอ้สามตัวนั่นไม่มีใครรู้จักมัน ข้าคิดว่ามันเอาตัวรอดได้ รีบไปกันดีกว่า”
“ไปสิพ่อ”
เสือทศจะลุกขึ้นอย่างใจร้อนและไม่มีเชิง เสือใจรั้งมือเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิวะ จะลุก จะยังไงก็ต้องดูจังหวะกันหน่อย อย่าให้มันโดดเด่นเกินไป จะเป็นพิรุธโว้ย”
เสือทศพยักหน้าเข้าใจ มองไปทางกลุ่มตำรวจ และมองไปยังปะรำพิธีอย่างกระวนกระวาย
กินรีร่ายมนต์กำจัดพิษในตัวของเสือเข้ม แววตาภายใต้หน้ากากอ่อนล้า ขณะที่ร่างของเสือเข้มสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างรุนแรง แม่หมอไม่สบายใจ พะอูเองเมื่อมองเห็นเข้าก็มือไม้สั่น ตีฆ้องผิดจังหวะ จนทำให้ภวังค์ของกินรีสะดุด ร่างของเธอชะงักความเคลื่อนไหว แม่หมอเห็นเข้าก็ตกใจหันไปตวาดพะอู
“พะอู...มีสมาธิหน่อย ตีให้เป็นจังหวะ เอ็งจะให้พี่เอ็งตายหรือไง”
พะอูได้ยินก็ตกใจรวบรวมสมาธิ ตีฆ้องเป็นจังหวะ ในขณะที่กินรีก็กลับมาเหมือนเดิมโน้มตัวลงไป มือบังคับให้พิษในตัวเสือเข้มพวยพุ่งออกมา พร้อมกับลำแสงแห่งชีวิตซึ่งตนเอง อ้าปากกลืนกินเข้าไป แววตาและท่าทางของกินรีแสดงถึงความเจ็บปวดสุดชีวิตขณะที่กลืนบาปของเสือเข้มเข้าไป ร่างของเธอสั่นระริก เสือเข้มมีอาการดีขึ้น สีหน้าที่ดำคล้ำคลายเป็นปกติลง กินรีร่างกายซวนเซ เหมือนคนที่โดนพิษ ก่อนที่จะหมดเรี่ยวแรงล้มลง ในอ้อมกอดของแม่หมอ ซึ่งคอยจับตาดูอยู่แล้ว
“กินรี...!”
พะอูเห็นแล้วตกใจทิ้งไม้ฆ้องในมือ รีบวิ่งเข้ามาหา ท่าทางลนลาน พูดไม่ได้ ส่งเสียงอ้อแอ้ แม่หมอร้อนใจ
“อีมะค่า รีบเอาหม้อดินมา ให้กินรีคายลงไป”
มะค่าตาลีตาเหลือกหยิบหม้อดินมาให้กินรี ที่พยายามจะสำรอกพิษที่เธอดูดซับเข้าไปออกมา แต่ทว่าไม่มีแรง
พะอูเดินอ้อมไปทางด้านหลังของพี่สาว ยกมือขึ้นไหว้ฟ้าดิน เพื่ออธิษฐานจิตขอความเมตตาก่อนที่จะยื่นมือออกไป ลูบเบาๆจากเอวไปยังต้นคอ ร่างของกินรีสะอึก ก่อนที่จะขย้อนเลือดสีดำ เหม็นคลุ้งจำนวนหนึ่งออกมา อาเจียนลงในหม้อดิน กลิ่นเหม็น ของมันทำให้แม่หมอและทุกคนถึงกับผงะ พวกชาวบ้านซึ่งแลเห็นร่างทรงผีฟ้าหน้าทองของพวกเขาเป็นลม จึงพากันลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจและเป็นห่วง เสือใจซึ่งคอยจังหวะอยู่แล้ว มองเห็นพวกชาวบ้านพากันลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ จึงรีบสะกิดเสือทศให้ลุกขึ้น
“ไปกันเลย...!!”
เสือใจกับเสือทศ อาศัยแฝงผู้คนเดินดุ่มๆไปยังปะรำพิธี ตำรวจพยายามเดินตรวจดู สำรวจชาวบ้าน เพื่อมองหาคนแปลกปลอม เสือใจกับเสือทศที่หลบไปอีกทางหนึ่งปนเปไปกับกลุ่มผู้คนที่กำลังชุลมุน เสือเข้มที่มีอาการดีขึ้น ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง โดยมีเสือดำกับเสือชินช่วยประคอง
“เอ็งหายแล้ว เอ็งหายจริงๆด้วยไอ้เข้ม”
เสือเข้มรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ
“ขอบใจ...ขอบใจมาก นะยาย...”
แม่หมอพยักหน้า ไม่พูดว่ากระไร หันไปสนใจอาการของหลานสาวต่อพึมพำออกมา
“ของมันแรงจริงๆ”
ทันใดนั้นมีเสียงเป่าปากคล้ายเสียงนก เสือชินหันไปมองตามเสียงเห็นเสือใจกับเสือทศยืนปะปนอยู่กับชาวบ้าน และกำลังส่งสัญญาณมือให้ทั้งสามคนตามไป ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในความมืดนอกลานบ้าน เสือชินหันมาบอกเบาๆกับเสือดำและเสือเข้ม
“เฮ้ย... ต้องไปกันแล้วเว้ย!”
เสือดำงงๆ
“อ้าว...ทำไมรีบงั้นล่ะ ยังไม่ได้ขอบใจเขาเลย”
“เออ...เอ็งอย่าถามมากเลย พ่อเสือเขาเรียกแล้ว โน่นพ่อมึงเดินมาโน่นแล้ว”
เสือดำหันไปเห็นตำรวจแล้วเข้าใจ เสือดำและเสือชิน ช่วยกันประคองเสือเข้มลงมาจากแคร่ แล้วพากันเดินฝ่าผู้คนออกไปนอกลานบ้าน ตามหลังเสือใจและเสือทศ ไป
เสือใจกับเสือทศเดินมาริมห้วย เป็นจังหวะเดียวกับสมรักษ์กับตำรวจลูกน้องเดินสวนมาแล้วเผชิญหน้ากับสองเสือที่เอาผ้าขาวม้าคลุมใบหน้า เสือใจกับเสือทศเดินผ่านไป สมรักษ์ผิดสังเกตจึงเรียก
“สองคนนั่น...หยุดก่อนซิ”
เสือใจหยุดอย่างกังวลแต่ยังวางมาดนิ่ง เสือทศหยุดตามแล้วกระซิบ
“เอายังไงดีพ่อเสือ”
“เย็นไว้”
สมรักษ์กำลังเดินเข้ามาด้านหลังเสือใจ เสือทศและเสือใจรู้ว่าสมรักษ์กำลังเดินเข้ามาสองเสือคิดหนัก...อย่างไม่คาดคิด เสือทศตัดสินใจชักปืนหันกลับไปยิงสมรักษ์ แต่ด้วยความไวของเสือใจเขาผลักปืนของเสือทศขึ้นฟ้าได้ทัน
“อย่า...”
เสียงปืนดังเปรี้ยง! สมรักษ์กับตำรวจหลบกันพลันวัน เสือใจลากเสือทศหนีออกมา แล้วยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าไปสองสามนัด
ทางด้านผู้ใหญ่สนได้ยินเสียงปืนสีหน้าไม่ดี
“เสียงปืน...ที่ห้วย...สงสัยหมวดเจออะไรเข้าแล้วสิ...ไอ้จ่อยเอ็งไประดมชาวบ้านตามข้าไปที่ห้วยท้ายหมู่บ้าน”
“ครับผู้ใหญ่”
จ่อยรีบออกไป ภราดรเข้ามาถาม
“มีเรื่องอะไรกันหรือผู้ใหญ่ ผมพอช่วยอะไรได้ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรพวกหมออยู่ที่นี่แหละ”
ผู้ใหญ่รีบแยกไป
เสือเข้ม เสือดำและเสือชินฉากออกไปอีกด้านหนึ่งของราวป่า ได้ยินเสียงปืนก็ชะงัก
“แย่แล้ว เร็วไอ้ดำมาทางนี้” เสือชินหันมาบอกเพื่อน
“แล้วพ่อเสือกับพี่ทศล่ะ” เสือดำถามอย่างเป็นห่วง
“ช่างเถอะแค่นี้ทำอะไรพ่อเสือไม่ได้หรอก...ไปเหอะ”
เสือดำกับเสือชินพาเสือเข้มหายไปในความมืด
สมรักษ์กับตำรวจชักปืนออกมายิงสู้ เป็นจังหวะที่เสือใจหันมาดึงเสือทศ...ลูกปืนของสมรักษ์พุ่งเข้าเต็มหน้าอกเสือใจกระเด็นไป
“พ่อ...” เสือทศตกใจ
สมรักษ์ย่ามใจหมายจะยิงซ้ำแต่เสือทศยิงสวนเข้ามา ก่อนจะเข้าไปดูเสือใจที่ล้มลงแล้วแปลกใจที่ลูกปืนไม่ระคายผิวเสือใจเลย
“พ่อ...ทำไมมันยิงพ่อไม่เข้า”
“แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”
ตำรวจกับผู้ใหญ่สน และจ่อย ได้ยินเสียงปืนจึงวิ่งเข้ามาช่วย
“เสือใจหรือหมวด”
“ทั้งคู่เลย ผมเป่าเสือใจดิ้นไปแล้ว”
ผู้ใหญ่สนกับสมรักษ์ยิงตอบโต้เสือทศกับเสือใจ สมรักษ์เห็นเสือใจไม่เป็นอะไรก็อึ้ง
“หนังเหนียวด้วยหรือวะ...”
ด้านเสือใจประเมินสถานการณ์แล้วรู้ว่าเสียเปรียบ
“ถอยก่อนเถอะไอ้ทศ”
“ถอยทำไมล่ะพ่อมันยิงพ่อไม่เข้า จะไปกลัวมันทำไม”
“อย่าให้มันห้าวนักไอ้ทศ...ข้าบอกให้ถอยก็ถอย...ไป”
เสือใจกับเสือทศรีบจากไป สมรักษ์เห็นแล้วสั่ง
“ทุกคนตามไปเร็ว...ระวังตัวกันด้วย จับเป็นไม่ได้ให้จับตาย”
ทุกคนตามเสือใจกับเสือทศไปอย่างระมัดระวัง
ภราดรยืนมองความวุ่นวายอยู่ท่ามกลางชาวบ้าน เขาชะเง้อมองไปทางปะรำพิธี ซึ่ง ที่กำลังมีคนห้อมล้อมอยู่ด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
ประเดิมมองไปก่อนจะหันมาบอก
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนร่างทรงผีฟ้าจะโดนของเข้าให้ ชาวบ้านเขาก็เลยตกใจ”
“โดนของอะไร”
“ผมก็ไม่ทราบครับ ปกติตอนรักษาคนเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้”
“ก็แค่เป็นลม...” ระรินพูดเชิดๆ
“เราไปดูกันหน่อยมั้ย เผื่อช่วยอะไรเขาได้บ้าง”
“ไปทำไมคะ ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย”
ภราดรหันมามองดูระรินเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
“เราเป็นหมอนะคุณ ถ้าเราไม่เข้าไปดูคนป่วย แล้วจะให้ใครช่วยทำหน้าที่แทนเราล่ะ”
ขาดคำภราดรก็รีบวิ่งไปยังหน้าปะรำพิธี ปล่อยให้ระรินยืนหันรีหันขวางอยู่ตรงนั้น ประเดิมมองดูแล้วหัวเราะ ระรินหันไปมองประเดิมขวางๆแต่ฝ่ายนั้น รีบออกเดินตามภราดรไปติดๆ ระรินสะบัดมือสะบัดไม้อย่างขัดใจ ก่อนที่จะเดินตามออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
แม่หมอ กำลังช่วยประคองกินรีให้นอนลง โดยที่ยังไม่ถอดหน้ากาก โดยมีพะอูกับมะค่าคอยช่วยอยู่ข้างๆ ท่ามกลางชาวบ้านที่ ห้อมล้อมด้วยความเป็นห่วง ภราดรเดินนำหน้าประเดิม และระรินเข้าไปที่แคร่
“หลบหน่อยครับผมเป็นหมอ”
ทุกคนแหวกทางจนภราดรมายืนตรงหน้ากินรี แม่หมอ พะอู และมะค่ามองภราดรงงๆ...กินรีท่าทางกระสับกระส่ายด้วยอาการเจ็บปวด ภราดรเห็นอาการกินรีไม่ดีจึงคิดที่จะรีบรักษา เขารีบเอาหน้ากากที่ครอบอยู่ที่ใบหน้ากินรีออกช้าๆ ค่อยๆเผยให้เห็นใบหน้าของกินรี แม่หมอพยายามจะห้าม ภราดรตะลึงในความงามของกินรีและรู้สึกเหมือนสติขาดไป กินรีค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วสบตาภราดรเป็นครั้งแรกทั้งคู่จ้องกันอย่างตกอยู่ในภวังค์
ภราดรเผลอทำหน้ากากตกลงพื้น แม่หมอหวาดกลัว มองหน้าภราดรอย่างนึกไม่ถึง ในใจแม่หมอมีอะไรเก็บไว้บางอย่าง แต่เก็บอาการไว้ ทันใดนั้นบนท้องฟ้า มีก้อนเมฆดำทะมึน ลอยเคลื่อนตัวมารวมกันราวกับมีอาถรรพณ์ เมฆบังจันทร์ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก...ภราดรรู้สึกตัว
“ขอโทษครับ”
แม่หมอเก็บหน้ากากมาถือไว้ ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรกินรีก็เรียก
“ยาย”
กินรีดูดีขึ้นแม่หมอคลายกังวล แต่ยังมีแววตาไม่ดีกับภราดร
“ค่อยยังชั่วขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้วล่ะ ยาย...”
“ท่านออกจากร่างแล้วรึ”
“ไปแล้วจ๊ะยาย”
แม่หมอมองภราดรแววตาดุในใจมีปมบางอย่าง
“คุณไปได้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
แม่หมอหันไปมองดูพะอูที่ยกมือยกไม้ขึ้นมาสั่น เป็นทำนองว่า ไม่ใช่ความผิดของตนที่ไม่ได้ตีฆ้อง แต่เพราะเป็นห่วงกินรี พะอูมองภราดรอย่างกินเลือดกินเนื้อ
“แต่ผู้หญิงคนนี้ต้องการการรักษานะครับ”
แม่หมอจ้องภราดรตาแข็ง ประเดิมเห็นแม่หมอท่าทางไม่ดีกับภราดรจึงดึงเขาออกไป ทั้งที่ภราดรยัง มองกินรีอย่างไม่วางตา
ประเดิมดึงภราดร และระริน เดินมาที่ลานห่างจากแม่หมอ
“ประเดิม ผู้หญิงคนนี้กำลังแย่นะ” ภราดรบ่นอย่างเป็นห่วง
“กินรีเขาไม่เป็นไรหรอก แต่คุณหมอน่ะสิ ถ้าอยู่ต่อไปคงไม่ปลอดภัยแน่...”
“ทำไม”
“ก็เพราะเขาไม่ชอบใจน่ะสิครับหมอ หมอไปทำหน้ากากเขาตก มันเป็นลางไม่ดี”
“ลางไม่ดีเหรอ แต่ผมไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นเรื่องบังเอิญน่ะ ผมแค่จะมาดูอาการและรักษาให้”
“ก็คนพวกนี้มันป่าเถื่อน มันไม่ฟังเหตุผลอะไรกับใครหรอกค่ะ” ระรินแย้ง
ประเดิมมองดูภราดรกับระรินอย่างอ่อนใจ
“มันมีอะไรอีกมากมายที่หมอยังไม่เข้าใจ เกี่ยวกับชีวิตและความเชื่อของคนที่นี่ แต่ถ้าอยู่ไปนานๆสักวันหนึ่งแล้วหมอจะเข้าใจเองครับ”
ภราดรถอนหายใจยาวแววตาและครุ่นคิด ในใจไม่สบายใจและนึกถึงกินรี
“กลับกันเถอะค่ะ...ดึกแล้ว” ระรินตัดบท
ภราดรไม่มีทางเลือก จำต้องกลับไป
เสือสมิง ตอนที่ 1 (ต่อ)
เสือใจกับเสือทศหนีมาถึงลำห้วยในป่าท้ายหมู่บ้าน มาพบกับพวกลูกน้อง เสือเข้มยังเดินเหินไม่ถนัดนัก เพราะเพิ่งจะสร่างจากพิษของลูกดอก เสือดำกับเสือชินจึงต้องคอยพยุงอยู่ตลอดเวลา
“พ่อเสือ ทางนี้” เสือชินเรียก
เสือใจกับเสือทศตรงไปหา แล้วถามเสือเข้ม
“ไหวมั้ยไอ้เข้ม”
“ยังไหวพ่อเสือ”
“ดี...รีบไปเหอะ พวกมันตามมาแล้ว”
ทั้งหมดข้ามลำห้วยไป ไม่ห่างนัก สมรักษ์ ผู้ใหญ่สน และตำรวจตามมาแล้วเห็นเสือใจกับลูกน้อง สมรักษ์ชี้ไปข้างหน้า
“นั่น...มันอยู่นั่น...หยุดนะเสือใจ เสือทศ...”
กลุ่มของเสือใจรีบวิ่งขึ้นไปหลบหลังต้นไม้และก้อนหินบนฝั่งห้วยตรงข้าม เสือทศชักปืนออกมา
“เชื่อก็โง่ละวะ!”
เสือทศเล็งปืนออกไปแล้วยิงใส่ตำรวจอย่างไม่นับ
“เปรี้ยงๆๆๆๆ”
สมรักษ์ ผู้ใหญ่สน และตำรวจ หลบกระสุนกันจ้าละหวั่น สมรักษ์หมอบลงข้างๆก้อนหินขนาดใหญ่ริมลำธารแล้วสั่ง
“อย่าให้พวกมันหนีไปได้”
ทั้งสองฝ่ายต่างยิงปืนเข้าต่อสู้กัน เสียงปืนดังลั่นป่า สมรักษ์พยายามที่จะข้ามลำห้วยไปยังอีกฝั่งหนึ่งให้ได้ แต่อีกฝ่ายยิงต้านมาอย่างหนัก จนทำให้เขาไม่สามารถที่จะคืบคลานข้ามไปได้ เสือใจหลบอยู่หลังโคนไม้ สายตาจังจ้องอยู่ที่ฝั่งห้วยตรงข้าม ซึ่งมีประกายไฟจากปากกระบอกปืนแลบให้เห็นเป็นระยะ เสือใจหันไปสั่งลูกน้อง
“ไอ้ทศ เอ็งแข็งแรงที่สุด และว่องไวที่สุด เอ็งยิงสกัดเอาไว้ ข้าจะพาไอ้พวกนี้ ล่วงหน้าไปก่อน”
“ได้เลยพ่อ...”
เสือใจส่งสัญญาณให้กับเสือดำ และเสือชิน ประคองเสือเข้มล่าถอยออกจากพื้นที่ตรงนั้น ก่อนที่เสือใจจะค่อยๆถอยออกไปท่ามกลางความมืดสลัวของดวงจันทร์...เสือทศอาศัยความว่องไว วิ่งซอกแซกไปตามโคนไม้ แล้วยิงใส่ตำรวจจากนั้นจึงวิ่งไปอีกที่หนึ่งแล้วยิงอีกครั้ง ทำเหมือนว่ามีพวกโจรซุ่มซ่อนอยู่หลายคน สมรักษ์กับตำรวจ พยายามยิงตอบโต้ สักพักชาวบ้านหลายสิบคนช่วยกันถือคบไฟตรงเข้ามาช่วย ผู้ใหญ่สน เห็นก็หันมาบอกสมรักษ์
“ชาวบ้านมาช่วยและครับหมวด”
สมรักษ์รับรู้แล้วยิงต่อสู้กับเสือทศต่อ เสือทศเห็นว่าชาวบ้านมามากมายจึงต้องหนี
“ขนมาหมดหมู่บ้านเลยหรือวะ...ฝากไว้ก่อนเถอะมึง วันหน้าข้าจะมาถอน จะคิดดอกเบี้ยให้อ่วมเลย”
เสือทศอาศัยความมืดพลางตัวออกไป เสียงปืนจากฝั่งตรงข้ามเงียบหายไปแล้ว สมรักษ์กับตำรวจลูกน้องสามคน เดินลงไปที่ริมห้วย เห็นว่าไม่มีใคร
“กระจายกำลังกันค้นให้ทั่ว”
ทุกคนทำตามคำสั่ง
กินรีหายแล้ว แต่ยังนั่งอยู่บนแคร่ โดยมีแม่หมอกับพะอูคอยดูแลอย่างใกล้ชิด กินรีลุกขึ้นยืน ก้มลงไปหยิบหม้อดินที่มีเลือดสด ซึ่งตนเองสำรอกออกมาตอนที่เป็นร่างทรงผีฟ้า
“เดี๋ยวฉันเอาหม้อดินไปฝังก่อนนะจ๊ะยาย ปล่อยไว้นานเดี๋ยวมันจะไม่ดี”
“แล้วจะไหวเหรอ...”
“ไหวสิจ๊ะยาย ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากนักหรอก”
พะอูพยักหน้าอืออา อย่างเข้าใจ มะค่ารีบบอกจะไปด้วย
“เดี๋ยวฉันไปช่วยนะ พะอู”
แม่หมอหันมาดุ
“ไม่ต้องแล้วอีมะค่า...เอ็งน่ะช่วยข้าเก็บของให้เสร็จละกัน ให้คู่นั้นเขาไปกันเองก็ได้”
มะค่าไม่ค่อยเต็มใจ
“อืม...จ๊ะยาย...”
กินรีอุ้มหม้อดินเดินออกไปกับพะอู
ระรินเดินบ่นมากับประเดิมระหว่างทางมาที่รถ
“ไม่รู้จะมาดูอะไรกันเกือบเกิดเรื่องแล้วไหมล่ะ นายนี่มันแส่จริงๆ”
ประเดิมไม่ลดละ
“ใครแส่...คุณหมอต่างหากที่สั่งให้ผมพามา คุณพูดแบบนี้ก็หาว่าคุณหมอแส่น่ะสิ”
ประเดิมนึกขัน ระรินรู้สึกตัวจึงหันไป หมายจะขอโทษภราดรแต่ไม่เห็นเขาตามมา
“นี่นายประเดิม ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ...เอ่อ...หมอคะ ระรินไม่ได้...หมอ...หมอไปไหนแล้ว”
ระรินหันรีหันขวางมองหา ประเดิมก็มองหาด้วยแต่ไม่เห็นภราดร
“อ้าว...หมอไปไหนแล้วล่ะ”
กินรีอุ้มหม้อดินไว้แนบอก ในขณะที่พะอูถือกระบอกไฟฉาย เดินนำหน้าพี่สาวไปยังลำห้วยที่อยู่ไม่ไกลจาก หลังบ้านมากนัก ภราดรวิ่งเข้ามาด้านหลัง
“คุณ...คุณ...รอก่อนได้มั้ยครับ...คุณ...”
กินรีกับพะอูหยุดชะงัก ทั้งสองหันไปมองดูหมอหนุ่มอย่างแปลกใจ พะอูมีท่าทีไม่ชอบใจขึ้นมาทันทีที่เห็นภราดร เพราะมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง
“เมื่อสักครู่ เห็นคุณเป็นลม ตอนนี้สบายดีแล้วหรือครับ”
กินรีไม่พูดอะไร ชายหนุ่มมองเห็นแค่เพียงสายตาที่เป็นมิตร พะอูมองดูพี่สาวอย่างไม่ชอบใจนัก ก่อนที่จะดึงแขนเธอแล้วทำเสียงอืออาในลำคอเป็นทำนองให้เดินต่อ กินรีหันหลังกลับ จะเดินตามน้องชาย
“เดี๋ยว...ผมมาขอโทษเรื่องที่ผมทำหน้ากากคุณหล่นพื้นน่ะครับ...ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ มีคนบอกว่ามันเป็นความเชื่อของคนที่นี่ว่ามันเป็นลางร้าย”
“ช่างมันเถอะค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
กินรีหันกลับไปอย่างไม่ค่อยสนใจ ภราดรเอื้อมมือไป หมายจะคว้าแขนของเธอเอาไว้
“เดี๋ยวสิครับ...”
กินรีหันกลับมาด้วยความตกใจ พะอูหันกลับมาเห็นภราดรแตะต้องพี่สาวจึงโมโห ถลันตัวเข้ามาขวางไว้ พร้อมชักมีดเหน็บออกมาชูหรา เพื่อขับไล่ภราดรให้ถอยออกไป พร้อมกับส่งเสียงคำรามขู่ ใบหน้าอัปลักษณ์บิดเบี้ยว อารมณ์เต็มไปด้วยความรู้สึก เกลียดชัง ภราดรรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ผงะถอยออกไป จนล้มหงายหลังลงกับพื้น พะอูซึ่งยืนอยู่ข้างๆกินรี ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่พร้อมกับมีดและไฟฉายในมือ กินรีรีบห้าม
“อย่า...พะอู”
พะอูชะงัก หันมามองดูพี่สาวอย่างหงุดหงิด พลางส่งเสียงในลำคอเหมือนโกรธแค้น ประเดิมกับระรินวิ่งเข้ามา
“คุณหมอ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ประเดิมเข้าประคองภราดรให้ลุกขึ้น
“อะไรกันเนี่ย...ถึงกับจะฆ่ากันให้ตายเลยเหรอ”
ระริน ช่วยปัดฝุ่นให้ภราดร ตรวจดูตามร่างกาย พลางบ่น
“เป็นอะไร เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าคะหมอ”
กินรีมองดูภราดรกับระรินอยู่อึดใจหนึ่ง คล้ายจะพูดอะไรออกมา แต่ว่าเปลี่ยนใจ เธอหันหลังให้แล้ว เดินจากไป
พะอูยังมองดูภราดรและพรรคพวกด้วยสายตาที่เกลียดชัง ระรินตวาดไล่
“ไปเลยนะไอ้พวกป่าเถื่อน ไอ้หน้าผี...!”
พะอูมองดูระรินอย่างไม่พอใจ ส่งเสียงคำรามใส่ พลางทำท่าหลอกเหมือนจะกระโจนเข้าหา
“ว้าย...!”
ระรินสะดุ้งตกใจ หลบไปอยู่ข้างหลังภราดร
“อ๊าๆๆๆๆ”
พะอู ลอยหน้าลอยตา พลางทำเสียงเหมือนจะหัวเราะล้อเลียนก่อนที่หันหลังกลับวิ่งเหยาะๆตามหลังพี่สาวไป ระรินด่าไล่หลัง
“ไอ้บ้า...ไอ้หน้าผี ไอ้...”
ภราดรทำท่าจะตามไป แต่ประเดิมรั้งเอาไว้
“อย่าครับหมอ...ไม่มีประโยชน์”
ภราดรมองตามกินรีกับพะอูไปอย่างแปลกใจ
แม่หมอนำหน้ากากทองวางบนหิ้งบูชา แล้วนั่งทางในบริกรรมคาถาอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาซึ่งวางพระพุทธรูปไว้ชั้นบนสุด ชั้นถัดลงมาเป็นรูปปั้นของสตรีอยู่ในท่านั่ง สวมเครื่องแต่งกายด้วยชุดชาววังของพม่า ใบหน้าทาสีทองเหลืองอร่าม และที่ใกล้ๆกันนั้นมีรูปปั้นผู้ชายซึ่งเป็นเทพนัตของพม่าอีกตนหนึ่ง ควันธูปที่ลอยตระหลบอบอวลในห้อง สะท้อนกับแสงเทียน แลดูลี้ลับ น่าหวั่นเกรง ใบหน้าของแม่หมอ สงบนิ่ง ลืมตาขึ้นช้าๆ ถอนหายใจยาว พึมพำเบาๆ
“ในที่สุด...ทุกอย่างก็มาถึง...จนได้”
ภราดรนั่งเหม่อและนิ่งมาในรถ ประเดิมสังเกตเห็นจึงถาม
“หมอเป็นอะไรหรือครับ นั่งมาไม่พูดไม่จาเลย ยังตกใจอยู่หรือครับ”
“เปล่า ผมรู้สึกว่าผมเหมือนเคยเจอผู้หญิงที่ชื่อกินรีมาก่อน”
ระรินหัวเราะและไม่เชื่อ
“หมอคงจำผิดแล้วมั้งคะ ผู้หญิงบ้านป่า จะไปเสนอหน้าให้หมอเคยเห็นได้ยังไง วันๆก็อยู่แต่ในป่าในดง...อย่าไปสนใจเลยค่ะ คนดีๆน่ารักๆ ยังมีอีกเยอะ ใกล้ๆนี่ก็มีนะคะ”
ประเดิมทำท่าจะอาเจียน
“สงสัยต้องให้หมอสั่งยาแก้คลื่นไส้ให้สักหน่อยแล้ว”
ระรินส่งเสียงดุ
“นายประเดิม ขับรถไป”
ภราดรไม่สนใจคำพูดของระริน แล้วสะบัดความคิดออกจากหัว เขาเหม่อมองออกไปนอกรถที่วิ่งไปบนถนน
เช้าวันใหม่...ผู้ใหญ่สนกับผู้ช่วย กำลังดูแลไก่ชนอยู่ที่ลานหน้าบ้าน
“เอ็งเอาสมุนไพรที่ข้าบดเนี่ย ทาแผลให้มันทุกวันนะ...” สั่งเสร็จก็หันมาพูดกับไก่ชน “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ขึ้นสังเวียนอีก ลูกพ่อ”
จ่อยเดินเข้ามาหาแล้วทักทาย
“ทำอะไรกันผู้ใหญ่ เตรียมขึ้นสังเวียนอีกรึ”
“ยังหรอก แผลมันยังไม่หาย มีอะไรวะ มาหาข้าแต่เช้า”
“ตอนเที่ยงๆ ฉันจะเข้าไปในจังหวัดเลยมาแวะถามว่าน้าสมรอยากได้อะไรหรือเปล่า”
“นังสมรมันไม่อยู่หรอก ออกไปเก็บเห็ดกับไอ้เสนมันที่ชายป่าโน้น เดี่ยวคงจะมา...มากินน้ำกินท่าก่อนสิ”
จ่อยรับคำเชิญแล้วเข้าไปนั่งร่วมวง
สมรแต่งกายชุดคล้ายกะเหรี่ยง โพกผ้าบนหัว บนหลังแบกกระชุ สำหรับ เก็บของป่า กำลังง่วนอยู่กับการเก็บหน่อไม้
“เสน... เสน อยู่ไหนลูก อย่าไปไหนไกลล่ะ เก็บหน่อไม้ตรงนี้ได้พอ แม่ก็จะกลับแล้ว...เสน…ไอ้เสน!”
สมรเห็นลูกเงียบไปก็เป็นกังวล ทันใดนั้นเสียงเสนก็ดังขึ้น
“คร้าบบบ...”
เสนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้
“มาช่วยแม่เก็บหน่อไม้ตรงนี้เร็ว เยอะแยะไปหมดเลย”
สมรก้มหน้า ก้มตาเก็บหน่อไม้ต่อไป เสนมองไปรอบๆ ก้าวออกเดินไปข้างหน้า พลันสายตาของเด็กชายก็เห็นเห็ดบานสลอน ขาวโพลนอยู่ไม่ไกลนัก เสนวิ่งตรงเข้าไปทันที พลางตะโกนเรียกแม่
“แม่...แม่”
“อะไร”
“เห็ด...เห็ด เยอะแยะเลย” เด็กชายน้ำเสียงตื่นเต้น ดีใจ “แม่... มาช่วยกันเก็บเร็ว”
“เรามาไกลเกินไปแล้วลูก รีบกลับเถอะ ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่เราจะเข้ามา มันเป็นป่า...เอ่อ...ป่าอาถรรพณ์ ไม่มีใครเขามาถึงนี่กันหรอก”
เสนไม่ฟังเสียงแม่ ก้มหน้าก้มตาเก็บเห็ดอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก สมรมาฉุดแขนลูกชาย
“ไป...ไป...เร็ว กลับ...กลับเดี๋ยวนี้”
ไม่ห่างนักในพุ่มไม้มีสายตาที่ไม่ประสงค์ดีจับจ้องสองแม่ลูกอยู่ สมรหันซ้าย หันขวา อย่างขลาดๆกลัวๆ...ที่โพรงไม้ซึ่งถูกปกปิดด้วยใบไม้แห้ง ถูกเปิดออกมาช้าๆ กรงเล็มที่แหลมคมสกปรกแหวกใบไม้ออกมา จากนั้นใบหน้าอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว ผมเผ้ารุงรังยุ่งเหยิงของคนรูจึงโผล่ออกมาจากโพรงใต้โคนไม้ ดวงตาของคนรูเปล่งประกายประหลาด มันแสยะยิ้มแลเห็นเขี้ยวแหลมที่มุมปาก ขณะที่ค่อยๆคืบคลานออกมาจากโพรงดินอย่างช้าๆ คนรูตัวเมียอีกตัวหนึ่ง ค่อยๆมุดออกมาจากโพรงตามหลังตัวผู้ มันส่งภาษาคุยกัน
“ระวังให้ดี...”
“รู้แล้ว...”
สองแม่ลูกช่วยกันเก็บเห็ดที่พื้นดินและกิ่งไม้ โดยไม่เห็นคนรูสองคนผัวเมียที่คืบคลานเข้ามาหาทางเบื้องหลังเพราะมีโคนไม้บังอยู่
“หมดแล้วแม่” เสนหันบอกแม่
“หมดแล้ว เรารีบออกจากที่นี่กันเถอะ แม่รู้สึกยังไงก็ไม่รู้”
“ก็ดีแม่ ที่นี่มันเงียบ วังเวงยังไงก็ไม่รู้”
เสียงกิ่งไม้หักดังกร๊อบ สมรกับเสนได้ยินถนัด สองแม่ลูกมองหน้ากัน เลิ่กลั่ก ตกใจ คนรูสองผัวเมียโผล่ออกมาจากโคนไม้อีกด้านหนึ่ง คนรูตัวเมียในมือถือเขากวางแหลมเป็นอาวุธ มันชันตัวขึ้นสูงเหมือนกับคนยืน แหกปากส่งเสียงคำราม ในขณะที่คนรูตัวผู้ ถือใบไม้ที่ม้วนเป็นท่อยาวๆใส่ลูกดอกเตรียมพร้อม สมรกับเสนผงะด้วยความตกใจ
“แม่...”
“ตัวอะไรน่ะ”
สมรคว้ามือลูกกระชากให้มาหลบข้างหลัง คนรูสองผัวเมีย ขยับเข้าไปหา สมรกับเสนถอยไปถึงพุ่มไม้
“อย่าเข้ามานะ...”
คนรูสองผัวเมียยกเขี้ยวคำรามใส่สองแม่ลูก ก่อนที่จะกระโจนเข้าใส่พร้อมๆกัน สมรผลักเสนจนกระเด็นออกไปอีกทางหนึ่ง พลางร้องสั่งลูก
“เสนหนีไปเร็วลูก”
“แม่...”
เสนละล้าละลัง มองดูแม่ถูกคนรู 2 ผัวเมียรุมกันจับตัวเอาไว้ กดให้นอนลงกับพื้น ตัวหนึ่งเงื้อเขากวางในมือขึ้นมาหมายจะจ้วงให้ทะลุอก กิ่งไม้เหนือหัวสั่นไหว คล้ายกับมีอะไรซุ่มซ่อนอยู่ สมรกับเสนเงยหน้าขึ้นไปมองบนคบไม้ สีหน้าหวาดกลัวสุดขีด คนรูซึ่งยังไม่รู้ตัว ว่ามีอะไรเกิดขึ้น
ข้างบน เท้าสองข้างของคนขะมุกขะมอม ยืนอยู่บนกิ่งไม้แว่บหนึ่งเท้าคู่นั้น เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นเท้าเสือ สมรแลเห็นเสือโคร่งตัวมหึมา ยืนจังก้าอยู่บนคบไม้ พร้อมกับกระโจนลงมาอย่างรวดเร็ว...เสือตะปบตบไปที่คนรูตัวเมียจนกระเด็นเข้าไปในพุ่มไม้ คนรูตัวผู้ ปล่อยมือจากสมร ถอยกรูด ส่งเสียงหวีดร้องวี๊ดๆ ก่อนจะหันหน้ากลับมาตั้งท่าสู้ สมรถลันลุกขึ้น ร้องบอกลูก
“เสน...วิ่งลูก”
เสนวิ่งหนีทันทีโดยมีสมรลุกขึ้นวิ่งตามออกไป คนรูตัวเมียค่อยๆชันตัวลุกขึ้น ใบหน้าถูกตะปบจนเป็นแผลเหวอะเลือด ไหลโชก คนรูตัวผู้ประจันหน้ากับเสืออย่างหวาดกลัว แต่ไม่กล้าหนี เสืออ้าปากออก ส่งเสียงคำรามขึ้นก้องป่า เขี้ยวโง้งของมันยาวจนเลยออกมาจากมุมปาก คนรูทั้งสองผัวเมียหน้าตื่น ผงะหงายหลัง ด้วยความตกใจ ก่อนที่จะตะเกียกตะกายรีบมุดหนีเข้าไปในโพรงใต้ต้นไม้ เสือโคร่งตัวมหึมาหันกลับมา มันเยื้องย่างจังก้า เข้ามาหาพร้อมคำรามก้องขึ้นมาอย่างน่ากลัว ป่าทั้งป่าสั่นไหว สมรจูงมือลูกชายให้ออกวิ่งตาม สองแม่ลูกหวาดกลัวสุดขีด ขณะที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ผ่านพุ่มไม้ ผ่านหนามที่แหลมคมจนเกี่ยวเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง โดยมีเจ้าสัตว์ร้ายไล่ตามมาติดๆ เสนวิ่งตามหลังแม่ ล้มลุกคลุกคลานด้วยความหวาดกลัวจนคุมสติไม่อยู่
“แม่...หนูกลัว...”
สมรเห็นลูกล้มลง ก็หันหลังกลับวิ่งไปพยุงให้ลุกขึ้นมา และเมื่อรู้ว่าจวนตัว หนีไม่ทันแน่ๆ หรือถ้าวิ่งหนีต่อไป ลูกก็จะได้รับอันตราย สมรก็ตัดสินใจสั่งลูก
“เสน...วิ่งไปนะลูก อย่าหยุดจนกว่าจะถึงหมู่บ้าน”
“แล้วแม่ล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงแม่...หนีไป...”
สมรหันไปไล่ลูก พอหันกลับมาก็เห็นเงาทะมึนพุ่งเข้าใส่ จนหงายหลังตึงลงกับพื้น สมรหวีดร้องลั่น ด้วยความตกใจ ร่างของเสือร้ายยืนจังก้าคร่อมอยู่
“หนีไปลูก...”
เสนมองดูเสือโคร่งตัวมหึมากระโจนเข้าใส่ ขย้ำแม่อย่างเมามันด้วยความดุร้าย เด็กชายร้องไห้ก่อนที่จะร้องออกมาด้วยความกลัว และหันหลังวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต...เสือคำรามลั่นป่า...นกป่าบินพรูขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความตกใจ
ภราดรถือแก้วน้ำ กำลังจะแปรงฟันอยู่ที่หน้ากระจก...พลันมีใบหน้าของชะเวโบชาวพุกามในอดีต ขณะกำลังถูกไฟไหม้ใบหน้าบิดเบี้ยวโผล่ขึ้นมาในกระจกอย่างน่ากลัว มีเสียงกรีดร้องอย่างน่ากลัว...ภราดรตกใจถอยกรูดร้องลั่นแล้วเอาแก้วน้ำในมือขว้างเข้าไปในกระจก เสียงแก้วแตกทำให้ประเดิมที่ขับรถมารับรีบวิ่งเข้ามาดู
“เกิดอะไรขึ้นครับหมอ...”
ประเดิมเห็นกระจกแตก ภราดรพยายามอธิบาย
“ผมเห็น...เอ่อ...”
“เห็นอะไรหรือครับ”
ภราดรมองไปรอบๆ และที่กระจกแล้วเปลี่ยนใจที่จะไม่พูดแล้วกลบเกลื่อน
“ปะ...เปล่า...ไม่มีอะไร ไปทำงานเถอะ”
กินรีซึ่งเท้าเปลือยเปล่าขะมุกขะมอม ยืนตักน้ำในโอ่งขึ้นมาล้างมือที่เปื้อนไปด้วยเลือดสดๆ เธอแต่งกายด้วยชุดชาวป่า ใบหน้าสวย เย็นชา สายตาคมกล้าน่ากลัว เลือดติดอยู่บนริมฝีปาก ซึ่งเจ้าตัวรู้สึกสัมผัสได้ จึงวักน้ำจากในขันขึ้นไปล้างออกอย่างรวดเร็ว กินรีวางขันน้ำลงบนฝาโอ่ง ก่อนที่จะหันไปที่ข้างหลังมองกองเลือดกองใหญ่อยู่ในอ่างดินเผาใบขนาดย่อม กินรีหยิบชามอ่างที่มีเลือดสีขุ่นคล้ำเกือบดำ ชามนั้น เดินไปโคนต้นไม้ใหญ่หลังบ้านซึ่งผูกผ้าสีพันเอาไว้ แล้วค่อยๆราดเทลงไป พร้อมกับอธิษฐานเบาๆ
“ขอให้เคราะห์กรรมทั้งหลาย รวมทั้งพิษร้าย ที่ร่างกายของข้าซึมซับเอาไว้ จงได้ละลาย มอดไหม้ ไปกับคำภาวนาที่ร้องขอต่อผีฟ้าด้วยเถิด”
ชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งนอนลืมตาโพลงอยู่บนพื้นเรือนที่ปูด้วยเสื่อทอ หน้าของชาวบ้านคนนั้นซีดขาวเพราะป่วยหนัก ชาวบ้าน 4-5 คน นั่งเรียงกันอยู่ตรงหน้า แม่หมอเจียดหมากพลูเป็นคำๆใส่ลงไปในพานเงินเล็ก กินรีซึ่งเดินเข้ามานั่งลงใกล้ๆกับแม่หมอมีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง
“ไหวมั้ยลูก...วันนี้หนูรักษาไปหลายรายแล้วนะ เป็นยังไงบ้างกินรี” แม่หมอมองดูกินรีอย่างเป็นห่วง
กินรีฝืนยิ้ม แววตาอิดโรย
“ไม่เป็นไรจ้ะ”
กินรีหยิบพานเงินที่มีหมากพลูวางอยู่ภายในขึ้นมาถือไหว้ แล้วยกขึ้นภาวนาเหนือหัว ก่อนที่จะวางลงตรงหน้า หยิบผ้าขาวผืนเล็กๆขึ้นมาห่อหมากพลูสามสี่คำเอาไว้ แล้วยื่นให้กับญาติของคนป่วยที่นอนอยู่เบื้องหน้า
“ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ กลับไปถึงบ้านแล้ว ให้เขากินหมากเสกสามคำนี้ สามมื้ออย่าได้ขาด แล้วเมื่อถึงวันทำพิธีใหญ่ วันทำพิธีคืนวันเพ็ญค่อยพาเขากลับมาเข้าพิธีอีกครั้ง อาการที่เป็นอยู่ก็จะหาย”
ชาวบ้านรับห่อผ้าขาวใส่หมากพลูมาด้วยความตื้นตันใจ
“ขอบคุณแม่หมอ ขอบคุณแม่หนูมากจ๊ะ”
กินรียิ้มอบอุ่น
“ไม่เป็นไรจ้ะ แล้วอย่าลืมที่สั่งอย่างเด็ดขาด”
ชาวบ้านทุกคนก้มลงกราบแม่หมอและกินรีด้วยความศรัทธาและยำเกรง
ระรินกับเดือน ซึ่งเป็นพยาบาลที่ทำงานที่อนามัยด้วยกัน พาภราดรเดินดูสถานีอนามัยขนาดย่อมซึ่งมีเพียงแค่ห้องตรวจรักษาพยาบาล ห้องทำงานของหมอ ห้องจ่ายยา และโถงกว้างสำหรับให้คนไข้มาติดต่อเท่านั้น
โดยระหว่างนั้นมีคนไข้ 2-3คนนั่งรออยู่บนเก้าอี้ยาว
“สถานีอนามัยของเรามีเท่านี้แหละค่ะ นั่นห้องทำงานของคุณหมอแล้วนั่นก็ที่ทำงานของรินกับเดือน”
“ปกติแล้วเดือนจะเป็นคนจ่ายยาค่ะ ส่วนระรินก็จะตรวจ รักษาพยาบาล พี่ประเดิมก็จะทำทุกอย่างตั้งแต่ทำความสะอาดที่นี่ ไปจนถึงขับรถเข้าเมืองไปเบิกเวชภัณฑ์”
“แล้วที่นี่ไม่หมอมาประจำหรือครับ” ภราดรถาม
“แต่ก่อนมีค่ะ แต่ว่ามาอยู่ได้ไม่นาน หมอเขาก็ขอย้ายไปอยู่ที่อื่น” ระรินเล่า
ภราดรแปลกใจ
“อ้าว...ทำไมละครับ”
“ก็ชาวบ้านที่นี่นะสิคะ ปกติแล้วเขาไม่ค่อยมาหาหมอกันนักหรอก”
“แสดงว่าที่นี่มีคนป่วยไม่มาก”
“ไม่ใช่ค่ะ ที่นี่มีคนป่วยเยอะ แต่ชาวบ้านเขาไม่ค่อยมารักษากับอนามัย ส่วนใหญ่เขาพวกเขาจะไปที่อื่นกัน” เดือนบอก
“ที่นี่มีโรงพยาบาลหรือคลินิกอื่นด้วยหรือครับ”
ระรินส่ายหน้า
“ไม่ใช่คลินิกหรอกค่ะ...ที่คุณหมอเห็นเมื่อคืนไงคะจำไม่ได้หรือ พวกแม่มดหมอผีที่อวดอ้างเป็นผู้วิเศษหลอกลวงชาวบ้านไง แล้วคนที่นี่ก็โง้โง่นะคะ”
ภราดรหันไปมอง ทำให้ระรินรีบเปลี่ยนคำพูด
“รินหมายถึง แบบว่า พวกชาวบ้านเชื่ออะไรง่ายๆน่ะค่ะ”
“ไปรักษากับผู้หญิงที่ชื่อกินรีนั่นหรือ...”
“ส่วนใหญ่ชาวบ้านไปที่นั่นกันเกือบหมดค่ะ”เดือนบอก
ภราดรนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วหันไปมองดูคนป่วยที่นั่งอยู่บนม้ายาว แล้วหันมาทางสองสาว
“แล้วนั่นไม่ใช่คนป่วยมารักษากับเราหรือครับ”
เดือนพยักหน้ารับ
“ใช่ค่ะ เขามารอรักษากับเรา”
“อ้าว...แล้วทำไมเรียกเขามาดูอาการละครับ”
ระรินรีบบอก
“ก็ยังไม่ถึงเวลานี่คะ อนามัยเราเปิด 3 โมงเช้าค่ะ ตอนนี้แค่ สองโมงเช้าเอง”
ภราดรหันไปมองระริน สายตาตำหนินิดหนึ่งจนหญิงสาวหน้าเจื่อนไป
“จะกี่โมงก็ตาม ถ้าเขามาถึงแล้ว และเราอยู่บนอนามัยแล้ว ก็ไม่ควรให้ชาวบ้านเขารอนาน หน้าที่เราคือหมอ เราต้องรักษาเขาให้เร็วที่สุด เท่าที่เราจะทำได้”
ภราดรพูดจบก็ผละจากระรินและเดือน เดินไปที่ชาวบ้านซึ่งกำลังนั่งรออยู่ ทิ้งให้สองสาวหันมาสบตากันอย่างแปลกใจ
ผู้ใหญ่สนกำลังนั่งอาบน้ำให้ไก่ชนอยู่ ในขณะที่จ่อยกับลูกบ้านที่เหลือกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่บนแคร่ ใต้ถุนบ้าน ทุกคนกำลังคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน เสนวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในบริเวณบ้าน ร้องเรียกพ่อเสียงลั่น
“พ่อ...”
ผู้ใหญ่สนและทุกคนหันไปมอง พอเห็นร่างของลูกที่ใส่เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งเพราะกิ่งไม้ และหนามในป่ามันเกี่ยวจนขาดวิ่น เนื้อตัวหน้าตาเต็มไปด้วยรอยเลือดและบาดแผลจากการขีดข่วนเท่านั้น ผู้ใหญ่สนก็ผุดลุกขึ้นมาทันที
“ไอ้เสน เป็นอะไรไปลูก”
ผู้ใหญ่สนมองดูลูกอย่างเลิ่กลั่ก เพราะรู้ว่าต้องเกิดเหตุร้ายขึ้นแน่ เขามองหา
“แล้วนี่แม่เอ็ง ไปไหน ไอ้เสน บอกพ่อมาสิ แม่เอ็งอยู่ไหน”
เสนทรุดตัวลงกับพื้น หมดแรง ร้องไห้โฮ ผู้ใหญ่สนร้อนใจ
“แม่เอ็งละลูก แม่เอ็งอยู่ไหน บอกพ่อสิ”
“แม่ตายแล้ว...แม่ตายแล้ว”
ผู้ใหญ่สนคว้าร่างลุกชายขึ้นมา เขย่าแรงๆด้วยความตกใจ
“ตาย...ตายที่ไหน...แม่เอ็งอยู่ที่ไหน”
เสนไม่สามารถรับรู้อะไรอีกแล้ว เด็กชาย ตีอก ชกหัว พร่ำบ่นเหมือนคนเสียสติ ด้วยความตื่นกลัว
“แม่ตายแล้ว...แม่ตายแล้ว...”
จ่อยเข้ามาดึงผู้ใหญ่สน
“พอเถอะผู้ใหญ่ ไอ้เสนมันคงกลัวจนช็อกไปแล้ว ผู้ใหญ่ก็อย่าไปคาดคั้นอะไรมันเลย”
ผู้ใหญ่สนผลุนผลันขึ้นไปบนเรือน จ่อยกับลูกบ้านที่เหลือมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ครู่หนึ่งผู้ใหญ่สน ก็เดินลงมาพร้อมกับปืนลูกซองยาวในมือ
“ผู้ใหญ่จะไปไหน” จ่อยรีบถาม
“ข้าจะไปตามเมียข้า...เมื่อเช้ามันบอกว่าจะเข้าไปเก็บหน่อไม้ในป่า”
“แล้วผู้ใหญ่จะรู้หรือว่า แม่สมรมันไปหาของป่าที่แถวไหน”
“ข้าไม่รู้หรอก แต่ก็ต้องไปตามหามัน”
จ่อยเข้าใจและบอกชาวบ้าน
“งั้นผู้ใหญ่รอประเดี่ยว พวกข้าจะกลับไปเอาปืนที่บ้าน แล้วเรา ไปตามหาแม่สมรกัน”
จ่อยกับชาวบ้านรีบกลับไปเอาปืน ผู้ใหญ่สนมองลูกชายที่นั่งตัวสั่นอยู่อย่างเวทนา
จ่อยกับชาวบ้านช่วยๆกันตะโกนขอความช่วยเหลือ มาทางร้านกาแฟประจำหมู่บ้าน
“เร็วโว้ย...ใครมีปืนเอาปืนมา ใครมีมีดมีพร้าก็เหน็บมาด้วย ช่วยผู้ใหญ่แกหน่อยโว้ย”
เจ้าของร้านที่อยู่ในกลุ่มของจ่อยเดินเข้ามาหาเมียที่กำลังชงกาแฟ ผ่านที่โต๊ะตัวหนึ่งที่จ่าชิตในชุดตำรวจที่ไม่ค่อยเรียบร้อยกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ เขาถามเจ้าของร้าน
“มีเรื่องอะไรกันหรือ”
“เสือน่ะสิ...ไอ้เสนมันวิ่งมาจากป่าบอกว่าเสือกัดแม่มันตาย”
“เสือ...”
จ่าชิตแววตากร้าว อย่างมีความหลังกับเสือ!!!
เสือสมิง ตอนที่ 1 (ต่อ)
สมรนอนตายจมกองเลือดอยู่ เสือโคร่งเดินวนเวียนมองศพแล้ว คำรามลั่นก่อนจากไป ร่างค่อยๆเลือนหายไป ด้านหลังกลายเป็นคนไม่ได้สวมเสื้อผ้าเดินเข้าป่าไป คนรูซุ่มอยู่แล้วปรึกษากันสองคนผัวเมีย
“รีบไปจัดการการเถอะ”
คนรูสองคนผัวเมียออกจากรูตรงไปทำอะไรบางอย่างที่ศพ ตัวเมียวิ่งออกไปดูต้นทาง
แม่หมอลืมตาโพลงที่หน้าหิ้งบูชาแล้วถอยหลังกรูด พร้อมทำแจกันหล่นพื้น
“หา...ไม่...”
กินรีได้ยินเสียงจึงเข้ามาแล้วถาม
“มีอะไรหรือยาย...ยายเป็นอะไร”
แม่หมอได้สติแล้วนิ่งในใจครุ่นคิด
“ในที่สุด...ทุกอย่างก็มาถึงจนได้...”
“อะไรหรือจ๊ะยาย”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่มีอะไรแล้วยายทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะจ๊ะ”
แม่หมอมองดูกินรีอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วถอนหายใจยาวๆ ทันใดนั้นเสียงผู้ใหญ่สนดังเข้ามา
“พวกเอ็งรีบหน่อยได้มั้ย เดี่ยวไปช่วยเมียข้าไม่ทัน!”
แม่หมอและกินรีต่างแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ผู้ใหญ่สนเดินนำพวกชาวบ้านที่อาวุธครบมือ ผ่านหน้าบ้าน แม่หมอกับกินรีออกมาดู
“มีเรื่องอะไรกันหรือผู้ใหญ่” กินรีเข้าไปถาม
“เสือโคร่งมันออกอาละวาด ไล่กัดเมียข้าที่ในป่าริมภูเขา โชคดีที่ไอ้เสนมันหนีรอดมาได้ นี่พวกข้าก็กำลังจะเข้าไปดูแม่มันว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
กินรีมองดูเสนที่ร้องไห้กระซิกๆ
“เสือเหรอ”
ผู้ใหญ่สนตอบเสียงเครียด
“ใช่...พวกข้าต้องไปก่อนล่ะ เดี๋ยวจะช่วยนังหมอนมันไม่ทัน”
แม่หมอปรามทุกคนด้วยสายตากร้าว
“พวกเอ็งเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ป่านนี้นังหมอนมันคงไม่หายใจแล้วล่ะ”
เสนร้องออกมาอย่างน่ากลัว
“แม่ตายแล้ว...เสือกัดแม่ตายแล้ว...ฮือ...”
“อย่าเข้าไปเลยเชื่อข้าสิ เอ็งก็รู้ว่าที่นั่นมัน...”
แม่หมดไม่อยากพูดถึง ทุกคนที่กำลังจะออกเดินหยุดกึก ผู้ใหญ่สนหน้าตาจริงจัง
“แม่หมอจะให้พวกข้าทำอย่างไร ถึงป่านั่นจะน่ากลัวแค่ไหน ข้าก็จะไม่ทิ้งให้นังหมอนมันนอนเน่าตายอยู่ในนั้นหรอก”
แม่หมอได้ฟังแล้วยืนนิ่งอึ้ง จนปัญญา ได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความสงสาร
“เวรกรรมจริงๆ”
ทุกคนพากันเดินออกไป ผู้ใหญ่สนบอกกับพรรคพวก
“ไปเถอะพวกเรา...เดี๋ยวจะมืดค่ำซะ”
กินรีก้าวขึ้นมาบนเรือน ขณะที่แม่หมอพึมพำเดินกลับมาที่โถงบนเรือน
“หรือคำสาปแช่งนั่นมันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว...”
แม่หมอค่อยๆทรุดกายลงนั่งอย่างหวั่นวิตก กินรีมองดูด้วยความสงสัย
บริเวณริมลำธารในป่าข้างชุมโจร....จงใจลูกสาวของเสือใจซุ่มดูแก้ว เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ลากเชือกเส้นเล็กเพื่อดักไก่ป่า แล้วไปซุ่มดูอีกมุมหนึ่ง ทั้งคู่จ้องไปที่กับดัก ไก่ป่ากำลังจะเดินมาติดกับทั้งคู่ลุ้น ทันใดเสือทศเข้ามากอดเข้าข้างหลังจงใจอย่างรวดเร็ว
“จับได้แล้ว”
“ว้าย!”
จงใจร้องอย่างตกใจ ไก่ป่าหนีไป
“พี่ทศ...โธ่ ตกใจหมดเลย”
เสือทศคลายมือออก แก้วเดินเข้ามาอย่างเซ็งๆ
“พี่ทศนะพี่ทศ ไก่หนีไปเลย”
“ใช่...จงใจกับแก้วอุตส่าห์รอตั้งนาน” จงใจบ่น
เสือทศหัวเราะชอบใจ
“โธ่...ไก่ป่าแค่นี้พี่ยิงให้เมื่อไหร่ก็ได้ จงใจจะเอาสักกี่ตัวล่ะ”
หิน น้องชายของแก้ว หิ้วไก่ป่ามาสองตัว มืออีกข้างถือหน้าไม้
“ไม่ต้องถึงมือเสือทศหรอก นี่...แค่มือไอ้หินก็พอ...ฉันซัดมาสองตัว...เย็นนี้อร่อยแน่”
จงใจขัดขึ้น
“พี่ไม่ได้จะเอามากินซะหน่อยหิน...พี่จะเอามันมาเลี้ยง”
ทศหัวเราะในความน่ารักของหญิงสาว จงใจนึกได้
“เอ๊ะ...นี่พี่ทศพาเสือเข้มกลับมาแล้วหรือ...แสดงว่า...”
เสือทศยิ้ม
“ใช่...พ่อเสือกลับมาแล้วอยู่ที่ลานบ้านแน่ะ”
จงใจดีใจแล้ววิ่งไป
“ไชโย...พ่อเสือกลับมาแล้ว”
ในชุมโจร...เสือใจนั่งอยู่บนแคร่หน้าบ้าน ข้างๆแววแม่ของแก้วกับหินนั่งอยู่ด้วย เสือดำกับเสือชินที่พาเสือเข้มไปพัก เดินกลับมาหา
“ไอ้เข้มเป็นยังไงบ้าง” เสือใจถาม
“อาการดีขึ้นมากแล้ว กำลังหลับอยู่จ้ะ...พ่อเสือ” เสือชินบอก
เสือใจพยักหน้ารับรู้ จงใจวิ่งเข้ามากอดอย่างดีใจ หิน แก้ว และเสือทศเดินตามมาข้างหลัง
“พ่อเสือ...จงใจคิดถึงจังเลย”
แววค้อน
“อะไรกัน พ่อเสือไปบ้านสางคืนเดียวทำอย่างกับไม่ได้เจอมาเป็นปี”
“น้าแววก็ ก็พ่อเสือเคยออกจากชุมโจรซะเมื่อไหร่ล่ะ”
เสือทศ แก้ว หิน เดินเข้ามานั่ง
“แกงป่านะแม่” หินเอาไก่วางลง
“เออ...พ่อลูกบังเกิดเกล้า”
เสือใจมองเด็กทั้งสามแล้วปราม
“นี่ออกไปเที่ยวเล่นในป่าอีกแล้วสิ...พ่อสั่งแล้วไงจงใจว่าไม่ให้ออกไปจากเขตชุมโจรเรามันอันตราย”
“แหมพ่อเสือก็...จงใจอยากไปเที่ยวเล่นบ้างนี่...จงใจโตแล้วนะ” จงใจอ้อน
เสือใจมองลูกสาวด้วยความเอ็นดูแล้วยิ้ม
“ไปช่วยน้าแววทำกับข้าวไป พ่อมีเรื่องจะคุยกับพี่ทศเขาหน่อย”
แววเดินนำจงใจ แก้วและหินไป เสือใจหันมาถามเสือทศอย่างจริงจัง
“เรื่องมันเป็นยังไงไอ้ทศ พวกเอ็งออกไปไหนมา ไอ้เข้มถึงได้โดนลูกดอกปางตายแบบนี้”
“เมื่อวานฉันกับไอ้เข้ม ไอ้ดำ ไอ้ชิน เดินผ่านป่าแถวบ้านสางแล้วไม่รู้ลูกดอกมันมาจากไหน” เสือทศเล่า...
ก่อนหน้านี้...เสือเข้ม เสือดำและเสือชิน เดินเข้าไปในป่าด้านหลังเขา
“อีกไกลไหม พี่ทศ” เสือเข้มถาม
เสือทศมองไปข้างหน้าสุดสายตา
“ถึงนั่นก็น่าจะมืดพอดี”
“ก็ได้เวลาเข้าปล้นเลยน่ะสิ”
เสือดำสงสัย
“ทำไมต้องไปปล้นที่นั่นด้วย หมู่บ้านบ้านสางใกล้ๆนี่ก็พอ”
“ชื่อมันไม่เป็นมงคลว่ะ มันเหมือนหมู่บ้านผีสิงยังไงก็ไม่รู้ หมู่บ้านอะไรวะ ชื่อ บ้านสางแล้วสางมันก็คือผี ที่นี่มันแปลกว่ะ ข้าไม่อยากเหยียบเข้าไปเลย”
“ที่นั่นเราจะได้อะไรบ้างพี่” เสือเข้มถามขึ้นมาบ้าง
เสือทศยิ้มบางๆ
“ม้า...น้ำมันก๊าด...น้ำมันเตา...และอาจจะมีปืนติดไม้ติดมือมาคนละกระบอกสองกระบอก”
เสือเข้มยิ้ม พยักหน้าอย่างพอใจ เสือดำเดินพลางทำจมูกฟุตฟิตสูดอากาศ
“พวกเอ็งได้กลิ่นเหม็นอะไรมั่งมั้ยวะ”
“เหม็นอะไร” เสือเข้มถาม
เสือชินหยุดเดิน หันไปรอบๆ
“ข้าได้กลิ่นเหมือนกัน ตอนแรกยังคิดเลยว่ากลิ่นอะไรตายที่ไหน น่าอ้วกชะมัดเลย”
ทุกคนหยุดเดิน มองไปรอบๆ
“มีอะไรเน่าตายอยู่แถวนี้หรือเปล่าวะ” เสือดำมองไปยังมุมหนึ่งของป่า
คนรูผัวเมียมองทุกคนอยู่ ตัวเมียรีบหลบและพรางตัวกับใบไม้ ตัวผู้เอื้อมมือไปเด็ดใบไม้เพื่อเอามาม้วนเป็นกระบอกลูกดอก เสียงใบไม้ขาดดังแคว่ก สี่เสือที่ยืนหันรี หันขวางอยู่ หันขวับไปตามเสียงทันที พร้อมกับปืนในมือ
“เฮ้ย...ใครวะ” เสือเข้มตะโกนถาม
คนรูตัวผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ยกกระบอกลูกดอกขึ้นจ่อกับปาก เป่าพรวดออกไป ลูกดอกเล็ก พุ่งตรงเข้ามาปักที่คอของเสือเข้มดังควั่บ
“โอ้ย”
เสือเข้มลงไปนั่งกุมคอด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะล้มตึงลงกับพื้น เสือชินกับเสือดำ กระโจนเข้าหลบในพุ่มไม้ ระดมยิงอย่างสะเปะสะปะด้วยความตกใจ เปรี้ยง !! เปรี้ยง !! เปรี้ยง !!
“ใครวะ ออกมาสิวะ...ไอ้เวรเอ๊ย...” เสือดำส่ายปืนไปมา
คนรูทั้งสองคน ฉวยจังหวะนั้น คลานล่าถอยออกมาจากพุ่มไม้ ก่อนที่จะแฝงตัวหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญเส้นทาง
เสือดำกับเสือชิน ยิงจนหมดกระสุน แต่ก็ไม่มีเสียงตอบโต้จากอีกฝ่าย นานจนรู้สึกว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว จึงได้ออกมาจากที่หลบซ่อนวิ่งเข้าไปดูเสือเข้ม
“ไอ้เข้มๆ เป็นอะไรหรือเปล่าวะ”
เสือชินค่อยๆพลิกร่างของเพื่อนขึ้นมา พบว่ายังไม่ตาย แต่หายใจรวยริน และที่คอมีลูกดอกปักอยู่หนึ่งอัน
“ระยำเอ๊ย...พวกชาวป่าแน่ๆเลย”
เสือดำหันมาถามเสือทศอย่างกังวล
“แล้วนี่เราจะเอายังไงดี”
“กลับไปที่ชุมเสือก่อน”
เสือทศเดินนำ เสือดำกับเสือชินช่วยกันหามร่างของเสือเข้ม เดินไปอย่างทุลักทุเล
เสือทศเล่าต่อ...
“แล้วฉันกับไอ้พวกนี้ก็พาไอ้เข้มมาหาพ่อเสือนี่ล่ะจ้ะ...”
เสือใจเครียดทันที
“ข้าสั่งแล้วไงว่าห้ามทุกคนออกไปเกินพื้นที่ที่ข้ากำหนดเอาไว้ ถ้าตำรวจรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ มันจะเกิดอะไรขึ้น อีกอย่าง ชุมเสือของเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปปล้นใครอีก เราทำไร่ทำนาเลี้ยงสัตว์ก่อร่างสร้างตัวมาเป็นสิบปี แค่นี้ก็พออยู่พอกินแล้ว อย่าออกไปหาความเดือดร้อนเข้ามาอีก”
เสือทศไม่พอใจ
“แต่เราเป็นเสือนะพ่อ เคยปล้นมาเท่าไหร่ ต่อเท่าไหร่แล้ว ค่าหัวพวกเราแพงลิบถึงไม่ปล้น ตำรวจก็ตามล่าเราอยู่ดี”
เสือใจถอนใจ แม้จะเห็นด้วยกับเสือทศแต่ก็ตัดบท
“เราจะปล้นต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น...พวกเอ็งไปได้แล้วจะไปทำอะไรก็ไป”
เสือทศ เสือดำ เสือชิน ลุกออกจากที่นั่น
“เดี๋ยวไอ้ทศ...เอ็งยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าตอนนั้นเอ็งจะไปปล้นที่ไหน” เสือใจนึกขึ้นได้
“ปางช้างเสี่ยรงค์”
เสือทศบอกแล้ว เดินไปกับเสือดำและเสือชิน เสือใจหน้าเข้มขึ้นเพราะมีบางอย่างในใจ เมื่อได้ยินชื่อเสี่ยรงค์!!!
ผู้ใหญ่สน จ่อย และชาวบ้านพร้อมอาวุธครบมือ เดินทางไปตามรอยป่าที่เสนแหวกหนีวิ่งออกมา มีเศษเสื้อผ้า รอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ทั่วไป ทำให้ทุกคนตามรอยเข้าไปได้อย่างไม่ยากนัก
ขณะเดียวกันนั้นคนรูแอบมองกลุ่มของผู้ใหญ่สนอยู่ จ่อยทำหน้าที่เป็นพรานช่วยสะกดรอยนำหน้าก็หยุดชะงัก เขารู้สึกเหมือนมีคนคอยตาม
“มีอะไรวะไอ้จ่อย”
จ่อยยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก ให้ทุกคนเงียบ ทันใดคนรูเคลื่อนผ่านด้านหน้าไปอย่างรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน
“ตรงนั้น...” จ่อยชี้
ทุกคนยกปืนขึ้นมาเหนี่ยวไกยิงทันที
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!
เสนกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ผู้ใหญ่สนกอดลูกเอาไว้ เพื่อปลอบโยน ในขณะที่หันไปตำหนิลูกบ้าน
“เฮ้ย...พวกเอ็งยิงอะไรกันวะ...ใช่คนหรือเปล่าน่ะ”
จ่อยส่ายหน้า
“อะไรไม่รู้...ไวชะมัดเลย”
“ท่าทางมันเหมือนคน แต่ไม่น่าใช่”
ผู้ใหญ่สนสงสัยมองไปตามที่คนรูแหวกหนีไปแล้วสันนิษฐาน
“รอยมันต่ำขนาดนั้น...น่าจะเป็นหมูป่า...ช่างมันเถอะ มีอะไรหรือเปล่า ทำไมเอ็งถึงให้ทุกคนหยุด ไม่ไปต่อ”
จ่อยครุ่นคิด
“มันน่าแปลกพิกลนะผู้ใหญ่ ไม่สังเกตหรอกรึว่า พอเรามาถึงที่ตรงนี้ บรรยากาศมันวังเวงซะเหลือเกิน”
“ก็มันในป่า เอ็งจะให้มันอึกทึกเหมือนหมู่บ้านได้ยังไงวะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าหมายถึงว่า มันเงียบผิดปกติ เหมือนแถวนี้มีอาถรรพณ์อะไรสักอย่าง”
ทุกคนโพล่งออกมาพร้อมกัน
“ผีเหรอ”
จ่อยส่ายหน้า
“ไม่ใช่...มันบอกไม่ถูกน่ะ แต่รู้ว่ามันไม่ธรรมดา ข้าไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน”
“ข้าไม่สน...ยังไงข้าก็ต้องไปหาศพนังหมอน...ไปเสน”
ผู้ใหญ่สนพาเสนเดินนำไป ทุกคนตามไปอย่างหวาดๆ
ภราดรตรวจคนไข้โดยระรินเป็นผู้ช่วย ตรวจคนไข้เสร็จจึงอธิบาย
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ มีไข้นิดหน่อย เดี๋ยวไปรับยาข้างหน้าเลยนะ”
“ขอบคุณครับหมอ”
คนไข้ออกไป ระรินเก็บเครื่องมือ
“เอ่อ...เที่ยงนี้คุณหมอจะทานอะไรคะ”
“ยังไม่ทราบเลยครับ ไม่รู้ว่าประเดิมจะจัดอะไรมาให้”
ภราดรเดินออกมาข้างนอก ระรินเดินตามมาคุยต่อ
“งั้น เชิญที่บ้านรินดีไหมคะ คุณพ่อของรินอยากรู้จักคุณหมอด้วยค่ะ”
“ได้สิครับ...ก็ดีเหมือนกันตั้งแต่มาผมรู้จักผู้ใหญ่ที่นี่ไม่กี่คนเอง”
ระรินดีใจออกนอกหน้า
“งั้นเราไปกันเลยไหมคะ นี่จะเที่ยงแล้ว”
รถตำรวจของสมรักษ์วิ่งเข้ามาจอดหน้าอนามัยอย่างรีบร้อน สมรักษ์ตะโกนบอกภราดร
“หมอครับ...รีบขึ้นมาเร็ว มีเรื่องฉุกเฉิน”
“มีอะไรครับ”
“มาก่อนเถอะแล้วค่อยคุยกันในรถ”
ภราดรหันมาบอกระริน
“ขอโทษนะครับคุณระรินเอาไว้วันหลังก็แล้วกัน”
ภราดรคว้ากระเป๋ายาแล้วรีบวิ่งมาที่รถสมรักษ์ ประเดิมถือปิ่นโตอาหารเที่ยงมา ภราดรเรียกให้ไปด้วยกัน
“อ้าวประเดิม...มาพอดี...ไป...ไป...ไปด้วยกันก่อน...เร็ว”
ประเดิมไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่ก็ขึ้นรถไป รถวิ่งออกไป ระริมมองตามอย่างฉุนเฉียว เดือนมองเหตุการณ์อยู่นานออกมาแซว
“ปลากำลังจะติดเบ็ดอยู่แล้วเชียว...แหม อุตส่าห์ตำน้ำพริกรอ”
“นี่...ไม่ต้องมาซ้ำเติมเลย...วันพระไม่ได้มีหนเดียว คอยดูนะฉันจะต้องเป็นแฟนหมอภราดรให้ได้”
ระรินมั่นใจ เดือนแทบไม่เชื่อหูแต่ก็ตามใจเพื่อน
ขณะที่ตำรวจขับรถไปตามเส้นทาง ภราดรถามอย่างสงสัย
“มีเรื่องด่วนอะไรหรือครับหมวด”
สมรักษ์หันมาเล่า
“มีคนมาแจ้งว่าเมียผู้ใหญ่สนที่บ้านสางถูกเสือกัดตาย ผมผ่านมาทางนี้เลยชวนหมอไปด้วยเผื่อมีอะไรให้หมอช่วยน่ะครับ”
“ครับ...ยินดีครับ”
รถวิ่งผ่านถนนไป เบื้องหน้าท้องฟ้ามืดครึ้ม ภราดรนั่งมองทางเพลินพอหันกลับมาจะคุยกับประเดิม ก็เห็น ชะเวโบในชุดโบราณนั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าเละเพราะถูกไฟเผามองภราดรอย่างถมึงทึง
“เฮ้ย...” ภราดรสะดุ้ง
คนทั้งรถหันมามองภราดร ประเดิมสงสัยเห็นภราดรหน้าซีดก็เรียก
“เป็นอะไรหรือหมอ...”
ภราดรตั้งสติ ชะเวโบหายไปแล้ว เขาหายใจหอบเหงื่อเต็มหน้า
“เป็นอะไรหรือเปล่าหมอ...หน้าซีดเชียว” สมรักษ์มองหน้า
“ไม่ครับ...ผมไม่ได้เป็นอะไร”
ภราดรครุ่นคิดอย่างแปลกใจว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรกันแน่!
จ่าชิตเดินเข้ามาในป่าอย่างระวัง เขาได้ยินเสียงปืนจึงชะงักฟัง ทันใดคนรูตัวเมียวิ่งผ่านด้านหลังไป จ่าชิตหันไปด้วยความรู้สึก เห็นหลังของมันไวๆแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จึงไล่ตามคนรูตัวเมียมาอย่างกระชั้นชิดแต่ไม่เห็นร่างของมันเต็มๆ คนรูตัวเมียวิ่งเข้ามาที่ศพสมร ซึ่งคนรูตัวผู้กำลังทำอะไรบางอย่างกับศพ ตัวเมียตะโกนบอกด้วยภาษาคนรู
“รีบไปเร็ว มีคนมา...”
คนรูตัวผู้ วิ่งออกไปจากศพ คนรูตัวเมียวิ่งตามไป จ่าชิตวิ่งมาที่ศพไม่เห็นใคร เขาหยุดมองศพสมรแล้วไม่ตามคนรู เขาเพ่งมองศพ และต้นไม้ที่อยู่เหนือศพเพราะมีความหลังบางอย่างกับที่นี่ เขามองอย่างเจ็บแค้น
“ไปที่ชอบที่ชอบเถอะ สมร...”
ผู้ใหญ่สนกับพวกเดินมาถึง
“นังหมอน!”
ผู้ใหญ่สนวิ่งเข้าไป คว้าร่างของเมียมากอดเอาไว้ ร้องไห้โฮเหมือนกับเด็กๆ
“นังหมอน...ทำไมเอ็งมาทิ้งข้าไปแบบนี้...”
เสนเข้าไปหาพ่อที่กำลังกอดศพแม่อยู่ ส่งเสียงกรีดร้องอย่างเศร้าเสียใจสุดชีวิต ทุกคนหันไปมองหน้ากันอย่างเศร้าใจ
กินรียกสำรับกับข้าว ออกมาวางลงที่ห้องโถงด้านนอกของเรือน แม่หมอเดินมาทรุดตัวลงนั่ง
“แล้วนี่พะอูมันไปไหนล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ ว่าจะให้มันช่วยตัดใบตองให้จะได้เอามาทำบายศรีไว้รอทำพิธีเสียหน่อย”
แม่หมอถอนใจ
“ดูแลมันดีๆแล้วกัน สงสารมัน เกิดมามีกรรม หน้าตาก็ไม่เหมือนชาวบ้านเขา”
“หมู่นี้พะอูมันแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ ตั้งแต่มันลงมาจากเขาแล้วก็ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว เหมือนมีอะไรในใจ”
“เตือนมันหลายหนแล้วว่าอย่าขึ้นไปบนภูเขา ทำไมไม่เชื่อกันมั่งเลย”
“ยายก็อย่าไปว่าอะไรมันเลยจ๊ะ มันอยู่ที่นี่มันก็ไม่มีเพื่อนอยู่แล้ว มีแต่คนรังเกียจมัน มันก็ต้องเข้าป่า ขึ้นเขาไปตามประสานั่นแหละ”
ทันใดนั้นมีเสียงโครมครามที่หน้าบันไดบ้าน เสียงร้องเรียกของมะค่าดังลั่น
“ยาย...พี่กินรี อยู่มั้ย มาช่วยหนูหน่อย...”
แม่หมอและกินรีเดินไปที่นอกชาน เห็นมะค่ากำลังประคองพะอูอยู่ที่ตรงบันได พะอูเสื้อผ้าขาดวิ่น ฉีกขาด ท่าทางอ่อนล้าเต็มที
“พะอู”
กินรีตกใจเมื่อเห็นสภาพของน้อง เธอรีบไปช่วยมะค่าพยุงพะอูขึ้นมาบนบ้าน ประคองให้นอนลงบนเรือน มะค่าไปเอาน้ำมาให้กินรีเช็ดหน้าเช็ดตาให้พะอูที่มีรอยขีดข่วนบนร่างกายเลือดไหลซิบๆ
“เกิดอะไรขึ้น มะค่า...”
“ไม่รู้ สิ...หนูกำลังจะไปเก็บฟืน พอดีเห็นพะอูนอนสลบอยู่ที่ชายป่า หนูก็เลยพามาส่งนี่แหละจ๊ะ”
“เหมือนไปถูกอะไรฟัดมา”
แม่หมอมองดูสภาพของหลานชายที่นอนลืมตาโพลงอยู่บนพื้นเรือนอย่างเวทนา มือที่เหี่ยวย่นลูบไล้ไปบนใบหน้าและเส้นผมของพะอูอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัวแล้วลูก ยายอยู่ที่นี่แล้ว อย่ากลัวเลย...”
พะอูน้ำตาไหล ส่งเสียงอ้อแอ้ทำท่าทางว่า น่ากลัว เพื่ออธิบายให้ทุกคนเข้าใจ แม่หมอลูบศีรษะเบาๆอย่างเอ็นดูและเวทนา
“ไม่เคยเห็นพะอูกลัวอะไรขนาดนี้เลย” กินรีแปลกใจ
“เอ็งคิดว่าน้องเอ็งไปเจออะไรมาล่ะ มันถึงได้เป็นอย่างนี้”
พะอูชันตัวลุกขึ้นนั่ง ถอยหลังไปพิงฝา พะอูส่งสัญญาณมือว่าตนเองโดนสัตว์ไล่ทำร้าย กินรีพูดตาม
“อะไรนะ...พะอูกำลังกำลังจะไปตัดใบกล้วยที่ริมห้วย แต่มีตัวอะไรไม่รู้ มันกระโจนเข้าใส่ ก็เลยวิ่งหนี จนหมดแรง”
“คงจะเป็นเสือที่กัดแม่ไอ้เสนตายแน่ๆเลย” มะค่าบอก
“เอ็งรู้ได้อย่างไร ว่าแม่ไอ้เสนมันตายแล้ว” แม่หมอหันมาถามมะค่า
“โธ่ยาย...เขารู้กันทั้งหมู่บ้านแล้วล่ะว่ามันเสือมันกัดแม่ไอ้เสนตาย ตอนนี้ทั้งตำรวจทั้งชาวบ้าน เขาไปดูกันเต็มเลย...”
แม่หมอนิ่งไป...ในใจคิดถึงอะไรบางอย่างและขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย
เสือสมิง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ศพของสมรถูกคลุมผ้าขาวอยู่บนเสื่อกลางลานบ้าน ภราดรตรวจดูบาดแผล สมรักษ์อยู่ข้างๆ ขณะที่ผู้ใหญ่สน และชาวบ้านมองอย่างเศร้าใจ
“ไม่น่าอายุสั้นเลย นังหมอนเอ๊ย...ทำไมเอ็งมันโชคร้ายขนาดนี้” ผู้ใหญ่สนคร่ำครวญ
“ใจเย็นๆน่าผู้ใหญ่ คิดว่าถึงคราวเคราะห์ก็แล้วกัน ยังไงพวกผมจะจัดทีมล่าเสือตัวนี้ให้ได้” สมรักษ์หันมาบอก
“ผมรู้...ผมก็จะไม่ปล่อยมันเหมือนกัน”
ภราดรชันสูตรศพอย่างหนักใจ สมรักษ์สังเกตเห็น
“เป็นยังไงบ้างหมอ”
ภราดรพลิกตามร่างกายสมร สำรวจดูบาดแผลศพ เห็นศพแขนขาด ขาขาด บาดแผลเต็มตัวจนเละเทะ เช่นเดียวกับจ่าชิตมองดูบาดแผลที่แขนกับขาซึ่งคล้ายกับถูกตัดขายไปอย่างครุ่นคิด
“โดนเสือกัดจริงๆครับ”ภราดรหันมาบอกทุกคน
“โธ่หมอ...ใครดูก็รู้แล้วว่าเมียผมมันโดนเสือกัด”
จ่าชิตที่ยังมีอาการเมา ออกความเห็น
“แต่เสือตัวนี้ ท่าทางมันไม่ธรรมดา”
จ่าชิต เดินมาที่สมรักษ์และผู้ใหญ่สน
“กลิ่นเหล้าหึ่งเลยนะจ่า...จ่าว่ามันไม่ธรรมดายังไง” สมรักษ์ถึงกับย่นจมูกอย่างไม่พอใจ
“จากบาดแผลที่ดูแล้ว นังหมอนมันโดนเสือกัดตายแน่ๆ แต่เสือมันไม่ได้กินศพ มันไม่ได้กินเนื้อคนตายเข้าไปสักชิ้น มันแค่ฆ่าให้ตายเท่านั้น”
ผู้ใหญ่สนแปลกใจ
“อ้าว...แล้วที่เนื้อมันแหว่งหายไปนั่นล่ะ ไม่ใช่เสือมันกินเหรอ”
“นั่นนะสิจ่า...แล้วแขน ขา เนื้อตรงหน้าอกหายไปไหน ถ้าไม่ใช่เสือกัดเอาไปกิน” สมรักษ์สงสัยเช่นกัน
ภราดรมองอย่างพิจารณา
“บาดแผลที่แขนกับขา มันไม่ใช่ขาดเพราะเสือกระชากเอาไปกิน แต่มันขาดเหมือนโดนอะไรตัดเอาไปมากกว่า”
“หมายความว่าไงหมอ”สมรักษ์สงสัย
“คมเขี้ยวเสือกับของมีคมมันแตกต่างกันนะรับ รอบขย้ำของเสือมีแค่รอยเดียว และผมเข้าใจว่าแผลนี้ทำให้คุณสมรเสียชีวิต”
จ่าชิตเสริมคำพูดภราดรและบอกในสิ่งที่เห็น
“เสือตัวนั้นไม่ได้แตะศพมันเลย แต่มีอะไรบางอย่างในป่านั่นมาเอาเนื้อมันไปกิน”
ผู้ใหญ่สนหน้าตื่นแปลกใจ
“อะไรวะ...ในป่านั่นมันยังมีตัวอะไรอีกยังงั้นหรือ”
จ่าชิตจำเหตุการณ์ที่เขาตามไอ้ตัวประหลาดนั่นได้แม่น
“ฉันเห็นมัน”
สมรักษ์ชะงักไป
“มันเป็นตัวอะไรกันแน่”
“ผมไม่รู้ ผมตัวคนเดียวไม่กล้าตามมันไป”
สมรักษ์ไม่พอใจจ่าชิต
“แล้วทำไมจ่าไม่รายงานผมก่อน ผมจะได้จัดกำลังออกไป”
จ่าชิตเชิดหน้าใส่แล้วประชด
“คราวหน้าผมจะทำเป็นลายลักษณ์อักษรเลย ดูซิว่าไอ้ตัวที่วิ่งพล่านกันอยู่ในป่าน่ะ มันจะรอให้หมวดไปจับไหม”
”จ่า...”
สมรักษ์เน้นเสียงว่าไม่พอใจแต่จ่าชิตเดินจากไปก่อนโดยไม่สนใจ
“เราจะออกล่ามันเมื่อไหร่” ผู้ใหญ่สนหันมาถามสมรักษ์
“ล่าน่ะมันต้องล่าแน่ผู้ใหญ่ แต่เราต้องมั่นใจเสียก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ใหญ่พาลูกบ้านเข้าป่าไปพบกับอันตราย เราเองยังไม่รู้เลยว่าเสือตัวนั้นมันใหญ่แค่ไหน”
จ่าชิตหันมาเย้ย
“อย่าเลยหมวด มือหมวดยังไม่ถึงหรอก ดูจากแผลที่มันกัด ผมบอกได้เลยว่า มันลากควายทั้งตัวไปกินได้อย่างสบาย อย่าไปรนหาที่เลย ปล่อยให้เป็นเรื่องของผมดีกว่า”
“จ่าชิต...”
สมรักษ์ตวาดจ่าชิตดังลั่นด้วยความโกรธ จ่าชิตหันมามองหน้าสมรักษ์อย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วเดินจากไป
ภราดรเรียกขัดจังหวะ
“หมวด มาดูนี่สิ”
สมรักษ์เดินไปดูที่ศพสมร
“มีอะไรหรือหมอ”
“เอ่อ...หมวดจะแปลกใจไหม ถ้าผมจะบอกว่าศพนี้ถูกควักหัวใจออกไปด้วย”
สมรักษ์มองหน้าภราดรอย่างสงสัยและครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ !
ใกล้ค่ำ...คนรูสองคนผัวเมีย คืบคลานไปบนพื้นดิน ในมือของคนรูตัวเมีย ถือหัวใจของสมร ส่วนอีกมือหนึ่งก็ถือแขนติดกระดูกของสมรซึ่งถูกแทะกินเนื้อไปบ้างแล้ว
“แหม...มันช่างน่ากินจัง” คนรูตัวผู้มองหัวใจ
คนรูตัวเมียเอาหัวใจมาแนบอกอย่างหวงๆ
“ไม่ได้นะ อันนี้ของนายท่าน”
คนรูตัวผู้เข้าใจแล้วมองไปในถ้ำ ทันใดนั้นเสียงงะดินเด ลอดออกมาจากใจถ้ำ
“เจ้าคนรูสองผัวเมีย มากันแล้วหรือ...เข้ามาสิ”
คนรูทั้งคู่เข้าไปในถ้ำด้วยอาการหวาดๆ และนอบน้อม...ลึกเข้าไปที่มุมหนึ่งของซอกถ้ำ งะดินเดนั่งนิ่งไม่ไหวติงเหมือนรูปปั้น ผมขาวที่บนศีรษะยาวสยายลงมาจนถึงแผ่นหินที่นั่งอยู่ ใบหน้าที่เหี่ยวย่น ขนคิ้วที่ขาว ยาว หนวดเคราสีขาวเป็นสีเงินยวงห้อยเป็นพวงรุงรังลงมาจนถึงหน้าอก คนรูทั้งสองคนรีบคลานเข้าไปหมอบอยู่ตรงหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงอะไรออกมา นอกจากยื่นมือที่ถือหัวใจของสมรส่งให้
“นี่นายท่าน”
ดวงตาที่ปิดสนิทของงะดินเดค่อยๆลืมขึ้นมา แววตานั้นแข็งกระด้าง ไร้แววของคนมีชีวิต มองหัวใจสดๆของสมรซึ่งชุ่มไปด้วยเลือด แล้วดูดซับกลิ่นอายวิญญาณของมนุษย์เข้าไปในปากตัวเอง เงาควันสีเขียวกลุ่มเล็กๆที่เป็นกลิ่นอายของชีวิตลอยขึ้นจากหัวใจ พวยพุ่งเข้าไปในปาก ใบหน้าที่เหี่ยวย่น เริ่มมีความเปลี่ยนแปลง รอยย่นเลือนหายไป แม้จะไม่ทั้งหมด แต่ก็ทำให้ร่างนั้นค่อยดูมีพละกำลังแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างทันตาเห็น
งะดินเดหัวเราะเสียงลั่นก้องไปทั้งคูหาถ้ำ แต่น้ำตาไหลนองหน้า
“ขอบใจเอ็งทั้งสองมาก ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าจะตายไม่ได้...จนกว่า...จะถึงวันนั้น”
งะดินเดโยนเศษหัวใจที่ไร้พลังแล้วให้คนรูสองผัวเมีย
“พวกเอ็งเอาไปกินกันเถอะ”
สองผัวเมียแย่งกันกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่งะดินเดค่อยๆเดินออกมาที่หน้าถ้ำ แต่เมื่อจะก้าวออกมาด้านนอกก็มีไฟบรรลัยกัลป์ วูบขึ้นมาจากพื้นดินกันเอาไว้ไม่ให้ออกไป งะดินเดถึงกับผงะแล้วถอยกลับมา
“วันนึง...วันนึง...ข้าจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้”
แม่หมอใช้เข็มเสียบดอกดาวเรืองเพื่อร้อยมาลัย แต่แทงพลาดโดนนิ้ว
“อุ้ย!”
“ยาย...เป็นอะไรหรือเปล่า”
กินรีที่นั่งทำบายศรีอยู่กับมะค่าหันมาถาม
“ไม่เป็นไร แค่เข็มตำ”
แม่หมอก้มลงมองมองดูนิ้วชี้ของตนเองที่มีเลือดไหลซึมออกมา เมื่อยกขึ้นแตะลิ้นก็รู้สึกถึงสัมผัสพิเศษ ก่อนจะมองไปนอกหน้าต่างด้านนอกที่มีพายุพัดอย่างแรง ต้นไม้โอนเอนไปมาทั้งๆที่ไม่มีเค้าฝน
“อะไรกันเนี่ย อยู่ดีๆก็มีพายุ...เค้าฝนสักนิดก็ไม่มี” มะค่างงๆ
“นั่นสิ...พี่ไปเก็บข้าวของข้างล่างก่อนดีกว่าเดี๋ยวจะปลิวไปหมด”
พะอูที่นอนอยู่จะไปช่วย กินรีหันมาห้าม
“อย่าเลยพะอู นอนพักเถอะ...ยังเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือเดี๋ยวพี่กับมะค่าจะไปเก็บเอง”
กินรีกับมะค่าลงไปข้างล่าง แม่หมอนับนิ้วไปมา เพื่อคำนวณฤกษ์ยามสามตา แล้วมองไปบนภูเขา
“พะอูเอ็งช่วยเด็ดดอกไม้ไปก่อนนะ เดี๋ยวยายจะเข้าไปข้างในสักพัก”
พะอูพยักหน้ารับรู้ แม่หมอเข้าไปในห้อง ทรุดลงนั่งหน้าโต๊ะหมู่บูชาที่มีพระพุทธรูปและรูปปั้นของเจ้าแม่หน้าทองชะเวมะรัตกับ ชะเวโบสองพี่น้องซึ่งติดทองเหลืองอร่ามอยู่ท่ามกลางดอกดาวเรืองสีเหลือง
แม่หมอจุดธูปหนึ่งดอก ยกขึ้นมาจรดหน้าผาก แล้วร่ายคาเพื่อบอกกล่าวกับเจ้าแม่...
“ท่านคงรู้แล้ว...มันห้ามอะไรไม่ได้แล้วทุกอย่างต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม....กรรมที่ลิขิตมานานแสนนานเหลือเกิน”
แม่หมอจ้องไปที่รูปปั้นสองพี่น้องอย่างเศร้าสลด
พายุกรรโชกอย่างรุนแรง ผู้ใหญ่สนสั่งให้คนเอาศพสมรขึ้นบนบ้าน
“เฮ้ย...เอาศพเมียข้าขึ้นบ้านก่อน...อะไรวะจะมาก็มาไม่มีปี่มีขลุ่ย”
จ่อยนำทีมเอาศพสมรขึ้นบ้าน ผู้ใหญ่สนชวนภราดรและสมรักษ์
“ไป...ทุกคน...หมอ..หมวด...ขึ้นบ้านก่อนท่าทางจะหนัก”
“ดีเหมือนกัน...ไป...” สมรักษ์หันไปบอกลูกน้อง “ไปพวกเราขึ้นไปบนบ้านก่อน”
ภราดรตามไป
“ขอบคุณครับ”
ทุกคนต่างขึ้นไปบนบ้านผู้ใหญ่สน
ด้านกินรีกับมะค่าเก็บข้าวของที่จะปลิวไปตามลมได้ พายุยังคงพัดแรง
“นี่ข้าจะกลับบ้านยังไงเนี่ย โดนแม่ตีแน่เลย” มะค่าแหงนมองฟ้าและรอบๆตัว
“เดี๋ยวพายุสงบพี่จะพาไปส่ง...ไม่ต้องกลัวหรอก ขึ้นบ้านก่อนเถอะ”
มะค่าตามกินรีขึ้นบ้านไป พบพะอูนอนห่มผ้าหลับสนิท
“อ้าว...พะอูหลับซะแล้ว” กินรีมองๆ
“สงสัยคงเป็นฤทธิ์ยาแก้ปวดน่ะ...ดีแล้วล่ะ มันจะได้พักผ่อน”
กินรีมองมะค่าอย่างชื่นชม
“ขอบใจมากนะมะค่า”
“เรื่องอะไรพี่กินรี”
“ก็ที่มะค่าเป็นเพื่อนกับพะอูอย่างไม่รังเกียจไง”
“โธ่...คิดว่าอะไร ไม่ต้องขอบใจหรอกพี่ ข้าสงสารมันและชอบนิสัยมัน หน้าตามันเป็นยังไงข้าไม่สนหรอก”
กินรียิ้ม ทั้งคู่มองไปที่พะอูที่หลับสนิทหน้าดูน่าเกลียดแต่ไร้เดียงสา
ฝนเริ่มตกลงมาอย่างหนัก ผู้ใหญ่สนบอกภราดรกับสมรักษ์ที่นั่งอยู่ด้านใน
“ทั้งพายุทั้งฝนขนาดนี้ สงสัยหมวดกับหมอคงกลับไม่ได้แล้วมั้ง...ค้างที่นี่สักคืนเถอะ”
สมรักษ์เห็นด้วย
“นั่นสิ...ขืนกลับไปตอนนี้อาจเจอน้ำป่า หรือไม่ก็ทางอาจจะขาด”
ภราดรกังวล
“ผมเกรงใจผู้ใหญ่น่ะครับ”
“โอ๊ยจะเกรงจงเกรงใจอะไรกัน บ้านผมออกกว้างขวางใหญ่โต...ยังไงผมจะรบกวนให้ช่วยดูอาการเจ้าเสนมันด้วย”
เสนนั่งกอดเข่าอยู่มุมห้องใกล้ที่ตั้งศพแม่ ภราดรพยักหน้ารับ
“ได้สิครับ เดี่ยวผมดูให้เลย”
ภราดรลุกเดินไปหาเสน สมรักษ์เดินตาม
“มีอะไรหรือหมวด” ภราดรหันมาถามออย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก แค่มาดูหมอรักษาเจ้าเสนมันเผื่อมันจะนึกอะไรเกี่ยวกับคดีได้”
ภราดรรับรู้แล้วค่อยๆเข้าไปนั่งข้างๆเสน ในมือมีไฟฉายเล็กๆและหูฟัง
“เสน...ไม่ต้องกลัวนะ...หมอมาช่วยแล้ว”
เสนเหม่อลอยแล้วพูดขึ้น
“ช่วยไม่ทันแล้ว...แม่ตายแล้ว เสือกัดตาย”
สมรักษ์ถามอย่างใจร้อน
“เสือกัดแม่ที่ไหนเสน...ตัวใหญ่ไหม...มีใครที่นั่นอีกหรือเปล่า...”
เสนมองหน้าสมรักษ์ตกใจแล้วคลั่ง
“ไม่เอา...ไม่เอา...หนูกลัว...หนูกลัวแล้ว...”
ผู้ใหญ่สนต้องมาช่วยจับ ปลอบลูกชาย
“ไม่ต้องกลัวลูก พ่ออยู่นี่...พ่ออยู่นี่”
เสนสงบลง ภราดรหันไปบอกสมรักษ์
“ใจเย็นสิหมวด เด็กนะ ไม่ใช่ผู้ต้องหา”
“โทษทีหมอ”
สมรักษ์หัวเราะแก้เขิน
“มาเสนหมอช่วย...ใจเย็นๆนะ...”
ภราดรค่อยๆเลิกเสื้อเสนขึ้นแล้วเอาหูฟังๆหัวใจ
“หัวใจเต้นปกตินะ ไหนลองดูตาซิ”
ภราดรเบิกตาเสน แล้วเอาไฟฉายส่อง
“ประสาทตายังตอบสนองกับแสงอยู่ ถึงไม่มากแต่ก็พอรักษาได้”
ผู้ใหญ่สนกังวล
“ไอ้เสนมันจะหายใช่ไหมครับ”
“มีโอกาสหายนะ แต่ผู้ใหญ่ต้องใช้เวลา พยายามอย่าให้เขากระทบกระเทือนจิตใจอีก พรุ่งนี้ไปเอายาบำรุงสมองที่อนามัยนะ”
ผู้ใหญ่สนยิ้มอย่างพอใจ มองดูลูกชายสุดที่รักอย่างมีความหวัง
เมื่อฝนหยุดตก กินรีบอกแม่หมอที่ออกมาจากห้องบูชา...
“ฝนหยุดแล้วฉันไปส่งมะค่าก่อนนะยาย”
แม่หมอหันไปมองพะอูที่หลับสนิท อยากจะให้พะอูไปด้วย แต่พะอูหลับไปแล้ว
“รีบไปรีบมาก็แล้วกัน”
“จ้ะ...ยาย”
กินรีกับมะค่าเดินออกไป แม่หมอยืนมองไปนอกหน้าต่างอย่างไม่สบายใจ
ภราดร กับสมรักษ์เดินออกมาคุยกันที่บริเวณบ้านผู้ใหญ่สน เมื่อฝนหยุดตก
“ที่นี่น่าอยู่นะหมวด”
“ผมว่างั้นๆ ใจผมอยากขอย้ายวันละหลายร้อยครั้ง”
“ทำไมล่ะ เบื่อที่นี่แล้วหรือครับ”
สมรักษ์เดินไปนั่งที่ชิงช้า
“เปล่าหรอกครับ เบื่อคนน่ะ คนที่นี่เข้าใจยาก เข้าถึงก็ยาก”
ภราดรเห็นด้วย
“ก็จริงนะ...แต่อาจจะเป็นเพราะที่นี่มีประเพณีและวัฒนธรรมที่ซับซ้อน เราเลยเข้าถึงผู้คนได้ยาก”
“คงเป็นอย่าง ที่หมอพูดนั่นแหละ...เข้าถึงยาก ที่เห็นๆก็น่าจะมียายแม่หมอผีฟ้าหน้าทองอะไรนั่นแหละที่ดูชาวบ้านจะศรัทธา และไว้วางใจ”
ผู้ใหญ่สนเดินมาบอกทั้งสองคน
“หมวด...หมอ ผมเตรียมที่นอนให้เรียบร้อยแล้วนะ”
สมรักษ์หาวทันที
“แหมผู้ใหญ่พูดปุ๊บ ง่วงปั๊บเลย ไปหมอ ขึ้นนอนเถอะ”
“ผมยังไม่ง่วง อยากเดินกินลมสักพักครับ”
“ตามสบายครับ...ไปหมวด”
ผู้ใหญ่สนกับสมรักษ์เดินจากไป ภราดรยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
กินรีพามะค่ามาส่งมาส่งที่บ้าน
“แม่...”
มะค่าส่งเสียงเรียก เมื่อถึงบ้าน แม่ถือตะเกียงเดินลงมา
“เอ็งไปไหนมาวะนังมะค่า กลับมาดึกๆดื่นๆ”
กินรีรีบบอก
“มะค่าไปช่วยทำบายสีที่บ้านจ้ะ พอดีฝนตกหนัก กลับไม่ได้พอฝนหายแล้ว กินรีก็มาส่งนี่แหละจ้ะ”
แม่มะค่าพอเห็นกินรีก็เบาใจเปลี่ยนท่าทีเป็นนอบน้อม แล้วยกตะเกียงส่องดู
“อ้าว...หนูกินรีดอกหรือ...อืม...ขอบใจนะ...แล้วนี่จะเดินกลับยังไงมืดๆ เอ้า...น้าให้ยืมตะเกียง...เอ้า...ขอบใจมากนะ กลับบ้านดีๆล่ะ”
กินรีรับตะเกียงไป มะค่ากับแม่ขึ้นบ้าน
จ่าชิตจุดธูปไหว้พระที่หิ้ง แล้วจุดธูปอีกดอกปักที่กระถางธูป หน้ารูปภรรยาที่เสียชีวิตนานแล้ว
“14 ปีแล้วสินะ...พี่ยังจับคนที่ฆ่าเธอกับลูกไม่ได้เลย”
จ่าชิตถอนหายใจแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะ บนโต๊ะมีปืนยาว ปืนสั้น กระสุนปืน และเครื่องมือทำความสะอาดปืน ถัดมามีขวดเหล้าขาวกับแก้ว จ่าชิตทรุดนั่งแล้วรินเหล้าใส่แก้วยกขึ้นจะดื่ม แล้วมองไปที่หิ้งพระพลางเปรยขออนุญาต
“ผมขอแค่ศีล 4 ข้อนะหลวงพ่อ ข้อ 5 ขอนะ...”
ว่าแล้วจ่าชิตก็กระดกเหล้าลงคอรวดเดียวหมดแก้ว แล้วเปิดลิ้นชักหยิบรูปถ่ายของเขาเมื่อ 14 ปีที่แล้วออกมา
ในรูปเป็นรูปเมียของเขาอุ้มทารกเอาไว้ในอก เขาอยู่ข้างๆ....จ่าชิตเจ็บแค้นใจเมื่อนึกถึงการตายของลูกเมีย ทันใดฟ้าแลบผ่านหน้าต่างมา
“มันกำลังมาแล้ว...”
จ่าชิตขบกรามแน่นด้วยความแค้น...
ภราดรเดินเล่นห่างออกมาจากบ้านผู้ใหญ่เสน เขาเห็นกินรีถือตะเกียงผ่านมา ก็ดีใจรีบเข้าไปทัก
“คุณ...เดี๋ยว...กินรี”
กินรีหยุดแล้วหันมา
“เอ่อ...คุณหมอ...”
กินรีจะหันกลับภราดรเดินมาดักข้างหน้า
“เดี๋ยวสิกินรี...จะรีบไปไหน”
“ดึกแล้วกินรีจะกลับบ้านค่ะ”
ภราดรยื้อไว้
“เดี๋ยวสิครับ...ผมมีเรื่องที่อยากจะคุยกับกินรีตั้งหลายเรื่อง”
“คงไม่เหมาะมั๊งคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”
“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“แต่ชาวบ้านเขาไม่คิดอย่างนั้นสิคะ”
ภราดรเข้าใจแล้วพยายามแก้ตัว
“ถ้าเป็นเรื่องที่ผมทำหน้ากากคุณตกล่ะก็...”
กินรีสวนทันที
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยนะคะ...มันไม่ดี กินรีขอร้อง”
ภราดรรู้สึกงง กินรีหันหลังจะเดินไปเขาดึงแขนแล้วออกแรงรั้งเธอไว้ กินรีหันมาจะต่อว่าพอดีปิ่นที่ปักผมหลุดออกผมเธอสยาย ใบหน้าสดสวย ทั้งคู่สบตากัน ต่างตกอยู่ในภวังค์...ทันใด...ใบหน้ากินรีเปลี่ยนเป็นใบหน้าชะเวมะรัต
ในอดีต... ณ เมือง พุกามเมื่อ 800 ปีที่แล้ว ภราดรคือบาเยงโบกษัตริย์แห่งพุกาม กำลังเดินชมสวนกับชะเวมะรัต ซึ่งก็คือกินรีในปัจจุบัน ทั้งคู่เดินผ่านสวนที่สวยงาม ผ่านนางกำนัลที่เข้าแถวถวายบังคม
“พวกเจ้าไปได้แล้ว” บาเยงโบสั่ง
นางกำนัลพากันออกไป บาเยงโบซึ่งอารมณ์ดี มองชะเวมะรัตหน้าเศร้าหมอง
“ดูสีหน้าเจ้าไม่ค่อยสบายเลย เป็นอันใดรึ มเหสีชะเวมะรัต”
“พ่ออยู่หัวทรงรู้อยู่แก่ใจ”
บาเยงโบ
“มีเรื่องอันใดรึ...ข้าไปทำเรื่องอันใดให้พระมเหสีขุ่นเคือง”
“เรื่องงะดินเด บิดาของหม่อมฉัน พ่ออยู่หัวให้คนไปไต่สวนและค้นบ้านด้วยเหตุอันใด”
บาเยงโบหน้าเข้มทันที
“มีคนมารายงานว่า งะดินเดบังอาจรวมรวมศาสตราวุธ ซ่องสุมไพร่พล ปลุกระดมมวลชนหวังก่อการกบฏ”
ชะเวมะรัตออกรับแทนพ่อ
“ไม่จริง...บิดาของหม่อมฉันจงรักภักดีมาตลอด...มันผู้ใดมาเพ็ดทูลเรื่องที่หาจริงไม่ให้พ่ออยู่หัวฟัง...มันผู้ใดมาใส่ร้ายบิดาของหม่อมฉันได้เพียงนี้”
บาเยงโบยังไม่ทันตอบ ชะเวโบน้องชายของชะเวมะรัตเดินเข้ามาอย่างอุกอาจแล้วตอบแทน
“จะมีใครอีกล่ะ...ถ้าหาใช่พระสนมอิระวดี”
ทั้งคู่หันไปมองชะเวโบอย่างแปลกใจ บาเยงโบโกรธ
“ชะเวโบ เจ้าล่วงล้ำเข้ามาในเขตพระราชอุทยานได้อย่างไร...อย่าคิดว่าเจ้าเป็นน้องชายของชะเวมะรัตแล้วข้าจะหาเอาโทษเจ้าไม่”
ชะเวโบไม่สะทกสะท้าน ชะเวมะรัตเข้ามาปราม
“เจ้าบังอาจนักน้องพี่ ถ้าเจ้าโดนอาญา พี่หาได้ช่วยปกป้องเจ้าได้ กลับไปก่อนเถอะ”
“ข้าไม่กลับจนกว่าจะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพ่อของเรา”
บาเยงโบโกรธมาก ร้องเรียกทหาร
“ใคร...ใครอยู่แถวนี้ มาลากตัวมันผู้นี้ออกไป ข้าจะขังเจ้าไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย”
ชะเวมะรัตตกใจพยายามขอร้อง
“ได้โปรดเถิด พ่ออยู่หัว น้องหม่อมฉันทำไปด้วยใจวู่วามขอพ่ออยู่หัวอภัยด้วย”
อิระวดีที่แอบมองอยู่อย่างสะใจรีบเข้ามาตีสีหน้าไม่รู้เรื่องและตกใจ
“ตายแล้วเจ้าบุกรุกเข้ามาในนี้ด้วยเหตุอันใด...ทหาร...ทหาร...”
ชะเวมะรัตชะงักอึ้ง
“พระสนมอิระวดี...”
อิระวดีตะโกนเรียกทหาร ทำให้ชะเวโบขุ่นเคืองจึงเข้าไปหมายจะทำร้าย แต่บาเยงโบเข้ามาขวางเอาไว้ ชะเวโบแค้น พุ่งเข้าใส่...
ชะเวโบคือพะอูในปัจจุบัน พุ่งเข้าใส่ภราดรจนล้มลง
“โอ้ย...นี่มันอะไรกัน”
พะอูคำรามอย่างน่ากลัว กระโจนใส่ภราดรที่ล้มลง ขึ้นคร่อมแล้วชักมีดพกคู่ใจออกมาจะแทง
กินรีตกใจร้องห้าม
“อย่า...พะอู”
พะอูไม่ฟังเสียงอะไรทั้งสิ้น ตั้งใจจะแทงให้ตาย แต่แล้วเท้าหนักๆข้างหนึ่งปลิวเข้ามาที่ชายโครงของพะอูอย่างจังจนกลิ้งไป เจ้าของเท้าที่เตะคือจ่าชิตนั่นเอง
“จ่าชิต” ภราดรอึ้งไป
จ่าชิตยืนจังก้า ในมือมีปืนยาว ในตัวมีปืนสั้น แต่งกายรัดกุมเพราะจะเข้าป่า กินรีเข้าไปประคองน้องชาย จ่าชิตคาดโทษ
“พาไอ้ใบ้น้องเอ็งกลับบ้านไปกินรี...เตือนมันด้วยว่าถ้ามันขืนมาทำร้ายหมออีก ข้าจะฝังมันทั้งเป็น”
กินรีกลัวรนราน พะอูหลบสายตาจ่าชิตอย่างเกรงๆ
“จ๊ะ...จ๊ะ...ไป กลับกันเถอะพะอู”
กินรีรีบพาพะอูไป จ่าชิตมองภราดร...
“คิดจะจีบสาวที่นี่...ยากหน่อยนะหมอ...”
จ่าชิตหัวเราะเดินจากไปแล้วหายไปในความมืด ภราดรเห็นปิ่นปักผมที่กินรีทำตกเอาไว้ จึงหยิบขึ้นมาเก็บไว้
ติดตาม "เสือสมิง" ตอนที่ 2