ชิงนาง ตอนที่ 13
เช้าวันใหม่ วงเดือนสวมชุดอยู่บ้าน ถือถาดยาอนุตเดินมาในห้องโถง ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น วงเดือนจะไปรับ เมฆาเข้ามาเห็น ก็กลัวว่าจะเป็นโทรศัพท์จากภูผา เลยรีบพุ่งตัวมาคว้ารับตัดหน้า เล่นเอาวงเดือนงงๆ
“ฮัลโหล...” เมฆารับสายเสียงเข้ม และดูตั้งใจฟัง “ต้องการพูดกับใคร”
วงเดือนยืนมองอย่างงวยงง
สีหน้าเมฆาค่อยคลายกังวล และเปลี่ยนเสียง “ต้องขอประทานโทษด้วยครับ ตอนนี้คุณแม่ออกไปข้างนอก ถ้ากลับมาจะรีบเรียนให้โทร.กลับถึงท่านทันทีครับ..ครับ..สวัสดีครับ”
เมฆาวางหู เผลอถอนหายใจแล้วเห็นวงเดือนจ้องอยู่ก็ทำเนียนยิ้มให้
“วันนี้ไม่เข้าเวรเหรอเดือน”
“เดือนกำลังจะไปค่ะ”
“เอ๊า! พอดีเลย งั้นเดี๋ยวไปพร้อมกันเลยนะ”
“แต่...เดือน”
“เดือนไปแต่งตัวสิ ชั้นรอได้” เมฆาเร่ง “ไปเร็ว”
วงเดือนจำใจ “ค่ะ” ออกไป
เมฆามองตามยิ้มแย้มสบายใจ โดยไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง โฉมไฉไลยืนมองอย่างริษยาอาฆาตอยู่
“หวานกันนักเหรอ...เดี๋ยวจะเอาให้แกอ้วกแตกเลย นังวงเดือน”
ไร่วงเดือนยามเช้าบรรยากาศแสนสดใส หนูนาโผล่ออกมาจากบ้าน ทำจมูกเหมือนได้กลิ่นอะไรบางอย่างแล้วตกกะใจ เห็นดอยกำลังปิ้งไก่ โดยแอบประดิษฐ์พิเศษ เสียบสับปะรด มะเขือเทศ ราวกับย่างบาร์บีคิว
“ไอ้ดอย” หนูนาปรี่เข้าไปหาทันควัน “ผีปอบเข้าสิงเหรอถึงได้ลุกมากินไก่แต่เช้า”
“เอ๊า! อวยพรกันแต่เช้าเลยนะลูกพี่ แหม..คนเค้าอุตส่าห์หวังดี จะฉลองตำแหน่ง ว่าที่เจ้าสาว ให้ลูกพี่ซักกะหน่อย เซ็งเรย” ดอยบ่นอุบ
หนูนาฟังแล้วเขินแต่ก็เขกหัวดอยโป๊ก พาลกลบเกลื่อน “ไอ้บ้า! พูดอะไรเพ้อเจ้อ”
“เพ้อเจ้อที่ไหน? ได้ยินเต็ม 2 รูหู” ดอยเถียง
ภูผาโผล่มาอีกมุมพร้อมสว่าง แต่สองคนไม่ทันเห็น
ดอยต่ออีก ทำเก๊กทั้งท่วงท่าและน้ำเสียงภูผา “ตกลงครับ...ผมยอมรับตามข้อแม้ของพ่อเลี้ยงเหนือฟ้า”
หนูนาทั้งเขินทั้งเคือง “ไอ้ดอย”
ดอยไม่หยุด คุกเข่าต่อลงหน้าหนูนา “ชั้นจะอยู่ดูแลเธอและไร่เหนือฟ้าตลอดไป..อึ๋ย” ทำท่าขนลุก
ภูผายืนมอง สว่างจะเป็นลม
ดอยล้อหนูนา “ไงล่ะ..ไงล่ะ..ขนลุกเลย แหม! เห็นแข็งๆ ทื่อๆ สมชื่อภูผาอย่างนั้นก็เหอะ บทจะหวานขึ้นมางี้ขนลุกพรึ่บเลย จริงมั้ยลูกพี่?!
ภูผาตอบนิ่งๆ “จริง”
หนูนาสะดุ้งโหยงเพราะเห็นภูผาแล้ว แต่ดอยยังไม่เห็น
“นั่นไง! แหม๊! ตะก่อนทำเป็นเม้าท์ว่า” เลียนแบบท่ากระแดะๆของหนูนา “นายภูผา ไม่-มี-หัว-ใจ”
หนูนาสยอง พยายามส่งซิกให้ไอ้ดอยหยุด
ไม่ได้ผลดอยยังพ่นต่อ “นายภูผาขี้เก๊ก”
ภูผายืนมอง รอฟังเรื่อยๆ สว่างอยากตาย
“ไอ้ดอย! พอแล้ว” หนูนาตะโกนบอก
ดอยยังไม่รู้เรื่อง “พอได้ไง? ไม่ต้องอ๊าย...! อีตอนด่าเค้าโครมๆ ยังไม่อาย ตอนนี้จะมาอายอะไรห๊า..ลูกพี่?”
หนูนาหน้าเสียจะแย่
“ไหน..ลูกพี่เธอด่าอะไรฉันอีก..ดอย” ภูผาถาม
หนูนาร้อง “โอย”
ดอยเพลินเพริด “อ๋อ... ก็ด่าอีกเยอะ” นึกครู่หนึ่ง “...นายภูผาขี้..” ชะงักกึก นึกได้ “เสียงใครวะ?...คุ้นๆ”
หนูนาหันหลังกลับเตรียมจะเผ่น
ดอยเรียกไว้ “เดี๋ยวดิ ลูกพี่! ตะกี๊ทำไมลูกพี่เสียงใหญ่มาก”
หนูนาจะเป็นลม เหลียวหลังกลับมาแว๊ดใส่ “ไม่ใช่เสียงชั้นเว๊ย”
“อ้าว! ไม่ใช่เสียงลูกพี่” เริ่มจ๋อย เสียงอ่อย “ถ้างั้นเสียงใครว้า”
ภูผาเดินมาใกล้ดอย “เสียงชั้นเอง”
ดอยสะดุ้งโหยง ค่อยๆ หันมาหา “แฮ่...ว่าแล้ว..เสียงคุ้นๆ”
ภูผามองหนูนายิ้มๆ หนูนาจะเป็นลม
“ไหน..เล่าต่อซิ ลูกพี่เธอเค้าแอบด่าชั้นว่าไงอีกมั่ง?”
หนูนาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน
ดอยอึกอักไป อึกอักมา แล้วกุมท้องตัวงอ “โอ๊ย!! แย่แล้ว”
สว่างรู้ทัน “เป็นอะไรวะ ไอ้ดอย”
“ปวดอึจ้ะ ดอยปวดอึ!”
“ดีเลย! งั้นข้าจะช่วยเตะให้ไส้เอ็งแตกซะตรงนี้เลยดีมั้ยไอ้ดอย”
พูดจบสว่างก็ยกเท้าขึ้นจะไล่เตะดอยทันที ดอยเผ่นแน่บ สว่างวิ่งไล่โวยวายออกไป
เหลือภูผาที่ยืนมองหนูนาอยู่ หนูนาอยากจะหายตัววับไปจากตรงนั้น หันมามองภูผา ซึ่งยังจ้องอยู่ หนูนาไม่รู้จะทำไงคว้าไก่ปิ้งมาชูตรงหน้า
“กินไก่มั้ย”
ภูผายังนิ่ง มองอย่างเดียว
“อ๋อ..ไม่กิน?...งั้น..ไม่กวนละนะ” เตรียมจะเผ่น
ภูผาเรียกไว้ “เดี๋ยว”
หนูนาทำหน้าสยอง
ภูผาถามเรียบๆ “กินยาบ้างรึเปล่า”
หนูนาอึ้ง มองหน้าภูผา
“ยาบำรุงที่หมอให้ไว้ ต้องกินสม่ำเสมออย่าให้ขาด เข้าใจมั้ย”
หนูนาพยักหน้าหงึกๆ
“ดี” ภูผาจะเดินออกไป
หนูนาเรียกไว้ “เดี๋ยว”
ภูผาหยุดเดิน
“คุณ..อย่าโกรธชั้นเลยนะ..คือ ชั้นมันปาก”
“ชั้นไม่โกรธเธอหรอก...”
หนูนามองรอฟังว่าจะพูดอะไร
“ก็เธอพูดถูก ชั้นมันคนไม่มีหัวใจ”
หนูนาอึ้ง
ภูผายิ้มบางๆ ให้ แล้วเดินออกไปทันที ปล่อยให้หนูนามองตามอย่างรู้สึกผิดกับความปากไวไม่ยั้งคิดของตน
เมฆาเดินมาพร้อมกับวงเดือน ซึ่งวงเดือนดูเจียมๆ ตัว และพยายามเดินรักษาระยะห่างไม่ใกล้ชิดเมฆามากนัก เพราะกลัวคนนินทา
เมฆาหันมามองอย่างรู้ทัน เลยพูดแหย่ “เดินช้า..เดี๋ยวก็เข้าเวรสายหรอก”
“เอ่อ..เดือน” วงเดือนอึกอัก อิดออด
เมฆายิ้มเผล่ “แหย่เล่นน่ะ”
วงเดือนแอบรู้สึกว่าเวลาเมฆาอารมณ์นี้ก็ดูดีกว่าตอนเครียดๆ เยอะ เลยเผลอยิ้มบางๆ ออกมา
“อ๋อ..ค่ะ”
เมฆาเห็นรอยยิ้มพราน บนใบหน้าวงเดือนบ้างก็รู้สึกดี
“ยิ้มบ่อยๆ นะ”
วงเดือนไม่ทันฟัง “คะ”
“ชั้นอยากเห็นเธอยิ้มบ่อยๆ เวลาเธอยิ้มเธอน่ารักกว่าตอนร้องไห้เยอะเลย”
“เอ่อ...” วงเดือนไปไม่เป็น
“แยกกันตรงนี้นะ ชั้นมีประชุม”
เมฆาหันหลังเดินออก วงเดือนเรียกไว้
“คุณเมฆาคะ”
เมฆาหันกลับมามอง
“คุณเอง...ก็อย่าเครียดมากนะคะ”
เมฆานิ่งงันไป
“คือ..เวลาคุณอารมณ์ดี คุณก็...ดูดีกว่าตอนเครียดๆ มากเลยค่ะ”
เมฆาหัวใจพองโต เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดห่วงใยแบบนี้จากผู้หญิงคนนี้
เมฆาหันกลับ เดินมาจ้อง “ได้..ต่อไปนี้ ชั้นจะอารมณ์ดี” ยิ้มกว้าง “จะได้ดูดีขึ้นบ้าง ในสายตาของเธอ”
วงเดือนนิ่งงัน เมฆาเดินออกไปลับตัวแล้ว วงเดือนหันจะเดินไปอีกทาง ก็ต้องผงะเมื่อเจอโฉมไฉไลก้าวมาขวางหน้า
“คุณโฉม”
“ไง? อ่อยเหยื่อแต่หัววันเลยนะยะ...นังกากี”
วงเดือนไม่อยากเสวนาด้วย จึงเดินหนี แต่โฉมไฉไลลากวงเดือนมาตรงที่คนเยอะๆ พร้อมแหกปากตะโกนลั่น “จะหนีไปไหน นังกากี! อายเป็นด้วยเหรอ? อ่อยผู้ชายกลาง โรงพยาบาลยังไม่อายใครเลยแล้วแค่นี้จะหนีไปไหน?”
เสียงของโฉมไฉไล เรียกผู้คนแถวนั้นให้หันมามองกันใหญ่
วงเดือนอายมาก “คุณโฉม..ปล่อยเดือน..พอได้แล้ว”
“ไม่ปล่อย! ไม่พอ!” จับตัววงเดือนไว้แล้วป่าวประกาศ “เจ้าข้าเอ๊ย! ใครไม่เคยเห็นก็ดูไว้ซะ จำไว้ให้ดี นังตัวเชื้อโรค เห็นที่ไหนก็อย่าเข้าใกล้ เพราะนังนี่มันเป็นโรคชอบอ่อยผู้ชาย รักษาไม่หาย”
ผู้คนฮือฮากันยกใหญ่
วงเดือนอายมาก “คุณโฉม” คับแค้นใจจนน้ำตาไหล
โฉมไฉไลพ่นต่อ “ผัวใครเจ็บไข้ อย่าหลงมาให้นังนี่รักษาเพราะผัวพวกหล่อนหายแน่ แต่หายไปอยู่กับมันนี่แหละ”
ผู้คนฮือฮา
วงเดือนโกรธจัด “คุณโฉม! หยุดเดี๋ยวนี้”
โฉมไฉไลตวาดแว้ดใส่ทันที “ชั้นไม่หยุด”
วงเดือนสะบัดมือจากโฉมไฉไล แล้วผลักโฉมไฉไลสุดแรงจนล้มลงหัวไปกระแทกเก้าอี้ แถวนั้น เลือดไหลซึมออกมา
โฉมไฉไลยกมือแตะเลือดมาดู “นังวงเดือน! แกตาย”
โฉมไฉไลโผนทะยาน พุ่งมาคว้าตัววงเดือนจนล้มลงกันไปทั้งคู่
“แกกล้ากับชั้นเรอะ..นังวงเดือน”
โฉมไฉไลตบเผียะๆๆ ไม่ยั้ง วงเดือนพยายามปัดป้องเป็นพัลวัน ไทยมุงต่างฮือฮา บุรุษพยาบาลและพยาบาลปรี่เข้ามาแยกกันชุลมุน
“พอแล้วครับพอแล้ว”
โฉมไฉไลโวยวายลั่น “มันทำร้ายร่างกายชั้น ชั้นจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”
วงเดือนตกใจ
เวลาต่อมา ภายในห้อง ผอ.โรงพยาบาลซึ่งมีบุคลิกท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ใจดี เมฆาพรวดลงนั่งเก้าอี้ เอ่ยขึ้นเสียงดัง
“ไม่จริง! ผู้หญิงคนนี้โกหกครับท่านผู้อำนวยการ”
เมฆากับ โฉมไฉไล นั่งอยู่ตรงหน้าผอ. โดยมีวงเดือนยืนอยู่เยื้องไป
“โกหก” ชี้รอยแผลที่ทำแผลเสร็จแล้ว “แล้วนี่มันอะไรกันคะ หลักฐานตำตาอย่างนี้ คุณยังจะมาหาว่าโฉมโกหก” โฉมไฉไลตีหน้าเศร้าใส่ ผอ. ทันที “ท่านผู้อำนวยการคะ ได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับโฉมด้วยนะคะ”
เมฆาโกรธจนทนไม่ไหว “นี่..หยุดเล่นละครซะที”
ผอ.ปราม “หมอ”
เมฆาข่มอารมณ์ “ขอประทานโทษครับ”
โฉมไฉไลได้ทีประจบใหญ่ “โอย..โล่งอก! ตอนแรกโฉมก็คิดว่จะต้องโดนรังแกฟรีซะแล้ว เพราะวงเดือนเป็นคนของที่นี่” มองเหล่ “แถมมีคุณหมอเมฆาคอยให้ท้าย แต่โชคดีเหลือเกินที่มีผู้ใหญ่ที่ยุติธรรมอย่างท่านผู้อำนวยการให้ความเมตตา”
เมฆาทำหน้าอิดหนาระอาใจเต็มที่
ผอ. หันมาถามอย่างให้โอกาส “คุณวงเดือน...ว่าไง?”
“ดิฉันไม่ได้ตั้งใจนะคะ คุณโฉมไฉไลเธอมาต่อว่าดิฉันก่อน”
“ต่อว่าเรื่องอะไร?” ผอ.ถามซัก
วงเดือนอึกอัก “เอ่อ”
เมฆายังไม่รู้เรื่องราว แต่ก็ช่วยลุ้น “เล่าสิเดือน”
วงเดือนไม่กล้าพูด เพราะมันหยาบคาย น่าอายเหลือเกินสำหรับเธอ
โฉมไฉไลเสียบเล่าแทนเลย “ใครมันจะไปกล้าเล่าล่ะคะคุณหมอเมฆา” ฟ้อง ผอ. “เรื่องที่ดิฉันมาต่อว่าวงเดือน ก็คือเรื่องที่วงเดือนพยายามจะเข้ามาเป็นมือที่ 3 ระหว่างดิฉัน..” เหล่มองเมฆาเน้นคำอย่างจงใจ “กับสามีน่ะสิคะ”
วงเดือนช็อก
เมฆาตวาดลั่น “โฉม”
ผอ.มองหน้าเมฆาเป็นเชิงปรามอีกรอบ
โฉมไฉไลสะใจมาก เมฆาโกรธสุดขีด
กลับถึงบ้าน โฉมไฉไลถูกเมฆาจับกระแทกเข้าข้างฝาพุ่งหน้าไปประชิด เมฆากัดฟันพูดสัยงลอดไรฟัน กลัวคนได้ยิน
“คุณพูดอะไรห๊า…โฉมไฉไล! นี่ใจคอคุณกะจะเอาผมกับเดือนให้ตายทั้งคู่เลยใช่มั้ย”
โฉมไฉไลทำแบ๊ว) คุณ? กับนังวงเดือน? โฉมเอ่ยชื่อคุณตอนไหนไม่ทราบ?
หากทำได้เมฆาแทบอยากจะฉีกโฉมไฉไลออกเป็นชิ้นๆ "ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่คุณใช้คำว่าสามี"
โฉมไฉไลตาโต “คุณพระช่วย! ตกลงนี่คุณยอมรับว่าเป็นสามีอีกคนของโฉมแล้วเหรอคะ..เมฆา”
เมฆาอึ้งหลงกลนางมารร้ายจนได้ ก่อนจะจ้องตาเอาตาย “ตอนคุณพูด คุณมองมาที่ผม”
โฉมไฉไลกวนกลับ “แค่มอง..ก็แปลว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว? ตายจริง! แล้วที่คืนนั้นโฉมกับคุณ” หลิ่วตาให้ “...กันน่ะ มันไม่ยิ่งแปลว่า...”
พฤกษ์เดินมาได้ยินชะงัก แอบฟัง
เมฆาผลักโฉมไฉไลกระเด็น “พอได้แล้ว! ผู้หญิงอะไร สกปรก ไร้ยางอาย”
โฉมไฉไลจ้องตาวาว เถียงแว๊ดขึ้นมาทันที “แล้วผู้ชายอย่างคุณมันดีกว่าโฉมตรงไหน? ได้เมียพี่ชายแล้วยังคิดจะแย่งแฟนน้องชาย มียางอายตรงไหนห๊า”
เมฆาหมดความอดทน พุ่งเข้าใส่ “โฉม”
“พอได้แล้ว” พฤกษ์ตะโกนก้อง
สองคนชะงักกึก หันมามองพฤกษ์
เมฆาข่มอารมณ์ “พี่มาก็ดีแล้ว หัดดูแลเมียพี่ซะบ้าง อย่าปล่อยให้ไปเที่ยวระรานคนอื่นอีก” ชี้หน้าคาดโทษโฉมไฉไล “ถ้ามีอีก..ชั้นจะไม่เกรงใจใครทั้งนั้น”
เมฆาเดินออก โฉมไฉไลโผเข้าทำสำออยใส่พฤกษ์ทันที
“โฉมไม่ยอมนะคะพฤกษ์ พฤกษ์ต้องจัดการให้โฉมนะคะ” แตะแผล “นังเดือนมันทำโฉมหัวแตกแล้วเมฆายังมา”
พฤกษ์ไม่ฟังและไม่พูดไม่จา ผลักโฉมไฉไลกระเด็นแล้วเดินหนีไปทันที
โฉมไฉไลกรี๊ดแตกขัดใจมาก “ว๊าย อะไรเนี่ย นี่ชั้นเมียนะ แอร๊ยย”
เมฆาเดินมาเคาะประตูห้องวงเดือน
“เดือน” เคาะอีกพร้อมกับเรียกซ้ำ “เดือน...เปิดประตูหน่อย” เคาะ “ฟังชั้นพูดหน่อยได้มั้ยเดือน...เดือน”
ทุกอย่างเงียบกริบ เมฆาถอนหายใจ หันหลังมาจะกลับตึกใหญ่ แต่ต้องชะงักเพราะเจอชอุ่มยืนถือตระกร้าผ้ามองอยู่ใกล้ๆ
“เอ่อ...” เมฆาตีเนียน “เดือนไม่อยู่เหรอ”
“สงสัยจะไม่อยู่ในห้องหรอกค่ะ ตะกี๊ชอุ่มก็เคาะเรียกตั้งนาน แต่ก็เงียบฉี่เลยค่ะ ว่าแต่..ทำไมวันนี้กลับจาก รพ.กันแต่วันเลยล่ะคะคุณเมฆา”
เมฆาเซ็ง ไม่ตอบ เดินออกไปทันที
“อ้าว” ชอุ่มมองตามเมฆา ก่อนจะหันกลับมามองห้องวงเดือน รำพึงกับตัวเอง “มีกลิ่น”
จากนั้นชอุ่มก็เดินออก
ที่แท้วงเดือนนั่งกอดเข่าเจ่าจุกพิงประตูร้องไห้อยู่คนเดียวในห้อง คิดถึงภูผาเหลือเกิน
“คุณภูผา...เดือนคิดถึงคุณเหลือเกิน...ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน คุณกำลังทำอะไรอยู่คะ เดือนท้อแท้...เดือนหมดแรงสู้แล้วค่ะ...คุณภูผา” เสียงหัวใจวงเดือนหวนไห้
เสียงหนูนาอ้วกดังลั่น ก่อนจะเห็นหนูนาเงยหน้าขึ้นจากกระโถน อ้วกจนหมดแรง หงายหลังผึ่งพิงเตียง โดยมีภูผาถือกระโถน และช่วยลูบหลังให้อยู่ ภูผาช่วยเอาผ้าเช็ดปากให้หนูนา อาการคล่องมากขึ้น
“หมดแรงเลยเหรอ” ภูผาถาม
หนูนาเหนื่อย จนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าตอบหงึกๆ
“งั้นก็นอนพัก ไม่ต้องอวดเก่งออกไปทำงานอีกล่ะ”
หนูนาพยักหน้าหงึกๆ แล้วล้มตัวลงนอนเลย
“เฮ้ย! ไม่ดื้อแฮะ” ภูผาแปลกใจนิดๆ มองหนูนาที่นอนแผ่หมดแรง ก็ยิ่งเวทนา “อยากกินอะไรเปรี้ยวๆ มั่งมั้ย”
หนูนาตาโต งง ว่าอย่างภูผารู้เรื่องแบบนี้ด้วย “คุณรู้ได้ไง ว่าคนท้องอยากกินของเปรี้ยวๆ”
ภูผายิ้มบางๆ บอก “จำได้ ตอนเด็กๆ ชั้นเคยเห็นแม่กินมะม่วง มะยม ตอนแม่ท้องเจ้าอรุณ...” พูดแล้วชะงัก อึ้งไปในทันที
หนูนาอึ้งตาม จับมือภูผาให้กำลังใจ
“ตกลงจะกินรึเปล่า?”
หนูนาทำทีเป็นคิดนิดหนึ่งก่อนจะแลบลิ้นเลียปากอยากกินมาก
อาการของหนูนาเรียกรอยยิ้มบางๆ จากภูผาได้
มือหนูนากำลังเอามะม่วงส่งเข้าปากกัดกร้วมๆ เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ถูกใจสุดๆ ภูผานั่งจ้องกลืนน้ำลายเอื๊อก และยังมีสว่างนั่งดูอยู่ด้วย
หนูนาทำหน้าซี๊ดสุดๆ “โหย..สะใจ”
ภูผาทำหน้าสยองในลีลาสวาปาม หันไปมองหน้าสว่างที่ออกอาการสยองเช่นกัน
“กินเฉยๆ เลยเหรอ ไม่เปรี้ยวเหรอ? รอพริกกะเกลือก่อนสิ”
“ไม่รอแล้ว ไม่ทันแล้ว”
พูดจบก็ฉกมะดันเอย มะยมเอย ที่กองๆ อยู่รวมกันในจานเคี้ยวกร้วมๆ
ดอยเพิ่งจะเดินเข้ามาพร้อมถ้วยพริกกะเกลือในมือ
“มาแล้วจ้า...พริกกะเกลือรสเด็ดสูตรไอ้ดอย” เด็กดอยชะงักกึก เมื่อเห็นลูกพี่กำลังจกมะม่วง มะยม มะดัน อย่างเมามัน “อึ๋ย!! ลูกพี่! เปรี้ยวจะตายชัก กินได้ไงไม่จิ้ม?”
หนูนาไม่สน “ได้สิ! ไม่เห็นจะเปรี้ยวเลย” ยื่นใส่หน้าดอย “ลองดู”
ดอยส่ายหัวดิก “ฮึ! ไม่จริง! ไม่เชื่อ! นายลองชิมหน่อยสิจ๊ะ” เล่นโยนมาทางภูผาดื้อๆ
จนภูผาร้อง “เฮ่ย”
หนูนายืนยันการันตี “จริงนะ ไม่เปรี้ยวเลยซักกะนิด” ยื่นใส่หน้าภูผา “ถ้าเปรี้ยวให้เตะเลย” จะป้อนอีก “ไม่เชื่อลองสิคุณ”
สว่าง และดอยพยักเพยิดเชียร์
ภูผาทำหน้าเอาวะ...แล้วหยิบมากัดได้ครึ่งคำก็ร้อง “โอ๊ย” พร้อมกับทำท่าเปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟันแสบไส้ รีบคายทิ้งแทบไม่ทัน โวยลั่น “ไม่เปรี้ยวบ้าอะไร? หนูนา”
เห็นท่าทีภูผา หนูนาขำก๊าก ดอยขำกลิ้ง สว่างก็พลอยขำไปด้วย
ภูผาเห็นขำดีนัก เลยเอามะดันยัดใส่ปากหนูนา “นี่แน่ะ”
หนูนารีบคายออกมา โวยลั่น “เฮ๊ย! คุณ! ทำงี้ได้ไง”
ดอย และสว่างขำก๊าก
“ทำไมจะไม่ได้ นี่ไง” คราวนี้ยัดใส่ปากดอยมั่ง
ดอยอ้าปาหัวเราะอยู่ เจอมะดันถึงกับไอแค่กๆ ทุกคนขำกันทั้งวง คราวนี้ดอยหยิบมะม่วงยัดใส่ปากสว่างมั่ง กลายเป็นเล่นกันไปมา บรรยากาศดูเฮฮาน่ารักทีเดียวเชียว
“เออ..ว่าแต่เห็นลูกพี่กินของเปรี้ยวอย่างนี้ ถ้าไม่รู้จักกันเนี่ย ดอยนึกว่าลูกพี่ท้องแล้วนะเนี่ย”
คำพูดซื่อของดอย ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสามชะงักกึก นิ่งงันกันไป ดอยหน้าเด๋อคิดในใจ “พูดไรผิดว้า”
หนูนากะภูผามองหน้ากันไปมา สีหน้าเจื่อนพอๆ กัน
ชิงนาง ตอนที่ 13 (ต่อ)
บ้านแสนสมุทรยามค่ำวันนั้น ทุกคนกำลังนั่งพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร อนุตเอ่ยขึ้นอย่างเคืองๆ ใส่พฤกษ์
“ไง! โผล่หัวมาได้แล้วเหรอ”
ศรีดาราปราม “คุณคะ”
พฤกษ์ออกอาการเซ็ง
โฉมไฉไลตัดบท “ชอุ่ม..ตักข้าวให้คุณพ่อคุณแม่ได้แล้ว”
ศรีดาราท้วง “เดี๋ยวสิจ๊ะ..เดือนยังไม่มาเลย”
โฉมไฉไลเหยียดยิ้มอย่างสะใจ ปรายตามองไปทางเมฆา “อุ๊ย! คงไม่กล้ามาหรอกค่ะ..คุณแม่
เมฆาเสียงดัง “โฉม”
ศรีดาราฉงน “ทำไมล่ะจ๊ะ..ทำไมเดือนถึงไม่กล้ามา”
โฉมไฉไลอ้าปากจะพูด เจอเมฆาจ้องยังกับจะกินเลือดกินเนื้อ หันมาอีกทางเจอพฤกษ์หน้าดุใส่อีกคน โฉมไฉไลจ๋อยเปลี่ยนท่าทีและคำพูดทันที
“อ๋อ..อ..โฉมพูดผิดน่ะค่ะ..โฉมจะพูดว่า วงเดือนอาจจะไม่อยากมาน่ะค่ะ”
อนุตทะแม่งๆ นึกสงสัย “ทำไมเดือนถึงจะไม่อยากมา”
เมฆารีบแทรก “เมื่อกลางวันได้ยินเดือนบ่นว่าปวดศีรษะน่ะครับพ่อ เลยอาจจะอยากนอนพัก ไม่อยากมาทานข้าว”
ชอุ่มมองงงๆ ดูชาวแสนสมุทรเล่นละครไป
โฉมไฉไลยิ้มเยาะ “โถ…น่าสงสาร”
ทั้งเมฆากับพฤกษ์ หันขวับรุมจ้อง โฉมไฉไลค้อนขลับ
“ถ้างั้นเราก็ทานกันเลย” อนุตตัดบท
“ชอุ่ม..ยังไงเตรียมข้าวต้มไว้ให้เดือนด้วยนะจ๊ะ” ศรีดาราบอกชอุ่ม
“เอ่อ..เจ้าค่ะ
ชอุ่มเริ่มตักข้าวให้อนุตก่อนจะทยอยตักให้คนอื่นๆ
“เมฆา...เรื่องคุณณรงค์ไปถึงไหนแล้ว” อนุตจงใจพูดให้ราคาเมฆามาก
พฤกษ์ชะงักกึก
เมฆามองพฤกษ์นิดหนึ่ง “คุณณรงค์ยอมรับการแบ่งชำระเงินชดใช้ค่าเสียหายของเราครับ”
อนุตถอนใจ
“แต่..เค้าขอให้เราชำระเงินงวดแรก หนึ่งแสนบาทภายใน 2 วันนี้”
พฤกษ์อึ้ง! อนุตและศรีดาราตกใจ
“หนึ่งแสนบาท! ภายใน 2 วัน” ศรีดาราครวญ
อนุตหันขวับไปมาเอาเรื่องที่พฤกษ์ทันที “ไงล่ะ? ทีนี้จะยังไงล่ะ? ชั้นน่าจะเชื่อย่าแกตั้งแต่แรก”
คำพูดศรีเรือนที่เคยพูดว่าพฤกษ์ไม่เหมาะที่จะดูแลแสนสมุทรแวบขึ้นมาในหัวอนุต
“ย่าแกพูดไว้ไม่ผิดเลย คนอย่างแก ไม่เหมาะที่จะดูแลแสนสมุทรจริงๆ”
พฤกษ์ตบโต๊ะ ลุกยืนพรวด “ผมบอกแล้วไงว่าผมจะรับผิดชอบ! ผมจะหาเงินมาใช้หนี้ให้แสนสมุทรเอง!”
พูดจบก็พุ่งออกไป
ศรีดาราใจหายวาบ ร้องเรียกตาม “พฤกษ์...พฤกษ์...จะไปไหนลูก? โธ่!”
อนุตยิ่งหมั่นไส้หนัก พูดอย่างไม่เชื่อน้ำยา “อวดดี! เงินตั้งหนึ่งแสนมันจะมีปัญญาไปหาที่ไหนภายใน 2 วัน”
โฉมไฉไลทำหน้าสยอง เมฆาเหนื่อยหน่าย
ภายในซอยเปลี่ยวแห่งนั้น อนงค์ถูกลูกน้องเถ้าแก่เส็งเหวี่ยงอย่างแรง แล้วตามมาข่มขู่ อนงค์ร้องลั่น
“กลัวแล้วจ้า..ฉันกลัวแล้ว” รีบพุ่งไปเกาะขาเถ้าแก่เส็งที่เดินตามมา “อย่าทำอะไรฉันเลยนะเถ้าแก่”
“ก็ลื้อคิดจะเบี้ยวอั๊ว” เถ้าแก่เส็งตอกหน้า
อนงค์แหวกลับทันที “เบี้ยว? คนอย่างฉันเนี่ยนะจะเบี้ยว”
เถ้าแก่เส็งเหน็บ “ไม่เบี้ยว? แต่หลบหน้าอั๊ว?” พยักหน้าให้ลูกน้อง “เฮ่ย! จัดการมันเลย”
เห็นเถ้าแก่เส็งเอาจริงอนงค์เลยหายซ่า ปรี่เข้าเกาะขาเถ้าแก่ทั้งปะเหลาะทั้งอ้อนวอน “อย่างนะ อย่า ตะกี๊ฉันพูดผิดไป คือฉันตั้งใจจะพูดว่าใครจะไปกล้าเบี้ยวคนอย่างเถ้าแก่เส็งน่ะจ้ะ”
เถ้าแก่เส็งยิ้มเยาะ “ลื้อจะพูดอะไรอั๊วก็ไม่สน อั๊วสนอย่างเดียว เมื่อไหร่ลื้อจะใช้หนี้อั๊วห๊า”
อนงค์ลืมตัวแว๊ดอีก “วะ” ท้าวสะเอวเหยง “จะไปรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่จะมี ก็คนมันยังไม่มีนี่เว๊ย”
เถ้าแก่เส็งโกรธจัด “หนอย... ไม่มีแล้วยังจะเสียงดัง” ตวาดลูกน้อง “จะยืนฟังมันอีกนานมั้ย สั่งสอนมันสิวะ”
ลูกน้องปรี่เข้าใส่ทันที
อนงค์กรี๊ดสุดเสียง “ช่วยด้วยๆๆๆ”
เสียงพฤกษ์ตะโกนดังแทรกเข้ามา “หยุดนะ! จะทำอะไรน่ะ”
อนงค์หันไปเห็นว่าเป็นพฤกษ์ก็รีบวิ่งมาเกาะแขน
“พฤกษ์”
พฤกษ์งง “คุณแม่! นี่มันอะไรกันครับ?”
อนงค์จะรีบพูด “ก็คือไอ้...”
แต่เห็นเถ้าแก่เส็งมองจ้องมาอย่างไม่กลัวก็ชะงัก
“เอ่อ..เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร”
พฤกษ์ยังคาใจ “แต่เมื่อกี๊”
อนงค์ยิ้มแฉ่ง เปลี่ยนท่าที “เพื่อนกัน ล้อเล่นกันน่ะจ้ะ”
“ล้อเล่น? เพื่อนกัน?” พฤกษ์งง
“จ้ะ..ขอแนะนำให้รู้จักกันซะเลยนะจ๊ะ นี่เถ้าแก่เส็งเพื่อนของแม่ เถ้าแก่คะ..นี่พฤกษ์” อวดลูกเขยเต็มที่ “ลูกเขยของฉันเอง พฤกษ์เป็นลูกชายคนโตของแสนสมุทร”
เถ้าแก่เส็งมองตาวาวเจ้าเล่ห์ พอจะเข้าใจแผนการของอนงค์
พฤกษ์ไม่สน “คุณแม่จะกลับบ้านรึยังครับ?” มองเถ้าแก่อย่างไม่ไว้ใจ “ผมจะไปส่ง”
อนงค์ห้ามเสียงหลง “โอ๊ะ! ไม่จ้ะ..แม่ยังไม่กลับ แม่ตั้งใจจะไปคุยธุรกิจกับเถ้าแก่เส็งที่บ่อน”
พฤกษ์ชะงัก “บ่อน”
“จ้า คือ เถ้าแก่เส็งเป็นเจ้าของบ่อนใหญ่โตมากก แหม..” หันมาทางเถ้าแก่ “ลูกเขยฉันเค้าขยันทำงานน่ะค่ะเถ้าแก่ วันๆ เอาแต่ออกทะเลจับปลา เลยไม่คุ้นกับบ่อน..ฮิๆ”
เถ้าแก่เส็งมองคิดในใจเสร็จกรูล่ะ!!
อนงค์กล่อมต่อทันที “ลองไปดูหน่อยมั้ยจ๊ะ...สนุกๆ..แก้เครียด”
พฤกษ์บอกทันควัน “ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่ชอบ”
อนงค์เคือง แต่รีบออกโรงคะยั้นคะยอ “น่า...ไปเป็นเพื่อนแม่หน่อย แม่คุยธุระกับเถ้าแก่แป๊บเดียว ขากลับมีพฤกษ์กลับเป็นเพื่อน..แม่ก็อุ่นใจ..นะๆ”
พฤกษ์อึกอัก “ผม”
อนงค์รวบรัดตัดความ “ต้องอย่างนี้สิคนดีของแม่..นะจ๊ะๆ..ไปเลยจ้ะ จะได้รีบไปรีบกลับ” ดันพฤกษ์ไป หันมาหลิ่วตาให้เถ้าแก่ “หาลูกค้ารายใหญ่ให้แล้ว พอจะชดเชยความผิดได้มั้ยคะเถ้าแก่”
อนงค์รีบเผ่นไปอย่างไวว่อง
เถ้าแก่เส็งชอบใจสั่งลูกน้อง “ไปเว๊ย ไปจับปลาตัวใหญ่ในบ่อนอั๊วกันดีกว่า ฮ่าๆๆๆ”
ทั้งหมดหัวเราะกันเกรียว แล้วเดินออกไป มุ่งหน้าไปยังบ่อน
ที่บ่อนเถ้าแก่เส็ง ยิ่งดึกยิ่งคึกคัก อนงค์เดินนำพฤกษ์เข้ามา พฤกษ์ชะงักที่เห็นว่าเป็นบ่อน มีนักพนันเล่นหน้าดำคร่ำเครียดอยู่มากมาย
“แม่ชอบมาคลายเคลียดที่นี่บ่อยๆ มันได้ผลนะ มีกำไรติดมือกลับด้วย”
“ไหนบอกว่ามาคุยธุระไงครับ? ผมกลับดีกว่า”
อนงค์ดึงแขนพฤกษ์ไว้ “มาถึงที่นี่แล้วก็ลองเล่นดูสักตาสองตาเป็นเพื่อนแม่แล้วค่อยกลับนะ”
อนงค์ดึงให้พฤกษ์ลงนั่ง แล้ววางเงินตัวเองลงเดิมพัน
“คุณแม่ครับการพนันมันไม่ดีนะครับ ทำไมเราต้องเอาเงินมาโยนทิ้งแบบนี้”
อนงค์บอกเสียงสูง “ใครว่าโยนทิ้ง? วันก่อนโต๊ะโน้นเค้าเล่นได้เป็นแสน”
พฤกษ์สะกิดใจ อึ้ง “เป็นแสน”
“ใช่! ได้ง่ายๆ เลยล่ะ...มาลองดู เอาของแม่ลงก่อนก็ได้”
อนงค์หยิบเงินวางเดิมพันลงตรงหน้าพฤกษ์ จังหวะนั้นเถ้าแก่เส็งยืนอยู่ด้านหลังอนงค์กับพฤกษ์มองไปที่คนแจกไพ่ คนแจกไพ่มองมา เถ้าแก่เส็งยกนิ้วโป้งขึ้น
คนแจกไพ่พยักหน้ารับ แล้วเริ่มแจกไพ่ พฤกษ์มองอย่างไม่สบายใจไม่ยอมแตะไพ่ อนงค์มองพฤกษ์แล้วก็เชียร์ให้เล่น
“ไหนมาดูสิ” จับไพ่พฤกษ์เปิด เสียงดังอย่างตื่นเต้น “ป๊อกเก้า! เจ้ามือแปด เรารวยแล้ว”
พฤกษ์ยังงงๆ ไม่เข้าใจ ไม่เคยเล่นสักครั้ง
“ขี่ดวงมาแท้ๆ ลูกแม่ อย่างนี้ต้องเบิ้ล” โปะเงินหมดหน้าตัก “หมดไปเลย”
พฤกษ์ทักท้วง “แม่ครับ ผมว่า”
“จุ๊! อย่าทักลูก..อย่าทัก.. เค้าถือ” ผีพนันตัวแม่จุ๊ปาก
คนแจกไพ่มองหน้าเถ้าแก่เส็งอีกครั้ง เถ้าแก่เส็งพยักหน้านิดๆ คนแจกไพ่แจกไพ่
อนงค์หงายไพ่ของพฤกษ์อีก ตื่นเต้นหนักกว่าเดิม “อร๊าย! นี่แม่ตาฝาดไปรึเปล่า? เราได้อีกแล้ว” กอดพฤกษ์ใหญ่ “หืมม์! พ่อมหาเฮงของแม่”
พฤกษ์อึ้ง ว่าจริงเหรอ อนงค์กวาดเงินมาใกล้ตรงหน้าพฤกษ์
“เรารวยแล้ว เห็นมั้ยลูก...เรารวยแล้ว เล่นอีกตา 2 ตา เงินแสนต้องมากองอยู่ตรงหน้าเห็นๆ...เชื่อแม่”
พฤกษ์มองเงินที่กองอยู่ตรงหน้าเขม็ง
คำพูดดูถูกของอนุตเข้ามาราวสายน้ำ
“หนึ่งแสนบาทภายใน 2 วัน” / ชั้นน่าจะเชื่อย่าแกตั้งแต่แรก” / “คนอย่างแกไม่เหมาะที่จะดูแลแสนสมุทรจริงๆ” / พฤกษ์เถียงออกไป “ผมบอกแล้วไงว่าผมจะรับผิดชอบหาเงินมาใช้หนี้ให้แสนสมุทรเอง”
พฤกษ์ดึงตัวเองกลับมา ตาวาว พบทางออก ดันเงินทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าลงเดิมพันอย่างเต็มใจ
“หมดนี่”
อนงค์ตกใจตาเหลือก “ห๊า หมดนี่เลยเหรอลูก”
“ครับ” อนงค์อึ้งกิมกี่
เถ้าแก่เส็งยิ้มกริ่ม พฤกษ์ลุ้นสุดตัว หน้าตาแบบผีพนันเริ่มเข้าสิง
รุ่งเช้าวันต่อมานั้นเอง ซองใส่เงินจากมือพฤกษ์วางแรงๆ ลงบนโต๊ะในห้องรับแขกบ้านแสนสมุทร ทุกคนนั่งอยู่ โดยมีพฤกษ์ยืนอยู่ ในชุดเดิม
“อะไรของแก” อนุตงวยงง
“ก็เงินไงครับ! เงินงวดแรกที่ครบกำหนดจะต้องใช้คืนคุณณรงค์”
เมฆาก็งง “อะไรนะพี่พฤกษ์”
พฤกษ์ทำท่าสบายๆ “จะงงอะไรกันนักหนากะอีแค่เงินหนึ่งแสน”
ทุกคนอึ้ง
“ฝากเอาไปใช้ให้คุณณรงค์ด้วยนะเมฆา” หันมาบอกกับทุกคน “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปนอนก่อน” หาวคำโตสั่งลา 1 ที แล้วเดินออกอย่างสะใจ
ทุกคนต่างนิ่งันกันอยู่
ศรีดาราเรียกไว้ “พฤกษ์...พฤกษ์” พอเห็นพฤกษ์ไม่รอแล้ว จึงหันมาพูดกับอนุต “เงินตั้งแสน ตาพฤกษ์ไปเอาจากที่ไหนมา?”
อนุตอึ้ง เมฆาก็อึ้ง
ด้านพฤกษ์ยิ้มร่า ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงในห้องนอนอย่างมีความสุขสุดๆ
“ฮ่าๆๆ งง งงกันทั้งบ้าน สะใจเว๊ย” พฤกษ์พูดเสียงเยาะ “ไอ้พฤกษ์มันโง่ ไอ้พฤกษ์มันไม่เอาไหน ไงล่ะ!! ทีนี้รู้จักไอ้พฤกษ์รึยัง..ฮ่าๆๆ” หัวเราะสะใจ แล้วสักครู่หนึ่งก็ตาวาว “คอยดู! ไอ้พฤกษ์คนนี้…จะปลดหนี้ทั้งหมดให้แสนสมุทรด้วยมือของฉันเอง”
น้ำเสียงของพฤกษ์ดูมั่นอกมั่นใจมาก ไม่สำเหนียกสักนิดว่าตัวเองกำลังจะนำหายนะมาสู่แสนสมุทรอีกคำรบ
วงเดือนนั่งซักผ้าอยู่หลังบ้าน ชอุ่มเข้ามาเห็นชะงักแล้วปรี่มาหา
“เดือน มาซักผ้าทำไม? ไม่สบายไม่ใช่เหรอ”
“เปล่าจ้ะ” วงเดือนบอก
“เปล่าอะไร? ก็เมื่อวานคุณเมฆาบอกเดือนปวดหัวทั้งวัน” ชอุ่มแย่งงานมาทำเอง “มานี่ๆ เดี๋ยวน้าทำเอง”
วงเดือนไม่ยอม “อย่าเลยจ้ะ ให้ชั้นทำเถอะ อยู่ว่างๆ...ไม่มีอะไรทำ”
“อ้าว! แล้ววันนี้ไม่ไปเข้าเวรเรอะ”
“เอ่อ...”
ชอุ่มชะงัก จ้อง “ทำไม เกิดอะไรขึ้นเหรอเดือน”
วงเดือนถอนหายใจ
สองคนอยู่ตรงราวตากผ้าบริเวณด้านหลังบ้านแสนสมุทร ชอุ่มสะบัดผ้าในมือพรึ่บ มีวงเดือนกำลังช่วยชอุ่มตากผ้า
ชอุ่มฉุนอย่างแรง “แหม๊... นังโฉมจัญไรนี่มันร้ายกาจที่สุด พูดแล้วมันเจ็บใจ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเมียคุณพฤกษ์นะ แม่จะขอตบซักฉาด 2 ฉาด” หยิบผ้ามาสะบัดพรึ่บๆ อย่างใส่อารมณ์ “เดือน เดือนจะยอมมันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้นะ เราก็มีมือมีเท้าเท่ากับมัน”
“เดือนสงสารคุณท่านน่ะจ้ะน้าชอุ่ม แสนสมุทรมีแต่เรื่องให้คุณท่านกลุ้มใจ แล้วอีกอย่างทางโรงพยาบาล เค้าก็แค่ตักเตือน ไม่ถึงกับไล่เดือนออก”
“อ้าว...แล้วทำไมวันนี้เดือนถึงไม่ไปทำงานล่ะ”
วงเดือนอึกอักลำบากใจเหลือทนที่เอ่ย “ก็...” หลบตา “เดือน...”
เมฆาส่งเสียงตอบแทน ดังเข้ามา “เดือนไม่อยากเจอหน้าฉัน”
สองคนหันขวับ เห็นเมฆายืนจ้องอยู่
“คุณเมฆา” วงเดือนคราง
สองคนอยู่ตรงมุมหนึ่งในบ้านแสนสมุทร เมฆาเดินเข้ามาหาวงเดือน “ฉันรู้ว่าเดือนรู้สึกยังไง?”
วงเดือนยืนนิ่งอยู่
“ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากจะพาเดือนไปให้ไกลแสนไกล” เมฆาเอ่ยขึ้น
วงเดือนขัดออกมา “แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
เมฆาสวน “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้”
วงเดือนไม่ตอบ
“ฉันจะรอ รอจนกว่าเดือนจะรักฉัน”
วงเดือนมองหน้าเมฆา เมฆามองตอบอย่างยืนยัน วงเดือนเบือนหน้า เมฆาเดินออกไป เหลือวงเดือนยืนอยู่ตรงนั้น วงเดือนแหงนหน้ามองฟ้า
ใต้ฟ้าผืนเดียวกัน ทุกคนกำลังยืนมองสภาพแห้งแล้งของไร่
“เฮ้อ! เห็นทีจะงานหนักหน่อยล่ะครับนายหญิงไร่เหนือฟ้า” สว่างสัพยอก
“ลุง ขำตรงไหน?” หนูนาฉุนนิดๆ
“ไม่ขำ! ใครจะขำออก? ตั้งแต่พ่อเลี้ยงเหนือฟ้าตาย ไร่เหนือฟ้าก็...อย่างที่เห็นเนี่ย” ถามภูผา “จะไหวเร้อนายครับ?”
“ต้องไหวสิ ไร่วงเดือนยังฟื้นขึ้นมาได้ ไร่เหนือฟ้าก็ต้องฟื้นได้เหมือนกัน”
หนูนาพึมพำ “เหนือฟ้า” ด้วยความคิดถึง
มองจากด้านหลังเห็นชายชาวเขาคนหนึ่งกำลังปามีดปักฉึกเข้าที่ต้นไม้ พอหยิบมีดจะปาอีกก็มีเสียงเรียก
“พ่อเลี้ยงครับพ่อเลี้ยง” เป็นมะขิ่นชาวบ้านชาวเขา วัยประมาณ 40 วิ่งเข้ามาหา
ใครคนนั้นหันหน้ามา ที่แท้เป็น เหนือฟ้า ในชุดชาวเขา เหนือฟ้ายังไม่ตายอย่างที่ ภูผา หนูนา และคนอื่นๆ เข้าใจ
เหนือฟ้าหันมาดุๆ “บอกกี่ครั้งแล้วอย่าเรียกฉันว่าพ่อเลี้ยง”
“สุมาเต๊อะครับพ่อเลี้ยง เอ๊ย! อ้ายเหนือ” มะขิ่นเปลี่ยนสรรพนาม
เหนือฟ้าพอใจ “มีอะไร”
“ก็อีนังมะยอน่ะสิครับ มัน..มัน..แย่แล้ว” มะขิ่นระล่ำระลัก
เหนือฟ้าตกใจ “มะยอ? มะยอเป็นอะไร?”
ไม่นานต่อมา เหนือฟ้ากะมะขิ่น วิ่งพรวดเข้ามาหยุดยืนในแนวป่า มะขิ่นชี้ขึ้นไปบนที่สูง
“โน่นไงครับ อีนังมะยอ...แย่แล้ว”
เหนือฟ้ามองตามที่มะขิ่นชี้ เห็นเป็นมะยอติดแหกับดักห้อยโตงเตงอยู่ท่าทางดูตลก
เหนือฟ้าขำกลิ้ง “ฮ่าๆๆๆ”
มะยอยังออกฤทธิ์แว๊ดลงมา “ขำอะไร? เอาข้าลงไปเดี๋ยวนี้สิวะ...อ้ายเหนือ”
“ก็แล้วใครใช้ให้ขึ้นไปอยู่บนนั้นล่ะ ฉันทำไว้ดักสัตว์ไม่ใช่ให้เธอขึ้นไปนอนเล่น นอนห้อยอยู่ซักคืนนึงเพลินๆ ดีนะ..มะยอ” เหนือฟ้าว่า
มะยอโวย สั่งลั่น “เอาข้าลงไป เดี๋ยวนี้”
“ได้”
เหนือฟ้าคว้ามีดขว้างไปตัดเชือกฉึ่บ กับดักร่วงลงมาพร้อมร่างมะยอหล่นดังตุ้บ! เหนือฟ้าขำกลิ้ง
“อูย....อ้ายเหนือ! รู้งี้คราวนั้นข้าไม่น่าช่วยเอ็งไว้เลย ปล่อยให้ตายเป็นผีเฝ้าหน้าผาซะก็ดี” มะยอโวย
มะขิ่นด่า “เฮ่ยๆๆๆ พูดจากับอ้ายเหนือแบบนั้นไม่ได้นะอีนังมะยอ”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะพ่อ”
“ก็อ้ายเหนือเค้าเป็น...”
มะขิ่นพูดไม่จบคำ เหนือฟ้ารีบตัดบท “มะขิ่น”
“เป็นอะไร? อ้ายเหนือเป็นอะไร? เป็นเทวดารึไง”
“ก็เป็นผู้ชายรูปหล่อที่ไม่ชอบผู้หญิงหน้าตาไม่สวยแล้วยังพูดจาหยาบคายไงล่ะ”
พูดจบเหนือฟ้าก็เดินหัวเสียออกไป ทิ้งให้มะยอฮึดฮัดขัดใจอยู่ตรงนั้น
“บ๊ะ! อ้ายเหนือ! หล่อตายล่ะ เชอะ”
ชิงนาง ตอนที่ 13 (ต่อ)
กลางป่าลึกช่วงเวลาตอนกลางวัน สองคนเดินคุยกันมาตามทางในป่ามะขิ่นเอ่ยขึ้น
“ตั้งแต่ผมสั่งศพร่างเละแหลกเหลวนั่นกลับไปที่ไร่วงเดือน ทุกคนก็คิดว่าอ้ายเหนือตายไปแล้วจริงๆ”
“ขอบใจมะขิ่นมาก ถ้าไม่ได้มะขิ่นกับลูกสาวที่ช่วยชั้นไว้ ป่านนี้ชั้นคงแย่” เหนือฟ้าซึ้งใจนัก
“ว่าแต่เมื่อไหร่อ้ายเหนือถึงจะกลับไปไร่เหนือฟ้าครับ”
เหนือฟ้าหยุดเดิน “ถ้าฉันฆ่าไอ้วันชัยได้เมื่อไหร่...ก็เมื่อนั้น”
สีหน้าและแววตาของเหนือฟ้ายามนี้ดุดัน แค้นหนัก
เวลานั้น อนงค์ลากโฉมไฉไลออกมาคุยตรงมุมลับตาคนในบ้านแสนสมุทร
โฉมไฉไลโวยลั่น “โอย..หม่าม้า มีอะไรก็ว่ามาสิ จะลากโฉมมาทำไมเนี่ย?”
“ขืนพูดให้ใครได้ยิน ฉันก็ตายสิยะ” เข้าเรื่อง “นี่!” แบมือขอเงิน “รีบแบ่งเงินมาให้ฉันซะดีๆ”
โฉมไฉไลงวยงง “เงิน? เงินอะไรของหม่าม้า”
“แน้… นังโฉม อย่ามาทำเนียน ผัวแกเพิ่งจะเล่นได้มาเป็นแสน”
โฉมไฉไลตกใจ “เป็นแสน”
“ใช่! ก็ชั้นนี่แหละที่เป็นคนเบิกเนตร ชี้ทางสว่างให้ผัวแก แหม...รวยแล้วคิดจะมุบมิบกันไว้แค่ 2 คนผัวเมียรึไง? ฝันไปเถอะ” แบมือกวักขอยิกๆ “แบ่งมาซะดีๆ”
โฉมไลตาเขียวเสียงขุ่น ฉุนกึก “อะไรนะหม่าม้า? นี่หม่าม้าพาพฤกษ์ไปเข้าบ่อน หม่าม้าหมดตัวคนเดียวยังไม่พออีกเหรอ”
อนงค์ตีปากโฉมเผียะ “นี่แน่ะ!! นังปากพาซวย พูดจาไม่เป็นมงคล!! หมดตัวที่ไหน นี่ถ้าชั้นไม่พาผัวแกไปเข้าบ่อน ผัวแกจะมีเงินแสนมาถวายแกเรอะ? นังนี่! แทนที่จะสำนึกบุญคุณแม่”
“พฤกษ์ไม่ได้เอาเงินมาให้โฉมซักกะบาทเลยนะหม่าม้า”
“ห๊า? ถ้างั้นมันเอาไปให้ใครหมดล่ะ?”
โฉมไฉไลนิ่งคิด ก่อนจะตาลุกวาว นึกออก เดินออกไปเร็วรี่
อนงค์ขัดใจที่ลูกสาวเดินหนี “อ้าว เฮ่ย! เหนื่อยฟรีเหรอวะงวดนี้” วิ่งตาม “ยัยโฉม..รอแม่ด้วย”
โฉมไฉไลเปิดประตูห้องเข้ามาดังผลัวะ วงเดือนอยู่ในห้องหันขวับไปมอง
“นังวงเดือน”
“คุณโฉม” วงเดือนงวยงง
โฉมไฉไลปรี่เข้าไปกระชากตัวตะคอกถาม “พฤกษ์เอาเงินมาให้แกใช่มั้ย?”
วงเดือนงงหนัก “เงินอะไรคะ”
โฉมไฉไลไม่ฟัง ผลักวงเดือนกระเด็นไป “ไหน? เอาไปซ่อนไว้ไหน?”
โฉมไฉไลรื้อค้นข้าวของในห้องจนกระจุยกระจาย
วงเดือนพยายามห้าม ขัดขวางสุดฤทธิ์ “อย่านะคะคุณโฉม! คุณทำอะไรของคุณ คุณพฤกษ์ไม่ได้เอาเงินมาให้เดือนอย่างที่คุณพูดเลยนะคะ”
โฉมไฉไลไม่หยุด อนงค์วิ่งเข้ามา “ทำอะไรน่ะโฉม”
“ก็หาเงินแสนที่คุณแม่บอกไงคะ พฤกษ์ต้องเอามาให้นังกากีนี่แน่ๆ”
“อะไรนะ” อนงค์อึ้ง
วงเดือนปรี่ไปหาอนงค์ “คุณอนงค์คะ ช่วยห้ามคุณโฉมด้วยเถอะค่ะ”
อนงค์สั่งทันที “ลุยเลยลูกแม่” ผลักวงเดือนเซจนแทบกระเด็น “มา! แม่ช่วยอีกแรง” ปรี่ไปรื้อค้นหนักกว่าเก่า
วงเดือนสุดทน “หยุดนะ” ปรี่ไปกระชากแม่ที ลูกที “บอกให้หยุดไงล่ะ”
โฉมไฉไลผลักวงเดือนกระเด็นไปอีก หันไปกระชากลิ้นชักเห็นรูปถ่ายคู่ของวงเดือนกับภูผาก็ชะงัก หยิบขึ้นมา
วงเดือนทั้งโกรธทั้งตกใจ ตะโกนก้อง “อย่านะ! อย่าแตะต้องของฉันนะ” วิ่งถลาไปจะหยิบคืน
โฉมไฉไลร้องบอกแม่ “หม่าม้า จับมันไว้”
อนงค์รวบตัววงเดือนไว้
“คุณโฉม ขอร้องเถอะค่ะ คืนรูปให้เดือนเถอะ” วงเดือนขอร้องดีๆ
โฉมไฉไลส่ายหน้าด่ากราด “แกนี่มันร้ายจริงๆ นังวงเดือน ขนาดตัวเค้าไม่อยู่ ก็ยังจะเป็นชู้ทางรูปถ่าย ทุเรศ”
วงเดือนโกรธจัด “คุณโฉม”
อนงค์บิดแขนวงเดือนอย่างแรงทันที วงเดือนร้อง “โอ๊ย”
“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ลูกฉัน”
โฉมไฉไลชูรูปขึ้นตรงหน้าวงเดือนถามคาดคั้น “บอกมา” ทำท่าจะฉีกรูป “แกเอาเงินของพฤกษ์ไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“เดือนไม่รู้..ไม่รู้จริงๆ”
โฉมไฉไลนับ “นับ 1”
วงเดือนสะอื้น น้ำตาคลอๆ “เดือนไม่รู้”
“นับ 2”
วงเดือนส่ายหน้า
“นับ 3”
“คุณโฉม อย่า” วงเดือนร้องเสียงหลง
โฉมไฉไลไม่ฟัง ฉีกรูปออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
วงเดือนร้องลั่น “อย่าๆๆ คุณโฉม…อย่า”
วงเดือนสะบัดตัวสุดแรงเกิดจนหลุดจากอนงค์ รีบทรุดลงไปที่เศษรูป
“ดูท่าทางมันจะไม่รู้เรื่องจริงๆ นะยัยโฉม” อนงค์มองพลางคิด
โฉมไฉไลฮึดฮัดอย่างขัดใจ จ้องหน้าวงเดือน “ไม่รู้ล่ะ! คราวนี้แล้วไป แต่คราวหน้า...ฉันจะฉีกเนื้อแกออกเป็นชิ้นๆ ไม่เชื่อก็คอยดู...นังวงเดือน!”
พูดจบสองมารแม่ลูกก็ก้าวฉับๆ พากันออกไป ปล่อยให้วงเดือนเอามือกอบๆ เศษรูปขึ้นมา แนบกับอกอย่างน่าเวทนา
“คุณภูผา”
วงเดือนสะอึกสะอื้นร้องไห้ครวญคร่ำอย่างน่าสงสาร
เวลาเดียวกันที่ไร่ฟ้าเหนือฟ้า ภูผาวางจอบใต้ต้นไม้ เพิ่งทำไร่เสร็จ ชายหนุ่มถอดเสื้อมาเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยเต็มหน้า หนูนายื่นกระติกน้ำส่งให้ ภูผาหันไปมองเห็นหนูนามองมายิ้มๆ
“ขอบใจ” ภูผารับมาแล้วลงนั่ง พร้อมกับยกดื่ม
หนูนาลงนั่งตาม ทอดสายตามองไปไกลๆ “คงอีกนาน กว่าไร่เหนือฟ้าจะฟื้นกลับมาเหมือนเดิม”
“นานแค่ไหนก็ต้องทำให้ได้ ฉันสัญญากับเหนือฟ้าไว้แล้ว”
หนูนาหันขวับ “สัญญา เมื่อไหร่?”
ภูผาส่ายหน้าเซ็ง “ความจำสั้นเหรอ ก็เมื่อวันที่เปิดพินัยกรรมของเหนือฟ้า ฉันตอบรับเงื่อนไขที่เหนือฟ้าต้องการให้ชั้นช่วยดูแลเธอและไร่ของเธอ มันก็แปลว่าชั้นสัญญากับเค้าแล้ว”
หนูนาพยักหน้าเข้าใจ
ภูผาพูดต่อ “ส่วนสัญญาที่ฉันให้ไว้กับเธอ ฉันก็ต้องทำเหมือนกัน ไม่ต้องห่วง”
“สัญญาอะไร” หนูนาสงสัย
“ก็สัญญา...จะแต่งงานกับเธอ”
หนูนาอึ้ง เขินอาย หลบตาวูบ
“เธอจะได้ตอบกับใครๆ ได้ว่าใครเป็นพ่อไอ้ตัวเล็ก” ภูผาพูดพร้อมกับมองท้องหนูนาสายตาอ่อนโยน
หนูนายกมือมาจับท้องโดยอัตโนมัติ ทั้งอายทั้งรู้สึกผิด
หนูนาพูดจริงจัง “คุณภูผา...ฉันว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับคุณ ที่จะต้องยอมแต่งงานกับฉันเพียงเพราะฉันจะได้ตอบกับใครๆ ได้ว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้องฉัน”
ภูผาไม่รู้จะพูดอะไร
หนูนาพูดต่อเรื่อยๆ แบบเด็กสาวพึมพำถึงการแต่งงานในอุดมคติ “ถ้าคนเราจะแต่งงานกัน ก็ควรจะแต่งเพราะเรารักกันไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่เสมอไปหรอกหนูน้อย” แวบหนึ่งนั้นภูผาคิดถึงวงเดือนขึ้นมา “คนที่เค้าจำเป็นต้องแต่งงานทั้งที่ไม่ได้รัก มีอยู่จริง”
หนูนาหันขวับมองภูผารู้ว่าเขาหมายถึง...วงเดือน
หนูนาเข้าใจแต่รู้สึกน้อยใจนิดๆ
“ฉันอิจฉาคุณวงเดือนมากเลยรู้มั้ย ได้ใจคุณภูผา มันยิ่งกว่าได้ตัวคุณมาไว้ตรงหน้านี้จริงๆ”
ภูผามองหนูนาก็รู้สึกสงสารอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ปฏิเสธสิ่งที่หนูนาพูด ภูผาเฉไฉใส่เสื้อยืดตามเดิม
หนูนาจะลุกขึ้น “ฉันไปดีกว่า” แต่ดันลุกไม่ค่อยถนัด เหมือนจะติดพุงติดเอวนิดๆ เพราะใส่กางเกงจนหนูนาหงายตัวลงนั่งเหมือนเดิม “โอ๊ย”
ภูผาเข้ามาประคอง แล้วดุๆ “จะลุกจะนั่งต้องระวังหน่อยสิ ไม่ใช่ตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ถึงจะได้แก่นกระโดกกระเดกได้ตามใจชอบ”
หนูนาลอบอมยิ้มในน้ำคำของภูผา ไม่นึกว่าหน้าหล่อหินๆ จะพูดอะไรอย่างนี้เป็น
“ยังจะมายิ้ม” ภูผาเอ็ดเอา
“ก็ขำอ่ะ..ไม่ค่อยเคยได้ยินคุณพูดอะไรแบบนี้”
ภูผาเปลี่ยนเรื่อง “เอ้า ลุก” ช่วยพยุงหนูนาลุกขึ้นยืน
หนูนายืนแล้วพยายามขยับๆ เอวกางเกงที่ดูจะเริ่มแน่น “โอย แน่นเหมือนกันนะเนี่ย”
ภูผาถามพาซื่อ “ท้องโตแล้วเหรอ”
หนูนาอาย ตีแขนดังเผียะ “บ้า! คุณภูผา! อายนะเว๊ย”
“เอ๊า! ก็ถามจริงๆ”
หนูนามองจ้องท้องแล้วพูดกับตัวเอง “อืมม์...ก็โตขึ้นนิดนึงจริงๆ ว่ะ”
“ฉันว่าเธอไม่น่าใส่กางเกงอย่างนี้แล้วล่ะ” คว้าข้อมือหนูนาจะเดินออก “ไป”
“เฮ่ย! จะไปไหน” หนูนาขืนตัวนิดๆ
“เหอะน่า”
ภูผาไม่สนดึงหนูนาออกไปทันที
ในเวลาต่อมาภูผาดึงหนูนามาหยุดอยู่ตรงหน้าเพิงขายเสื้อผ้า
หนูนามองแผงขายเสื้อผ้ามองหน้าภูผา “อะไรของคุณเนี่ย?”
“อยู่เฉยๆ” ว่าแล้วภูผาก็หยิบจับ เสื้อผ้าขึ้นมามองๆ ไม่ชอบ ก็หยิบใหม่ เริ่มชอบชุดกระโปรงตัวหนึ่ง เอาทาบที่ตัวหนูนา “ว้า! ใหญ่ไป”
ภูผาถามแม่ค้า “มีตัวเล็กกว่านี้มั้ย”
“ไม่มีจ้ะ..มีแค่นี้”
ภูผาพยักหน้าหงึกๆ หาๆ จับๆ ต่อไป
หนูนาลอบมองภูผา อย่างเป็นปลื้ม
ในที่สุดภูผาก็เจอชุดที่ใช่ เป็นชุดแซ็กทรงตรงๆ ไม่รัด และยังคงเป็นสไตล์หนูนา สีอ่อนๆ
ภูผายิ้มบางๆ อย่างพึงใจ “นี่ล่ะ” ยกเอาชุดมาทาบตัวหนูนา “ใช่เลย”
หนูนายิ้มปลื้มปริ่ม ได้เห็นมุมน่ารักของนายหิน?
ภูผาถามแม่ค้าอีก “มีอีกตัวมั้ย เอ้อ...2 ตัวสิ” หันมาพูดกับหนูนา “เผื่อซักแล้วแห้งไม่ทันนะ”
ภูผาชะงักเมื่อเห็นสายตาหวานซึ้งเปี่ยมรักของหนูนาที่จ้องมายังตน ภูผาเฉไฉ ยื่นตังค์ให้แม่ค้าเลย
“ทั้งหมด 3 ตัว”
หนูนายิ้มกริ่ม ขณะที่ภูผายืนฟอร์มไม่รู้ไม่ชี้ รอแม่ค้าหยิบของ ไม่มองหนูนา หนูนามองภูผายิ้มชื่นใจ
ภูผารับของจากแม่ค้า แล้วหันมา เห็นหนูนายังจ้องยิ้มอยู่เลยฟอร์มเข้ม “ยิ้มอะไร” ยัดของใส่มือหนูนา “เสร็จแล้วก็กลับ”
ว่าแล้วก็เดินออกไปเลยทันที ทิ้งให้หนูนาขำกิ๊ก พูดกับตัวเอง
“แล้วอย่างนี้จะไม่ให้รักได้ไงวะเนี่ย?” ตะโกนตาม “รอด้วย...”
หนูนาวิ่งออกตามไปเร็วรี่ โดยไม่รู้ว่าที่อีกมุมหนึ่งเหนือฟ้า ซึ่งแต่งตัวเป็นชาวบ้านชาวดอย มีผ้าโพกหัวให้พรางหน้าตา แอบมองดูอยู่ สายตาละห้อยก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่ออกมา
ทางด้านอนงค์ลากโฉมไฉไลมาต่อว่า
“นี่ตกลงแกเป็นเมียตาพฤกษ์แน่รึเปล่าห๊านังโฉม? ผัวหายไปไหนยังไม่รู้เรื่องรู้ราว”
โฉมไฉไลทำหน้าเหม็นเบื่อ “ป่านนี้จมน้ำทะเลตายไปแล้วมั๊งหม่าม้า”
“อ๊าย นังลูกคนนี้ ปากเสีย”
“นี่หม่าม้า ถามจริง เฮี้ยนอะไรขึ้นมา จู่ๆ ถึงต้องเป็นห่วงมันนักหนา”
“ห่วงสิ ไม่ห่วงได้ไง? ฉันเพิ่งจะพามันไปเป็นลูกค้าใหม่ของเถ้าแก่เส็ง ถ้าเกิดมันจมน้ำทะเลตายไปจริงๆ อย่างที่แกว่า ฉันก็ซวยสิ ไอ้เถ้าแก่มันต้องไม่เกรงใจฉัน มันต้องเอาฉันตายแน่”
“หม่าม้า” โฉมไฉไลหงุดหงิดนัก
“มัวแต่หม่าม้าๆ อยู่นั่นแหละ รีบไปตามหาผัวแก แล้วลากมันไปเข้าบ่อนกับฉันเร็วๆ เลย อ้อ! แกเองก็เหมือนกันนะนังโฉม วันๆ เอาแต่เดินลอยไปลอยมา หัดไปทำมาหากินในบ่อนมั่งสิยะ”
“อะไรนะ?”
“อย่าโง่หน่อยเลยน่ะ ช่วงไหนโกยได้เราก็ต้องรีบโกย หยิบจับอะไรในแสนสมุทรเอาไปทำทุนได้ก็รีบๆ ซะ เอาไปทำให้มันงอกเงยแล้วก็กลายเป็นเงินของเรา หรือแกอยากจะนั่งแบมือขอเงินมันอยู่อย่างนี้ เชอะ! ทำยังกะมันจะให้?”
โฉมไฉไลฟังแล้วเริ่มคิดตาม
พฤกษ์ย่ามใจเข้ามาที่บ่อนแต่หัววัน เถ้าแก่เส็งมองเห็นก็กระหยิ่มยิ้มย่องมาต้อนรับ
“คุณพฤกษ์ มาแต่วันเลยนะครับ”
“ผมอยากเล่นโต๊ะเมื่อวาน”
เถ้าแก่เส็งยิ้มเรี่ยราด “ได้เลยครับ”
เถ้าแก่เส็งนำพฤกษ์ลงนั่งที่โต๊ะ ที่มีคนนั่งเล่นอยู่สองสามคนแล้ว
“สนุกให้เต็มที่เลยนะครับ”
พฤกษ์วางเงินลงบนโต๊ะ คนแจกไพ่เหลือบมองหน้าเถ้าแก่เส็ง เถ้าแก่พยักหน้าให้อย่างรู้กัน คนแจกพยักหน้ารับ หน้าเถ้าแก่ยิ้มร้าย สีหน้าพฤกษ์มุ่งมั่นมาดหมายมาก
พฤกษ์เล่นพนันในอาการลุ้นทุกรอบ เมื่อพฤกษ์เล่นได้ ชายหนุ่มเฮลั่น คนเล่นในวงก็เฮฮือฮาไปด้วย พฤกษ์ย่ามใจหนัก โดยไม่รู้ว่าคนแจกไพ่เหลียวไปมองเถ้าแก่เส็งที่ยืนมองอยู่อีกมุม เถ้าแก่พยักหน้าส่งซิกบอกให้ปล่อยไปก่อน
เสียงพฤกษ์เฮสุดตัวเพราะได้อีก คนเล่นต่างฮือฮากันใหญ่ หน้าตาพฤกษ์ยามนี้บ้าพนันสุดฤทธิ์
คนแจกหันมองเถ้าแก่เส็งอีกครั้ง เถ้าแก่ยิ้มโหดให้ เอานิ้วทำท่าเชือดคอตัวเองเป็นการบอกให้จัดการพฤกษ์ได้แล้ว คนแจกพยักหน้า มองพฤกษ์โหด
พฤกษ์ออกอาการลุ้นอย่างย่ามใจว่าได้แน่ แต่พลิคล็อก พฤกษ์มองไพ่แล้วช็อก อึ้ง นิ่งงันไปเลย คนเล่นอื่นๆ หมดลุ้น โห่เซ็ง แตกตัว ทิ้งพฤกษ์ไว้คนเดียว
เจ้ามือไพ่โกยเงินตรงหน้าพฤกษ์ไปหมด พฤกษ์ช็อก เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เถ้าแก่เส็งยิ้มสะใจก่อนจะเดินมาหาพฤกษ์ตบไหล่ปลอบ
พฤกษ์หันขวับไปมอง เสียขวัญเพราะหมดตูด หน้าตื่น เสียงสั่น
“ทำยังไงดี ผม...ผมเสียหมดเลย…” ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เพราะไม่คิดเรื่องนี้ “ผมจะทำยังไงดี” กุมหัว “ผมจะทำยังไงดี”
เถ้าแก่เส็งปลอบ “ใจเย็นๆ คุณพฤกษ์ มันก็อย่างนี้แหละ มีได้ก็ต้องมีเสีย มีเสียก็ต้องมีได้”
พฤกษ์โวย “แต่ผมเสียไปหมดแล้วจะเอาที่ไหนมาได้”
เถ้าแก่เส็งส่ายหน้า บอกด้วยเสียงยียวน “ม่าย ช่าย ปัญหา! ทุกอย่างเถ้าแก่เส็งจัดการได้” หัวเราะหึหึ แล้วหันไปหาลูกน้อง “เฮ่ย” พยักหน้าส่งซิก
ลูกน้องหิ้วกระเป๋ามาควักเงินปึกหนึ่งวางตรงหน้าพฤกษ์
พฤกษ์อึ้ง “อะไรเนี่ย”
เถ้าแก่เส็งทำไก๋ “ทำไม น้อยไปเหรอครับ” พยักหน้าให้ลูกน้อง “เฮ่ย”
ลูกน้องโปะไปอีกปึก พฤกษ์ผุดลุกขึ้นยืนพรวด “เถ้าแก่!! ผมไม่เอา”
เถ้าแก่เส็งกดไหล่ให้พฤกษ์นั่งลงเกลี้ยกล่อม
“ไม่ต้องเกรงใจน่า...เรามันคนกันเอง เอาไปเล่นให้หายเครียดก่อนน่า รวยเมื่อไหร่ ค่อยเอามาใช้อั๊วนะค้าบ” หันไปบอกลูกน้อง “ไปเว๊ย! อย่ากวนสมาธิคุณพฤกษ์”
เถ้าแก่เส็งออกไป พฤกษ์อึ้ง มองเงินอย่างลังเล ตัดสินใจไงดี?
ค่ำคืนนั้นที่บ้านแสนสมุทร 3 คนพ่อแม่ลูกนั่งทานข้าวกันอย่างเหงาๆ มีชอุ่มยืนดูแลอยู่แถวนั้น
เมฆาตักกับข้าวให้พ่อ “ทานเต้าหู้หน่อยครับพ่อ มีประโยชน์
อนุตฝืนๆ ยิ้ม “ขอบใจ” ตัดพ้ออย่างทดท้อ “ตอนนี้แสนสมุทรก็เหลือเมฆาคนเดียวแล้ว”
“คุณคะ..ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ” ศรีดาราท้วง
อนุตไม่สน พูดต่อกับเมฆา “จำไว้นะเมฆา ถ้าพ่อเป็นอะไรไป เมฆาจะต้องดูแลแม่ ดูแลแสนสมุทร”
ศรีดาราตะลึง “คุณ”
“พ่อครับ ทานข้าวเถอะครับ” เมฆาบอก
อนุตยังไม่หยุด “เมฆาจะเป็นผู้ชายคนเดียวของแสนสมุทรที่เหลืออยู่”
“คุณพ่อครับ แสนสมุทรยังมีผู้ชาย 5 คน เหมือนเดิมนะครับ พี่พฤกษ์ พี่ภูผา...”
อนุตสวนคำ “อย่าเอ่ยชื่อมันให้พ่อได้ยิน”
“ส่วนอรุณก็ยังอยู่กับพวกเราเสมอ ที่สำคัญ..แสนสมุทร ยังคงมีผู้นำคือ คุณพ่อ” เมฆาอวย
อนุตหัวเราะนิดๆ อย่างขื่นขม นิ่งไปนิดก่อนจะพูดขึ้นมา “เมฆา..เมื่อไหร่แกจะแต่งงาน”
เมฆาชะงัก “อะไรนะครับ?”
“ฉันถามว่าเมื่อไหร่แกจะแต่งงาน แสนสมุทรจะต้องมีทายาทสืบต่อไปอีกหลายรุ่น แกต้องมีทายาทให้แสนสมุทรได้แล้ว”
เมฆาอึกอัก “เอ่อ..ผม...”
“คุณคะ..ทุกวันนี้เมฆาก็รับภาระมากอยู่แล้ว อย่าเอาเรื่องนี้ไปกดดันลูกเลยค่ะ เรารออุ้มหลานจากพฤกษ์กับโฉมไฉไลก่อนก็ได้” ศรีดาราว่า
“พ่อมันก็ขนาดนั้น แม่มันก็ขนาดนั้น ผมไม่อยากได้หลานจากสายเลือดแบบนั้นหรอก” อนุตเสียงขุ่น
ศรีดาราชะงักอีก “คุณ”
อนุตตัดบท “เมฆา...พ่อฝากให้แกคิดเรื่องนี้ให้พ่อด้วย”
สีหน้าเมฆาคิดหนักกับภาระหนักอึ้งที่พ่อโยนให้
ชอุ่มนำความจากวงข้าวเจ้านายมาเล่าจีบปากจีบคอเม้าท์อย่างเมามัน
“เห็นแล้วก็สงสารคุณเมฆาที่สุดเลยอ่ะ”
วงเดือนนั่งพับผ้าช่วยชอุ่มอยู่
“แหม..เดือนต้องเห็นนะ หน้าคุณเมฆางี้ ยังกะปวดท้องอึ โห! คุณผู้ชายก็เหลือเกิน สั่งอะไรไม่สั่ง สั่งให้คุณเมฆารีบมีลูก มีเมีย”
วงเดือนอึ้ง “คุณพ่อสั่งให้คุณเมฆารีบมีลูกมีเมีย”
“ก็ใช่น่ะสิ แหม้… สั่งปุ๊บสั่งปั๊บ ทำยังกะมันจะง่ายเหมือนเหวี่ยงแหจับปูจับปลาในทะเล ยิ่งคุณเมฆาน่ะนะเธอช่างเลือก เธอไม่ใช่คนที่จะรักใครง่ายๆ”
วงเดือนนึกๆ แล้วก็สงสารเมฆา
“เฮ้อ นึกแล้วก็ปวดขมับ ทำไม๊บ้านนี้มันถึงต้องมีเรื่องวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวันน้อ” ลมเริ่มตีสว้าน “เอิ้ก! นั่นไง มียาหอมมั้ยเดือน น้าขอซักกรึ๊บสิ”
“ได้จ้ะ..น้าชอุ่มนั่งพักนิ่งๆ ก่อนนะ เดี๋ยวเดือนเอาให้” รีบลุกไปชงยาหอม
ชอุ่มหยุดพับผ้า นั่งหลับตานิ่ง แต่ยังไม่หยุดพูด “โอย..สงสัยจะเครียดแทนคุณเมฆามากไปหน่อย” ยกมือนวดขมับตัวเอง
วงเดือนยื่นยาหอมให้ “นี่จ้ะ”
“ขอบใจมากเดือน” รับยามาดื่ม
“น้าชอุ่มต้องนอนพักนะจ๊ะ”
“เฮ้อ! จะนอนยังไง เดี๋ยวต้องยกผ้านี่ไปให้คุณๆ อีก”
วงเดือนยิ้มรับ
ไม่นานหลังจากนั้น วงเดือนเดินก้มหน้าถือตะกร้าผ้ามาตามทาง เกือบจะชนกับใครคนหนึ่ง
“อุ๊ย” หญิงสาวร้องตกใจ ที่แท้เป็นเมฆา
“คุณเมฆา...”
เมฆาตีหน้าเรียบเศร้า “ขอโทษทีเดือน ฉันไม่ทันเห็น” นึกห่วง “ดึกแล้วทำไมยังไม่นอน”
“เดือนจะเอาผ้าขึ้นไปให้คุณๆ น่ะค่ะ”
เมฆาหงุดหงิด “เมื่อไหร่จะเลิกทำงานพวกนี้ซะที งานที่น่าจะทำ ก็ไม่ทำ” แย่งตะกร้าผ้ามาถือไว้เอง
“ไปนอนซะฉันเอาขึ้นไปเอง”
วงเดือนไม่ยอม ดึงกลับมา “ไม่ได้ค่ะ!! คุณเมฆาจะมาทำงานแบบนี้ได้ยังไง”
“ทำไมจะไม่ได้”
เมฆาดึงกลับมาอีกที อย่างแรง คราวนี้ได้ตัววงเดือนติดมาด้วย วงเดือนเซมาอยู่ในอ้อมกอดเมฆาสองคนตามองสบตากัน หน้าใกล้ชิดแทบติดกัน
เมฆาโพล่งขึ้น “แต่งงานกับฉันได้มั้ยเดือน”
วงเดือนสะดุ้งเฮือก ผลักเมฆาออกทันที
ระหว่างนั้นยินเสียงพฤกษ์ลอดเข้ามา “ไอ้เมฆา”
สองคนหันขวับ เห็นเป็นพฤกษ์ยืนเป๋ เมาแทบทรงตัวไม่อยู่
“ปล่อยเดือนเดี๋ยวนี้! ไอ้เมฆา”
พฤกษ์พุ่งตัว อาการตุปัดตุเป๋ เข้ามาผลัก 2 คนออกจากกัน แล้วต่อยเหวี่ยงวืดอย่างคนเมา ต่อยไม่โดนแถมตัวเองยังหัวทิ่มลงไปกองกับพื้นดูน่าสมเพช
วงเดือนวิ่งเข้าไปดู “คุณพฤกษ์..ทำไมถึงเมาอย่างนี้ล่ะคะ”
พฤกษ์หงายผลึ่งกับพื้นอย่างหมดสภาพ หลับตาแหกปากอย่างไม่มีสติด้วยความเมา “หมดตัวแล้วมันต้องเมาสิเว้ย”
เมฆาชะงักฟัง
วงเดือนเรียก “คุณเมฆาคะ ช่วยพาคุณพฤกษ์ไปที่ห้องเถอะค่ะ”
เมฆาเข้ามาประคองพฤกษ์ที่บ่นพึมพำอะไรฟังไม่รู้เรื่อง โดยมีวงเดือนคอยเดินตามไป
ร่างของพฤกษ์หงายผลึ่งลงบนเตียงนอน เมฆาส่ายหัว “ปล่อยไว้อย่างนี้แหละ”
“จะดีเหรอคะ?” วงเดือนกังวล
เมฆามองพฤกษ์อย่างสมเพช เผลอพูดน้ำเสียงหยัน “ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้วนี่”
วงเดือนมองเมฆา ไม่ชอบใจนัก
เมฆารีบกลบเกลื่อนด้วยการตัดบท “ปล่อยให้พี่พฤกษ์นอนพักดีกว่า พอเช้าสร่างเมาก็คงจะดีขึ้นเอง”
วงเดือนมองพฤกษ์ด้วยความสงสาร “น่าสงสารคุณพฤกษ์นะคะ”
เมฆาชะงัก ตาวาวขึ้นมานิดนึง ก่อนจะตีหน้าเศร้าสลด “น่าสงสารคุณพ่อมากกว่า”
วงเดือนมอง เมฆาขยี้พฤกษ์ต่อทันที ทำเป็นถอนใจเฮือก “สุขภาพก็ไม่ค่อยจะดี พี่พฤกษ์ก็มาเป็นอย่างนี้”
วงเดือนมองไปยังพฤกษ์ เมฆาเหลือบมอง ได้ทีบี้ต่อ “นานแล้วนะที่แสนสมุทรไม่มีอะไรให้คุณพ่อได้ชื่นใจบ้างเลย”
วงเดือนคิดตาม
เมฆาพูดต่ออีก “ฉันตั้งใจไว้เลยนะว่า ต่อจากนี้ไป ถ้าฉันทำอะไรเพื่อให้ท่านชื่นใจได้ ฉันจะทำทันที จะไม่ปล่อยให้อะไรสายเกินไปเหมือนเมื่อครั้งคุณย่า...แล้วก็...อรุณ”
วงเดือนมองเมฆา ที่พูดลอยๆ ไม่ได้มองวงเดือน เมฆาทำสายตาเศร้าสร้อย วงเดือนถอนใจเฮือกรู้สึกหนักใจเมื่อคิดตามเมฆา
เมฆาลอบมองผุดยิ้มตรงมุมปากออกมา รู้ว่าแอ็คติ้งวันนี้ได้ผลสั่นคลอนหัวใจวงเดือนได้แล้ว
เช้าวันต่อมา หนูนาส่องกระจกดูตัวเองในชุดใหม่ที่ภูผาเพิ่งซื้อใหม่ ดูซ้ายแลขวา แล้วอมยิ้ม หันมาเจอภูผาต๊กกะใจ
“ยิ้มอะไร?” ภูผาถาม
หนูนาอายม้วน แต่ทำเข้ม “ยิ้ม อะไร ใครยิ้ม ไม่เห็นรู้เรื่อง”
“สวยใช่มั้ยล่ะ? ก็หัดใส่อะไรหยั่งงี้ซะมั่ง จะได้สวยๆ เหมือนอย่างผู้หญิงคนอื่นเค้ามั่ง”
หนูนาอึ้ง น้อยใจนิดๆ “สวยอย่างคุณวงเดือนน่ะเหรอ”
ภูผาอึ้งกว่า เปลี่ยนเรื่อง “เออ…ฉันมีข่าวดีจะบอก”
หนูนาเปลี่ยนอารมณ์ ตาโตเป็นประกาย รอฟังนึกว่าจะเป็นเรื่อง “งานแต่งงาน”
เห็นภาพในความคิดหนูนาเป็นภูผาคุกเข่าจับมือหนูนา “พรุ่งนี้..เราจะแต่งงานกันนะหนูนา”
หนูนายิ้มแฉ่งดีใจมาก
“หนูนา หนูนา” ภูผาเรียกเสียงดัง
หนูนาสะดุ้งเฮือก หลุดจากภวังค์
“ห๊า? ว่าไงนะ?”
ภูผางงๆ “เธอนั่นแหละจะว่ายังไง ที่คุณลูกค้าเก่าของไร่เหนือฟ้าเค้าติดต่อขอซื้อชาจากไร่ของเธอมาอีกน่ะ”
หนูนายังเอ๋อ “อ๋อ...อ๋อ...เออ...จริงเหรอ? ก็ดีสิ”
“ถ้างั้นเราก็ต้องลุยกันหนักหน่อยนะ ฉันว่าถ้าเราโชคดี อีกไม่เกิน 3 เดือน เราน่าจะลงใต้เอาชาไปส่งให้คุณเค้าได้” ภูผาเอ่ยชื่อลูกค้า
หนูนาดีใจ “จริงเหรอ” นึกถึงเหนือฟ้าขึ้นมาได้ก็อึ้ง “ลงใต้”
“ใช่..ลงใต้”
“ที่นั่นมัน..บ้านของคุณไม่ใช่เหรอ?”
ภูผาคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะบอก “เคย..เคยเป็นบ้านของฉัน แต่วันนี้..บ้านของฉันอยู่ที่นี่
หนูนาตาเป็นประกาย ดีใจ
“ชั้นอยากเห็นชาจากไร่เหนือฟ้าเร็วๆ จังเลยคุณภูผา” วินาทีนั้นหนูนานึกถึงเหนือฟ้าขึ้นมา “ถ้าเหนือฟ้ายังอยู่เหนือฟ้าคงจะดีใจมาก”
ภูผาอมยิ้มนิดๆ ส่งสายตามั่นใจให้หนูนา หนูนายิ้มแฉ่งอย่างมีความสุขล้น
โปรดติดตาม "ชิงนาง" ตอนต่อไป
ชิงนาง ตอนที่ 13 (ต่อ)
ลูกดอกเฉี่ยวใบหน้าเหนือฟ้าไปปักดังฉึ่กลงบนงูที่เลื้อยอยู่บนต้นไม้ เฉียดใบหน้าเหนือฟ้าไปนิดเดียว เหนือฟ้าหันไปมองซากงู แล้วเหลียวขวับมามองคนยิงลูกดอก
เหนือฟ้าเห็นเป็นมะยอ “มะยอ”
และมะยะยังถือไม้ที่ใช้เป่าลูกดอกคาปากอยู่
“เดินทะเล่อทะล่า เดี๋ยวก็ได้เป็นผีเฝ้าป่าไม่รู้ตัว” มะยอบ่น
“ถ้าเธอทะเล่อทะล่าเป่าลูกดอกอาบยาพิษทะลุหัวฉัน แทนที่จะเป็นไอ้งูนั่น ป่านนี้ฉันก็คงกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้วเหมือนกัน”
“ไม่น่าช่วยเลย ปล่อยให้โดนงูฉกตายซะก็ดี” มะยอหงุดหงิดช่วยแต่ไม่ชม แถมถูกด่าอีก
มะขิ่นเดินเข้ามามองเหนือฟ้ายิ้มๆ
“แค่นี้...อีนังมะยอมันไม่พลาดหรอกอ้ายเหนือ ฝีมือเป่าลูกดอกของมันน่ะแม่นขั้นเทพ”
มะขิ่นยักไหล่พรืด เหนือฟ้ามองมะขิ่น
ทุกคนนั่งคุยกันอยู่ ปิ้งงูตัวเมื่อกี๊กินกัน มะยอเข้ามาถามด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“จะให้ข้าสอนเป่าลูกดอก”
มะขิ่นพลอยตกใจไปด้วย “ก็เออสิวะ” แค่นี้ทำไมต้องเสียงดังด้วย ตกใจหมด”
มะยอถามย้ำ “สอนอ้ายเหนือเนี่ยนะ”
“ก็เออสิวะ! ไม่สอนอ้ายเหนือแล้ว เอ็งจะสอนข้าเรอะ! จะมาสอนข้าทำไม ก็ข้าเนี่ยแหละเป็นคนสอนเอ็งนะเว๊ย!”
มะยอทำหน้าเซ็ง
เหนือฟ้าถามขึ้น เหน็บอยู่ในที “หวงวิชาเหรอ”
มะยอไม่ตอบ แต่ทำเซ็ง
“อ้ายเหนือเรียนไว้น่ะดีแล้ว และก็ควรจะเรียนอีกหลายๆ อย่าง” มะขิ่นมองมายังเหนือฟ้า พูดอย่างมีความหมายซ่อนอยู่ “เผื่อวันข้างหน้ามันจะมีประโยชน์ต่ออ้ายเหนือ”
เหนือฟ้าเข้าใจความหมาย…เอาไว้ล่าวันชัย “ใช่” ตาลุกวาว “มันต้องมีประโยชน์ต่อฉันแน่”
มะยอลุกยืนขึ้นพรวด “วันหลังนะ..วันนี้ไม่ว่าง” พูดจบก็เดินออกไปเลย
มะขิ่นระอาใจ “อย่าไปถือมันนะครับ” มะขิ่จะพูดด้วยคำลงท้ายครับ เวลาอยู่กัน 2 คน “อีนังมะยอมันบ้าๆ บอๆ”
เหนือฟ้ามองตามยิ้มๆ
ครู่ต่อมา เหนือฟ้าเดินมาตามทาง ถึงลำธารใต้น้ำตกจึงถอดเสื้อ เพื่อจะลงอาบน้ำ แต่ต้องชะงักเพราะเห็นใครบางคน ที่แท้เป็นมะยอแช่น้ำอยู่ก่อนแล้ว กำลังแกะผมสยายออกดูเซ็กซี่มากๆ ก่อนจะย่อตัวลงมิดน้ำลงไป แล้วโผล่ขึ้นมาสะบัดผมดูเซ็กซี่ยิ่งกว่าเดิมอีก
เหนือฟ้ามองอึ้งอยู่
มะยอรู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่ หันขวับโดยสัญชาตญาณชาวป่า เหนือฟ้าหลบขวับ
มะยอยังจ้องมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ ส่องตามองหาอยู่นิดหนึ่ง แล้วจึงเล่นน้ำต่อด้วยท่าท่าสุดเซ็กซี่
เหนือฟ้า นั่งเอามือกุมอกคิดในใจ “เกือบไปแล้วกรู!!”
ที่บ้านแสนสมุทร อนุตตกใจมากเมื่อฟังจากเมฆา
“ว่าไงนะ? พฤกษ์ยังไม่ได้ส่งเงินงวดที่ 2 ให้คุณณรงค์”
“ครับ”
อนุตหงายหลังพิงเก้าอี้ พร้อมกับหลับตาลงอย่างเหนื่อยใจ
ศรีดาราปลอบ “ใจเย็นนะคะคุณ”
อนุตพูดทั้งที่หลับตา “มันอยู่ไหน”
“ใครครับ” เมฆาย้อนถาม
อนุตบอกเสียงเข้ม “ไอ้พฤกษ์”
น้ำสาดโครม! ลงที่หน้าพฤกษ์ซึ่งนอนอยู่บนเตียงในห้อง พฤกษ์สะดุ้งก่อนจะลืมตา ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างงงๆ
“เฮ่ย! อะไรกันวะเนี่ย”
อนุต เมฆา และศรีดารา ยืนมองพฤกษ์อยู่ ศรีดาราเริ่มร้องไห้ด้วยความเป็นห่วงลูก
อนุตตวาดลั่น “จะมีหน้ามาถามอีกเหรอไอ้ลูกเลว” เข้าแทุบตีพฤกษ์ที่ยังไม่สร่าง “ไอ้ลูกเลว! ไอ้ลูกไม่รักดี”
ศรีดารา กับเมฆาเข้าห้ามกันอย่างชุลมุน
อย่าค่ะคุณ อย่าทำลูกเลย ฮือๆ ฉันขอร้อง..อย่าทำลูก”
แต่อนุตไม่หยุด
“พอเถอะครับคุณพ่อ ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ พี่พฤกษ์ยังไม่สร่างเมา ตอนนี้พี่พฤกษ์ไม่มีสตินะครับ” เมฆาบอก
อนุตยืนหอบ “ตอนนี้ ตอนไหน จะเมา หรือไม่เมา ไอ้พฤกษ์มันก็ไม่มีสติทั้งนั้นแหละ มันทำให้แสนสมุทรต้องอับอายขายหน้า ฉันจะฆ่ามัน”
อนุตปรี่เข้าทุบตีพฤกษ์อีก อย่างโมโหสุดขีด ศรีดารา และเมฆา พยายามห้าม
ระหว่างนั้นวงเดือนและชอุ่มวิ่งเข้ามาตกใจ ช่วยกันร้องห้าม
ทันใดนั้น อาการป่วยของอนุตกำเริบ อนุตที่กำลังเงื้อมือจะตีพฤกษ์เกิดอาการแน่นหน้าอกอย่างแรง ร่างซวนเซไป
“โอ๊ย”
“คุณพ่อ” เมฆาตกใจ
อนุตทรุดฮวบลง เมฆารับร่างเอาไว้ทัน ศรีดารา วงเดือน ชอุ่ม ร้องเสียงหลง พฤกษ์ตกใจเรียกพ่อลั่นแทบจะหายเมา
“พ่อ”
เมฆาเรียกดังลั่น “เดือน”
วงเดือนรู้ทันที “ค่ะ”
ร่างอนุตอยู่บนเตียงในห้องแล้ว วงเดือนหยิบเอาอุปกรณ์วัดความดันพันรอบแขนอนุต เมฆาคว้าลูกยางมาบีบเอง ใช้หูฟังตรวจการเต้นของหัวใจ ศรีดารา ชอุ่ม ลุ้น
เมฆาหน้าเครียด วงเดือนมองเมฆาแล้วมองอนุตอย่างสงสาร
เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป ทุกคนนั่งสงบนิ่งรอบๆ อนุต โดยมีเมฆายืนจ้องพ่อแบบลุ้นสุดขีด อนุตค่อยๆ รู้สึกตัว เมฆาดีใจมาก ยิ้มออกมาทันที
“คุณพ่อ”
ศรีดาราปรี่เข้าหาทันที “คุณ คุณคะ” จับมือมาแนบแก้ม “คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองคุณจริงๆ ด้วย”
วงเดือนยิ้มรู้สึกโล่งใจ ชอุ่มเช็ดน้ำตาป้อยๆ
ศรีดาราโผเข้ากอดเมฆา “เมฆาลูกแม่ ลูกแม่เก่งจริงๆ” หันไปมองวงเดือน “เดือนก็ด้วย! เดือนเก่งมากๆ จ้ะลูก”
ศรีดารารวบทั้งสองคนมากอดไว้ในอ้อมกอด สองคนเลยตัวชิดกันแน่นโดยอัตโนมัติ ต่างคนต่างคนมองหน้ากันอึ้งๆ
ชอุ่มดีใจ “คุณผู้ชายรอดเพราะคุณเมฆากับเดือนแท้ๆ เลยค่ะ”
“ใช่! เพราะลูก สองคนจริงๆ ขอบใจมากนะลูก”
ศรีดาราดีใจ กอดแน่นเข้าไปอีก สองคนยิ่งชิดจนหน้าแทบจะชนกัน มองหน้ากันไปมา วงเดือนหลบสายตาวูบ เมฆามองวงเดือนอย่างรักสุดหัวใจ
ส่วนที่หน้าห้อง พฤกษ์ยืนหลังพิงผนังห้องแอบดูอยู่ ค่อยๆ ทรุดลงอย่างหมดแรง
วงเดือนเดินก้มหน้ามาเรื่อยๆ โดยมีเมฆาเดินตามมาส่ง ทั้งคู่เดินไม่รีบเร่ง เพราะเหมือนเพิ่งโล่งอกจากเรื่องที่ผ่านมา
เมฆาเรียกไว้ “เดือน”
วงเดือนรู้อยู่แล้วต้องโดนเรียก จึงหยุดรอ หันมาหา “คะ”
เมฆาเดินมามองหน้า “เมื่อกี๊..ขอบใจมากนะ..เดือนเก่งมาก”
“คุณเมฆาต่างหากค่ะ”
“เพราะมีเดือนคอยช่วยอยู่ข้างๆ ต่างหาก” เมฆาหยอดหวานอีก
วงเดือนเงียบ นิ่งงันไป
“ฉันอยากมีเดือนคอยอยู่ข้างๆ ฉันอย่างนี้..ตลอดไป”
วงเดือนจะเดินออกไป “เดือนขอตัว”
เมฆาคว้าข้อมือไว้หมับทันที วงเดือนยืนนิ่ง
“ไม่ต้องรีบ”
วงเดือนช้อนตาเหลือบมองหน้าเมฆา
“ฉันจะรอ”
วงเดือนบิดข้อมือออกจากมือเมฆาเบาๆ แล้วเดินออกไป เมฆามองตามดัวยสายตามุ่งมั่น จริงจัง รักจริง
ทันใดนั้นยินเสียงปรบมือแปะๆ ดังขึ้น เมฆาสะดุ้งนิดๆ หันไปมอง เห็นเป็นโฉมไฉไลยืนปรบมืออยู่
“ฉากนี้หวานที่สุด” ค่อยๆ เดินเข้ามาพูดใกล้ๆ ยั่วล้อหยันๆ “ฉันอยากมีเดือนคอยอยู่ข้างๆ ฉันอย่างนี้ตลอดไป ไม่ต้องรีบ..ฉันจะรอ”
เมฆาทำหน้าเหนื่อยหน่าย
โฉมไฉไลเปลี่ยนเสียง พูดใส่หน้า “เชอะ ฝันไปเถอะ แต่ขอบอกว่ามันก็หวานได้แค่ในฝัน เพราะในความเป็นจริง โฉมจะไม่มีวันยอมให้อีนังนั่นมาแย่งเมฆาไปได้เด็ดขาด”
เมฆาจ้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “เดือนเค้าไม่ได้แย่ง แล้วก็ไม่เคยแย่ง ฉันต่างหากที่หลงรักเค้าข้างเดียว และ” จงใจพูดใส่หน้า “รักเค้าคนเดียว มาโดยตลอด”
โฉมไฉไลปรี๊ด รู้ว่าถูกด่า “แต่คุณได้โฉมแล้ว”
เมฆาจ้องตาแทบทะลุ “ฉันไม่ได้อยากได้ เธอต่างหาก...ที่ยัดเยียดให้ฉัน”
โฉมไฉไลอ้าปากค้าง เมฆาเดินหนีไป
“อร๊าย... นังวงเดือน หลงอะไรมันนักหนาห๊าเมฆา” ตาวาวโรจน์ “อยากรู้นัก ว่าจะรักจะหลงมันไปอีกนานแค่ไหน” แววตาดุดันร้ายกาจ “แน่ใจเหรอเมฆา...ว่าจะรักนังวงเดือนตลอดไป”
โฉมไฉไลยิ้มเยาะอย่างมีแผนร้ายในใจ
บนบ้านภูผา ที่ไร่วงเดือนเวลานั้น หนูนานั่งลงพรวด หันมาทางสว่าง
“แน่ใจสิลุง! ยังไงฉันก็จะรักคุณภูผาตลอดไปแน่ๆ แน่นอนที่สุด”
สว่างส่ายหัว “เฮ้อ!! ไอ้หนูนา..เอ็งนี่มันดื้อเหมือนใครวะ”
“จะเหมือนใคร้ หลานใคร..ก็ดื้อเหมือนคนนั้นแหละ” ดอยยิ้มทะเล้นให้
สว่างมองหลานอย่างเอ็นดู แกมสงสาร “ไอ้หนูนา” ลูบหัวหนูนา “ชีวิตเอ็งนี่มันน่าสงสารจริงๆ นะ เกิดมา…แม่ก็ตาย..กลายเป็นลูกกำพร้า”
หนูนายิ้มอย่างเข้มแข็งยอมรับสภาพตัวเองนานแล้ว
สว่างยิ้มบางๆ มองปลื้มๆ “ข้าก็เลี้ยงของข้ามาจนโต” สายตาเริ่มหมอง “แต่ข้าก็เป็นลุงที่ห่วยเหลือเกิน...ปกป้องเอ็งจากไอ้วันชัยมันไม่ได้”
หนูนารีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากรื้อฟื้นให้อาย “ลุง..ไร่ชาเหนือฟ้าน่าจะเก็บขายได้แล้วเนอะ”
สว่างมองจ้องหน้าหลานถามจริงจัง “เอ็งจะแต่งงานกับนายเค้าจริงๆ เหรอวะ”
หนูนาอึ้งไป
สว่างพูดต่อ “นายเค้าไม่ได้รักเอ็ง เอ็งก็รู้อยู่เต็มอก”
หนูนานิ่งไปนิด “แต่ถึงเค้าจะรักคุณวงเดือน เค้าก็ไม่มีทางได้แต่งงานกับคุณวงเดือนเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอลุง”
คราวนี้สว่างเป็นฝ่ายนิ่งไป
หนูนายิ้ม “เห็นมั้ย แล้วทำไม..ฉันถึงจะแต่งงานกับคุณภูผาไม่ได้ กะอีแค่เค้าไม่ได้รักฉัน” พูดซื่อๆ และจริงใจ “แต่ฉันรักเค้านี่ แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว จริงมั้ยลุง”
สว่างอึ้งเหนื่อยใจเหลือเกิน ขณะที่หนูนายิ้มแฉ่ง
ภูผายืนฟังอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น ถอนหายใจเฮือก คิดในใจ “จริงของหนูนา ยังไงเรากับเดือนก็เหมือนอยู่กันคนละซีกโลก”
เวลาต่อมาขณะที่ภูผานั่งอยู่ตรงระเบียงบ้าน หนูนายื่นใบชามาจ่อจมูก ภูผาหันมอง
หนูนายิ้ม “หอมมั้ย”
ภูผายิ้ม พลางพยักหน้า
“ไร่ฟ้าเหนือฟ้าฟื้นไวกว่าที่คิดไว้เยอะเลยเนอะ” แหงนมองมองฟ้า “สงสัยวิญญาณเหนือฟ้าจะช่วยเรา”
ภูผาส่ายหน้ายิ้มๆ
“อ้าว เรื่องอย่างนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะคุณ” ยิ้มน้อยๆ “เหนือฟ้าน่ะมันรักฉันมาก ยังไงมันก็ต้องคอยช่วยฉัน”
ภูผามองจ้องหนูนาเป็นเชิงสัพยอก...กล้าพูด?
หนูนารู้ทัน “อ้าว! จริงนะ หรือจะเถียง” ถอนใจ “มันรักฉันถึงขนาดตายแทนฉันได้จริงๆ” มองภูผา “ไม่เหมือนคุณหรอก” มองเหล่ น้ำเสียงจิกกัด ไม่มีความเศร้าเจือปน “ไม่ยอมรักฉันซักที”
ภูผาอดทึ่งไม่ได้ “เธอนี่มันแปลกคนจริงๆ นะ...หนูน้อย”
หนูนาผลักไหล่ภูผา “นี่ เลิกเรียกฉันว่าหนูน้อยได้แล้ว” ชี้ท้องตัวเอง “จะเป็นแม่คนซะขนาดนี้แล้ว เออ ว่าแต่ชั้นแปลกยังไงเหรอ”
ภูผาขำนิดๆ “หึๆ รู้ว่าคนเค้าไม่ได้รัก ก็ยังจะรักเค้าอยู่ได้”
หนูนาตาโต ดื้อใส่ “ทำไม ก็คนมันรักแล้วอ่ะ จะให้เลิกรักมันไม่ได้เลิกกันง่ายๆ นะ” ค้อนขวับ “แหม...ทำยังกะตัวเองเลิกได้งั้นแหละ”
ภูผาโดนย้อน “แน้”
หนูนาลุยต่อ “แน่จริง เลิกรักคุณวงเดือนให้ดูก่อนสิ”
ภูผาอึ้ง
“ไง อึ้ง จุกเลยสิ สมน้ำหน้า”
ภูผามองหนูนาอยากจะบอกว่า “เอ็งนี่มันเจ๋งจริงเว้ย..อีหนู!” ก่อนจะขยี้หัวหนูนาแบบเอ็นดู หนูนาอึ้งรู้สึกดีจัง แต่ก็ฟอร์มเพราะแอบเขิน ปัดๆ มือภูผา
“อาราย..อาราย..อารมณ์ไหนเนี่ย”
“หนูนา...”
หนูนามองตาโต รอฟัง
“หายแพ้ท้องแล้วใช่มั้ย”
“อือ”
“ไว้เราไปส่งใบชาเหนือฟ้าที่ทางใต้กันนะ”
หนูนาตาลุกวาวดีใจ ก่อนจะเหล่มองพร้อมกับถาม “แน่ใจเหรอว่าจะกล้าไป”
“ทำไมจะไม่กล้า”
“ถ้าเกิดเจอคุณวงเดือน”
ภูผาอึ้ง “ไม่มีทาง...” พูดเบาหวิวเหมือนพูดกับตัวเอง “ชั้นกับเค้าจากกันมาไกลแล้ว..ไกลซะจนเราคงไม่มีทางจะได้เจอกันอีก”
หนูนามอง นึกสงสารอยู่เหมือนกัน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องผลักไหล่ภูผา
“เฮ่ย! ไม่เอาๆ อย่าเศร้าๆ ป่านนี้คุณวงเดือนของคุณเค้าก็คงสุขกายสบายใจดีอยู่ แล้วคุณจะมานั่งเศร้าทำเบื๊อกอะไร จริงมะ”
สีหน้าภูผาครุ่นคิดได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ “เธอสุขกายสบายใจดีมั้ย...วงเดือน?”
วันต่อมา ที่โรงพยาบาล วงเดือนประคองคนไข้ส่งให้ญาติ เพื่อนพยาบาลอีกคนเดินมา
“ไปกินข้าวเถอะเดือน”
“ไปก่อนเถอะจ้ะ ขอเอายาไปให้คนไข้ที่ตึกหลังก่อน”
“ไปเป็นเพื่อนมั้ย?”
วงเดือนยิ้ม “ไม่ต้อง ตึกหลังแค่นี้เอง ฉันไปคนเดียวได้ เดี๋ยวเจอกันนะจ๊ะ”
เพื่อนพยาบาลบอก “เร็วๆ นะ”
วงเดือนพยักหน้าให้แล้วเดินออก
ที่อีกมุมในโรงพยาบาล ค่อนข้างเปลี่ยว ไม่มีคน วงเดือนเดินมาเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนมีคนแอบมอง วงเดือนเดินไปอีกนิด เริ่มรู้สึกอีก หันขวับไปมอง เห็นเหมือนคนหลบวูบแอบ วงเดือนระแวง เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น หันหลังกลับไปมองแล้วหันกลับมาผงะเงิบ เพราะมีผู้ร้ายยืนใกล้หน้าระยะประชิด
วงเดือนตกใจ “จะทำอะไร”
คนร้ายทำหน้าเหี้ยมเกรียมใส่ วงเดือนมองเห็นขวดน้ำกรด ในมือคนร้าย ก็หันหลังเตรียมจะวิ่งหนี
“จะหนีไปไหน”
คนร้ายเงื้อจะสาดน้ำกรด แต่มีเด็กน้อยวิ่งมาชนคนร้ายโคร้ม!! น้ำกรดในมือคนร้ายเปลี่ยนทิศทางจากหน้าวงเดือนไปที่แผ่นหลังแทน น้ำกรดกระฉอกมาโดนแค่ส่วนหนึ่ง ที่เหลือในขวดตกแตกพื้นเป็นฟองฟู่
วงเดือนร้อง “โอ๊ย” ล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น คนร้ายผงะ
“ไอ้เด็กบ้า” คนร้ายปรี่จะบีบคอเด็ก เด็กแหกปากร้องจ้า
แม่ของเด็กวิ่งตามมาพอดี เห็นเหตุการณ์ก็ตกใจ ร้องลั่น
“อะไรน่ะ? หยุดนะ ช่วยด้วยๆๆๆๆ ผู้ร้าย ช่วยจับผู้ร้ายด้วย”
คนร้ายมองซ้ายแลขวา โมโหมาก “นังบ้าเอ๊ย”
คนร้ายวิ่งหนีออก แม่เด็กวิ่งเข้ามากอดลูกไว้ ก่อนจะมองไปที่วงเดือนแล้วร้องกรี๊ด
วงเดือนนอนคว่ำอยู่ ที่หลังมีรอยน้ำกรดเหวอะ
ในที่ลับตาคน แห่งนั้นโฉมไฉไลหันขวับมาอย่างอารมณ์เสีย พร้อมกับตวาดลั่น “ไอ้บ้า แค่นี้ก็พลาด! กระจอก”
คนร้ายที่ไปสาดน้ำกรดใส่วงเดือนเถียง “แต่ก็โดนนะเจ๊”
โฉมไฉไลแว๊ดใส่ “ใครเจ๊แก อย่ามาเรียกฉันว่าเจ๊”
คนร้ายแบมือ “โดน..ก็ต้องจ่าย”
โฉมไฉไลจ้องหน้ายึกยัก “ไม่จ่าย เพราะไม่โดนหน้ามันตามข้อตกลง”
คนร้ายจ้องกลับขู่ “หรืออยากจะให้โดนหน้าเจ๊”
โฉมไฉไลชะงักกึก “แก”
คนร้ายทำหน้าสยอง “ใกล้แค่นี้...รับรอง...ไม่พลาดอย่างนังนั่นแน่ๆ”
โฉมไฉไลชักจะกลัว รีบควักเงินให้ “แล้วปิดปากให้สนิทล่ะ”
ชายคนร้ายหัวเราะหึๆ แล้วเดินไป
โฉมไฉไลมองตาม “ไอ้บ้า” นึกถึงวงเดือน “ดวงแข็งนักนะนังวงเดือน เอาซี้ ให้มันรู้กันไปว่าแกกับฉัน ใครมันจะดวงแข็งกว่ากัน”
วงเดือนนอนคว่ำอยู่บนเตียงคนไข้ เมฆาเสร็จจากทำแผลที่หลังให้วงเดือนพอดี เมฆาเอาผ้าห่มคลุมให้วงเดือนอย่างเบามือ หันไปบอกพยาบาล เสียงเรียบๆ
“ออกไปก่อนนะครับ”
“ค่ะ” พยาบาลออกไป
เมฆามองวงเดือนที่ยังนอนคว่ำอยู่ ด้วยความสงสารจับใจ “เจ็บมากมั้ยเดือน”
วงเดือนไม่ตอบ น้ำตาไหล
เมฆามองด้วยสายตาอยากเจ็บแทน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแค้น “แจ้งความนะเดือน ผมจะเรียกตำรวจมาที่นี่” จะออกไป
วงเดือนเรียกไว้ โดยไม่หันมา “อย่าค่ะ”
“คุณเป็นคนดีเกินไปแล้วเดือน ทำร้ายกันถึงขนาดนี้ มันก็ต้องร้ายตอบกันบ้างแล้ว
วงเดือนยังอยู่ในท่าเดิม “ให้มันจบเถอะค่ะ”
สีหน้าเมฆาแค้นจัด พูดลอยๆ “คนอย่างโฉมไฉไล ไม่มีทางจบง่ายๆ”
ไม่นานต่อมา ร่างโฉมไฉไลโดนเมฆาดันเข้าผนัง
เบื้องแรกโฉมไฉไลตกใจ ก่อนจะนึกออกแล้วตั้งสติยิ้มยั่ว “รู้ได้ยังไงคะ...ว่าเป็นฝีมือโฉมไฉไล”
เมฆาอยากจะฆ่านัก “ทำไมจะไม่รู้ ชั่วกว่านี้ไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากเธอ”
โฉมไฉไลกวนใส่ “แน้... จู่ๆ ก็มากล่าวหากัน มีหลักฐานอะไรไม่ทราบคะ”
“ท้าทายเหรอ” เมฆาพยักหน้า “ได้”
เมฆาจะผละไป โฉมไฉไลพูดขึ้น “โดนน้ำกรดที่หลังน่ะยังไม่เท่าไหร่”
เมฆาชะงัก หันมามองโฉมไฉไล แทบไม่เชื่อหูว่าจะกล้าพูด
โฉมไฉไลไม่มีท่าทีกลัวสักนิด “อยากให้นังหน้าจืดนั่นมันโดนน้ำกรดรดที่ใจมั้ยล่ะคะ..เมฆา”
เมฆาไม่เข้าใจ
โฉมไฉไลนวยนาดเข้าลูบไล้เนื้อตัวเมฆา “โฉมจะประกาศให้มันและทุกคนรู้ว่า...เมฆาเป็นสามีโฉม...อีกคน”
เมฆาบันดาลโทสะผลักโฉมติดผนังทันที “โฉม”
โฉมไฉไลยิ้มยั่ว “ถึงตอนนั้น...ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่า ใครจะอาการสาหัสกว่าใคร นังวงเดือน รึว่า คุณ-เม-ฆา” โฉมไฉไลเน้นคำ ยิ้มร้ายไม่หวั่นเกรง
เมฆาตะลึง “เธอ…เธอนี่มัน…เลว...เลวไม่รู้จะเปรียบกับอะไรแล้ว”
โฉมไฉไลแค่นหัวเราะ “หึ...เลว…แต่ก็รักนะคะ...เมฆา”
เมฆาเหนื่อยใจจนแทบจะหมดแรงต่อกรกับนังบ้าคนนี้
ค่ำคืนนั้น ชอุ่มแวะมาดูอาการ ลูบผมวงเดือนที่นอนตะแคงอยู่
“เวรกรรมอะไรนักหนาก็ไม่รู้” สาวใช้สูงวัยกล่าว
“นั่นสิ...ชาติก่อนเดือนทำบาปกรรมอะไรไว้นะ ชาตินี้ชีวิตเดือนมันถึงเป็นอย่างนี้” วงเดือนประชดชีวิตตัวเอง
“เดือนเป็นคนดีเกินไปต่างหาก” ชอุ่มว่า
วงเดือนได้ยินคำนี้อีกแล้ว
“ปล่อยให้เค้ารังแกอยู่ฝ่ายเดียวจนได้ใจ” พูดแล้วแค้น “นี่ถ้าเป็นน้านะ ตบมาตบกลับ สาดมาสาดกลับ ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย”
วงเดือนไม่พูดไม่จาอะไร
“สู้ๆ มั่งก็ได้นะเดือน สองมือสองเท้าเท่ากัน ไม่เห็นต้องกลัวอะไร” เม้าท์ออกรส “ถ้าอยากได้เพิ่มอีกสองมือสองเท้าก็เรียกได้ ชอุ่มพร้อมเสิร์ฟให้ทันที” ทำท่าทางตบ ถีบ เรียกน้ำย่อย
พอพูดจบหันมาเจอเมฆายืนอยู่ใกล้ๆ
“ว๊าย ตาเถร” ชอุ่มตกใจ “แฮ่..คุณเมฆา”
วงเดือนพยายามจะยันตัวลุกขึ้น
เมฆาปรี่ไปจับไว้ “ไม่ต้องหรอกเดือน...นอนเถอะ”
เมฆาหันมองเหมือนไล่ชอุ่มไป ชอุ่มยังยืนคุมเชิง
“ออกไปก่อน” เมฆาบอก
ชอุ่มอิดออด “แต่...”
“ฉันจะคุยธุระกับเดือน” ส่งสายตาเข้ม
ชอุ่มจำยอมต้องไป “ค่ะ”
ชอุ่มออกไป วงเดือนลุกขึ้นนั่งจนได้ เพราะไม่อยากนอนโดยอยู่กับเมฆาเพียงสองต่อสอง
“ดื้อจริง..บอกให้นอน”
“นอนนานแล้วค่ะ”
เมฆามองวงเดือนแล้วเอ่ยขึ้น “กลับมาช่วยงานที่คลินิกฉันดีกว่านะ”
วงเดือนอึกอัก “แต่...”
“มันเป็นวิธีเดียวที่ฉันจะปกป้องดูแลเธอได้ดีที่สุด เธอจะต้องไปทำงานพร้อมฉัน กลับพร้อมฉัน ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เธอคลาดสายตาฉันอีกแล้ว”
วงเดือนท้วง “คุณเมฆาคะ”
“ฉันจะไม่ยอมให้ใครทำอะไรเธอได้อีก ฉันยอมไม่ได้จริงๆ”
จังหวะนั้นพฤกษ์โผล่พรวดเข้ามาหน้าตาตื่น
“เดือน” ปรี่มาที่เตียง “เป็นอะไรมากมั้ยเดือน”
เมฆาโกรธ อารมณ์มากรุ่นๆ “ยังจะมีหน้ามาถาม ไปถามเมียพี่ดีกว่ามั้ยพี่พฤกษ์ ว่าเป็นอะไรมากถึงได้ต้องทำกันขนาดนี้”
พฤกษ์อึ้ง “โฉม”
เมฆาไล่ “ออกไปได้แล้ว เอาเวลาไปอบรมสั่งสอนเมียจะดีกว่า หรือไม่ก็เอาเวลาไปหาเงินมาใช้หนี้คุณณรงค์ซะ เค้าเร่งรัดมาอีกแล้ว ไหนว่ามีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ให้แสนสมุทรไง ไหนล่ะ..เงินของพี่?”
พฤกษ์อึ้งมึนตึ้บ โดนเป็นชุดถึงกับเข่าอ่อน
พฤกษ์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างมึนๆ นึกถึงคำพูดเมฆาเมื่อกี๊
“หรือไม่ก็เอาเวลาไปหาเงินมาใช้หนี้คุณณรงค์ซะ เค้าเร่งรัดมาอีกแล้ว ไหนว่ามีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ให้แสนสมุทรไง ไหนล่ะ..เงินของพี่”
พฤกษ์เริ่มเครียด “เงิน” อาการลุกลี้ลุกลน “ไหนล่ะ...เงิน”
พฤกษ์ลุกไปค้นหาเงินตรงนู้นตรงนี้ เจอกระเป๋าโฉมไฉไลก็จับเทออกมา แต่ไม่มีอะไร นอกจากเครื่องสำอาง โมโห ขว้างทิ้งแบบเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่ได้
“โธ่เว๊ย! แล้วจะไปหาเงินได้ที่ไหนล่ะเว๊ยย หึ้ย”
ไม่นานต่อมาเถ้าแก่เส็งหัวเราะร่าเอิ๊กๆ เข้ามาหาใครคนหนึ่ง
“ถูกต้องแล้วค้าบ ถ้าอยากหาเงิน เชิญมาหาได้ที่เถ้าแก่เส็ง! ฮ่าๆๆๆ”
เถ้าแก่เส็งตบไหล่พฤกษ์ป้าบๆๆ พฤกษ์หน้าเครียดๆ
“ยิ่งคนกันเองอย่างคุณพฤกษ์ทายาทคนโตของแสนสมุทร อั๊วจัดให้เต็มที่ไม่มีอั้น”
พฤกษ์อาการแหยงๆ จ๋อยๆ “แต่…คราวก่อน..ที่ฉันยังติดหนี้เถ้าแก่เส็งอยู่...”
เถ้าแก่เส็งสวนคำทันควัน “เฮ่ย! คราวก่อนก็ส่วนคราวก่อน คราวนี้ก็ส่วนคราวนี้ (หลิ่วตาให้) ว่าแต่คราวนี้รับเท่าไหร่ดีค้าบ...อาคุณพฤกษ์”
พฤกษ์อึกอัก “เอ่อ...”
เถ้าแก่เส็งควักเงินปึกใหญ่วางโครมตรงหน้าพฤกษ์อย่างไม่รอคำตอบ
พฤกษ์มองปึกเงิน ด้วยความตกใจ “เถ้าแก่! มันมากเกิน”
เถ้าแก่เส็งอวย “ทายาทคนโตของแสนสมุทร จะให้น้อยกว่านี้ได้ยังไงค้าบ?” ตบไหล่อย่างกันเอง “ขอให้สนุกสนานเพลิดเพลินนะค้าบอาคุณพฤกษ์” หลิ่วตาบอก “ไม่พอ..เอาอีกได้..ไม่ต้องเกรงจาย ฮ่าๆๆๆ”
เถ้าแก่เส็งเดินออกพร้อมลูกน้อง พฤกษ์ยังอึ้งๆ อยู่ ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะวงไพ่ เวลาเดียวกันเถ้าแก่หันมาทำท่าเอานิ้วเชือดคอตัวเองส่งซิกให้เจ้ามือไพ่ คนแจกไพ่พยักหน้ารับ
พฤกษ์มองปึกเงินตรงหน้า กลืนน้ำลายเอื๊อก ก่อนจะตัดสินใจ ‘เอาวะ!!’
โปรดติดตาม "ชิงนาง" ตอนต่อไป