The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 8
ติณห์กับญาณินมาที่โรงพยาบาล ทั้งคู่เดินมาหยุดที่หน้าตึกผู้ป่วยอนาถา ญาณินตัดสินใจเดินเข้าไปขณะที่ติณห์ยืนนิ่ง ลังเลจนญาณินชะงัก หันกลับมา
“นายติณห์ มีอะไรหรือเปล่า”
“ผม...บางที...ผมก็กลัว ที่จะรู้ความจริง”
“คุณไม่รู้หรอกจนกว่าคุณจะได้เจอตัวนายคม...มาเร็ว...หรือคุณไม่อยากรู้ว่าคุณหลวงตายเพราะอะไรกันแน่”
“ถ้า...ถ้าแกรนด์ปาถูกฆ่าจริงๆ...who’s the murderer ?ใครคือฆาตกร แล้วมันต้องการอะไร”
“มันอาจเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์หน้านี้ทั้งหมด เพราะคุณหลวงไม่ใช่คนโกงชาติ แล้วมันอาจจะเป็นคนที่โกงตัวจริงน่ะสิ แล้วคุณในฐานะที่เป็นหลาน จะไม่อยากกอบกู้ชื่อเสียงของคุณตา ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลหน่อยเหรอ”
ญาณินและติณห์เดินมาหยุดที่เคาน์เตอร์สอบถามของโรงพยาบาล
“ไม่ทราบว่า..นายคม..อาคม...ที่ถูกส่งตัวมาจากกาญจนบุรี พักอยู่ห้องไหนคะ”
พยาบาลกดหารายชื่อไปในคอมฯ
“นายอาคม...เอ่อ แพทย์ให้เยี่ยมได้เฉพาะญาติ...พวกคุณเป็นญาติคนไข้หรือเปล่าคะ”
“ไม่ใช่ค่ะ แต่เรามีเรื่องสำคัญจริงๆ”
“งั้นต้องขอโทษด้วยนะคะ”
“ชั้นขอร้องล่ะค่ะ นะคะ”
ญาณินพยายามอ้อน พยาบาลไม่สนใจ หันไปรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาพอดี ติณห์ทนไม่ไหว คว้าแขนญาณินดึงออก
“กลับเถอะคุณ”
“ชั้นไม่ยอมกลับมือเปล่าแน่” ญาณินตาวาว คิดอะไรได้ พยาบาลวางสาย แล้วกลับมาทำท่าเหมือนจะกดปิดที่จอคอมฯ ญาณินรีบเข้าไปห้าม “คุณพยาบาลค่ะ...” พยาบาลชะงัก “งั้นชั้นจะขอทิ้งชื่อและเบอร์ติดต่อเอาไว้ ฝากคุณเอาไปให้คนไข้ดู เผื่อแกจะอยากเจอพวกเรา...ได้มั้ยคะ...นะคะ”
“ค่ะๆๆ”
“ขอยืมกระดาษปากกาหน่อยค่ะ”
“เสียเวลาน่าคุณ” ติณห์บอก
“นายเฉยๆ เถอะน่า”
พยาบาลหยิบกระดาษปากกาส่งให้ ญาณินรับมาทำเป็นเขียนๆ แล้วก็แกล้งทำปากกาหล่นไปด้านในใต้เคาน์เตอร์
“อุ๊ย มันลื่น ขอโทษค่ะ ช่วยหยิบให้ทีนะคะ”
พยาบาลก้มตัวมุดไปหยิบ ญาณินอาศัยจังหวะนั้นหยิบเอามือถือออกมาเอื้อมมือไปที่หน้าจอ แล้วกดถ่ายรูปหน้าจอเอาไว้ หวุดหวิดฉิวเฉียดกับพยาบาลที่เงยหน้าขึ้นมาพอดี
“ว้าว...Fantastic...”
ติณห์เห็นวิธีการของญาณิน ส่ายหัว แต่ก็ยิ้ม
ญาณินกับติณห์เดินมาตามทางเดินหน้าวอร์ดมีพยาบาลเดินสวนไปมา แต่ไม่มีใครสงสัยอะไร ญาณินเดินไล่ดูเลขห้องไปทีละห้อง
“คุณนี่ร้ายจริงๆ...ตกลงผมไว้ใจคุณได้ไหมเนี่ย”
“ไม่ช่วยแล้วยังบ่นอีก” ญาณินเดินดูห้องต่อ “ฮ้า ห้องนี้แหละ” ญาณินเข้าไปไล่ดูรายชื่อหน้าห้อง จนเจอชื่อ นายอาคม “นายอาคม เตียง 5”
ญาณินโผล่หน้ามองเข้าไปในห้องพบว่ามีเตียงมากมายเพราะเป็นห้องรวม คนไข้มีทั้งนั่ง นอน ยืนมั่วไปหมด แยกไม่ออก ทั้งคู่เดินไปที่เตียงห้าแต่กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ที่เตียง
“แล้วไหนล่ะคะนายคม”
ญาณินหันไปถามคนไข้ที่อยู่เตียงข้างๆ
“ขอโทษนะคะ คนไข้เตียงห้า อยู่ไหนคะ”
คนไข้เตียงข้างๆ มองหน้าญาณินและติณห์สักครู่แล้วชี้นิ้วไปอีกด้านของห้องรวม ติณห์กับญาณินหันมองตามทางที่คนไข้ชี้นิ้ว
“เอ่อ...ขอบคุณนะคะ”
ทั้งคู่เดินไป
ติณห์กับญาณินเดินเข้ามาอีกมุมของห้อง พบว่ามีคนไข้อายุเยอะ นั่งๆ ยืนๆ อยู่ 4-5 คน ไม่รู้ว่าคนไหนคือนาย
คม
โครม! เสียงคนไข้คนหนึ่งในกลุ่มทำขวดน้ำตกพื้น คนไข้คนนั้นพยายามจะหยิบน้ำดื่มเอง แต่มองไม่เห็นจึงคุกเข่ากับพื้น ควานๆ หาขวดน้ำ แต่อยู่ๆ มีคนมาช่วยหยิบขวดน้ำให้และส่งคืน
“นี่ค่ะ”
คนไข้เงยหน้ามองซึ่งก็คือนายคม อายุประมาณ 70 ปีกว่า ตาบอดข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งเป็นต้อขุ่นๆ นายคม เห็นหน้าญาณินเบลอๆ ไม่ชัด
“ขอบใจมากนะหนู” นายคมยิ้มแย้มแจ่มใส
“ค่อยๆ ลุกค่ะ” ญาณินช่วยประคองนายคมขึ้นมานั่ง “เอ่อ คุณลุงขา หนูกับเพื่อน มาหาคุณอาคมค่ะ คุณลุงทราบไหมคะ ว่าเขาคือคนไหน”
ญาณินมองรอบๆ บริเวณนั้น นายคมชะงักนิ่งไปสักครู่
“พวกเธอเป็นใคร ชั้นไม่รู้จัก”
“คุณลุงคือคุณอาคมหรือครับ”
นายคมหันมองไปทางติณห์ ทีแรกนายคมเห็นภาพติณห์ที่ยืนอยู่เบลอๆ แต่แล้วภาพนั้นก็ค่อยๆ ชัดขึ้น กลายเป็นภาพคุณหลวงพิชัยภักดียืนอยู่ นายคมถึงกับผงะ
“คุณหลวง” ติณห์กับญาณินงง “คุณหลวง...ไม่ๆๆ” นายคมยกมือไหว้ประหลกๆ “อย่า อย่าทำอะไรผมเลย”
“คุณอาคม”
ติณห์กับญาณินอึ้ง
“คุณหลวงจะมาเอาชีวิตผม เหมือนที่เอาชีวิตนายสังข์และคนอื่นๆ ไป ปล่อยผมไปเถอะ ผมกลัวแล้ว”
“คุณลุงเข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่ใช่แกรนด์ปา” ติณห์ยื่นหน้าให้ดู “ดูดีๆ สิครับ”
นายคมเห็นเป็นหลวงพิชัยภักดียื่นหน้ามาด้วยความอาฆาตจึงร้องโวยวาย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย” นายคมผลักติณห์ออก “ผมไม่ได้ทำนะคุณหลวง ผมไม่รู้เรื่อง ผม...ผมทำตามคำสั่งพี่เกิด ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“คุณลุงคะตั้งสติดีๆ ค่ะ นี่ไม่ใช่คุณหลวงค่ะ”
“ปล่อยชั้น ปล่อย”
นายคมตกใจและโวยวายมากขึ้น ผลักญาณินออก ผลักติณห์ออก แล้วพยายามจะวิ่งหนีออกไป แต่กลับชนคนนั้นคนนี้ ข้าวของระเนระนาด จนคนไข้อื่นๆ แตกตื่น นายคมวิ่งอุตลุตออกไปนอกห้อง
นายคมวิ่งเตลิดออกมานอกห้อง ขวัญเสีย วิ่งหนีไม่คิดชีวิต ชนกับทุกอย่างที่ขวางหน้า จนกระทั่งไปชนรถเข็นอาหารคว่ำและบาดเจ็บไป ติณห์กับญาณินวิ่งตามมา ห้ามไม่ทัน ได้แต่มองอึ้ง ช็อก พวกพยาบาลรีบไปดูแลนายคม
ทางด้านไตรรัตน์กับสุคนธรส ระหว่างขับรถไตรรัตน์แหกปากร้องเพลงพร้อมวิทยุ
“เจ็บช้ำปางตาย ชีวิตวุ่นวาย คิดมันไปว่าจริง ลุ่มหลงเชื่อใจ กับถ้อยคำร้ายๆ...เอะอะก็ว่ารัก เอะอะก็คิดถึง ก็เธอไม่เคยซึ้ง ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยทำให้รู้ ไม่เคยทำให้เห็น ไม่ห่วงเลยว่าใครจะเป็นจะตาย คำพูดที่ไม่เคยคิด ที่จริงก็คือยาพิษ ทำลายชีวิ...ต...” แต่อยู่ๆ สุคนธรสที่นั่งข้างๆ ทนฟังไม่ไหว กดปิดวิทยุ “เฮ้ย”
“ชั้นหนวกหู แล้วชั้นก็ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุ”
“แน่ะ ห่วงผมเหรอ”
“ใครห่วงนาย อย่าหลงตัวเองให้มาก ชั้นห่วงตัวชั้นเองต่างหาก”
“เหรอ...แล้วที่ยอมมาเนี่ย ไม่ใช่เพราะห่วงผมเหรอ”
“ชั้นยอมมา เพราะชั้นอยากจัดการหมอสมคิด ชั้นไม่อยากให้มีใครต้องถูกมันหลอกลวงอีกและนายต้องช่วยชั้นด้วย”
“ผมไม่ผิดคำพูดหรอก”
“ขอให้จริง”
อยู่ๆ ก็มีเสียงท้องร้องดัง โครกครากๆ ไตรรัตน์หันขวับมามองหน้าสุคนธรส ตะลึง
“เสียงท้องคุณร้องเหรอ...โห ท้องร้องดังยังกับรถสิบล้อ ผู้หญิงอะไรท้องร้องต่อหน้าผู้ชาย หว๋ายๆฮ่าๆ ก๊ากๆ”
“อย่าพูดมาก ขับรถไป”
สุคนธรสหน้าหุบ เซ็ง
“ผู้หญิงไรไม่รู้ท้องร้อง ฮะๆๆ”
ส่วนที่โรงพยาบาลติณห์และญาณินกำลังถูกหัวหน้าพยาบาลตำหนิ
“พวกคุณรู้หรือเปล่า ว่าคุณอาคม มีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ ทางเราบำบัดจนคุณอาคมอาการดีขึ้นมากแล้ว..แต่พอพวกคุณมา ทุกอย่างพังหมด...พวกคุณกลับไปแล้วก็อย่ามาที่นี่อีก เข้าใจมั้ยคะ”
“เราไม่ได้ตั้งใจ เราก็แค่...”
“จะเพราะอะไรชั้นไม่สน แต่ถ้าพวกคุณกลับมาที่นี่อีก ชั้นแจ้งตำรวจแน่”
หัวหน้าพยาบาลเดินกลับไป ญาณินจ๋อย
ติณห์เดินออกมานอกโรงพยาบาล ญาณินตามหลังมา
“สุดท้าย ก็ไม่ได้อะไรอีกตามเคย หวังว่าคราวนี้คงจะทำให้คุณ เลิกเล่นเกมนักสืบหน้าใสได้แล้วนะ” ติณห์บอก
“ใครบอกไม่ได้อะไร คุณไม่ได้ยินที่นายคมโวยวายเหรอ เค้าพูดว่า...เค้าไม่ได้ตั้งใจ แค่ทำตามที่นายเกิดสั่ง...”
“นายเกิด ปู่ของกำนันพงษ์”
“ความจำดีมาก...นายเกิดต้องเป็นคนสั่งการให้นายคมทำอะไรบางอย่างที่ไม่ดีแน่ๆ และอาจรวมถึงการฆาตกรรมคุณหลวงก็ได้” ติณห์หยิบมือถือมากด “คุณจะโทรหาใคร”
“ผมจะโทรไปถามกำนันพงษ์”
“ไม่ได้นะ ห้ามโทร” ญาณินดึงมือถือมา
“อะไรของคุณ”
“คุณหลวงไม่อยากให้คุณไว้ใจกำนันพงษ์”
“Grand pa again? ผีแกรนด์ปาอีกแล้ว ผมจะบอกให้นะว่ากำนันพงษ์เค้าช่วยเหลือผมตั้งแต่ผมยังอยู่อเมริกา จนผมกลับมา เค้าก็ยังเป็นธุระจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ ผมพึ่งพาเค้าได้ทุกเรื่อง”
“คุณดูไม่ออกเหรอว่าที่กำนันพงษ์ช่วยคุณ เพราะเค้าหวังสมบัติของคุณตาคุณ”
“รวมถึงคุณด้วย ใช่มั้ย”
“หา...”
“ที่คุณมาช่วยเหลือผม มาคะยั้นคะยอให้ผมสืบเรื่องแกรนด์ปาไม่เลิก เพราะคุณก็หวังสมบัติของแกรนด์ปาใช่มั้ย!...แล้วที่มาเล่าว่าผีแกรนด์ปาไปบอกคุณให้มาเตือนผมอย่างนั้นอย่างนี้ก็เมคขึ้นมา เพื่อจะหลอกให้ผมเชื่อฟังคุณ คุณจะได้พูดกล่อมเอาเงินผมง่ายๆ ใช่มั้ย”
ญาณินอารมณ์ขึ้น
“ฉันไม่เคยอยากได้เงินของคุณ”
“แล้วคุณมาช่วยผมทำไม คุณมาวุ่นวายกับปัญหาส่วนตัวผมทำไม ต้องการความดีความชอบเหรอ หรือต้องการทำบุญทำกุศล หรือจริงๆ แล้วคุณแค่อยากจะมาให้ท่าผม อยากเป็นเมียผมเหมือนที่เพนนีว่า ใช่มั้ย”
“คุณติณห์” ญาณินตบหน้าติณห์ ผัวะ...ติณห์หันหน้าไปตามแรงตบ แล้วค่อยๆ หันหน้ากลับมา อึ้งๆ ญาณินจ้องหน้าติณห์ พูดไม่ออก ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ “ชั้นช่วยคุณ เพราะชั้นอยากช่วย เพราะชั้นคิดว่าชั้นช่วยคุณได้ แล้วชั้นก็ไม่เคยขอให้คุณซาบซึ้ง หรือตอบแทนอะไรชั้นทั้งนั้น...ชั้นขอแค่คุณ...ให้เกียรติชั้นบ้างก็แค่นั้น แต่คุณก็ทำไม่ได้ คุณมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากคนอื่นที่ชั้นเคยพยายามช่วยหรอก”
ญาณินผิดหวัง น้อยใจ เดินหนีไป ติณห์ได้แต่มองตาม แววตาหม่นลง สำนึกเล็กน้อยว่าพูดแรงไป
หลวงพิชัยภักดีกำลังสวมหูฟัง ฟังเพลงจากไอโฟนอยู่ หลวงพิชัยภักดีพยายามเต้นจังหวะชะชะช่าให้เข้ากับเพลงของวงเกิร์ลกรุ๊ป โดยมีกุมาริกากับท่านเจ้าที่นั่งมอง ท่านเจ้าที่ขำกลิ้ง
“ฮ่ะๆ ชะชะช่าเข้ากับเพลงแดนซ์มากเลยท่าน เอ๊า...ชะๆช่า...”
“แล้วเพลงที่ฉันเคยฟังหายไปไหนหมด ตั้งแต่มาบางกอก ฉันได้ยินแต่เพลงโยๆ เยๆ พวกนี้”
“แหม...ไม่เข้าใจวัยรุ่นเลยท่าน มามะ! หนูจะสอนท่าเต้นให้ มาเต้นตามหนู”
ว่าแล้วกุมาริกาก็เต้นนำด้วยท่ายักย้ายส่ายตะโพกแบบวัยรุ่น หลวงพิชัยภักดีกับท่านเจ้าที่เต้นตามอยู่ข้างหลัง
เพียงครู่เดียวทั้งสามก็เต้นพร้อมเพรียงกันราวกับเป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปมาเอง
กรรณาโผล่ออกมาจากห้องครัว มีแก้วชาที่เข้าไปชงติดมือออกมาด้วย กรรณาเดินผ่านแก๊งค์หลวงพิชัยภักดี
“เฮ้หนูกรรณ...มาสนุกด้วยกันไหม๊...อะชะช่า...กรู”
“ผีบ้านนี้...แซ่บกันจริ๊ง ตามสบายนะคะ”
กรรณาเห็นเนตรสิตางศุ์นั่งอยู่หน้าคอมพ์ในกลาสเฮ้าส์คนเดียว
เนตรศิตางศุ์กำลังเสิร์ชหาคำว่าใบหม่อนทางอินเตอร์เน็ต
“ใบหม่อน...” เนตรศิตางศุ์พบข้อมูลใบหม่อนแล้วต้องช็อก “ว้าย!”
ภาพในอินเตอร์เน็ตเป็นรูปใบหม่อนก่อนเป็นนางเอกละครและก่อนทำศัลยกรรม “นี่ใช่ใบหม่อนเหรอ?”
เนตรศิตางศุ์กดคอมพ์ดูภาพใบหม่อนก่อนและหลังศัลยกรรมเปรียบเทียบความต่างกัน
“ทำไมใบหม่อนก่อนเป็นกับหลังเป็นนางเอก มันถึงได้แตกต่างกันยังกับฟ้ากับเหว”
รูปใบหม่อนสองรูปเปรียบเทียบกัน เห็นว่ารูปใบหม่อนสมัยก่อนดังหน้าตาขี้เหร่มาก ขณะที่สมัยตอนเป็นนางเอกละครสวยยังกับนางงาม
หลวงพิชัยภักดี กุมาริกา ท่านเจ้าที่เต้นรำเข้ามาด้านหลังเนตรศิตางศุ์แล้วเห็นรูปในคอมพ์ ทั้งสามอุทานพร้อมกัน
“ใช่คนเดียวกันเหรอ”
“โอ๊ย...” เนตรศิตางศุ์ตกใจ “มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่” เนตรศิตางศุ์รีบปิดหน้าจอคอมพ์
“นี่หรือวะที่เขาเรียกกันว่าเฉาะ”
ทุกคนร้องว๊าก
“ไม่ช่ายยย...เขาเรียกศัลยกรรม ไม่ใช่เฉาะ”
“เฉาะหน้าไง... ต่างกันตรงไหนวะ”
“เออ...ความหมายเดียวกันนะ”
“เฮ่อ...” เนตรศิตางศุ์ส่ายหน้าเท้าคาง
“ต่างกันมากมายแบบนี้ ต้องผ่านการผ่าตัดมาหลายครั้งแน่” กุมาริกาบอก
“ไม่ยักรู้ ว่าสมัยนี้หน้าก็ทำซะยังกับเกิดใหม่ขนาดนี้”
“แล้วเราจะรู้ได้ไงล่ะว่าหน้าใครแท้หน้าใครเทียม อันไหนจริงอันไหนปลอม”
“ก็เวลาแต่งงานกันแล้วคลอดลูกออกมาไง”
“ทำไม คลอดลูกแล้วทำไม”
“ดูหน้าลูกเอาไงท่าน...ก็จะรู้ว่าสามีภรรยาใครโกหกใคร DNA มันไม่เปลี่ยนหรอกท่าน ฮ่าๆๆ”
“ใช่ๆๆ”
เนตรศิตางศุ์รำคาญ ลุกหนียืนหลบมุมคิดๆ
“หมอรุทธ์”
ไตรรัตน์ขับรถไปฃเหลือบมองสุคนธรสไป สุคนธรสนั่งนิ่งพยายามระงับความหิว อดทนไว้แต่ท้องก็ยังร้องอีก...โครกกกกก ไตรรัตน์ขำ
“คุณ...ข้างหลังมีของกินอยู่ กินรองท้องก่อนเถอะ ผมไม่อยากได้ยินเสียงกดชักโครก”
“ชั้นไม่กิน” ไตรรัตน์จอดรถ “จอดทำไม”
ไตรรัตน์ไม่ตอบแต่เอื้อมหยิบกล่องอาหารมา
“เอ้า กินซะ เกี๊ยวห่อชีส ฝีมือเพื่อนของคุณ”
“ฝีมือยัยเนตรเหรอ”
สุคนธรสปิ๊งไอเดีย จะแกล้งไตรรัตน์
“จะกินดีๆ หรือจะให้ผมป้อน”
“กินสิกิน” สุคนธรสทำท่าอยากกินมาก “เกี๊ยวห่อชีสยัยเนตรอร่อยยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น” สุคนธรสทำท่าจะกิน แต่ชะงัก “นายกินด้วยสิ...ชั้นไม่อยากกินคนเดียว เดี๋ยวนายก็ปากเสียเอาไปล้ออีก เอ้า กิน”
“มีน้ำใจกับผมด้วยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ”
“ชั้นไม่ใช่คนจิตใจแย่แบบนาย”
ไตรรัตน์หยิบเกี๊ยวมา แล้วเอาเข้าปากกิน สุคนธรสขำคิกคักๆ
“ไง อร่อยมั้ย คิๆๆๆ”
ไตรรัตน์ทำหน้าว่าอร่อยมาก ไม่มีท่าทางจะคายทิ้งเลย ทั้งที่รสชาติแย่สุดจะทน
“หื้ม อร่อย”
“แน่ะๆๆ อย่าฟอร์ม อาหารฝีมือยัยเนตร พวกเรารู้ๆ กันดีว่าเป็นอาหารชวนสำรอก...อยากอ้วกอ่ะดิ ทำเป็นฟอร์ม”
“อร่อยอย่างนี้ ใครจะอ้วก...คุณจะไม่กินใช่มั้ย” ไตรรัตน์ดึงมาทั้งกล่อง “งั้นเอามา ผมกินคนเดียว”
ไตรรัตน์หยิบเข้าปากอีกชิ้นนึง ท่าทางอร่อยจริงๆ สุคนธรสเริ่มแปลกใจ
“อร่อยจริงๆ เหรอ”
“ไม่ๆ ไม่อร่อย ไม่ต้องกินหรอก ทนหิวไปเถอะ ชิ้นสุดท้ายล่ะ”
สุคนธรสลังเล อยากลองกิน
“เดี๋ยวๆๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอชั้นชิมหน่อย เผื่อว่าเพื่อนฝีมือพัฒนาแล้ว จะได้ไปชมให้มีกำลังใจ”
“ผมไม่ให้”
“เอามา” สุคนธรสคว้าแย่งมาเอง
สุคนธรสเอาเกี๊ยวเข้าปาก เคี้ยวๆ แล้วหน้าเริ่มเหยเก ทำท่าจะบ้วนทิ้ง แต่อยู่ๆ ไตรรัตน์ก็ผวาเข้ามาเอามือปิดปากสุคนธรสไว้ ไม่ให้คายทิ้ง
“กินเข้าไป...ห้ามคาย...คิดแกล้งผมเหรอ มันต้องเจอแบบนี้...กลืนลงไป...กลืน”
สุคนธรสดิ้นๆ กลืนเกี๊ยวไปหมด
“แหวะ”
“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า อยากแกล้งคนอื่นดีนัก ถ้าจะอ้วกแตกก็ต้องอ้วกแตกด้วยกัน ฮะๆๆ”
ไตรรัตน์ออกรถขับต่อ
ที่บ้านสุคนธรสที่อยุธยา ขณะนั้นสมศรี แม่ของสุคนธรสกำลังชะเง้อมองออกไปนอกบ้านรอลูกสาว เดินไปมากระวนกระวาย ในขณะที่สมศักดิ์ ผู้เป็นสามีกำลังนั่งดูแลประคบประหงมไก่ชนอยู่ แปรงขน ให้อาหาร สบายใจ
“แม่ศรีเอ๊ย จะพะวักพะวงอะไรนักหนา เดี๋ยวนังรสมาถึง แม่ก็เห็นเองนั่นแหละ...จริงมั้ยณเดชน์(ชื่อไก่)”
“พ่อว่ามันไม่แปลกเหรอ ที่อยู่ๆ นังรสมันก็โทรมา บอกว่าจะกลับมาเยี่ยมแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ถามว่ามีอะไร ก็ไม่ยอมบอก...บอกแต่ว่าเดี๋ยวรู้เองๆ”
“ก็ลูกมันยังไม่อยากให้รู้ แล้วแม่จะไปสะเออะคิดล่วงหน้าทำไม ไม่มีประโยชน์...คนเราต้องอยู่กับปัจจุบัน...ดูอย่างณเดชสิ เวลานอน มันก็นอน เวลาหิว มันก็กิน เวลาชน มันก็ชน มันไม่เคยมีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบันเท่านั้น”
“หยุดเทศนาก่อนได้มั้ยพ่อ มาช่วยคิดที ว่าถ้านังรสมันเกิดมีปัญหาหนักอกหนักใจ กลับมา เราจะปลอบมันยังไง”
“มันจะมีปัญหาอะไร นอกจากเรื่องเงิน”
“อาจจะเป็นเรื่องอื่น”
“พอๆๆ ไม่ต้องคิดแล้ว มันมาโน่นแล้ว”
รถของไตรรัตน์แล่นเข้ามาตามทาง แต่แล่นเลื้อยไปเลื้อยมา ไม่ตรง
“พ่อ...”
สมศรีกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด แล้วรถก็จอดสนิทประตูรถทั้งสองข้างเปิดผลัวะออกแทบจะพร้อมกัน แล้วสุคนธรสกับไตรรัตน์ก็วิ่งออกมาอ้วกที่หน้ารถแทบจะพร้อมๆ กัน
“อ้วกๆ”
พ่อกับแม่ผงะ ตาถลน
“พ่อ...ทำไมลูกสาวเราถึงได้...”
“ไอ้ผู้ชายคนนั้น ก็มีอาการเดียวกัน”
“ไอ้อาการแบบนี้ มันคุ้นๆ เหมือนเราสองคนเคยเป็น...”
“แม่จะบอกว่า ลูกเรา...”
“ท้อง”
“ท้อง”
พ่อกับแม่พูดซ้ำทวนกันไป ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
อีกด้านหนึ่งที่ตลาดหญิงจำเริญ เครื่องเซ่นไหว้มากมายพร้อมทั้งอาหารคาวหวานบนโต๊ะทำพิธีขนาดใหญ่หน้าตลาด หมอผีสมคิดกำลังยืนท่องคาถาทำพิธีถือธูปกำใหญ่ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างถือเทียนกำใหญ่ มีเจ๊หญิง อาม่า เสาวภาและกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าชาวบ้านนั่งพนมมืออยู่ร่วมพิธีอย่างเลื่อมใส ยกเว้นเสี่ยจำเริญที่พนมมือไปแบบขอไปที
“ผีชั่ว ผีร้าย วิญญาณอาฆาตสัมภเวสีทั้งหลายออกไป! ไปให้พ้นจากตลาดนี้”
หมอผีสมคิดตวาดพลางสลับสะบัดธูปและเทียนไปยังของเซ่นไหว้ ทันทีที่สะเก็ดไฟจากธูปและน้ำตาเทียนที่กระเด็นไปโดนเหล่าของเซ่นไหว้ก็เกิดจุดดำขึ้นที่ของเซ่นพร้อมควันซู่ขึ้นมา ราวกับเนื้อหนังวิญญาณผีร้ายถูกซัดด้วยของร้อน เลือดทะลักออกมาจากจมูกหัวหมู กลุ่มเจ๊หญิงและชาวบ้านมองฮือฮา
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกแก จงกลับไปยังนรกของแกซะ ไป๊!”
หมอผีสมคิดสะบัดธูปเทียนอีกชุดใหญ่ ทันใดมีเสียงร้องกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้หญิงดังขึ้น
“อ๊ายยยยยย”
ทำเอาทุกคนแตกตื่นกลัว อาม่ากอดแขนเสี่ยจำเริญแน่น
“ผะๆ ผี...ผีจริงๆ ล่วย มันอยู่ในตลาด มังจะเอามาชีวิตพวกเราเลี้ยว”
“ไม่ต้องกลัวนะม้า เราคนดีพระคุ้มครองเรานะม้า”
ขณะที่เจ๊หญิงลุกลี้ลุกลนด้วยความกลัว ตาก็หันไปเห็นเสาวภาที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังแหกปากส่งเสียงอยู่ เจ๊หญิงเซ็ง สะกิดให้เสี่ยจำเริญกับอาม่าหันมามองเสาวภา ขณะที่ทุกคนก็หันมามองเสาวภาเป็นตาเดียว รู้แล้วไม่ใช่เสียงผีที่ไหนแต่เป็นเสาวภานี่เอง เสาวภาหันมาเห็นทุกคนมองก็หยุดร้อง
“มองอะไรกันห่ะ ไม่เคยเห็นคนเหรอ”
“อะโธ่! นึกว่าผีที่ไหนร้องโหยหวน ที่แท้เสียง 18 หลอดของลื้อนี่เอง”
“น่านสิ ลื้อร้องทำไมห่ะ อั๊วตกใจหมดเลย ถ้าอั๊วหัวใจวายตายลื้อจะว่าไง”
“ก็น้ำตาเทียนของอาจารย์มันกระเด็นมาโดนแขนฉัน ฉันร้อน ฉันก็ร้องสิ อ๊ายแสบ”
“หยุด! ไม่ต้องร้องเลี้ยว เสียพิธีอาจารย์หมดเลยเห็นไหม๊? ลื้อนี่มันเป็นส่วนเกินของทุกอย่างจริงๆ”
“อาม่าอ่ะ! ทำไมพูดแบบนี้”
“หรือไม่จริง”
“ไม่เอาน่าม้า อย่าไปว่าอาเสาวภาแบบนี้สิครับ”
“ทำไม ว่าไม่ได้ แทงใจดำรึไง”
“จุ๊ๆ”
เสาวภาแอบส่งสายตามองเสี่ยจำเริญอย่างซึ้งใจ หมอผีสมคิดมองจับปฏิกิริยาเสี่ยจำเริฐ เจ๊หญิง เสาวภา
“เอ่อ...เชิญอาจารย์ทำพิธีต่อเถอะ”
เสี่ยจำเริญบอก หมอผีสมคิดหันไปยื่นมือส่งกำธูปให้หาญ
“ไอ้หาญ เอาธูปนี่ไปแจกทุกคน คนละดอก” หาญรับไปเดินแจกธูปให้ทุกคนถือพนมมือไว้ ขณะที่หมอผีสมคิดหันยื่นมือกำเทียนไปยังกล้า “ส่งข้าวสารมาไอ้กล้า”
กล้ายื่นอ่างใส่ข้าวสารให้ หมอผีสมคิดปักเทียนลงไป ใช้เทียนคนๆ 3 รอบ ปากท้องขมุบขมิบ แล้วเป่าพ่วงๆ 3ครั้ง ก่อนจะอุ้มอ่างข้าวสารซัดไปที่ทุกคนที่นั่งถือธูปพนมมืออยู่
“ผีห่าซานตานจงออกไป”
ที่มุมไกลออกไป ณัฐเดชในชุดนอกเครื่องแบบกับตำรวจอีกสองคนยืนอยู่ ณัฐเดชกระซิบสั่งการ พวกตำรวจแยกย้ายไป ณัฐเดชหันมาเห็นหมอผีสมคิดกำลังทำพิธี กำลังซัดข้าวสารเสกใส่ทุกคนก็หยุดยืนเท้าเอวมอง ณัฐเดชมองหมอผีสมคิด มีความคิดอะไรบางอย่างขึ้นในสมอง
หมอผีสมคิดกำลังผูกสายสิญจน์ที่ข้อมือให้คนที่มาร่วมพิธีหลังเสร็จพิธี ใครผูกไปแล้วก็ยื่นเงินบ้างยื่นซองเงินบ้างให้หาญเดิน มีตั้งแต่แบงค์ร้อยถึงแบงค์พัน เสาวภาเดินกุลีกุจอเข้ามา
“อาจารย์ค๊า ผูกให้ฉันด้วย” หมอผีสมคิดผูกให้เรียบร้อย “ขออย่างอื่นอีกได้ไหมอาจารย์ พระ หรือ เบี้ยแก้นะอาจารย์นะ”
“หึๆ ก็เพราะเจ๊เป็นซะยังงี้ ชอบทำเรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องยาก”
เสาวภาทำหน้างง
“หา...อาจารย์พูดอะไร?”
“ไม่รู้จักพอไง ชีวิตเจ๊ถึงมีแต่อุปสรรค มีความรักก็ไม่รู้จักพอเลยถูกคนอื่นแย่งชิงไปต่อหน้าต่อตา”
เสาวภาหันไปมองเสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงที่กำลังยืนคุยกับอาม่าอยู่ เสาวภาถึงกับน้ำตาไหล
“แล้วฉันต้องทำยังไงคะอาจารย์ ทุกวันนี้ฉันอยู่อย่างจุกอก กินไม่ได้นอนไม่หลับ ต้องทนดูเค้าอี๋อ๋อมีความสุขกัน มันชีช้ำจริงๆ”
เจ๊หญิงพยุงอาม่าเดินเข้ามากับเสี่ยจำเริญ ได้ยินพอดี
“งั้นลื้อก็ไปบวชซะไป” อาม่าบอก
“อาม่า”
“อะไรของลื้อห่ะเสาวภา อาหญิงกับอาจำเริญอีอยู่กินกันจนมีลูกโตเป็นหนุ่มเลี้ยวนะ แก่จนปูนนี้”
“แก่แล้วทำไม ถึงแก่ฉันก็มีหัวใจ สมองฉันยังจำได้ทุกอย่างไม่เคยลืม ถึงแม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ ฉันก็จะจำวันเวลาที่ดีนั้นไว้ตราบชั่วฟ้าดินสลาย”
เสาวภามองเศร้าไปที่เสี่ยจำเริญ ทำเอาเสี่ยจำเริญอึดอัด ยิ้มแหยๆ เหลือบมองหน้าเจ๊หญิง เห็นเจ๊หญิงเหล่มองจับผิดอยู่ หมอผีสมคิดยิ้มมุมปาก ณัฐเดชเดินเข้ามา ตาจ้องเป๋งที่หมอผีสมคิด
“มีอะไรให้ตำรวจช่วยไหม๊ครับ”
ทุกคนเลยหยุดสนใจเสาวภาหันมามองณัฐเดช โดยเฉพาะหมอผีสมคิด หาญ กล้า
“อ้าวผู้กองณัฐ สอบสวนไปถึงไหนแล้วคะ รู้หรือยังไฟไหม้ตลาดเพราะอะไร?” เจ๊หญิงถาม
“ยังไม่สรุปครับเจ๊ วันนี้ผมมาเก็บหลักฐานเพิ่ม มาเจออาจารย์สมคิดที่คนเลื่อมใสทั้งตลาดพอดีเลย อาจารย์พอจะทราบไหม๊ครับ ว่าอยู่ๆ ทำไมไฟถึงลุกไหม้ตลาดขึ้นมา”
หาญร้อนตัว รีบขัด
“อ้าวผู้กอง คุณมาคาดคั้นอะไรอาจารย์ผม อาจารย์จะไปรู้ได้ยังไง”
“ปล๊าว! ผมไม่ได้มาคาดคั้นอะไรนะครับ ก็เห็นชาวบ้านร่ำลือว่าอาจารย์มีวิชาอาคมหยั่งรู้ ถามหาของหาย ถามหาผัว ถามหาเมียก็ตอบได้หมด ผมฟังแล้วทึ่ง เลยมาพึ่งอาจารย์บ้าง เผื่ออาจารย์จะนั่งทางในเห็นว่าไฟไหม้ตลาดเพราะอะไร”
หมอผีสมคิดมองหน้าณัฐเดชยิ้มๆ รู้ว่ากำลังถูกเล่นซะแล้ว
“ผู้กองเป็นเพื่อนคุณไตรลูกชายเจ๊ใช่ไหม๊?”
“ใช่เลี้ยวอาจารย์ ผู้กองอีเป็นเพื่อนรักมากของอาตี๋น้อย”
“เสียใจนะ ผู้กอง...ถ้าอาจารย์รู้ไปหมดซะทุกเรื่อง ตำรวจอย่างผู้กองคงตกงานกันหมด หึๆๆ อ่ะนี่...อาม่ากับเจ๊เอาพระไปบูชานะ”
หมอผีสมคิดหันไปหยิบเหรียญพระส่งให้อาม่ากับเจ๊หญิง ไม่สนใจณัฐเดช หาญกับกล้าแอบสะใจ ณัฐเดชยืนอึ้ง รู้เหมือนกันว่าโดนเล่นกลับ เสี่ยจำเริญตบไหล่ณัฐเดชให้เก็บอาการไว้
อ่านต่อหน้า 2
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 8 (ต่อ)
บ้านสุคนธรสที่อยุธยา สมศรียกแก้วน้ำส้มป่อยให้สุคนธรสกับไตรรัตน์กินหลังอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง
“เอานี่เอ็งสองตัว...กระเดือกน้ำส้มป่อยเข้าไปหน่อย ท้องไส้จะได้ดีขึ้น”
ไตรรัตน์มองน้ำสีน้ำตาลที่มีเศษใบคล้ายใบมะขามลอยเขรอะแล้วสยอง
“น้ำ...ส้ม...อะไรนะครับ”
“ส้มป่อยหย่อยๆ”
“ตลกเกินไปแระแม่...หายแน่น่ะแม่?”
“วะ! กระเดือกเข้าไปเหอะ มันไม่ตายหรอกเว้ย” สมศรีหันมามองไตรรัตน์ที่มองแก้วจดๆ จ้องๆ “อ้าวเอ็ง...ไอ้หนุ่ม จะจ้องให้แก้วมันปีกงอกบินเข้าปากเอ็งหรือไง กระเดือกเข้าไปซี หรือว่าต้องให้ชั้นจับกรอก”
“ไม่เป็นไรครับ! ผมดื่มเองได้ครับ”
“อ๋อ...ดื่ม...ภาษาผู้ดี งั้นเชิญเอ็งกระเดือกดื่มตามสันดานเถอะ”
“พรวด”
สุคนธรสหัวเราะขำ
“บ้านฉันก็เป็นคนพูดตรงๆ ทั้งบ้านแหละ คนบ้านนอกน่ะจริงใจ คนจบนอกอย่างคุณ คงไม่ชิน” สุคนธรสกับไตรรัตน์จ้องหน้าเขม่นใส่กัน หันมาอีกทีต้องตกใจ เมื่อเห็นสมศรีกับสมศักดิ์กำลังมองจับจ้องทั้งคู่อยู่ “อุ้ย...พ่อกับแม่จ้องอะไรอ่ะ?”
“เอ็งสองคนมีอะไรจะสารภาพกับพ่อกับแม่ไหม๊ เรื่องที่อ้วกแตกอ้วกแตนกันมาน่ะ”
“สารภาพทำไมพ่อ เราสองคนกินของผิดสำแดงกันมาในรถน่ะ ปัดโธ่แค่นี้ต้องให้สารภาพ ฮ่ะๆ” สุคนธรสแค่นหัวเราะ
“ก็เอ็งกับไอ้หนุ่มนี่ เป็นอะไรกันล่ะ จู่ๆ ถึงได้หอบหิ้วกันกลับมาบ้านแบบนี้”
“เอ่อ...คือ...”
สุคนธรสหันไปมองหน้าไตรรัตน์...อ้ำอึ้ง...ไม่อยากบอกทั้งที่ใจคิดว่าเสียตัวให้ไตรรัตน์แล้ว ขณะที่ไตรรัตน์ก็ไม่อยากมาขอขมาตามที่รับปากพ่อแม่มาเพราะตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรสุคนธรส
“พ่อหนุ่มนี่ทำหน้าแปลกๆ ปวดขี้หรือเปล่า”
“ปละ...เปล่าครับ”
“งั้นก็ พูดมาซี เป็นอะไรกัน?”
ยายเมี้ยนบอกพร้อมกับโผล่เข้ามาพร้อมกลุ่มชาวบ้าน
“อ้าวเฮ้ย! โผล่เข้ามาได้ไงวะเนี่ยะ”
“ก็ประตูมันเปิดอยู่ แล้วชาวบ้านพวกนี้เค้าอยากรู้น่ะ ว่านังรสพาผู้ชายที่ไหนมาเยี่ยมบ้านถึงอ้วกกลับมาแบบนี้ ฉันก็เลยพาพวกเขามา ว่าไงล่ะตกลงเป็นผัวเมียกันใช่ไหม๊?”
“เฮ้ยไม่ใช่! ไอ้กร๊วกนี่มันเพื่อนฉันจ้า เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก โง่ๆ เซ่อๆ ไม่เคยเห็นวัด ฉันก็เลยพามาเปิดกะโหลกน่ะ”
ไตรรัตน์หันจะมาด่า
“เธอ...”
แต่สุคนธรสรีบตบไหล่ป้าบ...เบรคไว้ทัน
“จริงไหม๊วะเพื่อนไตร?”
สุคนธรสยิ้ม แต่ตาจ้องเขม็งบังคับให้ไตรรัตน์เออออตามเลยถูกไตรรัตน์เอาคืน...กอดไหล่ตอบ
“จริงว่ะเพื่อนรส ฮ่ะๆๆ เราสองคนสนิทกันมากครับ เหมือนเป็นเพื่อนผู้ชายด้วยกันกินนอนด้วยกัน โอบไหล่กันแบบนี้ ไม่เคยคิดอะไรกันเลย”
ไตรรัตน์โอบไหล่สุคนธรสซะแนบแน่น สุคนธรสได้แต่ยิ้มเออออด้วย สุคนธรสกับไตรรัตน์ทำเป็นยิ้มกอดคอกัน แต่แอบจิกตายี้ใส่กัน พวกยัยเมี้ยนกับชาวบ้านเซ็ง
ที่ตลาดหญิงจำเริญ หาญกับกล้าเดินเข้ามาหาหมอผีสมคิด
“ไงวะ?”
“ไม่มีวี่แววเลยอาจารย์ มันไม่ยอมโผล่มาร่วมพิธีเลย ไม่รู้มันหายหัวไปไหน”
“ก็มันไม่ชอบขี้หน้าพวกเรา มันก็เลยไม่อยากจะมา ก็ดีแล้ว ขืนมันมา เราคงไม่ได้เงินทำบุญเยอะแบบนี้” หาญโชว์ซองเงินเพียบ “ฮ่ะๆๆ”
“แต่คนอย่างไอ้ไตรรัตน์ มันไม่น่าพลาด พิธีแบบนี้มันน่าจะรีบมาจับผิดฉัน มันต้องมีอะไรแน่ๆ”
อาม่าเดินเข้ามาหา
“จะกลับเลี้ยวเหรออาจารย์ อั๊วเกือบลืมไป” อาม่าควักเงินใส่ซองออกมาจากกระเป๋า “นี่เงินทำบุญ ขอบคุณอาจารย์มากๆ ที่มาปัดเป่ารังควานให้ตลาดของเราในวันนี้”
“ไม่ต้องขอบอกขอบใจผมหรอกครับอาม่า เห็นอาม่าแข็งแรง ครอบครัวทำมาค้าขึ้น ผมก็พลอยดีใจไปด้วย เสียดายอย่างเดียวที่วันนี้หลานชายสุดที่รักของอาม่าไม่มาร่วมทำพิธีปัดเป่าด้วย”
“นั่นน่ะซี พอดีอาตี๋น้อยอีมีธุระร้อน ต้องรีบพาหนูรสไปไหว้พ่อแม่ที่อยุธยากลับมาจะได้ให้อาจารย์หาฤกษ์ยามแต่งงานกันซะให้เรียบร้อย”
หาญ กล้าตกใจมองหน้ากัน ณัฐเดชเดินผ่านมาได้ยินคุยกันพอดีจึงหยุดชะงักฟัง
“อาจารย์รีบๆ หาฤกษ์ให้อาตี๋น้อยกับหนูรสเร็วๆ หน่อยสิ” อาม่าควักส่งเงินให้อีก “ช่วยอั๊วที อั๊วน่ะชอบนิสัยใจคอหนูรสมาก อยากได้มาเป็นหลานสะใภ้”
หมอผีสมคิดยิ้มมีเลศนัย
“อาม่าสบายใจได้ อั๊วจะรีบทำให้เลย”
ณัฐเดชเดินผละมาพลางกดมือถือโทรหาไตรรัตน์
“ฮัลโหล...ฉันเองเว้ย”
ไตรรัตน์เดินปลีกตัวคุยมือถืออกมานอกระเบียง
“ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้ตลาดงั้นเหรอ! หึ ไม่รู้หนนี้ไอ้หมอผีบ้านั่นได้เงินจากแม่ฉันไปอีกกี่แสน”
“แก...ขอขมาพ่อแม่ยัยรสเสร็จหรือยัง”
“ไอ้ณัฐ ชั้นมากะยัยนี่ เพราะเรามีภารกิจกำจัดไอ้หมอผีร่วมกัน ชั้นพึ่งแก เรื่องกฎหมาย ส่วนยัยไม้กระดานนี่...ก็อาจจับผิดไอ้หมอนั่นเรื่องไสยศาสตร์ได้ ฉันรักใครใยดีอะไรยัยนี่ซะเมื่อไหร่ แกก็รู้มันเป็นเรื่องอุบัติเหตุทางเพศ” สุคนธรสเดินเข้ามาเตะหน้าแข้งไตรรัตน์ป๊าบ “อ๊ากกกก”
ณัฐเดชตกใจ แสบแก้วหู
“เฮ้ย! ร้องทำไมวะ ฮัลโหลๆ”
ไตรรัตน์กดสายทิ้งจับหน้าแข้งกระโดดเหยงๆ เจ็บ
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกเนี่ยะ”
“อุบัติเหตุทางเพศ พูดออกมาได้ หยาบคาย เลว” สุคนธรสเตะอีกที
“อ๊าก เตะจริงเจ็บจริงแผลเก่าตลอด เดี๋ยวเอาคืนซะหรอก”
ไตรรัตน์ดันสุคนธรสหลังไปชนผนัง หน้าทั้งคู่จ่อกันอยู่แค่คืบ สมศักดิ์กับสมศรีโผล่ออกมาดู
“เสียงหมาที่ไหนมันฟัดกันข้างนอกนะเว้ยเฮ้ย”
ไตรรัตน์กับสุคนธรสตกใจรีบผละออกจากกัน
“เมื่อกี้ทำอะไรกันน่ะ เสียงดังเข้าไปถึงข้างในโน่น”
“อ๋อ เราเล่นกันน่ะแม่”
สุคนธรสหันไปเตะไตรรัตน์ป๊าบที่ขา ไตรรัตน์ไหล่ทรุดเลยหันมาเตะสุคนธรสป๊าบเอาคืน สุคนธรสหน้าคว่ำ
“ใช่ครับ เราเล่นกันตามประสาเพื่อนซี้”
สุคนธรสพยายามฉีกยิ้มหัวเราะหันมามองหน้าไตรรัตน์ แอบใช้เท้าเหยียบเท้าเขา ไตรรัตน์กัดฟันทนเจ็บฝืนยิ้ม พ่อแม่หรี่ตามองจับผิด...
สมศักดิ์กับสมศรีหลังหันมากระซิบกระซาบกัน ขณะที่ไตรรัตน์และสุคนธรสยังตบตีกันอยู่
“ข้าว่ามันแปลกๆ ว่ะ”
“ร้อยวันพันปี มันไม่เคยพาเพื่อนชายมาจากกรุงเทพฯ อยู่ๆ ก็พามา”
“ได้...ข้าจัดการเอง”
สมศักดิ์กับสมศรีหันมายิ้มกับไตรรัตน์และสุคนธรส ทั้งคู่หยุดกึก ยิ้มตอบ
“ตกลงพ่อหนุ่มมาเที่ยวหรือมาทำธุระกันแน่”
“ทั้งสองอย่างครับ”
“เออ...งั้นก็พักที่บ้านพวกข้าที่แหละ ไม่ต้องไปนอนโรงแรมหรอก เปลืองกะตังค์”
“เฮ้ยพ่อ” สุคนธรสร้องเสียงหลง
“ทำไมวะ เพื่อนเอ็งไม่ใช่เหรอ”
“ตกลงครับ ผมนอนนี่ล่ะครับ ประหยัดดี”
ตอบเสร็จไตรรัตน์ก็กัดฟันยิ้มแหยๆ เพราะสุคนธรสเหยียบเท้าไตรรัตน์อยู่
ทางด้านหมอผีสมคิดเพราะรู้ว่าไตรรัตน์ไปอยุธยา พอเสร็จงานที่ตลาดหญิงจกเริญ รถตู้ของหมอผีสมคิดจึงแล่นฉิวไปอยุธยา หมอผีสมคิดนั่งเบาะหลังคนเดียว หลับตาลงเพ่งสมาธิ เห็นวิญญาณผีไอ้ธรรมนั่งโผล่ข้างๆ หมอผีสมคิดอยู่ที่กระจกส่องหลัง หมอผีสมคิดลืมตาทันที
“ต้องให้กูรู้เองใช่ไหมว่าพวกมันไปอยุธยา มึงคิดว่ากูเป็นเพื่อนเล่นมึงเหรอไอ้ธรรม”
หาญ กล้า สะดุ้งได้ยินหมอผีสมคิดพูดถึงผีไอ้ธรรม
“เปล่าครับ...ข้าแค่ต้องการรู้ให้แน่ว่ามันจะอยู่ไหนกัน”
“งั้นก็พากูไปหาพวกมันให้เจอ”
“ครับ”
ผีไอ้ธรรมก้มหน้ารับคำ หาญหันหลังไปมองเบาะหลัง เห็นแต่หมอผีสมคิดนั่งคนเดียว
คืนนั้นญาณินนั่งกินชาแบบเศร้าๆ อยู่ที่บริษัท ป้าอรวรรณยกขนมมาให้
“คุณหนู...ดื่มแต่ชามันจะอิ่มเหรอคะ รับประทานขนมนิดนึงนะ...อร่อยค่ะ ไม่ใช่ของคุณเนตรหรอก”
“ดึกแล้ว...ป้า หนูไม่ควรทานอะไรอีกแล้ว”
“คุณหนู...แต่ตั้งแต่กลับมา คุณหนูไม่ยอมรับอะไรเลยนะคะ”
“ทานไม่ลงหรอกค่ะ ขอบคุณนะคะ ป้าเอาไปเก็บเถอะค่ะ”
ญาณินเศร้าต่อ ป้าอรวรรณมองญาณินแล้วพลอยเศร้าไปด้วย หลวงพิชัยภักดียืนดู ส่ายหน้า
“โธ่...ญาณิน...ชั้นผิดเอง ที่อยากให้เธอมาช่วยไอ้เด็กโง่ เลว ปากเสีย มันเป็นเด็กนิสัยไม่ดี แต่เพราะมันไม่มั่นใจ ว่าจะมีใครมารักมันอย่างบริสุทธิ์ใจ มันมีปมด้อย เพราะเรื่องของอดีตของบรรพบุรุษ คือชั้นเอง...หนูจะเลิกสงสารมัน ชั้นก็เข้าใจนะ”
“เฮ้อ...เราโกรธหลานชายตะเองแล้ว แบบนี้เราหาหนุ่มคนใหม่เจ๊ญาณินให้ดีกว่า หล่อแต่โง่แบบนี้ เอาไปถมที่...ที่ยังทรุดเลยนะเจ้าคะ...คุณหลวง”
กุมาริกาบอก หลวงพิชัยภักดียิ่งเซ็ง
อีกด้านติณห์ยืนอยู่ในคอนโดตัวเอง กอดอกอย่างเศร้าๆ มีเพลงประมาณเหงาๆ ติณห์คิดหนักเมื่อนึกถึงคำพูดเลวๆ ของตัวเองที่พูดกับญาณิน
“แล้วคุณมาช่วยผมทำไม คุณมาวุ่นวายกับปัญหาส่วนตัวผมทำไม ต้องการความดีความชอบเหรอ หรือต้องการทำบุญทำกุศล หรือจริงๆ แล้วคุณแค่อยากจะมาให้ท่าผม...อยากเป็นเมียผมเหมือนที่เพนนีว่า ใช่มั้ย”
“คุณติณห์”
ญาณินตบหน้าติณห์ พูดไม่ออก ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ...ติณห์นึกโกรธตัวเอง
“ยูอาร์อีเดียต...ติณห์...แกมันงี่เง่า”
ญาณินถอนใจนึกโกรธตัวเอง
“เธอมันอีเดียต ปัญญาอ่อนจริงๆ...ญาณิน...”
ญาณินถอนใจ ลุกขึ้น หันไปแล้วชะงักเมื่อเห็นติณห์ยืนอยู่ข้างหน้าทำหน้าเศร้าอดย่างสำนึกผิด หลวงพิชัยภักดี กุมาริกา ยืนทึ่ง ลุ้นๆ...ญาณินขยี้ตาตัวเอง
“บ้าไปแล้วญาณิน...นี่เธอถึงกับหลอนว่าเค้ามายืนอยู่ข้างหน้าเลยเหรอ”
“เปล่าครับ...ผมมายืนตรงหน้าคุณจริงๆ”
“อะไรนะ”
“ไม่เชื่อ ลองจับดูสิ”
ญาณินเอานิ้วจิ้มแขน จึ๋งๆๆ
“ว้าย” ญาณินโดดถอย “ตัวจริง...เสียงจริง...จริงด้วย คุณมาทำไม ต้องการอะไรไม่ทราบ”
ญาณินรีบเชิดใส่
“ผม...ผมมา...ขอโทษ”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
หลวงพิชัยภักดี กุมาริกา เข้ามาลุ้นใกล้ๆ
“ขอโทษ...ที่ผม...พูดอะไรเลวๆ ออกไปวันนี้ ที่จริงแล้วมันคงเป็นเพราะผมท้อ...ผมสิ้นหวัง...ผมรู้ดี ว่าคุณแคร์เรื่องของผมจริงๆ ไม่มีใครที่อยากจะช่วยผมให้ค้นหาความจริงที่มันเกิดขึ้นในครอบครัวของผมอีกแล้ว นอกจากคุณ...อย่าทิ้งผมนะ ญาณิน...อย่าปล่อยให้ผมอยู่ในความมืดตลอดไป”
ญาณินมองสบตาติณห์ ค่อยๆ หายโกรธ หลวงพิชัยภักดี กุมาริกาดีใจกระโดดกอดกัน จับมือ เต้นไปมา เย้ๆๆ
รถของหมอผีสมคิดแล่นมาตามทางที่ขนาบด้วยสวน จนมาจอดนอกรั้วหน้าบ้านของพ่อแม่สุคนธรส หาญที่ทำหน้าที่ขับปิดไฟหน้า หมอผีสมคิดหันไปมองยังบ้านแล้วถามขึ้น
“ไหน...นังสุคนธรสมันอยู่ที่ไหนไอ้ธรรม?”
หาญมองผ่านกระจกหลัง เห็นที่เบาะหลังข้างๆ หมอผีสมคิด วิญญาณไอ้ธรรมค่อยๆ ปรากฏขึ้น มันชี้ไปที่บ้าน กล้าทำหน้าสยองๆ กลัวๆ อยู่เหมือนกัน
“มัน...อยู่...ใน...บ้าน...หลัง...นั้น”
หมอผีสมคิดเปิดประตูลงจากรถ ลงไปยืนจังก้ามองไปยังตัวบ้าน หาญกับกล้าคว้าเป้ใส่ของไสยศาสตร์ตามลงมายืนขนาบข้าง เห็นผีไอ้ธรรมกระโดดลอยทะลุออกมาจากหลังคารถ มายืนมองอยู่ใกล้ๆ
“พาลูกชายเจ้าของตลาดมาไหว้พ่อแม่งั้นเหรอ ดี! หึๆๆ จะได้กลับมาตายที่บ้านเกิด”
“จะทำคุณไสย์อะไรเล่นมันดีอาจารย์?”
อีกาหลายตัวบินมาวนรอบๆ บริเวณบ้านสุคนธรส ดูน่าสะพรึงกลัว
สุคนธรสนุ่งผ้าถุงกระโจมอกมีผ้าขนหนูคลุมไหล่ เดินเข้าห้องน้ำ ปิดประตูพอหันมาจะกดสวิชเปิดไฟในห้องน้ำ สะดุ้งเฮือก เมื่อเจอเข้ากับดวงตาสีเหลืองกลมโตมองจ้องอยู่ สุคนธสไม่ได้ตกใจอะไรเปิดไฟสว่างขึ้น เห็นเป็น “เจ้าลาย” ตุ๊กแกตัวเขื่องประจำบ้าน สุคนธรสทักทายอย่างคุ้นเคย
“ไงเจ้าลาย สบายดีไหม๊ ไม่เจอกันนมนาน หัวโตขึ้นเป็นกอง”
เจ้าลายเหมือนจะฟังเข้าใจ มันส่งเสียงต๊อกๆๆ ต๊อกแก! ตอบโต้ แล้วก็แลบลิ้นแฟล่บยาวออกมาฉกกินแมงเม่าตัวนึงที่บินเข้ามาจะเล่นไฟในห้องน้ำ สุคนธรสถึงกับยี้ปากแล้วมันก็คลานหายไปที่ผนังหลังกระจก สุคนธรสคลายผ้าขนหนูออกแขวน
ที่นอกบ้านหมอผีสมคิดท่องคาถาบทสุดท้าย อีกาตัวนึงลงมาเกาะแขนหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดลืมตาขึ้นสั่งการ
“ฆ่ามัน!”
สิ้นเสียงสั่งอีกาบินขึ้นฟ้าแล้วเพิ่มจำนวนเพิ่มขึ้นๆ จนดำทะมึน แล้วตีวงบินวนๆๆ รอบๆๆ.บ้านสุคนธรส ใกล้เข้าไปใกล้เข้าไป ทั้งหมดยืนมองขึ้นฟ้า แต่ผีไอ้ธรรมยืนหลังพวกสมคิด เหลือบมามองหมอผีสมคิดแบบรอโอกาส
อีกาที่บินอยู่เมื่อไปถึงตัวบ้านสุคนธรส รัศมีพุทธานุภาพขาวนวลเปร่งรัศมีออกมาครอบบ้านไว้ ราวกับเป็นเกราะกำบัง ทำให้อีกาบินชน แล้วร่วง กระจาย แตกตัวเผละๆๆๆ หมอผีสมคิดเห็นแล้วตะลึงงัน
“อะไรกันวะ”
“เกิดไรขึ้นคับอาจารย์ ทำไมอ่ะ?”
“บ้านมันมีเกราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองแน่นหนามาก นั่นไม่ใช่บ้านคนธรรมดา แต่เป็นบ้านของคนถือศีล...ที่มีพุทธคุณคุ้มครองอยู่”
ภายในบ้านสุคนธรสมีพระพุทธรูปและของขลังมากมายวาง อยู่ที่โต๊ะหมู่บูชา โดยเฉพาะบนหิ้งมีรูปหลวงปู่อินและหลวงปู่บุญวางอยู่ บุญบารมีของหลวงปู่ส่งพลังออกไปปกปักษ์รักษาบ้านเอาไว้ พ่อ แม่ของสุคนธรส ต่างกำลังนั่งสวดมนตร์กัน ที่ในห้องพระนั้น
หมอผีสมคิดไม่ยอมแพ้
“มันจะสักแค่ไหนกันวะ ไอ้กล้า...ส่งโกศ 7 ป่าช้ามา”
กล้าหยิบโกศโลหะทรงเหลี่ยมแปะยันต์สะกดวิญญาณออกมาส่งให้ หมอผีสมคิดถือโกศแล้วร่ายคาถาปลุกวิญญาณชั่วครู่ ยันต์สะกดวิญญาณปลิวหลุดออก พร้อมกับฝูงวิญญาณผี 7 ป่าช้าพุ่งออกมาจากโกศอย่างบ้าคลั่ง ผีไอ้ธรรมคอยแอบสังเกตพฤติกรรมอยู่
“อาหารโอชะของพวกแกอยู่ในบ้าน ไปรุมทึ้งเครื่องในมัน ไป”
ฝูงผีหิวโหยกรีดร้องลอยพุ่งหายเข้าตัวบ้านไป หมอผีสมคิดยิ้มกระหยิ่ม หาญกับกล้าดีใจ แต่เพียงครู่เดียววิญญาณทั้งฝูงต่างกรีดร้องกลับออกมาพร้อมภาพวิญญาณที่ลุกเป็นไฟและมอดไหม้ไปทีละตัวอยู่กลางอากาศต่อหน้าต่อหน้าหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดแค้นที่ทำอะไรไม่ได้
“ขนาดวิญญาณเฮี๊ยน 7 ป่าช้ายังแพ้มันเลยอ่ะ จะส่งของอะไรไปเล่นมันอีกอาจารย์?”
“พอก่อนไอ้หาญ ส่งไปก็เสียของเปล่าๆ รอให้นังนั่นออกมาจากบ้านเมื่อไหร่ค่อยลงมือ หึ มันคงไม่อยู่ในบ้านตลอดไปหรอก”
สุคนธรสเปิดประตูเดินเช็ดหน้าเช็ดตาออกมาจากห้องน้ำก็จ๊ะเอ๋เข้ากับไตรรัตน์หน้าห้องน้ำก็ตกใจ
“เฮ้ย!”
“ตกใจไปได้ คนนะ ไม่ใช่ผี”
“ก็นายมาป้วนเปี้ยนอะไรหน้าห้องน้ำนี่ล่ะ?” สุคนธรสกระชับผ้าเช็ดตัวปิดอก “หรือว่า...นายมาถ้ำมองฉัน โรคจิตเหรอ”
“โฮ่ยนี่เลิกหลงตัวเองได้แล้วน่า กระโจมอกบ้านๆ แบบนี้ มองยังไง ผมก็ไม่มีอารมณ์” ไตรรันต์มองหัวจรดเท้า “หึ แม่นะแม่...คิดเข้าไปได้ยังไง๊ จะให้ผู้ชายมีระดับอย่างลูกชายตัวเอง แต่งงานกับผู้หญิงอย่างนี้”
“เชอะ! ผู้ชายมีระดับ ระดับต่ำละสิ ต่ำติดดิน ขนาดดินยังไม่อยากให้เหยียบเลย”
สุคนธรสทำท่าจะเตะอีก
“ซาดิสต์! เอะอะจะใช้กำลัง ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้ หลีก”
“ทำไมฉันต้องหลีก”
“ก็คนปวดฉิ่งฉ่องจะเข้าห้องน้ำ”
สุคนธรสค้อน แล้วก็นึกถึงเจ้าลายได้ แอบยิ้มร้าย หลีกทางให้ พร้อมกับเปิดประตูห้องน้ำให้ด้วย
“เชิญฉิ่งฉ่องตามสบายค่ะ คุณผู้ชายผู้มีระดับ” ไตรรัตน์ยี้ใส่ เดินเข้าห้องน้ำไป “เจ้าลายจ๋า....เจ้าลาย”
สุคนธรสรีบมายืนรอฟังเสียงที่หน้าประตู ครู่เดียวก็ได้ยินเสียง....ต๊อกๆ...ต๊อกแก
“อ๊าก” สุคนธรสขำกลิ้ง เสียงไตรรัตน์มาเปิดประตู สุคนธรสรีบดึงประตูไว้ไม่ยอมให้ออก “เปิดประตู...เปิดๆ...มันจะกินตับฉันแล้ว...อ๊ากกกก...ช่วยด้วย”
สมศักดิ์กับสมศรีได้ยินเสียงตกใจวิ่งมาดู
“อะไรกัน...อะไรนังรส...เสียงใครแหกปากลั่นบ้าน?”
สุคนธรสรีบปล่อยมือจากประตู
“เอ่อ...นายไตวายน่ะสิแม่ ร้องเอะอะอยู่ในห้องน้ำ เป็นอะไรก็ไม่รู้”
“อ้าว...แล้วเอ็งจะยืนอยู่ทำไม รีบเปิดเข้าไปดูซิวะ”
“จ้ะพ่อ”
สุคนธรสรีบผลักเปิดประตูเข้าไป
“ว้ายตาเถร”
สมศรีร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นไตรรัตน์เป็นลมช็อกนอนอยู่กับพื้นห้องน้ำ โดยมีเจ้าลายเกาะแลบลิ้นอยู่ที่กะบาล สุคนธรสแหกปากหัวเราะลั่น
ไตรรัตน์นั่งพะอืดพะอมดมยาดมอยู่ที่โต๊ะ ขณะที่ทุกคนกินข้าวกัน
“ไงเอ็ง...ไหวไหม๊นั่น...ถึงกับกระเดือกข้าวไม่ลงเชียวเหร๊อะ สงสัยที่กรุงเทพไม่มีตุ๊กแกให้ดู เจอตุ๊กแกตัวแค่ท่อนแขนทำเป็นลมใส่ชักดิ้นชักงอ”
“ตัวเท่าท่อนแขนที่กรุงเทพเค้าไม่เรียกตุ๊กแกแล้วล่ะครับ มันตัวเงินตัวทอง”
“อ๋อ...พูดงี้เอ็งอยากกินเหรอ พ่อเอ็ง...พรุ่งนี้ให้ใครช่วยไปจับที่สวนมาสักตัวฉันจะผัดเผ็ดให้มันกิน”
“เย้ย...ไม่ต้องครับ...ผมไม่ได้อยากกิน ผมแค่เปรียบเทียบให้ฟังเฉยๆ”
สุคนธรสหัวเราะก๊าก ไตรรัตน์มองตาเขียว
“ถึงเอ็งอยากกิน ฉันก็ไม่ไปจับให้หรอกเว้ย มันบาป”
“อ๋อเหรอ...แต่จับไก่มันไม่บาปใช่ไหม๊”
“ใช่!... เฮ้ย ไม่ใช่ๆ แม่เอ็งก็...ฉันเลิกหมดแล้ว”
“เออ...อย่าให้จับก็แล้วกัน แม่จะยำให้เหมือนไข่มดแดงเลยคอยดู”
“อึ๋ย!”
คราวนี้ทำให้ไตรรัตน์ขำก๊ากออกบ้าง…
“หัวเราะอะไร” สมศรีถามเสียงห้วน
“เอิ้ก”
“เอ็งมีอะไรจะบอกฉันสองคนก็รีบๆ บอกมาซะ”
“เอ็งสองคนยังหนุ่มยังสาว อยู่ใกล้กันมันก็มีพลั้งเผลอใจกันได้ แต่ถ้าบอกมาตามตรง พ่อกับแม่ก็พร้อมจะให้อภัย”
“เอาอีกแล้ว! จะให้ต้องบอกพ่อกับแม่อีกกี่ครั้ง ว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรกันจริงๆ นี่ฉันว่า...พรุ่งนี้จะพานายนี่ไปหาหลวงลุงสุวิทย์สักหน่อย”
“ไปให้หลวงลุงดูฤกษ์ยามแต่งงานหรือไง?”
“ไม่ใช่! ฉันจะพาไปรดน้ำมนต์น่ะ แก้ซวยที่ถูกตุ๊กแกกระโดดใส่ ฮิๆ”
ไตรรัตน์มองหน้าสุคนธรสถลึงตาใส่ สุคนธรสแลบลิ้นใส่ มองยั่วกันไปยั่วกันมาอย่างลืมตัว หันมาอีกทีเห็น
พ่อกับแม่มองจ้องอยู่ ทั้งสองทำไม่รู้ไม่ชี้ตักข้าวกินกัน
“แฮ่ๆ...อร่อยจังเลยแม่ นานๆ กลับบ้านทีได้กินกับข้าวฝีมือแม่ อร่อยที่สุดในโลกกก”
ไตรรัตน์แอบมองสุคนธรสกอดอ้อนแม่...เห็นความน่ารักที่ซ่อนอยู่ของสุคนธรส
ด้านนอกหมอผีสมคิดและพวกยังคงซุ่มรอเวลาอยู่
คืนเดียวกันนั้นที่บ้านเสี่ยจำเริญ รถสปอร์ตคันหรูแล่นเข้ามาที่หน้าบ้าน แล้วชะลอความเร็วจอด...เคธี่เปิดประตูก้าวลงจากรถด้วยชุดแส็กฟิตเปรี๊ยะสั้นโชว์เรียวขา...เธอสะบัดผมยาวดัดสีน้ำตาลทองพร้อมกับถอดแว่นกุชชี่ออก ยามบ้านเสี่ยจำเริญมองอย่างตะลึงราวกับเห็นดาราหลงมา
“คุณมาหาคุณไตรเหรอครับ?”
เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญเดินคุยกันมา
“อาไตรไปบ้านพ่อแม่หนูรส ไม่รู้เป็นไงบ้างเนอะ ขอขมา...ขอลูกสาวเค้าแต่งงานไปแล้วรึป่าวก็ไม่รู้ อิๆๆ”
“อยากรู้ อั๊วโทรไปถามให้เอาม่ะ”
เสี่ยจำเริญจะกดมือถือ เจ๊หญิงดึงมือไว้
“ไม่เอาๆ ไม่ต้องหรอก ตาไตรไม่กล้าขัดคำสั่งฉันหรอก ไม่งั้นโดนตัดออกจากมรดก ลูกลื้อคงไม่โง่เหมือนตอนคบกับแม่คาที่อะไรนั้นแล้วล่ะ”
“อีชื่อเคธี่...ไม่ใช่คาที่”
ทั้งสองต้องยืนตะลึงงันเมื่อมองไปเห็นเคธี่ยืนมองทั้งสองอยู่ในห้องรับแขก เสี่ยจำเริญถึงกับขยี้ตา
“อั๊วตาฝาดไปรึป่าว อั๊วเห็นคาๆๆ เอ้ยเคธี่ยืนอยู่ในบ้านเรา”
“Hi...เด็ดดี้ไม่ได้ตาฝาดหรอกค่ะ นี่เคธี่เองค่ะ ไม่เจอกันหลายปี สวัสดีค่ะเด็ดดี้หม่ามี้”
“เธอมาที่นี่ทำไม เธอทิ้งลูกชายฉันไป จำไม่ได้เหรอ”
เสี่ยจำเริญรีบปราม
“ใจเย็นๆ น่าลื้อก็”
“ตาไตรไม่อยู่ เชิญเธอกลับไปได้ แล้วกรุณาอย่ามาหาตาไตรอีก ฉันพูดง่ายๆ แค่นี้หวังว่าเธอคงจะเข้าใจนะ อย่าต้องให้เอาเรื่องเก่าๆ มาพูดกันอีก ว่าเพราะอะไรเธอถึงไม่ได้รับการต้อนรับที่บ้านหลังนี้”
เจ๊หญิงเดินผละไป
“หม่ามี้คะ เอ่อ...”
“หนูกลับไปเถอะนะ ตอนนี้อาไตรลืมลื้อได้เลี้ยว อาไตรกำลังจะมีความสุข ปล่อยให้ลูกชายอั๊วมีชีวิตของเค้าเถอะนะ อั๊วขอร้อง”
เคธี่เชิด นิ่ง แล้วยิ้มเย็น
พอเคธี่เดินพ้นประตูห้องรับแขกมาก็เห็นเสาวภายืนกวักมือเรียกหลบมุมอยู่
“หนูเคธี่...ทางนี้ๆ”
เคธี่เดินเข้ามาหา
“สวัสดีคะอาอี๊ How are you?”
“ฉันเหรอ...ฟายยย แท้งกิ้ว หนูก็ยังสาวปิ๊งเหมือนเดิมเลย นางแบบนี่นะก็ต้องดูแลตัวเองเต็มที่ แล้วนี่หนูมาหาตาไตรเหรอ อู๊ย...ตาไตรไม่อยู่กรุงเทพหรอก”
“ไม่อยู่กรุงเทพ แล้วไตรไปไหนล่ะคะ”
“นู้น...อยุธยา “
“โอ้วมายก็อด...เดี๋ยวนี่ไธรซชอบไปเที่ยวอะไรที่มันโบราณๆ แอนทีคแทนที่หรูๆ มีรสยิมแล้วเหรอคะ ต๊าย...ไธรซเปลี่ยนไป”
“อู๊ย...ตาไตรไม่อยากจะไปหร๊อก ก็ยัยเจ๊หญิงพี่สาวจอมบงการของฉันน่ะซี บังคับให้ตาไตรพาผู้หญิงไปขอขมาพ่อแม่ฝ่ายโน้น ไม่รู้ไปหลงใหลได้ปลื้มอะไรเด็กคนนั้นนักหนา”
“ยังไงคะ อาอี๊? ขอขมา”
“ก็แฟนเก่าเธอไปชิงสุกก่อนห่าม แล้วผู้หญิงเค้าไม่ยอม มาเอาเรื่องถึงที่ตลาด อู๊ย...เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เจ๊กับเสี่ยเลยต้องรับผิดชอบ เห็นว่ากำลังรีบหาฤกษ์หายามให้แต่งงานกันเร็วๆ นี้แหละ”
“คนอย่างไธรซเสียท่าผู้หญิงได้ไง คงถูกจับชัวร์...หึ..ผู้หญิงคนนั้นชื่อะไรคะอาอี๊?”
“ชื่อยัยรส...สุคนธรสน่ะ”
“สวยไหม๊คะ เคธี่ชักอยากจะเห็นหน้าซะแล้ว”
เคธี่ยิ้ม มั่นใจว่าตัวเองเหนือกว่าและตั้งตัวเป็นศัตรูกับสุคนธรสตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า
วันต่อมากรรัมภามาหาหมรุทธ์เพื่อเช็คสภาพผิว หมอรุทธ์มองหน้ากรรัมภาแล้วถูกใจมาก
“สวยมากกก”
“หื๊อ? สวยเหรอคะหมอ ผิวแพ้ง่ายแบบนี้”
“ผมหมายถึงโครงหน้าของคุณแก้มน่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก จมูก ปากหรือรูปหน้าสมบูรณ์แบบมากครับ นี่แหละครับโครงหน้าของผู้หญิงที่ผมชื่นชอบ”
ลาภที่กำลังจัดอุปกรณ์เครื่องมืออยู่ในห้องชะงักฟัง ขณะที่กรรัมภาหัวเราะคิกชอบใจ
“หมอชมแบบนี้ แก้มก็เขินแย่สิคะ”
หมอรุทธ์ยิ้มดึงเครื่องตรวจสภาพผิวออก ถอดแว่นส่งให้ลาภเก็บ
“เรื่องผิวแพ้ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมจ่ายครีมบำรุงไปให้ใช้สักสองสามวันจะดีขึ้นแต่หมออยากให้คุณแก้มเลิกใช้เครื่องสำอางยี่ห้ออื่นไปเลย มาใช้ครีมของหมอคนเดียว ไม่อยากให้ผิวสวยของคุณต้องถูกสารเคมีทำลายน่ะครับ แต่ผมไม่บังคับนะครับ แล้วแต่ความสมัครใจ”
“อุ้ย ไม่ต้องบังคับหรอกค่ะ ถ้าหมอว่าดี แก้มก็ว่าดีซีคะ แก้มเชื่อหมอค่ะ”
ลาภฟังแล้วตกใจ กรรัมภาติดกับหมอรุทธ์เข้าแล้ว มือที่ถือเครื่องมือร่วงดัง กรรัมภาสะดุ้ง หมอรุทธ์หันขวับมามองตาเขียว
“มือไม่มีกระดูกหรือไง คนไข้ตกใจหมด”
“เอ่อ...ขอโทษครับ”
หมอรุทธ์หันมายิ้มพูดดีกับกรรัมภาต่อ
“คุณแก้มแค่แก้ไขรูปตาจมูกเลือกกรรัมภาเป็นลูกค้ารายต่อไปที่จะทำศัลยกรรมให้หน้าเหมือนสาวคนรักที่ตายไปต่อจากใบหม่อน
“ดีใจจังเลยที่ได้ยินอย่างนี้ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก แต่แก้มต้องขอไปคิดดูก่อนนะคะ”
มือลาภจับเครื่องมือลั่นเทา ความกลัวจับขั้วหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง
แล้วก็คางนิดหน่อยก็จะสวยเพอร์เฟ็คเลยล่ะครับ หมอรับปากว่าจะดูแลหน้าคุณแก้มอย่างดีที่สุด”
หมอรุทธ์พูดพลางแววตามีความคิดที่จะเลือกกรรัมภาเป็นลูกค้ารายต่อไปที่จะทำศัลยกรรมให้หน้าเหมือนสาวคนรักที่ตายไปต่อจากใบหม่อน
“ดีใจจังเลยที่ได้ยินอย่างนี้ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก แต่แก้มต้องขอไปคิดดูก่อนนะคะ”
มือลาภจับเครื่องมือลั่นเทา ความกลัวจับขั้วหัวใจขึ้นมาอีกครั้ง
อ่านต่อหน้า 3 .
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ส่วนที่บริษัทซิกส์เซ้นส์ขณะนั้นเนตรศิตางศุ์กำลังเล่าเรื่องหมอรุทธ์ให้กรรณากับก๊องฟัง หลวงพิชัยภักดี กุมาริกา ท่านเจ้าที่พลอยนั่งฟังไปด้วย
“หมอรุทธ์ๆ...ชื่อเหมือนหมอที่ยัยแก้มกำลังเป็นปลื้มอยู่เลย นี่ไอ้ก๊อง แกว่าใช่หมอรุทธ์คนเดียวกันรึปล่าววะ?”
“ถามอากู๋ดีกว่านะ”
“กู๋ไหน”
“กู๋เกิ้ลลลลล” ก๊องพิมพ์ชื่อหมอรุทธ์ลงในอินเตอร์เน็ต “หมอรุทร์ เจ้าของคลีนิคเสริม ความงาม Enter”
ก๊องกดเสริซ์หาในกูเกิ้ล ครู่เดียวข้อมูลทั้งหมดก็ปรากฏที่หน้าจอ
“มาแล้วคลีนิคหมอรุทธ์...มีรูปหมอด้วย...คนนี้ไง...ใช่คนเดียวกันรึปล่าว”
เนตรศิตางศุ์กับหมอวรวรรธก้มลงดูที่หน้าจอ ทั้งสองหันมามองหน้ากัน
“คนเดียวกัน” เนตรศิตางศุ์กับหมอวรวรรธบอกออกมาพร้อมกัน
จังหวะนั้นณัฐเดชเดินเข้ามาพอดี เห็นหมอวรวรรธยืนก้มมองจออยู่ชิดติดเนตรศิตางศุ์ก็ของขึ้นทันที คว้ากุญแจมือเดินปรี่เข้าไปหาหมอวรวรรธ
“ผมขอจับคุณข้อหาบุกรุก”
หมอวรวรรธรีบเอามือไขว้หลัง กลัวถูกใส่กุญแจมือ
“เย้ย!ผมป่าว”
“แล้วนายมาทำไมที่นี่” ณัฐเดชมองหน้าเนตรศิตางศุ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ “มาหาน้องสาวฉันเหรอ ห่ะ”
“จะเกิดการฆ่ากันตายขึ้นที่นี่หรือเปล่า” หลวงพิชัยภักดีถามขึ้นมา
“หนูว่าไม่” กุมาริกาบอก
“ข้าว่าไม่แน่” ท่านเจ้าที่แย้ง
กรรณากับเนตรศิตางศุ์ตกใจหน้าซีด แก้ตัวไม่ออก แต่หมอวรวรรธรีบแก้ตัว
“เอ่อ...ผม...ผมก็มาหาพี่ณัฐนั่นแหละ”
“โฮ่วง่ายเนอะ...เล่นมุขกล้วยๆ นึกว่าฉันจะเชื่อนายเหรอห่ะ”
ณัฐเดชปรี่เข้ามาหา หมอวรวรรธรีบยื่นมือถือใส่หน้าณัฐเดชให้ดูรูปทันที
“นี่รูปใบหม่อนตอนเรียนมัธยมของใบหม่อน ผมไปค้นเจอมา เลยเอามาให้พี่ดู”
ณัฐเดชหยุด มองจับพิรุธหน้าหมอวรวรรธ หมอวรวรรธยิ้มพยักหน้าให้รับรูปไปดู ณัฐเดชกระชาก
มือถือไปดู มองรูปใบหม่อนแล้วตกใจ อาการเปลี่ยนเป็นมองรูปตาโตหน้าเหว๋อ
“หา...ใช่ใบหม่อนเหรอ หน้าไม่เหมือน”
หมอวรวรรธตบมือป๊าบ รีบพูดเสริมทันที
“เพราะอย่างงี้ไงผมถึงต้องรีบเอามาให้พี่ดู คือ...หมอรุทธ์ทำหน้าให้ใบหม่อนหลายครั้ง แถมยังทำตัวให้ทั้งตัวพี่ญัฐว่าเค้าน่าจะสนิทกันเป็นพิเศษกว่าใครๆ ไหมล่ะครับผม”
“เออ..จริง น่าคิดว่ะ น่าคิด”
หมอวรวรรธเหล่มองสบตากับเนตรศิตางศุ์ เนตรศิตางศุ์แอบเป่าปากโล่งอกที่รอด
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่กาญจนบุรีเสี่ยปิยะพันธ์กับเพ็ญนภากำลังโวยกำนันพงษ์อยู่ที่บ้าน
“นี่มันถิ่นของกำนันแท้ๆ กลับปล่อยให้แม่นั่นลอยหน้าลอยตาพาคนงานมาสร้างรีสอร์ท ให้นายติณห์ได้หน้าตาเฉย” เสี่ยปิยะพันธ์ใช้นิ้วจิ้มๆ หน้าผากตัวเอง “คิดซีคิดกำนัน...ว่าจะหยุดแม่นั่นได้ยังไง ถ้าไม่รีบลงมือซะแต่ตอนนี้ เสร็จ! มันต้องเสร็จแน่ๆ”
กำนันพงษ์ได้แต่อดทนฟังโวย เถียงไม่ออก
“ใช่ ติณห์ต้องเสร็จนังแม่มดญาณินแน่ๆ เลยเตี่ย นังนั่นมันจับจุดอ่อนติณห์ได้ว่าอยากจะสร้างรีสอร์ทให้เสร็จเร็วๆ มันก็เลยเสนอหน้าทำแทนเขาทุกอย่าง ทำแม้กระทั่งขุดคุ้ยอดีตของคุณหลวง”
กำนันพงษ์หน้าเครียด
“เรื่องนี้แหละอุปสรรคใหญ่ของเราในตอนนี้! ก็เพราะคุณติณห์กำลังข้องใจเรื่องการตายของคุณหลวงว่าไม่ได้ฆ่าตัวตายหนีความผิดที่โกงชาติโกงแผ่นดิน โอกาสที่จะล้มเลิกความคิดสร้างรีสอร์ทแล้วขายที่ดินทิ้งในหัวเขาถึงไม่มีเลย”
“ก็เพราะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่นังญาณินตัวดีที่ไปยุแหย่ติณห์ให้สืบเรื่องนี้”
กำนันพงษ์เลยเสี้ยม
“ก็เห็นไหม๊ล่ะเสี่ย ต่อให้ที่นี่เป็นถิ่นผม ผมก็คงช่วยอะไรไม่ได้หรอกคร๊าบคุณเพนนีเป็นแฟนคุณติณห์แท้ๆ ยังคุมแฟนตัวเองไว้ไม่อยู่เลย”
เสี่ยปิยะพันธ์สะอึก เพ็ญนภาจึงโวยวายขึ้นมา
“เอ๊ะกำนัน อยู่ดีๆ หันมาแว้งกัดกันเองทำไมเนี่ยะ”
“การอาละวาดหึงหวงแม่ญาณินต่อหน้าต่อตาคุณติณห์ มันไม่ได้ทำให้คุณชนะแม่นั้นหรอกครับตรงกันข้าม จะยิ่งทำให้คุณแพ้เร็วขึ้น สักวันคุณติณห์อาจจะเบื่อ ไม่อยากเจอหน้าคุณไปเลย” กำนันพงษ์บอก
“ไม่มีทาง...ฉันไม่มีวันยอม...ฉันต้องชนะนังแม่มดนั่นให้ได้คอยดู”
“ถ้าอย่างงั้น คุณต้องใช้วิธีแทงข้างหลัง ถึงจะชนะ”
“แทงข้างหลังเหรอ?”
“เตี่ยเห็นด้วยกับกำนัน ผู้ชายน่ะร้อยทั้งร้อยก็แพ้มารยาผู้หญิงทั้งนั้น จำเอาไว้”
สนเดินหน้าตื่นเข้ามา
“กำนันครับกำนัน คุณติณห์พาแม่ญาณินมาหากำนันครับ”
“ห่ะ”
สนส่ายหน้าไม่รู้ ทำเอากำนันพงษ์กับเสี่ยปิยะพันธ์ตกใจ แต่เพ็ญนภาหึงลุกพรวดพราดจะออกไป แต่เสี่ยปิยะพันธ์คว้าทัน
“เดี๋ยว! จะไปไหนเพนนี?”
“เพนนีก็จะไปตบล้างน้ำนังนั่นน่ะสิ มันกล้าดียังไงควงติณห์มาที่นี่”
กำนันพงษ์ทำหน้าเซ็ง
“ขืนออกไปนายติณห์จะได้สงสัยเอาซี๊ว่าเรากับกำนันวางแผนทำอะไรกันอยู่สงบสติอารมณ์หน่อยได้ไหม๊ลูก เพิ่งคุยกันหยกๆ ว่าลูกต้องแทงมันข้างหลังไม่ใช่ต่อหน้า ไม่ทันไร นี่จะเอาอีกแระ”
“อี่ย์”
เพ็ญนภาจำต้องหยุดอย่างขัดใจ
ญาณินกับติณห์รออยู่ที่ริมสวนหน้าบ้านกำนันพงษ์
“มีปัญหาอะไรที่รีสอร์ทจะให้ผมช่วยเหรอครับมาหาผมถึงบ้าน”
ทั้งสองสะดุ้ง หันมา
“Good morning”
“สวัสดีค่ะ ฉันจะมาถามกำนันเรื่องนายเกิดน่ะค่ะ” กำนันพงษ์อึ้งไปเลย “นายเกิดเป็นปู่แท้ๆ ของกำนัน จริงรึปล่าวคะ?”
กำนันพงษ์แอบช็อคๆ ที่ญาณินมาถามเรื่องนี้
เสี่ยปิยะพันธ์กับเพ็ญนภาแอบเดินย่องมาตามพุ่มไม้ แล้วหยุดแอบฟังอยู่ใกล้ๆ ขณะที่กำนันพงษ์ปรับสีหน้าเพื่อไม่ให้ญาณินสงสัยเพ่งเล็งเลยตีหน้าชื่นหัวเราะ
“ฮ่ะๆๆ นึกว่าเรื่องอะไร ใช่ครับ...นายเกิดเป็นปู่ของผม แล้วก็เป็นคนสนิทของคุณหลวงท่านด้วย”
“โคนนนสนิท?”
“ครับ ปู่ผมทำงานให้คุณหลวงจนเป็นที่ไว้วางใจ ที่ดินที่บ้านหลังนี้ก็เป็นที่ดินที่คุณหลวงยกให้ปู่ผม แล้วผมก็ได้รับมรดกตกทอดมาอีกทีนึง ปัดโธ่! ผมก็นึกว่าคุณติณห์รู้แล้วซะอีก”
“I don’t know…อืม คงเป็นเพราะผมไม่เคยสนใจเรื่องแกรนปา ผมก็เลยไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน”
“เหรอครับ งั้น...คุณติณห์ไม่สงสัยผมบ้างเหรอครับ”
“What? สงสัย...สงสัยเรื่องอะไรครับ?”
ญาณินจับจ้องไปที่กำนันพงษ์ว่าจะพูดอะไร
“ก็สงสัยว่าทำไมผมถึงคอยดูแลคุณติณห์เหมือนเป็นลูกหลานไงล่ะครับ นั่นก็เพราะว่าผมสำนึกในบุญคุณของคุณหลวงที่มีต่อปู่ของผมผมถึงต้องดูแลคุณติณห์เป็นการตอบแทนไงล่ะครับ ฮ่ะๆๆ”
ญาณินมองนิ่ง จับอารมณ์แสนดีเว่อร์ๆ ของกำนันพงษ์ได้ ขณะที่ติณห์รู้สึกขอบคุณกำนันพงษ์อย่างจริงใจ
“นั่นน่ะสิครับ ตั้งแต่ผมกลับจากเมืองนอกมาอยู่ที่นี่ กำนันช่วยเหลือผมมากมายหลายเรื่อง ผมต้องขอบคุณกำนันมากๆ Thank you so much for your kindness…you are very helpful …I know I can rely on you…”
ติณห์ร่ายเป็นภาษาอังกฤษยาว กำนันพงษ์ยิ้มค้างเพราะยิ่งยาวก็ยิ่งแปลไม่ออก เพ็ญนภาที่แอบฟังอยู่กับเสี่ยปิยะพันธ์ เบ้ปาก
“ชิ กำนันพงษ์นี่มันดูแถๆ หน้าด้านๆ เหมือนกันนะเตี่ย”
“ไอ้ติณห์แฟนแก มันก็ดูโง่ๆ นะ ทำไมแกเอามันไม่อยู่ล่ะ ปล่อยไว้แบบนี้มันเสร็จยัยฮิปปี้แน่ๆ”
เปรมเดินนำสมุนราว10 คนเดินกร่างเข้ามาที่ไซด์ก่อสร้างรีสอร์ทของติณห์ ขณะนั้นพวกคนงานกำลังทำงานกันอยู่ เปรมหยุดยืนมองเอาเรื่อง หันไปเห็นไม้หน้าโครงท่อนหนึ่งตกอยู่ใกล้ๆ ขา เปรมใช้เท้าเตะตวัดไม้กระเด้งขึ้นมาเข้ามือ เดาะๆ ไม้ในมือ เล็งแล้วเขวี้ยงไปยังคนงานที่กำลังตอกตะปูอยู่บนนั่งร้านชั้น 2 โป๊ก! ไม้กระแทกเข้าที่หัวข้างบ้องหูคนงาน
“โอ๊ย”
คนงานร่วงตกลงจากนั่งร้านลงมา โชคดีที่มีกองทรายสำหรับผสมปูนอยู่ข้างล่าง คนงานลงมานอนจับหัวที่แตกมีเลือดไหลอาบ ขณะที่เพื่อนคนงานคนอื่นเห็นเหตุการณ์ก็รีบกรูมาพยุงเพื่อนขึ้น หัวหน้าคนงานชี้หน้าโวยแทนลูกน้อง
“เฮ้ย...พวกแกเป็นใครเนี่ย อยู่ๆ มาเขวี้ยงหัวลูกน้องฉันเนี่ยะ”
“กูมันไอ้เปรม...ลูกเสี่ยปิง กูรักธรรมชาติ สายลมและความสงบ พวกแกมาทำอะไรรบกวนธรรมชาติแบบนี้ มันหนวกหูเว้ย”
“เปรมเหรอ..แบบนี้มันบุกรุกชัดๆ เฮ้ย พวกเราโทรแจ้งตำรวจเลย”
“ตำรวจ... โอ๊ย...กัวๆๆๆ กลัวจนจะทนไม่ไหวแล้ว...เฮ้ย...ลุย”
เปรมยกสองมือกวัก ลูกน้องทุกคนเอื้อมมือไปข้างหลังดึงไม้หน้าสามที่เหน็บหลังออกมาพร้อมเพรียง แล้วก็วิ่งเข้าใส่พวกคนงานราวช่างกลเข้าตีคู่อริ
“อ๊ากกก”
พวกคนงานพากันตกใจอ้าปากค้าง ใครที่มีเครื่องไม้เครื่องมือติดตัวก็พยายามสู้ ใครที่มือเปล่าก็พยามหนี แต่ก็ถูกตี ป้าอรวรรณกับทนายสมชาติได้ยินเสียงรีบเดินออกมาดู
“ว้ายๆๆ ตายแล้ว! อะไรกันนะ”
“คนตีกันไงล่ะครับ”
“รู้แล้ว ตาไม่ได้บอด แล้วมันเรื่องอะไรกันเนี่ยะ”
ทนายสมชาติมองไปเห็นเปรมสู้อยู่กับหัวหน้าคนงาน
“ห่ะ คุณเปรม ลูกเสี่ยปิง”
“เร็วซีคุณทนาย รีบเข้าไปห้ามซี หยุดๆ อย่าตีกัน”
“อย่าคุณออ...อย่าเข้าไป โธ่...”
ทนายสมชาติร้องห้ามแต่ไม่ทันแล้วเพราะป้าอรวรรณวิ่งเข้ากลางวงวิวาท
“ทะเลาะกันทำไม เจ็บตัวกันเปล่าๆ คุยกันดีๆซี หยุด...บอกว่าอย่าตีกัน” แต่ไม่มีใครหยุดใครฟัง จนตัวเองต้องคอยหลบลูกหลง ทั้งมือไม้ที่ปลิวว่อน “อ๊าย...อี่ย์ไอ้บ้า”
ป้าอรวรรณตบลูกน้องคนหนึ่งของเปรมเต็มเหนี่ยวเพราะดันเซมาโดนหน้าอก ลูกน้องเปรมหน้าหัน...ก่อนจะเจ็บแก้มที่โดนตบหันมาเอาเรื่อง
“อีเพิ้ง...มึงตบกูทำไมวะ”
ลูกน้องผลักป้าอรวรรณเต็มแรง
“ว้าย!”
ป้าอรวรรณกระเด็นถลาจะล้มหน้าคว่ำ แต่ทนายสมชาติเข้ามาโอบกอดไว้ทัน
“จุกตรงไหนรึปล่าวครับ”
ป้าอรวรรณเงยหน้าขึ้นมา อึ้งมองหน้าทนายสมชาติ ใจเต้นระส่ำ
“จุกค่ะ...จุกที่หัวใจ”
“ห่ะ!”
ป้าอรวรรณตั้งสติเรียกตัวเองกลับมา
“เอ่อ...ฉันไม่เป็นอะไรหรอก รีบโทรบอกคุณติณห์แล้วแจ้งตำรวจเร็วๆ เข้าซี”
“เออใช่”
ทนายสมชาติรีบตะปบตัวหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองแต่ไม่พบ นึกได้ว่าวางไว้ที่บ้านพัก ทนายสมชาติรีบวิ่งไป
ขณะเดียวกันญาณินกำลังรุกกำนันพงษ์หนัก
“ปู่ของกำนันเคยเล่าเรื่องอะไรเกี่ยวกับคุณหลวงให้พ่อกำนันฟังบ้างไหม๊คะ”
กำนันพงษ์กำลังยกแก้วจิบกาแฟแอบชะงัก แววตาไม่พอใจ ก่อนวางแก้วปั้นหน้ายิ้มๆ เหลือบมองติณห์ที่นั่งข้างญาณินจับจ้องอย่างสนใจอยากรู้เหมือนกัน
“หึๆ เช่นเรื่องอะไรล่ะคุณ...มันเยอะ”
“ก็อย่างเช่น...เรื่องการตายของคุณหลวง...เรื่องเงินทองสมบัติมากมายที่คุณหลวงเคยถูกกล่าวหาว่าขายชาติมา”
แววตาติณห์เครียดขึ้นทันที เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เลยเบรกญาณิน
“เฮ้ๆ ญาณิน ผมว่าเรื่องนี้...เอ่อ”
“คุณไม่แปลกใจเหรอคะติณห์ ถ้าคุณตาของคุณขายชาติจริงๆ ก็น่าจะมีสมบัติมากมายมหาศาล ยิ่งเซ็งลี้กับพวกญี่ปุ่นด้วยแล้ว ฉันมั่นใจค่ะว่าท่านต้องได้รับทองคำจากญี่ปุ่นเป็นการแลกเปลี่ยน”
กำนันพงษ์ลืมตัวหลุดปากออกไป
“ใช่ๆ คุณหลวงมีทองเยอะมาก”
ญาณินกับติณห์หันมามองกำนันพงษ์ทันที แววตาญาณินดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น ส่วนเสี่ยปิยะพันธ์กับเพ็ญนภาที่แอบฟังอยู่หูผึ่งเมื่อได้ยินเรื่องทอง หันมามองหน้ากัน
“ทอง”
“Gold? แฟมมิลี่ผมไม่เคยรู้เรื่องทองเลย...ไม่เคยมีใครพูดถึง”
ติณห์บอก กำนันพงษ์แอบช็อคที่ดันหลุดปาก
“ถ้าอย่างงั้น ทองพวกนั้นมันหายไปไหนหมดคะกำนัน” ญาณินถามต่อ
“อ้าว ปัดโธ่ผมก็ได้แต่ฟังคนแก่ๆ เค้าเล่าลื่อมาเท่านั้นเองครับ”
ญาณินทำท่าจะถามต่อ แต่เสียงมือถือของติณห์ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
“Sorryครับ” ติณห์กดรับสาย “ฮัลโหล...มีอะไรคุณสมชาติ...ห่ะ! นายเปรมเหรอ”
เพ็ญนภากับเสี่ยปิยะพันธ์ได้ยินก็ตกใจ
“เปรม”
ที่รีสอร์ทติณห์ ขณะนั้นหัวหน้าคนงานถูกลูกน้องเปรมรุมทำร้าย เปรมหันไปเห็นรถตักดินวิ่งไปกระโดดขึ้น ถีบคนงานที่นั่งหลบอยู่ที่พวงมาลัยร่วง
“เอามา ขอไอ้เปรมมันขับหน่อยเว้ย”
“อ๊ากกก”
คนงานร่วงลงมา เปรมสตาร์ทเครื่องรถขุดดินติด หัวเราะชอบใจ
“ฮ่ะๆๆ สนุกจริงๆเว้ย ไอ้เปรมคนนี้มันจะช่วยรื้อรีสอร์ทให้ไอ้ติณห์เอง...ยิปปี้”
เปรมบังคับรถขยับถอยหน้าถอยหลัง เบิ้นเครื่องขู่หัวเราะราวกับคนบ้าเตรียมขับถล่ม พวกคนงานพากันยืนตกใจไม่กล้าเข้าไป ป้าอรวรรณกับทนายสมชาติวิ่งกลับมา
“คุณพระช่วย! นายเปรมจะพังรีสอร์ทแล้ว ทำไงดีล่ะคุณสมชาติ” ทนายสมชาติทำฮึดถลกแขนเสื้อ “คุณจะเข้าไปขวางเค้าใช่ไหม๊คะ?”
“มันจะเป็นการเสี่ยงเกินไปใช่ไหม๊ครับ งั้นไม่ดีกว่า”
“อ้าว”
ติณห์ขับรถเอี๊ยดเข้ามา โดยมีรถกำนันพงษ์ขับตามมาติดๆ ญาณินเร็วกว่าใครเปิดประตูรถลงจากรถทั้งที่ติณห์ยังไม่ทันจอดีจนติณห์นึกห่วง
“Wait ญาณิน!”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไอ้โรคจิต”
“โอ๊ว...อ๊าว...คนสวย ทำไมว่าพี่ด้วยคำรุนแรงแบบนั้นล่ะ แบบนี้แสดงว่าชอบเล่นอะไรแรงๆ ได้เลย ไอ้เปรมมันจัดหนัก...ณ.บัดนี้”
เปรมบังคับที่ตักดินกระแทกลงที่พื้น ทำให้เศษหินกระเด็นมาที่ญาณิน
“ว้าย”
ติณห์ที่รีบเดินตามเข้ามากับกำนัน พงษ์เข้ามาคว้าแขนญาณินดึงหลบโดยเอาหลังตัวเองบังให้
“ระวัง”
หินก้อนนึงปลิวมาเข้ากลางติณห์ตุ้บ ติณห์สะท้าน
“โอ๊ย”
“หยุดเถอะคร้าบ...คุณเปรม มีอะไรไม่พอใจ ลงมาคุยกันดีๆ อย่าทำอย่างงี้”
“กำนันไม่เกี่ยว...ถอยไป”
“แล้วคุณทำอย่างงี้ต้องการอะไร”
“ถามได้ต้องการอะไร ก็แกอยากลองดีกับฉัน ไม่ยอมรับผิดชอบแต่งงานกับน้องสาวฉัน”
“ผมไม่เคยทำอะไรให้เพนนีเสียหาย”
“อ๋อ งั้นเหรอ งั้นรีสอร์ทนี่ก็อย่าอยู่เลย”
เปรมบังคับรถตักดินขับไปจะชนตัวเรือนพักที่กำลังสร้าง
“นั่นคุณจะทำอะไร อย่านะ”
ญาณินสะบัดมือหลุดจากมือติณห์วิ่งไปยืนดักหน้ารถขุดดินอย่างไม่กลัว ท่ามกลางความตกใจของทุกคนที่เห็นรถขุดดินกำลังพุ่งเข้าใส่
“ว้ายคุณหนู!”
“ญาณิน”
เปรมเองก็ตกใจที่อยู่ๆ ญาณินก็วิ่งมาขวางกระทันหันเบรกรถเอี๊ยดจนหน้าคะมำ
“โธ่เว้ย...อยากตายหรือไงห่ะ”
“ถ้าคุณจะทำลายข้าวของทำมาหากินของฉันล่ะก็ ข้ามศพฉันไปก่อนสิ”
ญาณินถลกแขนเสื้อ ทำเอาเปรมยิ้มทึ่งในตัวญาณิน กระโดดลงจากรถมายืนเผชิญหน้า มองญาณินอย่างพินิจ
“เวลาโกรธนี่...แม่สาวคนนี้มันช่างเร้าใจนัก ไอ้เปรมมันชักนึกชอบเธอแล้ว กล้าได้กล้าเสียแบบนี้ คงร้อนแรงดี”
ติณห์ไม่ชอบใจที่ได้ยินเปรมพูดกับญาณินแบบนั้น
“อยากลองก็เข้ามาสิ แล้วอย่าร้องไห้ไปฟ้องพ่อก็แล้วกัน”
“บ๊ะๆๆ แซ่บจริงจริ๊ง ก๋ากั่นแบบนี้ ไอ้เปรมมันชอบนัก จะจับจูบซะให้เข็ด”
เปรมจับคางญาณินทำท่าจะจูบ ญาณินพยายามสะบัดหน้าให้หลุดจากมือ แต่มือของติณห์เข้ามาจับหมับที่มือเปรม
“ปล่อย”
“กูไม่ปล่อย มึงเดือดร้อนอะไรวะไอ้ฝรั่ง”
“คุณล่วงเกินสุภาพสตรี ผมก็ต้องปกป้องเธอ”
ญาณินอึ้งมองติณห์ จากสายตาของญาณินติณห์ดูหล่อสุดๆ มีประกายออร่าของพระเอก
“ว้าว...แมนมั่กๆ”
ป้าอรวรรณอุทานมือตะปบไปที่อกของทนายสมชาติ ทนายสมชาติอายหน้าแดง ทำหน้าไม่ถูก
“ถุย! ปกป้อง มึงจะนอกใจเพนนีมาฟันยัยแซบนี่เหรอวะ”
ติณห์สุดจะทนเงื้อหมัดต่อยหน้าเปรมคว่ำทันที ญาณินยืนปิดปากตกใจ
“มึงกล้าต่อยไอ้เปรมมันเหรอ มึงตาย”
เปรมหันไปจะปรี่เข้าไปต่อยติณห์ แต่เสี่ยปิยะพันธ์กับเพ็ญนภาตามมาทันพอดี เพ็ญนภาส่งเสียงแหลมห้ามลั่นรีสอร์ท
“หยุดนะพี่เปรม อย่าทำอะไรติณห์ของเพนนีนะ...หยุดๆๆๆ”
“ยัยเพนนี แกมาห้ามพี่ทำไม” เปรมชี้เลือดที่มุมปาก “นี่เห็นไหม๊ มันต่อยไอ้เปรมเลือดออก ฉันเอาคืนเป็นสองเท่า”
เสี่ยปิยะพันธ์เข้ามาดึงแขนลูกชายไว้
“นี่แกหยุดบ้าซะทีได้ไหม๊เปรม กลับบ้านกับฉัน เพนนีอยู่เคลียร์กับติณห์นะ ค่าเสียหายทั้งหมดเท่าไหร่ เตี่ยยินดีชดใช้ทั้งหมด”
“เตี่ย”
“หุบปาก! กลับบ้าน” เสี่ยปิยะพันธ์หันไปว่าพวกลูกน้องเปรม “พวกแกก็ด้วย กลับซีวะยังจะยืนอยู่อีก ไป๊”
เสี่ยปิงฃยะพันธ์กระชากเปรมไป พวกลูกน้องตาม เปรมไม่วายหันมาชี้หน้าติณห์อาฆาตไว้ กำนันพงษ์กับสนหันเดินตามเสี่ยปิยะพันธ์ไป พ็ญนภารีบเข้าอ้อนติณห์
“เป็นยังไงบ้างคะติณห์ เจ็บตรงไหนบ้างรึปล่าว”
“ผมไม่เป็นอะไร คุณล่ะครับ เจ็บตรงไหนบ้างรึปล่าว”
ติณห์หันถามญาณิน เพ็ญนภาได้แต่ยืนเหว๋อมองติณห์กับญาณิน
เปรมเดินตามเสี่ยปิยะพันธ์เข้ามาด้วยสีหน้าเซ็งคิดว่าต้องโดนด่าเละแน่ โดยมีกำนันพงษ์กับสนเดินตามเข้ามาด้วย เปรมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา
“เอาเลยเตี่ย จะลงโทษอะไร ก็รีบจัดมา ไอ้เปรมมันจะได้รีบไปหาเหล้าใส่แผลแตกที่ปาก”
แทนที่เสี่ยปิยะพันธ์จะโกรธเปรม กลับหันมาด้วยสีหน้าพอใจ
“แกทำดีมากเปรม” เปรมทำหน้างงๆ “งงอะไรวะ แกปรามๆ มันไว้อย่างงี้แหละดีแล้ว อย่าให้มันทำอะไรได้ตามสบาย ให้มันสังวรณ์เอาไว้ว่า ถ้าจะอยู่ที่นี่ ยังไงๆ ซะก็ต้องพึ่งบารมีเสี่ยปิงคุ้มกะลาหัวมัน ฮ่ะๆ”
“แต่ถ้าพลั้งมือทำอะไรรุนแรงไป มันจะได้ไม่คุ้มเสียนะเสี่ย เกิดคุณติณห์เลิกกับคุณเพนนีขึ้นมา” กำนันพงษ์บอก
“รีสอร์ทมันเหลือแต่ขี้เถ้าแน่” เปรมบอก
“นี่ก็ไม่รู้ว่านายติณห์จะแจ้งความเอาเรื่องรึปล่าว คนงานหัวร้างข้างแตกขนาดนั้น”
“เพนนีคงจะจัดการเคลียร์ได้น่า แต่กำนันชั้นมีเรื่องข้องใจ เรื่องทองของคุณหลวง...มันมีจริงรึปล่าว?”
กำนันพงษ์กับสนชะงักมองหน้ากัน กำนันพงษ์ชักสีหน้าไม่ดี มองไปที่เปรมที่หันมามองอย่างสนใจ
“เอ่อ...ผมไม่รู้ ไปเอามาจากไหนกัน ก็ได้ยินลือกันไปผิดๆ ถูกๆ มานานแล้ว แต่ถ้ามีจริงๆ นายติณห์เป็นหลานแท้ๆ ทำไมไม่รู้ล่ะ คนมันก็คงร่ำลือกันไปเหมือนทองโกโบริที่ถ้ำลิเจียนั่นแหละเสี่ย”
“หรือว่า...สาเหตุที่นายติณห์ไม่ยอมขายที่ดินซะที เพราะมันอาจจะรู้ว่าปู่มันฝังทองไว้ที่ไหนสักแห่งก็ได้”
กำนันพงษ์กับสนตกใจมองหน้ากัน...ยุ่งแล้ว
กำนันพงษ์เดินหัวเสียออกจากบ้านเสี่ยปิยะพันธ์มาขึ้นรถ สนขึ้นมานั่งทำหน้าที่คนขับ
“ถ้าไม่เพราะแม่ญาณินไม่พูดขึ้นมา คงไม่มีใครสงสัยเรื่องทองหรอก”
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะกำนัน”
“หุบปากให้สนิท ไม่ว่าใครมาถามเรื่องทองแกต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม๊?”
สนพยักหน้า
“ผมจะไม่พูด ผมจะบอกว่าไม่รู้อย่างเดียวครับกำนันแต่ทองของคุณหลวงมีจริงๆ เหรอครับ? แล้วกำนันแน่ใจเหรอครับว่าทองมันถูกฝังอยู่ในรีสอร์ทคุณติณห์แน่ๆ”
“แน่ใจซีวะ แล้วไม่ใช่มีแค่น้อยๆ ปู่เคยบอกพ่อฉันว่าคุณหลวงมีทองเป็นโกดังเลย”
กำนันพงษ์ยิ้มร้าย
ส่วนที่รีสอร์ทติณห์เพ็ญนภานั่งบีบน้ำตาเสียใจกับติณห์
“เพนนีต้องขอบคุณญาณินมากนะคะที่ช่วยหยุดพี่เปรมไว้ ไม่อย่างงั้นอาจจะเกิดความสูญเสียมากไปกว่านี้ ฮือๆๆ ติณห์ขา..คุณคงไม่แจ้งตำรวจมาจับมายบราเธ่อนะคะ”
“ผมไม่เอาเรื่องพี่คุณหรอก”
ติณห์นั่งลงปลอบดึงทิชชู่ส่งให้เช็ดน้ำตา
“I’m so…so…so…sorry อะฮือๆ”
เพ็ญนภายิ่งสะอื้นกอดติณห์ ญาณินงงไปเลย หันไปมองหน้ากับป้าอรวรรณ ป้าอรวรรณแอบกระซิบพูดกับญาณิน
“อุ๊ยตาย วันนี้มาแปลก ต่อมน้ำตาแตรกกก” เพ็ญนภาหันมา ป้าอรวรรณรีบปั้นหน้าทำสงสารตาตกจะร้องไห้
“ประทานโทษนะคะ ฟังแล้วน้ำตาพาลจะไหลตาม”
ป้าอรวรรณเอียงหัวซบไหล่ญาณิน ญาณินกลั้นขำดึงทิชชู่ขึ้นมาซับ
“เพิ่งมีผู้หญิงอย่างคุณญาณินเป็นคนแรกนี่แหละค่ะฮือๆๆ ที่ห้ามพี่เปรมอยู่ คุณนี่ช่างมีเสน่ห์กับผู้ชายเสียจริง ท่าทางคุณจะโดนใจพี่เปรมเข้าแล้วล่ะค่ะ”
ติณห์เหลือบตาไปมองญาณิน...สบตากัน...ติณห์รู้สึกห่วงญาณิน
“แหม...อย่างงี้คุณหนูญาณินควรจะดีใจหรือเสียใจดีล่ะค่ะเนี่ยะ อะฮือ”
แป่ว!เพ็ญนภาเม้มปาก เกือบจะหลุดบทโศกเฉ่งป้าอรวรรณออกไป ทนายสมชาติเดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ผมส่งคนงานที่บาดเจ็บไปหาหมอแล้วครับ โทรกำชับทางโรงพยาบาลด้วยว่าให้ตรวจเช็คร่างกายทุกคนให้ละเอียด ค่าใช้จ่ายและค่าทำขวัญทั้งหมด รวมทั้งค่าเสียหายที่รีสอร์ท ผมจะส่งบิลล์ไปเก็บกับเสี่ยปิงนะครับคุณเพนนี”
“อ๋อ แน่นอนค่ะ เตี่ยก็บอกแล้วว่าจะรับผิดชอบทั้งหมด แต่ถ้ายังขาดเหลืออะไรไม่ต้องเกรงใจนะคะ ติณห์บอกเพนนี เพนนียินดีชดใช้ให้คุณทั้งตัวและหัวใจ”
ป้าอรวรรณไอออกมา
“โอ๊ย...คันคอ”
เพ็ญนภาแอบเหล่ป้าอรวรรณ
“งั้น...เพนนีกลับก่อนนะคะติณห์ โอ๊ะ”
เพ็ญนภาทำเป็นสำออยลุกขึ้นแล้วหน้ามืด เซ ติณห์รีบประคองไว้
“เป็นอะไรรึปล่าวเพนนี”
“อยู่ๆ ก็หน้ามืด คงเป็นเพราะเครียดน่ะค่ะ เพนนีเพิ่งไปหาหมอมา พักนี้เพนนีนอนไม่หลับ กินอะไรไม่ลง หน้ามืดบ่อยๆ หมอบอกว่า...บอกว่าเพนนีเป็นโรคเครียดลงกระเพาะรู้ไหมคะติณห์ หมอสั่งห้ามเพนนีคิดมาก เพราะถ้าเครียดเพนนีก็จะไม่สบายอย่างงี้แหละค่ะ”
“งั้นผมไปส่งคุณที่บ้านดีกว่า ไปครับ เดี๋ยวผมมานะครับ” ติณห์หันไปบอกญาณิน
“โอ๋ย...” เพ็ญนภาแกล้งทำหน้ามืด “มืดไปหมดเลยค่ะ ติณห์ขา...”
ติณห์ประคองพาเพ็ญนภาออกไป ญาณินกับป้าอรวรรณมองตามอย่างหมั่นไส้
“พี่ชายตัวเองยกพวกมาตีเค้า กลับทำตัวน่าสงสารซะงั้น เข้าใจพลิกวิกฤตเป็นโอกาสเนอะ”
ญาณินถอนใจ แอบรำพึงคนเดียว
“คุณหลวง...หายไปไหนคะ ทำไมเงียบจัง หลานคุณหลวงจะเสร็จยัยปากแดงแล้วนะคะ”
ทางด้านกรรัมภาหลังจากตรวจสภาพผิวเสร็จ หมอรุทธ์พาเธอมาทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง...หมอรุทธ์กำลังหั่นเสต๊กในจานด้วยท่าทางที่ดูดีมากๆ ฝั่งตรงข้ามกรรัมภาถือมีดหั่นเสต๊กในจานช้าๆ กัดปากมองหมอรุทธ์ค้าง
“ขนาดท่าหั่นยังเท่เลยอ่ะ”
กรรัมภาพึมพำเพ้อๆเบาๆ แล้วจิ้มเนื้อเข้าปากเคี้ยวอย่างเคลิ้มๆ ราวกับตกอยู่ในความรักอยู่คนเดียว
“รสชาติเป็นยังไงบ้างครับ?” หมอรุทธ์ถาม
“เท่ค่ะ”
“หา” หมอรุทธ์เงยหน้ามองอย่างงงๆ กรรัมภาได้สติถึงกับเผลอกลืนเนื้อลงคอสำลัก ไอโขก หมอรุทธ์ตกใจรีบลุกจากโต๊ะไปลูบหลังให้
“เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณแก้ม...ทานน้ำก่อนครับ”
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 8 (ต่อ)
หมอรุทธ์หยิบแก้วน้ำส่งให้กรรัมภาดื่ม….มือสัมผัสมือแต่กรรัมภาใส่ถุงมืออยู่...กรรัมภาทั้งไอทั้งอาย เสียงมือถือกรรัมภาดังขึ้นขัดจังหวะพอดี หน้าจอเป็นรูปเนตรศิตางศุ์ กรรัมภากดปิดเสียง กรรัมภากับหมอรุทธ์ยิ้มให้กัน
ด้านนอกร้านอาหารลาภกำลังใช้ผ้าเช็ดรถระหว่างที่รอหมอรุทธ์ สายตาลาภแอบมองผ่านกระจกร้านเข้าไป...เห็นหมอรุทธ์กำลังลูบหลังเทคแคร์กรรัมภาก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เดิม ลาภส่ายหน้าเครียด...อารมณ์เหมือนห่วงกรรัมภา แต่จริงๆ แล้วกำลังเครียดหมอที่กำลังหาเหยื่อมาศัลยกรรมหน้า สายตาลาภครุ่นคิด...เขาต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว เพื่อหยุดสัมพันธ์ระหว่างหมอกับกรรัมภาไม่ให้มาศัลยกรรมกับหมอรุทธ์
ภายในร้านพนักงานเก็บจานสเต๊กไปแล้ว เหลือแต่กาแฟกับเครื่องดื่มหลังอาหาร หมอรุทธ์ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ สายตามองจับจ้องไปที่กรรัมภาอย่างหวานๆ ราวกับตกหลุมรักกรรัมภา ทำเอากรรัมภาใช้หลอดคนแก้วน้ำส้มอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ผมกำลังรอคำตอบอยู่น่ะครับ ว่าคุณแก้มจะยินดีให้ผมเป็นที่ปรึกษาความงามส่วนตัวของคุณหรือเปล่า”
กรรัมภาหัวเราะคิกอย่างถูกใจ
“อุ้ย...แก้มจะมีเงินจ่ายค่าตัวหมอคนเก่งหรอกค่ะ”
“สำหรับคุณแก้ม ผมไม่คิดเรื่องเงินหรอกครับ ผมยินดีเทคแคร์คุณด้วยความเต็มใจ”
กรรัมภาดูดน้ำส้มค้าง...ฉันฝันไปหรือปล่าวเนี่ยะ
หมอรุทธ์ยิ้มๆ หยิบซองนามบัตรออกมาเซ็นอะไรบางอย่างลงไป กรรัมภามองอย่างแปลกใจ เซ็นเสร็จหมอรุทธ์ยื่นให้
“อะไรคะเนี่ย?”
“นอกจากคลีนิคความงามแล้ว ผมยังมีสปาบำรุงผิวพรรณและคลีนิครักษารูปร่างอีก 2 แห่ง คุณแก้มไปใช้บริการในฐานะแขกพิเศษของผมได้ฟรีนะครับแค่นำนามบัตรผมไป”
“ขอบคุณค่ะ หมอใจดีกับแก้มมากเลยค่ะ”
“อย่างงี้ถือว่าผมเป็นคนที่รู้ใจคุณแก้มได้หรือยังครับ”
หมอรุทธ์มองตากรรัมภา กรรัมภาอึ้ง...ประทับใจมาก...ได้แต่ยิ้มพูดอะไรไม่ออก
เสียงมือถือดังขึ้น กรรัมภาหลุดจากภวังค์ หยิบมือถือออกมาดูเห็นเป็นรูปกรรณาบนจอโทรมากรรัมภากดสายทิ้งเก็บใส่กระเป๋า
“ไม่รับล่ะครับ”
“อย่าไปสนใจเลยค่ะ”
กรรัมภาทำหน้าเซ็ง
“จะ...โทรมาทำไมตอนนี้เนี่ยะ”
“แฟนเหรอครับ?”
“แฟน? ฮิๆแก้มยังโสดค่ะหมอ ยังไม่มีใครรู้ใจแก้มสักคนเลยอ่ะ”
สุคนธรสพาไตรรัตน์มาที่วัดพุทธาวนาราม เมื่อมาถึงไตรรัตน์ยืดแขนสูดอากาศบริสุทธิ์มองไปรอบๆ วัดอย่างชื่นชอบ
“วัดเก่าๆ โบราณแบบนี้ผมชอบ เจดีย์นั่นสวยดี”
“เจดีย์ที่ไหน นั่นเค้าเรียกพระปรางค์ วุ้ย...เป็นคนไทยรึป่าวเนี่ยะ”
ไตรรัตน์สะอึก เถียงไม่ออก ได้แต่โวยไปทางอื่น
“โว้ย...อากาศดีจังเว้ย”
“หึ นึกว่าเข้าวัดแบบนี้แล้วนายจะร้อนซะอีก”
“ผมจะร้อนก็เพราะผู้หญิงอย่างคุณนี่แหละ เช้าๆ พูดอะไรไม่เคยเข้าหูเลย”
“แหม...ยังกับคุณพูดเข้าหูนักนี่ ฉันจะไปกราบหลวงลุง ถ้าคุณไม่อยากไปก็หาอะไรทำแถวนี้รอฉันก็แล้วกัน”
สุคนธรสเดินไป
“เฮ้ยเดี๋ยวดิ...แล้วผมจะมาหาอะไรทำในวัดล่ะคุณ”
“บวชมั๊ง หัดทำความดีทำบุญกุศลซะมั่ง”
“โอ้โห...ปากคอเหลือร้ายมาก...”
ไตรรัตน์ยืนเซ็ง มองไปเห็นกลุ่มเจอยัยเมี้ยนหิ้วตะกร้ามาทำบุญ พอเห็นไตรรัตน์ก็ชี้ชวนกันดู
“นั่นๆ แก...ไอ้หนุ่มกรุงเทพที่ว่ามีอะไรกับลูกสาวยัยศรีน่ะ มันบอกว่าเป็นแค่เพื่อนกัน อู๊ย...อมพระประธานมาพูด ชั้นก็ไม่เชื่อหรอก ไปๆ...เข้าไปถามมันให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย”
“เย้ย! นี่คุณ...ผมไปไหว้หลวงลุงด้วย”
ไตรรัตน์รีบตามสุคนธรสไป
ที่กุฏิหลวงลุงสุวิทย์ สุคนธรสก้มลงกราบหลวงลุงสุวิทย์ ไตรรัตน์มองแล้วก้มกราบตาม หลวงลุงสุวิทย์มองพินิจไตรรัตน์สัมผัสได้ถึงเงาร้ายบางอย่างที่ตามติดตัวเขาอยู่
“เออ...เจริญพร”
“หลวงลุงสบายดีไหม๊จ๊ะ”
“สบายดี แล้วนั่นพาใครมาด้วยล่ะ”
“ผมชื่อไตรรัตน์ครับหลวงลุง”
“แฟนกันเหรอ?”
“ไม่ใช่จ้ะ...เป็นเพื่อนกัน”
สุคนธรสแอบเหล่ ยี้ใส่ไตรรัตน์ หลวงลุงสุวิทย์หัวเราะออกมา
“เห็นพามาไหว้ ก็นึกว่า...”
“ไม่ใช่แน่นอนจ้ะ เพื่อนจ้ะ” สุคนธรสรีบขัด
“เออๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ แต่จำคำหลวงลุงเอาไว้ให้ดีนะ เป็นคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน”
“โธ่...หลวงลุง”
“ไหนโยม...เข้ามาใกล้ๆ หน่อยซิ”
ไตรรัตน์คลานเข่าเข้ามาใกล้
“มีอะไรครับ”
“ไหน...เขียนลงไปสิ เกิดวันอะไร เดือนอะไร ปีอะไร”
หลวงลุงสุวิทย์ยื่นปากกากับสมุดให้ ไตรรัตน์มองงงๆ
“อ้าว...นั่งงง อย่าบอกนะว่าจำวันเดือนปีเกิดของตัวเองไม่ได้ หลวงลุงบอกก็เขียนไปดิ”
ไตรรัตน์เขียนเสร็จ
“นี่ครับ”
หลวงลุงสุวิทย์รับไปดูแล้วห็หยิบกระดานขึ้นมาใช้ชอล์กเขียนๆ ดูดวงชะตาให้ ก่อนจะอึ้งไปพักนึง
“โยมเชื่อเรื่องเวรกรรมรึเปล่า?”
“เอ่อ...ไม่ค่อยเชื่อครับ”
“ก็เป็นงี้แหละ เพื่อนหนูเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกนะหลวงลุง ห่างวัดห่างบ้านไปนาน เห็นทีต้องให้หลวงลุงเทศนาให้ฟังสักกัณฑ์”
สุคนธรสบอก หลวงลุงสุวิทย์ถอนใจ
“นี่แสดงว่า ยังไม่เคยบวชทดแทนคุณพ่อแม่ละสิ”
“ก็คิดเหมือนกันครับ แต่ยังไม่มีเวลาเลย”
“เวลาสำหรับพระพุทธศาสนามันหายากอย่างงั้นเชียวเหรอ เอาล่ะ...อาตมาไม่ได้บังคับฝืนใจโยมหรอกนะ เพียงแต่อยากเตือนเอาไว้เท่านั้น”
“เตือนเหรอหลวงลุง ทำไม เตือนเรื่องอะไรจ๊ะ” สุคนธรสถามอย่างสงสัย
“โยมกำลังมีเคราะห์ และเป็นเคราะห์หนักซะด้วย”
สุคนธรสถึงกับตกใจ นึกห่วงไตรรัตน์ขึ้นมา
“แล้วต้องแก้ไขยังไงล่ะหลวงลุง”
“โยมควรจะบวช”
“บวช”
สีหน้าไตรรัตน์ฟังอย่างไม่เชื่อ
เนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณามานั่งดื่มกาแฟคุยกันที่กลาสเฮ้าส์
“หมอรุทร์ของชั้นเนี่ยนะ...เค้าก็แค่ทำไปตามหน้าที่ที่มีคนมาจ้างเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรผิดปกติซะหน่อย ก่อนแกจะสรุปอะไร ก็ควรจะหลักฐานก่อนนะยัยเนตร” กรรัมภาบอก เนตรศิตางศุ์ส่ายหน้า
“ฉันถึงต้องขอให้แกช่วยไง
“ช่วยหาหลักฐานเหรอ...”
“ก็เมื่อกี้แกคุยว่าหมอรุทธ์เค้าสถาปนาให้แกขึ้นหิ้งเป็นลูกค้าคนพิเศษของเขาแล้วไม่ใช่เหรอ แกก็ช่วยสืบหาให้หน่อยซี ว่าใบหม่อนเคยมีสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษกับหมอรุทธ์จริงอย่างที่ยัยเนตรสงสัยรึป่าว” กรรณาบอก
“บ้าๆ พวกแกบ้ากันไปหมดแล้ว สัมพันธ์บ้าบออะไร ไม่จริ๊งงงง”
“แกก็ถือโอกาสตีสนิทหมอให้ได้สิ ให้เขาไว้ใจแก แล้วทำเป็นเลียบเคียงถามถึงคนไข้สวยๆ ดังๆ ที่ผ่านมา”
“นะแก้มคนสวย...ช่วยเพื่อนหน่อยเถอะ นะจ๊ะ ไว้เค้าจะทำอะไรอร่อยๆ ให้ตะเองกิน” เนตรศิตางศุ์อ้อน
“ไม่”
“แก้มอ่ะ...นะๆ...ไหว้ล่ะ” เนตรศิตางศุ์ยกมือไหวท่วมหัว
“โอเคๆ ฉันช่วยแก แต่ฉันมั่นใจว่าหมอรุทร์ของฉันไม่เกี่ยวข้องกับการตายของผียัยใบหม่อนล้านเปอร์เซ็นต์ เนี่ยะนะ หมอเค้ายังบอกว่า...แค่ฉันศัลยกรรมแก้ไขรูปจมูกรูปตาอีกนิดเดียว ฉันก็จะสวยเฟอเฟ็คท์”
“จะบ้าเหรอไอ้แก้ม แกสวยอยู่แล้ว แกจะไปทำให้เจ็บตัวทำไมวะ ไม่ชอบสิ่งที่บุพการีให้มาเหรอยะ”
“โอ๊ย...พอเลย ๆ อย่าบ่น รำคาญ ยังไงๆ หมอรุทธ์ก็ไม่มีอะไรกะใบหม่อน ยิ่งโดยเฉพาะใบหม่อนเป็นแฟนคุณปาณัทด้วย หมอรุทธ์เค้าไม่มีทางทำอะไรทุเรศๆ ผิดศีลธรรมหรอกน่า”
กรรัมภาดูดลาเต้แววตายิ้มเคลิ้มนึกถึงหมอรุทธ์ กรรณากับเนตรศิตางศุ์มองสบตากันแล้วถอนใจ
อีกด้านไตรรัตน์กำลังเครียดกับเรื่องที่หลวงลุงสุวิทย์บอกให้บวช
“ทำไมผมต้องบวชด้วยล่ะหลวงพ่อ”
“เจ้ากรรมนายเวรของโยม มีความพยาบาทมาตั้งแต่ชาติปางก่อนก็เลยติดตามโยมมาถึงชาตินี้ ไอ้ความพยาบามนี่แหละที่เป็นสิ่งชั่วร้าย เราควรละเสีย”
“เจ้ากรรมนายเวร”
“มิน่าล่ะ แล้วอย่างงี้ ให้เค้าทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวร พอจะแก้เคราะห์ลบล้างกรรมเก่าให้หมดไปได้ไหม๊เจ้าคะหลวงลุง”
“บุญก็ส่วนบุญ เวรกรรมก็ส่วนเวรกรรม แก้กันไม่ได้หรอก ถ้าโยมทำบุญ โยมก็จะได้บุญ แต่จะขอให้ไปล้างบาป ก็เห็นจะคนละเรื่องกัน”
“สงสัยนายต้องบวชสถานเดียวแล้วล่ะ ฮิ” ไตรรัตน์ถลึงตาใส่สุคนธรส “เอาเลยหลวงลุง ช่วยเทศนานายหลงตัวเองนี่ให้บวชให้ได้นะ หนูขอไปไหว้อาจารย์ปู่ก่อนล่ะ”
สุคนธรสลุกไป
“เอ่อ...เดี๋ยวซี...คุณจะทิ้งผมไว้งี้เหรอ”
“อยู่กับพระกับเจ้ากลัวอะไรยะ ทำเป็นลูกแหง่ เดี๋ยวฉันมา”
สุคนธรสเดินลงจากกุฏิไป ไตรรัตน์นั่งอึดอัด เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“เอ่อ...หลวงพ่อ...คือใจผมมันยังไม่อยากบวชตอนนี้ ไม่บวชผมจะถึงตายไหม๊ครับ”
“แต่อาตมาว่าควรรจะบวชซะดีกว่า เคราะห์หนักก็จะกลายเป็นเบา อย่างน้อยก็จะทำให้จิตใจของโยมเข้มแข็ง สามารถทนรับผลกรรมนั้นได้อย่างมีสติ อีกอย่างการบวชก็ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณพ่อแม่ก็จะยิ่งได้บุญเพิ่มขึ้นอีก”
“เรื่องถือศีลยังพอไหวครับ แต่เรื่องบวชผมยังไม่พร้อมน่ะครับ”
ไตรรัตน์นั่งฟังอย่างอึดอัดใจสุดๆ นึกเคืองที่สุคนธรสมาทิ้งไว้แบบนี้ หลวงลุงสุวิทย์พยักหน้าอย่างหนักใจแต่ก็ไม่รบเร้าอะไรอีก
ที่รูปขนาดใหญ่ของหลวงปู่บุญและหลวงปู่อินบนศาลาที่ทางวัดจัดไว้ให้กราบไหว้บูชา สุคนธรสกำลังจุดธูปนั่งไหว้อยู่
“หลวงปู่อิน พระอาจารย์ปู่(บุญ)หนูมาเยี่ยมค่ะ หนูยังคงซาบซึ้งใจเสมอที่คุณหลวงปู่อินได้มอบฆานสัมผัส ที่เป็นพิเศษมาให้หนู การที่หนูได้กลิ่นของเทพและวิญญาณทำให้หนูมีโอกาสได้ช่วยเหลือคนอื่น เป็นบุญกุศลแก่ชีวิตหนูมากค่ะหลวงปู่”
ในอดีตพ่อและแม่สุคนธรสซึ่งขณะนั้นตั้งท้องสุคนธรสมาร่วมงานศพหลวงปู่อินวันพุทธาวนาราม จังหวัดอยุธยา สานุศิษย์คลาคล่ำเต็มไปทั้งวัด
“หลวงปู่อิน เจ้าอาวาส วัดพุทธาวนาราม ปวารนากับตัวเองว่าเมื่อท่านได้ละสังขาร ท่านจะมอบญาณของท่านให้เด็กในครรภ์ของหญิงสาวห้าคนเอาไว้ และในงานศพวันที่3 ของหลวงปู่อิน ก็มีหญิงตั้งท้อง5คนอยู่ในงานพอดิบพอดี เด็กที่อยู่ในครรภ์เป็นเพศหญิงทั้งหมด”
หญิงตั้งท้องทั้งห้าเดินปะปนอยู่กับผู้คนในงาน ต่างก็ไม่รู้จักกัน เห็นปู่ของสุคนธรสเป็นมัคนายกอยู่ที่วัด
“เนื่องจากหลวงปู่อินสั่งสมบุญบารมีเอาไว้เยอะมาก ท่านจึงแบ่งญาณออกเป็นห้าส่วน ให้เด็กทั้งห้า เพราะเกรงว่าหากมอบญาณทั้งหมดให้คนใดคนหนึ่งแล้ว คนๆ นั้นบุญบารมีไม่ถึงก็จะเกิดทุกข์กับเด็กคนนั้นเสียเปล่าๆ อาจจะถึงแก่ชีวิตได้”
“เมื่อคลอดออกมา สุคนธรสเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมหยุด แม้แต่หมอเองก็จนปัญญาเพราะหาสาเหตุไม่พบ”
“ปู่ของสุคนธรสคิดว่าบารมีของหลวงปู่อินคงจะแรก จึงอาสาบวชเพื่อเสริมบุญให้หลานสาวตัวเอง”
หลวงปู่บุญเดินออกมาจากโบสถ์มาหาพ่อแม่สุคนธรส ที่ปรากฏว่าสุคนธรสหายจากอาการร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผลเป็นปลิดทิ้ง พ่อ แม่ สุคนธรสยกมือไหว้ยิ้มขอบคุณหลวงปู่บุญ
สุคนธรสมองไปที่รูปหลวงปู่บุญ
“อาจารย์ปู่ หนูขอบพระคุณมากนะคะ ที่อาจารย์ปู่อาสาบวชเพื่อเสริมบุญให้หนู เมื่อตอนที่หนูเพิ่งเกิด แล้วยังถ่ายทอดวิชาอาคมของขลังให้หนูไว้ติดตัวอีก ขอบพระคุณมากค่ะ หนูสัญญาว่าจะใช้ญาณพิเศษของหนูช่วยเหลือทั้งคนและภูติผีให้ได้พ้นทุกข์ค่ะ”
สุคนธรสก้มลงกราบ
สุคนธรสเดินออกจากศาลาหลังไหว้รูปและอัฐิของสองหลวงปู่เสร็จ สุคนธรสเดินสีหน้าอิ่มเอิบดีใจที่ได้มา
ไหว้อาจารย์ผู้มีพระคุณ ผ่านต้นไม้ใหญ่อายุนับร้อยปีในวัด แล้วอยู่ๆ สุคนธรสก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นสาปรุนแรงของวิญญาณที่เข้ามาใกล้ตัว
“หื๊อ...กลิ่นสาปของวิญญาณ”
สุคนธรสหยุดเดิน หันมองรอบตัว ไม่รู้ว่ามันมาทางไหน รู้แต่ว่ากลิ่นมันอยู่สูงเหนือหัวเธอ สุคนธรสเงยหน้าสูดหากลิ่น จังหวะนั้นมีก้อนพายุหอบใหญ่ ปะทะเข้าถึงตัวสุคนธรสทางด้านหลัง ทันใดนั้นตัวสุคนธรสลอยขึ้นเหนือพื้น กระเด็นไป
“อ๊า”
หมอผีสมคิดยืนสง่าในท่าปล่อยพลัง สุคนธรสพลิกตัวมามองแล้วผงะ
“ไอ้หมอสมคิด...เผยตัวออกมาจนได้ ลอบกันทีเผลอ เป็นผู้ชายเปล่าเนี่ย”
หมอผีสมคิด ลดท่าปล่อยพลังลง ยืนสง่า หาญกับกล้าออกมาสมทบซ้ายขวา
“แม่สุคนธรสคนโปรดของเจ๊หญิงและเสี่ยจำเริญ หมูเค้าจะหามดันแส่เข้ามาขวาง วิชาอาคมแก่กล้านักหรือไงนังเด็กเมื่อวานซืนไหน....งัดออกมาใช้ซี มาสู้กับฉัน ฮ่ะๆ”
“ท่าทางจะแย่ว่ะครับอาจารย์ สงสัย หลังจะหักซะแร้ววว”
“สงสัยจะเก่งแต่ลับหลังอาจารย์ ต่อหน้าดูยังไงก็ตายเปล่า ฮ่ะๆ”
สุคนธรสมองไปที่หมอผีสมคิด พยายามจะพยุงตัวลุก แต่ลุกไม่ไหว หมอผีสมคิดล้วงแส้อาคมมา หวดเควี้ยวๆๆๆ แล้วปล่อยพลังไป แส้กลายเป็นงูดำ ลอยเลื้อยๆ มาในอากาศ หาจังหวะจะทำร้ายสุคนธรส
“ด้ายพระปริตร! (อ่านว่าปะ-หริด)”
สุคนธรสนึกได้กัดฟันหยิบม้วนสายสิญจน์ออกมาประกบสองมือพนมท่องคาถาอย่างรวดเร็ว พันปลายด้ายไว้ไขว้ไปไขว้มาที่นิ้วขวาทั้งห้าแล้วลืมตาขึ้น...ตวัดโยนม้วนสายสิญจน์ขึ้นไปบนอากาศ ม้วนสายสิญจน์กลายเป็นเชือกอาคมสีทอง ตวัดม้วนๆ ไปรอบตัวงูอย่างรวดเร็ว งูตกลงมา กลายเป็นแส้ไร้พิษสง มีด้ายขาวพันรอบ
หมอผีสมคิด หาญ กล้าถึงกับตะลึง
“ห่ะ! สายสิญจน์อะไรของมัน ถึงมีพลานุภาพมากขนาดนั้น”
สุคนธรสยืนตัวลุกขึ้น มองขวับมาที่หมอผีสมคิด หาญกับกล้าตกใจ
“อาจารย์ระวัง มันเอาคืน”
“หึ...ไม่ทันฉันหรออีหนู”
หมอผีสมคิดกำสร้อยที่ร้อยด้วยกระดูกผีออกมาท่องคาถาอย่างรวดเร็ว เป่าอาคมใส่
“ไปขย้ำมัน...อย่าให้เหลือแม้แต่กระดูก...ไป๊”
หมอผีสมคิดโยนสร้อยไปทางสุคนธรส สร้อยร่วงพื้น ขาดกระจาย กระดูกกระเด็นไปทั่วรอบตัวสุคนธรส กลายเป็นฝูงผีมีแต่หัว เขี้ยวโง้ว กระหายเลือด แสยะเขี้ยวคำรามแล้วลอยเข้ามาเกาะตัวสุคนธรส รุมกันกัด
สุคนธรสยืนพนมมือสวดมนต์ ท่องคาถา แผ่ส่วนกุศลทุกอย่าง เกิดออร่าสีเขียวออกมาจากร่างสุคนธรสบางๆ ผีบางตัวทนไม่ไหวก็สลายไป ตัวที่เหลือก็กัดอยู่สุคนธรสเริ่มไม่ไหวร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เลือดซิบ แต่ก็รีบคว้าตะกรุดไม้ไผ่ตายพรายยอดด้วนจากเป้มาถือพนมมือนั่งลงขัดสมาธิทันที สรรพคุณเรื่องคงกระพันของตะกรุดทำให้เหล่าผีกัดทึ้งสุคนธรสไม่เข้า มีรัศมีพุทธคุณเป็นรูปเสี้ยนไม้ไผ่พุ่งปลักเข้าใส่ฝูงผี จนกรี๊ดร้องอย่างเจ็บปวดกลับสู่สภาพเป็นกระดูกอย่างเดิม
สายตาสุคนธรสที่ท่องคาถามองขวับมามองหมอผีสมคิดอย่างโกรธ รัศมีพุทธคุณเลยพุ่งไปที่กลุ่มหมอผีสมคิดด้วย หาญกับกล้าร้องลั่น
“อ๊ากกก อาจารย์ มันปล่อยของใส่เราแล้ว”
“แกจะชนะไสย์ดำของฉันก็ให้มันรู้ไป”
หมอผีสมคิดใช้เท้าเขียนเป็นยันต์เขมรไปที่ดินตรงหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นทาบหน้าผากตัวเองแล้วท่องคาถาเป็นภาษาออกไปทางเขมร เกิดเป็นควันดำขึ้นจากยันต์ที่พื้นไปปะทะกับรัศมีพุทธคุณของสุคนธรส ยันกันไว้ ระหว่างรัศมีสีขาวนวลกับรัศมีสีดำหม่น...
สุคนธรสหลับตาท่องคาถาเพิ่มแรงพุทธคุณ หมอผีสมคิดก็ท่องอาคมเพิ่มพลังให้ควันดำ สุคนธรสที่บาดเจ็บจากถูกหัวผีกัด แรงหมดลงเรื่อยๆ มีเลือดไหลออกมาจากจมูก แล้วเธอก็เป็นฝ่ายแพ้ เมื่อหมอผีสมคิดอัดควันดำเข้าใส่รัศมีพุทธคุณจนตะกรุดในมือสุคนธรสแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“อ๊ายยยย”
ร่างสุคนธรสถูกอำนาจไสย์ดำอัดจนลื่นไถลล้มกลิ้งหลังไปชนกับตนไม้
“ฮ่ะๆ เป็นไงล่ะ เห็นอิทธิฤทธิ์อาจารย์สมคิดหรือยัง”
สุคนธรสคิดว่าขืนสู้คงตายแน่ ตัวเองกำลังบาดเจ็บ เลยรีบลุกหันวิ่งไปทางหลังโบสถ์
“เฮ้ย อาจารย์ มันหนีไปทางโบสถ์แล้ว”
“ตามซีวะ มันรู้ธาตุแท้ฉันแล้ว อย่าให้มันหนีไปได้ รีบไปเอาตัวมันมา”
“อีคนสวยอย่าให้ จับได้นะมึง ฮ่ะๆ”
หาญกับกล้ารีบวิ่งตามไปอย่างนึกสนุก หมอผีสมคิดก้าวเดินตามไป
สุคนธรสวิ่งหนีสะบักสะบอม
“คนสวย...จะหนีไปไหนจ๊ะ ฮ่ะๆ”
สุคนธรสหันไปมอง เห็นกล้ากับหาญวิ่งตามใกล้เข้ามาทุกที สุคนธรสรู้สึกจะหมดแรง กระอักเลือดออกมา ขาอ่อนล้มลง
“โอ๊ยยยย”
“โอ๊ะๆ ระวังหน่อยซีจ๊ะ น่าสงสารจริงๆ ฮ่ะๆ”
สุคนธรสกัดฟันปาดเลือดที่ปากยันตัวเองลุกขึ้นก้าววิ่งต่อ ตาพล่ามาก แทบไม่มีแรงก้าว
หมอผีสมคิดตามมาอีกทาง จนมาโผล่อยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า หมอผีสมคิดมองไปที่สุคนธรสด้วยสีหน้ายิ้มร้าย
“หึ แกเสร็จฉันแล้วนังหนู หึๆ”
สุคนธรสมัวแต่หันไปมองหลังเลยชนเข้ากับใครคนหนึ่ง เซจะล้ม แต่ร่างนั้นจับไหล่เธอไว้ สุคนธรสนึกว่าเป็นพวกหมอผีสมคิด
“อ๊าย...ปล่อยฉันนะ”
“ร้องทำไม นี่มันในวัดนะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
สุคนธรสมองเห็นเป็นไตรรัตน์ก็ดีใจ
“นายไตรรัตน์! ช่วยด้วย”
หาญกับกล้าเห็นไตรรัตน์ก็รีบวิ่งหลบอยู่ข้างศาลา
“หึ ช่วยอะไรจ๊ะ แต่ผมโคตรเสียใจเลยที่มากับคุณ คุณวางแผนพาผมมาหาพระเพื่อจะหลอกให้ผมบวช คุณมันก็ 18 มงกุฏไม่ต่างอะไรจากพวกหมอสมคิด”
“ฉันไม่ได้หลอกคุณ ฉัน...ฉัน...โอ๊ก...”
สุคนธรสอาเจียนออกมาเป็นเลือด แล้วสุคนธรสก็หมดสติตัวอ่อนลง
“โอ๊ะคุณ! คุณเป็นอะไร...คุณรส”
ไตรรัตน์ประคองร่างสุคนธรสไว้ในอ้อมแขน
“ดี...เจอตัวอยู่ด้วยกันทั้งคู่ วันนี้ฉันจะได้จัดการทำศพให้แกพร้อมกันทั้งคู่เลย”
หมอผีสมคิดเริ่มท่องคาถาจะเล่นงานสุคนธรสกับไตรรัตน์อีกครั้ง หลวงลุงสุวิทย์เดินออกมาเห็นไตรรัตน์กำลังประคองร่างสุคนธรสอยู่
“โยมรสเป็นอะไรน่ะ”
“ไม่ทราบครับหลวงพ่อ อยู่ๆ ก็เป็นลมไป อาเจียนออกมาเป็นเลือดด้วย ดูสิครับหลวงพ่อ”
“ห่ะ!”
หลวงลุงสุวิทย์เดินเข้าไปจะไปดูสุคนธรสใกล้ๆ แต่รู้สึกถึงมนต์ดำสิ่งชั่วร้ายที่กำลังแผ่พลังอยู่ในเขตวัด หลวงลุงสุวิทย์หยุดกวาดตามอง แล้วพูดขึ้นว่า
“อาตมาขอบิณฑบาต อย่าจองเวรจองกรรมกันเลยโยม”
หมอผีสมคิดเลยชะงักหยุดท่องอาคม เหมือนรับรู้สิ่งที่หลวงลุงสุวิทย์พูด มองหลวงลุงสุวิทย์อย่างโกรธขึง ก่อนก้าวหลบเข้าหลังต้นไม้ไปอย่างรวดเร็วราวกับวิญญาณ
สุคนธรสสลบไม่ได้สติ ไตรรัตน์พยายามปลุก
“คุณรส...คุณอย่าล้อเล่นผมอย่างงี้นะ...อยู่ๆ คุณเป็นอะไรไป...คุณรส”
กรรณากับกรรัมภาตกใจเมื่อรู้ว่าเนตรศิตางศุ์จะไปพัทยา
“ไปพัทยา”
เนตรศิตางศุ์พยักหน้ารับหงึกหงัก บนโต๊ะมีขวดสเปรย์กันผีหลายขวดตั้งอยู่เป็นหลักฐาน ก๊องนั่งอยู่ด้วย
“ให้เนตรไปเถอะนะ เนตรสัญญาเนตรจะโทรมาหาทุกครึ่งชั่วโมงเลย”
“ไม่” กรรณากับกรรัมภาบอกออกมาพร้อมกัน
“ทุกสิบนาทีก็ได้”
“ไม่ๆๆ ที่ประชุมลงมติกันไปแล้วว่าจะไม่อนุมัติให้แกไปพัทยาอีกต่อไป เพราะฉะนั้นอย่าอุทธรณ์ให้เหนื่อยเลย”
เนตรศิตางศุ์ก้มหน้าน้ำตาหยด
“ที่พวกฉันห้ามเพราะพวกฉันเป็นห่วงแกนะโว้ย ไอ้บ้าที่เขียนจดหมายขู่มันต้องเป็นพวกจิตไม่ปกติแน่ๆ แล้วคนพวกนี้มันคิดจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“ใช่พี่เนตร มันอาจจะฆ่าพี่เนตรหมกส้วมก็ได้”
“เนตรถึงเอาสเปรย์ของรสไปด้วยไง”
“สเปรย์มันใช้ไล่ผี ไล่คนได้ซะที่ไหนล่ะ”
“อย่างน้อยมันก็เป็นกลิ่นฉุนๆ เอาไปฉีดใส่หน้าใครก็ต้องแสบบ้างแหละ เนตรเอากลิ่นต้มยำกุ้งไปด้วยนะ เผื่อคนร้ายแพ้กุ้ง โดนฉีดเข้าไปพอเขาคัน เนตรก็จะวิ่งหนี”
“แถมากนะแก”
“ให้เนตรไปเถอะนะ คุณใบหม่อนเธอรอเนตรอยู่ ถ้าเนตรไม่ไปคุณใบหม่อนอาจจะก่อเรื่องไม่ดีอีกก็ได้นะ”
กรรณากับกรรัมภาเมิน “นะๆ เพื่อนรัก จะให้เนตรทำอะไรก็ได้ เนตรยอมทั้งนั้น นะๆ”
ก๊อง กรรัมภา กรรณากระซิบกันขำๆ
“ปั่นจิ้งหรีดสักร้อยทีดีมะ”
เนตรศิตางศุ์ทำหน้าแบ๊วๆ
เนตรศิตางศุ์ปั่นจิ้งหรีดอย่างอ่อนแรง
“57...58...59”
“เกินยี่สิบมาสามเท่าแล้วนะ พี่เนตรยังไม่น็อคเลย”
ก๊องบอก กรรัมภากับกรรณาเมินหน้าไปทางอื่น ทำใจแข็ง เนตรศิตางศุ์หมุนไปเรื่อยๆ ใช้ความอดทนอย่างขีดสุด
“64... 65...66” เนตรศิตางศุ์เริ่มเซๆ เป๋ๆ
“อีก 30 ก็ครบร้อยแล้วพี่เนตร สุดยอด”
“70...70...72”
เนตรศิตางศุ์เสียงเริ่มสั่น เซมากขึ้น หน้าแดงก่ำ กรรัมภากับกรรณาหลับตาอดทนไม่ใจอ่อน จนทนไม่ไหวโพล่งออกมาพร้อมกัน
“พอแล้ว”
เนตรศิตางศุ์หยุดหมุน ลุกขึ้น ตัวโคลงๆ ตายังโฟกัสไม่ได้ เดินไปหาเพื่อนแต่ไปอีกทางตรงข้าม
“กรรณ แก้มยอมให้เนตรไปแล้วใช่ไหม”
“เฮ้ย! ทางนี้”
กรรัมภา กรรณา ก๊องเรียกพร้อมกัน เนตรศิตางศุ์ยืนเอ๋อ ทั้งสามวิ่งเข้าไปประคองเนตรศิตางศุ์นั่งลง
“ตกลงให้เนตรไปนะ”
กรรัมภากับกรรณาไม่ตอบแต่ลุกออกไป เนตรศิตางศุ์ร้องไห้ลุกตามแต่ไปผิดทางอีก
“พวกใจร้าย! ไม่มีมนุษยธรรม ไหนบอกว่าสัมผัสพิเศษของเรามีไว้ช่วยเหลือคนอื่น แล้วทำไมทีอย่างงี้ไม่ช่วย”
“ผิดทางอีกแล้ว...พี่เนตร”
กรรัมภากับกรรณารีบกลับมาช่วยพยุงเนตรนั่งลงที่เดิม
“ถ้าไม่ช่วย พวกเราจะไปเก็บของเหรอวะ เดี๋ยวให้หมุนอีกสักห้าสิบรอบซะเลยนี่”
“แก้ม กรรณจะไปกับเนตรด้วยเหรอ”
“แน่สิ ใครจะปล่อยแม่ตุ๊กตาน้อยไปลำพัง”
เนตรศิตางศุ์ทำหน้าชอบกล
จบตอนที่ 8
อ่านต่อตอนที่ 9 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.