มณีสวาท ตอนที่ 3
บรรดาแขกเหรื่อ และผู้คนต่างให้ความสนใจกับเครื่องประดับของเจ้าอุรคา และเจ้าประกายคำที่เอามาโชว์ในงานเห็นแต่ละคนทำหน้าทึ่งๆ พูดทำนองเดียวกันว่า...สวย แต่ดูแปลกๆ
เฟื่องวลีทำหน้าแหยงๆ เดินเกาะมือเฟื่องฟ้าแน่น เฟื่องฟ้าปรามลูก ถามแบบงงๆ
“ทำไมต้องเกาะมือแม่แน่นขนาดนี้ฟีบี้”
เฟื่องวลีทำหน้าแหยงๆ “ฟีบี้กลัว”
“กลัวแสงเพชรแยงเข้าตานี่นะ”
“อู๊ย...! แสงเพชรแยงเข้าตามีแต่จะชอบค่ะไม่กลัวหรอก แต่นี่” เฟื่องวลีลดเสียงเบาลง “ตะกี้ฟีบี้แอบได้ยินคุณศิษฐ์กระซิบบอกพี่ชาย”
เฟื่องฟ้าทำหน้างง ขณะถาม “กระซิบอะไร”
“คุณศิษฐ์บอกว่า พี่ชายละเมอ คุณเป็นใคร? คุณร้องไห้ทำไม?” เฟื่องวลีมองแม่แล้วถามอย่างกลัวๆ “เป็นไปได้มั้ยคะว่าจะมีใครซักคนจะมาเอาพี่ชายไปอยู่ด้วย”
เฟื่องฟ้าทำหน้ากลัว แต่กลบเกลื่อนด้วยการดุลูกสาว “เหลวไหล”
“ไม่เหลวไหลหรอกค่ะ คุณแม่ก็เห็นตอนเข้างาน ถ้าฟีบี้ไม่ตามไปฉุดมือเอาไว้ พี่ชายตกดาดฟ้าโรงแรมไปแล้ว”
สองแม่ลูกมองหน้ากัน ทำท่าแหยงๆ หวาดกลัว
ภุชคินทร์อยู่ในห้องพักของโรงแรม ทำหน้าเครียดครุ่นคิดถึงเรื่องเครื่องประดับของเจ้าอุรคา ขณะนำออกมอวด และนึกถึงคำพูดของไพศิษฐ์ ภุชคินทร์ลุกพรวดขึ้น นารีวรรณที่นั่งเฝ้าอยู่ กระโดดผลุงมาเกาะแขนภุชคินทร์เอาไว้แน่น ถามเร็วปรื๋อ
“พี่ชายจะไปไหนคะ”
“ออกไปข้างนอก”
“แต่คุณแม่บอกให้พี่ชายนอนพักอยู่ในนี้”
“มางานทั้งที จะนอนอยู่ทำไม พี่จะออกไปดูงานข้างนอก”
“แต่พี่ชายไม่สบายนะคะ”
“พี่สบายดีหนูนา พี่สบายดี”
ประโยคหลังเหมือนภุชคินทร์จะย้ำบอกตัวเอง ก่อนเดินออกไปนารีวรรณรีบเดินตามทันที
ภายในบริเวณงาน หม่อมภาณี สนใจเครื่องประดับของเจ้าอุรคาเป็นอย่างมาก อำนาจมองอัญมณีต่างๆ โดยเฉพาะของเจ้าอุรคาตาวาววับ หม่อมภาณีกระซิบคุยกับเจ้าประกายคำ
“เครื่องประดับประจำตระกูลของเจ้าอุรคาสวยมากเลยนะคะเจ้า”
“ค่ะสวยมาก สวยจริงๆ ตั้งแต่ดิฉันทำธุรกิจนี้มา ยังไม่เคยเห็นเครื่องประดับจากตระกูลไหน สวยเท่าตระกูลเจ้าอุรคาเลย”
“ไม่ใช่สวยธรรมดา” หม่อมภาณีมองที่เครื่องประดับ “แต่ดูเหมือนมันมีชีวิตอยู่ด้วย เจ้าดูสิคะ”
สองคนเห็นว่าภายในเครื่องประดับทั้งสองชนิด มรกต ครุฑธิการ เป็นคลื่นๆ คล้ายมีชีวิตเคลื่อนไหวจริงๆ สองคนมองหน้ากัน สีหน้าเริ่มหวาดๆ เมื่อความสวยจากอัญมณีดูมีชีวิต
ประกายคำเห็นด้วย “ใช่ค่ะ เครื่องประดับชุดนี้ เหมือนมีชีวิตจริงๆ”
หม่อมภาณีกับเจ้าประกายคำมองหน้ากัน สลับกับมองเครื่องประดับอย่างทึ่งๆ
ภุชคินทร์เดินเข้างานมา กวาดสายตามองหาเจ้าอุรคา นาถสุดาเห็น ก็รีบสะกิดไพศิษฐ์
“คุณชายออกมาแล้วค่ะ กำลังมองหาใครก็ไม่รู้”
เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีที่ยืนอยู่ด้านหลังมองหน้ากัน แล้วยิ้มแป้นเฟื่องฟ้ากระซิบบอกลูก
“มองหาลูกหรือเปล่า”
“ใช่หรือไม่ใช่ ฟีบี้ก็จะทำให้ พี่ชายหันมามองฟีบี้เพียงคนเดียวค่ะ” เฟื่องวลีทำท่ากระแดะ “ฟีบี้ only”
นาถสุดาได้ยินทำหน้าแหย ส่วนเฟื่องวลีมองตามภุชคินทร์ก่อนเดินเข้าไปหา
ภุชคินทร์มองไปเห็นเจ้าอุรคายิ้มให้ แล้วเดินออกไป ภุชคินทร์รีบสาวเท้าตามไปทันที
อำนาจเดินมายืนขวางจ้องหน้าภุชคินทร์เขม็ง ภุชคินทร์แปลกใจ ว่าขวางทำไม แต่ไม่สนใจเบี่ยงตัวออก อำนาจมองตามแล้วยิ้มมีเลศนัย
ฝ่ายเฟื่องวลี เดิมแกมวิ่งตามภุชคินทร์
“พี่ชายคะพี่ชาย”
เฟื่องวลีจะแหวกคนเดินไปหาภุชคินทร์ แต่แล้วต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อชรายุ โผล่พรวดเข้ามา จนเกือบชนชรายุ เฟื่องวลีร้องลั่น เมื่อแก้วน้ำในมือของชรายุ หกใส่เสื้อชุดสวยของหล่อนจนเลอะไปหมด
“ว้าย”
นาถสุดาจ้องตาโต เพราะเธอเองก็ไม่เห็นชรายุมาก่อน ไม่เคยเห็นว่ามีคนๆ นี้ อยู่ในงาน แต่จู่ๆ เธอโผล่มาจากไหน นาถสุดายิ่งจ้องมอง ชรายุยืนถือแก้วอย่างนิ่งสงบ มีแต่เฟื่องวลีที่โวยวายใส่ไม่หยุด
“คนบ้า! ชนเค้าแล้วยังยืนทื่อมะลื่ออยู่ได้”
ชรายุบอกอย่างเรียบนิ่ง “ขออภัย เดี๋ยวจะพาไปล้าง”
“ไม่ต้อง ฉันไปเองได้”
เฟื่องวลีมองชรายุอย่างไม่พอใจ ก่อนสะบัดหน้าเดินหนีไปพลางบ่นกระปอดกระแปด
“ดูสิ อดไปหาพี่ชายเลย”
ชรายุยิ้มหยันนิดๆ ดูน่ากลัว แล้วเดินฝ่ากลุ่มคนในงานแล้วหายลับไป คราวนี้นาถสุดาขยี้ตาตัวเองอย่างแรง ชะเง้อคอมองหา ชรายุ ถามตัวเองงงๆ
“หายไปไหน?”
ไพศิษฐ์ที่หันไปคุยกับแขกคนอื่นหันมามองงง “มองหาอะไรหรือนาถ”
“ก็คนติดตามเจ้าอุรคาสิคะ จู่ๆ เดินหายไปไหนก็ไม่รู้”
ไพศิษฐ์ช่วยมองหา แต่ไม่เห็น “คนออกเยอะแยะ คงอยู่ในกลุ่มคนนั่นแหละ”
“ไม่น่าจะใช่นะคะ เพราะนาถเห็น” นาถสุดาทำท่า แหยงๆ กลัวๆ “จู่ๆ เค้าก็หายวับไปเลย”
ไพศิษฐ์หัวเราะขำแฟนสาว “ตาฝาดแล้วนาถ อ้าว! แล้วนายชายล่ะ? อยู่ไหนแล้ว”
“ไม่เห็นค่ะ” นาถสุดากวาดตามอง “พี่สุบรรณ ก็ไม่เห็นเหมือนกัน”
คราวนี้ไพศิษฐ์หน้าเคร่ง ถูกนาถสุดากระเซ้า
“เป็นตำรวจติดตามได้ยังไงคะคุณศิษฐ์ นายหายยังไม่รู้ตัวเลย”
ไพศิษฐ์หน้าจ๋อย อมยิ้มนิดๆ “งั้น ผมขอตัวไปตามหานายก่อนดีกว่า”
ว่าแล้วไพศิษฐ์เดินออกไป
ส่วนอีกมุมสุรินทร์ในชุดสูทดำสง่าเหมือนแขกทั่วไปเดินเข้ามาพร้อมลูกน้อง โดยไม่มีคนสนใจแม้แต่คนเดียว
นอกจากอำนาจเท่านั้นที่มองสุรินทร์อย่างรู้กัน
เจ้าอุรคาเดินออกมาที่นอกห้องจัดงาน ใบหน้าสวยสง่ามีรอยยิ้มบางๆ รู้ว่าด้านหลังภุชคินทร์เดินแกมวิ่งตามมา ภุชคินทร์อ้าปากจะเรียก “เจ้าอุรคา” แต่จำต้องเงียบไป เมื่อเห็นสุบรรณเดินจากอีกมุมตรงมาหาเจ้าอุรคาและชิงร้องเรียกก่อน
“เจ้าอุรคา”
เจ้าอุรคาหันมามองแบบไม่ได้ตื่นเต้นหรือแปลกใจ “คะ”
“ผมหาโอกาสอยู่กับเจ้าตามลำพังตั้งแต่มาถึงงาน แต่ยากมาก”
“ก็แล้วทำไมต้องอยู่กันตามลำพังด้วยคะ”
เจ้าอุรคาถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไม่สนใจ แต่สุบรรณกลับตอบมาด้วยท่าทีจริงจัง
“เพราะผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้า”
ภุชคินทร์ยืนเงี่ยหูฟัง ในขณะที่เจ้าอุรคามองสุบรรณด้วยท่าทางสงบ สุบรรณพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ประหม่า ราวกับเด็กหนุ่มที่อยู่ในอาการแรกรัก แต่ดวงตาลึกซึ้ง จริงจัง
“ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ผมคิดถึงเจ้ามาตลอด ผมฝันถึงเจ้า อยากมีชีวิตอยู่กับเจ้า”
เจ้าอุรคายิ้มบางๆ ฟังแบบไม่ตื่นเต้น ภุชคินทร์เสียอีกที่รู้สึกหึงหวงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แถมอึ้ง เพราะเพิ่งเจอกัน สุบรรณหลงรักเจ้าอุรคาขนาดนี้เชียวหรือ? สุบรรณพูดต่อ
“และยิ่งวันนั้น วันที่ผมเกือบจะจมน้ำตาย ผมก็รู้ทันที ถ้ามีชีวิตรอด ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครองคู่อยู่กับเจ้า” สุบรรณมองตาซึ้ง บ่งบอกว่ารักมาก ขณะสารภาพ “ผมรักเจ้า เจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์ตาเบิกโตยิ่งกว่าเก่า ที่สุบรรณสารภาพรักส่วนเจ้าอุรคายิ้มน้อยๆถามหน้าตาเฉย
“แต่คุณยังไม่ได้ถามความรู้สึกของดิฉันเลย คุณก็บอกความต้องการเสียแล้ว” เจ้าอุรคายิ้มมีเลศนัย “ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใด รักของท่านสุบรรณ ก็เป็นรัก...เพื่อต้องการครอบครอง เสมอ”
สุบรรณเริ่มเสียงดัง วางอำนาจ “ก็แล้วมันต่างจากคนอื่นตรงไหน ใครๆ ก็ย่อมอยากอยู่กับคนที่เรารักทั้งนั้น”
เจ้าอุรคามีสีหน้าเจื่อนไปนิด คำพูดของสุบรรณกระทบใจ เธอแก้ต่างทันที
“ใช่ค่ะ มนุษย์ทุกคนล้วนอยากอยู่กับคนที่รัก แม้กระทั่งดิฉันเอง แต่ วิธี ต่างหากที่มันแตกต่างกัน เพราะการที่คนสองคน จะได้อยู่ครองคู่รักกัน ต้องมีหัวใจตรงกัน มิใช่เกิดจากการแย่งชิง”
“ข้อนี้ผมมองต่างกับเจ้า สำหรับผม รักแท้คือการช่วงชิง รักไม่จริงคือการเสียสละ ถ้าผมรักใคร ผมจะทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวเค้ามา...และใครคนนั้นก็คือเจ้า”
ภุชคินทร์ทำหน้าเครียด ได้ยินเขาสารภาพรักกัน เจ้าอุรคายิ้มหยัน
“ขอบคุณที่ให้ค่าดิฉันขนาดนั้น ซึ่งดิฉัน ไม่รู้ ว่า มันคือความโชคร้ายหรือโชคดี กับการที่มีใครมาทุ่มเทความรักให้ เหมือนคุณสุบรรณ”
“แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไรกับผม” สุบรรณถาม
เจ้าอุรคาพูดกำกวมเป็นปริศนาเช่นเคย
“ความรู้สึกของดิฉันสำคัญต่อคุณสุบรรณด้วยหรือคะ? ในเมื่อ คุณก็บอกเอง” เจ้าหญิงต่างแดนเว้นวรรค ยิ้มหยัน “คุณจะทำทุกอย่างเพื่อช่วงชิง....” จากแกล้งเดินไปยังมุมที่ภุชคินทร์ซ่อนตัวอยู่ จงใจพูดตัดพ้อ “ฉันเองก็ไม่ต่างจากคุณ...ฉันจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้อยู่กับคนที่ฉันรัก แม้ว่าเค้าคนนั้น จะไม่เคยรู้อะไรเลย”
ท้ายเสียงของเจ้าอุรคาสั่นเครือ ในขณะที่ภุชคินทร์ทำหน้ามึนงง ไม่เข้าใจ
ภายในงาน สุรินทร์เดินปะปนกับกลุ่มคน ขณะที่อำนาจย่องออกไปสับคัทเอาต์ไฟ ทันใดนั้นเองทั่วทั้งห้องก็มืดสนิท พร้อมๆ กับกลุ่มของสุรินทร์เคลื่อนตัวเข้ามารวดเร็วแบบนินจา เห็นเป็นเงาเลือนลาง และเร็วๆ พรึ่บๆๆๆ พวกมันตรงไปยังตู้เพชร เครื่องประดับ
มีเสียงทุบกระจก ตามด้วยเสียงปืนดังลั่น ผู้คนร้องกรี๊ดอย่างตกใจ ส่วนด้านนอก ยินเสียงเจ้าอุรคาร้องกรี๊ดอย่างตกใจ ตามด้วยเสียงของสุบรรณที่ถามอย่างตระหนก มือยื่นไขว่คว้าหาเจ้าอุรคา
“เจ้าอุรคา คุณอยู่ไหน เจ้าอุรคา”
เงียบไม่มีเสียงตอบจากเจ้าอุรคา รอบข้างมืดมิดไปหมด มีเพียงสุรินทร์ในคราบนินจาที่เคลื่อนตัวมารวดเร็วตรงมายังร่างของสุบรรณ และก็มีเสียงปืนดังดึกก้องขึ้น
สุบรรณร้องลั่นอย่างเจ็บปวด พร้อมๆ กับที่ไฟสว่างพรึ่บขึ้น ร่างของสุบรรณล้มลงกับพื้น ถูกยิงที่แขน และเจ้าอุรคาก็หายไปแล้ว ภุชคินทร์ และสุบรรณมองหน้ากัน อย่างแปลกประหลาดใจ
ผู้คนต่างตื่นตระหนก เฟื่องวลียืนกอดกับเฟื่องฟ้า สองแม่ลูกเนื้อตัวสั่น เมื่อเห็นคนถูกยิงนอน
เกลื่อน ทั้งหมดเป็นผู้ชาย
“แอร๊ยย มีคนตาย!” สองแม่ลูกประสานเสียง
ทุกคนต่างระทึกขวัญ นารีวรรณ นาถสุดา อยู่กับหม่อมภาณี ภิงคารและไพศิษฐ์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่อื่นๆ ตรวจดูเหตุการณ์อย่างตกใจ ไพศิษฐ์และตำรวจมีปืน ทุกคนเห็นตู้กระจกที่เก็บเครื่องประดับโชว์แตกกระจายเจ้าประกายคำร้องกรี๊ด
“เพชร เพชรของฉัน ถูกขโมยไปหมดเลย”
ทุกคนฮือฮาเข้าไปใหญ่ จากตอนแรกที่ตกใจเสียงปืนยังไม่ทันมองอย่างอื่น ภิงคารเดินมาดูตกใจสั่งเสียงเข้ม
“กระจายกำลัง ตามล่าตัวคนร้ายมาให้ได้”
ตำรวจแยกย้ายกันออกไปรวมทั้งไพศิษฐ์ด้วย หม่อมภาณีเดินไปหาเจ้าประกายคำ ปลอบใจ
“ทำใจดีๆ ไว้ก่อนค่ะเจ้า คนร้ายอาจจะยังหนีไปไม่ไกล
ภิงคารโมโห “มันบ้ามาก ที่กล้ามาล้วงคองูเห่าถึงขนาดนี้”
“จริงด้วยค่ะคุณอา ผู้หลักผู้ใหญ่อยู่กันเต็มงานเลยมันยังกล้า แล้วดูซิ...ยิงกันตายตั้งหลายคน” เฟื่องวลีเสริม
“แล้วมันได้อะไรไปบ้างคะ?” เฟื่องฟ้าถาม แล้วก็ตอบเองเมื่อเห็นตู้เพชรว่างเปล่า “ต๊าย!!มันได้ไปหมดเลย”
“ไม่หมดค่ะ ....ของ...ของเจ้าอุรคายังอยู่ครบทุกอย่างเลย” เจ้าประกายคำบอก
ทุกคนหันขวับไปมองที่ตู้เครื่องประดับของเจ้าอุรคา ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยของการถูกทุบ อัญมณีในนั้นยังส่งแสงทอประกาย ทุกคนฮือฮายกใหญ่ ตรงไปดูตู้กระจกที่มีอัญมณีของเจ้าอุรคาอย่างทึ่ง หม่อมภาณีร้องถาม
“เจ้าอุรคาล่ะคะ เจ้าอุรคาอยู่ไหน”
ทุกคนกวาดสายตามอง แต่ไม่มีร่างของเจ้าอุรคาแต่อย่างใด มีเพียงภุชคินทร์ประคองร่างสุบรรณเข้ามา นาถสุดาเห็นตกใจหน้าซีดเผือด
“พี่สุบรรณถูกยิง”
“ชาย รีบพาท่านสุบรรณส่งโรงพยาบาลเร็ว” ภิงคารสั่ง
“ไม่เป็นไร กระสุนแค่ถากไปนิดเดียว” สุบรรณบอก
“นิดเดียวที่ไหนคะ เลือดท่วมเลย ไปโรงพยาบาลกันดีกว่าค่ะ” นาถสุดาท้วง
ภุชคินทร์ และนาถสุดาประคองพาสุบรรณออกไป ท่ามกลางความตกใจของทุกคน ที่เห็นศพนอนเกลื่อน เลือดซึมไหลลงสู่พื้นพรมเป็นทาง
ที่เฮือนภูจำปาค่ำคืนนั้น มีเสียงหัวเราะของเจ้าอุรคาดังออกมาจากในนั้น มันโหยหวนกังวานก้องสะใจ เรือนทั้งหลังไหวเอนตาม ราวกับร่วมสรวลเสเฮฮาไปด้วย ขณะที่ต้นพญานาคราชก็ชูช่อเริงระบำ งูใหญ่น้อย เลื้อยอยู่กลางบริเวณสวน เริงร่าอาบแสงจันทร์ มีความสุขอย่างล้นเหลือ
วันต่อมาสุบรรณนอนอยู่บนเตียงในห้องคนไข้ในโรงพยาบาล ข้างๆ เตียงมีไพศิษฐ์กับนาถสุดา ยืนอยู่ ส่วนอำนาจยืนหลบอยู่อีกมุม อารักขาอย่างดี ไพศิษฐ์เอ่ยถามความเห็น
“นักข่าวรออยู่ด้านนอกเต็มไปหมดเลยครับท่าน จะอนุญาตให้พวกเค้าเข้ามาเยี่ยมมั้ยครับ”
“ไม่ดีกว่า ผมอยากพักผ่อน อีกอย่างผมยังไม่พร้อมจะตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน”
ฟังที่สุบรรณบอก นาถสุดาทำหน้างง “นาถว่า...ไม่เห็นว่ามีอะไรน่าเสียหาย เพราะคนเสียหายคือพี่ นอกซะจากว่าพี่สุบรรณอยากจะปกป้องใครบางคน”
“พี่จะปกป้องใคร” สุบรรณเสียงขุ่น
“ก็เจ้าอุรคาไงคะ” นาถสุดาว่า
สุบรรณอึกอัก “เจ้าอุรคาเกี่ยวอะไรด้วย พี่แค่ไม่อยากให้ภาพออกไปไม่ดี เมื่อคืนเป็นงานใหญ่ แขกเหรื่อก็มีแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ แต่กลับให้คนร้ายที่ไหนก็ไม่รู้ มาโจรกรรมเครื่องเพชรไปซะได้ แถมยังมีคนตายอีก”
อำนาจยืนนิ่ง แต่สีหน้าดูมีเลศนัย
ไพศิษฐ์หน้าเจื่อนค้อมศีรษะให้ “เป็นความผิดของผมเองครับท่าน ที่อารักขาท่านไม่ดีพอ”
“คราวหน้าก็ปรับปรุงตัวหน่อยแล้วกัน”
นาถสุดาแก้ต่างให้ไพศิษฐ์ด้วยท่าทางไม่พอใจ
“แต่จะโทษคุณศิษฐ์คนเดียวก็ไม่ได้นะคะ เพราะอยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบของอำนาจเหมือนกัน”
อำนาจหันมามองนาถสุดาอย่างไม่พอใจ แต่นิ่งเงียบ นาถสุดาว่าต่อ
“อีกอย่างพี่สุบรรณอยากออกไปตามลำพังกับ...” นาถสุดาเน้นเสียง “เจ้าอุรคาเอง แล้วพอเกิดเรื่อง เจ้าอุรคาหายไปไหนเสียล่ะคะ”
สุบรรณเงียบตอบไม่ได้ ได้แต่ชักสีหน้าไม่พอใจ
ไพศิษฐ์ขยิบตาส่งสัญญาณไม่ให้นาถสุดาพูด บรรยากาศในห้องอึมครึม
นาถสุดาเดินหน้าหงิกมาตามทางปล่อยอารมณ์เต็มที่ ไพศิษฐ์เดินตามพยายามพูดให้เย็นลง
“ไม่เอาน่านาถ เรื่องแค่นี้อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์เลย”
“ไม่ได้หรอกค่ะ นาถเป็นห่วงพี่สุบรรณ แต่พี่สุบรรณไม่เคยห่วงตัวเองเลย กี่ครั้งแล้วคะที่ต้นเหตุเกิดจากผู้หญิงคนนั้น แล้วเค้าก็ไม่เคยมาดูดำดูดีพี่สุบรรณเลย”
ไพศิษฐ์เงียบไป นาถสุดาถาม
“คุณเห็นด้วยกับนาถใช่มั้ยคะ? นาถไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าพี่สุบรรณสนใจอะไรกับผู้หญิงคนนั้น ทั้งๆ ที่ ที่ผ่านมา พี่สุบรรณไม่เคยสนใจใครเลย”
“ถ้าอย่างนั้น มัน...ก็คงเป็นอะไรที่ถูกลิขิตมามั้งนาถ”
“พรหมลิขิต” นาถสุดากลั้วหัวเราะ “คนอย่างพี่สุบรรณน่ะหรือคะ จะเชื่อพรหมลิขิต”
“ผมไม่ได้บอกว่าท่านสุบรรณเชื่อ แต่ผมว่ามันเป็นพรหมลิขิต ถึงทำให้ท่านสุบรรณสนใจเจ้าอุรคาตั้งแต่แรกเห็นยังไงล่ะ?”
นาถสุดาชักสีหน้าท่าทางไม่พอใจ
ท่ามกลางความมืด ภุชคินทร์กับไพศิษฐ์เดินเล่นด้วยกันตามทางในวังนาเคนทร์ ภุชคินทร์พูดด้วยท่าทางนิ่งๆ
“มันคงเป็นอย่างนายพูดจริงๆ นายศิษฐ์ เรื่องของท่านสุบรรณกับเจ้าอุรคา เป็นพรหมลิขิต”
ไพศิษฐ์กลั้วหัวเราะแบบไม่เชื่อหูตัวเอง “ฉันก็แค่พูดเล่นๆ ไหงครั้งนี้ นายเชื่อเร็วจังวะ”
“เพราะคืนนั้นฉันได้ยิน ท่านสุบรรณสารภาพรักเจ้าอุรคาน่ะสิ”
ไพศิษฐ์อึ้ง “เฮ้ย จริงสิ!”
“จริง”
ภุชคินทร์ตอบด้วยน้ำเสียงแปร่งปร่า และไม่เข้าใจตัวเอง ไพศิษฐ์ทำหน้างง
“ทำไมมันเร็วอย่างนั้นวะ”
ภุชคินทร์พูดกลั้วหัวเราะ แต่ตาหมองลง “ก็อย่างที่นายบอก มันคงเป็นพรหมลิขิตไง”
“มาเร็ว เคลมเร็ว ยังกับพวกมาโจรกรรมเพชรเมื่อคืน” ไพศิษย์นึกอะไรได้ “เฮ้ย!!ชาย”
“อะไร”
“หรือว่า เจ้าอุรคาจะเกี่ยวกับการโจรกรรมเพชรวะ”
คราวนี้ภุชคินทร์จ้องไพศิษฐ์เขม็ง ไพศิษฐ์บอกเร็วปรื๋อ
“นายก็เห็น พอเกิดเรื่องเจ้าอุรคาหายตัวไปทันที”
ภุชคินทร์เห็นด้วย “ซ้ำเครื่องประดับของเจ้าอุรคาก็ยังอยู่....กระจกไม่ได้มีรอยแตก รอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียว อาจจะเป็นอย่างที่นายว่าก็ได้ศิษฐ์”
สองหนุ่มมองหน้ากันอย่างมาดมั่น เจ้าอุรคาตกเป็นผู้ต้องสงสัยอีกครา
เวลาเดียวกัน เฮือนภูจำปาเด่นตระหง่านอยู่ในบรรยากาศสลัว ทั่วทั้งบริเวณอึมครึ้มน่ากลัว ส่วนภายในเฮือนเจ้าอุรคายืนนิ่งอยู่ ด้านหลังมีชรายุคอยรับใช้ สายตาทั้งคู่เห็นรถที่มีไพศิษฐ์เป็นคนขับ และภุชคินทร์นั่งข้างๆ กำลังวิ่งเข้ามาตามทาง จุดหมายที่มุ่งมาคือเฮือนหลังนี้
“อนุญาตมั้ยคะเจ้า” ชรายุถามเจ้าอุรคา
“สำหรับท่านภุชเคนทร์คนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่น เจ้าคงรู้ ว่าต้องจัดการอย่างไร”
“เจ้าค่ะ”
สองนายบ่าวมองสบตากันนิ่ง ก่อนจะมองตรงไปยังรถของไพศิษฐ์ที่กำลังวิ่งตรงเข้ามา
ทางฝั่งไพศิษฐ์หันมาถามภุชคินทร์ เหมือนไม่แน่ใจ เพราเคยคว้าน้ำเหลวกันมาแล้ว
“เราจะเจอบ้านเจ้าอุรคาหรือเปล่าวะนายชาย”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”
สองหนุ่มมองหน้ากันแบบไม่มั่นใจนัก ไพศิษฐ์เหยียบคันเร่งอย่างแรง
ที่สุดรถของไพศิษฐ์ก็มาจอดนิ่งอยู่หน้าเฮือนภูจำปา สองเกลอเห็นเฮือนภูจำปาตั้งตระหง่านในแสงสลัว ต้นพญานาคราชที่ยืนต้นอยู่หน้าเฮือชูกิ่งขึ้น ราวกับอสรพิษเริงร่า สองหนุ่มมองหน้ากันท่าทีหวาดๆ ไพศิษฐ์ตื่นเต้นถามเสียงรัว
“ทำไมฉันไม่เคยเห็นบ้านหลังนี้มาก่อน” หันมามองภุชคินทร์ “อย่าบอกนะนายชาย ว่านี่คือ เฮือนภูจำปา”
ภุชคินทร์มองในอาการทึ่งๆ เหมือนกัน “ฮื่อ! นี่ล่ะเฮือนภูจำปา”
“มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ? ก็ครั้งที่แล้ว เราก็ขับรถมาวนหาตามเส้นทางนี้แต่ไม่ยักเจอ” ผู้กองไพศิษฐ์ประหลาดใจไม่หาย
“นี่ล่ะคือความน่าสนใจของเจ้าอุรคาที่ฉันอยากพิสูจน์ ถ้าทำเรือนทั้งเรือนให้หายไปได้ กะอีแค่โจรกรรมเพชร ทำไมจะไม่ได้” ภุชคินทร์ว่า
สองหนุ่มเปิดประตูลงจากรถ ทันใดนั้นเองประตูรั้วของบ้านก็เปิดออกราวกับรู้การมาเยือน สองหนุ่มมองหน้ากัน ใจเต้นตึกตัก ทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะของเจ้าอุรคาก็ดังขึ้นเบาๆ พร้อมๆ กับร่างระหงงามสง่าเดินผ่านประตูเฮือนออกมาทักทาย เหมือนรู้ความในใจผู้มาเยือนยามวิกาล
“ไม่ได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์พันลึกอะไรหรอกค่ะ ที่ประตูจะเปิดออกได้ ดิฉันก็แค่มองทุกอย่างผ่านกล้องวงจรปิดเท่านั้นเอง”
พูดจบเจ้าอุรคาก็เดินหันหลังกลับเข้าไปในเฮือน ด้วยท่วงท่าเนิบช้านุ่มนวล แต่น่าแปลกที่สองหนุ่มเดินตามเจ้าอุรคาไม่ทันสักที
สองหนุ่มอยู่ด้านในอาณาบริเวณของเฮือนภูจำปาแล้ว ต่างมีท่าทางเหนื่อยหอบตามๆ กัน ไพศิษฐ์บ่นตามนิสัย
“เจ้าอุรคาไปไหน หายไปเร็วซะจริง”
ภุชคินทร์ตอบขวางๆ “ก็บ้านเค้า หลับตาเดิน ก็ยังเดินเร็วกว่าเรามั้ง”
สองเกลอกวาดสายตามองไปยังรอบๆ บริเวณบ้าน ที่หลายสิบไร่ มีหลายมุม หลายทาง จนเดาแทบไม่ถูก ว่าจะตามเจ้าอุรคาไปทางไหนดี?
“กว้างตายโหง จะตามเจ้าอุรคาไปทางไหนดีวะชาย? ฉันว่าเราน่าจะไปทางนั้น” ไพศิษฐ์ออกไอเดีย
“งั้นฉันไปทางนี้” ภุชคินทร์พยักหน้าไปอีกทาง
ไพศิษฐ์ฉงน “อ้าว! แล้วทำไมไม่ไปด้วยกันวะ”
“แยกกันดีกว่า จะได้ถือโอกาสสำรวจพื้นที่ไปด้วย บางทีเราอาจจะเจอเพชรที่ถูกโจรกรรมมาซ่อนอยู่ที่นี่ก็ได้”
“ก็ได้ แล้วเจอกัน”
สองหนุ่มแยกกันไปคนละทาง เจ้าอุรคามองดูสองหนุ่มอย่างเงียบๆ ดวงตาที่จดสายตาเพ่งมองภุชคินทร์มีความโศกเศร้าเจืออยู่
ภุชคินทร์เดินเข้ามายังบริเวณบ้านของเจ้าอุรคา พลางส่งเสียงเรียกหา
“เจ้าอุรคา คุณอยู่ไหน เจ้าอุรคา”
เงียบไม่มีเสียงตอบ ภุชคินทร์เดินต่อไป แต่เมื่อสายตาเห็นรูปปั้นครุฑจิกพญานาค ภุชคินทร์รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย
“โอ๊ย..ทำไมเจ็บอย่างนี้”
ราชนิกูลหนุ่มนิ่วหน้า ราวกับเป็นพญานาคตัวนั้น แต่ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้คร่ำครวญแว่วดังมา
ราวกับถูกมนต์สะกด ภุชคินทร์เดินตามเสียงไปทันที
ภุชคินทร์เดินมาถึงบริเวณที่นั่งเล่นมีโขดหินด้านนอกเฮือน ร่างของสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ด้วยท่วงท่าเดียวกับที่ภุชคินทร์ฝันถึงภุชคินทร์หัวใจเต้นระรัว ค่อยๆ เดินไปหา ยื่นมือออกไปจะแตะ แต่ก่อนที่มือจะสัมผัสร่าง สตรีผู้นั้นก็หันมา ภุชคินทร์ก็ผงะ เมื่อเห็นดวงหน้าชัดเจน
“เจ้าอุรคา”
“ใช่! ดิฉันเอง ไม่ใช่ขโมยขโจรที่พวกคุณกำลังตั้งใจตามหากันหรอก”
เจ้าอุรคาตัดพ้อ มองภุชคินทร์อย่างน้อยใจ
มณีสวาท ตอนที่ 3 (ต่อ)
ฟากไพศิษฐ์เดินสำรวจจนทั่วบริเวณ อยู่ในอาการเหนื่อยหอบ พลางบ่นกับตัวเอง
“ไม่เห็นมีอะไรเลย แหงล่ะ! ขโมยที่ไหนจะซ่อนของไว้กับตัว”
ไพศิศฐ์กวาดสายตามองไปทั่วๆ
“บ้านหลังนี้บรรยากาศแปลกๆ”
จู่ๆ ชรายุก็ส่งเสียงทักทายมาจากด้านหลัง “แปลกอย่างไรคะ”
ไพศิษฐ์สะดุ้งโหยง หันขวับมาก็เห็นชรายุยืนนิ่งอยู่
“อย่างไรคะ” ชรายุถามคาดคั้นอย่างวางอำนาจ “ดิฉันถาม ที่นี่แปลกอย่างไร”
ไพศิษฐ์ฉุนนิดๆ ท่าทางของชรายุที่มองมาดูกวนๆ “ก็อย่างที่เห็น เหมือนไม่ใช่บ้านคน”
ชรายุประชด “ถ้าไม่ใช่บ้านคน งั้นฉันก็คงเป็น”
ไพศิษฐ์ยิ่งฉุนเข้าไปใหญ่ “คงงั้นมั้ง”
“ผี...หน้าตาเป็นอย่างนี้ไหมคะ”
พูดจบชรายุก็ดึงปิ่นปักผมออก ผมยาวสลวยสีดำขลับสยายลงมา ก่อนที่ชรายุจะเงยหน้าขึ้น สายตา ชรายุที่มองมาช่างน่ากลัวเหลือเกิน ผู้กองไพศิษฐ์ร้องลั่น
“เฮ้ย! ผีหลอก”
“ก็ผีน่ะสิ”
ไพศิษฐ์จ้องหน้าชรายุนิ่ง ท่าทางตื่นกลัว ชรายุหัวเราะเดินเข้าไปใกล้ๆ แต่ต้องชะงักเมื่อมีเสียงของเจ้าอุรคาดังขึ้น
“หยุด! ชรายุ”
ชรายุหยุดไพศิษฐ์ก็หยุดหันมามอง เห็นเจ้าอุรคาเดินเคียงมากับภุชคินทร์ เจ้าอุรคาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบแต่ดุในเนื้อเสียง
“ที่นี่ไม่มีผีมีสาง ไม่มีขโมยขโจร ถ้าผู้กองและคุณชายอยากเจอสองสิ่งนั้น ควรไปหาที่อื่น”
สองหนุ่มมองหน้ากัน ไพศิษฐ์มองไปทางภุชคินทร์ ส่งสายตาเป็นเชิงตำหนิ นายบอกหรือ ภุชคินทร์ส่ายหน้าดิกๆ เจ้าอุรคาว่าต่อ
“ถึงไม่มีใครบอก ดิฉันก็ทราบ เกิดคดีสะเทือนขวัญกลางเมือง แต่จู่ๆ ดิฉันก็หายไป ซ้ำเครื่องประดับของต้นตระกูลยังอยู่ครบทุกชิ้น เป็นใคร..ก็คงจะต้องสงสัย” เจ้าหญิงผู้ลึกลับเหยียดยิ้มขณะพูดประโยคต่อมาแจงเหตุผล
“คืนนั้นฉันตกใจมาก และไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อันใดที่จะต้องอยู่เป็นไทยมุง อีกอย่าง ทรัพย์มรดกของตระกูลดิฉันเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ต้นตระกูลจึงใช้กระจกนิรภัยอย่างดี ต่อให้คนเอาเหล็กมาทุบ หรือเอาปืนมายิง กระจกก็ไม่แตกหรอกค่ะ”
สองหนุ่มมองหน้ากันแทบจะอ้าปากหวอ เจ้าอุรคายิ้มเยือกเย็นแล้วว่าต่อ
“นี่เป็นครั้งแรกที่ดิฉันพูดยาวขนาดนี้ คุณสองคนคงเข้าใจ ชรายุส่งแขก”
เจ้าอุรคาพูดแค่นั้นก็หมุนตัวเข้าไปในตัวบ้าน สองหนุ่มมองหน้ากัน ถูกไล่นิ่มๆ
ชรายุผายมือ “เชิญ ประทีป”
ชรายุพูดแต่ตัวไม่ขยับ คนที่ขยับเข้ามาคือหนุ่มร่างใหญ่ นามประทีป เนื้อตัวดำมะเมื่อม จนขึ้นเงา
คล้ายเกล็ดงู ประทีปเดินนำสองหนุ่มไปยังประตู ที่งงๆ เพราะถูกไล่กลับอย่างไม่รู้ตัว
ประทีปเดินนำภุชคินทร์และไพศิษฐ์เดินมายังประตูและเปิดให้ สองหนุ่มเดินตรงไปยังรถ พริบตานั้นประทีปกลายร่างเป็นงู เลื้อยหายเข้าไปในพงหญ้า สองหนุ่มหันกลับมา ร่างของประทีปหายไปเสียแล้ว ไพศิษฐ์กวาดสายตามองทั่วบริเวณ ร้องอย่างแปลกใจ
“เฮ้ย! หายไปไหนแล้ววะ เร็วจริงๆ”
ภุชคินทร์ยังหงุดหงิด และขวางเจ้าอุรคาอยู่ “ไม่เต็มใจจะส่งแขก ก็ปล่อยให้แขกเดินกลับออกมาเองก็ได้ หรือไม่ก็ มองผ่านกล้องแล้วปิดประตูก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย” พลางกวาดสายตามองมุมสูงเหนือรั้วประตู “เฮ้ย!!ศิษฐ์ ฉันไม่เห็นมีกล้องวงจรปิดติดไว้เลยว่ะ”
ไพศิษฐ์รีบกวาดสายตามองทั่วบริเวณอย่างสังเกต “ฉันก็ไม่เห็น”
สองหนุ่มมองหน้ากัน นับวันจะยิ่งแปลกใจ และสงสัยในตัวเจ้าอุรคาผู้ลึกลับมากขึ้น
เจ้าอุรคายืนอยู่ในเฮือนด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ชรายุพูดอย่างเคืองๆ
“เค้ามาร้าย ข้าเห็นว่า สมควรที่จะจัดการเค้า”
เจ้าอุรคาสีหน้าหม่นเศร้าลง “อย่าเพิ่ง เรามีงานต้องทำ”
ชรายุมองนายหญิงแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ตระหนักชัดว่าเหตุใดเจ้าอุรคาถึงไม่ทำร้ายภุชคินทร์ เจ้าอุรคาหันมาพูดเหมือนรู้ความในใจของนางกำนัลคนสนิท
“ ไม่ใช่ ว่าเรายังตัดใจจากท่านภุชเคนทร์ไม่ได้ชรายุ แต่เรามีงานต้องทำ เรามีงานต้องทำ”
นัยน์ตาของเจ้าอุรคาเป็นประกายวาววับน่ากลัว
ที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของสุบรรณคืนนี้ เห็นงูตัวหนึ่งเลื้อยผ่านพงหญ้าเข้าไปตามทางในอาณาบริเวณของคฤหาสน์
ภิงคารเดินคุยกับสุบรรณที่บริเวณไหล่มีผ้าพันแผล อำนาจเดินตามหลังคอยดูแล ภิงคารเอ่ยขึ้น
“ผมดีใจจริงๆ ที่ท่านสุบรรณไม่เป็นอะไร เพราะจากสภาพของคนที่ตายในที่เกิดเหตุ คนร้ายมันตั้งใจยิงจริงๆ นัดเดียวดับ”
“คนร้าย คงไม่ได้ตั้งใจทำร้ายผมหรอกครับ ผมคงจะไปขวางทางระหว่างที่มันหลบหนี”
“ผมว่าน่ามีเงื่อนงำอะไรเกี่ยวกับการตายของเสี่ยปิง” ภิงคารตั้งข้อสังเกต
สุบรรณแกล้งถามซื่อๆ “ทำไมครับ”
“ก็คนที่ตาย เป็นคู่แข่งทางธุรกิจของเสี่ยปิงกันทุกคน ทางเจ้าหน้าที่เลยตั้งสันนิษฐานกันว่า อาจจะเป็นการฆ่าล้างแค้นแทนเสี่ยปิง และคนร้ายก็คงเป็นพวกเสี่ยปิง”
อำนาจฟังอยู่สีหน้ามีเลศนัย สุบรรณแกล้งพยักหน้าซื่อๆ สลด
“ถ้าจองเวรจองกรรมกันอย่างนี้ คงไม่มีวันจบ”
“คนเลวฆ่าคนเลว ก็ช่างมันเถอะครับ แต่ถ้าคนดีๆ ต้องมาโดนลูกหลงอย่างท่าน ผมว่าเป็นเรื่องไม่สมควร ดูแลตัวเองด้วยนะครับท่าน ผมจะช่วยกระตุ้นให้จนท.ตำรวจ ตามล่าตัวคนร้ายให้เร็วที่สุด”
“ขอบคุณมากครับท่าน”
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ”
ภิงคารเดินออกไปพร้อมกับคนติดตาม
ทันทีที่รถของภิงคารขับแล่นออกไปบ้าน สุรินทร์กระโดดฉับๆๆๆแบบนินจาเข้ามาหา สุบรรณยิ้มเหี้ยม
“ทำดีมากสุรินทร์ ของล่ะ”
“ผมเก็บไว้ในที่ปลอดภัยแล้วครับท่าน” อำนาจตอบแทน
“เสียดาย...ที่เป็นของเจ้าอุรคา ผมเอามาไม่ได้”
คราวนี้สุบรรณมองหน้าสุรินทร์อย่างฉงนปนสนใจ สุรินทร์บอก
“กระจกนิรภัยตู้นั้น หนาและแข็งมาก ผมยิงก็ไม่เข้า จะทุบยังไงก็ไม่แตก จะยกเอามาด้วย ก็ไม่ไหว มันหนักเหลือเกิน”
สุบรรณทึ่ง “กระจกวิเศษอะไรกัน เกิดมาฉันไม่เคยได้ยิน”
“นั่นสิครับท่าน...กระจกอะไรจะวิเศษขนาดนั้น ผมก็เพิ่งเคยเจอ น่าเสียดาย ของจากตระกูลของเจ้าอุรคามีแต่น้ำงามๆ ทั้งนั้น” อำนาจว่า
“จะเสียดายทำไม” สุบรรณพูดเสียงจริงจัง และทรงอำนาจ “วันใดที่ฉันได้ครอบครองเจ้าอุรคาของพวกนั้นก็ต้องเป็นของฉันอยู่ดี”
สุบรรณยิ้มเยื้อน ดวงตาเจ้าเล่ห์ ไม่มีความอบอุ่น สุภาพ เหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น
งูตัวนั้นนอนนิ่ง ฟังอยู่อย่างสงบ มีเพียงดวงตาที่เบิกโพลงในความมืด
ท้องฟ้าดำทะมึนเหนือเฮือนภูจำปา เสียงฟ้าคะนองกึกก้องน่ากลัว ส่วนด้านใน เจ้าอุรคาเขม้นตามองสุบรรณด้วยดวงตากราดเกรี้ยว
“ไม่มีทาง พญาสุบรรณไม่มีทาง”
เจ้าอุรคาตะโกนกึกก้องแข่งกับเสียงฟ้าร้องน่ากลัวนั้น ขณะที่เหล่าอสรพิษด้านนอก ชูคอแผ่แม่เบี้ย รอคำสั่งทำงานจากเจ้านาย
ที่บ้านพันเอกนรินทร์วันต่อมา นายพันนอกราชการนั่งสมาธิอยู่ในห้องพระ ภาพในนิมิตเห็นร่างของสุบรรณถูกงูรัด เจ็บปวดทรมานเหลือแสน
นรินทร์สะดุ้ง ลืมตาขึ้น หลุดจากนิมิตทันที
ภายในร้านขายของเก่าเล็กๆ ของนาถสุดา ซึ่งเวลานั้นนาถสุดากำลังปัดกวาดเช็ดถูภายในร้าน และข้าวของที่นำมาขายต่างๆ นาถสุดาปัดไปโดนบางสิ่งจนตกลงพื้น นาถสุดาร้อง รีบก้มลงหยิบมาดู เห็นเป็นไม้แกะสลักรูปพญานาค หญิงสาวขมวดคิ้ว สงสัย ร้องเรียกหาคนดูแลร้าน
“มะลิ...มะลิ”
มะลิวิ่งเข้ามาทันที “คะคุณนาถ”
นาถสุดายื่นให้ดู “ไม้แกะสลักพญานาคมีตั้งแต่เมื่อไร ทำไมฉันไม่เคยเห็น”
มะลินึกได้ “อ๋อ! คุณยายอติศรีเอามาให้คุณนาถค่ะ พอดีหนูลืมบอก”
“อ้อ! งั้นหรือ”
นาถสุดาพยักหน้า เด็กมะลิเข้าไปในร้าน ขณะที่เสียงมือถือดัง นาถสุดกดรับ
“คะพ่อ”
“ตามสุบรรณให้พ่อที” นรินทร์โทร.มาจากบ้าน น้ำเสียงร้อนใจ
“มีอะไรหรือคะพ่อ”
“เถอะน่า”
“ค่ะๆ”
นาถสุดาวางสายจากนรินทร์ แล้วกดมือถือหาสุบรรณทันที
ไม่นานหลังจากนั้นรถของสุบรรณขับเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน พร้อมๆ กับรถของนาถสุดาที่แล่นเข้ามาจอด สองคนเดินเข้ามา ทันทีที่เจอหน้านาถสุดา สุบรรณก็ถามสงสัย
“มีอะไรด่วนหรือนาถ”
“นาถก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
นรินทร์เดินออกมา สายตามองที่คอของสุบรรณแต่ไม่เห็นสิ่งที่เคยให้ จึงถามทันที
“เธอไม่ได้สวมเชือกกล้วยที่อาให้หรือ”
“คุณอาคงไม่ได้เรียกผมมาถามเรื่องแค่นี้นะครับ”
“เรื่องแค่นี้ล่ะที่อาอยากรู้ ทำไมเธอไม่สวมเชือกกล้วยที่อาให้”
สุบรรณทำหน้าปุเลี่ยนๆ “เอ่อ..ผมว่ามันตลก”
“อาบอกแล้วนะสุบรรณ ไม่เชื่อ แต่อย่าลบหลู่ ปีนี้เป็นปีชงของเธอ เธอควรระวัง”
“ถ้าพี่สุบรรณกลัวมันเชย เดี๋ยวนาถให้เพื่อนที่ออกแบบเครื่องประดับมาออกแบบให้มั้ยคะ” นาถสุดาว่า
นรินทร์จ้องหน้า “หรือเธอทิ้งมันไปแล้ว”
“เปล่าครับ ผมยังไม่ได้ทิ้ง”
นรินทร์เร็วปรื๋อดูจะเป็นห่วงมาก “แล้วอยู่ที่ไหน”
สุบรรณทำท่านึก “รู้สึกว่าจะวางไว้ในรถครับ”
ด้านอำนาจที่จอดรถรอสุบรรณอยู่ ตรวจตราความเรียบร้อยในรถ แล้วก็เห็นเชือกกล้วยเก่าๆ วางไว้ อำนาจหยิบขึ้นมาและเดินมาทิ้งลงในถังขยะหน้าบ้านอย่างไม่สนใจ
รถขยะกทม.แล่นมาพอดี พนักงานเทขยะใส่รถ แล้วเคลื่อนรถออกไป สุบรรณ นรินทร์ และนาถสุดาวิ่งออกมา สุบรรณเดินตรงมาที่รถ หาเชือกกล้วย อำนาจถามอย่างสงสัย
“หาอะไรครับนาย”
“เชือกกล้วย”
“อ๋อ! ผมเพิ่งทิ้งไปเมื่อกี้นี้เองครับ ใครไม่รู้เอามาวางไว้สกปรก” อำนาจบอกหน้าเฉย
สุบรรณยังไม่เท่าไหร่ แต่นรินทร์หน้าเสียขึ้นมาทันที สุบรรณรีบบอก
“คุณอาถักให้ผมใหม่ก็ได้ครับ คราวนี้ผมจะใส่ไม่ยอมถอดเลย”
“อาก็อยากทำอย่างนั้นะสุบรรณ แต่อาทำไม่ได้”
“ทำไมล่ะคะพ่อ” นาถสุดาแปลกใจ
“ทุกอย่างมีวันเวลาของมัน เชือกกล้วยก็เหมือนกัน อาคงต้องรอเวลา ที่เหมาะสมอีกที”
นรินทร์ทำหน้าเคร่งกังวลหนัก สุบรรณ กับนาถสุดามองนรินทร์อย่างไม่เข้าใจ
ตกกลางคืนสองพ่อลูกอยู่ในบ้าน นาถสุดาจัดสำรับอาหารขึ้นโต๊ะพลางถามนรินทร์
“พี่สุบรรณกำลังมีอันตรายใช่มั้ยคะพ่อ”
“ใช่!! สุบรรณกำลังมีอันตราย”
“แล้วเชือกกล้วย ป้องกันอันตรายให้พี่สุบรรณได้ยังไงคะ”
“งูมันกลัวเชือกกล้วย มันกลัวว่าจะรัดมัน”
นาถสุดาทำหน้างงไปใหญ่ “แล้วงูมาเกี่ยวอะไรด้วยคะ”
“ก็งูเป็นเจ้ากรรมนายเวรของสุบรรณ”
“งู?”
นาถสุดาทวนคำ งุนงงสนเท่ห์ไปใหญ่
วันต่อมาสองแม่ลูกนั่งหน้าหงิกหน้างอยู่ในห้องโถงบ้านภิงคาร ขณะหยิบหนังสือพิมพ์มาพลิกๆ ดู วางลงแทบทุกฉบับ แล้วหยิบนิตยสารมาพลิกๆๆ ดู วางลงเหมือนเดิมอีก ก่อนที่เฟื่องฟ้าจะบ่น
“ไม่มีข่าวของลูกกับคุณชายเลย”
“นั่นน่ะสิคะ ทำไมฟีบี้ถึงได้ซวยอย่างนี้ อุตส่าห์ได้ถ่ายรูปกับพี่ชายตั้งหลายรูป แต่ไม่มีใครสนใจเอาไปลง ลงแต่ข่าวฆ่าคนตาย โจรกรรมเพชร ไม่ก็เรื่องแปลกประหลาดที่อัญมณีของยัยเจ้าขี้คุยไม่ถูกฉกไป” เฟื่องวลีว่า
“นั่นน่ะสินะ...ทำไม มรกตของแม่นั่น ไม่ถูกฉกเอาไป”
เฟื่องวลีทำท่าคิด ก่อนโพล่งขึ้น “หรือว่าของแม่นั่นจะเป็นของปลอมคะคุณแม่”
“ใช่...มันต้องเป็นของปลอมแน่ๆ เลยฟีบี้ โจรมันถึงไม่เอาไป โธ่เอ๊ย! คนอะไร ขี้คุยจริงๆ เลย”
“ไฮโซส่วนมากก็เป็นอย่างนี้ล่ะคะคุณแม่ ชอบอวดร่ำอวดรวยทั้งๆ ที่ความจริงมีแต่เปลือก”
เฟื่องฟ้าหน้าเจื่อนเหมือนถูกลูกสาวด่า “เอ่อ...ฟีบี้ไม่ได้ว่าเราใช่มั้ยลูก”
“คุณแม่ก็พูดแปลก ใครจะด่าตัวเองล่ะคะ อีกอย่างเราไม่ได้มีแต่เปลือกซักหน่อย ต่อไป พอฟีบี้แต่งงานกับพี่ชาย เราก็จะมีทุกอย่างทัดเทียมกับคนอื่น”
เฟื่องฟ้ายิ้มออก “ถ้าอย่างนั้นฟีบี้ต้องทำให้ได้นะลูก
“ฟีบี้น่ะพร้อมทำอยู่แล้วค่ะคุณแม่ แต่พี่ชายนะสิ....คุณแม่รู้สึกเหมือนฟีบี้มั้ยคะ ว่าพี่ชายก็ดูท่าจะสนใจยัยเจ้าขี้คุยนั่นเหมือนกัน” เฟื่องวลีออกอาการกระเง้ากระงอด
เวลาเดียวกัน เจ้าอุรคาเดินเล่นอยู่บริเวณสวนน้ำในสวนสวยที่เฮือนภูจำปา มีงูตัวน้อยใหญ่ คลอเคลียกันอยู่ตามริมขอบสระ ดวงหน้าสวยสง่า ยิ้มเยื้อนบางๆ ดวงตาเป็นประกายพึงพอใจ
ราวกับได้ยินคำพูดของเฟื่องวลียังไงยังนั้น
เช้าวันนี้ที่รัฐสภามีการประชุมคณะรัฐมนตรี บรรดา สส. และรัฐมนตรีทุกท่านทยอยกันเดินออกมา ภุชคินทร์ประกบภิงคาร ส่วนไพศิษฐ์และอำนาจประกบสุบรรณ
นักข่าวกรูกันเข้ามายื่นไมค์รวมจ่อถามสุบรรณ
“คดีคืบหน้าไปถึงไหนแล้วคะท่าน พอจะได้เบาะแสคนร้ายหรือยัง” นักข่าวคนหนึ่งถามนำขึ้น
“เท่าที่รู้ ยังไม่ทราบนะครับ ผมเองก็ไม่อยากกดดัน การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ” สุบรรณตอบมาดสุขุม
ไพศิษฐ์เสริม “ตอนนี้ทางตำรวจทำงานเต็มที่ครับ แล้วก็เชื่อว่า อีกไม่นาน คงสามารถจับกุมคนร้ายได้
นักข่าวอีกคนถามภิงคาร “แล้วมีอะไรเกี่ยวกับเจ้าอุรคามั้ยคะท่าน? เพราะอัญมณีที่เป็นต้นตระกูลของเจ้าอุรคาไม่ได้ถูกเอาไปเลย”
“จะเกี่ยวอะไรล่ะครับ เท่าที่ผมทราบกระจกที่ใส่อัญมณีของเจ้าอุรคาเป็นกระจกนิรภัยชนิดพิเศษที่ต้นตระกูลของเจ้าสั่งทำขึ้นมา” ภิงคารว่า
นักข่าวอีกคนหันไปถามความเห็นภุชคินทร์
“แล้วคุณชายล่ะคะ อาการปกติแล้วหรือยังคะ”
ภุชคินทร์ทำหน้างง นักข่าวคนเดิมถามต่อ
“ก็วันนั้น ทันทีที่เห็นอัญมณีของเจ้าอุรคา คุณชายก็หมดสติไปเลย อาการของคุณชายเหมือนกับวันที่เห็นรอยเท้าพญานาคที่ลำน้ำโขงเลยค่ะวันนั้นดิฉันก็อยู่ด้วย”
คราวนี้ทุกคนหันมามองภุชคินทร์เป็นตาเดียว
ตกกลางคืน หม่อมภาณีอยู่ในวังนาเคนทร์ กำลังนำเอากล่องเครื่องเพชร มาขัดถู มาส่องดูตามประสา โดยมีนารีวรรณช่วย หม่อมภาณีเอ่ยขึ้นเป็นเชิงปรารภกับภุชคินทร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“คิดไปคิดมา มันก็จริงอย่างที่นักข่าวถามนะลูก อาการของชายวันนั้นเหมือนกับที่ชายหมดสติที่น้ำโขงจริงๆ”
“พี่ชายเห็นอะไรในอัญมณีนั่นหรือคะ”
ภุชคินทร์ตอบห้วนๆ “จะเห็นอะไร”
นารีวรรณถามต่อเสียงอ่อยๆ “ไม่รู้สิคะ หนูนาเห็นพี่ชายทำท่าแปลกๆ”
“แล้วแม่ก็เห็นว่า อัญมณีของเจ้าอุรคาดูแปลกๆ เหมือนกัน ดูมันมีชีวิต มีเลือดเนื้อ แล้ววันนั้น ก็มีเพียงอัญมณีของเจ้าที่ไม่ได้ถูกเอาไป เพราะถ้าโจรมันจะยกจริงๆ ก็น่าจะยกไปได้” หม่อมแม่ของทั้งสองคนตั้งข้อสังเกต
“จริงด้วยค่ะคุณแม่ ต้องมีอะไรบังตาพวกโจรแน่ๆ เลย อู้ย... พูดแล้วขนลุก” นารีวรรณทำท่าขนลุกขนพอง
หม่อมภาณีโพล่งขึ้นมา “ชายแม่อยากเจอเจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์ฉงน “คุณแม่จะเจอเค้าไปทำไมครับ”
“ก็...แม่อยากรู้ประวัติอัญมณีประจำตระกูลของเจ้าทั้งนาคสวาท มรกต และครุฑธิการ แม่ว่ามันน่าสนใจมาก ราวกับมันมีปริศนาให้ค้นหา ชาย..ชายช่วยพาเจ้าอุรคามาหาแม่หน่อยได้มั้ยลูก บอกเจ้าว่าแม่เชิญรับประทานอาหารที่วัง”
ภุชคินทร์นิ่งไปนิดตอบแบบลำบากใจ
“ผมจะลองดูแล้วกันนะครับแม่”
ภุชคินทร์ทำหน้ายุ่งยาก ดูออกว่าไม่เต็มใจ
วันต่อมาไพศิษฐ์มาช่วยนาถสุดาเฝ้าร้าน สามคนอยู่ในร้าน จังหวะนั้นผู้กองหนุ่มโพล่งขึ้นแกมหัวเราะใส่ภุชคินทร์
“อะไร จะชวนฉันไปบ้านเจ้าอุรคา ไม่เอา ฉันไม่ไปหรอก ที่นั่นมีแต่ผีดิบ”
นาถสุดาถามอย่างสนใจ “ผีดิบ”
“ไม่มีหรอกจ้ะนาถ ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ก็คนที่บ้านของเจ้าอุรคาทื่อมะลื่อกันทุกคน” พลางทำท่าเลียนแบบชรายุคืนก่อน “เชิญ”
ภุชคินทร์หมั่นไส้ “นายก็พูดเกินไป”
“ไปเกินไปหรอก ยิ่งถ้าฉันขวัญอ่อนแล้วเจอหน้าแม่คนรับใช้เจ้ามีหวังวิ่งป่าราบไปแล้ว”
“ตกลงนายไม่ไป” ภุชคินทร์ถามย้ำ
ไพศิษฐ์หัวเราะ “พูดชัดขนาดนี้ นายยังจะคิดว่าฉันจะไปอีกเหรอ”
“เออ..ไปคนเดียวก็ได้ ไปก่อนนะครับคุณนาถ”
ภุชคินทร์เดินออกนอกร้านไป ไพศิษฐ์พยักเพยิดกับนาถสุดาขำๆ
“งอนๆ” ผู้กองตะโกนแซว “แล้วอย่าตกหลุมรักเจ้าอุรคาล่ะ เพราะท่านสุบรรณเค้าจองอยู่”
ภุชคินทร์ฟังแล้วยิ่งนึกขวาง แต่นาถสุดาขวางมากกว่าขณะย้อนถาม
“คุณศิษฐ์เอาอะไรมาพูดคะ ว่าพี่สุบรรณจองเจ้าอุรคา
“ก็...ท่านสุบรรณน่ะสิพูดเอง ท่านบอกว่า ท่านตกหลุมรักเจ้าอุรคา”
นาถสุดาทำตาโตแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน
ไม้แกะสลักพญานาคที่ถืออยู่ในมือแทบร่วงหล่นลงมา
มณีสวาท ตอนที่ 3 (ต่อ)
เย็นย่ำ สองพ่อลูกเดินคุยกันอยู่ในสวน นาถสุดาบอกกับบิดาเรื่องที่แฟนหนุ่มเล่า
“ตอนที่ได้ยิน นาถงงไปหมดเลยค่ะคุณพ่อ หนุ่มเนื้อหอมที่มีผู้หญิงมารุมรักอย่างพี่สุบรรณน่ะนะ จะตกหลุมรักเจ้าอุรคา”
“เรื่องของหัวใจ เรื่องของความรัก โดยเฉพาะเรื่องของเวรกรรม ไม่มีใครสามารถฝืนลิขิตได้”
“คุณพ่ออย่าบอกนะคะว่า เจ้าอุรคากับพี่สุบรรณเป็นเนื้อคู่กัน”
“พ่อไม่ใช่ผู้วิเศษจะบอกได้ยังไง ที่พ่อพูด ก็เพื่อให้นาถมีสติ ไม่ต้องคิดมาก ไม่สบายใจเพราะเรื่องบางเรื่อง ถ้าเบื้องบนท่านลิขิตมาแล้ว ก็ไม่มีใครฝืนได้” นรินทร์เตือนสติลูกสาว
“แต่นาถคนหนึ่งล่ะที่จะไม่ยอมให้พี่สุบรรณ ไปรักเจ้าอุรคาแน่ๆ”
“เพราะอะไร”
“นาถรู้สึก...ว่าผู้หญิงคนนี้น่ากลัว”
นาถสุดาตอบตรงๆ ไม่ทันเห็นว่าต้นพญานาคราชชูช่อไหวเอนไปมา ราวกับเห็นด้วยกับคำพูดของนาถสุดา
ฟากภุชคินทร์ขับรถมาจอดที่หน้าเฮือนภูจำปาท่าทีหวาดหวั่น เห็นแต่ความมืดอึมครึมน่ากลัวอยู่เบื้องหน้า ไม่ทันจะยกมือกดออด ประตูก็ถูกเปิดออกมา พร้อมกับร่างของเจ้าอุรคายืนรออยู่แล้ว ภุชคินทร์ผงะตกใจ
อุรคายิ้มบางๆ “ขอบคุณที่ให้เกียรติมาหาดิฉันถึงบ้าน”
“พอดี ผมมีธุระนิดหน่อย”
“ถูกค่ะ การที่ลูกทำเพื่อแม่ โดยเฉพาะทำแบบไม่ค่อยเต็มใจ ถือว่านิดหน่อยจริงๆ”
ภุชคินทร์อึ้งมองหน้าเจ้าอุรคาแน่วนิ่ง เธอพูดเหมือนรู้อีกแล้ว เจ้าอุรคาหัวเราะน้อยๆ ขณะบอกต่อ
“ดิฉันไม่รู้อะไรหรอกค่ะ ก็แค่เดา เพราะถ้าไม่มีธุระสำคัญคุณก็คงไม่มา และธุระนั้นถ้าไม่เกิดเพราะงาน ก็ต้องเป็นบุพการีผู้มีพระคุณ ถึงจะทำให้คุณชายภุชคินทร์มาเยือนดิฉันถึงเฮือนภูจำปาได้” ประโยคต่อมาเจ้าอุรคาหย่อนเสียงยั่ว “ใช่มั้ยคะ”
“คุณแม่ผมเชิญคุณไปรับประทานอาหารที่วัง”
“ด้วยความยินดีและถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
ภุชคินทร์ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ลุ้นเหมือนกันกับคำตอบที่จะได้ฟัง “เจ้าจะไปหรือเปล่า”
“ไปค่ะ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปซะก่อน” เจ้าหญิงผู้งดงามพูดกำกวมอีก
ภุชคินทร์ถอนหายใจ ท่าทีเนือยๆ “เจ้ารู้ตัวมั้ยครับ ว่าเจ้าเป็นคนที่ชอบพูดจากำกวมชวนปวดหัวที่สุด”
“ดิฉันเป็นคนตรงต่างหาก หรือไม่จริงคะ ว่าใจคนเปลี่ยนไปได้ทุกวัน...ดิฉันจะรอ ถ้าถึงวันนั้น คุณยังอยากให้ดิฉันไปหาคุณแม่คุณที่วังอยู่”
“งั้นผมขอตัวกลับเลยแล้วกัน”
ภุชคินทร์หันตัวจะเดินไปที่รถ แต่เจ้าอุรคากลับเรียกไว้ด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“คุณชายคะ...อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว คุณชายจะไม่อยู่กับดิฉันให้นานกว่านี้หน่อยหรือ”
ดวงตาคู่สวยดูเว้าวอนเกินกว่าจะปฏิเสธลง ภุชคินทร์ก็เดินตามเจ้าอุรคาเข้าบ้านอย่างไม่รู้ตัว
บนถนนสายนั้น อำนาจขับรถมาตามทาง โดยมีสุบรรณนั่งหน้าเครียดอยู่ด้านหลัง ก่อนสั่งเสียงเข้ม
“ยังไม่กลับบ้านนะอำนาจ ฉันจะไปหาเจ้าอุรคาที่เฮือนภูจำปา”
“ครับนาย”
อำนาจเลี้ยวรถไปยังทางไปเฮือนภูจำปาทันที
รถของไพศิษฐ์ที่ขับมาโดยมีนาถสุดานั่งมาด้วย ไพศิษฐ์ซึ่งดู GPS ทำหน้านิ่ว นาถสุดาถาม
“มีอะไรคะ”
“รถของท่านสุบรรณ กำลังมุ่งหน้าไปทางบ้านเจ้าอุรคา”
“บ้านเจ้าอุรคา”
นาถสุดาได้แต่พึมพำ ท่าทางไม่พอใจ
ตามทางเดินภายในเฮือนภูจำปา มีแสงสลัวๆ ลางพอมองเห็นทาง แสงวิบวับนั้นดูโรแมนติกไม่น่ากลัว แม้สักน้อย เจ้าอุรคาหันมาบอกภุชคินทร์เป็นเชิงขอร้อง
“รอดิฉันที่นี่นะคะ...กรุณา”
พูดจบเจ้าอุรคาก็หายเข้าไปด้านใน ปล่อยให้ภุชคินทร์ยืนอยู่คนเดียว เหมือนตกอยู่ในภวังค์ภุชคินทร์เดินเล่นเรื่อยๆ อย่างเคยคุ้น พร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ
“ทำไมเรารู้สึก เหมือนที่นี่คือบ้านของเราเอง”
ภุชคินทร์เดินเข้าไปภายในบ้านอย่างถลำลึก กว่าจะรู้ตัวอีกที ภาพตรงหน้าราชนิกูลรูปงามก็คือ ผ้าม่านโปร่งสีขาวที่กั้นเป็นห้องแต่งตัว ภายในนั้นเจ้าอุรคากำลังเปลื้องผ้าเปลี่ยนชุดอยู่ โดยเปลี่ยนจากชุดงามสง่า เป็นชุดเรียบสวยเหมือนตอนที่อยู่กับภุชเคนทร์ แน่นอนนางหวังเพียงเพื่อให้ภุชินทร์จำตนได้
ภุชคินทร์เห็นตอนเจ้าอุรคาเปลี่ยนใกล้จะเสร็จ เซ็กซี่ๆ สวยๆ ภุชคินทร์ตะลึงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ขณะที่เจ้าอุรคาค่อยๆ เยื้องกรายเดินออกมา
“งาม...เจ้างามเหลือเกิน งามจนผมอยากเป็นเจ้าของ”
ราวกับมีแรงรัญจวนดูดดึงให้ภุชคินทร์ค่อยๆ เอื้อมมือไปเชยคางเจ้าอุรคาขึ้นมา พินิจมองดวงหน้าสวย เจ้าอุรคามองสบตาลึกซึ้ง เห็นน้ำตาคลอหน่วยไหวระริก ขณะบอกเสียงแผ่วเบา
“เราเป็นของท่านตลอดเวลาภุชเคนทร์ เราเป็นของท่านตลอดมา”
น้ำตาของเจ้าอุรคารินไหลออกมา ขณะที่เจ้าอุรคาค่อยๆ โน้มหน้าเข้าหาภุชคินทร์จุมพิตอย่างแผ่วเบาเลือดในกายของภุชคินทร์เย็นเฉียบทั้งตกใจระคนตื่นเต้น ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน
มือของภุชคินทร์ตวัดรัดร่างของเจ้าอุรคาเข้ามาหา บรรจงจุมพิตอย่างดื่มด่ำรุนแรง
ส่วนที่ด้านนอกเฮือนภูจำปา ประทีปกับชรายุมองหน้ากัน แล้วเหลียวขวับเพ่งตามองไปยังทิศทางถนนหน้าเฮือน ก่อนที่ชรายุจะสั่งเสียงกร้าว
“มีคนมา..มันจะมาขัดขวางความรักของอุรคาเทวีกับพญานาเคนทร์ ประทีป จัดการ”
ประทีปค้อมศีรษะลงรับคำสั่ง แล้วร่างดำทะมึนนั้นก็คลานลงพื้น กลายเป็นงูยักษ์เลื้อยออกไป
ด้านอำนาจขับรถมาตามทาง แต่แล้วก็ต้องจอด สุบรรณถามเสียงเข้ม
“รถเป็นอะไร”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับนาย แต่เมื่อเช้าผมก็เพิ่งเอารถเข้าศูนย์ นายรอเดี๋ยวนะครับ”
อำนาจก้าวลงจากรถ แต่แล้วก็ต้องร้องเสียงหลงเหมือนตกใจกลัวมากมาย สุบรรณรีบลงมาจากรถ
ถามอย่างร้อนใจ
สุบรรณรีบถาม “มีอะไร”
“งู...งูครับ งู”
อำนาจชี้มือเร่าๆ ไปที่ใต้ท้องรถ ซึ่งมีงูเหลือมตัวขนาดใหญ่ เกาะเกี่ยวใต้ท้องรถอยู่ สองหนุ่มถอย
หลังกรูด สุบรรณถามสงสัย
“งู...มาอยู่ได้ยังไง”
“นั่นน่ะสิครับ แล้วมันทำยังไง รถเราถึงเคลื่อนที่ไม่ได้” อำนาจงงหนัก
ขณะที่สองคนมองงูท่าทีงงๆ กันอยู่นั้น ด้านหลังรถของไพศิษฐ์วิ่งมาตามทาง นาถสุดาชี้มาข้างหน้า
“นั่นค่ะคุณศิษฐ์ รถพี่สุบรรณ จอดอยู่นั่น”
“รถเป็นอะไร”
ไพศิษฐ์ถาม ขณะเหยียบคันเร่งอย่างแรง ด้านอำนาจบอกสุบรรณอย่างไม่วางใจ
“นายขึ้นไปนั่งรอบนรถเถอะครับ ผมจะจัดการมันเอง”
“เร็วๆ นะอำนาจ ฉันรีบไป”
“ครับนาย”
สุบรรณกำลังจะก้าวขึ้นรถอยู่แล้ว รถของไพศิษฐ์วิ่งมาจอดทางด้านหลังห่างออกไป นาถสุดากวักมือร้องเรียก
“พี่สุบรรณคะ”
“ยัยนาถ”
สุบรรณแปลกใจเดินไปหานาถสุดากับไพศิษฐ์ ขณะที่อำนาจเหนี่ยวไกปืน ยิงออกไป แต่ปรากฏว่ากระสุนด้าน
“เป็นอะไรอำนาจ” สุบรรณตะโกนถาม
“กระสุนด้านครับนาย”
“งั้นมาเอาปืนของฉัน” สุบรรณสั่ง
อำนาจเดินแกมวิ่งไปหาสุบรรณ ทันใดนั้นเอง โดยไม่มีใครคาดคิด ก็มีเสียงระเบิดดังตูมขึ้นมา ไพศิษฐ์ตะโกนก้อง “ระเบิด”
ทุกคนกระโจนหลบอย่างรวดเร็ว จนเมื่อเสียงกึกก้องกัมปนาทเงียบลง ฝุ่นควันคละคุ้ง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมามอง
“มีคนปาระเบิดใส่รถเรา” อำนาจรายงาน
“ใครมันกล้า” สุบรรณพูดอย่างฉงน
นาถสุดาชี้มือไปทางด้านหลังรถของอำนาจ ท่ามกลางความมืดมิด เธอเห็นประทีปยืนอยู่ นาถสุดาร้องตะโกน
“มีคนอยู่ตรงนั้นค่ะมีคนอยู่ตรงนั้น”
ทุกคนมองตามมือนาถสุดาที่ชี้ไปทางหนึ่ง ไพศิษฐ์ เห็นชายผู้นั้นชัดเจน และจำได้
“คนของเจ้าอุรคา”
สิ้นเสียงของไพศิษฐ์ ร่างของประทีปก็หายไปในเงามืดอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องลับ เจ้าอุรคาค่อยๆ รั้งร่างของภุชเคนทร์ลงบนเตียงนอน สองคนอยู่ในลักษณาการเหมือนอารมณรัญจวนพาไป ภุชคินทร์ดันร่างเจ้าอุรคาถอยหลังจนล้มลงบนเตียงด้วยกัน สองหนุ่มสาว สบตากันซึ้งๆ แววตาที่เจ้าอุรคามองภุชคินทร์มีแต่ความภักดี
“ข้ารักท่านเหลือเกินนาเคนทร์ ข้ารักท่านเหลือเกิน”
เหมือนอยู่ในภวังค์ ภุชคินทร์รำพันออกมา
“ข้าก็รักเจ้า อุรคาเทวี ข้ารักเจ้า”
ภุชคินทร์ก้มลงจูบที่หน้าของเจ้าอุรคา ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น สองหนุ่มสาวผงะออกจากกัน ภุชคินทร์เหมือนได้สติ มองภาพตรงหน้าตื่นตะลึง ถามงงๆ
“นี่ผมทำอะไรลงไป”
เจ้าอุรคายังไม่ทันตอบ เสียงชรายุก็ดังขึ้น ท่าทางตื่นเต้นตกใจ
“เจ้าคะ...มีคนมาค่ะเจ้า”
ที่บริเวณด้านหน้าเฮือน สุบรรณ ไพศิษฐ์ นาถสุดา และอำนาจยืนรออยู่ นาถสุดากวาดสายตามองทั่วบริเวณอย่างตื่นตะลึง ระคนแปลกใจ เพราะเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกอยู่คนเดียว
นาถสุดาเห็นพวกรูปปั้น ไม้แกะสลักพญานาค แบบคล้ายๆ กับที่ร้านขายของเก่าของตัวเอง
ครู่หนึ่งนั้นเจ้าอุรคาเดินออกมาพร้อมกับภุชคินทร์ สีหน้าของภุชคินทร์ยังเจื่อนๆ จ๋อยๆ และตกใจอยู่ สุบรรณเห็นก็ตกใจ
“คุณชาย”
ภุชคินทร์เสมองไปทางอื่น ไม่กล้าสบตาใคร ชรายุบอกเจ้าอุรคาขึ้นมาอีก
“ดิฉันห้ามแล้ว ว่าเจ้าไม่สะดวก แต่พวกเค้าก็ยังดึงดันเข้ามา”
“พวกเราจำเป็นครับเจ้า” สุบรรณบอก
“ก็คงจำเป็นจริงล่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นทุกคนคงไม่กล้าบุกรุกเข้ามาในบ้านของดิฉัน ในยามวิกาลโดยที่ไม่ได้รับเชิญ” เจ้าอุรคาเหน็บแนม
อำนาจโกรธบอกเสียงห้วน “มีคนขว้างระเบิดใส่รถท่านสุบรรณ”
“แล้วมาบอกดิฉันทำไม? บ้านดิฉันไม่ใช่สถานีตำรวจ” อุรคาประชดอยู่ในที
“ผมทราบครับว่าที่นี่ไม่ใช่สถานีตำรวจ แต่ที่ผมมาที่นี่ก็เพราะว่าผมเป็นตำรวจและในบริเวณที่เกิดเหตุพวกเราเห็นคนของเจ้าป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น” ไพศิษฐ์เอ่ยขึ้น
สีหน้าเจ้าอุรคาเคียดขึ้งโกรธขึ้นมาทันที
“ไม่จริง”
“ถ้าไม่จริง งั้นเจ้าจะกลัวอะไรล่ะคะ” นาถสุดาย้อนถาม
เจ้าอุรคามองนาถสุดาอย่างไม่พอใจ ก่อนบอก
“ถ้าทุกคนต้องการให้เราแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการค้นที่นี่ ก็เชิญ!”
เจ้าอุรคาผายมือเชิญทุกคนอย่างไม่ยี่หระ
เจ้าอุรคา พร้อมกับชรายุเดินนำทุกคนไปยังทางเดินในสวนของเฮือนภูจำปาที่ดูมืดๆ อึมครึมเต็มไปด้วยต้นไม้ นาถสุดามีท่าทีหวาดกลัว เดินประกบไพศิษฐ์ด้วยท่าทางระมัดระวังตลอดเวลา
สายตานาถสุดากวาดมองไปทั่วๆ เห็นของประดับตกแต่งภายในบริเวณนั้นเป็นรูปสลักพญานาค และที่เด่นสะดุดมากก็คือไม้แกะสลักที่ในร้านของเธอ นาถสุดามองจ้อง จนไพศิษฐ์เห็นอาการจึงถาม
“มีอะไรหรือนาถ”
“เปล่าค่ะ”
นาถสุดาตอบ แล้วพอหันไปอีกทาง ต้องร้องกรี๊ดสุดเสียง กระโดดเกาะแขนไพศิษฐ์ เมื่อเห็นงูชูคอแผ่แม่เบี้ยขึ้นมองจ้องมา หนุ่มๆ ตกใจถามเป็นเสียงเดียว
“อะไรนาถ” / “อะไรคุณนาถ”
นาถสุดาชี้มือไปที่งู อาการตกใจกลัว “งูค่ะงูๆๆๆๆ”
ทุกคนกวาดสายตามองตามมือชี้ สีหน้าภุชคินทร์อึ้ง งูมาเกี่ยวอีกแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นงู มีแต่ต้นพญานาคราชไหวเอนไปมาตามแรงลม สุบรรณมองนาถสุดาเป็นเชิงตำหนิ ด้วยเกรงใจเจ้าอุรคา
“ไม่เห็นมีงูที่ไหนเลยนาถ”
ภุชคินทร์มองหน้าสุบรรณ ท่าทางของสุบรรณแสดงชัดว่าเกรงใจเจ้าอุรคา นาถสุดาหน้างอชี้มืออีก
“มีสิคะ นั่นไง”
นาถสุดาชะงัก เมื่อไม่เห็นงูแต่อย่างใด นอกจากต้นพญานาคราช นาถสุดางง ชรายุมองตำหนิ
“นี่คือต้นพญานาคราช”
นาถสุดาย้อน อย่างไม่ยอม นึกขวางเหมือนกัน “รู้ ที่บ้านก็มีเหมือนกัน”
“แล้วร้องทำไม” ชรายุหยัน
นาถสุดาเถียงอีก “ก็ตะกี้เห็นงูจริงๆ นี่”
“ฮึ!! คนตาฟั่นเฟือน ไม่มีสติก็เป็นอย่างนี้” ชรายุว่า
นาถสุดาฉุน “เอ๊ะ”
“ไม่เอาน่านาถ”
ไพศิษฐ์ปราม เมื่อเห็นนาถสุดาเถียงตามนิสัยไม่ยอมคน นาถสุดาจำต้องเงียบ แต่มองชรายุ
หน้าคว่ำ เจ้าอุรคาหันไปถามนาถสุดาเสียงเย็น แกมเยาะ
“กลัวงูหรือ”
นาถสุดาตอบห้วนสั้นเพราะขวางตาเจ้าอุรคา “เปล่า!”
อุรคาตอบเนิบๆ “ก็ดี เพราะที่นี่มีงูจริงๆ”
นาถสุดาหน้าแหย กอดแขนไพศิษฐ์แน่น เจ้าอุรคายิ้มเหมือนเยาะ
“ไหนว่าไม่กลัว?” เจ้าอุรคากวาดสายตามอง “ใครมาที่นี่ ได้เจองูกันทุกคน” พลางมองไปทางสุบรรณ กับภุชคินทร์หย่อนเสียงถาม “ใช่มั้ยคะ”
สุบรรณกับภุชคินทร์มองหน้ากัน คำพูดของเจ้าอุรคาบอกให้รู้ สองคนได้มาที่นี่กันหมดแล้ว ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร สุบรรณย้อนถามภุชคินทร์
“คุณชายมาที่นี่ทำไมครับ”
“ผมมีธุระกับเจ้าอุรคานิดหน่อย” ภุชคินทร์ว่าเท่านั้น
สุบรรณอยากรู้มาก “ธุระอะไร”
นาถสุดามองขวางๆ “พี่สุบรรณคะ เรามาที่นี่เพื่อหาตัวคนร้ายที่ปาระเบิดใส่รถพี่สุบรรณนะคะ เราไม่ควรสนใจอย่างอื่น”
“แต่ที่นี่ไม่มีคนร้ายที่ไหนทั้งนั้น” ชรายุบอก
ทุกคนเงียบ ภุชคินทร์ตัดบท
“ไป กลับกันเถอะ”
“จะกลับได้ยังไงครับ ยังจับตัวคนทำไม่ได้เลย” อำนาจท้วง
เจ้าอุรคายิ้ม ย้อนอย่างมีเลศนัย “คนทำไม่มี แต่คนร้ายอาจจะมี”
“เจ้าหมายความว่าอะไร” ภุชคินทร์เป็นตัวแทนถาม
“ทุกที่ ย่อมมีทั้งคนดีคนเลวปะปน และในตัวของทุกๆคน ย่อมมีทั้งความดี ความเลวปนอยู่”
ทุกคนเงียบนิ่งคิด รอฟังว่าเจ้าอุรคาจะพูดอะไร เจ้าอุรคายิ้มเย้ย ย้อนถามอีก
“หรือไม่จริงคะ”
ไพศิษฐ์ตัดบท “เอาเป็นว่า ผมรบกวนเจ้าเท่านี้ดีกว่า”
นาถสุดาติง “ค้นต่อก่อนสิคะคุณศิษฐ์ ตะกี้พวกเราทุกคนเกือบตายเลยนะ หมอนั่นอาจจะหลบอยู่ในสวนนี้ก็ได้” ไพศิษฐ์มองขวางๆ “ที่นี่รกจะตาย!”
ไพศิษฐ์มองเย้ยเจ้าอุรคา “ไม่เป็นไร ผมบอกให้จนท.ตำรวจกระจายกำลังค้นหาตัวคนร้ายทั่วบริเวณนั้นแล้ว ต่อให้มีปีก ก็หนีไม่ได้”
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มไม่ถือสา เสียงมือถือดัง ไพศิษฐ์มองหน้าเจ้าอุรคาขวางๆ บอกด้วยสุ้มเสียงเย้ยอีก
“เค้าโทร.มาส่งข่าวพอดี” ไพศิษฐ์รับสาย “ครับ..ผู้หมวด” มองหน้าเจ้าอุรคาขณะพูดประโยคต่อมา “จับผู้ต้องสงสัยได้แล้ว”
นาถสุดาดีใจ ยิ้มเย้ย “จับผู้ต้องสงสัยได้แล้ว!” พูดกับอุรคา “เจ้าจะไม่ไปดูด้วยกันหน่อยหรือคะ ว่าใช่คนของเจ้าหรือเปล่า?”
สีหน้าเจ้าอุรคายามนี้นิ่งเฉยไม่ยี่หระ มีแต่ภุชคินทร์กับสุบรรณที่มองเจ้าอุรคาอย่างตกใจ เป็นห่วงแทน
ต่อจากตอนที่แล้ว
ที่สถานีตำรวจคืนนั้น ประทีปถูกจับและคุมตัวไว้ในห้องขังอยู่ ร่างทะมึนดำมะเมื่อมยืนนิ่งเหมือนไม่มีความรู้สึก เท้าเปื้อนดินโคลนจากพงหญ้า ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวเข้าไปอีก
ตำรวจผู้คุมเดินตรวจด้านหน้ามองประทีปแล้วพูดเยาะหยัน
“ไม่รู้รึไงว่าท่านสุบรรณมีฉายาเป็นแมวเก้าชีวิต กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ ท่านผ่านความเป็นความตายมาอย่างโชกโชน แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง แกเองก็เถอะ อยู่ดีไม่ว่าดีไปปาระเบิดใส่รถท่านทำไม? หาเรื่องจริงๆ เลยแก”
ประทีปเงียบไม่พูดไม่จา ยืนหน้าถมึงทึงปิดปากเงียบ จนตำรวจฉุน
“บ๊ะ! เจ้านี่ ถามทำไมไม่ตอบ ยังมาทำหน้าน่ากลัวอีก” เดินไปมามองหน้าประทีป “คงจะกลัวจนหัวหดล่ะสิ คนเราก็งี้ ตอนทำไม่คิด พอถูกจับได้ล่ะหางจุกตูดกันทู้กกกคนน”
ประทีปยื่นหน้าออกมาอย่างว่องไว ลักษณะเหมือนงูฉกเหยื่อ ตำรวจคนนั้นร้องลั่น
“เฮ้ย”
ตำรวจผงะหงายออกมาด้วยความตกใจ ก่อนยืนนิ่งเหมือนตั้งหลัก แล้วหันกลับมามองประทีปใหม่ร่างของประทีปยังยืนนิ่งเหมือนเดิม มีเพียงดวงตาที่ไหวระริกมองมายังตำรวจ ที่ดำขลับเหมือนแววตางู ตำรวจร้องอีก
“เฮ้ย! ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้วะ”
ตำรวจมองอย่างงุนงง ขยี้ตาตัวเอง ประทีปยังยืนอยู่ที่เดิม ตำรวจหน้าซีด หวาดผวา
“ไม่เอาแล้วไปดีกว่า”
ตำรวจวิ่งแจ้นออกไป ส่วนประทีปยืนนิ่งเหมือนรอฟังคำสั่งจากใครสักคน
เสียงสวดมนต์สักอย่างดังก้องทั่วเฮือนภูจำปา เสียงนั้นดังมาจากด้านในบริเวณห้องลับใต้ดิน ซึ่งเจ้าอุรคานั่งบริกรรมคาถาอยู่บนแท่น ด้านล่างมีชรายุหลับตานั่งพึมพำสวดตาม เสริมบารมี
ประทีปที่ยืนนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ กลายร่างเป็นงูเลื้อยผ่านกรงขังออกไปอย่างว่องไว ทิ้งไว้แต่รอยโคลนที่ติดเท้าประทีปมาไว้เป็นที่ระลึก
รุ่งเช้าวันต่อมา ระหว่างรับประทานอาหารเช้าที่บ้านแฟนสาว ไพศิษฐ์หัวเราะร่วนขณะบอกนาถสุดา
“ตอนที่ผมบอกว่าตำรวจจับตัวผู้ต้องสงสัยได้ เจ้าอุรคาหน้าซีดเชียวนาถสังเกตมั้ย”
“ซีดตรงไหนคะ นาถก็เห็นเจ้าอุรคา ยืนเป็นน้ำยาเย็นเหมือนเดิม ไม่เห็นจะมีความรู้สึกพิลึกจริงๆ”
นรินทร์ที่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วยออกความเห็น “คนบางคน เขาอาจจะซ่อนความรู้สึกเก่งก็ได้นะนาถ”
นาถสุดาบอกผู้เป็นบิดาน้ำเสียงประชดประชัน “เจ้าอุรคาหรือคะ? นาถว่า ไม่ใช่ว่าเค้าซ่อนความรู้สึกหรอกค่ะ เค้าไม่มีความรู้สึกเลยต่างหาก”
“ก็ให้มันรู้ไปสินาถ ถ้าคนของตัวถูกจับเข้าคุก แล้วไม่รู้สึกอะไร เจ้าอุรคาก็คงจะใจดำเกินคนแล้วละ”
นรินทร์พึมพำเบาๆ “ก็เค้าไม่ใช่คน”
สองคนเหลียวขวับมาถามพร้อมกัน “อะไรนะคะ” / “อะไรนะครับ”
นาถสุดาย้อนถามท่าทีงงหนัก “พ่อบอกว่าเจ้าอุรคาไม่ใช่คน”
นรินทร์ยิ้มเยือกเย็น “ก็ถ้าไม่ใช่คน แล้วเค้าจะเป็นอะไรล่ะ”
นาถสุดาหน้าคว่ำ “คุณพ่อพูดจากำกวม วกไปเวียนมา เหมือนเจ้าอุรคาอีกคนแล้ว”
ไพศิษฐ์ยิ้มขำๆ “หรือจะเป็นเทรนด์ใหม่ครับ พูดจากำกวม ให้คนงงเล่น”
นรินทร์บอกจริงจังเป็นปริศนา “แต่อะไรที่ทำให้ต้องติดตาม ก็น่าสนใจไม่ใช่หรือ? เจ้าอุรคาก็เหมือนกัน”
ไพศิษฐ์กับนาถสุดามองหน้ากัน นรินทร์พูดจากำกวมชวนงงอีกแล้ว
ไพศิษฐ์เดินอยู่ในสถานีตำรวจ พร้อมกับนาถสุดาที่บ่นกระปอดกระแปดฉุนลูกพี่ลูกน้อง
“พี่สุบรรณก็จริงๆ เลย บอกให้มาดูตัวคนร้ายก็ไม่มา”
“ท่านคงไม่อยากเสียเวลาน่ะ” ไพศิษฐ์ว่า
“นาถว่าพี่สุบรรณคงเกรงใจเจ้าอุรคาต่างหาก เพราะถ้าเกิดเป็นคนของเจ้าอุรคาจริงๆ พี่สุบรรณคงทำอะไรไม่ถูก”
สองคนกำลังจะเดินขึ้นตึกทำการ แต่แล้วตำรวจกลับวิ่งเข้ามาหาท่าทางตกใจ
“ผู้กองครับผู้กอง”
ไพศิษฐ์ฉงนรีบถาม “มีอะไรจ่า”
จ่ารายงานหน้าตาตื่น “คนร้าย คนร้ายหายไปไหนก็ไม่รู้ครับ”
สองคนตกใจ ประสานเสียง “คนร้ายหาย”
ไพศิษฐ์ได้สติถามต่อเร็วปรื๋อ “หายไปได้ยังไง”
มีทัพนักข่าวสื่อมวลชน ยืนออกันอยู่บริเวณกรงขัง ไม่ว่าจะเป็นทีวี หนังสือพิมพ์ ช่างภาพบันทึกภาพกันพรึ่บพรั่บ ไพศิษฐ์และนาถสุดาแหวกผู้คนเข้าไป ภายในห้องขังว่างเปล่าไม่มีใคร ตำรวจคนเดิมรีบรายงาน
“เมื่อเช้า ผมเอาอาหารมาให้ก็ไม่เจอ ไม่มีร่องรอยอะไรทั้งนั้นทุกอย่างปกติหมด จะมีก็แต่นี่ละครับ”
จ่าชี้มือไปยังช่องว่างของลูกกรง เห็นเป็นรอยโคลนแห้งๆ เกรอะกรังลักษณะเหมือนรอยของงูที่เลื้อยออกไป ทุกคนมองงุนงงปนทึ่ง คุยกันเสียงดังเซ็งแซ่
นักข่าวต่างพูดเป็นทำนองเดียวกัน “เหมือนรอยเลื้อยของงู”
“หรือรอยเท้าพญานาค”
นักข่าวหนึ่งในนั้นพูดเล่นชวนขำ
มณีสวาท ตอนที่ 3 (ต่อ)
ไพศิษฐ์เงียบ หัวหมุนติ้ว งวยงงสงสัยหนัก สิ่งที่เห็นคืออะไร ระหว่างนั้นเจ้าอุรคาเดินนวยนาดเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างามทางด้านหลังของไพศิษฐ์ นาถสุดาเป็นคนหันไปเห็นก่อน
“เจ้าอุรคา”
“ไหน คนของดิฉัน”
ไพศิษฐ์หันมามองหน้าเจ้าอุรคา หน้าเจื่อนๆ ยังงงๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก ก่อนจะมองจ้องเจ้าอุรคาแววตาคาดคั้น
“เจ้าพาเค้าไปใช่มั้ย”
เจ้าอุรคาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แล้วถามเสียงเย็นเยียบ “ด้วยวิธีไหน”
ไพศิษฐ์ตอบไม่ได้ แต่เถียงอย่างมั่นใจ เสียงดังลั่น
“ผมไม่รู้ แต่ผมว่าเจ้าต้องเป็นคนพาเค้าไป”
นักข่าวหันมามองวิวาทะของเจ้าอุรคากับไพศิษฐ์ นาถสุดาจับมือไพศิษฐ์เอาไว้ปรามๆ
“เบาๆ ค่ะคุณศิษฐ์”
ไพศิษฐ์ยังไม่หยุด “เจ้าไม่ต้องมองเหมือนผมเป็นเด็กไม่รู้เรื่องอะไร บอกผมมาดีกว่า เจ้าพาเค้าไปยังไง”
เจ้าอุรคาถอนหายใจท่าทีเหนื่อยหน่าย “ในเมื่อ ไม่มีคนที่ดิฉันรู้จัก ดิฉันขอตัวกลับ”
พูดแค่นั้นเจ้าอุรคาก็หันหลังจะเดินลงบันได แต่ไพศิษฐ์ขาดสติตรงมากระชากแขนของเจ้าอุรคาบอกเสียงดัง
“เจ้ายังกลับไม่ได้”
นาถสุดาตกใจมาก กระชากแขนผู้กองแฟนหนุ่ม “อย่าค่ะคุณศิษฐ์”
ไพศิษฐ์สะบัดแขนนาถสุดาออกอย่างลืมตัว ตามองเจ้าอุรคาเขม็งขณะที่นักข่าวทุกสำนักถ่ายรูปเจ้าอุรคาและไพศิษฐ์กันใหญ่ ไพศิษฐ์ตะเบ็งเสียงใส่อย่างกราดเกรี้ยว
“เจ้าไม่ต้องปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น ในเมื่อบ้านทั้งหลัง เจ้ายังทำให้มันหายไปได้ นับประสาอะไรแค่คนๆ เดียว”
เจ้าอุรคามองไพศิษฐ์ไม่ยี่หระ บอกเย้ยหยันสั้นๆ “ฟั่นเฟือนหรือเปล่าผู้กอง”
เจ้าอุรคาเอามือจับมือของไพศิษฐ์ที่กระชากแขนของเธอออก เหมือนมือนั้นจะมีเรี่ยวแรงมหาศาล แม้ไพศิษฐ์จะเกร็งข้อมือยึดไว้แค่ไหน เจ้าอุรคาก็จับเขาออกอย่างง่ายดาย ก่อนเดินกลับออกไป ไพศิษฐ์ตะโกนก้อง
“อย่าเพิ่งไป เจ้าอุรคาอย่าเพิ่งไป”
ไพศิษฐ์จะตามแต่นักข่าวกรูเข้ามาขวางหน้า ถามอย่างอยากรู้
“อะไรครับผู้กอง บ้านหาย คนหาย” นักข่าวคนแรกถามนำ
อีกคนถามตาม “ตกลงว่าเมื่อคืน ตำรวจถูกผีหลอกเหรอครับ”
“หรือว่าจับตัวคนร้ายไม่ได้ เลยสร้างสถานการณ์” คนที่สามสรุปประเด็น
ไพศิษฐ์ตั้งสติยกมือปราม ออกตัว “ขอโทษครับ แต่ผมตอบคำถามทุกอย่างตอนนี้ไม่ได้ ไว้ได้หลักฐานชัดเจนเมื่อไหร่ ผมจะจัดแถลงข่าวทันที”
ไพศิษฐ์วิ่งลิ่วลงไปด้านล่าง หมายจะตามเจ้าอุรคาโดยมีนาถสุดาวิ่งตามติดๆ
ไพศิษฐ์วิ่งเร็วจี๋ลงมาด้านล่าง มองตามทางออกบริเวณลานจอดรถ แต่ไม่มีแม้แต่วี่แววของเจ้าอุรคา ไพศิษฐ์ถามตำรวจที่อยู่แถวนั้น
“เจ้าอุรคาไปทางไหนครับ”
“ใครครับอุรคา”
“ก็ผู้หญิงที่สวยๆ ท่าทางแปลกๆ ที่เพิ่งเดินลงมาเมื่อกี้”
ตำรวจทำหน้านึกก่อนบอก “สวยๆ ไม่มี แต่ที่แปลกน่ะมีครับ”
นาถสุดารีบถาม “อยู่ไหนคะ”
ตำรวจคนนั้นชี้มือไปยังริมรั้วติดถนนด้านนอก ที่นั่นมีผู้หญิงเป็นบ้าแต่งตัวเลียนแบบนางเอกลิเกกำลังรื้อค้นถังขยะอยู่ ตำรวจถามแหยงๆแบบเกรงใจ
“ใช่มั้ยครับเจ้าอุรคา”
ไพศิษฐ์ไม่ตอบ ได้แต่ยืนอึ้ง สับสน มึนงง นาถสุดาที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดไม่ออก ความรู้สึกไม่ต่างจากไพศิษฐ์ ตำรวจหน้าจ๋อย ว่าตนพูดอะไรผิดไป
เวลาต่อมาในห้องรับแขก ที่วังนาเคนทร์ ภุชคินทร์นั่งกอดอกเหมือนคนไม่สบายใจ ขณะที่นารีวรรณถามเสียงดังอย่างตกใจตื่นเต้น หลังฟังไพศิษฐ์เล่าเรื่องแปลกประหลาดจบ
“จริงเหรอคะ จู่ๆคนร้ายก็หายไป เหลือไว้แต่ร่องรอยของงู”
“ถ้าไม่เห็นกับตา นาถก็ไม่เชื่อเหมือนกันค่ะ” นาถสุดาบอก
ไพศิษฐ์ครุ่นคิด “เจ้าอุรคาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่”
หม่อมภาณีนั่งฟังอยู่ด้วยถึงกับทำตาโต “ถ้างั้นหมายความว่า เจ้าอุรคาเป็นผี”
ไพศิษฐ์รีบอธิบายแก้ “ไม่ใช่หรอกครับหม่อม...ผมแค่หมายถึง เค้าอาจเป็นกลุ่มบุคคลพิเศษที่ทำอะไรได้มากเกินกว่าคนธรรมดา เป็นต้นว่า ล่องหน หายตัวได้”
ภุชคินทร์เปรยขึ้น “กลุ่มนินจัตสุ”
ภาพจำของกลุ่มนินจานินจัตสุ ที่เคลื่อนไหว พรึ่บๆๆ ผุดขึ้นในหัวภุชคินทร์ ก่อนที่ไพศิษฐ์จะเอ่ยตามมาอย่างเห็นด้วย
“ฮื่อ! ตอนแรกที่พูด ฉันก็แค่พูดเล่น แต่ตอนนี้ ฉันมั่นใจจริงๆ ว่ะ ว่าเจ้าอุรคาต้องอยู่ในกลุ่มนินจัตสุ ไม่ใช่พวกลูกกะจ๊อกปลายแถวด้วย แต่อยู่ในระดับหัวหน้าเลย”
พวกผู้หญิงมองหน้ากันอย่างทึ่งๆ นาถสุดาถามเสียงอ่อยๆ
“แต่นาถกลับคิดต่างจากคุณศิษฐ์”
ทุกคนหันมามองหน้านาถสุดาเป็นตาเดียว นาถสุดามองไพศิษฐ์อย่างเกรงใจก่อนบอก
“ไม่ใช่นาถไม่เชื่อคุณศิษฐ์นะคะ แต่นาถว่าเจ้าอุรคาไม่ได้อยู่ในกลุ่มนินจัตสุอะไรนั่นหรอก เจ้าแค่เป็นคนไม่ปกติเท่านั้นเอง”
หม่อมภาณีฉงน “ไม่ปกติยังไงจ๊ะ”
“ก็...ในบ้านของเจ้า มีแต่ของน่ากลัวๆ พวกรูปปั้นงู รูปปั้นพญานาคอะไรแบบนั้นน่ะค่ะ อีกอย่าง ที่คนร้ายหายไปอาจจะเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ก็ได้ แต่กลัวความผิด” นาถสุดาค่อยๆ พูด เกรงใจแฟนหนุ่ม “ก็เลย...สร้างเรื่องขึ้นมา”
“ลูกน้องผมไม่ใช่คนอย่างนั้นนะนาถ” ไพศิษฐ์ฉุนกึก
“นาถไม่ได้ว่าจ่านะคะ...นาถเพียงแค่ ไม่เคยเห็น เราสองคนไม่ทันได้เห็นคนร้ายไม่ใช่หรือคะ? แล้วเราจะมั่นใจได้ยังไง ว่าเค้าถูกจับมาแล้วจริงๆ” นาถสุดาว่า
“ก็หมวดเค้าบอก แล้วผมก็ไม่เห็นความจำเป็นที่หมวดจะต้องโกหก”
หม่อมภาณีแทรกขึ้น “หรือคนร้ายจะอาศัยช่วงที่ตำรวจเผลอหนีไป”
ไพศิษฐ์เริ่มหัวเสีย “หนียังไงครับ ก็ห้องขังยังเป็นปกติทุกอย่าง ลูกกรงไม่มีร่องรอยถูกงัดแงะตัดออกซักซี่”
คราวนี้ทุกคนมองหน้ากัน มีแต่ภุชคินทร์ที่นิ่งเงียบ ท่าทางไม่สู้ดี หม่อมภาณีกับนารีวรรณเรียก
“ชาย” / “พี่ชายคะ”
“ครับคุณแม่”
ภุชคินทร์ขานเสียงแผ่ว ก่อนที่ดวงหน้าอิดโรยจะทำท่าเป็นลม ทุกคนร้องลั่น
“ชาย” / “คุณชาย” / “พี่ชาย”
หม่อมภาณีถามความเห็น “ชายคิดยังไงลูก”
ครู่ต่อมาภุชคินทร์ถูกหม่อมภาณีดันร่างให้ลงนอน แต่ภุชคินทร์ฝืนตัวขึ้นมาบอกเสียงแผ่ว
“ผมไม่เป็นไรครับแม่”
“ทำไมจะไม่เป็น ตั้งแต่กลับมาเมื่อคืน ชายก็มีท่าว่าจะเป็นไข้แล้ว” หม่อมว่า
นารีวรรณอมยิ้มแซว “หรือไม่ก็ถูกดูดวิญญาณ”
นาถสุดาสะดุดหู “ดูดวิญญาณ”
“ก็เมื่อคืนตั้งแต่พี่ชายกลับมา พี่ชายก็ท่าทางใจลอยๆ เหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนะสิคะ”
ไพศิษฐ์จ้องหน้าเพื่อนซี้ถาม “เจ้าอุรคาทำอะไรนายหรือเปล่าวะชาย”
ทุกคนมองจ้องหน้าภุชคินทร์ ทำเอาภุชคินทร์ได้แต่ซ่อนหน้าหลบตาไม่ตอบ เหมือนวัวสันหลังหวะ
ตกกลางคืน ภุชเคนทร์เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้อง ท่าทีกระสับกระส่ายเหมือนมีเรื่องราวในใจ ภาพจำตอนที่ภุชคินทร์กอดจูบเจ้าอุรคาผุดขึ้นมาอีก
“เราทำอย่างนั้นได้ยังไง? นายทำอย่างนั้นได้ยังไง ภุชคินทร์”
ภุชคินทร์ได้แต่ถามตัวเอง งุนงง สงสัยอย่างที่สุด
เจ้าอุรคาเดินอยู่ในสวนที่เฮือนภูจำปา ทอดสายตามองไปยังรูปปั้นพญานาคสองตัวกอดก่ายกัน เจ้าอุรคาเห็นเป็นภาพในอดีต อุรคาเทวีกับพญานาคภุชเคนทร์กอดกระหวัดรัดกัน เจ้าอุรคาน้ำตาคลอ
“ข้าจะทำให้ท่านหวนคืนมายังวันเวลาเก่าๆ ของเราภุชเคนทร์”
แล้วน้ำตาของเจ้าอุรคาก็ไหลเอ่อออกมา
วันต่อมาที่คฤหาสน์ของสุบรรณ ในห้องออกกำลังกายส่วนตัว สุบรรณออกกำลังกายอย่างหักโหมรุนแรง ด้วยท่าทางที่โมโห ไม่พอใจ คล้ายโกรธใครอยู่ อำนาจเดินมาบอก
“นักข่าวมารอขอสัมภาษณ์นายครับ เรื่อง แมว 9 ชีวิต”
สุบรรณไม่พอใจ บอกเสียงกร้าว “ฉันพยายามลบภาพพวกนั้นไปจนหมดแล้ว ยังมีเรื่องขึ้นมาจนได้”
“ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะยังมีคนปองร้ายนาย”
“ฉันไม่เชื่อว่าจะเป็นคนของเจ้าอุรคาอย่างที่ใครๆ” สุบรรณเลี่ยงคำว่านักข่าว “กำลังประโคมข่าวกัน ไม่มีเหตุผล” และพูดย้ำ “มันไม่มีเหตุผลที่เจ้าจะทำกับฉันอย่างนั้น”
“แต่จากวิถีระเบิด มันตั้งใจปามาที่รถของเราจริงๆ ครับ” อำนาจยืนกราน
“ก็แล้วมันเป็นใคร” สุบรรณทำท่าคิด “หรือจะเป็นคุณชายภุชคินทร์” พร้อมกับหรี่ตาท่าทีไม่พอใจ “ฉันดูตาแล้ว คุณชายนั่นก็สนใจเจ้าอุรคาอยู่เหมือนกัน”
อำนาจเอ่ยขึ้น “ขอโทษนะครับนาย ที่ผมไม่คิดว่าคุณชายหน้าจืดคนนั้นจะทำอะไรอย่างนั้นได้ คนที่จะฆ่าคนทั้งเป็นได้ ต้องใจเหี้ยมพออย่างคู่แค้นหมายเลขหนึ่งของนาย”
สุบรรณบอกชื่อหนึ่ง “เสี่ยทรงยศ”
นัยน์ตาของสุบรรณวาวโรจน์ขึ้นมาทันที
คืนนั้นที่คฤหาสน์ของเสี่ยทรงยศ ซึ่งโอ่อ่าใหญ่โตไม่แพ้คฤหาสน์ของสุบรรณ สุรินทร์ในชุดนินจาอำพรางกายกระโดดผลุบๆ โผล่ๆ เข้ามาในคฤหาสน์อย่างว่องไว ไม่มีใครเห็น
ส่วนด้านใน ตรงโถงกลางคฤหาสน์ เสี่ยทรงยศกำลังจิบแชมเปญพร้อมหัวเราะลั่นอย่างอารมณ์ดี ด้านข้างประกบด้วยอากรและสมศักดิ์ บอดี้การ์ดคู่ใจ สุรินทร์แนบหูฟังอย่างตั้งใจได้ยินเสียงทรงยศเอ่ยขึ้น
“พวกแกสองคนทำดีมาก ป่านนี้ไอ้สุบรรณคงหัวหมุน” เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นกวนๆ “ใครว้า? เป็นคนปาระเบิดใส่รถมัน”
“เราสองคนอำพรางตัวอย่างดีครับ รับรองไม่มีใครเห็น” อากรว่า
สมศักดิ์อธิบายเพิ่ม “ที่มีคนเห็น ข่าวลงว่าเป็นคนของเจ้าอุรคา”
ทรงยศหัวเราะร่าขำมากๆ “ที่ว่าหายไปจากไปห้องขังแล้วทิ้งเอาไว้แต่รอยตีนงูน่ะเหรอวะ? โฮะๆๆๆตลกชิบ”
“คนโง่ๆ ก็อย่างนั้นล่ะครับท่าน เชื่ออะไรที่มันงมงาย ไร้สาระ” อากรบอก
“ดี! ปล่อยให้มันโง่ต่อไป ฉันจะได้จัดการไอ้สุบรรณง่ายๆ หน่อย อยากรู้...แมวเก้าชีวิตตอนตาย มันจะตายยังไง”
เสี่ยทรงยศหัวเราะดังก้อง สุรินทร์ใช้วิชานินจา วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แต่จากหางตา เสี่ยทรงยศทันเห็นแว่บๆ เพราะทรงยศก็เก่งเหมือนกัน เสี่ยทรงยศตะโกน
“ใครวะ”
เงียบไม่มีเสียงตอบ เสี่ยทรงยศสั่งลูกน้องทันที
“ตามมันไป”
“ครับนาย!”
อากรกับสมศักดิ์พร้อมเสี่ยทรงยศรีบตามออกไปอย่างรวดเร็ว
ที่ด้านนอกคฤหาสน์ เวลานั้น ฝ่ายสุรินทร์ใช้วิชานินจาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้น ลูกน้องของเสี่ยทรงยศที่เฝ้าด้านนอกก็ทันเห็น ต่างยกปืนยิงเปรี้ยงไปยังสุรินทร์ แต่สุรินทร์อาศัยความรวดเร็วหนีไป เสี่ยทรงยศ อากร สมศักดิ์วิ่งออกมา เสี่ยทรงยศพูดอย่างหัวเสีย
“พวกแกปล่อยให้มันหนีไปได้ยังไง?”
พูดจบก็ตบกะโหลกลูกน้องไปคนละทีสองที ลูกน้องหน้าเสีย พูดทำนองเดียวกัน
“ขอโทษครับนาย”
สมศักดิ์บอก “มันเร็วมาก”
อากรเสริม “ยังกับนินจา”
“นินจา....ที่ล่องหนหายตัวได้ มีเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น คือพวกนินจัตสุ” ทรงยศครุ่นคิด “หรือว่า....ไอ้สุบรรณ มันจะเลี้ยงพวกนินจัตสุเป็นลูกน้องมัน”
เวลาผ่านไป
ที่บ่อนคาสิโนประเทศหนึ่ง เห็นผู้คนมากมายกำลังเล่นการพนัน สุบรรณ เดินมากับอำนาจและสุรินทร์ที่มาในมาดบอดี้การ์ดปกติไม่ใช่นินจา อีกฝั่งเสี่ยทรงยศเดินมาพร้อมบอดี้การ์ดเหมือนกัน อากร สมศักดิ์ ประกบข้าง สองคนมองหน้ากันแบบรู้กัน เดินเลี่ยงออกมาด้านนอก เหมือนอยากจะคุยกันตามลำพัง
เสี่ยทรงยศระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะทักสุบรรณ
“ไม่คิดเลย อุตส่าห์ออกมานอกประเทศ ยังจะเจอท่านสุบรรณอีก”
“เจอ? แล้วยังไงเหรอเสี่ย ในเมื่อที่นี่ ทุกอย่างถูกกฎหมาย”
ทรงยศหัวเราะกวนอีก “ไม่เหมือนเมืองไทย ที่ท่านสุบรรณทำทุกอย่างผิดกฎหมาย”
สุบรรณทำท่าจะโต้ แต่เสี่ยทรงยศยกมือห้ามก่อน พร้อมหัวเราะเย้ยตามนิสัยบอก
“ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกัน ผมกับท่านสุบรรณน่ะ” สุ้มเสียงทรงยศทั้งกวนทั้งเย้ย “ไม่มีอะไรต้องปกต้องปิด ต้องอ๊บ ต้องแอ๊บ ต้องสร้างภาพกันหรอก อย่างว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ใครเป็นยังไง เรารู้กัน ถึงแม้ตอนนี้ท่านสุบรรณ จะพยายามล้างภาพเดิมๆ ออกก็ตามเถอะ”
“คนเราความคิดเปลี่ยนไปได้ทุกวัน ถ้าเคยทำเลวมาก่อน แต่คิดที่จะทำดี มันก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเคยทำเลว แล้วยังมุ่งทำแต่เรื่องเลวๆ ก็คงจะเป็นคนเลว” สุบรรณว่า
ทรงยศโกรธมาก สวนขึ้นทันควัน “แล้วแน่ใจหรือว่าสิ่งที่ท่านทำเป็นเรื่องดี? ถ้าคิดอย่างนั้น ผมก็ขออนุโมทนาด้วยแล้วกัน แต่เตือนตัวเองนะครับ ผิดศีล 5 น่ะมันบาป ขอตัว”
เสี่ยทรงยศกับบอดี้การ์ดเดินมาดยียวนออกไป สุบรรณปรายตามอง โกรธจัด
“ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง ว่าการพยายามทำความดีน่ะมันยาก แต่ทำเลว มันง่าย”
ทันใดนั้นสุบรรณหันหลังกลับไปหากระชากคอเสื้อของเสี่ยทรงยศกลับมา แล้วเหวี่ยงหมัดใส่เต็มแรง เท่านั้นฉากบู๊ก็บังเกิดอย่างดุเดือด
ทั้งสองฝ่ายพะบู๊ไม่มีใครยอมใคร โชว์ลีลาเท่ๆ อำนาจกระสุนหมด สุรินทร์ควักปืนของตัวเองอีกด้ามโยนไปให้อำนาจ อำนาจมียิงเปรี้ยงเข้าใส่บอดี้การ์ดของเสี่ยทรงยศ ฝ่ายนั้นแพ้ สุรินทร์ และอำนาจ ซัดบอดี้การ์ดของเสี่ยทรงยศจนหมอบ ก่อนที่สุบรรณจะเอาปืนจ่อที่หัวของเสี่ยทรงยศเอาไว้ได้ เสี่ยทรงยศยืนตัวแข็งทื่อ เหงื่อแตกพลั่ก สุบรรณบอกเสียงกร้าว
“จำไว้ ผมไม่อยากทำเลว อย่าทำให้ผมต้องเลว”
พูดจบสุบรรณก็ผลักเสี่ยทรงยศออกไปอย่างแรง ร่างเสี่ยเซถลาแทบล้ม ดีที่ลูกน้องประคองเอาไว้ได้ เสี่ยทรงยศทำท่าจะพูด ฝากไว้ก่อน แต่สุบรรณตวาดก้อง
“ไสหัวไป และก็หวังว่า เราจะไม่ได้เจอกันอีก เพราะถ้าเจอ เสี่ยอาจจะไม่มีโอกาสได้หายใจ!”
เสี่ยทรงยศมองมาอย่างแค้นจัด แต่ยังไม่ได้ขยับตัวอะไร ก็มีเสียงปรบมือกึกก้อง แถมลงเสียงหนักๆ เป็นจังหวะ ดุจใครคนนั้นมีพลังอย่างมหาศาล ทุกคนหันไปมอง
เห็นเจ้าอุรคายืนปรบมือพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นหวานพอที่จะทำให้สุบรรณลืมทุกสิ่งอย่าง ได้แต่พูดเบาๆ ออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“เจ้าอุรคา”
เสี่ยทรงยศมองที่สุบรรณอย่างจับสังเกต รู้ในทันที ว่าสุบรรณชอบผู้หญิงคนนี้
ไม่นานนัก ตรงด้านนอกคาสิโน บริเวณที่ค่อนข้างเงียบไม่มีผู้คน สุบรรณเดินเคียงคู่กับเจ้าอุรคา โดยสุบรรณถามพร้อมรอยยิ้มด้วยความดีใจเต็มหน้า
“ผมไม่คิดเลยจริงๆว่าจะเจอเจ้าที่นี่”
“ปกติ ดิฉันก็ไม่เคยมาหรอกค่ะ แต่คืนนี้นึกอย่างไรก็ไม่รู้ ต้องมา”
“เป็นบุพเพสันนิวาสมังครับ” สุบรรณเย้า
เจ้าอุรคาหัวเราะนิดๆ ไม่เชื่อ “หรือคะ? แต่ดิฉันไม่คิดอย่างนั้น ใจเราเท่านั้นที่จะกำหนดตัวเองใจไปทางไหน กายไปทางนั้น”
สุบรรณยิ้มกริ่ม นัยน์ตาระยิบระยับ “ผมจะดีใจมาก ถ้าเจ้ามาที่นี่เพราะผม”
ไค่ะ ดิฉันมาที่นี่เพราะคุณ”
สุบรรณดีใจมาก “เจ้า”
เจ้าอุรคาเดินเรื่อยออกไป ยังบริเวณสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย สุบรรณตามไปด้วยหัวใจพองโต
“เจ้าไม่ได้ล้อผมเล่นนะครับ”
เจ้าอุรคาพูดโดยไม่ได้หันมามอง “ดิฉันเป็นคนชอบพูดเล่นหรือคะ”
สุบรรณอมยิ้ม “ก็...ขนาดเจ้าไม่ใช่คนพูดเล่น หนุ่มๆ ยังตามกันเกรียว”
เจ้าอุรคาหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม สุบรรณว่าต่อแบบตัดพ้อกลายๆ
“พูดตรงๆนะครับ ผมไม่ค่อยอยากให้เจ้าสนิทสนมกับคุณชายภุชคินทร์”
เจ้าอุรคาย้อน “หรือคะ”
“คำว่า หรือคะ ของเจ้า ผมเดาไม่ถูก”
“ของทุกสิ่งในโลกไม่ได้มีเพียงแค่สองด้าน ไม่ได้มีแค่ขาว หรือดำ คำตอบที่ว่าใช่หรือไม่ใช่ ดิฉันว่าคุณสุบรรณควรใจกว้างให้มากกว่านี้ ถ้าเป็นนักกีฬาก็ควร รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไม่ใช่แย่งชิง หรือข่มขู่”
“เจ้ากำลังตำหนิผม”
“แค่เตือนเท่านั้นค่ะ”
สุบรรณชักสีหน้าไม่พอใจ เพราะเคยชินกับการเอาแต่ใจตัวเอง แต่พยายามข่มความรู้สึกเอาไว้
“เรื่องของหัวใจยากที่จะบังคับกันได้ ไม่อย่างนั้น คงไม่มีคนผิดหวัง สมหวัง แต่คนที่ผิดหวังก็ไม่ควรทำตัวเป็นอันธพาล”
สุบรรณกระชากร่างของเจ้าอุรคาเข้ามา ด้วยอารมณ์โมโหหึงเต็มแก่ ถามเสียงกร้าว
“หมายความว่า เจ้าชอบคุณชายภุชคินทร์”
“แล้วถ้าดิฉัน บอกว่าใช่ล่ะคะ”
“เจ้า!”
สุบรรณโกรธจัด กระชากลำคอของเจ้าอุรคาเข้ามาโน้มหน้าลงจะจูบ เจ้าอุรคาไม่ได้หันกายหนี เพียงแค่เอื้อมมือมาแตะที่ใบหน้าของสุบรรณอย่างแผ่วเบา แต่สุบรรณกลับรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลพอที่จะตรึงให้เขานิ่งอยู่กับที่
เจ้าอุรคายิ้มโปรยเสน่ห์ “ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ท่านสุบรรณก็ยังคงเป็นคนเดิม”
สุบรรณต่อคำหวานซึ้ง “คนที่มีหัวใจรักให้กับเจ้า”
“แน่ใจหรือว่ารัก” เจ้าอุรคาย้อนถาม
สุบรรณบอกจริงจัง ดวงตาเว้าวอน “ผมรักเจ้า รักอย่างไม่เคยรักใครมาก่อน”
“รัก...พอที่จะทำทุกอย่างให้ดิฉันอย่างนั้นหรือ”
“ถ้าเจ้าต้องการ”
สุบรรณตอบเหมือนคนละเมอไม่รู้ตัว เจ้าอุรคามองสบตาสุบรรณด้วยแววตาแห่งความพึงพอใจ แล้วเจ้าอุรคาก็เอื้อมมือไปด้านหลังโน้มศีรษะของสุบรรณลงมาทำท่าจะรอรับการจุมพิต
สุบรรณตะลึง มองเห็นเพียงริมฝีปากงามเป็นกระจับชวนหลงใหลของเจ้าอุรคาเท่านั้นในยามนี้
ที่ด้านหลังเจ้าอุรคา ท่อนขาเรียวสวยค่อยๆ กลายร่างเป็นงู เลื้อยกระหวัดรัดเข้าที่ด้านหลังของสุบรรณ สุบรรณรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างโอบรัดจากด้านหลัง สุบรรณหันขวับไปมองแล้วก็เห็น เห็นงูตัวหนึ่งกำลังแผ่แม่เบี้ย ทำท่าจะฉก สุบรรณร้องลั่น
“งู งู”
สุบรรณผละจากที่ตรงนั้น ลืมมองแม้กระทั่งเจ้าอุรคา ที่กลายเป็นงูไปแล้ว สุบรรณล้มลงไป ถอยหลังกรูดเมื่องูตัวนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ มันแผ่แม่เบี้ย ตั้งท่าฉกสุบรรณร้องลั่น
“อย่า!”
พร้อมกันนั้นสุบรรณยกมือขึ้นป้องตัวเองโดยอัตโนมัติ ทันใดนั้นเองเสียงปืนก็ดังเปรี้ยงๆๆๆ ขึ้น เมื่อเสียงกึกก้องสงบลง สุบรรณก็เห็นอำนาจและสุรินทร์ถือปืนวิ่งมา สุบรรณละล่ำละลักแทบไม่เป็นภาษาคน
“งูๆ อยู่ไหน? มะ ...มันตายแล้วหรือยัง?”
“มันไปแล้วครับนาย เร็วมาก” อำนาจบอก
“หมายความว่ามันยังไม่ตาย” สุบรรณโกรธจัด “สุรินทร์ ตามไปฆ่ามันให้ได้”
“ครับ”
สุรินทร์ถือปืนตามงูไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ได้สติ สุบรรณถามทันที
“เจ้าอุรคา เจ้าอุรคาอยู่ไหน”
“ผมไม่เห็นเจ้าอุรคา” อำนาจว่า
สุบรรณมองหน้าอำนาจอย่างงุนงง เป็นไปได้อย่างไร
ครู่ต่อมาตรงบริเวณสวนสวยของคาสิโน ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ รกทึบ สุรินทร์ถือปืนตามหางูอย่างระแวดระวัง ดวงตา
เจ้าอุรคาที่จับจ้องมองสุรินทร์ลุกโพลงด้วยความโกรธ
ขณะที่สุรินทร์ค่อยๆ เยื้องกรายมองหางู ส่วนทางด้านหลัง งูตัวหนึ่งเลื้อยมาที่สุรินทร์อย่างรวดเร็ว แต่สุรินทร์ก็เร็วใจหาย ที่ได้ยินเสียงเลื้อยนั้น สุรินทร์ใช้วิชานินจากระโดดพรึ่บๆๆ หนีอย่างว่องไว งูตัวนั้นเลื้อยตามรวดเร็วไม่แพ้กัน ที่สุดมันก็ทะยานเข้าหาสุรินทร์ทำท่าจะฉก แต่สุรินทร์กางมือออกบีบที่ต้นคอของงูตัวนั้นอย่างแรง งูกับสุรินทร์จ้องตากันแบบไม่มีใครยอมใคร
ในสายตาของสุรินทร์เห็นดวงตาของงูตัวนั้นเหมือนแววตาของสตรี สุรินทร์ผงะตกใจ งูตัวนั้นได้โอกาสฉกลงมาอย่างรวดเร็ว อำนาจที่วิ่งตามมาด้านหลังก็ยิงก็เปรี้ยงเข้าที่ตัวงูด้วยปืนของสุรินทร์อย่างจัง งูตัวนั้นผงะก่อนจะเลื้อยเข้าไปในพงหญ้าหายวับไปกับตา
สุบรรณวิ่งตามมาถึง ทุกคนมองหน้ากัน งุนงง สุบรรณพูดแบบตื่นๆ
“งูมันหายไป”
อำนาจอึ้งๆ ตะลึงเหมือนกัน “ใช่ครับ มันหายไป” พลางกวาดตามองทั่วบริเวณ “เลือดก็ไม่มี ทั้งที่ตะกี้ผมยิงมันถูกอย่างจัง”
สุรินทร์หอบตกใจ “ผมว่ามันไม่ใช่งูธรรมด”
สุบรรณหันขวับเป็นเชิงถาม สุรินทร์อธิบายต่อ
“ปืนที่ผมให้อำนาจ เป็นปืนลงอาคม ถ้ายิงถูกงูธรรมดา ยังไงก็มีเลือด แต่นี่ไม่มี และที่สำคัญ...”
ภาพจำช่วงที่สุรินทร์สบตากับงูแล้วเห็นเป็นตาคนแว้บๆ ขณะที่สุรินทร์บอกต่อ
“ตาที่มันมองผม มันเหมือนตาของคน”
สองคนตกใจ “ตาคน”
“อาจจะเป็นไปได้ ที่นี่ ขึ้นชื่อเรื่องไสย์ดำ อาจจะมีใครสักคน ต้องการลองของ” อำนาจบอก
สุบรรณโพล่งออกมาด้วยความเป็นห่วง “เจ้าอุรคา ฉันเป็นห่วงเจ้าอุรคา เจ้าอุรคาอยู่ที่ไหน”
ไม่มีใครตอบคำถามสุบรรณได้
เจ้าอุรคาที่สุบรรณแสนเป็นห่วงเดินเซซัง ด้วยอาการบาดเจ็บ เข้ามาในห้องลับใต้ดินในเฮือนภูจำปา ตรงไปยังแท่นบูชาของตัวเอง ก่อนขึ้นไปนั่ง ร่ายมนต์ ก่อนที่จะเอามือเอื้อมไปลูบบริเวณบาดแผลฉกรรจ์ทางด้านหลัง
เพียงแค่นั้นบาดแผลก็ค่อยๆ เลือนหายไป แต่สีหน้าเจ้าอุรคายังมีทีท่าอิดโรย
โปรดติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 4