xs
xsm
sm
md
lg

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 10

หาญยังอยู่ในห้องพระ นั่งพนมมือ ร่ายคาถา

“อัตธัง อัตโธ นะโม พุทธะ”
แล้วเป่ามนต์ลงบนตะกรุดสามกษัตริย์ที่วางอยู่บนพาน ทันใดก็เกิดพลังงานแผ่กระจายออกโดยรอบมากระทบตัวหาญ สีหน้าหาญที่อิดโรยค่อยๆ ดีขึ้น บาดแผลที่ถูกแทงค่อยๆ สมานตัวเอง แต่แล้วรักกับยมก็ปรากฏกายขึ้นขัดจังหวะ หน้าตาตื่น
“ปู่หาญๆ”
“อะไรของพวกเอ็ง ข้าบอกแล้วใช่มั้ยห้ามรบกวนข้ากำลังรักษาตัวอยู่”
“พี่คนสวย พี่คนสวยแย่แล้ว”

หาญเปิดประตูห้องพระออกมา ตกใจเมื่อเห็นศรีแพรพิงผนังอย่างอ่อนแรง สีหน้าคล้ำ ปากซีดเซียว ศรีแพรทรุดลงกับพื้นหมดสติหาญรีบประคอง
“ศรีแพรๆ เอ็งเป็นอะไร”
หาญเปิดบาดแผลเก่าของศรีแพรดู จังเห็นรอยกัดของตะขาบไฟที่เนินอกของศรีแพรกลายเป็นรอยไหม้สีดำเข้มขึ้น และแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างลักษณะคล้ายตัวตะขาบ
“พิษตะขาบไฟกำเริบ”
หาญตกใจ

หาญอุ้มศรีแพรที่สลบวางพิงกับหัวเตียงนอนในห้องกล้า รักยมตามมาดูด้วยความเป็นห่วง หาญเห็นรอยไหม้ตัวตะขาบลามไปตามแขนศรีแพร จนถึงฝ่ามือ หาญเครียด
หาญเอาปลายมีดกรีดลงบนฝ่ามือศรีแพรตรงที่เป็นรอยไหม้ เลือดพิษสีดำไหลออกมา แล้วกรีดที่ฝ่ามือตัวเองบ้าง รัก ยมมองอย่างสงสัย
“ปู่หาญ ปู่จะทำอะไรจ๊ะ”
“พิษมันลามไปทั่วกระแสเลือดแล้ว ข้าจะใช้เลือดของข้าขับเลือดพิษจากตัวศรีแพรมาไว้ในตัวข้า”
“แล้วพี่เค้าจะหายไหมจ๊ะ”
“วิธีนี้แค่ช่วยทุเลาพิษลงเฉยๆ”
“อ้าว แล้วทำไมปู่ไม่รักษาให้หายขาดเลยล่ะจ๊ะ”
“พิษสัตว์ร้ายบางอย่าง อาคมหรือของขลังก็รักษาไม่ได้วิธีรักษาพิษตะขาบไฟที่ข้ารู้มามีเพียงวิธีเดียว” หาญมีสีหน้าหนักใจ “แต่ข้าทำไม่ได้”
“ทำไมล่ะจ๊ะ ให้พวกหนูช่วยก็ได้”
“พวกเอ็งยังเด็ก ยังไม่เข้าใจหรอก ข้าต้องใช้สมาธิ พวกเอ็งออกไปเฝ้าหน้าบ้านไว้ อย่าให้ใครเข้ามาเด็ดขาด”
รัก ยมหายตัวไป
หาญประกบฝ่ามือตัวเองลงบนฝ่ามือศรีแพร หาญนั่งขัดสมาธิตรงข้ามกับศรีแพร จับมือทั้งสองของศรีแพรไว้ในลักษณะกุมมือให้ฝ่ามือสัมผัสกัน หาญร่ายคาถาแล้วเป่ามนต์
ทันใดนั้นเลือดพิษในกายศรีแพรก็เคลื่อนเข้าสู่ร่างกายหาญ จเเห็นเส้นเลือดปรากกฎบนผิวหนัง เลือดดำเข้าร่างหาญ เลือดแดงเข้าร่างศรีแพร ศรีแพรมีสีหน้าที่ดีขึ้นแต่หาญกลับซีดเซียวลง เหงื่อแตก
หาญประคองศรีแพรให้นอนบนเตียง สีหน้าสดใส ฝ่ามือทั้งสองคนพันผ้าทำแผลไว้แล้ว จะเห็นรอยไหม้ตะขาบที่แขนศรีแพรหายไป หาญเสยผมศรีแพรอย่างทะนุถนอมแต่แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นที่แขนตัวเองมีรอยไหม้ตัวตะขาบปรากฏขึ้น ทันใดหาญก็เจ็บปวด ทุรนทุราย จนกระอักเลือดออกมาที่รอยไหม้ค่อยขยายวงกว้างออก หาญรีบใช้มือกดไว้ ร่ายคาถาแล้วเป่าไปที่แขนตัวเองอาการก็ทุเลาลง
หาญปาดเลือดที่เปรอะริมฝีปากสีหน้าเครียด รู้ว่าตัวเองก็โดนพิษไปด้วย

ที่อู่จ่าลุย จ่าลุยนั่งรถเข็นใช้มือค่อยๆ เข็นรถเข็นเข้ามาอย่างยากลำบาก สีหน้าเครียด อมทุกข์ ขณะนั้นมีคนแอบมองจ่าลุยจากทางด้านหลังอยู่ จ่าลุยหยุด มองด้วยหางตา รู้สึกผิดปกติ เหลือบมองไปที่ข้างโต๊ะ มีปืนลูกซองของตนวางพิงอยู่ จ่าลุยค่อยๆ เข็นรถเข็นไปช้าๆ ระวังตัว จากนั้นก็พยายามเอื้อมมือไปหยิบปืนอย่างรีบร้อน แต่มือเอื้อมไม่ค่อยถึง จ่าลุยก็ฝืนจะเอาให้ได้จนตัวเองตกลงจากรถเข็น
“โอ๊ย”
กล้าวิ่งออกมาจากมุมลับตา ตรงไปที่จ่าลุยทันที จ่าลุยแม้จะนอนคลานอยู่ที่พื้นก็คว้าปืน หงายตัวเล็งทันที แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเป็นกล้ายืนอยู่

“คุณกล้า”
 

กล้าไหว้ลงไปที่ตักของจ่าลุย ซึ่งนั่งบนรถเข็นแล้ว

“ผมขอโทษนะครับ เพราะผมแท้ๆ ลุงจ่าถึงได้เป็นแบบนี้”
จ่าลุยลูบหัวกล้าด้วยความรัก
“ไม่ใช่หรอก เพราะไอ้พ่อเลี้ยงนั่นต่างหากล่ะ อย่าคิดมากไปเลย คุณนายก็เพิ่งโทร.มาเล่าความคืบหน้าให้ฟัง ลุงก็เป็นห่วงอยู่ว่าคุณกล้าจะหนีไปอยู่ที่ไหน”
“พอผมหนีพวกมันพ้นก็กลับไปตามหาศรีแพรครับ แต่ไม่พบก็เลยมาที่นี่ก่อน ตอนนี้ได้รู้ว่าเค้าเจอกับแม่แล้ว ผมค่อยโล่งอกหน่อย”
“จะโทร. บอกคุณนายก่อนไหม”
“อย่าเพิ่งดีกว่าครับ ผมมีเรื่องที่ยังต้องสะสาง อีกอย่างไม่รู้ว่าที่พวกไอ้ภูมินทร์มันตามผมเจอ จะเพราะสะกดรอยตามแม่อยู่หรือเปล่า”
“จริงสินะ งั้นก็ พักอยู่ที่นี่กับลุงไปก่อน”
“ผมกำลังขอจะลุงจ่าอยู่พอดีเลยครับ แต่...คิดไปคิดมา มันอาจจะทำให้ลุงจ่ากับนุเดือดร้อนก็ได้”
“คุณกล้าอย่าคิดแบบนั้นเด็ดขาด ตั้งแต่เกิดเรื่อง คุณนายก็ไม่เคยทิ้งลุงเลย โทร.มาหาตลอด ค่าใช้จ่ายอะไรคุณนายก็ออกให้หมด ลุงจะไปทิ้งคุณกล้าได้ยังไง”
“งั้นก็ ขอบคุณครับลุงจ่า” กล้ามองไปรอบๆ เห็นแค่รถลูกค้าจอดอยู่คันเดียวแต่ไม่เห็นใครเลย “ไม่เห็นมีเด็กมาทำงานเลย นี่อู่ปิดเหรอครับ”
“อืม สักพักแล้วล่ะ ตั้งแต่ช่วงที่ลุงเข้าโรงพยาบาลนั่นแหละไอ้นุมันก็เอาแต่หายหัว พึ่งพาอะไรก็ไม่ได้ซักอย่าง”
กล้าได้ยินก็เครียด ไม่พอใจนุกูล
“แล้วนี่ไอ้นุมันอยู่ไหนครับลุงจ่า”
จ่าลุยมองกล้า จะบอก

ที่ป่าหลังอู่ ธูป16 ดอกถูกปักอยู่หน้าพานซึ่งวางกะโหลกผีตายโหงอยู่ภายใน เสียงสวดของนุกูลดังขึ้น
“สะอะนิโส สะอะนิสัง ทุสะนิโส ทุสะนิสัง โอม นะโมนา มะมัง สะมาโส ยุตตะโส ยุตถะ เอหิมานะ หิเนถาเน”
นุกูลนั่งพนมมือ สวดคาถาปลุกกะโหลกผี ลมเริ่มพัดกรรโชกแรง กะโหลกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงวูบๆ นุกูลสวดต่อไม่หยุด ขณะที่เปี๊ยก ป๋อง โป้ง ยืนมองหวาดๆ มุมหนึ่ง นุกูลลืมตาขึ้น มองกะโหลกในพาน เห็นแสงที่แดงเรืองวูบหนึ่ง
“ท่านผีตายโหง ท่านจงช่วยเราจัดการไอ้พ่อเลี้ยงภูมินทร์ แล้วเราจะตอบแทนท่าน”
ทันใดควันสีดำลอยเคลื่อนออกมาจากกะโหลกช้าๆ นุกูลตาโต กลัว กลืนน้ำลายเอื้อก พวกเปี๊ยก ป๋อง โป้งจ้องตาไม่กระพริบ
“มันทำได้เว้ย มันทำได้” ป๋องกระซิบ เปี๊ยกตบหัว
“เบาๆ สิวะ เดี๋ยวผีมันตกใจ”
ขณะนั้นเองควันก็หยุดลอยคว้างอยู่หน้านุกูล นุกูลจ้องอึ้ง นุกูลเห็นควันดำพุ่งเข้าใส่หน้าตัวเอง พวกป๋อง โป้ง เปี๊ยก ตกใจ
“เฮ้ย”
นุกูลลุกขึ้น หันจ้องมาที่เพื่อน ตานุกูลกลายเป็นสีดำหมด นุกูลเดินตรงดิ่งมาที่กลุ่มเพื่อนทันที
“ไอ้ๆๆ นุ ใจเย็นนะโว้ย นี่เพื่อนแกนะโว้ย”
ไม่ทันขาดคำ นุกูลที่ถูกผีเข้าก็จับแขนป๋องบิดแล้วเหวี่ยงกลิ้งไปด้วยพลังมหาศาล นุกูลจ้องพวกที่เหลือ เปี๊ยกกับโป้งสู้ พุ่งเข้าจะซัดนุกูลกัน นุกูลหลบเอามือผลักโป้งกระเด็นไปอย่างแรง แล้วบีบเข้าที่คอเปี๊ยก เปี๊ยกตาเหลือก นุกูลบีบคอหวังให้ตาย
“หยุดนะ ไอ้นุ” นุกูลหันชวับ มองกล้าตาถลึง “นี่แก”
โป้ง ป๋องเห็นกล้าก็ดีใจมาก รีบเข้าไปหา
“พี่กล้า ช่วยพวกเราด้วย ผี ผีมันเข้าไอ้นุ”
กล้าเข้าไปกระชากนุกูล นุกูลบีบคอกล้าแทน กล้าหลับตานึกถึงพระ
“หากลูกยังไม่ถึงที่ตาย ขอบารมีของพระพุทธองค์ช่วยทำให้เพื่อนลูกพ้นจากมนต์ดำด้วยเถิด”
ที่หน้าผากของกล้าปรากฏภาพพระพุทธรูปเรืองแสงวาบปะทะนุกูลกระเด็นไป นุกูลล้มลงดิ้นพราดๆ ควันดำลอยออกจากร่างนุกูล แล้วแตกสลายไป กล้าเข้าไปประคองนุกูล
“ไอ้นุๆ”
พวกเพื่อนๆ กรูกันเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง นุกูลสลบ ไม่รู้สึกตัว

อีกด้านหนึ่งที่บ้านกระเต็น ศรีแพรนอนอยู่บนเตียง เหงื่อแตก หน้าแดงตัวแดง กระสับกระส่าย ทันใดก็ลืมตาขึ้น หาญเปิดประตูเข้ามาพอดีพร้อมถ้วยยาในมือท่าทางแย่พอกัน
“เอ็งฟื้นแล้วเหรอ ข้าต้มยาหม้อมาให้บำรุงเลือด กินซะก่อน” หาญพยุงศรีแพรให้ลุกนั่งแล้วตกใจ “ทำไมตัวเอ็งถึงร้อนเป็นไฟแบบนี้”
ศรีแพรจ้องหน้าหาญ แววตาเย้ายวน
“ช่วยข้าด้วย ร้อนเหลือเกิน ข้าทนไม่ไหวแล้ว”
ศรีแพรกอดรัดหาญด้วยความรู้สึกเร่าร้อนภายใน
“เอ็งต้องสู้กับพิษในกาย อย่ายอมแพ้” แต่ศรีแพรไม่ฟังอะไรทั้งนั้น
“ข้าร้อน ข้าต้องการเจ้า”

ศรีแพรปัดถ้วยยาหล่นแตกจะถอดเสื้อของตัวเองออก หาญรีบห้ามเพราะรู้ว่าศรีแพรถูกพิษครอบงำจนขาดสติ


“ศรีแพร ศรีแพร เอ็งตั้งสติหน่อย” ทันใดหาญก็ปวดแขนตรงที่มีรอยไหม้ตะขาบ มือสั่น กำมือแน่น หลับตา “อ๊าก”

แววตาหาญเปลี่ยนไป จ้องศรีแพรด้วยความเสน่หา ทั้งสองคนสบตากันแล้วจูบกันอย่างดูดดื่ม หาญถอดเสื้อตัวเองออก จูบไซร้ไปตามซอกคอของศรีแพร ใช้มือลูบไล้เรือนร่าง แต่แล้วหาญก็ชะงัก นึกถึงสิ่งที่เคยให้คำมั่นกับพ่อปู่บุญทา
“เจ้าจงจำให้มั่น ผู้ผ่านอมฤตเทวาต้องครองเพศพรหมจรรย์และห้ามเสพเมถุนโดยเด็ดขาด มิเช่นเจ้าเอง
ที่จะต้องรับเคราะห์”
“ผมขอให้คำสัตย์ จะเคร่งครัดในศีล ชาตินี้จะไม่ขอล่วงละเมิดอิสตรีอย่างแน่นอน”
พ่อปู่บุญทาเครียดราวกับรู้ล่วงหน้า
“เจ้าไม่ต้องให้สัตย์สาบาน กาลเบื้องหน้ายังไม่รู้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง เมื่อกลับไปสู่โลกียะ ยังมีอุปสรรคอีกมากที่เจ้าต้องเผชิญ ใช้สติและปัญญาของเจ้าพิจารณาถูกและผิด เมื่อเลือกทางใดทางหนึ่งแล้วก็ต้องพร้อมรับผลที่จะตามมา”

หาญออกมาจากห้องศรีแพร ปิดประตู ยังยืนอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม หาญลังเลเหลือบมองประตูห้องที่มีศรีแพรอยู่ข้างใน
“ศรีวรรณข้าขอโทษ ข้าไม่อาจละเมิดพรหมจรรย์ ข้าช่วยชีวิตลูกเอ็งไม่ได้”
หาญตัดใจเดินออกไป แต่ก็ชะงักก่อนจะหวนนึกถึงศรีวรรณ ภาพศรีวรรณที่เสี่ยงชีวิตช่วยตัวเองแว๊บเข้ามาในความคิดจังหวะนั้นเสียงร้องของศรีแพรก็ดังขึ้น หาญตกใจ พรวดตัดใจเปิดประตูเข้ามาในห้อง เห็นศรีแพรฟุบหน้าอยู่ที่พื้น รีบเข้าไปดู พอพลิกหน้ากลับมาจึงเห็นใบหน้าศรีแพรกลับหมอง ริมฝีปากม่วงคล้ำ เมื่อจับชีพจรอ่อนมาก หาญอุ้มศรีแพรที่หายใจรวยรินลงบนเตียง เนื้อตัวปรากฏเส้นเลือดสีดำปูดโปนขึ้นมาชัดเจน
“พ่อ แม่ ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย ทรมานเหลือเกิน”
ศรีแพรเพ้ออย่างอ่อนแรง หาญจ้องศรีแพร แล้วตัดสินใจ
“ศรีแพร ข้าขอโทษ แต่ แต่ข้าปล่อยให้เอ็งตายไปต่อหน้าไม่ได้”
หาญถอดเสื้อตัวเอง ปลดเครื่องรางของขลังออกจากตัว หาญยืนจ้องมองศรีพรรณที่นอนอยู่บนเตียงแล้วโน้มตัวลงไป

กลางดึกคืนนั้นกระเต็นกลับเข้าบ้านอย่างผิดหวังที่ไม่เจอกล้า จังหวะนั้นหาญออกมาจากห้องศรีแพรพอดี
ในสภาพเหงื่อท่วมตัว พอเจอกระเต็น หาญก็ชะงัก
“ศรีแพรเป็นยังไงบ้างคะ”
หาญอ้ำอึ้ง หันไปมองในห้องเห็นศรีแพรห่มผ้าหลับสนิท
“หลับไปแล้ว”
“เด็กอะไรไม่รู้รั้นนัก หาแต่เรื่องเดือดร้อนให้คนอื่นแท้ๆ”
หาญหลบตา ปิดประตูห้องศรีแพร
“เอ็งไปไหนมา”
“หนูไปตามหากล้าที่บ้านราชาวดี เผื่อเค้าจะติดต่อไปบ้างแต่กลับเจอไอ้พ่อเลี้ยงภูมินทร์อยู่ที่นั่นกำลังเตรียมงานแต่งงาน มันน่าเจ็บใจนัก กล้าไม่น่าไปหลงยัยเด็กนั่นเลย”
“เอ็งกลับมาเหนื่อยๆ ไปพักเถอะ ข้าจะสวดมนต์เหมือนกัน”
หาญจะแยกเข้าห้องพระไป กระเต็นเพิ่งสังเกตเห็นว่าเส้นผมของหาญด้านหน้าหงอกอยู่ปอยหนึ่ง
“พ่อหาญคะผมนั่น” หาญรู้อยู่แล้ว
“เป็นเพราะข้าบาดเจ็บและใช้พลังไปเยอะ ถ้าได้ทำสมาธิ พักฟื้นก็คงจะเป็นปกติ ไม่ต้องห่วงหรอก”
หาญแยกไป กระเต็นมองตามยังสงสัย

ส่วนที่อู่จ่าลุย นุกูลค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาเห็นกล้า จ่าลุย กับเปี๊ยก โป้ง ป๋อง เฝ้าอยู่อย่างเป็นห่วง
“พ่อ พี่กล้า”
จ่าลุยนั่งบนรถเข็นหน้าบึ้ง โมโหลูก กล้ากับพวกเพื่อนๆ ดีใจ กันใหญ่
“ฟื้นแล้วเหรอไอ้นุ”
นุกูลดันตัวขึ้นนั่ง แปลกใจ
“พี่กล้า” นุกูลจับเนื้อจับตัวกล้า ดีใจ “พี่จริงๆ ด้วย พี่หนีพวกมันมาได้”
“ไอ้นุ แกทำอะไรรู้ตัวมั้ย” นุกูลมองพ่อ จ่าลุยจ้องดุ แล้วเบือนหน้าหนี นุกูลจ๋อย “ถ้าพี่มาไม่ทันจะทำยังไง แกเกือบจะฆ่าไอ้เปี๊ยกไปแล้วรู้ไหม”
นุกูลมองเปี๊ยก งงๆ จำเรื่องราวไม่ได้ พวกเพื่อนๆ พากันพยักหน้าให้เชิงว่าจริง
“จริงเหรอเนี่ย”
กล้าดุป๋อง โป้ง เปี๊ยก
“พวกเราก็เหมือนกัน แทนจะห้ามมัน อะไรกัน”
เปี๊ยกจ๋อย นุกูลรีบพูด
“อย่าไปว่าพวกมันเลยพี่ ผมอยากจะแก้แค้นไอ้ภูมินทร์ มันทำให้พ่อต้องพิการ แถมผมก็รู้จากพ่อว่ามันใส่ร้ายพี่ทุกอย่าง ถ้ามันใช้อาคมใส่ร้ายพี่ได้ ผมก็จะใช้อาคมทำมันคืนบ้าง”
“แล้วแกไปได้วิชาพวกนี้มาจากไหน”
“ผมเอามาจากหนังสือ”

จ่าลุยเข้าตบหัวลูก ตีๆ

“ไอ้โง่ ใครสั่งใครสอนให้เอ็งเล่นเดรัจฉานวิชาพวกนี้วะ”
“ใช่ ผมมันโง่ ผมมันไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องซักอย่าง” นุกูลร้องไห้ออกมา
“พอเถอะครับ นุมันทำเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผมผิดเองที่เป็นต้นเหตุให้เรื่องบานปลายแบบนี้” กล้าบอก จ่าลุยมองลูกตัวเอง อย่างคับแค้นใจ
“ไอ้ภูมินทร์ต่างหากที่มันทำให้พวกเราต้องเป็นแบบนี้” จ่าลุยจิกขาตัวเองแน่น “ถ้าลุงเดินได้ ลุงจะไปฆ่ามันด้วยมือลุงเอง”
กล้าสะท้อนในใจรีบห้าม
“อย่านะครับ ผมเป็นคนต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด ผมจะมอบตัวเพื่อสู้คดี”
“คุณกล้า ไอ้พวกนั้นไม่ปล่อยคุณไว้หรอก มันอาจจะส่งคนไปฆ่าคุณกล้าในคุกก็ได้”
“นั่นซิพี่ คิดให้ดีก่อนนะ”
กล้าเครียด

คืนเดียวกันนั้นที่กองบังคับการปราบปราม ผู้บังคับการกำลังคุยกับสุพจน์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เราเสียตำรวจไปตั้งเท่าไหร่ แล้วยังปล่อยให้คนร้ายหลุดมือหนีไปได้อีก หลักฐานหรือพยานที่จะสาวไปถึงตัวบงการอื่นก็ไม่มี”
“เราออกหมายจับเสี่ยไพบูลย์กับอาจารย์ยอดไปแล้วครับ แต่อาจารย์ยอดมีวิชาอาคม”
“แล้วไง จะขอให้เกณฑ์ตำรวจทั้งกรมมาดูการแสดงอิทธิฤทธิ์ของพวกโจรหรือไง ผมว่าคนที่ถูกสั่งขังคงเป็นผมกับคุณ เออ แล้วขุนโชติล่ะ”
“ไม่เจอตัวเลยครับ คงหนีไปกบดานก่อนหน้านี้แล้ว”
ผู้บังคับการถอนใจด้วยความเครียด เอาคำสั่งยื่นให้
“ท่านอธิบดี ให้เวลาคุณสิบห้าวัน ตามล่าตัวพวกที่หนีไปจับมาดำเนินคดีให้ได้”
“ครับท่าน”
สุพจน์รับคำสั่งมาอย่างหนักใจ

พอแยกจากผู้บังคับการ สุพจน์มาหาเสือดำที่ห้องขัง
“นั่นมันธุระของเอ็ง ไม่ใช่กงการอะไรของข้า” เสือดำบอกเมื่อรู้ว่าสุพจน์มาพบด้วยเรื่องอะไร
“แต่ฉันอยากให้แกนำทางไปถ้ำวังพยัคฆ์”
“แล้วไอ้หลวงณรงค์ล่ะ มันไปอยู่ที่ใด”
“หน้าที่จับคนร้ายมันเป็นงานของตำรวจ ฉันคงยอมให้ประชาชนธรรมดามาเสี่ยงด้วยไม่ได้ เท่าที่ผ่านมา
เค้าก็ช่วยราชการมามากพอแล้ว”
“แล้วเหตุใดข้าต้องไปเสี่ยงกับเอ็งด้วยเล่า”
“ฉันจะกันแกไว้เป็นพยาน โทษหนักจะเป็นเบา ไม่เช่นนั้นโทษของแกไม่พ้นถูกประหาร”
“ข้าไม่เคยกลัวตาย เมื่อข้าคิดเป็นโจรหมายถึงข้าได้ตายไปแล้วแต่พวกเอ็งนะสิ จะเอากระไรไปสู้พี่โชติ จะพากันไปตายเปล่าๆ”
“การได้ตายในหน้าที่ ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิตตำรวจ เมื่อฉันคิดเป็นตำรวจ ฉันก็พร้อมจะตาย ตั้งแต่วันแรกที่รับราชการแล้ว”
“หึ คิดไม่ถึงว่าในพวกโปลิศยังมีคนเยี่ยงเอ็งอยู่ได้ ในเมื่อเอ็งไม่กลัว ต่อให้ไกลถึงนรก ข้าก็จักพาเอ็งไป ข้าเองก็อยากพบพี่โชติเหมือนกัน”

ส่วนที่บ้านกระเต็น หาญยังอยู่ในห้องพระ เสียงหาญสวดปลงอาบัติจบลงที่วรรคสุดท้ายพอดี
“สาธุ สุฎฺฐุ สํวริสฺสามิ (ดีละ ผมจะสำรวมให้ดี)”
หาญก้มกราบพระพุทธรูป เงยหน้าขึ้นมามององค์พระ อึดอัดใจ หลบตาอย่างรู้สึกผิด หาญลุกขึ้นแต่แล้วกลับหมดแรงที่จะยืนเซล้มไปตรงรูปของเพชร ปัดโกฐใส่กระดูกเพชรและพานใส่ตะกรุดล้ม หาญเห็นใบหน้าตัวเองสะท้อนกระจกกรอบรูป เห็นช่วงผมหงอกขาว หาญเป็นกังวลเมื่อหวนคิดถึงคำสั่งสอนของพ่อปู่บุญทา
“พึงตระหนักไว้ให้มั่นว่า บุคคลทำกรรมใด ด้วยกาย ด้วยวาจาหรือด้วยใจก็ดี กรรมนั้นย่อมเป็นของเขา ติดตามเขาเหมือนดังเงา ความบริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์จึงเป็นของเฉพาะตน คนอื่นทำคนอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้”
หาญเครียด รู้ว่าสิ่งที่ตนทำเป็นการฝืนกรรมของผู้อื่นแต่ไม่อาจตัดใจปล่อยวางได้

วันต่อมา เสือดำนำทางสุพจน์และตำรวจจำนวนหนึ่งลัดเลาะมาตามป่าลึกเพื่อตรงไปยังถ้ำวังพยัคฆ์ ทันใดเสือดำก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุด
“มีอะไรเหรอเสือดำ”
เสือดำชี้ที่พื้น ให้ดูรอยเท้าคนที่เหยียบลงบนใบไม้
“รอยเท้า ยังใหม่อยู่ คงเพิ่งผ่านไปสักประเดี๋ยว”
“หรือจะเป็นขุนโชติกับเสือไท”
สุพจน์เตรียมอาวุธปืนออกสู้
“ไม่ใช่ดอก คนผู้นี้มิใช่พวกชำนาญป่าถึงได้ทิ้งร่องรอยไว้เด่นชัด”

“งั้นใครกัน”

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 10 (ต่อ)

ขณะนั้นอาจารย์ยอดเดินอยู่ในป่า ตามด้วยเสี่ยไพบูลย์ที่เดินกระเผลกตามมา อาจารย์ยอดเดินจ้ำอ้าวโดยไม่รอเสี่ยไพบูลย์ที่มีอาการหอบเหนื่อย

“อาจารย์ อาจารย์รอผมด้วย ผมไม่ไหวแล้ว”
เสี่ยไพบูลย์สะดุดท่อนไม้ล้มลง ขาเทียมกระเด็นหลุด เสี่ยไพบูลย์รีบคว้ากลับมาใส่ อาจารย์ยอดหงุดหงิดที่เสี่ยไพบูลย์เป็นตัวถ่วง
“อีกไม่ไกลก็จะเข้าเขตวังพยัคฆ์แล้ว ถ้าเอ็งไม่ไหวก็อยู่ที่นี่ ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน”
เสี่ยไพบูลย์มองรอบๆ อย่างกลัวๆ
“ทำไมอาจารย์ไม่ส่งกระแสจิตหาขุนโชติ ให้มันมารับพวกเราล่ะ”
“ป่าแถบนี้มีอาถรรพ์ปกคลุม ขืนทำแบบที่เอ็งบอกคงไม่ใช่แค่ตำรวจที่คิดเล่นงานพวกเรา”
ทันใดเสียงคำรามก็ดังก้องมาจากบนยอดไม้ เสี่ยไพบูลย์มีอาการตื่นตระหนก สมิงปอบหลายตัวไต่ลงมาจากต้นไม้บ้าง คลานออกมาจากพงหญ้าบ้าง
“ตัว ตัวอะไรน่ะอาจารย์”
“สมิงปอบ”
สมิงปอบล้อมอาจารย์ยอดกับเสี่ยไพบูลย์ไว้ ส่งเสียงคำรามกันใหญ่ อาจารย์ยอดหยิบกะโหลกเสือทับออกจากย่าม ร่ายคาถา ตะปูที่สะกดวิญญาณเสือทับไว้หลุดออก สมิงปอบกระโจนเข้าใส่แต่แล้วเหมือนถูกพลังลึกลับซัดจนกระเด็นกระดอนไป เสือทับปรากฏร่างขึ้น
“ไอ้ทับ เอ็งกำจัดสมิงปอบพวกนี้ให้สิ้นซาก”
เสือทับตวัดมีดพร้าประจำตัวเข้าสู้กับเหล่าสมิงปอบ อาจารย์ยอดฉวยจังหวะหลบออกไป
“อาจารย์ รอด้วย”
เสี่ยไพบูลย์รีบตามแต่แล้วสมิงปอบตัวนึงถูกเสือทับอัดจนกระเด็นมากระแทกเสี่ยไพบูลย์ สมิงปอบกระโจนกัด เสี่ยไพบูลย์ตกใจรีบโกยอ้าวหนี
เสือทับร่ายคาถาสะบัดมือออกไปโจมตีใส่สมิงปอบที่รายล้อม สมิงปอบเห็นเป็นคลื่นพลังพุ่งเข้าหา

ที่บ้านกระเต็น กระเต็นอ่านจดหมายในมือจบมีสีหน้าตกใจรีบถามตำรวจที่เอาจดหมายมาให้
“คุณพจน์ไปนานรึยัง”
“ท่านผู้การเข้าป่าไปตั้งแต่รุ่งสางแล้วครับ”
กระเต็นเป็นห่วงสุพจน์กลัวจะไม่รอดกลับมา
กระเต็นรีบกลับเข้าห้องเปลี่ยนเสือผ้าเป็นชุดที่ทะมัดทะแมง เก็บของเตรียมเดินทาง หาญเข้ามาพอดีด้วยท่าทางอิดโรย
“เอ็งจะไปไหน” หาญถามอย่างแปลกใจ
“หนูจะไปช่วยคุณพจน์”
“เกิดอะไรขึ้น”
“คุณพจน์กับเสือดำกำลังไปวังพยัคฆ์เพื่อจับตัวขุนโชติ”
“ทำไมถึงได้โง่อย่างนี้ จะเอาอะไรไปสู้ เสือดำก็ไม่มีอาคมติดตัวแล้ว”
กระเต็นส่งจดหมายให้หาญ
“ดูเหมือนเค้ารู้ตัวว่าจะไม่รอด ถึงเขียนจดหมายมาลา”
หาญตกใจ เครียด

เสือดำนำสุพจน์และตำรวจเข้ามาในเขตป่าสมิงปอบ สุพจน์ถึงกับตะลึงเมื่อเห็นศพของสมิงปอบนอนตายเกลื่อน
“สมิงปอบ พวกมันตายเพราะอาคม” เสือดำบอกและหน้าเครียดขึ้นมาทันที“พวกเอ็งระวังให้จงหนัก” สุพจน์และตำรวจทั้งหมดชักปืนเตรียมพร้อม “เอาชายผ้าถุงพันกระบอกปืนตามที่ข้าสั่งเสียด้วย”
ทุกคนทำตาม ทันใดเสียงปืนก็ดังลั่น ปัง! ปัง!
เสือดำสบตาสุพจน์ ตกใจ รีบตามเสียงปืนไป

ปืนในมือเสี่ยไพบูลย์ลั่นกระสุนออกไปอีก ปัง! ปัง! กระสุนกระทบร่างสมิงปอบจนผงะล้ม เสี่ยไพบูลย์ยังไม่หายกลัว ตัวสั่น ยกมือไหว้รอบทิศ
“เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ถึงแม้ผม...ลูกช้างจะไม่เคยนับถือท่านมาก่อน แต่หนนี้ช่วย ช่วยลูกช้างด้วย
ขอให้ลูกช้างมีชีวิตรอดจากป่านี้เถอะ แล้วลูกช้างจะจัดโต๊ะจีนถวาย สาธุ พุทโธ ธัมโม สังโฆ” ยังไม่ทันขาดคำ ร่างสมิงปอบก็ลุกขึ้น คำรามลั่น “เฮ้ย”
เสี่ยไพบูลย์หนีไม่ได้แล้วเพราะสุดไหล่เข่า สมิงปอบกระโจนเข้ากัดตามตัว เสี่ยไพบูลย์เลือดอาบ
“อ๊าก”
สมิงปอบกระชากขาเสี่ยไพบูลย์ขาดด้วยความแค้น แต่กลายเป็นขาเทียมที่หลุดออกมา เสี่ยไพบูลย์ทรงตัวไม่อยู่ พุ่งถลาลงไปตามไหล่เขา เสี่ยไพบูลย์กลิ้งไปตามแรงไม่หยุด เสี่ยไพบูลย์เห็นต้นไม้ขวางหน้ามีกิ่งไม้หักแหลมยื่นออกมาร่างเสี่ยไพบูลย์กลิ้งพุ่งเข้าหากิ่งไม้ เสียงไพบูลย์ร้องลั่น

“อ๊าก”

กระเต็นขับรถมาตามทางโดยมีหาญนั่งข้างๆ ด้วยท่าทางแย่ กระเต็นเห็นก็ตกใจ

“เป็นยังไงบ้างคะ แน่ใจนะคะว่าไปไหว”
“ข้าไม่เป็นไร แค่เพลียเล็กน้อย กำลังของข้ายังฟื้นคืนไม่สมบูรณ์”
“คุณพ่อบาดเจ็บอยู่แล้ว ที่จริงก็ไม่สมควรเอากำลังที่มีไปรักษาศรีแพรอีก ยามคับขันจะลำบาก”
หาญกระอักกระอ่วนใจ
“เอ็งไม่ต้องห่วง ข้ายังมีตะกรุดและลูกสะกดหัวใจสิงห์ ยังไงก็รับมือพวกมันไหว”
หาญรีบก้มหน้าปาดเลือดกำเดาที่ไหลออกมาไม่ให้กระเต็นเห็น เก็บอาการ
“เสียดาย ถ้าเราย่นระยะทางได้ คงไปถึงเร็วกว่านี้ ไม่รู้ป่านนี้คุณพจน์จะเป็นยังไง” หาญนิ่งไป กระเต็นเอะใจจึงหันไปดู “คุณพ่อ คุณพ่อ พ่อหาญๆ”
กระเต็นเบรกรถเอี๊ยด

บึงใหญ่หน้าถ้ำวังพยัคฆ์ อาจารย์ยอดเดินเข้ามาแล้วมองอย่างพอใจ
“ในที่สุดข้าก็มาถึง”
อาจารย์ยอดจะหาทางข้ามไป แต่แล้วเสือทับก็ปรากฏกายขึ้นขวางไว้
“พวกสมิงปอบมันตายหมดแล้ว รวมทั้งเสี่ยไพบูลย์ด้วย”
“ช่างหัวมันประไร ดีซะอีก ต่อไปข้าจะได้ไม่ต้องแบ่งสมบัติกับใคร”
“หึ ใครที่หมดประโยชน์ เอ็งก็กำจัดทิ้ง เอ็งนี่มันเลวบริสุทธิ์จริงๆ”
“ชมได้ดี ข้ามันก็แค่คนเลว แต่เอ็งสิเลวทั้งตอนเป็นคนและตอนเป็นผี ฮ่าๆๆ”
อาจารย์ยอดสะใจจะหาทางข้ามไปยังถ้ำ เสือทับฉวยโอกาสกระแทกพลังเข้ากลางหลังอาจารย์ยอด แล้วซ้ำด้วยมีดพร้าในมือ
“อ๊าก ไอ้ทับ เอ็ง”
“เอ็งมันถือดี ประมาทข้าเกินไปแล้วไอ้หมอผีโง่”
อาจารย์ยอดคว้าไม้ครูขึ้นสู้แต่ช้ากว่าเสือทับที่สะบัดมือ เกิดคลื่นพลังปะทะไม้ครูปลิวกระเด็น เสือทับร่ายคาถา เสียงกรีดร้องของวิญญาณดังระงม เกิดควันดำพุ่งเข้าอัดอาจารย์ยอดจนกระอักเลือด ย่ามที่ใส่ของขลังหล่นกระจาย ควันดำม้วนตัวกลับพุ่งเข้าหอบร่างอาจารย์ยอดให้ลอยขึ้น รัดแขน ขา ลำตัว และคอจนหายใจไม่ออก
“วิญญาณพวกนี้มันอาฆาต และรอวันแก้แค้นเอ็งมานานแล้ว”
ทันใดผิวน้ำเบื้องหน้าก็กระจายออก หางจระเข้ยักษ์ตวัดขึ้นฟาดเสือทับจนลอยกระเด็น เสือทับทั้งตกใจทั้งงุนงง รีบหายตัวหนีไป อาจารย์ยอดหลุดจากพันธนาการแต่ก็หมดแรง ขุนโชติพุ่งจากน้ำตัวเป็นเกร็ด อาจารย์ยอดถึงกับตะลึง

พวกสุพจน์วิ่งเข้ามาเห็นขาเทียมหล่นอยู่ มีรอยเลือด
“ขาเทียม”
เสือดำมองฟ้าเห็นเมฆหมอกมืดครึ้ม
“ผู้มีวิชากำลังสำแดงอิทธิฤทธิ์”
“อาจารย์ยอดมันคงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่”
“ไม่ ไอ้ยอดไม่มีวิชาแก่กล้าขนาดนั้น”
ขุนโชติปรากฏกายยืนทะมึน
“เอ็งเดาถูกแล้ว ไอ้ดำ”
ทั้งหมดชะงักเห็นผิวหนังที่แขนขุนโชติกลายเป็นหนังจระเข้ ที่นิ้วมีเล็บจระเข้งอกออกมา สุพจน์และตำรวจที่เหลือช่วยกันยิงปืนโจมตีจระเข้ยักษ์แต่ไม่ระคายผิว
“พี่โชติ พี่สำเร็จวิชากุมภีร์พิฆาตแล้วรึ”
“ใช่ ต่อแต่นี้ ข้าจักเป็นขุนโจรเหนือโจรทั้งปวง”
ขุนโชติสะบัดกงเล็บออกไป เล็บจระเข้พุ่งเข้าปักหน้าผากตำรวจล้มตายก่อนที่มือขุนโชติจะกลายเป็นปกติ สุพจน์ก็บาดเจ็บด้วย เสือไทวิ่งเข้ามา
“ไอ้ทรยศ เอ็งพาโปลิศมาที่นี่” เสือไทตวัดขวานฟันเสือดำด้วยความโกรธ ขุนโชติกั้นไว้ “พี่โชติ คนเลวเยี่ยงนี้พี่ยังจะไว้ชีวิตมันอีกหรือ”
“ข้าต้องการฟังจากปากของมัน” ขุนโชติเดินไปหาเสือดำ “ไอ้ดำ เอ็งพูดมา พวกโปลิศบังคับเอ็งใช่รึไม่”
เสือดำส่ายหน้า
“ข้าพาพวกมันมาเอง”
“ไอ้ทรพี พี่โชติเขารักเอ็งดั่งน้องร่วมสายเลือด แต่เอ็งกลับคิดคดไปอยู่ข้างศัตรู ถุย”
เสือดำมองหน้าขุนโชติ
“ข้าไม่เคยแม้แต่จะคิดเนรคุณพี่ แต่ที่พวกเราทำลงไปมันผิดนัก ข้าทนไม่ได้ที่ต้องเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์
เพื่อสังเวยแค้น”
“เอ็งลืมสิ้นแล้วรึ ไฟแค้นที่เผาวิญญาณเอ็งมานับร้อยปี ถ้าไม่ล้างแค้น ข้าจะคืนชีพมาเพื่อการอันใด”
“ไฟแค้นที่ล่วงไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันมอดไปกับชีวิตที่สิ้นไปแล้วเถิด พวกเราได้ชีวิตใหม่มา ข้าเห็นควรจักสร้าง
กรรมดี ล้างกรรมชั่ว”
สุพจน์ที่สะบักสะบอมรีบสนับสนุน
“เสือดำพูดถูก หยุดทำร้ายคนอื่นเถอะขุนโชติ มอบตัวรับโทษจะได้ใช้ชีวิตใหม่ที่เหลืออยู่อย่างสงบ”
อาจารย์ยอดเข้ามารีบยุ
“เอ็งรับสินบนตำรวจมาเท่าไหร่ไอ้ดำ พวกขุนโชติมีค่าหัวไม่ใช่น้อยๆ แน่ เอ็งคงคิดจะเป็นเศรษฐีง่ายๆ สินะ” เสือไทยิ่งโมโห
“นี่เอ็งขายพวกข้ากินเชียวรึ”
“ข้าไม่เคยรับสินบนแม้แต่สตางค์แดงเดียว ข้าจงรักภักดีกับพี่โชติด้วยใจจริง ข้าไม่อยากเห็นพี่ต้องก่อบาปก่อกรรมอีกต่อไป ไอ้ยอดมันก็แค่ลวงพวกเราเอาไว้ใช้งานมิได้มีความจริงใจ”
เสือดำพูดขาดคำ เสือไทเอาขวานฟันปักกลางหลังเสือดำ เสือดำอึ้งเลือดไหลจากปาก ขุนโชติตกใจ
“คนเนรคุณเยี่ยงมัน มิควรเลี้ยงเอาไว้อีก”
“ข้าอโหสิให้เอ็ง ไอ้ไท พี่โชติ รักษาตัวด้วย ข้าลาก่อน”
ขุนโชติข่มความเสียใจ เสือดำล้มลงขาดใจ อาจารย์ยอดสะใจ สุพจน์ช็อก ขุนโชติหันมองอย่างแค้น
“กูจักควักหัวใจมึงเซ่นแร้งกา”

สุพจน์เห็นขุนโชติเงื้อดาบขึ้นเหนือหัว ฟันลง

กระเต็นรีบพาหาญกลับมาบ้าน วันต่อมาหาญรู้สึกตัวลืมตาขึ้นจึงรู้ตัวว่านอนอยู่ในห้องกล้า ศรีแพรเข้ามาพร้อมผ้าชุบน้ำ สีหน้าสดใส

“เจ้าฟื้นแล้วเหรอ ข้ากำลังจะเช็ดตัวให้เจ้าพอดี”
หาญพยุงตัวลุกขึ้น ยังมึนๆ
“ข้าเป็นอะไรไป แล้วมานอนที่นี่ได้ยังไง”
“เจ้าสลบไปน่ะสิ น้ากระเต็นพาเจ้ากลับมา”
“ป่า... แล้วผู้การพจน์กับเสือดำล่ะ”
“ข้าไม่รู้ น้ากระเต็นพาเจ้ากลับมาคนเดียว แล้วกำชับให้ข้าดูแลเจ้าให้ดีเพราะเจ้าต้องเสียกำลังไปมากกับ
การรักษาข้า เจ้าดูสิ ตอนนี้ข้าแข็งแรงเป็นปกติแล้ว” ศรีแพรหยิบคชกุศมาตวัดแกว่งไกวโชว์ หาญจำได้ละอายแก่ใจ ศรีแพรสบตาหาญ ซาบซึ้ง “ขอบใจเจ้ามากนะ ที่ช่วยชีวิตข้าไว้อีกครั้ง” หาญได้แต่หลบตา “แล้ว เจ้าใช้ยาขนานไหนรักษาพิษตะขาบไฟในตัวข้า”
“ข้า...”
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าวิชาพวกนี้มันเป็นความลับแต่ก็แปลกนะ ข้าฝันว่าเจ้ากล้าคนเมืองเข้ามาหาในห้องแล้ว...” ศรีแพรไม่พูดต่อ แต่กลับหน้าแดงด้วยความเขินอาย “เออ ไม่มีอะไร”
หาญยิ่งกระอักกระอ่วนจะออกไป
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว ข้า ข้าควรจะไปสืบข่าวของผู้การพจน์กับเสือดำ”
“ไม่ได้นะ เจ้าต้องพักผ่อน” ศรีแพรเข้าไปประคอง เอาใจ ดึงหาญกลับมาที่เตียง “ถ้าน้ากระเต็นรู้ว่าข้ายอมให้เจ้าออกไปลำพังมีหวังข้าต้องโดนดุแน่”
หาญรีบแกะมือศรีแพรออก
“ข้าจะคุยกับกระเต็นให้เอง แต่ตอนนี้ข้าต้องรีบไปกองปราบ” หาญรีบออกไป
“เดี๋ยวสิ ข้าไปด้วย”
ศรีแพรตามไป

นุกูลกดออดอยู่หน้าบ้านกระเต็นเสียงออดดัง นุกูลรอแต่ไม่มีใครออกมาก็ชะเง้อมองเข้าไปในบ้านแต่ไม่เห็นใครเลย รถกระเต็นก็ไม่อยู่ นุกูลร้อนใจอยากเจอกระเต็นกดออดอีกรอบ แต่จู่ๆ ก็มีก้อนหินเล็กๆ หล่นใส่หัว
“โอ๊ย”
รักยมมองจากต้นไม้สูงในบ้าน เห็นนุกูลลูบหัวเจ็บ พลางมองไปรอบๆ รับรักยมนั่งอยู่บนต้นไม้ ตีมือกัน หัวเราะกิ๊กกั๊กกัน นุกูลได้ยินเสียงแว่วๆ โมโหคิดว่าโดนแกล้ง
“เด็กที่ไหนหัวเราะวะ ออกมานะโว้ย”
รถมอเตอร์ไซค์สายตรวจขี่เข้ามาจอด มองสงสัย
“มีอะไร มาโวยวายหน้าบ้านคนอื่นเค้าทำไม”
นุกูลรีบอธิบาย
“ปะ เปล่า นะครับจ่า ผมมาหาคนในบ้านนี้น่ะครับ”
“ทำไม มีอะไร”
นุกูลจะบอกว่ากล้าให้มาหาแม่ก็ไม่ได้ เดี๋ยวตำรวจรู้เรื่องจึงตัดสินใจโกหก
“ผมแค่มาเยี่ยมเฉยๆ ครับจ่า มะ ไม่มีอะไรครับ งั้นผมลาล่ะครับ”
นุกูลรีบเดินออกไป จ่าสายตรวจมองอย่างสงสัย

“ไม่มีใครอยู่เลยเหรอ”
กล้าถามเมื่อนุกูลกลับมา นุกูลพยักหน้ารับ
“ใช่พี่ ผมกลัวตำรวจจะซัก ก็เลยรีบกลับมาก่อน ไม่ได้อยู่รอ”
จ่าลุยกับกล้านั่งเครียด
“ดีแล้วที่ส่งไอ้นุไปแทน ช่วงนี้ตำรวจเต็มเมืองไปหมด คุณกล้าจะทำอะไรก็ต้องระวังตัวให้มากๆ”
ป๋อง โป้ง เปี๊ยก เข้ามากล้ารีบถาม
“ไง ได้ข่าวอะไรไหม”
ทั้งสามคนพยักหน้า โป้งกระทุ้งให้ป๋องพูด
“ลูกน้องไอ้ภูมินทร์เต็มหน้าบ้านวดีไปหมด พวกเราก็เลยลองไปสืบข่าววดีจากที่โรงเรียนดูเผื่อจะมีอะไร เลยเลยได้ ยินข่าวลือมาว่า ว่า...”
“ว่าอะไร ก็พูดมาสิวะ”
โป้งทนไม่ไหว พูดแทน
“วดีจะแต่งงานพรุ่งนี้”

จ่าลุย นุกูลได้ยินก็เครียดมองไปที่กล้า กล้าอึ้ง คิดเครียดจัด ไม่นึกว่าวันแต่งจะมาถึงรวดเร็วเพียงนี้

คืนนั้นที่บ้านราชาวดีมีลูกน้องภูมินทร์เดินยามอยู่ 4-5 คน ราชาวดีนั่งมองชุดแต่งงานอยู่ในห้องเงียบๆ สีหน้าเศร้าๆ จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญค่ะ”
ช่างแต่งหน้าหญิงยิ้มเข้าห้องมา
“ดูชุดเจ้าสาวอยู่เหรอคะ คงจะตื่นเต้นน่าดูเลยใช่ไหมเอ่ย แต่พี่ว่าน้องรีบนอนก็ดีนะคะ พรุ่งนี้ต้องตื่นกันตั้งแต่ตีสี่แน่ะ เดี๋ยวพี่จะมาปลุกเอง เราจะได้แต่งหน้าทำผมกัน”
“ค่ะพี่ ขอบคุณมากนะคะ”
ช่างแต่งหน้ายิ้ม อารมณ์ดี
“แหม ก็มันเป็นหน้าที่พี่อยู่แล้วนี่จ๊ะ”
ช่างแต่งหน้าเดินอารมณ์ดีออกไป ราชาวดีมองชุดแต่งงานอย่างเศร้าใจ

อีกด้านหนึ่งที่ห้องพักในโรงแรม เงินถูกโยนลงบนเตียงปึกใหญ่ งามตาที่เพิ่งนอนกับภูมินทร์เสร็จนั่งใส่เสื้ออยู่ เห็นก็รีบคว้ามานับ แล้วตาโตดีใจสุดๆ
“นี่มันมากกว่าที่งามขอตั้งเท่าตัวเลยนี่คะ พ่อเลี้ยงเมตตางามจริงๆ ขอบคุณนะคะ”
“ต่อไปเราจะไม่เจอกันอีก”
“ทำไมล่ะคะ ถ้างามทำอะไรให้พ่อเลี้ยงไม่พอใจ บอกงามสิคะ งามสัญญาว่าจะปรับปรุงตัวเอง”
ภูมินทร์มองงามตา
“พรุ่งนี้ฉันจะแต่งงานกับวดี”
งามตารีบทำเป็นนางเอก ตีหน้าเศร้าบีบน้ำตา
“งามยินดีด้วยนะคะ วดีโชคดีจริงๆ พ่อเลี้ยงคะ แต่งามรักพ่อเลี้ยงจริงๆ งามขอร้องละค่ะ ให้งามเป็นเมียเก็บก็ได้งามยอมทุกอย่าง นะคะ นะคะพ่อเลี้ยง”
“ไม่ ฉันจะไม่ทำให้วดีเสียใจเป็นอันขาด” งามตาคิดแผนต่อ
“ก็ได้ค่ะ งามยอมแล้ว งั้นอยู่กับงามต่ออีกสักหน่อยเถอะนะคะชั่วโมงเดียวก็ยังดี นะคะพ่อเลี้ยง ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน”
ภูมินทร์พยักหน้ารับ ใจอ่อน ยอมไปนั่งอยู่ที่เตียงแบบเซ็งๆ งามตารีบกุลีกุจอไปหยิบเบียร์จากตู้เย็น รินใส่แก้วให้ภูมินทร์ งามตาหันหลังเอาตัวบังแก้วไว้แล้วแอบหยิบยานอนหลับจากกางเกงเทใส่เข้าไปด้วย งามตารีบเอาเบียร์ไปให้ภูมินทร์ทันที
“นี่ค่ะพ่อเลี้ยง แทนคำล่ำลาของงาม”
ภูมินทร์รับ ทำเป็นจะดื่ม งามตายิ้มหวาน แต่แล้วภูมินทร์ก็ยื่นให้งามตา
“ฉันเปลี่ยนใจ เธอดื่มแทนก็แล้วกัน” งามตาอึกอัก
“เอ่อ”
ภูมินทร์จ้อง รู้ทัน ปัดแก้วทิ้ง งามตาตกใจ ภูมินทร์กระชากแขน โมโห ตบหน้า แล้วเหวี่ยงงามตาลงไปที่เตียงภูมินทร์ชักปืนออกมา
“คิดจะเอาอะไรให้ฉันดื่ม ฮะ”
งามตารีบไหว้ขอชีวิต
“งามผิดไปแล้ว อย่าฆ่างามเลยนะคะพ่อเลี้ยง งะ งามไม่ได้จะทำร้ายอะไรพ่อเลี้ยงจริงๆ มัน มันแค่ยานอนหลับ งามแค่อยากให้พ่อเลี้ยงอยู่กับงามนานๆ ก็เท่านั้นเอง”
ภูมินทร์โมโหมาก
“หึ คิดจะให้ฉันไปไม่ทันงานแต่งล่ะสิ เธอมันเลี้ยงไม่เชื่อง นังงูพิษ”
นิ้วภูมินทร์ลั่นไกทันที เปรี้ยง
งามตาเอามือป้องร้องลั่น กระสุนโดนหมอนที่อยู่ข้างๆ ตัวงามตา งามตาสั่นเป็นลูกนก กลัวสุดๆ ภูมินทร์จ้องเหี้ยม
“ฉันไม่ฆ่าคนอย่างเธอให้เสียมือหรอก จำไว้ อย่าสะเออะมาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
ภูมินทร์เดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์เสีย ปิดประตูปัง งามตาสั่น น้ำตาร่วง มือกำแน่น มองไปที่ประตู ความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ แววตาแค้นภูมินทร์สุดๆ

ราชาวดีนอนกระสับกระส่าย บรรยากาศห้องมีแสงส่องเข้ามาพอเห็นสลัวๆ ราชาวดีคิดไปถึงเรื่องเมื่อตอนที่กระเต็นมาตามหากล้า
“นี่เธอถูกมันต้มแล้วรู้ไหม ยัยนิจถูกจับตัวไปซะที่ไหนกัน”
“คะ”
“เธอมันหัวอ่อนจริงๆ มันบอกอะไรก็เชื่อ ที่ยัยนิจหายไปน่ะไม่ใช่เพราะกล้าลักพาตัวอะไรทั้งนั้น”
ราชาวดีชักสับสน
“คุณป้ารู้เรื่องนิจ”
กระเต็นพยักหน้ารับ
“เธอยังอ่อนต่อโลกนัก ราชาวดี สิ่งที่เธอคิดว่าจริงบางทีมันอาจเป็นแค่เรื่องหลอกลวงก็ได้”
ราชาวดีลุกขึ้นนั่ง คิดใคร่ครวญ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็น ภูมินทร์มีสีหน้าแปลกใจที่ราชาวดีขอเบอร์โทร
ปางไม้
“เบอร์ ปางไม้”
“ค่ะ นิจมางานเราไม่ทันก็ไม่เป็นไร แต่ยังไงวดีก็อยากคุยกับนิจบ้าง”
ภูมินทร์อึกอัก รีบโกหก
“คือ ตอนนี้โทรศัพท์ที่นั่นมีปัญหาน่ะวดี ฟ้ามันลง ช่างกำลังแก้ไขอยู่ ไอ้คมมันกลับมาจากปางไม้ เพิ่งบอกพี่เมื่อเย็นนี้เอง”
ราชาวดีมองภูมินทร์ รู้สึกแปลก แต่ทำไม่รู้
“ค่ะ”
ภูมินทร์จับมือราชาวดี
“ไม่เป็นไรนะ พี่รู้ว่าวดีเหงา ไว้เสร็จงานแต่งพี่จะรีบพาวดีบินไปหานิจเลย ดีไหมจ๊ะ”
ราชาวดียิ้มแต่ในใจเคลือบแคลง

“ค่ะ”

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 10 (ต่อ)

ราชาวดีหยิบรูปเธอกับพ่อที่ข้างหัวเตียงขึ้นมาในใจสับสน
“พ่อคะ วดีตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหมคะ”
ราชาวดีวางรูป ลมพัดมาวูบใหญ่ กระแทกหน้าต่างเปิดข้าวของระเนระนาดรูปตกพื้นกระจาย ราชาวดีเก็บรูป ด้วยความรู้สึกสับสน

ที่อู่จ่าลุย กล้ากำลังหลับอยู่แต่ต้องตกใจตื่นขึ้นมา
“ไม่นะวดี”
นุกูลที่นอนข้างๆ สลึมสะลือลุกขึ้นมา
“พี่กล้า มีอะไร เป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่า พี่นอนไม่หลับ แกนอนเถอะ”
นุกูลง่วงจัด ล้มตัวลงไปนอนต่อหลับกรนคร่อกๆ กล้ากอดเข่านั่งเครียด

เช้าวันรุ่งขึ้น ภูมินทร์นั่งอยู่เบาะหลังรถในชุดเจ้าบ่าว
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม” ภูมินทร์ถามคม
“ครับนาย ผมกำชับพวกที่ปางว่าให้ขังคุณนิจไว้แต่ในห้อง ส่วนที่บ้านคุณราชาวดี ผมจัดลูกน้องลงไปเพิ่มอีก”
“ดีมาก หึๆ ในที่สุดวันที่ฉันรอคอยก็มาถึง”
ภูมินทร์ยิ้มพอใจ

นุกูลนอนดิ้นกลิ้งตกเตียง
“อูย”
นุกูลลุกขึ้นไปนอนใหม่แล้วเอะใจ หันมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นกล้ารู้สึกแปลกใจ นุกูลมองไปเห็นกระดาษวางอยู่ที่ข้างๆ ตัวจึงรีบหยิบมาอ่าน นุกูลเงยหน้าขึ้นหน้าเครียด
“แย่แล้ว”

ที่บ้านราชาวดี ผนังห้องรับแขกถูกประดับไว้ด้วยตัวอักษรสวยงาม “พิธีมงคลสมรส ราชาวดี (รูปหัวใจเกี่ยวกัน) ภูมินทร์”
ห้องรับแขกถูกจัดเตรียมไว้สำหรับพิธีแต่งงานอย่างสวย มีดอกไม้ประดับประดาอย่างสมฐานะ ลูกน้องของภูมินทร์คนหนึ่งเดินเข้ามาตรวจตรารอบๆ ทันใดลมพัดวูบหนึ่งเหมือนเดินสวนกับใคร ลูกน้องหันตามไปมองแต่ไม่เห็นอะไร นอกจากดอกไม้ตรงทางขึ้นบันไดร่วงอยู่ดอกหนึ่ง ลูกน้องเดินมาเก็บดู สงสัย แต่คิดว่าไม่มีอะไร
กล้าที่กำบังกายอยู่บนบันได มองลูกน้องภูมินทร์เดินกลับออกไป

ราชาวดีในชุดเจ้าสาวทำผมเสร็จแล้ว กำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้าให้อยู่ ช่างแต่งหน้าแต่งไปปากก็ชมใหญ่
“สวยจริงๆ เลยค่ะ ตั้งแต่พี่ทำงานมา น้องเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเลยนะคะ” ราชาวดียิ้มจางๆ “อืม เงียบจัง พี่ว่าเราเปิดเพลงหน่อยก็ดีนะคะ”
ช่างแต่งหน้าถือวิสาสะเดินไปกดPlayเทปที่วิทยุซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ ทันที เสียงร้องเพลงจากเทปของกล้าดังขึ้น
“เกิด...เป็นความรัก ความรักเมื่อแรกเจอ จิตใจละเมอติดยังฝังตรึง...”
ราชาวดีได้ยินตกใจ รีบไปกดหยุดเทปทันที
“เสียงใครกันคะ เพราะจังเลย” ราชาวดีหน้าซีด “แหม คุณภูมินทร์ใช่ไหมเอ่ย โรแมนติกกันจังเลย”
“วดี วดีขออยู่คนเดียวสักพักนะคะ”
“ก็ ก็ ได้ค่ะ”
ช่างแต่งหน้าเดินออกไป จังหวะที่ช่างแต่งหน้าเปิดประตูเดินออกไป ช่างแต่งหน้ารู้สึกแปลกๆ เหมือนมีลมผ่านตนเองไปวูบหนึ่ง ช่างแต่งหน้ายืนงงก่อนจะปิดประตู ราชาวดีทรุดตัวลงนั่ง หยิบตลับเทปของกล้าจากตะกร้าเทปออกมา
ราชาวดีน้ำตาคลอ แม้พยายามกลั้นไว้แล้ว แต่ก็ไม่ไหว น้ำตาร่วงออกมาด้วยความสะเทือนใจ ภาพใบหน้าของกล้าที่ยิ้มให้ราชาวดีในช่วงเวลาหวานๆ ลอยซ้อนขึ้นมา ราชาวดีร้าวรานใจนักที่เรื่องทั้งหมดกลับกลายเป็นเช่นนี้ กอดตลับเทปแล้วปล่อยโฮออกมา
“ฮือๆ”
เหมือนมีใครมองราชาวดีจากตรงประตูห้อง
“วดี”
ราชาวดีตกใจ เงยหน้ามองรอบๆ ลูกบิดถูกกดล็อค ราชาวดีตกใจ ลุกขึ้นยืนมองอึ้งเมื่อเห็นกล้าออกจากกำบังกายยืนอยู่ที่ประตู
“พี่กล้า ช่วยด้วยๆ”
กล้ารีบไปปิดปากราชาวดีไว้ ราชาวดีดิ้นใหญ่
“วดี ใจเย็น พี่ไม่ได้มาร้าย พี่ขอร้อง ฟังพี่ก่อน”
ราชาวดีหยุดดิ้น กล้าค่อยๆ ปล่อยมือ ราชาวดีผลักกล้าออก
“ไม่ เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว พี่กล้ากลับไปซะ ก่อนที่พ่อเลี้ยงจะมา”
“พี่ไม่กลับ พี่เป็นห่วงวดีนะ วดีจะแต่งงานกับมันไม่ได้ ไอ้ภูมินทร์มันเป็นคนชั่วรู้ไหม”
ราชาวดีมองกล้าอย่างผิดหวัง
“ไม่ พี่กล้าหยุดพูดได้แล้ว วดีไม่ฟังอะไรทั้งนั้น วดีรักพ่อเลี้ยงภูมินทร์”
กล้าได้ยินก็อึ้ง
“ไม่จริง ถ้าวดีรักมัน” กล้ามองตลับในมือ “แล้วเทปนั่นล่ะคืออะไร วดีร้องไห้ทำไม”
ราชาวดีน้ำตาร่วงเจ็บปวดใจ
“มันไม่ใช่เรื่องที่พี่กล้าจะต้องรู้”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นรัว ปึงๆๆ
“น้องคะ เกิดอะไรขึ้นคะ น้องคะ”
กล้ากับราชาวดีมองหน้ากันเครียด
“กลับไปซะ ยังไงวดีก็ไม่เปลี่ยนใจ วดีบอกให้กลับไปไง”

กล้าเครียดจัด

ช่างแต่งหน้าเคาะประตูเรียกราชาวดีอยู่หน้าห้อง
“น้องคะ น้อง”
ภูมินทร์พรวดเข้ามา หน้าเครียด
“เกิดอะไรขึ้น”
“มีเสียงดังเอะอะข้างในคะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ภูมินทร์เป็นห่วงราชาวดี ชักปืนออกมา
“วดีๆ”
ช่างแต่งหน้าเห็นปืนก็กลัว ถอยกรูดไปอยู่มุมหนึ่ง แล้วจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดจากด้านใน แง้มออกนิดๆ ภูมินทร์เห็นก็ผลักพรวดเข้าไปทันที

ประตูพรวดเข้าห้องมา ประตูถูกปิดลงทันที ภูมินทร์หันขวับไปจี้ปืน กล้าที่ดักรออยู่เตะปืนในมือแล้วคว้าปืนไว้ เล็งกลับไปที่ภูมินทร์ ภูมินทร์ชะงักนิ่ง กล้ายิ้มเหี้ยม ล็อคประตู
“ถึงทีฉันบ้าง ไอ้ภูมินทร์”
ภูมินทร์มองกล้าโมโหมาก
“ไอ้กล้า”
ภูมินทร์เห็นราชาวดีถูกมัดแขนทั้งสองติดอยู่กับเตียง ราชาวดีพยายามดิ้นรน
“ปล่อยนะพี่กล้า ปล่อยวดีเดี๋ยวนี้”
“ไอ้กล้า ไอ้หมาลอบกัด” กล้ามองเหี้ยม
“เหอะ แต่ยังไงมันก็ได้ไม่ครึ่งคนอย่างแกหรอก ไอ้ภูมินทร์” กล้าขึ้นลำปืน เล็งด้วยความเคียดแค้น “ถึงเวลาต้องจบเรื่องบ้าๆ นี่ซะที”
“ไม่นะพี่กล้า ไม่”
กล้าเจ็บปวดที่ราชาวดีเข้าข้างภูมินทร์
“แต่พี่ต้องทำ! มันตายเมื่อไหร่พี่จะมอบตัวทันที”
ภูมินทร์เห็นกล้าเผลอ หยิบกระเป๋าหรือของใกล้มือ โยนเข้าใส่กล้า กล้าปัดออก ภูมินทร์พุ่งเข้าแย่งปืนกับกล้า สองคนยื้อกัน ราชาวดีลุ้น ทันใดเสียงกระสุนก็ดังลั่น เปรี้ยง!
ภูมินทร์อึ้ง กล้าอึ้ง ภูมินทร์ทรุดลงไปคุกเข่า แล้วฟุบลงไปนอนคว่ำหน้า
“พี่ภู”

กล้าคิดว่าภูมินทร์ตายแล้ว เดินมาที่ราชาวดี
“วดี”
ราชาวดีมองกล้า ผิดหวัง น้ำตาร่วง
“ทำไม ทำไมพี่กล้าถึงทำแบบนี้”
ทันใดราชาวดีก็ตกใจ เมื่อเห็นภูมินทร์คว้าแจกันฟาดลงมาที่กล้าอย่างแรง กล้าเซล้มลงไปกับพื้น ภูมินทร์ได้ทีตามเข้าเตะๆ อย่างสะใจ กล้าจุกตัวงอ
“กระสุนแค่นี้ทำอะไรตะกรุดอาจารย์ยอดไม่ได้หรอกโว้ย”
ที่คอภูมินทร์ใส่ตะกรุดอยู่ ภูมินทร์เตะกล้าซ้ำอีก แต่คราวนี้กล้าเอามือจับดัน แล้วลุกขึ้นสู้ สองคนปรี่เข้าซัดกัน
เชิงมวยของกล้าเหนือกว่ามาก ภูมินทร์ถูกซัดที่ลำตัว ทรุดลงไปกอง กล้าโผคร่อม เอาปืนตบหน้าภูมินทร์หลายหนอย่างแค้นจนเลือดออกปาก ออกจมูก ท่ามกลางเสียงร้องห้ามของราชาวดี
“หยุดนะพี่กล้า หยุด วดีบอกให้หยุด ฮือๆ”

คมอยู่หน้าห้องนึกเป็นห่วงนายจึงถีบประตูอย่างแรง แล้ววิ่งเข้าไปในห้องทันที คมพุ่งเข้ามาเห็นกล้าก็เล็งปืนแล้วยิงทันที เปรี้ยง!
กล้ากระโดดกลิ้งตัวหลบไปด้านหน้าทางที่คมอยู่ แล้วเตะขัดขาคมจนล้มอย่างรวดเร็ว คมล้ม กล้าได้ทีวิ่งหนีออกจากห้องไป คมเข้ามาดูภูมินทร์ที่สภาพยันเยิน
“นาย”
ภูมินทร์เลือดกบปาก ด่า
“ไปตามมันสิวะ ไป”
ภูมินทร์ปาดเลือด โซเซตาม คมออกไป ราชาวดีพยายามแก้มัดตัวเอง จนเชือกคลาย

คมวิ่งถือปืนลงบันไดมาถึงชั้นล่างก็หยุดชะงักเมื่อเห็นกล้าใช้ตัวช่างแต่งหน้าเป็นตัวประกัน ถือปืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของลูกน้องภูมินทร์
“ไม่ต้องกลัว ผมไม่ทำอะไรคุณ ถึงหน้าบ้านแล้วผมจะปล่อยคุณ” กล้ากระซิบบอกช่างแต่งหน้า แล้วพูดเสียงดัง “อย่าเข้ามา ไม่งั้นผู้หญิงคนนี้ตาย”
คมได้แต่ถือปืนเล็ง เครียด ไม่กล้ายิง ภูมินทร์วิ่งตามเข้ามา
“ฆ่ามันเลยสิวะ”
“แต่นายครับ”
“มานี่”
ภูมินทร์โกรธมาก คว้าปืนคม ยิงไปที่กล้าทันที กระสุนโดนช่างแต่งหน้า ช่างแต่งหน้าตาเหลือก ราชาวดีเดินตามลงมาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด รู้ซึ้งถึงความโหดเหี้ยมของภูมินทร์

กล้าตะลึงปล่อยร่างช่างแต่งหน้า แล้วยิงรัวใส่พวกภูมินทร์และลูกน้อง ลูกน้องภูมินทร์ เจ็บ ร่วงไป 2 คน นอกนั้นต่างหลบแล้วยิงสวนกล้าข้าวของแตกกระจุย กล้ายิงโต้กลับพลางวิ่งหนีออกจากบ้านไป คมคว้าปืนลูกน้องที่ตาย วิ่งตามไปกับลูกน้องที่เหลือด้วย

กล้าวิ่งหนีออกมาพลางยิงต่อสู้ แต่แล้วกลับถูกลูกน้องภูมินทร์ 2 คนโผล่มาถือปืนดักหน้าเอาไว้ กล้าชะงัก คมกับลูกน้องตามเข้ามาจากทางตัวบ้าน ถือปืนเล็งล้อมไว้ กล้ายืนเล็งปืนนิ่งไปที่คมกะสู้ตาย ภูมินทร์เดินเข้ามายิ้มอย่างผู้ชนะ
“หึ ในที่สุดแกก็แพ้ฉันวันยังค่ำ”
ภูมินทร์เล็งปืนไปที่กล้า กล้าเล็งปืนใส่ภูมินทร์ไม่กลัว
สองคนเล็งปืนใส่กัน ขณะที่คมและลูกน้องภูมินทร์ล้อมรอบ ภูมินทร์ยิ้มเยาะเพราะตนมีตระกรุดของอาจารย์ยอด
“เอาเล้ย งานนี้แกก็รู้อยู่แล้วว่าใครจะอยู่ ใครจะไป”
กล้าหน้าเครียด ภูมินทร์จ้องเหี้ยม มือภูมินทร์กำลังจะลั่นไก ทันใดราชาวดีก็แหวกวงล้อมวิ่งเอาตัวมาขวางหน้ากล้าไว้ไม่ให้ภูมินทร์ฆ่า
“หยุดนะพี่ภู”
“วดี”
ภูมินทร์อึ้ง
“วดี ถอยไป”
“ไม่ค่ะ วดีไม่ถอย จนกว่าพี่ภูจะหยุด”
ภูมินทร์เครียดจัด ทันใดเสียงโครมก็ดังขึ้นจากทางรั้วบ้านราชาวดี ทุกคนตกใจมองไปจึงเห็นรถคันหนึ่งชนรั้วพุ่งตรงเข้ามาที่กล้า โดยมีโป้งเป็นคนขับ นุกูลนั่งข้าง เปี๊ยก ป๋องนั่งหลัง ลูกน้องภูมินทร์ที่อยู่ฝั่งทางประตูรั้วต่างตกใจ กระโดดหลบกันจ้าละหวั่น
นุกูลโผล่ออกจากข้างรถ เอาปืนลูกซองจ่าลุยยิงไปที่ภูมินทร์ คมวิ่งไปผลักภูมินทร์หลบ กลิ้งกันไป รถจอด ป๋อง เปี๊ยก กับ นุกูล ลงจากรถ
“พี่กล้าขึ้นรถ”
กล้าฉุดตัวราชาวดีวิ่งไปที่รถ คม ภูมินทร์ ลูกน้องต่างยิงใส่ พวกนุกูลต่างยิงป้องกันกล้า เสียงกระสุนดังลั่นไปหมด
นุกูลเล็งแล้วสวนกลับด้วยลูกซองไปที่ภูมินทร์ ภูมินทร์หลบ ส่วนเปี๊ยก ป๋อง ใช้ปืนไทยประดิษฐ์ยิงโต้ ไม่ยั้ง กล้าพาราชาวดีขึ้นหลังรถ นุกูลขึ้นหน้า เปี๊ยก ป๋องตามนั่งหลัง แต่แล้วป๋องกลับถูกยิงที่หลัง ผงะ ตาเหลือก “ไอ้ป๋อง”
กระสุนถูกระดมยิงเข้ามาที่รถไม่หยุด ทุกคนในรถต่างหลบ ป๋องทรุดลงไปนอนตาย ทุกคนในรถอึ้ง
“ป๋อง ป๋อง”
“หนีก่อน ไอ้โป้ง ไปเร็ว”
โป้งตัดใจเข้าเกียร์ถอย เหยียบคันเร่งอย่างแรง รถจ่าลุยถูกถอยออกไปอย่างรวดเร็ว นุกูลโผล่ออกมาจากหน้าต่าง ปาระเบิดขวดออกมาใส่กลุ่มคม ระเบิดกระทบพื้น ตู้ม! ควันโขมง กระจายไปทั่ว คมกระโดดหลบ ภูมินทร์ คม ลูกน้องภูมินทร์ ออกจากมุม ต่างระดมยิงตามรถไปไม่หยุด เมื่อควันจางลงภูมินทร์ไม่เห็นรถของจ่าลุยแล้ว ภูมินทร์โมโหมาก
“บ้าเอ๊ย”
ภูมินทร์เครียดจัด

โป้งขับรถพาทุกคนหนี ทุกคนในรถนั่งหน้าเครียด
“ไอ้ป๋อง ฮือๆ”
นุกูลร้องไห้ออกมา โป้งหันไปถามกล้า
“พี่กล้า ไปต่อทางไหนดีพี่”
“เลี้ยวที่แยกข้างหน้า เส้นนั้นไม่ค่อยมีใครใช้”
โป้งเหยียบคันเร่งแล้วหักรถเลี้ยวเข้าถนนอีกเส้นซึ่งเป็นถนนลูกรัง
รถพุ่งลงเนินมาด้วยความเร็วแล้วกระแทกลงอย่างแรง แต่แล้วรถกลับส่ายไปมา บังคับไม่ได้ ทุกคนในรถตกใจ
“เฮ้ย ทำไมรถมันเป็นงี้วะ”
โป้งพยายามควบคุมรถ
“ตายล่ะ รถยังไม่ได้ซ่อม สงสัยลูกหมากจะหลุดแน่ๆ เบรค เบรคสิวะ” นุกูลบอกอย่างตกใจ โป้งเหยียบย้ำๆ
“ไม่ได้ว่ะ เบรคก็ไม่ได้”
รถแล่นด้วยความเร็ว ส่ายไปส่ายมา กล้าตัดสินใจดึงเบรคมือทันที รถหมุนคว้างแล้วพุ่งไปชนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างทางอย่างแรง ประตูหลังที่ล็อคแน่นถูกถีบออก กล้าประคองราชาวดีออกมาจากรถ
“ไม่เป็นไรนะวดี”
ราชาวดีพยักหน้ารับ เปี๊ยกโผล่ตามออกมาจากรถ กล้ากับเปี๊ยกรีบช่วยกันเปิดประตูข้างคนขับที่บุบเสียทรง
เสียงไซเรนดังแว่วเข้ามา กล้ากับเปี๊ยกเครียด ราชาวดีเข้ามาช่วย ทั้งหมดดึงประตูสุดความสามารถจนเปิดออกมาได้
แต่แล้วกล้าก็อึ้งเมื่อเห็นขานุกูลถูกคอนโซลหน้าอัดทับแน่นอยู่
“ไอ้นุ”
นุกูลเจ็บขามาก บอกเสียงสั่น
“พี่กล้า ไอ้โป้ง ไอ้โป้งตายแล้ว”
กล้ามองโป้งที่ถูกอัดตายคาพวงมาลัย เลือดโชก ตาค้างอึ้ง ส่วนเปี๊ยกน้ำตาร่วง กล้าพยายามเข้มแข็ง ปลอบทุกคน
“ไม่เป็นไรนะนุ พี่จะช่วยแกให้ได้”
กล้าพยายามดึงตัวนุกูล
“โอ๊ย โอ๊ย” เสียงไซเรนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ “พี่กล้า หนีไป ไม่ต้องห่วงผม”
“ไม่ พี่ไม่มีวันทิ้งแก”
“ผมไม่เป็นไร” นุกูลจับมือกล้าพร้อมกับบอกว่า “อย่าให้สิ่งที่พวกผมทำต้องเสียเปล่า ผมขอร้อง ถ้าพวกมันมาทัน ไอ้พ่อเลี้ยงไม่ปล่อยพี่ไว้แน่”

“นุกูลพูดถูก พ่อเลี้ยงไม่มีทางปล่อยพี่กล้า เค้าฆ่าพี่แน่ หนีก่อนเถอะค่ะ”

ราชาวดีพูดอย่างเด็ดเดี่ยวจนกล้าแปลกใจ กล้ากับเปี๊ยกมองหน้ากัน
“ไปเถอะพี่ ไปเร็ว”
กล้าตัดใจพาราชาวดีและเปี๊ยกหนีเข้าป่าหญ้าสูงรกท่วมหัวข้างทางไป นุกูลกุมขาด้วยความเจ็บปวดมองตาม ภาวนาให้กล้าหนีไปสำเร็จ
“ผมคงช่วยพี่ได้เท่านี้ พี่กล้า”
นุกูลพึมพำออกมาก่อนจะสลบไป รถตำรวจและรถภูมินทร์แล่นเข้ามา

กล้า ราชาวดี เปี๊ยก วิ่งทะลุป่าหญ้ามาเจอคลองใหญ่ขวางหน้าอยู่ ทั้งสามถึงกับเครียด “เอาไงดีพี่”
เปี๊ยกถาม กล้ามองราชาวดีอย่างเป็นห่วง
“วดีไม่ได้เก่งแค่รำอย่างเดียวค่ะพี่กล้า เรื่องว่ายน้ำก็ไม่แพ้ใคร”
ราชาวดีบอก ทั้งสามคนจับมือ พยักหน้าให้กัน แล้วโดดลงน้ำกันทันที

ขณะนั้นสารวัตรและลูกน้อง วิ่งไล่ตามพวกกล้ามา ตามด้วยกับภูมินทร์และคม สารวัตรและลูกน้องวิ่งมาเจอคลองก็หยุด มองรอบๆ ภูมินทร์ คม วิ่งตามเข้ามา ภูมินทร์มองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นใคร ภูมินทร์โมโหสุดๆ
“โธ่เว้ย”

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นกระเต็นอยู่ที่เจดีย์บรรจุอัฐิเพชร กระเต็นปักธูปหนึ่งดอกแล้วไหว้ก่อนจะลุกขึ้นยืนมองเจดีย์บรรจุอัฐิของเพชร ใกล้ๆ กันเป็นเจดีย์บรรจุอัฐิร่วมกันของยิ่งยศและเกศินี
“เพชร...ท่านผู้การยิ่งยศ คุณน้าเกศินี ไม่ว่าดวงวิญญาณของพวกคุณจะอยู่ที่ไหน ขอให้ช่วยกล้าด้วย ลำพังฉันเองก็ทำทุกวิถีทางที่จะช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้เค้าแล้ว แต่มันก็ยังไม่เป็นผลอยู่ดี” กระเต็นมองรูปเพชร “บางที...ถ้าเราไม่เลี้ยงดูเค้าตั้งแต่แรก เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น” กระเต็นนึกถึงสุพจน์ ดวงใจ จ่าลุย“คงไม่ต้องมีคนบริสุทธิ์มารับเคราะห์”
กระเต็นรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนผิด จู่ๆ ก็เกิดฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วผ่าเปรี้ยงลงมายังโค่นต้นไม้ด้านหลังเจดีย์บรรจุอัฐิ เปรี้ยง
กระเต็นตกใจรีบหมอบตามสัญชาตญาณ มองไปที่กลุ่มควัน เห็นเงาคล้ายยิ่งยศยืนอยู่ กระเต็นขยี้ตาเงานั่นก็หายไป ควันจาง เห็นรอยดินแยกออกที่โค่นต้นไม้ กระเต็นรีบเข้าไปดูด้วยความสงสัยแล้วกระเต็นก็เห็นเศษผ้าโผล่ออกมาจากรอยดินแยก กระเต็นรีบคุ้ยดู เป็นห่อผ้าเก่าๆเปื่อยๆ กระเต็นเปิดห่อผ้าออกดูแล้วต้องตกใจ

กระเต็นกลับเข้ามาในบ้าน หาญกับศรีแพรรออยู่แล้วด้วยท่าทางร้อนใจ
“น้ากระเต็นกลับมาแล้ว”
“ข้ากับศรีแพรไปที่กองปราบมาแล้ว ยังไม่มีข่าวของผู้การสุพจน์เลย ข้าได้แต่ฝากให้ทางนั้นแจ้งเราด้วย ถ้าได้อะไรคืบหน้า เป็นความผิดของข้าเอง ถ้าข้าไม่หมดสติซะก่อนก็คงตามไปช่วยทัน”
“ไม่มีใครผิดหรอกค่ะ พ่อหาญเสี่ยงชีวิตกับเรื่องนี้มาเยอะแล้ว เป็นคราวเคราะห์ของคุณพจน์ต่างหากที่ต้องไปจับขุนโชติตามหน้าที่”
หาญเพิ่งสังเกตเห็นห่อผ้าในมือกระเต็น
“ห่อผ้านั่น”
“หนูมีเรื่องที่จะคุยกับพ่อหาญเป็นการส่วนตัว”
หาญจำห่อผ้านั้นได้ดี

กระเต็นพาหาญมาคุยที่ห้องพระ กระเต็นวางห่อผ้าลงตรงหน้าหาญ
“เอ็งไปเอาห่อผ้านี้มาจากไหน” หาญถามอย่างแปลกใจ
“หนูเจอฝังอยู่ใต้ต้นไม้ หลังเจดีย์บรรจุอัฐิของผู้การยิ่งยศ” ห่อผ้าถูกแกะออกจึงเห็นกระดูกสีดำเป็นท่อนเล็กๆ อยู่ข้างใน “พ่อหาญพอจะรู้มั้ยคะว่ากระดูกในนี้เป็นของใคร แล้วทำไมจึงเป็นสีดำแบบนี้”
หาญจำต้องเล่าความจริง
“กระดูกทั้งหมดนี้เป็นของยิ่งยศ” กระเต็นตกใจ “และที่มันกลายเป็นอย่างนี้ ก็เพราะไอ้ยิ่งมันฝึกไสยดำจนอาคมเข้ากระดูก แม้ร่างกายจะถูกเผาไปสิ้น แต่กระดูกกลับไม่สูญไปด้วย”
“แต่ทำไมจะต้องเอากระดูกของผู้การ ไปซ่อนไว้ใต้ต้นไม้ด้วย แล้วเรื่องนี้เพชร...”
“ข้ากับเพชรเป็นคนเอาไปฝังไว้เอง เพราะต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ คนเล่นของทุกคนล้วนอยากได้กระดูกยิ่งยศไปครอบครองทั้งนั้น”
“กระดูกคนตายจะเอาไปทำอะไรได้”
กระเต็นถามอย่างไม่เข้าใจ หาญยังไม่ทันตอบ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“น้ากระเต็น”
กระเต็นหงุดหงิด เดินไปเปิดประตู
“อะไรของเธออีก ก็บอกแล้วไงว่าขอคุยธุระส่วนตัว”
“ข้าขอโทษ แต่มีตำรวจมาหา บอกว่าจะมาตามจับกล้า”
กระเต็นสบตาหาญ หน้าเครียด

กระเต็นรีบมาที่โรงพยาบาลแล้วต้องตกใจเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไม่จริงใช่มั้ย กล้าไม่ได้ทำ”
กระเต็นหมดแรงจนตำรวจที่คุมตัวต้องช่วยประคองให้นั่งก่อน ขณะที่นุกูลเข้าเฝือกนอนบนเตียง มีกุญแจมือล็อคติดเตียง กระเต็นจ้องนุกูลคาดคั้น
“ต้องเป็นตัวปลอมแน่ๆ กล้าไม่มีวันคิดฆ่าใครเด็ดขาด”
“พี่กล้าจริงๆ ครับ ไม่ได้ถูกอาคมหรือถูกอะไรสิงทั้งนั้น” นุกูลยืนยัน กระเต็นถึงกับอึ้ง
“กล้าจะทำแบบนั้นทำไม”

“พี่กล้ายอมให้วดีแต่งกับไอ้พ่อเลี้ยงไม่ได้ ถ้ามันตายซะทุกอย่างก็จบ พวกเราต้องกำจัดมันเพื่อล้างแค้น” นุกูลบอกด้วยความแค้น

เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 10 (ต่อ)

“ราชาวดีอีกแล้ว ชีวิตกล้ามีแต่ผู้หญิงคนนี้คนเดียวรึไง”
“ผมเคยจะไปส่งข่าวให้คุณน้าที่บ้าน แต่ไม่มีใครอยู่ คุณน้า ฝากพ่อผมด้วยนะครับ เค้าไม่มีใครแล้ว”
กระเต็นเศร้า
ตำรวจประคองกระเต็นออกมาจากห้อง หาญรออยู่ ท่าทางกระเต็นหมดอาลัยตายอยาก
“ว่าไง” หาญรีบถาม
“กล้าพาราชาวดีหนีไปกับเปี๊ยก ไม่รู้ไปที่ไหน”
“ถ้าได้เบาะแสคนร้าย ช่วยแจ้งทางตำรวจด้วย ไม่อย่างงั้น คุณอาจจะโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิด” ตำรวจบอก กระเต็นถึงกับหมดแรง
“ไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าลูกฉันผิดจริง ฉันจะฆ่ามันด้วยมือของฉันเอง” ตำรวจถึงกับอึ้ง
“ขอโทษด้วย ใจเย็นๆ กระเต็น” ตำรวจเดินไปในห้อง “อย่าเพิ่งเครียดไปเลย อย่างน้อยสิ่งที่กล้าคิดจะทำ
ก็ยังไม่สำเร็จ กล้ายังไม่ได้ฆ่าใคร”
กระเต็นสบตาหาญ
“แต่เจตนามันเกิดขึ้นแล้ว พ่อหาญก็รู้” หาญอึ้ง ปฏิเสธไม่ได้ว่ากล้าคิดชั่วไปแล้ว “หนูกับเพชรผิดเองที่เลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้ไว้ เราก็แค่มนุษย์ตัวเล็กๆ จะเอาปัญญาอะไรไปฝืนชะตากรรมได้” หาญสะท้อนใจนึกถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ กระเต็นตัดสินใจ “หนูพูดจริงๆ หนูเป็นแม่ของเค้า หนูควรจะเป็นคนหยุดเค้าเอง”
หาญหวั่นใจกับสิ่งที่กระเต็นจะทำ

ทางด้านกล้า ราชาวดี เปี๊ยกหลังจากหนีลงน้ำทั้งสามก็พากันว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง ระหว่างนั้นกระถินซึ่งใส่หมวก โพกหน้ากันแดดกำลังพายเรือผ่านมา กล้าเห็นถึงกับเครียด หยุดว่ายน้ำพาราชาวดีกับเปี๊ยกแอบเข้าริมตลิ่งซึ่งมีผักตบชวาให้หลบ
กระถินพายเรือใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนผ่านบริเวณที่พวกกล้าแอบอยู่ กระถินวางพายยกมือพนมว่าคาถาเรียกปลา
“ปลาจ๋า ตัวไหนถึงฆาตออกมาให้หนูกินซะดีดีนะจ๊ะ”
อยู่ๆ เปี๊ยกก็จามออกมา
“ฮัดชิ้ว”
กระถินเห็นอะไรไหวๆ
“ใครน่ะ” กระถินเอาเรือเทียบแล้วยกไม้พายจะตี “ถ้าไม่ออกมา จะฟาดจริงๆ ด้วย”
เปี๊ยกโผล่พรวดออกมา กระถินตกใจร้องกรี๊ดตีหัวเปี๊ยกดังโป๊ก จนเปี๊ยกจมลงไปกล้าตกใจดึงเปี๊ยกขึ้นมา แล้วจับพายที่กระถินฟาดลงมาอีก
“อย่า ไม่ต้องกลัว พวกพี่ไม่ใช่ผู้ร้าย”
กระถินจำหน้ากล้าได้
“พี่ชาย”
กล้ามองกระถินงงๆ กระถินถอดหมวกออก กล้าจึงจำกระถินได้
“กระถิน”

กระถินพาทั้งหมดมาที่กระท่อมของเธอ
“พี่ชายกับเพื่อนๆ พักที่นี่ก่อนได้นะจ๊ะ ใช้เสื้อผ้าของแม่กับพ่อก่อนก็ได้”
“แล้วพ่อแม่ล่ะ ไม่อยู่เหรอ”
กระถินเศร้า
“แม่หนูเพิ่งตาย ส่วนพ่อก็หนีไปมีเมียใหม่ ตอนนี้หนูอยู่คนเดียว”
“แล้วหนูอยู่ได้ยังไง เอาเงินที่ไหน” ราชาวดีถามอย่างเป็นห่วง
“หนูก็ใช้คาถาของลุงโชติหาปลาไปขาย พอได้เงินกินไปวันๆ แต่ ก็คงไม่ได้กลับไปเรียนอีกแล้ว” กระถินร้องไห้ออกมา ทุกคนต่างอึ้ง ราชาวดีสงสารกระถินจับใจจึงนั่งลงแล้วถอดแหวนหมั้นส่งให้กระถิน
“เอานี่ไปขายซะ พี่ให้”
ราชาวดีดึงมือกระถินมา วางแหวนลงบนมือกระถิน กระถินมอง อึ้งๆ
“แต่แหวนนี่มันคงแพงมาก หนูรับไว้ไม่ได้หรอกจ๊ะ”
“รับไปเถอะจ๊ะ หนูเข้มแข็งมากรู้ไหม อดทนไว้นะ ไม่ว่าชีวิตจะเจอเรื่องแย่ๆ แค่ไหน ก็อย่ายอมแพ้ สักวันมันต้องเป็นวันของเรา”
กระถินซึ้งใจ พยักหน้ารับ แล้วกอดราชาวดี ราชาวดีกอดกระถินให้กำลังใจ กล้ากับเปี๊ยกมองประทับใจในความดีของราชาวดี

ที่บ้านภูมินทร์ ภูมินทร์ที่มีใบหน้าตาพกช้ำกวาดของบนโต๊ะทำงานร่วงลงกับพื้นด้วยความแค้น
“ไอ้นุกูลกระดูกแตกอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อนสองคนตายส่วนอีกคนหนีไปกับไอ้กล้า ตำรวจระดมกำลังหาตัวอยู่แต่ยังไม่เจอครับ” คมรายงาน
“ไอ้กล้า มันบังอาจมาก ฉันจะทำให้มันรู้ว่ามันต้องสูญเสียทุกอย่าง”
“ยังมีอีกคนนะครับที่อาจจะรู้ว่าไอ้กล้าหนีไปที่ไหน”
“ใครวะ”

คมพาลูกน้องมาที่อู่จ่าลุย คมถีบรถเข็นจ่าลุยจนจ่าลุยกลิ้งตกลงมาที่พื้น คมยืนถือปืนเล็งจ่าลุย ส่วนสมุนคมถือไม้หน้าสาม
“บอกมา ไอ้กล้ามันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน”
“ไอ้พวกเศษสวะ ถึงรู้ฉันก็ไม่บอกแก”
“ตอนนี้ลูกชายแกอยู่ในคุก เลือกเอาว่าอยากให้มันโดนประกันออกมาหรือตายคาตีนนักโทษอยู่ในนั้น” คมยิ้มเหี้ยม

“ถ้ามันกระจอกยอมให้หมาหมู่รุมกัด มันก็ไม่สมควรเป็นลูกจ่าลุย”

คมส่งสัญญาณให้สมุน สมุนปรี่ไปจะฟาดจ่าลุย จ่าลุยจ้องเขม็ง สมุนคมง้างไม้หน้าสามจะฟาด จ่าลุยกลิ้งตัวหลบได้ฉิวเฉียด แล้วคว้าท่อนเหล็กฟาดกลับไปที่ขาสมุน สมุนเจ็บกลิ้งล้มหงายไป จ่าลุยพลิกตัวกลับมาที่คม ถือท่อนเหล็กจ้องด้วยแววตานักสู้ ไม่ยอมแพ้

“เข้ามาเลย อย่างมากก็แค่ตาย”
คมถุยน้ำลาย แล้วยิ้มเหี้ยม เดินถือปืนเข้าหาจ่าลุย จ่าลุยขว้างท่อนเหล็กใส่คม คมเบี่ยงตัวหลบอย่างง่ายดาย จ่าลุยกลิ้งไปดึงเอาปืนคู่กายที่ซ่อนไว้ใต้รถคันหนึ่งออกมายิงใส่ แต่ยิงไม่เข้า คมเดินไปเตะปืนกระเด็นแล้วกระทืบจ่าลุยที่ท้องเต็มๆ
“อ๊าก”
“ฉันให้โอกาสแกครั้งสุดท้ายให้แก ไอ้กล้าหนีไปอยู่ที่ไหน”
“ต่อให้ตายฉันก็ไม่บอกแก จำไว้”
คมโมโห เตะเข้าสีข้าง คร่อมจ่าลุย แล้วบีบคอ
“ต่อให้ตายใช่ไหม”
คมบีบคอจ่าลุย จ่าลุยตาเหลือก จ่าลุยพยายามดิ้นก่อนจะแน่นิ่งไป

วันต่อมา กล้ายืนหน้าเครียดมองสายน้ำข้างกระท่อมแล้วคิดถึงป๋องกับโป้งที่ต้องมาตายและนุกูลต้องมาบาดเจ็บเพราะช่วยเขา กล้ากำหมัดแน่น น้ำตารื้น คิดโทษตัวเอง
“ไอ้กล้า ไอ้บ้า เพราะแกๆๆๆ”
กล้าต่อยราวสะพานจนเลือดออก เปี๊ยกรีบเข้ามาห้าม
“อย่าพี่กล้า”
“เปี๊ยก พี่ขอโทษๆ พวกแกควรจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้”
กล้าน้ำตาร่วงด้วยความสะเทือนใจ เปี๊ยกจึงร้องไห้ตาม
“อย่าโทษตัวเองเลยพี่ ยังไงมันก็เกิดขึ้นแล้ว”
ราชาวดียืนอยู่มุมหนึ่งมองกล้าด้วยความสงสาร กล้าปาดน้ำตาหันกลับมา เห็นราชาวดียืนมองอยู่
“วดี”
ราชาวดีเดินเข้ามาหากล้า
“มือพี่...”
กล้ามองมือตัวเองที่ช้ำแดง
“แค่นี้มันยังน้อยไป พี่ พี่ทำให้ใครต่อใครต้องเดือดร้อน พี่ควรตายไปเองมากกว่า”
ราชาวดีมองกล้า รู้ว่าเจ็บปวดมาก
“พี่พาวดีหนีมาเพื่อจะพูดคำนี้เหรอ” กล้าอึ้งไป “ถ้าพี่ไม่ได้ฆ่าพ่อจริง พี่ก็ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ซิคะ”
“วดีเชื่อที่พี่พูดแล้วใช่ไหม”
“วดีรู้แต่ว่าถ้าเป็นพี่ พี่จะไม่ยิงผู้หญิงคนนั้นเหมือนที่พ่อเลี้ยงทำ”
กล้าหันมองไปทางฝั่งเมือง แล้วนั่งลง พนมมือ
“ลูกขอสาบานต่อองค์พระแก้วมรกต หากลูกฆ่าครูเริงและทำสิ่งชั่วร้ายต่างๆ จริง ก็ขอให้ลูกตายในสามวันเจ็ดวัน แต่หากลูกไม่ได้ทำเช่นนั้น ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยให้ลูกสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ด้วยเถิด”
“พี่กล้า”
เปี๊ยกมองกล้า คิดช่วยให้ถึงที่สุด ราชาวดีมองกล้า อึ้งในคำที่กล้าสาบาน

หลังจากเอาแหวนที่ราชาวดีให้ไปขายกระถินก็เดินนับเงินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วจู่ๆ มีวัยรุ่นสองคนก้าวมาขวางหน้า
กระถินชะงักซ่อนเงินข้างหลัง มองวัยรุ่นอย่างกลัวๆ
“เฮ้ย ซ่อนอะไร ขอดูหน่อยซิวะ”
กระถินถอยจะหนี วัยรุ่นปรี่เข้ากระชากแขนเห็นเงินในมือกระถิน ตาโต จะคว้า กระถินไม่ยอม เตะผ่าหมากเข้าให้ วัยรุ่นหน้าเหลืองกุมเป้าทรุดลง กระถินรีบวิ่งหนี วัยรุ่นอีกคนตามมาล็อคตัวไว้จากด้านหลัง
“จะไปไหน”
“ปล่อยนะ ปล่อย”
วัยรุ่นแย่งเงินในมือ กระถินไม่ยอม ปัดป้องจนเงินร่วงลงพื้นไปหมด เสียงกล้าดังขึ้น
“หยุดนะ”
วัยรุ่นชะงักหันไปเห็นกล้ากับเปี๊ยกและราชาวดียืนอยู่ วัยรุ่นพยักหน้าให้เพื่อนที่ลุกขึ้นพอดี แล้วผละจากกระถิน วัยรุ่นทั้งสองคนปรี่เข้าไปหากล้า กล้ากับเปี๊ยกเดินตรงเข้าหา ทั้งสองฝ่ายซัดกันทันที ราชาวดีรีบวิ่งไปที่กระถิน กอดปลอบกระถินเอาไว้
กล้ากับเปี๊ยกซัดพวกวัยรุ่นกลับอย่างมีชั้นเชิงเหนือกว่าไม่กี่หมัดก็หมอบกองกับพื้น
“อย่าให้ชั้นเจอหน้าพวกแกอีก ไป” วัยรุ่นวิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานไป กล้ากับเปี๊ยกรีบไปที่กระถิน “ไม่เป็นไรแล้วนะ”
กระถินรีบไปเก็บเงินที่พื้น เห็นแบงก์ยับก็หยิบขึ้นมารีดๆ พลางร้องไห้

“ฮือๆ คนใจร้าย คนใจร้าย หนูทำดีแต่ก็มีแต่คนรังแก ฮือๆ คอยดูนะโตขึ้นหนูจะเก่งคาถาอาคมอย่างลุงขุนโชติบ้าง คอยดู ฮือๆ”

กล้าได้ยินก็รีบเข้าไปปลอบและห้ามปราม

“ไม่ได้นะกระถิน อย่าไปคิดแบบนั้น พี่รู้ว่าเป็นคนดีมันยากบางครั้งมันก็ทำให้เราท้อ แต่เราจะทิ้งความดีเพราะคนเลวไม่ได้ เราต้องสู้”
ราชาวดีได้ยินกล้าพูดก็สำทับ
“ใช่จ๊ะ พี่รู้ว่าทำดีบางทีมันยาก แต่ทำดีย่อมได้ดีแน่นอน”
“กระถิน การทำความดีต้องใช้ความอดทน ต้องมีจิตใจเข้มแข็ง ให้อภัยคนที่คิดร้ายกับเราได้ แล้วถ้าเราทำสำเร็จ เราจะมีแต่คนรัก ไม่มีศัตรู ใครก็ทำร้ายเราไม่ได้”
ราชาวดีมองกล้า รู้ว่ากล้ายังคงเป็นกล้าคนเดิมอยู่
“ทำความดีต้องอดทน” กระถินทวนคำ
“ใช่ อดทนเข้าไว้ อย่างน้อยเราก็ภูมิใจไม่ใช่เหรอที่ได้ทำดี”
กระถินปาดน้ำตา พยักหน้ารับ
“จ๊ะ หนูจะไม่คิดแบบนั้นอีกแล้ว”
กล้ายิ้มและกอดกระถินด้วยความอ่อนโยน กระถินกอดกลับ กล้าเหลือบมามองสบตากับราชาวดี ราชาวดียิ้มให้ รู้สึกเหมือนกับได้เจอกล้าคนเดิมแล้ว

ที่อู่จ่าลุย เจ้าหน้าที่มูลนิธิช่วยกันลำเลียงศพของจ่าลุยลงเปล กระเต็นเข้ามาพร้อมหาญกับศรีแพร พอเห็นศพจ่าลุยก็ตกใจ น้ำตาร่วง
“จ่าๆ ฝีมือใคร ใครมันทำจ่า บอกฉันสิ”
“น้ากระเต็นใจเย็นก่อนเถอะ คนตายแล้วไม่ฟื้นหรอก”
“จ่าเค้าตายยังไงครับ” หาญถามเจ้าหน้าที่
“แกแขวนคอตัวเองกับบันไดน่ะครับ สงสัยจะเครียดที่ตัวเองกลายเป็นคนพิการ”
“ไม่จริง จ่าไม่ใช่คนแบบนั้น เป็นไปไม่ได้”
กระเต็นรีบไปที่ศพเห็นร่องรอยช้ำที่คอ กระเต็นสงสัยมองไปตามเนื้อตัวแล้วเปิดเสื้อดูเห็นรอยช้ำแดงที่ท้องอย่างชัดเจน
“ต้องเป็นฝีมือไอ้ภูมินทร์แน่” กระเต็นบอกหาญและแค้นจะออกไป หาญรีบดึงไว้
“เดี๋ยวก่อน เอ็งจะไปไหน หลักฐานแค่นี้เราเอาผิดมันไม่ได้แน่”
กระเต็นเจ็บใจ เพราะไม่เคยเอาผิดภูมินทร์ได้
“เรายังต้องใช้หลักฐานอีกเหรอ พ่อหาญเพ่งจิตได้นี่คะว่าใครมันทำ”
หาญไม่แน่ใจ เอื้อมมือไปสัมผัสศพจ่าลุย หลับตา ร่ายคาถา ทันใดทั้งห้องก็กลายเป็นสีดำหาญอยู่ท่ามกลางความมืดมิด หาญลืมตาขึ้น หน้าซีด
“เจ้าเห็นอะไร”
ศรีแพรรีบถาม หาญรู้ตัวว่าพลังของตัวลดลงแล้ว

เมื่อกลับมาบ้าน กระเต็นใจคอไม่ดีกับสิ่งที่หาญบอก
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
หาญมีสีหน้าเคร่งเครียด
“ต่อไปพละกำลังข้าคงจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”
“เป็นเพราะการรักษาศรีแพรใช่มั้ย พลังของพ่อหาญถึงถดถอย รวมทั้งผมขาวนั่น”
หาญจำใจต้องบอกความจริง
“การถอนพิษตะขาบไฟมีเพียงวิธีเดียว คือการล่วงประเวณี” หาญรู้สึกผิด “ข้าจำเป็นต้องล่วงเกินศรีแพร เพื่อรักษาชีวิต”
กระเต็นอึ้ง รู้ว่าหาญเครียดและรู้สึกผิด
“หนูเข้าใจค่ะ ชีวิตคนสำคัญที่สุด”
“แต่สิ่งที่ข้าได้ทำลงไป มันเป็นการละเมิดข้อห้ามในวิชาอมฤตเทวา ผลจึงเป็นอย่างที่เอ็งเห็น”
กระเต็นเข้าใจทุกอย่างนึกห่วงศรีแพร
“แล้วศรีแพร...”
“ศรีแพรยังไม่รู้”
“เด็กคนนั้นคงยังไม่ประสา แต่ยังไงในเมื่อศรีแพรเป็นเมียของพ่อหาญแล้วก็ควรจะบอกความจริงให้รู้”
ทันใดเสียงถาดและแก้วน้ำก็หล่นแตก เพล้ง! ศรีแพรได้ยินที่กระเต็นกับหาญคุยกันถึงกับตะลึง โกรธ ตัวสั่น วิ่งเข้ามาหาหาญ
“เจ้า เจ้าทำอะไรข้า”
หาญไม่กล้าสบตาศรีแพร
“ข้า ข้ายอมรับผิดทุกอย่าง”
ศรีแพรน้ำตาร่วง
“เจ้าล่วงเกินข้า คนเลว”
ศรีแพรตบหน้าหาญ แล้ววิ่งร้องไห้ออกจากบ้านไป
“ศรีแพร ศรีแพร”

หาญรีบตามศรีแพร กระเต็นมองตามหนักใจแทน

ศรีแพรวิ่งร้องไห้มาตามทาง หาญวิ่งตามมาแต่ไม่เจอศรีแพรแล้ว หาญมองหาแต่ไม่เห็นใคร หาญเลี้ยวไปอีกทางซึ่งคนละทางกับศรีแพร

หาญวิ่งมายังสะพานมองลงไปยังแม่น้ำเบื้องล่าง กลัวศรีแพรจะคิดสั้น หาญวิ่งไปลงปลายสะพานอีกฝั่ง ขณะนั้นที่ท่าน้ำใต้สะพาน ศรีแพรเดินเข้ามาอย่างอ่อนแรงทรุดนั่งที่ริมตลิ่ง จ้องมองแผ่นน้ำเบื้องหน้า น้ำตายังไหลไม่หยุด
“เจ้ารังแกข้า ทำไมไม่ปล่อยให้ข้าตาย”

คืนนั้นที่บ้านกระถิน ราชาวดีกับกระถินนุ่งกระโจมอกนั่งกันอยู่ที่ท่าน้ำ ราชาวดีตักน้ำราดตัวแกล้งกระถิน กระถินหัวเราะสนุกสนาน เอาขันตักน้ำราดตัวราชาวดีคืนบ้าง สองคนหยอกล้อกัน
“อะแฮ่มๆ” ราชาวดีกับกระถินหยุด มองไปเห็นเปี๊ยกกับกล้านุ่งผ้าขาวม้ายืนถือตะเกียงอยู่ Wจะเล่นน้ำกันไปถึงไหนครับคุณผู้หญิง เมื่อไหร่จะถึงคิวพวกกระผมซักทีคร้าบ” เปี๊ยกถาม
“พี่วดี พวกผู้ชายมาแอบดูเราอาบน้ำ” กระถินคว้าก้อนหินปาเปี๊ยก “นี่แน่ะๆๆ”
“โอ๊ยๆ หยุดได้แล้ว นึกว่าเป็นนางงามหรือไง หา หุ่นยังกะโอ่งราชบุรี ถึงโตเป็นสาวกว่านี้ก็ไม่ดูให้เสียลูกกะตาหรอก”
“ผู้ใหญ่ปากเสีย โดนซักหมัดเถอะ”
“พอแล้วกระถิน พี่เปี๊ยกเค้าล่อเล่น” ราชาวดีขำ เอาผ้าเช็ดตัวมาคลุมไหล่ตัวเองกับกระถิน “อ่ะ สาวน้อยจะได้ไม่เขิน ไปขึ้นบ้านได้แล้ว”
“เดินดีๆ นะ นางสาวไทย”
กระถินหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ แล้วเดินออกไปสะดุด หัวคะมำ เขิน ทุกคนขำกระถินกันใหญ่เปี๊ยกเดินไปที่ท่าน้ำ ทิ้งให้กล้ายืนอยู่กับราชาวดี
“กระถินเข้มแข็งมากเลยนะ ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่ ถ้าเป็นวดีไม่รู้จะทำได้มั้ย” ราชาวดีคุยกับกล้า
“วดีไม่มีวันอยู่ตัวคนเดียวหรอก” กล้าบอกพร้อมกับจับมือราชาวดีไว้ “เพราะวดีมีพี่ พี่จะไม่มีวันทิ้งวดี”
ราชาวดียิ้มเขินๆ มองตาทำท่าจะจูบกัน ที่ท่าน้ำเปี๊ยกตักน้ำราดตัวเองแล้วสั่นเป็นลูกนก หนาว
“อึ๋ย หนาวๆๆๆ”
เปี๊ยกตะโกน กล้ากับราชาวดีรีบผละออก เขินๆ มองท่าทางเปี๊ยกแล้วขำ

กระถินนอนคว่ำเท้าคางฟังราชาวดีสอนวิชาวรรณคดีอยู่อย่างตั้งใจ ภายใต้แสงตะเกียง ราชาวดีอ่านหนังสือเรียนวรรณคดีประถม เป็นเรื่องพระอภัยมณี
“หลังจากสุดสาครถูกชีเปลือยผลักตกหน้าผา เอาม้านิลมังกรและไม้เท้ากายสิทธิ์ไป พระฤาษีก็เลยสอนสุดสาครว่า” ราชาวดีอ่านเป็นทำนองเสนาะ “ แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวจนเลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน”
ราชาวดีหยุดอ่านเหลือบมองกล้า ทั้งคู่สบตากัน ราชาวดีก้มลง อ่านต่อ
“อันมนุษย์นี้ที่รักสองสถาน บิดามารดารักมักเป็นผล ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน เกิดเป็นคนคิดเห็นเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ”
กระถินนอนฟังชอบใจในเสียงที่ไพเราะของราชาวดีจนเคลิ้มหลับไป กล้านั่งอยู่มุมหนึ่งมองใบหน้าและฟังเสียงราชาวดี เหมือนต้องมนต์ ขณะที่ข้างๆ กล้า เปี๊ยกนอนหลับกรนเบาๆ อยู่ในมุ้ง
“อ้าว หลับซะแล้ว”
ราชาวดีบอกอย่างเอ็นดู กล้าเข้ามา จุ๊ปาก แล้วอุ้มกระถินพาไปในมุ้ง กล้าค่อยๆ ประคองกระถินนอนลงบนที่นอน ราชาวดีอยู่ข้างๆ ช่วยห่มผ้าห่ม สองคนเงยหน้าขึ้นมา หน้าอยู่ชิดใกล้ สบตากันหวามหวิวในใจ กล้าเอื้อมไปจับมือราชาวดี
“พี่รู้ว่าวดีคิดยังไง ไว้ใจพี่นะ พี่จะพิสูจน์ความจริงให้วดีได้เห็นให้ได้”
“แต่ตอนนี้ วดียังมองไม่เห็นทางเลย ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครได้”
“จำที่ฤๅษีบอกไม่ได้เหรอ ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน พี่ก็คนดีมีวิชาคนหนึ่ง พี่ไม่ยอมอับจนง่ายๆ หรอก”
ราชาวดีพยักหน้ารับ
“ค่ะ วดีเชื่อพี่กล้า”
กล้ายกมือวดีขึ้นจูบ กล้ามุดออกมาจากมุงเข้านอนมุ้งตัวเอง

ภายในมุ้งกล้านอนตะแคงมองไป เห็นราชาวดีซึ่งนอนอยู่ที่มุ้งอีกหลังนอนตะแคงมองตัวเองอยู่ สองคนต่างสบตากันและกันผ่านมุ้ง กล้าเอื้อมมือออกไป ราชาวดีเอื้อมมือไปจับไว้

จบตอนที่ 10

อ่านต่อตอนที่ 11 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
กำลังโหลดความคิดเห็น