พรพรหมอลเวง ตอนที่ 10
เช้าวันใหม่ สายแก้วเอากาแฟมาเสริฟต์ให้สุดนภาที่นั่งกับเมรินที่โต๊ะในสวนแล้วเดินออกไป สุดนภานั่งอ้าปากหาว เมรินนั่งหน้าเครียด
“แกเรียกชั้นมาแต่เช้าทำไมเนี่ย วิญญาณชั้นยังไม่เข้าร่างเลยนะ”
เมรินเครียด “ชั้นอยากพบตัวชั้นเอง ซักครั้ง”
สุดนภาสำลักกาแฟพรวดแล้วมองหน้าเมริน
“แกแน่ใจแล้วนะ หยง ว่าแกจะทำใจได้”
“ชั้นแน่ใจว่าพร้อม”
“แล้วคิดหรือยัง ว่าเจอพ่อกับแม่แกแล้วจะบอกว่ายังไง จะพูดอะไรกับท่าน แล้วท่านจะเชื่อแกหรือเปล่า”
“ชั้นไม่รู้ ชั้นไม่รู้หรอกบี๋ ชั้นรู้แต่ว่า ชั้นต้องไป แกต้องช่วยชั้นนะบี๋”
“โธ่หยง ชั้นรู้ว่าแกสับสน แต่ แกคิดดีๆนะหยง”
“ชั้นคิดดีแล้วบี๋ ยังไงชั้นก็ต้องกลับไป เพราะมันอาจเป็นหนทางเดียวที่ทำให้ชั้นกลับคืนร่างได้”
สุดนภามองเมรินหน้าเครียด
หนึ่งฤทัยนั่งดื่มกาแฟกับพิราม ในร้านกาแฟที่ ร.พ
“ถึงคณะแพทย์ยังไม่ได้ลงความเห็นว่าคุณตันหยงจะเป็นเจ้าหญิงนิทรา แต่จากสภาพการณ์แล้ว มีความเป็นไปได้สูง” หนึ่งฤทัยบอก
พิรามตกใจ “หมายความว่า...”
“ทำไมไม่ลองพาคุณตันหยงไปรักษาที่ต่างประเทศดูล่ะคะ”
“ที่ไหนล่ะครับ คุณหมอหนึ่งช่วยแนะนำผมด้วย ไม่ว่าที่ไกลแค่ไหน ถ้ามีความหวัง ผมจะพาเธอไปเอง”
“หนึ่งไม่มีข้อมูลเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ แต่คนที่พอจะช่วยได้ก็มีนะคะ”
“ใครครับ ใครที่มีข้อมูลเรื่องนี้”
“หมอปฐวีไงคะ หมอวีสนใจเคสคุณตันหยงเป็นพิเศษ หนึ่งแน่ใจว่าหมอวีต้องมีข้อมูลเรื่องนี้แน่นอน แต่หนึ่งคงพูดแทนให้ไม่ได้ เพราะจะเป็นการก้าวก่าย”
“งั้น...ผมควรจะทำยังไงดีล่ะครับ” พิรามถาม
“เอาอย่างนี้ หนึ่งจะลองเกริ่นดูให้นะคะ แล้วคุณพิรามก็ปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่ของคุณตันหยง แล้วค่อยให้ท่านคุยกับคุณหมอวีดีมั้ยคะ”
“ได้ครับ ผมจะรีบปรึกษากับท่านเลย ท่านคงดีใจมาก”
“จริงๆไม่ใช่หน้าที่ของหนึ่งเลย แต่หนึ่งเข้าใจและเห็นใจในความรักที่คุณมีกับคู่หมั้น”
“ขอบคุณนะครับคุณหมอ ขอบคุณจริงๆ”
“งั้นหนึ่งขอตัวก่อนนะคะ ขอให้โชคดีนะคะ”
หนึ่งฤทัยลุกขึ้นแล้วเดินไป พิรามนิ่งคิด
ปฐวีกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้อง จริญทิพย์เดินเข้ามาพร้อมกับแจกันดอกไม้
“มาแล้วค่ะ ดอกไม้สวยๆ”
ปฐวียิ้มพร้อมกับมองดอกไม้ “สวยมากเลยครับ คุณทิพย์”
จริญทิพย์เขิน “ต๊าย...ตาย หมอวีชมทิพย์ซึ่งหน้าแบบนี้ ทิพย์ก็เขินแย่สิคะ”
ปฐวีขำ “อ้อ ...ผมมีของฝากคุณทิพย์ด้วยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
จริญทิพย์คว้าถุงของฝากแล้วเดินออกไปจากห้อง
ปฐวียิ้มขำ เขามองดอกกล้วยไม้แล้วคิดถึงคำพูดของปรงทอง
“.....เราต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของพรหมลิขิต ถ้าเจ้าเจอคนที่ใช่ ความรู้สึกจะบอกเจ้าเองนั่นแหละ......”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปฐวีกดรับ
“สวัสดีครับ พี่ภัส”
ประภัสสรคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้าน
“วีจ๊ะ เดี๋ยวน้องเมย์จะไปหาวีที่โรงพยาบาลนะจ๊ะ”
“อ้าว เมื่อวานไม่เห็นน้องเมย์บอกเลยนี่ครับ นึกยังไงจะมา”
“พอดีครูบี๋แวะมาหาตอนเช้าน่ะ น้องเมย์เลยขอตามครูบี๋ไปด้วย”
“ครับ พี่ภัส เดี๋ยวผมดูแลน้องเมย์เอง”
ปฐวีกดปิดโทรศัพท์
“นึกยังไงเนี่ย จะมาโรงพยาบาล” ปฐวีงง
หนึ่งฤทัยเดินเข้ามาในห้อง
“วีคะ หนึ่งมีเรื่องปรึกษาค่ะ”
หนึ่งฤทัยยิ้มมองปฐวี
สุดนภาเดินจูงมือเมรินมาที่หน้าห้องตันหยง เมรินหยุดชะงัก สุดนภามองเพื่อนอย่างเป็นห่วง
“แกพร้อมหรือยัง หยง”
เมรินสูดลมหายใจ “พร้อมแล้ว”
“แน่ใจนะ ถ้าพร้อมแล้วก็เอา”
สุดนภาเงื้อมือจะเปิดประตู แต่พินิจกับบุหงาเปิดออกมาพอดี
“คุณพ่อ คุณแม่”
“อ้าว หนูบี๋ มาพอดีเลย” พินิจทัก
เมรินชะงักมองพ่อและแม่อยู่นาน ก่อนจะเดินเข้าไปกอดบุหงาแล้วร้องไห้ บุหงางงแต่ก็ยอมให้เมรินกอด
“คุณแม่ขา หนูคิดถึงคุณแม่” เมรินร้องไห้
สุดนภามองเมรินด้วยความสงสารก่อนจะค่อยๆเดินไปดึงเมรินออกมาจากบุหงา
“โถ น่าเอ็นดูจริงแม่คุณ ลูกเต้าเหล่าใครละบี๋” บุหงาถาม
“ลูกของเพื่อนบี๋เองค่ะคุณแม่ เค้าฝากบี๋ไว้ คงคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่มาก”
“มาให้ตาหอมทีได้มั๊ยคะ” พินิจถาม
เมรินโผเข้าหาพินิจทันที “คุณพ่อขา”
พินิจกับบุหงามองเมรินด้วยความสงสาร
“คุณพ่อคุณแม่จะไปธุระหรือคะ” สุดนภาถาม
“ใช่จ๊ะ ฝากหยงด้วยนะลูก” บุหงาบอก
“ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ตากับยายไปธุระก่อนนะคะ ถ้าว่างๆก็มาหากันบ่อยๆนะคะ” บุหงาพูดกับเมริน
บุหงากับพินิจเดินไป เมรินปาดน้ำตาแล้วมองส่งทั้งสองอยู่นาน
“คุณพ่อ คุณแม่”
“เข้าไปกันเถอะ” สุดนภาชวน
เมรินมองสุดนภา
สุดนภาถามย้ำ “แกพร้อมแล้วนะ”
เมรินพยักหน้า แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าห้องไป
เมรินกับสุดนภาเดินเข้ามาในห้อง เมรินมองเห็นร่างตันหยงอยู่บนเตียงก็ชะงัก
“นั่น....ตัวชั้นหรือ”
เมรินเดินเข้าไปหาช้าๆ แล้วหยุดยืนมองร่างตัวเอง สุดนภาถอนหายใจ เมรินหันมาพูดกับเพื่อน
“เราต้องลองหาทางดู”
เมรินค่อยๆเอื้อมมือไปกุมมือตันหยงไว้ก่อนจะหลับตานิ่งแล้วลืมตาขึ้นมามองมือตัวเอง
เมรินหันมองสุดนภา “มันไม่ได้ผล ชั้นต้องทำยังไง”
ร่างตันหยงนอนนิ่ง
เมรินเอื้อมมือไปจับตันหยงแล้วเขย่า
“น้องเมย์ หนูอยู่ในร่างชั้นรึเปล่า เรามาคืนร่างกันเถอะนะ”
สุดนภามองหน้าเมรินด้วยความร้อนใจ
ปฐวีนั่งเหม่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขานึกถึงเรื่องที่หนึ่งฤทัยมาพูดกับเขา
“หนึ่งอยากปรึกษาเรื่องคุณตันหยงค่ะ คือคู่หมั้นของเธอปรึกษากับหนึ่งว่า อยากจะพาเธอไปรักษาที่อื่น หนึ่งจำได้ว่าวีมีข้อมูลการรักษาที่ต่างประเทศ”
ปฐวีงง “อ้าวทำไมล่ะครับ”
“ทางคุณพิรามแค่ถามมา หนึ่งเลยจะมาปรึกษาวีก่อน”
ปฐวีนิ่งคิดหน้าเครียด หนึ่งฤทัยมองอย่างสังเกต
ปฐวีคิดถึงคำพูดของหนึ่งฤทัยแล้วก็เครียด
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจะรีบร้อนขึ้นมาตอนนี้”
ปฐวีหยิบแฟ้มในลิ้นชักมาเปิดดูเห็นว่ามีรายชื่อโรงพยาบาล และสถานที่รักษาที่ต่างประเทศเต็มไปหมด ปฐวีนิ่งนึกแล้วหยิบแฟ้มใส่ลิ้นชักก่อนจะมองนาฬิกา
“ทำไมป่านนี้น้องเมย์ยังไม่ถึงอีกนะ มัวไปเถลไถลที่ไหนอยู่”
ปฐวีหันไปมองแจกันดอกไม้แล้วดึงกล้วยไม้ไปหนึ่งดอก ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
ปฐวีเดินออกมาจากห้อง จริญทิพย์รีบรับหน้า
“ถ้าน้องเมย์มา ให้นั่งรอในห้องก่อนนะครับ คุณทิพย์” ปฐวีบอก
“คุณหมอจะไปไหนหรือคะ”
“ผมจะไปเยี่ยมคนป่วย”
ปฐวีเดินไป จริญทิพย์มองตาม
ปฐวีเดินถือดอกไม้มาตามทางจนมาถึงหน้าห้องตันหยง
ภายในห้อง เมรินยังคงจับมือตันหยงไว้ สุดนภายืนลุ้น
“แกต้องใช้สมาธิสิ หยง ตั้งสมาธิ” สุดนภาบอก
เมรินพยายามนิ่งเพื่อรวบรวมสมาธิ สักพักเธอก็ลืมตาดูแล้วก็เครียด
“ไม่ได้ผล” เมรินบอก
“ทำไงดี ทำไงดี”
“น้องเมย์คะ หนูต้องช่วยชั้นนะคะ ถ้าชั้นอยู่ในร่างของหนู แล้วน้องเมย์อยู่ที่ไหน หนูต้องกลับมาอยู่ในร่างของตัวเอง เราสองคนจะได้ใช้ชีวิตเป็นปกติ นะคะน้องเมย์”
“น้องเมย์ ช่วยเพื่อนของครูบี๋ด้วยเถอะ” สุดนภาช่วยพูด
“น้องเมย์ น้องเมย์ต้องกลับเข้าร่างของตัวเองนะคะ น้องเมย์ต้องช่วยชั้นด้วย”
สุดนภากับเมรินช่วยกันตะโกน “น้องเมย์ น้องเมย์ น้องเมย์”
ปฐวีผลักประตูที่แง้มอยู่เข้ามา ทั้งสองคนรู้สึกเหมือนมีใครยืนอยู่ข้างหลังจึงค่อยๆ หันไปมอง
สุดนภากับเมรินหันมาที่ประตูแล้วก็ชะงัก ปฐวีมองทั้งสองคนนิ่ง
จริญทิพย์เดินเข้ามาในห้องทำงานของปฐวีแล้ววางแฟ้มไว้ที่โต๊ะ
“แฟ้มมาแล้วค่ะ”
จริญทิพย์วางแฟ้มลงทำให้มือไปโดนเม้าธ์ขยับ หน้าจอคอมพิวเตอร์จึงแว๊บขึ้น
จริญทิพย์มองซ้ายมองขวา แล้วก็อดไม่ได้จึงแอบดูหน้าจอ
“มันอดไม่ได้จริง...จริ๊ง...ขอดูหน่อยเหอะ”
ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นหน้าเวบไซด์ เกี่ยวกับการวิญญาณสลับร่าง
“วิญญาณสลับร่าง” ตายจริง ไม่ยักรู้ว่าหมอวีเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วย”
ปฐวีกับเมรินยืนจ้องตากันลุ้นๆ ว่าปฐวีจะรู้หรือไม่
ปฐวียิ้ม “มาอยู่ที่นี่เอง รอตั้งนานแน่ะ”
“บี๋ผิดเองค่ะ บี๋แวะมาเยี่ยมเพื่อนก่อนเลยพาน้องเมย์ติดมาด้วย ขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ น้องเมย์ไปกับน้าวีก่อนมั๊ย”
“ค่ะน้าวี”
เมรินหันไปมองสุดนภาแว๊บนึงแล้วเดินตามปฐวีไป ดอกกล้วยไม้ที่ปฐวีเตรียมมาถูกกำจนเละในมือของเขา
ปฐวีกับเมรินเดินมาที่หน้าห้องทำงานของปฐวี จริญทิพย์รีบลุกขึ้นต้อนรับ
“น้องเมย์มาแล้วหรือคะ อ้าว แล้วไปเจอกันที่ไหนคะเนี่ย”
เมรินยิ้มเจื่อนแต่ไม่พูดไม่จา ปฐวีเปิดประตูห้องให้เมรินเดินเข้าไป
จริญทิพย์บ่น “ถามก็ไม่พูด ดูสิ”
“คุณทิพย์ ถ้าผมไม่ตาม ห้ามรบกวนผมเด็ดขาด เข้าใจมั๊ย” ปฐวีสั่ง
จริญทิพย์รับคำ “ได้ค่ะ”
ปฐวีเดินเข้าไปในห้อง จริญทิพย์มองตามด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมบรรยากาศมาคุแบบนี้ อึ๊ย ขนลุก”
จริญทิพย์นั่งลงทำงานต่อ
เมรินเดินเข้ามานั่งในห้องอย่างเรียบร้อย ปฐวีมองเมรินอย่างสังเกตก่อนจะลงนั่งทำงานเงียบๆ เมรินแอบมองปฐวีด้วยความอึดอัด
ปฐวีเอ่ยถาม “.... หิวไหม”
“ไม่ค่ะ....” เมรินมองปฐวีทำงาน “น้าวียุ่งเหรอคะ”
“ใช่” ปฐวียังทำงานไปเรื่อยๆ “อยากช่วยน้าวีไหมล่ะ”
“อะไรคะ”
ปฐวีส่งไอแพดให้เมริน
“ช่วยหาข้อมูลเรื่อง การปลูกถ่ายอวัยวะหน่อย คนไข้ของน้าวีเค้าสนใจ”
“ได้ค่ะ”
เมรินรับไอแพดมาแล้วค้นหาข้อมูล ปฐวีแอบมองเมรินกดค้นข้อมูลอย่างคล่องแคล่ว
เมรินบอก “นี่คะ”
ปฐวีทำเป็นยุ่งตอบแบบไม่มองหน้าเมริน “สั่งปริ้นต์ออกมาเลย น้าวีกำลังยุ่ง ไว้ค่อยอ่านทีหลัง”
เมรินงง “ได้ค่ะ”
เมรินสั่งปรินต์ ปริ้นเตอร์ปริ้นต์ข้อมูลตามคำสั่งของเมริน เมรินเดินไปคอยที่เครื่องแล้วรวบรวมเอกสารมาวางไว้ที่โต๊ะ ปฐวีแอบสังเกตอยู่ตลอดเวลา
“ขอบคุณมาก น้องเมย์ช่วยได้เยอะเลย”
ปฐวียิ้มให้เมริน เมรินยิ้มตอบแล้วก็แอบโล่งใจ
ปฐวีกดอินเตอร์คอมเรียกจริญทิพย์
“คุณทิพย์ เข้ามาหน่อยครับ”
จริญทิพย์โผล่หน้าเข้ามา
“คุณทิพย์ ผมขอกาแฟที่นึง น้องเมย์ดื่มอะไร ชาหรือกาแฟดี”
เมรินตอบทันที “ชาก็ได้ค่ะ”
“ขอชาอีกที่นะครับ คุณทิพย์”
จริญทิพย์จดแล้วก็นึกได้
“ตายจริง น้องเมย์จะดื่มชาได้ยังไงคะ เดี๋ยวก็ท้องผูกหรอก รับเป็นโกโก้ดีมั๊ย”
เมรินนึกได้ “เอ่อ โกโก้ก็ได้ค่ะ”
จริญทิพย์เดินไป เมรินหันไปมองปฐวีอย่างจ๋อยๆ ปฐวีก้มหน้าทำงานเงียบๆ
เมรินรู้สึกอึดอัด “น้าวีคะ น้องเมย์ขอไปหาครูบี๋ได้มั๊ยคะ”
“จะไปทำไมล่ะ น้องเมย์อยากมาหาน้าวีไม่ใช่หรือ”
“ก็น้าวีทำงาน คุยกับน้องเมย์ไม่ได้นี่คะ”
ปฐวีวางงานแล้วจ้องหน้าเมริน “งั้นน้องเมย์อยากคุยอะไรล่ะ”
เมรินงง เธอมองหน้าปฐวีแล้วก็พูดไม่ออก
จริญทิพย์เข้ามาพร้อมถาดเครื่องดื่มในมือ
“เอ่อ น้องเมย์ไปหาครูบี๋ดีกว่า จะได้ไม่กวนน้าวีด้วย ให้ป้าทิพย์พาไปก็ได้ค่ะ นะคะน้าวี” เมรินบอก
จริญทิพย์ชะงัก “ตายจริง ทิพย์ไปแป๊บเดียว กลายเป็นป้าไปแล้วหรือเนี่ย โอ๊ย รับไม่ได้จริง จริ๊ง”
“ก็ได้ เสร็จแล้วมาเจอกันที่นี่นะ จะได้กลับบ้านพร้อมกัน” ปฐวีบอก
“ได้ค่ะน้าวี”
เมรินหันหลังแล้วก็แอบถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินออกไป จริญทิพย์รีบเดินตามไป ปฐวีหยุดทำงานแล้วจ้องมองเมรินที่เดินออกไป แล้วปฐวีก็พิงเก้าอี้อย่างหมดแรง
จริญทิพย์กับเมรินเดินมาถึงหน้าห้อง จริญทิพย์ทำท่าจะเดินเข้าไปด้วยแต่เมรินรีบห้าม
“ไม่เป็นไรค่ะ ถึงแล้ว พี่ทิพย์กลับไปดูแลน้าวีเถอะค่ะ”
“เรียกพี่แบบนี้ ค่อยน่าเอ็นดูหน่อย แล้วน้องเมย์แน่ใจนะคะว่าอยู่ได้”
“แน่ใจค่ะพี่ทิพย์ ครูบี๋อยู่ในห้องนี่เองค่ะ บ๊ายบายนะคะ”
เมรินยิ้มแล้วโบกมือให้จริญทิพย์แล้วก็รีบเข้าห้องไป จริญทิพย์ยิ้มปลื้ม
“ค่อยยังชั่วหน่อย อัพเลเวลเป็นป้า รับไม่ได้จริง..จริ๊ง”
เมรินเดินเข้ามาในห้องแล้วก็รีบปิดประตู พอหันไปเจอสุดนภาเธอก็โวยวาย
“โอ๊ย กว่าจะหลุดจากน้าวีมาได้ เกือบแย่.....”
เมรินชะงัก ส่วนสุดนภายืนตะลึงอยู่
พิรามนั่งจับมือร่างของตันหยงและอ่านหนังสือให้ตันหยงที่นอนอยู่บนเตียงฟัง
“ใจเย็นๆนะหยง อย่าเพิ่งโมโห” สุดนภาบอก
เมรินโมโหเดินไปชี้หน้าพิราม พิรามงง
“ปล่อยมือชั้นเดี๋ยวนี้”
พิรามงง “อะไรหรือครับ หนู เราเคยรู้จักกันหรือ”
“ไปให้พ้น คุณทำให้ชั้นเป็นแบบนี้ ตอนนี้จะมาทำดีเพื่ออะไร ออกไปนะ ออกไป” เมรินไล่
เมรินกระชากแขนพิรามให้ลุกขึ้น สุดนภารีบเข้ามาห้าม
“ใจเย็นๆก่อนน้องเมย์ แกพูดไปเค้าก็ไม่เชื่อหรอก” สุดนภาพูดกับพิราม “พิราม บี๋ขอร้อง คุณไปก่อนเถอะค่ะ แล้วบี๋จะอธิบายทุกอย่างให้ฟังทีหลัง”
“นี่มันอะไรกัน เด็กคนนี้เป็นใคร คุณบี๋”
“ชั้นเป็นใครคุณไม่ต้องสนใจหรอก ออกไปนะ เดี๋ยวนี้เลย”
“พิรามคะ บี๋ขอร้อง”
พิรามลุกขึ้นอย่างงงๆ สุดนภาลากแขนพิรามให้ออกจากห้อง
“ไปก่อนเถอะค่ะ แล้วบี๋จะอธิบายให้ฟัง”
พิรามเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจ พอพิรามเดินลับไป เมรินก็นั่งลงปิดหน้าร้องไห้ สุดนภาเดินมาปลอบใจเพื่อน
“ใจเย็น หยง แกต้องตั้งสติไว้ก่อน”
พิรามเดินออกมาจากห้องอย่างงงๆ เพราะไม่เข้าใจ
“เด็กคนนี้เป็นใคร จู่ๆก็มาไล่เรา ทำยังกะโกรธแค้นอะไรกัน”
พิรามเดินไปอย่างหงุดหงิด
ปฐวียืนกอดอกมองพิรามด้วยสีหน้าเครียด
ภายในรถของปฐวี เมรินนั่งหันหน้าออกไปคนละทางกับปฐวี ปฐวีแอบมองเมรินอย่างสังเกต เมรินนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
เมรินปิดหน้าร้องไห้
“จนป่านนี้แกยังไม่ให้อภัยเค้าอีกหรือหยง” สุดนภาถาม
“ให้อภัยหรือ แกไม่เห็นหรือเค้าทำอะไรกับชั้น
“ชั้นเห็น และเข้าใจแกทุกอย่างหยง แต่ชั้นก็เห็นสิ่งที่พิรามเค้าพยายามทำด้วย แกรู้มั๊ย เค้ามาอ่านหนังสือ มานั่งคุยกับแกทุกวัน ชั้นเห็นกระทั่งวันที่เค้าตัดเป็นตัดตายกับแม่พัดชา”
“นี่แกเข้าข้างเค้าหรือ แกเป็นเพื่อนชั้นหรือเป็นเพื่อนเค้ากันแน่”
“ชั้นเป็นเพื่อนแกหยง ชั้นถึงอยากจะบอกว่า แกควรให้อภัยพิรามได้แล้ว เค้าน่าสงสารมาก และแกก็ควรรู้ไว้ด้วยว่า เค้าสำนึกผิดจริงๆ”
“ชั้นไม่อยากฟัง เค้าทรยศความรักของชั้น เค้าทำลายความรู้สึกดีๆทุกอย่าง”
“ถ้าแกจะไม่อภัยให้พิราม ชั้นก็เข้าใจ แต่คนที่จะทุกข์ที่สุด คือแกนะหยง คิดดีๆนะเพื่อน”
สุดนภามองเพื่อนอย่างเข้าใจแล้วพูดต่อ
“ชั้นแค่พูดในสิ่งที่ชั้นรู้ แต่แกจะตัดสินใจยังไง ชั้นเคารพในการตัดสินใจของแกนะ หยง”
เมรินมองหน้าสุดนภาอย่างอึ้งๆ
เมรินถอนหายใจหนักแล้วก็มีหน้าเศร้า เธอเมินหน้าออกไปนอกหน้าต่าง ปฐวีแอบมองเมรินอยู่มีสีหน้าเครียด เขาหันไปขับรถต่อไม่พูดไม่จา ทั้งสองคนนั่งเงียบๆ อยู่ในรถ
รถของปฐวีวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ปฐวีชำเลืองมองเมริน เขาเดินลงจากรถจะมาเปิดประตูให้เมริน แต่ไม่ทันได้เปิดเมรินก็เปิดประตูลงจากรถไปด้วยสีหน้าเหม่อลอย ปฐวีมองตาม เมธีเดินออกมารับ
“อ้าว วี น้องเมย์” เมธีมอง “เป็นอะไรไป ลูกพ่อหน้าไม่ยิ้มเลย งอนอะไรน้าวีหรือเปล่าคะ”
“เปล่าคะ”
“พี่เมธี พี่ภัสล่ะครับ” ปฐวีถาม
“อ๋อ ภัสเค้าบ่นเวียนหัวสงสัยจะไม่ค่อยสบาย”
“หรือครับ เดี๋ยวผมไปดูพี่ภัสหน่อยดีกว่า” ปฐวีฝืนยิ้ม “ผมขอตัวก่อนนะครับพี่เมธี”
ปฐวีเดินไป เมรินนึกได้ก็มองตามปฐวี
“ไงครับลูกพ่อ วันนี้ทำอะไรมาบ้าง เล่าให้พ่อฟังหน่อยสิ” เมธีถาม
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 10 (ต่อ)
ประภัสสรกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ปฐวีเดินเข้ามาหา
“วันนี้กลับเร็วจริงนะวี”
ปฐวีฝืนยิ้ม “เห็นพี่เมธีบอกว่าพี่ภัสเวียนหัวหรือครับ เป็นมานานหรือยังครับ”
“เพิ่งเป็นมาไม่นานนี้แหละ คงไม่มีอะไรหรอก”
“ผมว่า พี่ภัสไปตรวจละเอียดที่โรงพยาบาลดีมั๊ยครับ”
“พี่ว่าไม่ต้องหรอก อาจจะเป็นข่าวดีก็ได้” ประภัสสรบอก
“ข่าวดี”
ประภัสสรเขิน “พี่อาจจะมีน้องให้น้องเมย์ก็ได้”
“จริงหรือครับ ผมดีใจด้วย แล้วพี่เมธีรู้หรือยังครับเนี่ย”
“พี่จะรอให้แน่ใจก่อนค่อยบอก”
ปฐวีมองประภัสสรแล้วยิ้มอย่างดีใจ
ทุกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร โดยมีสายแก้วคอยบริการ เมรินมองเก้าอี้ที่ว่างเปล่าของปฐวีแล้วถอนหายใจ
“ทำไมน้าวียังไม่มาทานข้าวล่ะคะ” เมรินถาม
“คุณวีขอตัวทานข้างบนค่ะ วันนี้เห็นบ่นว่างานเยอะมากเลย” สายแก้วบอก
“งั้นหรือ งั้นเราก็ทานกันเถอะ” ปรงทองสรุป
สายแก้วตักข้าวให้ทุกคน เมธีตักกับข้าวใส่จานประภัสสร ประภัสสรได้กลิ่นก็ทำหน้าคลื่นเหียน
“อ้าวเป็นอะไรไปภัส ผัดผักนี่ของโปรดคุณไม่ใช่หรือ”
“ไม่ทราบเป็นอะไรภัสได้กลิ่นกระเทียมแล้วคลื่นไส้จังเลย” ประภัสสรบอก
“ขอโทษค่ะ สงสัยแม่จะลืม เดี๋ยวสายแก้วเอาไปเปลี่ยนให้นะคะ”
ปรงทองมองประภัสสรอย่างสังเกตแล้วยิ้ม
“เป็นมากี่เดือนแล้วล่ะแม่ภัส” ปรงทองถาม
“ซักพักแล้วค่ะคุณย่า ภัสง่วงทั้งวันเลย อยากจะนอนตลอดเวลา”
ปรงทองยิ้ม “สงสัยจะมีข่าวดีละมั้ง”
ประภัสสรยิ้มเขิน เมธีกันเมรินมองหน้ากันอย่างงงๆ
“หมายความว่ายังไงครับคุณภัส อ๊ะ หรือว่า คุณจะมี่น้อง” เมธีเริ่มสงสัย
ประภัสสรเขิน “ภัสอยากรอให้แน่ใจก่อนค่ะ แต่คิดว่าน่าจะใช่”
เมธีดีใจ “จริงหรือ ภัส ผมดีใจจังเลย” เมธีมองภรรยาด้วยความรัก “ต่อไปนี้คุณต้องระวังนะ แล้วอยากทานอะไรเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า บอกผมนะ”
“งานนี้เจ้าเมย์คงจะไม่เหงาแล้วละสิ” ปรงทองว่า
เมธียิ้มดีใจแล้วรีบประคับประคองประภัสสร ปรงทองปลื้มใจ เมรินดีใจปนเศร้าใจ
ปฐวีนอนเหม่ออยู่ในชุดทำงาน เขานึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา
ปฐวีนึกถึงตอนที่เมรินกลับจากโรงพยาบาล แล้วบอกปฐวีว่าเธอไม่ใช่เมริน
นึกถึงเหตุการณ์ที่โต๊ะอาหาร ที่เมรินบอกว่า ถ้าเธอไม่ใช่น้องเมย์ล่ะคะ แล้วโดนปรงทองดุ
นึกถึงตอนที่เมรินโวยวาย ตอนที่เขาแย่งโทรศัพท์ไป
ปฐวีโมโหตัวเอง “ทำไมเราถึงไม่เอะใจ” ปฐวีคิด
ปฐวีนึกถึงเหตุการ์ณในงานวันเกิดปรงทอง ที่เมรินคุยกับชาวต่างชาติ
เมรินร้องเพลงภาษาอังกฤษ ปฐวีเล่นกีต้าร์
นึกถึงตันหยงที่สนามบินที่กำลังทะเลาะกับคนเกาหลี
นึกถึงคำที่เมรินพูดว่า “ชั้นชื่อตันหยง ชั้นไม่ใช่น้องเมย์”
ปฐวีนิ่งคิด “คนที่อยู่ในร่างน้องเมย์ คือคุณหรือ ตันหยง”
ปฐวีกุมหัวด้วยความเครียด
ป้าแก้วกำลังบงการให้ทุกคนจัดอาหารเช้าอยู่ในครัว
“จัดให้เรียบร้อย อย่าลืมนะอาหารของคุณภัสต้องเตรียมเป็นพิเศษ”
“แม่จ๋า อย่าลืมจัดผลไม้ด้วยนะแม่ คุณภัสบ่นอยากทานองุ่น” สายแก้วบอก
บุญศรีเดินเข้ามามองอย่างหมั่นไส้
“โอ๊ย จะอะไรกันนักหนา แค่อาหารเช้า ต้องโน่นต้องนี่”
“อ้าว แม่บุญศรี ก็คนท้องคนไส้ ก็ต้องเตรียมอาหารบำรุงหน่อยสิ”
“ใคร ใครท้อง อย่าบอกนะว่าป้าแก้วท้อง ชั้นจะหัวเราะให้ฟันร่วง”
“หนอยแน่ะ แม่ศรี พูดจาอะไรระวังปากหน่อย” ป้าแก้วพูดกับสายแก้ว “สายแก้วเอ๊ย นี่ข้าวต้มปลาของคุณภัสไม่ใส่กระเทียม แถมไข่ลวกอีกฟอง บำรุงคุณหนูเล็ก”
“จ๊ะแม่ ชั้นไปก่อนนะ เดี๋ยวคุณหนูเล็กจะหิว”
สายแก้วเดินไป บุญศรีมองตามอย่างงงๆ
“ใครกันคุณหนูเล็ก” บุญศรีถาม
“นี่ไปมุดอยู่ที่ไหนมา ไม่รู้หรือ คุณภัสเธอกำลังจะมีน้อง” ป้าแก้วพูดกับคนอื่นๆ “เอา รีบเตรียมอาหารให้เสร็จเร็วเข้า”
บุญศรีตาลุก “คุณภัสจะมีน้องหรือ”
ปรางค์ทิพย์นั่งหน้าเครียดหัวฟูอยู่บนโต๊ะกลางบ้าน บนโต๊ะเบื้องหน้ามีบัญชีรายการทรัพย์สินเอกสารการเงินวางระเกะระกะไปหมด
“มันเอาเงินของชั้นไปผลาญหมด”
ปรางค์ทิพย์หน้าเครียด บุญศรีวิ่งหน้าเริ่ดเข้ามาในห้อง
“คุณปรางค์เจ้าขา คุณหญิงให้มาตามเจ้าค่ะ”
ปรางค์ทิพย์หงุดหงิด “ให้มาตามทำไม จะด่าซ้ำเติมอะไรกันอีก”
“ยังมีอีกเรื่องนึงนะคะคุณปรางค์”
“โอ๊ย...เรื่องอะไรอีก ชั้นไม่อยากฟัง”
ปรางค์ทิพย์ลุกขึ้นเดินพรวดพราดออกไป บุญศรีมองตามอย่างจ๋อยๆ
“โธ่คุณปรางค์นะคุณปรางค์ ไม่ฟังศรีเลย”
ปรางค์ทิพย์นั่งหน้าคว่ำ ในขณะที่ปรงทองมองปรางค์ทิพย์แล้วส่ายหน้า
“นี่แม่ปรางค์ ถ้ายายไม่เรียกหา เจ้าก็ไม่มาให้เห็นหน้าเลยนะ” ปรงทองว่า
“ปรางค์จะมาทำไมให้ขวางหูขวางตาคุณยายล่ะคะ”
“ที่ยายให้ตามน่ะ ก็เพราะเป็นห่วงเจ้าหรอก พ่อสรรหายหน้าหายตาไปเลย กลับบ้านกลับช่องบ้างหรือเปล่า”
ปรางค์ทิพย์เมินหน้า “ช่วงนี้งานคุณสรรยุ่งค่ะ”
ปรงทองถอนหายใจ “จนป่านนี้ เจ้ายังคิดจะปิดยายอีกหรือ เฮ้อ แม่ปรางค์เอ๊ย ยายอยากจะเตือนสติเจ้านะ ว่าอย่าใช้แต่อารมณ์ ต้องมีเหตุผล”
ปรางค์ทิพย์ไม่ตอบ
“ดูครอบครัวแม่ภัสกับพ่อเมธีเป็นตัวอย่างสิ มีปัญหากัน ไม่เข้าใจกันจนมีคนอื่นเข้ามาแทรก แต่สุดท้ายสองคนก็ยอมลดทิฐิ กลับมาปรองดองกันเหมือนเดิม ย่าอยากเห็นครอบครัวของเจ้าเป็นแบบนั้นบ้างนะแม่ปรางค์”
ปรางค์ทิพย์หันไปมองปรงทองแล้วก้มหน้า
ปรางค์ทิพย์รู้สึกกดดัน “ค่ะคุณย่า ปรางค์จะจำไว้”
“นี่รู้ข่าวแม่ภัสหรือยังล่ะ เค้าจะมีข่าวดี คงจะมีน้องใหม่ให้เจ้าเมย์เร็วๆนี้แหละ ครอบครัวเราจะมีสมาชิกเพิ่ม น่าชื่นใจจริงๆ”
ปรางค์ทิพย์ตะลึง “ยัยภัสจะมีลูกอีกคนหรือ”
ปรางค์ทิพย์ทั้งอึ้งทั้งแค้น
ปรางค์ทิพย์เดินลอยๆออกจากบ้านปรงทอง
“มีความสุขกันจริงนะ”
เมธี ประภัสสร และเมรินเดินจูงมือกันจะเข้าบ้าน
ประภัสสรเอ่ยชวน “พี่ปรางค์ ทานข้าวกลางวันด้วยกันนะคะ”
ปรางค์ทิพย์ตะคอก “ชั้นกินไม่ลงหรอก ถ้าต้องทนร่วมโต๊ะกับหล่อน”
ประภัสสรผงะ
“ไม่ทานก็ไม่เป็นไร ทำไมต้องตะคอกคุณภัสด้วย” เมธีไม่พอใจ
“ชั้นจะพูดอะไรกับน้องชั้นแล้วแกมาเกี่ยวอะไร ไอ้บ้านนอก”
เมธีฉุน ประภัสสรรีบดึงแขนไว้
“ใจเย็นๆนะคะคุณเมธี พี่ปรางค์คงอารมณ์ไม่ดี ไม่ทานก็ไม่เป็นไร เราเข้าบ้านกันเถอะค่ะ”
“ก็เพราะเธอเป็นแบบนี้น่ะสิ ไม่ว่าผัวจะชั่วจะเลวแค่ไหน หล่อนก็ทนรับสภาพอยู่ได้ ไม่เรียกโง่แล้วเรียกอะไร ชั้นละสมเพชหล่อนจริงๆแม่ภัส”
“คุณปรางค์ พูดแบบนี้ต่อหน้าลูกผมหรือ”
“ทำไมชั้นจะพูดไม่ได้ แกมันก็ไอ้แค่เด็กบ้านนอกมาพึ่งใบบุญบ้านชั้น ถ้าคุณย่าไม่เมตตา นังภัสไม่ใฝ่ต่ำคว้าแกมาเป็นผัว แกจะมีวันนี้หรือ”
เมธีโกรธจัด เขาจ้องหน้าปรางค์ทิพย์
“มองทำไม มองแล้วแกทำอะไรชั้นได้ ไอ้กระจอก”
ประภัสสรดึงมือเมธีไว้แล้วมองอย่างขอร้อง เมธีพยายามสงบใจ
“ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าคุณภัสจะมีพี่น้องที่นิสัยต่างกันขนาดนี้และก็ขอบคุณ ที่คุณดูถูกเหยียดหยามผม ทำให้ต้องผมพิสูจน์ตัวเอง คุณทำให้ผมมีวันนี้ และผมก็ดีใจที่มีภรรยาอย่างคุณภัสไม่ใช่คุณ”
ปรางค์ทิพย์ตะลึง เมรินกับประภัสสรมองเมธีอย่างชื่นชม
“ไปกันเถอะคุณภัส น้องเมย์ ไปทานข้าวกัน”
เมธีจูงมือเมรินพร้อมกับโอบประภัสสรเดินเข้าบ้านไป ปรางค์ทิพย์มองตามแล้วกรี๊ด
ปรางค์ทิพย์เดินเข้ามาในบ้านอย่างหงุดหงิด เธอกวาดข้าวของบนโต๊ะร่วงระเนระนาด
“ไอ้เมธี แก..แกกล้าด่าชั้น”
ปรางค์ทิพย์ขว้างข้าวของระบายอารมณ์
“หนอยแน่ะ อย่าคิดว่าแกจะมีความสุขได้เลย”
ปรางค์ทิพย์นิ่งคิดแล้วนึกขึ้นได้ เธอค้นกระเป๋าแล้วหยิบนามบัตรขึ้นมา
“คราวนี้ละ ตาชั้นบ้าง”
ปรางค์ทิพย์มองนามบัตรแล้วยิ้มร้าย
เมรินคุยโทรศัพท์กับสุดนภา
“ชั้นเป็นห่วงแกจริงๆ แล้วแกจะทำยังไงต่อไป” สุดนภาถาม
ตันหยงคิด “ชั้นคิดว่าชั้นต้องไปเริ่มที่ร่างของชั้น”
“แกก็ลองแล้ว แต่มันไม่ได้ผลนี่”
“หรือถ้ามีเหตุการณ์มันซ้ำรอยเดิมอีกครั้งนึง”
“แกพูดอะไรของแก”
“ชั้นกับน้องเมย์ เกิดอุบัติเหตุพร้อมกัน แล้วชั้นก็เจอกับน้องเมย์ ถ้าชั้นทำให้มันเกิดอีกครั้ง ทุกอย่างก็อาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”
“แกจะบ้าเหรอ ชั้นว่ามันเสี่ยงเกินไปนะ แล้วถ้ามันไม่สำเร็จล่ะ”
“ถ้ามันไม่สำเร็จ นอกจากชั้นจะไม่ฟื้นแล้ว ชั้นอาจจะทำร้ายร่างน้องเมย์อีกด้วย” ตันหยงเศร้า “ชั้นคงทำไม่ได้หรอกบี๋”
“เฮ้อ.. งั้นก็ค่อยๆหาทางกันไปเรื่อยๆเถอะนะ”
“ชั้นว่าคงต้องอยู่อย่างนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ”
“นี่ อย่าเพิ่งสิ้นหวังสิ” สุดนภานึกได้ “เออหยง แล้วแกคิดว่าหมอวี เค้าจะรู้นี้ไหม”
“ไม่น่านะ เค้าเป็นคนไม่เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้อยู่แล้ว”
ปฐวียืนกอดอกแล้วพิงขอบโต๊ะทำงานคิดหนัก สักพักจริญทิพย์ก็เดินเข้ามา
“หมอวียังไม่กลับบ้านอีกเหรอคะ”
“คุณทิพย์กลับก่อนได้เลยครับ”
จริญทิพย์ยิ้มแย้ม “ทิพย์อยู่เป็นเพื่อนก็ได้นะคะ”
ปฐวีเศร้า “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” ปฐวียิ้มเศร้าแล้วถอนใจ
จริญทิพย์จ๋อยและไม่กล้าพูดต่อ เธอเดินออกแต่ก็ไม่วายหันกลับไปมองแบบห่วงๆ
ที่คลับ ปรางค์ทิพย์ใส่แว่นดำนั่งมองรอบๆ ตัวอย่างระแวง ฉัตรพรเดินมานั่งที่โต๊ะแล้วมองปรางค์ทิพย์
“คุณมาหาชั้นที่นี่ มีธุระอะไร”
ปรางค์ทิพย์ถอดแว่นดำออกมองฉัตรพร
ฉัตรพรนั่งคิดอยู่ในบ้านเงียบๆ ชัยเดินเข้ามาในบ้าน พอเห็นฉัตรพร ชัยก็ยิ้มประจบ
“พี่ฉัตร ขอตังค์หน่อยสิ จะเอาไปจ่ายค่างวดรถ”
ฉัตรมองน้องชายแล้วหยิบเงินส่งให้นิดหน่อย ชัยโวยวาย
“แค่นี้จะไปพออะไร ค่างวดรถนะ ไม่ใช่ค่าเติมลม”
“ถ้าอยากได้มากกว่านี้ ก็ต้องทำงาน ชั้นมีเรื่องให้แกช่วย สนใจไหม”
ชัยยิ้มประจบ “งานอะไรล่ะพี่ฉัตร ถ้าได้เงิน ก็บอกมาได้เลย”
ฉัตรพรมองชัยแล้วยิ้มร้าย
เช้าวันใหม่ ปรงทองกับเมรินเดินออกมาใส่บาตร ปฐวีเดินลงมาจะขึ้นรถ
“เจ้าวี มาใส่บาตรกับย่าก่อนมั๊ย” ปรงทองชวน
เมรินมองยิ้มให้ปฐวี ปฐวีทำเป็นไม่มอง
“วันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อนครับ มีผ่าตัดแต่เช้าเลย” ปฐวีบอก
“งานยุ่งมากหรือ” ปรงทองถาม
“ครับคุณย่า” ปฐวีตอบ
เมรินมองหน้าปฐวี ปฐวีเมิน
“งั้นก็ไปเถอะ ย่าไม่กวนแล้ว” ปรงทองบอก
“ครับคุณย่า”
ปฐวีเดินไป ปรงทองมองตามอย่างแปลกใจ
“ทำไมช่วงนี้เจ้าวียุ่งเหลือเกิน ออกแต่เช้าทุกวันเลย”
เมรินเริ่มกังวล
ปฐวีนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีข้อมูลเรื่องตันหยงวางเต็มไปหมด ปฐวีนั่งเครียด
“เราจะทำยังไงดี”
หนึ่งฤทัยยื่นหน้าเข้ามา
“หมอวีคะ ไปทานข้าวด้วยกันนะ”
“เที่ยงแล้วหรือ ไปสิครับ”
ปฐวีรีบเก็บเอกสารใส่ลิ้นชักแต่เอกสารหล่น หนึ่งฤทัยสังเกตเห็นแต่ไม่พูด เธอหยิบแฟ้มส่งให้ปฐวี
“ไปค่ะ”
ปฐวีรับเอกสารไปวางบนโต๊ะ แล้วเดินออกไปพร้อมหนึ่งฤทัย
ปฐวีกับหนึ่งฤทัยนั่งกินอาหารอยู่ด้วยกัน ปฐวีนั่งกินอาหารแต่มีสีหน้าครุ่นคิด
“วีมีเรื่องอะไรไม่หนักใจหรือเปล่าคะ”
ปฐวียิ้มเหนื่อยแต่ส่ายหน้า เขาคิดแล้วถอนใจ “เราเรียนแทบตาย เมื่อก่อนผมคิดว่า อะไรที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ เป็นเรื่องเหลวไหล แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เราเรียนรู้มาทั้งชีวิต อาจตอบไม่ได้ทุกเรื่อง”
“วีพูดเรื่องอะไรคะ หนึ่งงงไปหมดแล้ว”
“บางสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ใช่ว่าจะไม่มีจริง”
หนึ่งฤทัยคิดตาม “เรื่องบางเรื่องวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ ไม่ใช่มันไม่มีจริงนะคะ แต่อาจเป็นเพราะเรายังมีความรู้ไม่มากพอก็เป็นได้”
“งั้นหรือครับ”
“เช่นเมื่อก่อนนี้เราเข้าใจว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่ต่อมาเราได้รู้ว่า โลกเป็นแค่ส่วนหนึ่งของระบบสุริยะในแกแลคซี่ของเรา และยังมีแกแลคซี่อื่นอีกมากมาย” หนึ่งฤทัยยิ้ม “มันเป็นเพราะเทคโนโลยีของเรายังก้าวหน้าไม่พอที่จะอธิบายได้เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มี ใช่ไหมคะ”
“แล้วถ้ามันไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องวิญญาณล่ะ เราจะเอาอะไรมาอธิบาย”
หนึ่งฤทัยงง “วีเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอคะ”
“ผมก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทานเถอะครับ”
ปฐวีตัดบทก้มหน้ากินอาหาร หนึ่งฤทัยมองด้วยความสงสัย
ปรางค์ทิพย์ ฉัตรพร ชัยนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ปรางค์ทิพย์มองชัยอย่างไม่ไว้ใจ
“นี่ใคร ไว้ใจได้หรือเปล่า” ปรางค์ทิพย์ถาม
“น้องชายชั้นเอง ไว้ใจได้แน่นอน” ฉัตรพรบอก
“แล้วผมจะไว้ใจคุณนายได้หรือเปล่าเนี่ย” ชัยย้อนถาม
“ปากดีนักนะแก ทำงานให้ดีด้วยก็แล้วกัน” ปรางค์ทิพย์พูดกับฉัตรพร “คราวหน้าชั้นจะเอาเงินกับแผนที่มาให้ แล้วชั้นจะติดต่อไป”
ปรางค์ทิพย์เรียกเก็บเงิน ฉัตรพรมองตามปรางค์ทิพย์แล้วคิดก่อนยิ้มสะใจ
เมรินกับประภัสสรเดินถือของ ประภัสสรหยุดดูของรอบๆตัวอย่างเบื่อๆ เมรินชะงักเมื่อเห็นปรางค์ทิพย์กำลังจ่ายสตางค์ โดยปรางค์ทิพย์นั่งอยู่กับฉัตรพรและชัย
เมรินนึกถึงเหตุการณ์หน้าบ้านฉัตรพร ชัยเบรครถเกือบชนเมริน
“อีเด็กบ้า เดี๋ยวกูตบให้คว่ำเลย....” ชัยว่า
เมรินตะลึง
เมรินคิดในใจ “ป้าปรางค์ไปคุยอะไรกับคนพวกนั้นนะ”
ประภัสสรหันมาพูด “ไปค่ะน้องเมย์”
ประภัสสรจูงเมริน เมรินเหลียวมามอง
ประภัสสรกำลังจัดของเก็บอยู่ที่ลานจอดรถ เมรินยืนอยู่ใกล้ๆ ฉัตรพรกับน้องชายเดินผ่าน เมรินหันไปเห็นก็จ้องมอง
“ผู้หญิงที่มาราวีที่บ้านจริงๆด้วย” เมรินคิดในใจ
ชัยหันมาเห็นเมริน ชัยมองจ้องขณะที่เดินผ่านหน้าเมรินไป
“ไปค่ะน้องเมย์ ลุงสายมาแล้ว ไปขึ้นรถกันเถอะ หนูมองอะไรคะ” ประภัสสรถาม
“เปล่าค่ะ คุณแม่”
ประภัสสรจูงเมรินเดินออกไป เมรินเหลียวมองจนลับตา
ปฐวีกับหนึ่งฤทัยเดินผ่านมาที่หน้าร้านดอกไม้
“หนึ่งขึ้นไปก่อนนะครับ ผมขอทำธุระชั้นนี้ก่อน”
“งั้นหนึ่งไปก่อนนะคะ”
หนึ่งฤทัยเดินไป ปฐวีเดินเข้าไปที่ร้านดอกไม้ หนึ่งฤทัยยืนแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่ง
เวลาผ่านไป ปฐวีเอาดอกไม้มาเสียบใส่แจกันให้ตันหยง
“จริงๆคุณฟื้นแล้ว แต่ไปฟื้นในร่างของหลานสาวผม แล้วหลานของผมล่ะ อยู่ที่ไหน”
ปฐวีจ้องมองตันหยงนิ่ง หนึ่งฤทัยแอบมองอยู่ด้วยสีหน้ากังวลใจ เธอค่อยๆปิดประตูที่แง้มลง
เมรินนั่งชะเง้อคอมองหาปฐวี ปฐวีเดินเข้ามา เมรินรีบยืนด้วยความตื่นเต้น
“น้าวี”
ปฐวีมองหน้าเมรินนิ่ง เมรินชะงักเริ่มใจไม่ดี
“ดึกแล้วยังไม่นอนหรือ” ปฐวีถาม
“เมย์ยังไม่ง่วงค่ะ เมย์รอน้าวี”
ปฐวีฝืนยิ้ม “ไปนอนเถอะครับ น้าวีขอตัวไปพักก่อน”
ปฐวีจะเดินไป เมรินเรียกไว้
“น้าวี น้าวีเป็นอะไรไปคะ โกรธน้องเมย์เหรอคะ”
ปฐวีอึ้งเพราะตอบไม่ได้ เขาไม่หันมาแต่ยืนด้วยความสับสน เมรินยืนรอคำตอบอย่างลุ้นๆ จากด้านหลัง ปฐวีตัดสินใจเดินไป เมรินอึ้ง
ตันหยงคิดในใจ “เขารู้ความจริงแล้ว”
เมรินทั้งตกใจกลัวทั้งเศร้า
เมรินเดินไปนั่งทบทวน เธอนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
ตันหยงนึกถึงตอนที่ปฐวีสั่งให้เสริชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตพร้อมสั่งปริ้นต์
ตอนที่ปฐวีถามเมรินว่าจะดื่มชาหรือกาแฟ
“คุณรู้ความจริงแล้วใช่ไหม แล้วทำไมเราต้องมานั่งเสียใจล่ะ”
ตันหยงนึกถึงตอนที่ปฐวีบอกเมรินว่า รักหลานคนนี้มากที่สุด
ตันหยงเศร้าแต่ก็พยายามยิ้ม
“ชั้นควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ”
ตันหยงยิ้มเศร้าแล้วน้ำตาก็ไหล
“แต่ทำไมชั้นถึงไม่รู้สึกแบบนั้นล่ะ”
ตันหยงมองดวงจันทร์แล้วยกนิ้วขึ้นปิดดวงจันทร์
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 10 (ต่อ)
ปฐวีเดินออกไปที่ระเบียงชั้นสอง เขานึกถึงตอนที่เมรินร้องเพลงในงานวันเกิดปรงทอง
ปฐวรนึกถึงตอนที่คุยกับเมริน
“น้าวีรักน้องเมย์คนนี้มั๊ย” เมรินถามแล้วก็งอน ปฐวีง้อ ทั้งสองคุยกันในรถ
“น้าวีรักน้องเมย์คนนี้ที่สุด เพราะเป็นหลานน้าวี” ปฐวีตอบ
ปฐวีนึกถึงตอนที่เขาได้ยินเมรินพูดในโรงพยาบาล
ปฐวีน้ำตาซึมด้วยความเจ็บปวด
เช้าวันใหม่ ปฐวี เมริน เมธี ประภัสสร ปรงทองนั่งพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหาร เมรินมองหน้าปฐวี แต่ปฐวีกินโดยไม่สนใจ เสียงปรงทองคุยกับประภัสสรดังแว่วมา เมรินจ๋อยจนกินไม่ลง
“นานๆจะได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ ชื่นใจจริงๆ เป็นไงบ้างแม่ภัส หายแพ้หรือยัง” ปรงทองถาม
ประภัสสรเขิน “ดีขึ้นแล้วค่ะ ตอนนี้ทานได้ทุกอย่างไม่เหม็นเลย น้ำหนักขึ้นด้วยค่ะคุณย่า”
“ต้องทานให้เยอะๆกว่านี้อีก ลูกออกมาจะได้แข็งแรงนะ” เมธีบอก
“กลัวคลอดแล้วจะไม่ลงสิคะ” ประภัสสรบอก
“คุณจะอ้วนจะผอมยังไง ผมก็รัก”
ปรงทองมองประภัสสรกับเมธีแล้วยิ้ม
ปฐวีกับเมรินจ้องหน้ากัน ปฐวีเมินหน้า เมรินก้มหน้า
“เห็นพวกเจ้ามีความสุขย่าก็ดีใจ แล้วเมื่อไหร่จะถึงตาวีบ้างล่ะ เจ้าวี” ปรงทองถาม
ปฐวีชะงัก “คุณย่าว่าอะไรครับ”
“เป็นอะไรไป ย่าถามว่า เมื่อไหร่วีจะมีข่าวดีให้ย่าบ้างล่ะ”
ปฐวีมองหน้าเมริน เมรินก้มหน้า
“คงยังหรอกครับคุณย่า ผมยังไม่เจอคนที่ถูกใจ” ปฐวีบอก
เมรินเงยหน้ามอง ปฐวีกับเมรินมองหน้ากัน ปฐวีเมินหน้าแล้วพูด
“ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”
ปรงทองมองสองน้าหลานอย่างประหลาดใจ
หนึ่งฤทัยยืนมองแฟ้มในมือแล้วคิดอยู่ที่หน้าห้องพักของตันหยง
“เราทำเพื่อคนไข้...ทำเพื่อนคุณตันหยง”
หนึ่งฤทัยสูดลมหายใจลึกแล้วตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องทันที
พินิจ บุหงา และพิรามนั่งมองตันหยงด้วยสีหน้าเครียด หนึ่งฤทัยเดินเข้ามา เธอเหลือบมองพิรามนิดนึงแล้วยิ้ม
หนึ่งฤทัยเดินไปดูตันหยง “วันนี้คุณตันหยงหน้าตาดูสดใสดีนะคะ หนึ่งขอตรวจสักครู่นึงนะคะ”
หนึ่งฤทัยตรวจตันหยงตามขั้นตอน พินิจกับบุหงามองหน้ากัน
บุหงาดูหนึ่งฤทัยตรวจ “แม่คงต้องถามหมอเหมือนทุกวัน ว่าลูกแม่ดีขึ้นไหม”
“หมอทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ลงความเห็นคุณตันหยงไม่รู้สึกตัวเป็นเวลานาน โอกาสที่คุณตันหยงจะกลับมาเป็นปกติคงเป็นไปได้ยาก”
บุหงาซับน้ำตา พินิจกอดบุหงาไว้
“คุณแม่ครับ อย่าเพิ่งวิตกนะครับ” พิรามให้กำลังใจ
“นี่เป็นแฟ้มที่คุณหมอปฐวีค้นคว้า เกี่ยวกับอาการคนไข้ที่คล้ายกรณีคุณตันหยง มีหลายกรณีที่คนไข้ฟื้นขึ้นมา แต่ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์นะคะ รักษาโดยวิธีการอื่นๆแตกต่างกันไปในต่างประเทศ หนึ่งหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคุณอาทั้งสองบ้าง”
พินิจรับแฟ้มมาอย่างมีความหวัง “ขอบคุณมากครับคุณหมอหนึ่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
พินิจกอดปลอบบุหงา หนึ่งฤทัยกับพิรามมองอย่างสงสาร
“ผมเชื่อว่าหยงจะฟื้น ถ้าต้องไปรักษาตัวที่ไหน ผมอาสาจะพาหยงไปเองครับ”
หนึ่งฤทัยยิ้มโล่ง
ปฐวีมองหาแฟ้มตันหยงบนโต๊ะ จริญทิพย์เดินเข้ามา
“หมอวีหาอะไรคะ”
“ผมวางแฟ้มกรณีศึกษาคนไข้ ที่เหมือนเคสคุณตันหยงไว้ ไม่รู้อยู่ที่ไหน”
“ทิพย์จำได้ค่ะ ทิพย์เคยเห็น” จริญทิพย์ช่วยหา “เอ๊ อยู่ไหนน๊า อยู่ไหนเอ่ย”
ปฐวีกับจริญทิพย์ช่วยกันค้นหา หนึ่งฤทัยเดินเข้ามา
“หนึ่งหยิบไปเองค่ะ”
ปฐวีงง “คุณหนึ่งหยิบไปหรือ เอาไปทำอะไรครับ”
“หนึ่งแจ้งให้ทางครอบครัวคุณตันหยง ทราบเรื่องผลการวินิจฉัยคุณตันหยงแล้ว หนึ่งคิดว่า แฟ้มพวกนั้นอาจจะมีประโยชน์ เผื่อเค้าจะเลือกรักษาด้วยวิธีอื่น หนึ่งเลยให้พวกเค้าไปแล้ว วีโกรธหนึ่งหรือเปล่าคะ”
ปฐวีอึ้งแล้วก็ยิ้ม
“หนึ่งทำถูกต้องแล้วครับ”
“หนึ่งดีใจที่วีไม่โกรธ หนึ่งคิดอยู่แล้วถ้าเป็นวี วีก็ต้องทำแบบนี้”
หนึ่งฤทัยโล่งใจ ปฐวีนิ่งแล้วคิดหนัก
พิรามกับหนึ่งฤทัยนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟ
“คุณพ่อคุณแม่หยงท่านจะรีบบินไปติดต่อแพทย์ทางโน้นก่อน ให้ผมดูแลหยงอยู่ทางนี้ เรียบร้อยแล้วผมค่อยเดินทางไปพร้อมหยง ผมขอบคุณที่หมอหนึ่งช่วยเป็นธุระเรื่องหาแพทย์ให้นะครับ” พิรามบอก
“หนึ่งไม่ได้ทำอะไรเลย หมอวีต่างหากค่ะ หนึ่งทำตามหน้าที่แพทย์เท่านั้นค่ะ”
“นั่นแหละครับ ถ้าคุณหมอหนึ่งไม่แนะนำ พวกเราคงไม่มีหวัง”
“อย่าหมดหวังกันนะคะ หนึ่งขอให้คุณตันหยงฟื้นกลับมาเหมือนเดิมค่ะ”
พิรามยิ้มอย่างมีกำลังใจ “ขอบคุณครับ”
หนึ่งฤทัยก้มหน้าลงจิบกาแฟแล้วนิ่งคิด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หนึ่งฤทัยกดรับ
“อยากพบหนึ่งหรือคะ”
หนึ่งฤทัยกดปิดโทรศัพท์
“ขอตัวก่อนนะคะ หมอวีตามตัวหนึ่งแล้วค่ะ”
“ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”
หนึ่งฤทัยลุกขึ้นแล้วเดินไป พิรามมองตามแล้ว ยิ้มโล่งใจ
ปฐวียืนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ถ้าคุณตันหยงฟื้น แสดงวิญญาณที่อยู่ในร่างน้องเมย์ ต้องกลับคืนร่างเดิม ...แล้ววิญญาณน้องเมย์ก็จะกลับเข้าร่างเดิมเหมือนกัน...”
ปฐวีถอนหายใจแบบมีความหวัง
หนึ่งฤทัยเดินยิ้มเข้ามา
“วีเรียกหนึ่งด่วน มีอะไรคะ”
“หนึ่งนั่งก่อนครับ ผมมีเรื่องจะปรึกษา”
“..เป็นทางการจังเลย มีอะไรคะ”
“ผมอยากจะให้คุณโอนเคสคุณตันหยงมาอยู่ในความดูแลของผมจะได้มั้ย”
หนึ่งฤทัยอึ้ง “เพื่ออะไรคะ .... วี อีกไม่นาน เค้าก็จะพาตัวคุณตันหยงไปรักษาที่ต่างประเทศแล้วนะคะ”
“ไม่ว่ามันจะมีเวลาแค่ไหนก็ตามผมอยากจะรักษาคุณตันหยง ผมจะเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้น”
“แต่เราเริ่มกันมาหลายครั้งแล้วนะคะวี ตอนนี้หมอทุกคนก็ลงความเห็นไปในทางเดียวกัน วีก็ทราบแล้วนี่คะ แล้วเราจะเริ่มกันใหม่เพื่ออะไร”
“ถ้ามันยังมีเวลาเหลือ ผมจะไม่มีวันยอมแพ้”
ปฐวีทำสีหน้าเด็ดเดี่ยว หนึ่งฤทัยอึ้ง
กลางดึก ปฐวียังคงหมกมุ่นอยู่กับกองเอกสารเกี่ยวกับเคสของตันหยงเบื้องหน้า จริญทิพย์เดินถือกระเป๋าพร้อมกลับบ้านเข้ามาถาม
“คุณวีขา ต้องการอะไรอีกหรือเปล่าค่ะ”
ปฐวีเงยหน้า “ไม่ครับ ขอบคุณ”
“งั้นทิพย์กลับก่อนนะคะ”
ปฐวียังนั่งอ่านเอกสารไม่เงยหน้า จริญทิพย์ถอนหายใจก่อนปิดประตู
จริญทิพย์เดินออกจากห้องปฐวี
“จะจริงจังไปถึงไหนนะ หมอวีเนี่ย เดี๋ยวหมอก็ป่วยซะเองหรอก”
หนึ่งฤทัยยืนอยู่เอ่ยถามจริญทิพย์
“คุณทิพย์ยังไม่กลับหรือคะเนี่ย”
“จะกลับเดี๋ยวนี้แหละค่ะ แต่หมอวียังอยู่นะคะ”
“อ้าว ทำไมวียังไม่กลับล่ะคะ”
“เรียกเคสของคุณตันหยงไปอ่าน ตั้งแต่บ่ายยังไม่ลุกไปไหนเลยค่ะ จะพบมั้ยคะ เดี๋ยวทิพย์ไปเรียนให้”
“ไม่หรอกค่ะ หนึ่งต้องไปเข้าเวร”
“งั้นทิพย์ไปก่อนนะคะ”
จริญทิพย์เดินไป หนึ่งฤทัยมองตามแล้วหันไปมองที่ห้องปฐวีก่อนจะถอนหายใจยาว
เช้าวันใหม่ ปฐวีเดินล้วงกระเป๋ามาหยุดยืนใช้ความคิดที่สวนหลังบ้านริมน้ำ
“ทำยังไงต่อไป คุณถึงจะฟื้นนะคุณตันหยง แล้วน้องเมย์จะกลับเข้าร่างเดิมได้ยังไง”
หนุงหนิงเดินมาเอาจมูกมาชนปฐวี ปฐวียิ้ม
“แกได้ยินที่ชั้นพูดใช่ไหม หนุงหนิง”
ปฐวีลูบหัวหนุงหนิงด้วยความเศร้า
เมรินยืนแอบมองปฐวีอยู่เงียบๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“น้าวีกลับดึกจังเลยนะคะ”
ปฐวีลูบหัวหนุงหนิง “หนุงหนิงคงคิดถึงน้องเมย์มาก หลังๆไม่เห็นน้องเมย์เล่นกับหนุงหนิงเลย”
“น้องเมย์ขอโทษค่ะ”
เมรินก้มหน้า ปฐวีถอนหายใจ เมรินเงยมองหน้าปฐวี ปฐวีหันมามอง
“เดินเล่นด้วยกันไหม” ปฐวีถาม
เมรินดีใจ ปฐวีเดินนำ เมรินเดินสะดุด ปฐวีรีบรับ ทั้งคู่สบตากัน พอนึกได้ว่าไม่ใช่หลาน ก็รีบปล่อยแล้วทำหมางเมินทันที
“ระวังหน่อยสิครับ” ปฐวีบอก
ปฐวีลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาหันหลังให้ เมรินมองแล้วเดินเข้าไปจับมือปฐวี
“น้าวีขา น้องเมย์คิดว่าน้าวีกำลังหลบหน้าน้องเมย์นะคะ มันเกิดอะไรขึ้น”
ปฐวีนั่งลงที่สนาม
“ตอบน้องเมย์สิคะ”
“งั้นตอบน้าวีมาก่อน น้องเมย์มีเรื่องอะไรปิดบังอยู่บ้าง หรือมีอะไรอยากจะบอกน้าวีไหม”
ปฐวีกับเมรินมองตากัน
ตันหยงคิดในใจ “ถ้าชั้นพูดความจริงตอนนี้ เค้าจะเกลียดชั้นมั้ย”
เมรินคอตกก้มหน้าก่อนตัดสินใจเงยหน้าพูด
“น้าวีคะ ชั้นไม่ใช่......”
ปฐวีหันออกแล้วมีสีหน้าเศร้าแต่ก็รอฟัง เมรินพูดไม่ออก
“พูดสิ น้าวีรอคำตอบอยู่นะ” ปฐวีเร่ง
เมรินมองปฐวีพอเห็นสายตาปฐวีเมรินก็พูดไม่ออกจึงได้แต่ส่ายหน้า
“งั้นเราคงไม่มีอะไรต้องพูดกัน”
ปฐวีดึงมือเมรินออกแล้วลุกเดินไป
“น้าวี !”
เมรินมองตามหลังปฐวีด้วยความเศร้า
ประภัสสร เมธี และเมรินนั่งกินข้าวร่วมกัน เมรินนั่งหน้าเศร้ากินข้าวเงียบๆ พ่อกับแม่มองอย่างเป็นห่วง หัวค่ำเมรินชะเง้อรอปฐวีกลับบ้านด้วยสีหน้าเศร้า
เมรินนอนคว่ำหน้าร้องไห้อยู่บนเตียงนอน ประภัสสรเดินเข้ามาในห้อง พอเห็นเมรินร้องไห้ประภัสสรก็แปลกใจ
“น้องเมย์ขา ร้องไห้ทำไมคะลูก”
เมรินพยายามหยุดร้อง “น้าวีโกรธน้องเมย์ น้าวีไม่ยอมพูดกับน้องเมย์ค่ะ”
ประภัสสรกอดปลอบลูกสาวพร้อมกับแอบยิ้ม
“โถลูกแม่ น้าวีคงงานยุ่งมาก อาจจะกำลังไม่สบายใจหงุดหงิด อย่าร้องนะคะ”
เมรินส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอกค่ะ น้าวีเกลียดเมย์แล้ว น้าวีคงไม่พูดกับน้องเมย์อีกตลอดชีวิต”
“ไม่จริงหรอกลูก น้าวีไม่มีวันจะโกรธหรือเกลียดน้องเมย์แน่นอน เอาอย่างนี้ น้องเมย์คุยกับแม่ก็ได้นะคะ น้องเมย์อยากคุยเรื่องอะไรล่ะ”
ประภัสสรมองหน้าเมรินแล้วซับน้ำตาให้ เมรินนิ่ง
“ไม่ค่ะ เมย์ง่วง แล้วอยากนอน”
ประภัสสรงง “งั้นหรือคะ ไม่อยากคุยแล้วหรือ”
เมรินล้มตัวลงนอนหลับตา ประภัสสรดึงผ้าห่มมาห่มให้ก่อนจะก้มลงจูบที่แก้มของเมริน
“แม่รักหนูนะคะน้องเมย์ ราตรีสวัสดิ์ลูก”
ประภัสสรเดินออกไป เมรินลืมตามองแล้วก็ร้องไห้ต่อ
ประภัสสรเดินเข้ามาในห้อง เมธีนั่งอยู่บนเตียง
“ลูกหลับแล้วหรือ” เมธีถาม
“ยังหรอกค่ะ แต่เดี๋ยวก็คงหลับ แกร้องไห้เสียใจบอกว่าตาวีไม่ยอมพูดด้วย”
“อ้าว งอนอะไรกัน”
ประภัสสรยิ้ม “ไม่ทราบสิคะ น้องเมย์จริงจังมากเลยค่ะ แกคิดว่าตาวีจะไม่พูดด้วยอีกแล้ว”
เมธีขำ “งั้นเชียวหรือ พรุ่งนี้ผมจะต้องจัดการต่อว่าตาวีซะหน่อยแล้ว มารังแกลูกสาวผมจนร้องไห้ได้ยังไงเนี่ย”
ประภัสสรทั้งขำทั้งห่วง “น้าหลานสองคนนี่อะไรกันก็ไม่รู้”
“ช่างเถอะ คุณพักผ่อนเถอะ ลูกในท้องจะได้แข็งแรงนะ”
ประภัสสรล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย เมธีมองหน้าประภัสสรแล้วทั้งคู่ก็ยิ้มให้กัน
ปฐวีนั่งอ่านเคสตันหยงแล้วก็ลุกเดินไปเดินมาอยู่ในห้องทำงาน เวลาผ่านไป เขามานั่งที่โต๊ะแล้วก็อ่านด้วยสีหน้าเครียดก่อนจะรู้สึกมึนหัว ปฐวีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
“ไอ้วิน ว่างรึเปล่า ออกมาเจอกันหน่อยสิ”
ปฐวีกับนาวินนั่งอยู่ที่โต๊ะในผับ นาวินมองไปรอบๆตัวแล้วก็ส่ายหน้า
“วันนี้ท่าทางฝนจะตกใหญ่ หมอวีชวนกระผมมาเริงราตรี” นาวินแซว
“ทำไม มีปัญหาอะไรเจ้าวิน”
“อ้าว ก็คุณหมอวีไม่ดื่ม แล้วจะพาผมมาผับทำพระแสงอะไรเล่าครับ ชวนไปกินข้าวต้มโต้รุ่งดีกว่ามั้ย”
“ไอ้วิน ชั้นมีเรื่องปรึกษา” ปฐวีพูดจริงจัง “แกเชื่อเรื่องวิญญาณมั้ยวะ มีจริงหรือเปล่า”
“เฮ้ย...ถามแบบนี้ แกเจอผีหรือไงวะเจ้าวี”
“เปล่า แค่อยากรู้ว่าแกเชื่อหรือเปล่า”
“เชื่อ” นาวินตอบทันที
“ไอ้บ้า เชื่อง่ายไปมั๊ยเนี่ย เรียนถึงดอกเตอร์ยังงมงายเรื่องพวกนี้อีกหรือ”
“อย่าดูถูกนะโว๊ย วิญญาณ กรรมดีกรรมชั่ว การเวียนว่ายตายเกิด ศาสนาพุทธสอนเรื่องนี้มา 2000 กว่าปีแล้ว นี่ตอนเด็กไม่ได้เรียนวิชาพุทธศาสนาหรือไงวะ”
ปฐวียิ้มขำเพื่อน
นาวินพูดจริงจัง “ถามจริงๆ แกมีปัญหาอะไรกันแน่”
ปฐวีหน้าเครียด
เมธีกับประภัสสรนอนหลับอยู่บนเตียง เมรินเดินเข้ามาหาประภัสสร ประภัสสรลุกขึ้นด้วยความงัวเงีย
“น้องเมย์ทำไมยังไมนอนคะ” ประภัสสรถาม
“คุณแม่ขา น้องเมย์คิดถึงคุณแม่จังเลย ขอน้องเมย์กลับมาอยู่เป็นลูกคุณแม่ได้มั้ยคะ”
“โธ่ลูกแม่ หนูก็เป็นลูกของแม่อยู่แล้วนี่คะ มาขอแม่กอดที”
“ยังไม่ได้ค่ะ รอหนูก่อนนะคะคุณแม่”
เมรินถอยห่างไป ประภัสสรตกใจ
“น้องเมย์ กลับมาหาแม่ก่อน”
ประภัสสรกับเมธีนอนอยู่บนเตียง ประภัสสรมีท่าทางกระสับกระส่ายเพราะฝันร้าย
“น้องเมย์ กลับมาหาแม่ก่อน”
ประภัสสรสะดุ้งแล้วลุกขึ้น เมธีลุกตาม
“คุณภัส เป็นอะไร ฝันร้ายหรือครับ”
“ค่ะเมธี ภัสฝันเห็นน้องเมย์ ประหลาดจังเลย แกจะมาขอเป็นลูกภัสอีก”
เมธีกอดปลอบ “โธ่ คุณภัส คุณคงกังวลเห็นลูกร้องไห้เลยเก็บเอามาคิดเป็นตุเป็นตะไปล่ะสิ ไม่มีอะไรหรอก น้องเมย์นอนอยู่ในห้องข้างๆนี่เอง ไม่ต้องห่วงนะ คุณรีบนอนเถอะ”
“คุณนั่นแหละค่ะนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าไม่ใช่หรือคะ”
เมธีดึงตัวประภัสสรเข้ามากอด
“ผมรักคุณจังเลย ดีใจที่คุณเข้าใจผม”
“ภัสก็รักคุณค่ะ”
ทั้งสองยิ้มอย่างมีความสุข
เช้าวันใหม่ ประภัสสรกับเมธีและเมรินอยู่ที่หน้าบ้าน
“เดินทางปลอดภัยนะคะ” ประภัสสรอวยพร
“ไม่ต้องห่วง ผมจะรีบกลับนะครับ ระวังตัวด้วยนะเดินเหินอะไรต้องระวัง”
เมธีดึงประภัสสรเข้ามากอด
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ น้องเมย์อยู่ทั้งคน”
เมธีพูดกับเมริน “ดูแลคุณแม่กับน้องด้วยนะ น้องเมย์”
เมรินรับคำเศร้าๆ “ค่ะคุณพ่อ”
“เดี๋ยวพ่อกลับมาจะจัดการน้าวีให้ มารังแกลูกสาวคุณพ่อได้ไงเนี่ย”
เมธีจับแก้มเมรินล้อๆ แล้วเดินขึ้นรถไป ประภัสสรกับเมรินยืนโบกมือจนเมธีลับตาแล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าบ้านไป บุญศรียืนแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่ง
ปรางค์ทิพย์นั่งมองแผนที่ในมือด้วยสีหน้าเครียด บุญศรีเดินเข้ามารายงาน
“คุณปรางค์เจ้าขา คุณเมธีออกไปแล้วเจ้าค่ะ มีกระเป๋าเสื้อผ้าไปด้วย”
“ไปกี่วันรู้มั๊ย”
“ไม่ทราบค่ะ เห็นแต่หิ้วกระเป๋าไป เอ่อ แล้วคุณปรางค์จะอยากรู้ไปทำไมคะ”
“เรื่องของชั้น”
บุญศรีจ๋อย ปรางค์ทิพย์สั่งด้วยสีหน้าร้าย
“ดูแลลูกแก้วลูกขวัญให้ดี ชั้นจะออกไปข้างนอก”
“ค่ะ คุณปรางค์”
ปรางค์ทิพย์ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเดินออกจากบ้านไป
ปรางค์ทิพย์ ฉัตรพร และชัยนั่งอยู่ในร้านอาหาร ปรางค์ทิพย์หยิบเงินส่งให้ฉัตรจำนวนหนึ่งพร้อมกับแผนที่
“นี่เป็นแผนที่ในบ้าน อย่าให้พลาดล่ะ”
“เงินแค่นี้เนี่ยนะ ไม่น้อยไปหน่อยหรือ คุณนาย” ชัยถาม
“แกอยากได้เท่าไหร่ก็เอาสมบัติในบ้านไปขายได้เลย ชั้นขอแค่ขู่ให้มันตกใจ ไม่ต้องถึงกับช๊อคตายล่ะ”
“เรื่องแค่นี้สบายมาก” ชัยบอก
“คุณทำแบบนี้ทำไม คุณมีอะไรแค้นกับคุณเมธีหรือ” ฉัตรพรถาม
ปรางค์ทิพย์ชะงัก
“คุณกับเมียของเมธีเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือ” ฉัตรพรถามต่อ
ปรางค์ทิพย์พูดเชิดๆ “มันเรื่องของชั้น เธอทำหน้าที่ของเธอก็แล้วกัน ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ”
ทั้งคู่สบตากัน
“รอเวลาลงมือ ชั้นจะโทรมาบอก อย่าให้พลาดก็แล้วกัน” ปรางค์ทิพย์บอก
ปรางค์ทิพย์ลุกขึ้นแล้วเดินไป ฉัตรพรมองตามก่อนจะหันไปมองชัยที่กำลังหยิบเงินมาชื่นชม ฉัตรพรยิ้มร้าย
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 10 (ต่อ)
เสียงเตาอบดังเตือน สุดนภาเปิดเตาอบหยิบขนมออกมาแล้วเดินเอามาวางที่โต๊ะ พอจะตักชิม เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น สุดนภาวางช้อนอย่างเสียดาย
“ใครมาอีก เฮ้อ.. ก้างขวางคอจริง..จริ๊ง”
สุดนภาเดินไปที่ประตูแล้วเปิดออก นาวินยืนยิ้มเผล่อยู่หน้าประตู
สุดนภางง “คุณมาทำไม่เนี่ย”
“ขอเข้าไปคุยข้างในหน่อย”
“จะบ้าเหรอ”
“มีเรื่องสำคัญจะถาม แต่ต้องถามในห้อง”
“เพี้ยนใหญ่แล้วนะ มีเรื่องอะไร พูดมา”
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า”
นาวินจะเข้าไปแต่สุดนภาดันไว้
“ให้ผมเข้าไปก่อน”
“ไม่ได้ ออกไปนะ”
“ผมจะพูดเรื่องคุณตันหยง”
สุดนภาอึ้ง นาวินเดินเข้าห้องอย่างสง่าผ่าเผย
นาวินเดินเข้ามาในห้องแล้วมองอย่างชื่นชม
“ห้องเป็นระเบียบเรียบร้อยดี หอมด้วย”
นาวินสูดกลิ่นหอมมาจนถึงโต๊ะ
“คุณทำอะไรเนี่ย หอมจังเลย”
นาวินดมขนมแล้วพยักหน้า
“น่าอร่อย”
สุดนภาเดินตามเข้ามา
“คุณมีอะไรก็รีบว่าไป”
“จะนั่งลงก่อนมั๊ย” นาวินถาม
“อย่ามาลีลา มีอะไรก็รีบพูดมา”
“ก็ได้ คุณตันหยง อยู่ในร่างน้องเมย์ใช่มั้ย”
สุดนภาตะลึงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งทันที
“เห็นไหม ผมบอกแล้ว ว่าให้นั่งก่อน”
“คุณรู้ได้ยังไง”
นาวินเล่าเรื่องทั้งหมดให้สุดนภาฟัง สุดนภานั่งฟังแล้วก็จ๋อยลงเรื่อยๆ
สุดนภาวิ่งลงจากรถนาวินแล้ววิ่งพรวดเข้าไปในบ้านเมริน นาวินวิ่งตามมาแล้วส่ายหน้า
“เฮ้อ...จะรีบไปไหนเดี๋ยวก็หกล้มหกลุกหรอก”
นาวินบ่นแล้วเดินตามสุดนภาเข้าไปในบ้านประภัสสร
ประภัสสรคว้านสละอยู่ในบ้าน เสียงสุดนภาตะโกนเข้ามาว่า “น้องเมย์ น้องเมย์”
สุดนภาวิ่งพรวดพราดเข้ามา
ประภัสสรเห็นก็งง “ครูบี๋”
สุดนภาชะงักแล้วยกมือไหว้ประภัสสร ก่อนจะวิ่งไปคว้ามือเมรินแล้ววิ่งออกไปที่สวน ประภัสสรมองตามอย่างงงๆ นาวินเดินเข้ามามองตามสุดนภาแล้วส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ครูบี๋เค้าคิดถึงน้องเมย์มาก อยากคุยกับน้องเมย์”
“งั้นหรือคะ แปลกจัง”
“ครับแปลก” นาวินแอบบ่น “ยังมีแปลกกว่านี้อีกเยอะ ผมขอตัวนะครับ”
นาวินเดินตามสุดนภาไป ประภัสสรมองตามแล้วส่ายหน้าก่อนจะนั่งคว้านสละต่อ
ในสวนหน้าบ้าน สุดนภายืนหอบ เมรินมองสุดนภาอย่างงงๆ
“แกเป็นอะไรไปบี๋”
“แย่แล้ว แกรู้มั๊ย คุณหมอวีเค้ารู้เรื่องแกหมดแล้ว เค้ารู้ว่าแกเป็นตันหยงในร่างของน้องเมย์”
“แล้วแกรู้ได้ยังไง”
“คุณนาวินบอกชั้น”
“แล้วคุณนาวินรู้ได้ยังไง”
“ไอ้วินมันไปปรึกษาผม” นาวินเดินเข้ามาตอบ
เมรินนิ่งอึ้งแล้วทำหน้าเศร้า สุดนภากับนาวินมองเมรินด้วยความเห็นใจ
สายแก้วเอาของหวานมาเสิร์ฟให้ประภัสสร
“มาแล้วค่ะสละลอยแก้ว แหมคุณภัสนี่ขยันจริงๆนะคะ ค่อยๆคว้าน ไม่ช้ำเลยซักลูก แต่สายแก้วว่า ซื้อทานไม่ง่ายกว่าหรือคะ ดูสิคะ แปะพลาสเตอร์ซะแล้ว”
ประภัสสรยิ้ม “เตรียมให้ชั้นเสร็จหรือยัง ชั้นจะเอาไปฝากพี่ปรางค์”
“แหม คุณภัสนี่ใจดีจังนะคะ ทำไปฝากคุณปรางค์ด้วย” สายแก้วแอบบ่น “คุณปรางค์น่ะร้ายจะตายไป ให้ไปซื้อทานน่ะดีแล้ว”
“สายแก้วจ๊ะ ทีหลังห้ามพูดถึงคุณปรางค์แบบนั้นนะ ยังไงพี่ปรางค์ก็เป็นพี่น้องกับชั้น สายเลือดน่ะตัดกันไม่ขาดหรอก”
สายแก้วจ๋อย “ค่ะ สายแก้วขอโทษ”
“อย่าลืมเตรียมของว่างไปให้แขกด้วยนะ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ คุณภัส แหม น้องเมย์คุยกับคุณวินครูบี๋ เหมือนผู้ใหญ่เลยนะคะ”
ประภัสสรมองออกไปที่สวน
ตันหยง สุดนภา และนาวินนั่งคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ชั้นไม่ตั้งใจจะปิดบังคุณวีหรอกนะคะ ตอนแรกชั้นพยายามจะบอกว่าชั้นไม่ใช่น้องเมย์ แต่ไม่มีใครยอมฟัง” ตันหยงบอก
“ผมเข้าใจครับ บอกตรงๆนะว่าถ้าไม่ได้ยินจากปากเจ้าวี ผมก็ไม่มีทางเชื่อเหมือนกัน”
“น้าวีจะโกรธชั้นหรือเปล่าคะ ที่ชั้นไม่ได้พูดความจริงกับเค้า”
สุดนภากับนาวินมองหน้ากัน
“เค้าจะโทษแกได้ไงล่ะหยง ถ้าจะโทษก็ต้องโทษพรหมลิขิต ล้อเล่นอะไรแบบนี้”
“ผมว่า เจ้าวีก็คงทำใจยากที่จะรับเรื่องนี้ คุณหยงให้เวลาเจ้าวีหน่อยนะครับ แล้วผมจะช่วยพูดกับมันให้” นาวินบอก
“หยงแค่ไม่อยากให้เค้าเข้าใจผิด และเกลียดหยง” ตันหยงพูด
“ให้เวลาเค้าทำใจอีกนิด อย่างที่คุณนาวินบอกเถอะหยง”
“ครับคุณตันหยง เจ้าวีเป็นคนมีเหตุผล ในไม่ช้าเค้าต้องเข้าใจคุณแน่นอน”
ตันหยงเศร้า
ปรางค์ทิพย์นั่งอยู่ในบ้าน ประภัสสรเดินเข้ามาในบ้าน ปรางค์ทิพย์สะดุ้ง
“พี่ปรางค์คะ ทำอะไรอยู่” ประภัสสรถาม
“แม่ภัส เธอมาทำไม”
“ภัสทำสละลอยแก้วมาฝากพี่ปรางค์ค่ะ รู้ว่าพี่ปรางค์ชอบ”
ประภัสสรจัดสละใส่ถ้วยส่งให้ปรางค์ทิพย์ ปรางค์ทิพย์มองมือประภัสสรที่มีพลาสเตอร์ปิดนิ้วอยู่
ปรางค์ทิพย์ซึมลง “นี่เธอทำเองเลยหรือ”
“ภัสจำได้ พี่ปรางค์ชอบสละลอยแก้วมาก พอดีภัสไปเห็นสละน่าทานเลย ซื้อมาปอกเอง เพิ่งทำเสร็จค่ะ ลองชิมดูสิคะพี่ปรางค์”
“ขอบใจมาก ไว้ก่อนเถอะ วันนี้พี่ปวดหัวจัง ขอตัวพักก่อนดีกว่า”
“เป็นอะไรมาหรือเปล่าคะ พี่ปรางค์ ไปโรงพยาบาลให้ตาวีตรวจดูหน่อยดีมั้ย”
ประภัสสรเดินมาจับตัวปรางค์ทิพย์อย่างห่วงใย ปรางค์ทิพย์เบี่ยงตัวหลบ
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอก แค่นอนพักก็หาย”
“พี่ปรางค์คะ ถ้าภัสหรือคุณเมธีทำอะไรล่วงเกินพี่ปรางค์ ภัสต้องกราบขออภัยด้วยนะคะ อย่าถือโทษโกรธภัสกับคุณเมธีเลยนะคะ”
ปรางค์ทิพย์ชะงัก “ช่างมันเถอะ เรื่องมันแล้วไปแล้ว”
ปรางค์ทิพย์เมินหน้า ประภัสสรมองอย่างเสียใจ
“งั้นภัสขอตัวก่อนนะคะ พี่ปรางค์นอนพักมากๆนะคะ จะได้หายเร็วๆ”
ประภัสสรเดินออกไป ปรางค์ทิพย์ค่อยๆหันมามองมือประภัสสรที่ติดพลาสเตอร์ไว้แล้วหันไปมองถ้วยขนมที่วางอยู่บนโต๊ะ ปรางค์ทิพย์ถอนหายใจหนักเพราะเริ่มลังเล
ฉัตรพร ชัยและเพื่อนนั่งอยู่ในบ้าน
“แกเตรียมพร้อมหรือยัง” ฉัตรพรถาม
“โธ่พี่ฉัตร มือชั้นนี้ ไม่ต้องเตรียมหรอก พร้อมตั้งแต่เกิด” ชัยบอก
“ไอ้ขี้คุย อย่าให้พลาดแล้วกัน โกยทรัพย์สินมาให้หมด นังคุณนายหน้าโง่มันให้แผนที่มาแล้ว ทำทั้งทีเอาให้คุ้ม”
“รับรองพี่ฉัตร ไม่ต้องห่วง ว่าแต่นังคุณนายนั่น มันจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า ดูท่าทางมันลังเลนะพี่”
“ช่างหัวมัน แกก็ทำงานของแกไป แผนที่อยู่ในมือเราแล้วนี่”
ฉัตรพรกับชัยมองหน้ากันแล้วยิ้มร้าย
ปรางค์ทิพย์เดินวนไปวนมาในบ้านอย่างใช้ความคิด ปรางค์ทิพย์มองถ้วยขนมของประภัสสรแล้วก็ชะงัก บุญศรีเดินเข้ามาพร้อมปรงแก้วกับปรงขวัญ
ปรางค์ทิพย์ถาม “ไปไหนกันมา”
“แก้วกับขวัญไปทานขนมบ้านน้าภัสมาค่ะ น้าภัสใจดี๊ใจดี ให้ตุ๊กตาเราสองคนมาด้วย”
ปรงแก้วกับปรงขวัญคว้าตุ๊กตามาอวด ปรางค์ทิพย์ชะงัก
“บุญศรี แกพาน้องแก้วน้องขวัญขึ้นไปข้างบน คืนนี้นอนในห้องคุณแก้วคุณขวัญด้วย อย่าออกมาเพ่นพ่านนอกบ้านเข้าใจมั้ย”
“คุณปรางค์มีอะไรหรือเปล่าคะ หน้าซี๊ด ซีด” บุญศรีถาม
“เรื่องของชั้น ปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อยด้วย”
“เจ้าค่ะ คุณปรางค์”
บุญศรีต้อนแก้วกับขวัญขึ้นข้างบน ปรางค์ทิพย์มองตามจนลับตาแล้วถอนหายใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
ฉัตรพรนั่งทำเล็บอยู่อย่างใจเย็น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉัตรพรกับชัยลุกพรวดขึ้นเตรียมพร้อม
“จะให้ลงมือเมื่อไหร่” ฉัตรพรถามปลายสาย
ปรางค์ทิพย์พูดโทรศัพท์
“ชั้นเปลี่ยนใจแล้ว ชั้นขอยกเลิก”
“อ้าว อะไรกันคุณ ทำงี้ได้ไง ชั้นจ้างคนมาช่วยงานแล้วนะ”
“ไม่เป็นไร ชั้นจะชดเชยให้หล่อน แต่งานเอาเป็นว่าชั้นยกเลิก”
“งั้นจ่ายเท่าเดิมไม่ได้แล้ว ต้องมากกว่า”
“นี่แกขู่ชั้นหรือ”
“ไม่ได้ขู่ แต่จะทำจริงๆ ถึงยังไงชั้นก็ไม่ต้องพึ่งแกอยู่อยู่ดี”
“งั้นชั้นจะแจ้งความ”
“เชิญเลย ดูซิว่าชั้นจะเข้าคุกคนเดียวมั๊ย ลำพังแค่ชั้นมันไม่เท่าไหร่หรอก แต่คุณนายน่ะ คนใหญ่คนโตไม่กลัวเสียหน้าก็ให้มันรู้ไป”
ปรางค์ทิพย์วางสายทันที
ฉัตรพรยิ้มร้าย
“ว่าแล้ว อีคุณนายนั่นมันต้องใจไม่กล้าพอ เอ็งลงมือได้เลยไอ้ชัย กวาดให้คุ้ม”
“ได้เลยพี่ฉัตร เรื่องแบบนี้ชั้นถนัดอยู่แล้ว”
ชัยมองหน้าฉัตรพร แล้วสองพี่น้องก็หัวเราะ
ปรางค์ทิพย์เดินไปเดินมาพร้อมกับกุมขมับด้วยความเครียด
“จะทำยังไงดี มันต้องลงมือทำแน่ โธ่เอ๊ย.....”
ปรางค์ทิพย์นิ่งคิดด้วยความร้อนใจ
เมรินยืนเศร้าอยู่ริมหน้าต่างโดยมองไปที่หน้าบ้านเพราะรอปฐวี
“ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับนะ”
ประภัสสรมองเมรินแล้วยิ้ม
“น้าวีคงงานยุ่ง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงได้เจอกัน อย่างอนน้าวีเลยนะ”
“ถึงน้าวีไม่พูดกับเมย์อีก เมย์ก็ไม่โกรธน้าวีหรอกค่ะ”
“แม่บอกหนูแล้วไงคะน้องเมย์ น้าวีไม่มีวันจะโกรธหนูหรอก”
ประภัสสรกอดเมรินไว้ เมรินยิ้มเศร้า
“เข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้สดใสนะคะ”
“ค่ะคุณแม่”
ประภัสสรจัดให้เมรินนอนแล้วเดินออกไปจากห้อง
ปฐวีปิดแฟ้มแล้วหยิบกุญแจรถ เขาคิดแล้วถอนใจเพราะไม่อยากกลับ ปฐวีวางกุญแจลง แล้วนั่งพิงเก้าอี้นิ่งๆ
เสียงโทรศัพท์ดัง ปฐวีกดรับ “พี่ปรางค์ มีธุระอะไรหรือครับ”
ปรางค์ทิพย์คุยโทรศัพท์ในสวนหลังบ้าน
“วี รีบกลับมาบ้านเร็วเข้า”
“อะไรครับพี่ปรางค์ใจเย็นๆก่อน ค่อยๆพูด”
“รีบกลับมาเถอะน่า แค่นี้นะ”
ปฐวีมองโทรศัพท์งงๆ เขารีบลุกขึ้นหยิบกุญแจแล้วออกไปทันที
ชัยและขวดปีนข้ามกำแพงเข้ามาในบ้านประภัสสร ปรางค์ทิพย์แอบดูอยู่ด้วยสีหน้าตกใจ
ชัยกับเพื่อนมองข้างบนห้องก็เห็นไฟห้องประภัสสรกำลังดับ ลุงสายเดินผ่านมา ชัยและขวดรีบหลบ ขวดหยิบมีดสปริงออกมา ชัยรีบจับไว้
“เฮ้ย ไม่ต้องใช้อาวุธ เรามาขโมยไม่ได้มาปล้นโว้ย”
ชัยกับขวดรอจนลุงสายเดินลับตัวไป ปรางค์ทิพย์มีสีหน้าร้อนรน
ชัยกับขวดงัดประตูเปิดเข้ามาในบ้านประภัสสร ทั้งคู่ย่องเข้ามาสำรวจข้าวของ ชัยกับขวดตาโตเมื่อเห็นข้าวของในบ้าน
“ของเพียบ แสดงว่ารวยจริง” ขวดบอก
“นี่แค่น้ำจิ้มโว้ย”
ทั้งสองค่อยๆเดินผ่านไป ปรางค์ทิพย์ที่เดินไปเดินมาด้วยความร้อนรนหน้าบ้าน หันมองหารถปฐวี แล้วก็หันมองในบ้าน
ชัยกับขวดย่องขึ้นบันไดแล้วโผล่ไปหน้าห้องประภัสสร
ประภัสสรนอนอยู่บนเตียง ทั้งสองย่องเข้าหาประภัสสรจากทางด้านหลัง
ประภัสสรรู้สึกว่ามีคนมา “น้องเมย์ ยังไม่นอนหรือคะ”
ประภัสสรตะลึง ชัยกับขวดรีบกระโดดอุดปากประภัสสรไว้ ประภัสสรดิ้นและพยายามร้องช่วยด้วยๆ ขวดหยิบมีดขึ้นมาขู่
“อย่าแหกปากนะ ไม่งั้นกูแทงไส้แตก”
ประภัสสรตาโตด้วยความตกใจ
เมรินงัวเงียลุกขึ้นมาแล้วเงี่ยหูฟัง
ชัยที่อยู่ในห้องประภัสสรหยิบของมาค้น แล้วของก็หล่นลงพื้น
ขวดเตือน “เบาๆสิ วะ เดี๋ยวพ่อมึงก็แห่มาลากคอมึงไปเข้าคุกหรอก”
เมรินชะงัก
“มีอะไรรึเปล่านะ”
เมรินเดินออกไปจากห้อง
เมรินเดินมาเคาะประตูห้องประภัสสร
“คุณแม่ขา คุณแม่”
ประภัสสรดิ้นรน ขวดหันไปพยักหน้าให้ชัยมาจับประภัสสรไว้
“น้องเมย์ ไปให้พ้น หนีไป” ประภัสสรตะโกน
ชัยรีบอุดปากประภัสสรไว้ ประภัสสรดิ้นรน
เมรินประหลาดใจ เธอรีบผลักประตูเข้าไปในห้องของประภัสสร ขวดคว้าตัวเมรินไว้ เมรินตกตะลึง
ปรางค์ทิพย์เดินกระวนกระวายอยู่หน้าบ้าน รถของปฐวีวิ่งเข้ามาจอด ปรางค์ทิพย์รีบไปเกาะประตู
“วี.......พี่เห็นโจรมันเข้าบ้านบ้านแม่ภัส”
“อะไรนะครับ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องกรี๊ดดังลั่น ปฐวีกับปรางค์ทิพย์หันมองขึ้นไปข้างบน ปฐวีกระโจนพรวดเข้าไปในบ้านประภัสสร ปรางค์ทิพย์ยืนมองอย่างร้อนใจ
เมรินทั้งดิ้น ทั้งร้อง และทุบขวด ขวดกระชากเมรินเซไปจนหัวกระแทกพื้น เมรินนิ่ง ขวดตามไปบีบคอจนเมรินตาเหลือก
ประภัสสรตะโกน “กรี๊ดดด อย่าทำลูกชั้น แกจะเอาอะไรก็เอาไป ปล่อยลูกชั้นนะ”
เมรินตาเหลือกเพราะลมหายใจขาดห้วง วิญญาณของตันหยงออกมาจากร่าง ตันหยงมองตัวเองแล้วมองเมรินด้วยความตกใจแล้วจะวิ่งเข้าไปห้าม
“หยุดนะ”
วิญญาณตันหยงจางหายไป
“เฮ้ย ไอ้ขวด เดี่ยวเด็กก็ตายพอดี พอได้แล้ว” ชัยเตือน
ขวดได้สติก็ปล่อยมือจากคอเมริน เมรินสลบไป
ร่างของตันหยงนอนอยู่บนเตียง พิรามนั่งจับมือตันหยงไว้ จู่ๆ มือตันหยงก็กระตุกแล้วบีบมือพิราม พิรามสะดุ้ง
“หยง หยง หยงครับ”
พิรามจ้องมือตันหยงอีกครั้งแต่ไม่มีปฎิกิริยาตอบโต้ ตันหยงนอนนิ่งสนิท พิรามงง
เมรินนอนนิ่งสนิท
“ตายหรือเปล่าวะ เผ่นเถอะ” ชัยบอก
“ไอ้บ้า ยังไม่ได้ของเลย เร็วเข้าเก็บของเข้า” ขวดเร่ง
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนวิ่งขึ้นบันได ชัยกับขวดหันไปมอง
“กูไม่รอแล้ว ไปก่อนละ” ชัยบอก
ชัยรีบวิ่งกระโจนออกนอกหน้าต่างไป ขวดมองอย่างลังเลแล้วก็รีบวิ่งตามไป ประภัสสรรีบคลานเข้าไปกอดเมริน ปฐวีวิ่งพรวดเข้ามาในห้อง
“พี่ภัส น้องเมย์”
“วีช่วยน้องเมย์ด้วย ช่วยเมย์ด้วย”
ปฐวีมองเมรินที่นอนไม่ได้สติแล้วก็เข้าไปอุ้มเมรินไว้
“ผมจะพาน้องเมย์ไปโรงพยาบาล พี่ภัสเดินไหวมั้ยครับ”
“ไม่ต้องห่วงพี่ วีรีบไปเถอะ พี่ไม่เป็นไร”
ปฐวีอุ้มเมรินออกจากห้องไปทันที ประภัสสรลุกตามไป
เมรินนอนนิ่งไม่ได้สติอยู่ในห้องที่โรงพยาบาล หนึ่งฤทัยกับปฐวีนั่งอยู่ข้างๆ ปฐวีนั่งมองเมรินด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าผมไม่กลับช้า คงไม่มีเรื่องแบบนี้”
“วีคะ อย่าโทษตัวเองเลย ตอนนี้น้องเมย์พ้นขีดอันตรายแล้ว”
ปฐวีลุกขึ้นเดินไปทุบผนังเพราะโกรธตัวเอง
“ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย”
หนึ่งฤทัยเดินไปจับมือปฐวีเพื่อปลอบใจ เมรินที่นอนอยู่บนเตียงพูดออกมา
“น้าวี”
ปฐวีชะงักแล้วหันไปมองเมริน
“น้องเมย์”
ปฐวีวิ่งไปกอดเมรินไว้ หนึ่งฤทัยมองตามแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก หนึ่งฤทัยค่อยๆ เดินเลี่ยงออกไปจากห้อง
“น้องเมย์ น้องเมย์ของน้าวีปลอดภัยแล้ว”
เมรินมองไปรอบๆตัว
“ชั้นอยู่ที่ไหน”
ปฐวีอึ้ง “คุณไม่ใช่น้องเมย์”
ปฐวีเบือนหน้าหนี เมรินมองปฐวีด้วยความเศร้าเสียใจและรู้สึกผิด
“ชั้นขอโทษ”
เมรินเมินทำท่าจะร้องไห้ ปฐวีมองด้วยความสงสารแล้วเขาก็ค่อยๆดึงตัวเมรินมากอดไว้ ตันหยงร้องไห้เสียใจในอ้อมกอดของปฐวี
ปรางค์ทิพย์นั่งบีบมือตัวเองเพื่อระงับใจ ปรงทองนั่งหน้าเครียด แม้นวาดกำลังคุยโทรศัพท์ สักครู่แม้นวาดก็วางสาย
“เจ้าเมย์กับแม่ภัสเป็นยังไงบ้าง แม่วาด” ปรงทองถาม
“ปลอดภัยดีค่ะ คุณวีให้พักอยู่ที่โรงพยาบาลก่อน”
“งั้นสั่งให้เตรียมรถ ชั้นอยากออกไปเยี่ยมหลาน”
“คุณวีสั่งว่าอย่าเพิ่งไปเลยค่ะ ไว้พรุ่งนี้ดีกว่า ให้คุณภัสกับคุณเมย์พักให้หายตกใจก่อน”
ปรางค์ทิพย์ร้องไห้โฮ ปรงทองกับแม้นวาดมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
“เป็นอะไรไป แม่ปรางค์ ทุกคนปลอดภัยดีแล้ว อย่าร้อง” ปรงทองงง
“คุณยายขา ปรางค์ขอโทษ ปรางค์ไม่ดีเอง ปรางค์ขอโทษ”
ปรางค์ทิพย์ร้องไห้ฟูมฟาย ปรงทองหันมองแม้นวาดด้วยความแปลกใจ
เมรินนอนหลับอยู่บนเตียง ในขณะที่ปฐวีนั่งมองเมรินนิ่ง
“น้องเมย์ หนูอยู่ที่ไหน” ปฐวีคิดในใจ
เมธีเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาสีหน้าร้อนใจ
“วี น้องเมย์เป็นยังไงบ้าง”
“ปลอดภัยดีครับพี่เมธี หลับไปแล้ว”
เมธีเดินมาที่เตียงแล้วก้มลองจูบแก้มลูกสาวอย่างอ่อนโยน
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วภัสล่ะเป็นยังไงบ้าง” เมธีถามต่อ
“พี่ภัสกับลูกในท้องปลอดภัยดีครับ อยู่ห้องถัดไปนี่เอง” ปฐวีบอก
“งั้นพี่ไปดูภัสก่อนนะวี ฝากน้องเมย์ด้วย”
“ครับ ไม่ต้องห่วง”
เมธีมองเมรินอย่างเป็นห่วงแล้วก็เดินไป ปฐวีถอนหายใจยาวก่อนจะกลับไปนั่งมองเมรินที่โต๊ะ
สายแก้วนั่งเฝ้าประภัสสรที่นอนหลับอยู่ เมธีเปิดประตูเข้ามา
“คุณภัสเป็นยังไงบ้าง”
“เพิ่งหลับไปเมื่อครู่นี้เองค่ะ” สายแก้วบอก
สายแก้วลุกขึ้นเดินเลี่ยงออกไปจากห้อง เมธีเดินไปนั่งที่เตียงแล้วจับมือประภัสสรขึ้นมาแนบแก้ม
“ภัส ผมกลับมาแล้ว”
ประภัสสรลืมตาเห็นเมธีก็โผเข้ากอดเมธีทันที
“คุณเมธี”
“ผมกลับมาแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ ผมดีใจที่คุณไม่เป็นอะไร”
“น้องเมย์ก็ปลอดภัยแล้วค่ะ”
“ผมทราบแล้ว พึ่งมาจากห้องน้องเมย์คุณพักเถอะนะ ผมจะอยู่กับคุณตรงนี้”
เมธีกอดกระชับประภัสสรไว้แน่น