หยกเลือดมังกร ตอนที่ 10
วันใหม่...ดุจแพรนอนอยู่ในห้อง ICU นิ้วของเธอขยับ พึมพำเรียกชื่อหยก
“หยก...หยก...หยก”
เสียงของเธอทำให้พยาบาลได้ยินแล้วรีบเข้ามาดู
“คุณ...คุณคะ...คุณ”
“หยก...หยก...หยก”
“หมอคะ...หมอ...คนไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะ”พยาบาลรีบบอกหมอ
กิ่งเหมยนอนหนุนแขนหยก หลังจากที่เมื่อคืนหลับไปด้วยกัน เธอลุกขึ้นมามองหน้าเขาที่หลับไม่รู้ตัว พอหยกพลิกตัวแล้วอ้าปากหาวจนดูน่าเกลียด เธอก็อดขำไม่ได้ แกล้งเอามือขยี้ผมเล่น...หยกงัวเงีย ปัดมือแล้วพลิกตัวนอนต่อ กิ่งเหมยเห็นว่าเขาน่ารักดีเลยก้มลงจูบที่หน้าผากเบาๆ
“ขอบใจนะหยกที่ช่วยดูแลฉัน ถ้ามีเธออยู่เป็นกำลังใจให้ฉันแบบนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็จะไม่กลัว ฉันจะพร้อมสู้กับมัน”
กิ่งเหมยมองหยกอย่างมีความสุข
หมอตรวจร่างกายดุจแพรที่ได้สติรู้สึกตัวดีแล้ว
“ทุกอย่างโอเคไม่มีปัญหาอะไร ถ้าฟื้นตัวได้เร็วจะได้ย้ายให้ไปอยู่ห้องปกติเร็ว”
“ขอบคุณค่ะหมอ”
หมอยิ้มให้ดุจแพรแล้วออกไป พยาบาลเข้ามาปรับน้ำเกลือให้
“เดี๋ยวดิฉันจะช่วยแจ้งให้ญาติทราบว่าคุณรู้สึกตัวแล้ว”
“อย่าเพิ่งบอกพ่อฉันนะคะ ฉันยังไม่อยากเจอเขาตอนนี้”
พยาบาลสงสัย
“แต่พ่อคุณเป็นห่วงคุณมากนะคะ มาเฝ้าตั้งแต่เมื่อคืนจนเกือบจะถล่มทั้งโรงพยาบาล ถ้าหมอช่วยคุณไม่ได้”
ดุจแพรถอนใจที่พ่อแสดงนิสัยเจ้าพ่อออกมา
“ฉันขอโทษแทนพ่อด้วยค่ะ แต่ฉันยังไม่อยากเจอ หน้าพ่อตอนนี้ คุณช่วยติดต่อคนรู้จักให้ฉันได้มั้ยคะ”
“ใครเหรอคะ”
“เขาชื่อหยกค่ะ”
“ชื่อหยกเหรอคะ ฉันได้ยินคุณเพ้อเรียกเขาตอนที่คุณกำลังรู้สึกตัว”
ดุจแพรชะงัก
“ฉันเพ้อเรียกชื่อเขาเหรอคะ”
หยกรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาไม่เจอกิ่งเหมย มีแต่ผ้าห่มที่เธอห่มไว้ให้เขา
“กิ่งเหมย...กิ่งเหมย”
หยกเดินหาทั้งในห้อง นอกห้องและที่ดาดฟ้าแต่ก็ไม่เจอ
“ไปก็ไม่ยอมบอก”
หยกเป็นห่วงจะออกไปตาม แต่ระหว่างนั้นโทรศัพท์ดังขึ้นพอดี เขารับสายทันที...
“ครับ ผมหยก...คุณดุจแพรต้องการให้ผมไปพบที่โรงพยาบาล...ตอนนี้เลย”
หยกวางสายไปอย่างสงสัย
หยกมาหาดุจแพรที่ห้องพักฟื้นผู้ป่วย
“ว่าไงนะครับ...คุณหนูต้องการให้ผมช่วยพาไปอยู่ที่อื่น”
“ใช่...เพราะฉันไม่อยากเจอป๋าอีก”
“คุณหนูจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร”
“ป๋าโกหกฉัน ฉันจะไม่กลับไปอยู่กับเขา เธอจะช่วยฉันหรือไม่ช่วย”
หยกนิ่งไปครู่
“แล้วอาการคุณหนูล่ะครับ”
“ฉันรู้ว่าตัวเองไหว แล้วหมอก็บอกว่าฉันปลอดภัยแล้ว เธอจะให้ฉันไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ที่บ้านเธอก็ดี เพราะฉันไม่ได้มีใครรู้จักมาก ถ้าฉันไปอยู่กับเธอป๋าคงคิดไม่ถึง”
หยกนิ่งเงียบไปไม่ค่อยเห็นด้วย
“นี่...เธอทำงานให้ฉันอยู่นะ แค่นี้มันไม่ใช่เรื่องยากสักหน่อย”
หยกหนักใจ
“ก็ได้ครับ...คุณหนูรอผมอยู่ที่นี่ เดี๋ยวผมกลับมารับ”
“ขอบใจนะนายหยก ฉันคิดถูกจริงๆที่หวังพึ่งนายได้คนเดียว”
หยกพยักหน้ารับแล้วออกไป ทิ้งให้ดุจแพรอยู่ในห้องคนเดียว
หยกเปิดประตูเดินออกมาจากห้องของดุจแพรแล้วมาหาตงที่ยืนรออยู่แล้ว
“ว่าไง...ตกลงลูกสาวฉันตามแกมาทำไม”
“คุณหนูยังโกรธเสี่ยอยู่ครับ บอกว่าไม่อยากกลับไปอยู่บ้าน”
“ยัยแพร ! นี่โกรธฉันจนคิดจะหนีออกจากบ้านเลยเหรอ”
“เสี่ยปิดบังเรื่องนี้กับคุณหนูมาตลอด พอได้มาเห็นกับตาตัวเองแบบนี้ คุณหนูคงยอมรับ ความจริงได้ยาก”
“รับความจริงว่าฉันเป็นเจ้าพ่อมาเฟียไม่ได้น่ะเหรอ...แกรู้มั้ย ทุกบาททุกสตางค์ที่เลี้ยงมัน จนโต ส่งมันไปเรียนสูงๆถึงเมืองนอก มันก็เงินที่ฉันหามาได้จากไอ้ธุรกิจมาเฟียทั้งนั้น”
“แต่คุณหนูเหมือนผ้าขาว ถึงเสี่ยจะอธิบายให้คุณหนูฟังแบบนั้น คุณหนูก็คงไม่เข้าใจ”
ตงหงุดหงิด
“โธ่เว้ย...แล้วยัยแพรบอกรึเปล่าว่าถ้าไม่อยากกลับไปอยู่กับฉันแล้วอยากหนีไปอยู่ไหน”
หยกนิ่งไปไม่อยากพูด ตงถามย้ำ
“ว่าไง...ลูกสาวฉันมันอยากหนีฉันไปอยู่ที่ไหน”
ตงลากคอหยกเข้ามาในห้อง ดุจแพรตกใจ
“ป๋า!”
ตงผลักหยกเซไปอย่างหัวเสีย แล้วหันมาต่อว่าลูกสาวทันที
“แกทำอย่างนี้กับป๋าได้ยังไง ป๋าเป็นพ่อ เป็นห่วงแกจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่พอ แกฟื้นขึ้นมา แกกลับเรียกหาลูกน้องมากกว่าเรียกหาป๋า”
“ถ้าป๋าจะโกรธแพร ป๋าควรจะถามตัวเองก่อนว่าทำไมแพรถึงต้องทำแบบนี้”
ตงชะงัก
“ยัยแพร!...ฉันถามหน่อยเถอะ ฉันเลี้ยงแกมา เคยขัดใจอะไรแกบ้าง"
"อยากได้อะไรฉัน ประเคนให้หมดทุกอย่าง แต่กับไอ้เรื่องแค่นี้ แกถึงกับคิดจะหนีฉันแล้วไปอยู่กับลูกน้อง ของฉันเนี่ยนะ มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
“มันไม่เกินไปหรอกค่ะป๋า...ถ้าเทียบกับความเจ็บปวดที่แพรถูกคนที่รักที่สุดโกหกหลอกลวงมาทั้งชีวิต”
ดุจแพรพูดไปก็น้ำตาคลอเบ้าอย่างเจ็บปวดเสียใจ ตงถึงกับพูดไม่ออก หยกจะเลี่ยงออกไป
“ผมขอตัวนะครับ เรื่องของพ่อลูก ผมไม่ควรเข้ามายุ่ง”
ดุจแพรสั่งเสียงเข้ม
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะนายหยก...ฉันนึกว่านายจะไว้ใจได้ แต่นายก็โกหกฉันอีกคน”
“ผมเป็นลูกน้องพ่อคุณ ผมทำตามที่คุณบอกไม่ได้หรอกครับคุณหนู”
“นายหยก!”
ดุจแพรโมโหหันไปคว้าแจกันที่ข้างเตียงมาปาใส่ แจกันกระแทกฝาผนังแตกกระจาย
“งั้นนายก็ไปให้พ้นหน้าฉัน รอบตัวฉันมีแต่คนโกหกหลอกลวง เห็นฉันเป็นคนโง่งี่เง่า ไปให้พ้น !”
ตงตวาด
“พอซะทียัยแพร”
“ป๋าไม่ต้องมาสั่งแพร…ต่อไปนี้แพรจะไม่ฟังป๋าอีก”
ตงจำเป็นต้องเข้าไปจับแขนลูกสาว แล้วบีบแรงเพื่อข่มขู่บังคับ
“ถ้าแกไม่หยุดอาละวาดล่ะก็ แกกับฉันจะได้เห็นดีกันแน่”
“ป๋า”
ดุจแพรมองพ่ออย่างเจ็บปวดและเสียใจน้ำตาไหลอาบแก้ม แกะมือพ่อออกแล้วนั่งร้องไห้จนดูน่าสงสาร หยกมองดุจแพรแล้วอดสงสารไม่ได้ แต่ตงก็หันมาสั่ง
“ออกไปได้แล้วไอ้หยก”
“ครับเสี่ย”
หยกเดินออกไปแต่ก็อดเหลียวกลับมามองดุจแพรที่น่าสงสารไม่ได้ เขาจำเป็นต้องทิ้งเธอเอาไว้
คมทวนพักอยู่ในห้องพักผู้ป่วยอีกห้อง หยกเดินเข้ามาไม่พบพ่อเจอแต่พยาบาลที่มาเก็บเตียง
“พ่อผมไปไหนแล้วล่ะครับ”
“คุณคมทวนออกไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วค่ะ”
หยกอึ้งไป
“ออกไปแล้ว”
ในบ้าน...อ่างกับสลึงบ่นที่คมทวนไม่ยอมพักอยู่โรงพยาบาลต่อ
“พี่คมทวนนี่ก็ นอนอยู่โรงพยาบาลสบายๆก็ไม่เอาจะกลับมาทำไมก็ไม่รู้”
“ข้ารำคาญพวกเอ็ง เจอพยาบาลสวยๆไม่ได้ หางกระดิกอย่างกับหมา”
อ่างจ๋อยๆ
“โธ่พี่...นิดนึงน่า แต่ฉันอยากให้พี่นอนอยู่โรงพยาบาลต่อนะ เพราะถ้าไอ้หยกรู้มีหวังมัน ด่าพวกเราเละ”
“ข้าต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลาไปนั่งๆนอนๆอยู่ที่นั่นหรอก”
สลึงขัดขึ้น
“แต่ฉันว่าพี่น่าจะถึงเวลาต้องพักเฉยๆแล้วรอให้ลูกมันเลี้ยงดีกว่านะ”
คมทวนไม่พอใจ
“รอเอาเงินสกปรกมันมาเลี้ยงข้าน่ะเหรอ ข้ายอมป่วยตาย อดตาย อยู่ในกระ ต๊อบเก่าของๆข้านี่แหละ”
อ่างถอนใจ
“เฮ้อ...แล้วพี่จะทำมาหากินอะไร หมอสั่งให้พี่คอยดูแลตัวเอง ไม่งั้นความดันขึ้นมาอีก คราวนี้มีหวังตายจริง ส่งขึ้นเมรุแน่”
“สองมือสองเท้าข้าช่วยเลี้ยงไอ้หยกจนโตมาได้ แล้วทำไมจะใช้เลี้ยงตัวข้าเองไม่ได้ พวกเอ็งไม่ต้องมาพล่ามมากให้ข้ารำคาญ จะไปไหนก็ไป...ไปๆ”
สลึงเตือน
“อย่าหงุดหงิดสิพี่...เดี๋ยวความดันขึ้นอีก”
คมทวนหักนิ้ว
“จะไปดีๆหรือจะให้ข้าโยนพวกเอ็งออกไป”
อ่างกับสลึงเห็นท่าทางคมทวนเอาจริงก็รีบวิ่งออกไป
อ่างกับสลึงเดินบ่นเรื่องคมทวนออกมาหน้าบ้าน
“เวรแล้วมั้ยล่ะ เกือบโดนพี่คมทวนกระทืบแล้ว”
สลึงคิดๆ
“แต่ข้าว่าตอนนี้แกไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถ้าเราช่วยกันรุมแก ข้าว่าแกสู้ไม่ได้หรอก”
อ่างหน้าตื่น
“รุมเลยเหรอ”
“เออ”
อ่างตบกะบาลสลึงทันที
“นี่แน๊ะ...หาเรื่องให้ไอ้หยกมาด่าอีกแล้ว”
“ก็ข้าห่วงพี่เขานี่หว่าจะกลับไปชกมวยก็แก่เกินไป แถมยังดื้อหัวรั้นไม่ยอมให้ไอ้หยก ช่วยอีก สงสัยตกงานอดตายแน่”
“ไอ้หยกมันไม่ปล่อยให้พ่อมันอดตายหรอก...ไป...ทำงานดีกว่า”
อ่างกับสลึงพากันออกไปคล้อยหลังไม่นาน โหงวมายืนแอบฟังอยู่พร้อมกับลูกน้องคนหนึ่ง ก่อนจะหันไปพยักหน้าสั่งงานลูกน้อง
คมทวนมองขวดยาที่ได้มาจากโรงพยาบาล มียาสารพัดที่หมอให้มากิน
“ก็ไอ้แค่ความดันขึ้น ไม่รู้จะให้ยามาทำไมเยอะแยะ กินหมดนี่สงสัยกูอิ่มแทนข้าว”
คมทวนบ่นเรื่องกินยาได้ครู่ ลูกน้องโหงวก็เดินเข้ามา
“สวัสดีจ้ะ”
คมทวน หันมามองอย่างสงสัย
“ใครน่ะ”
“ฉันชื่อทองจ้ะ เป็นญาติกับพราวแสง”
คมทวนชะงัก
“ญาติของพราวแสง”
“ใช่จ้ะ...ฉันมาหาพราวแสง หลานฉันอยู่ที่นี่ใช่มั้ยจ้ะ”
คมทวน นิ่งมองอย่างสงสัย
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพราวแสงมีญาติ”
“เดี๋ยวจ้ะ...ฉันไม่ใช่มิจฉาชีพนะ ฉันเป็นญาติกับพราวแสงจริงๆ ฉันเป็นพี่บุญธรรมของแม่ พราวแสงเลยมีศักดิ์เป็นลุง ไม่ได้เจอหน้าหลานมาตั้งหลายปีแล้ว เพราะฉันไปทำงาน ค้าขายอยู่แถวชายแดน”
คมทวนแปลกใจ
“ลุงเหรอ”
“ใช่...เมื่อ 20 กว่าปีก่อนฉันเคยได้รับจดหมายจากพราวแสงว่ามาพักอยู่ที่นี่ แต่ตอนนั้น ฉันถูกพรรคพวกที่ทำธุรกิจด้วยโกง โดนยัดข้อหาจนต้องติดคุกอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน แต่ตอนนี้ออกมาแล้วมีงานมีการทำเอาตัวรอดได้สบายแล้วก็เลยอยากจะมาเยี่ยม หลานสาวฉันสักหน่อย”
คมทวนฟังชายแปลกหน้าเล่าเป็นคุ้งเป็นแคว ก็ยังไม่ค่อยปักใจเชื่อเท่าไหร่นัก
“งั้นคุณก็คงมาช้าไปแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะ...พราวแสงเพิ่งออกไปเหรอ”
“เปล่า พราวแสงตายไปได้ 20 กว่าปีแล้ว”
ลูกน้องโหงวทำเป็นตกใจ
“หา! หลานฉันตายแล้วเหรอ แล้วเป็นอะไรตายล่ะ”
“วัณโรค”
“เฮ้อ...เวรกรรมจริงๆ ตั้งใจว่าจะมาเยี่ยมมันกับลูกสักหน่อย”
“ลูก...คุณรู้ด้วยเหรอว่าพราวแสงมีลูก”
“รู้สิ...ก็พราวแสงจดหมายไปเล่าให้ฉันฟังว่ากำลังท้องอยู่”
คมทวนฟังแล้วยิ่งสงสัย แต่ระหว่างนั้นหยกเข้ามาได้ยินที่ชายแปลกหน้าคุยอยู่กับพ่อก็สนใจ
“คุณเป็นญาติกับแม่ผมเหรอ”
ลูกน้องโหงวหันไปยิ้มให้หยก
“พราวแสงเป็นแม่เธอเหรอพ่อหนุ่ม”
หยกพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น คมทวนดึงหยกคุยตามลำพังไม่ให้ลูกน้องโหงวได้ยิน
“แกกลับไปอยู่ที่บ้านแก ฉันจะไปไล่ไอ้หมอนั่นให้กลับไป”
“พ่อจะไปไล่เขาทำไม เขาเป็นญาติของแม่นะ”
“แกไม่ต้องมาถามอะไรทั้งนั้น”
“ไม่...พ่อต้องบอกผมมา ทำไมผมถึงคุยกับญาติผมไม่ได้”
คมทวนไม่ยอมพูดอะไรแต่หน้าตาและอาการสงสัยและหนักใจ
“ถ้าพ่อไม่บอกผม ผมก็ไม่ไป”
“โธ่เว้ย! ฉันเล่าให้ฟังก็ได้ ตอนที่พราวแสงอุ้มท้องแกแล้วหนีตายมาหาฉัน ฉันพยายาม ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พราวแสงก็ไม่ยอมบอกอะไร ขอร้องอย่างเดียวว่าห้ามไม่ให้ใคร รู้ว่ารอดชีวิตแล้วมีแก”
“แม่ผมถูกตามฆ่าเหรอ”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ฉันเองก็อยากจะรู้ว่าไอ้คนที่ตามฆ่ามันเป็นใคร แต่ไม่ว่าจะถาม ยังไงพราวแสงก็ไม่ยอมเล่าให้ฟัง”
“ถ้าแม่กำชับพ่อว่าไม่ให้ใครรู้แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่าแม่อยู่ที่นี่ แสดงว่าแม่เขียนจดหมาย ไปหาเขาจริงๆ”
“ฉันยังไม่เชื่อ ยังไงฉันก็ต้องปกป้องแกตามที่แม่แกขอร้องเอาไว้”
“แต่แม่ตายไปนานแล้วนะพ่อ ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับผม มันคงมีไปนานแล้ว”
“นี่แกจะไม่ฟังฉันเหรอ...ยังไงฉันก็ยังไม่ไว้ใจไอ้หมอนั่น”
“ผมขอโทษครับพ่อ แต่พ่อจะมาห้ามไม่ให้ผมอยากรู้จักชีวิตของแม่ไม่ได้”
หยกปัดมือคมทวนแล้ว เดินกลับไปหาญาติแม่ คมทวนไม่พอใจลูกชาย
หยกกลับมาที่ลูกน้องโหงว ที่บีบไหล่มองหยกอย่างชื่นชม
“หน้าตาเอ็งเหมือนแม่ของเอ็งจริงๆ”
“ผมเหมือนแม่จริงๆเหรอครับลุง”
“จริงสิวะ...แม่เอ็งน่ะเป็นคนสวย หน้าตาดี ที่เหมือนที่สุดก็ตรงลูกตานี่แหละ เห็นแล้วอด คิดถึงไม่ได้จริงๆ”
“ขอบคุณครับลุง”
“เฮ้อ...พูดถึงแล้วก็น่าเสียดายที่ลุงโดนกลั่นแกล้งจนต้องไปติดคุก ไม่งั้นคงได้มาช่วย เลี้ยงเอ็งแล้ว”
คมทวนเข้ามาขัด
“ถึงพราวแสงจะบุญน้อยตายตั้งแต่ไอ้หยกมันยังเล็ก แต่ฉันในฐานะ พ่อของมันก็เลี้ยงดูมันมาอย่างดี”
“ฉันต้องขอโทษเอ็งด้วยนะคมทวนที่เข้ามาคุยกับเอ็งแล้วไม่รู้ว่าเอ็งเป็นผัวของพราวแสง เพราะจดหมายที่พราวแสงเขียนไปหาฉันไม่ได้เล่าให้ฟังเรื่องพ่อเด็กเลย”
“งั้นตอนนี้พี่ก็รู้ไว้เลยว่าฉันเองนี่แหละ ที่เป็นพ่อแท้ๆของไอ้หยก มันคือสายเลือด ของฉันกับพราวแสง”
หยกชะงักไปที่พ่อไปอ้างกับลุงว่าตัวเองเป็นพ่อโดยสายเลือด
“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ...โชคดีของพราวแสงที่ได้สามีดีๆอย่างเอ็ง เอ็งก็ด้วยนะไอ้หยกท่าทาง พ่อเอ็งจะรักเอ็งมากทีเดียว ข้าเห็นแล้วก็หมดห่วง”
ลูกน้องโหงวทำทีเป็นชื่นชมแต่แอบเห็นและสงสัยคำพูดและท่าทางที่หยกกับคมทวนมองหน้ากัน
โหงวคุยกับดวงแขเรื่องที่ไปสืบมา
“ลูกน้องฉันสืบมาแล้ว ฉันมั่นใจว่าไอ้คมทวนมันโกหก มันไม่ใช่พ่อแท้ๆของไอ้หยกหรอก”
“ถ้าแกมั่นใจว่ามันไม่ใช่พ่อของเด็กหนุ่มคนนั้น แล้วมันจะโกหกไปเพื่ออะไร”
“เพื่อปกป้องลูกมันไง”
“งั้นลูกน้องแกก็ทำงานพลาดที่ไปทำให้มันสงสัย”
“ไม่ใช่เพราะคนของฉันทำงานพลาดจนทำให้มันสงสัยหรอก แต่มันระวังตัวเรื่องนี้มา ตลอดต่างหาก นั่นแสดงว่าชาติกำเนิดของไอ้หยกมีเงื่อนงำที่เป็นอันตราย”
ดวงแขสนใจ
“เงื่อนงำที่เป็นอันตรายสำหรับนังสาวเสิร์ฟที่ช่วยเล้งให้รอดตายก็มีแค่เรื่องเดียว”
“ใช่...มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น”
“งั้นอย่าเพิ่งให้มานพรู้เรื่องนี้ จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไอ้หยกเป็นสายเลือดที่แท้จริงของเล้ง”
“ทำไมถึงไม่บอกให้มานพรู้”
“ฉันรู้จักนิสัยลูกชายฉันดี มานพอาจจะทำอะไรวู่วามลงไปได้”
ระหว่างนั้นมานพเข้ามาเห็นแม่กำลังคุยกับโหงวอยู่
“แม่...ทำอะไรกันอยู่”
“ตานพ...เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก แม่มาสั่งงานเขาน่ะ”
มานพเข้ามามองทั้งคู่อย่างสงสัย ดวงแขรีบเข้าไปหาลูกแล้วชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง
“แกมาก็ดีแล้ว แม่มีเรื่องจะคุยด้วยอยู่พอดี”
ดวงแขรีบพาลูกชายแยกออกไป
ดวงแขพามานพมาคุยกันอีกมุมหนึ่งของโรงสี
“ตกลงมันยังไงกัน ที่ว่าแกจะไปเยี่ยมลูกสาวเสี่ยตง”
“ไอ้ชาญมันมาบอกเหรอ”
“ฉันจะรู้มายังไงมันไม่สำคัญหรอก แต่มันจริงรึเปล่า”
“ใช่ครับ ผมกำลังจะไปเยี่ยมคุณแพร”
“แกจะไปทำไม ตอนนี้ไอ้เสี่ยตงเป็นอริกับเล้งแล้ว ถ้ามันเห็นว่าลูกชายคู่อริโผล่ไปเยี่ยม ลูกสาวมัน มันไม่เอาแกไว้แน่”
“ผมรู้ครับว่าถ้าผมไป ผมได้เจ็บตัวแน่ แต่ผมว่านี่เป็นโอกาสดีที่ผมจะเรียกคะแนนความ น่าสงสารได้...หึ...ถ้าแลกกับการเจ็บตัวนิดๆหน่อยๆ ผมถือว่าคุ้ม”
มานพพูดไปก็ยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ ดวงแขมองอย่างแปลกใจว่าลูกชายคิดอะไรอยู่
ดุจแพรเอาแต่นอนเงียบๆไม่ยอมพูดกับพ่อและไม่แม้แต่จะมองหน้า
“ตกลงแกจะไม่พูดกับป๋าจริงๆใช่มั้ยยัยแพร”
ดุจแพรเงียบ
“ยัยแพร...ถ้าแกคิดว่าสิ่งที่ป๋าทำมันเป็นเรื่องผิดสาหัสสากรรจ์นักล่ะก็ แกไปตามตำรวจ มาลากคอป๋าเลย ให้ป๋าไปติดคุกไปตลอดชีวิต แกจะได้สบายใจ”
ดุจแพรอึ้ง
“ป๋า!”
“ทำสิ...” ตงเอาโทรศัพท์ยื่นให้ “ฉันยอมแก่ตายในคุก ยอมอยู่อย่างหมาจนตรอก ถ้ามันเป็น ความต้องการของลูกสาวคนเดียวของฉัน”
ดุจแพรมองโทรศัพท์ในมือพ่อ แล้วปัดออกไปพร้อมน้ำตาที่เอ่ออย่างเจ็บปวด
“แพรอยากอยู่คนเดียว...ป๋าไปได้แล้ว”
“ยัยแพร”
“ไปสิ...แพรบอกว่าอยากอยู่คนเดียว...ฮือๆๆๆ”
“ก็ได้...ป๋าตามใจลูกมาตลอดอยู่แล้ว เพราะป๋าสงสารที่แพรต้องโตมาอย่างกำพร้าแม่ และป๋าก็สัญญากับแม่ของแพรเอาไว้ด้วยว่าจะเลี้ยงแพรให้มีความสุขที่สุด”
ตงเดินออกไป ดุจแพรหันมาร้องไห้เสียใจ
ตงเดินออกมาที่หน้าห้อง เก่งรออยู่กับลูกน้องอีกคน ตงชี้เก่ง
“แกไปกับฉัน...ส่วนแกเฝ้าที่นี่เอาไว้ คอยดูลูกสาวฉันให้ดี”
“สภาพคุณหนูตอนนี้ไม่น่าจะหนีไปได้นะครับเสี่ย”
“ฉันเลี้ยงลูกสาวฉันมาตั้งแต่เมียฉันตาย ฉันรู้จักนิสัยลูกสาวฉันดี เรื่องดื้อรั้นไม่มีใครเกิน”
ลูกน้องรับคำ
“ครับเสี่ย ผมจะเฝ้าอยู่หน้าประตู รับรองคุณหนูไปไหนไม่ได้แน่”
“ไม่ได้...ฉันไม่อยากให้ลูกรู้ว่าฉันให้คนมาเฝ้า แกคอยดูอยู่ห่างๆก็พอ”
“ครับเสี่ย” ลูกน้องเลี่ยงไปห่างๆ
อาม่าเอายาจีนร้อนๆที่เพิ่งต้มเสร็จมาให้กิ่งเหมย
“เดี๋ยวลื้อกินยาที่อาม่าเพิ่งต้มเสร็จนี่นะ กินตอนร้อนๆนี่แหละ ที่เจ็บคออยู่จะได้หายไวๆ”
“ขอบคุณค่ะอาม่า”
“กินสิ...กินตอนนี้เลย”
กิ่งเหมยยกถ้วยยามาแล้วได้กลิ่นฉุนจนอยากจะเบือนหน้าหนี ส้มเช้งแอบขำ อาม่าหันไปดุ
“ขำอะไรของลื้อหา...อาส้มเช้ง”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะอาม่า ขำไอ้เหมยมันกินยา กินสิแก...กินให้หมดนะจะได้หายไวๆ”
กิ่งเหมยมองเพื่อนอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะยกถ้วยยากินจนหมดอย่างพะอืดพะอม
“ถ้วยเดียวพอแล้วนะคะอาม่า ถึงจะเคยกินมาตั้งแต่เด็ก แต่เหมยก็ไม่เคยชอบเลย”
“ก็มันยาจีนนี่ จะไปกินง่ายเหมือนยาฝรั่งได้ยังไง แต่รับรองว่าลื้อหายไวกว่าแน่ เดี๋ยวอา ม่าไปต้มมาให้อีกนะ”
อาม่ารีบเดินเข้าไปในครัว กิ่งเหมยหน้าเสีย ส้มเช้งแอบขำไม่หยุด กิ่งเหมยหันมามองอย่างไม่พอใจ
ธงรบถือถุงของกินเต็มสองมือตั้งใจมาเยี่ยมกิ่งเหมย เดินมาตามทางเดินในตรอก เขานึกถึงตอนที่เขามาหากิ่งเหมยเมื่อคืนแล้วพบกับอาม่าคุยกันที่หน้าบ้าน
“อาเหมยเพิ่งกลับมา แต่น่าจะหลับไปแล้วค่ะผู้หมวด พอดีไม่ค่อยสบาย”
“ไม่สบายเป็นอะไรเหรอครับ”
“บ่นๆว่าเป็นหวัดเจ็บคอ หมวดมีธุระอะไรรึเปล่า”
“ผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมน่ะครับ แต่ไว้พรุ่งนี้ผมมาเยี่ยมกิ่งเหมยใหม่ก็ได้ครับ”
อาม่ายิ้มให้ธงรบที่มีความเป็นห่วงหลานสาว
ธงรบกำลังจะมาถึงบ้านกิ่งเหมย แต่ระหว่างนั้นเห็นกิ่งเหมยไล่หยิกส้มเช้งออกมาที่หน้าบ้าน
“โอ๊ยแก...ฉันช่วยไม่ให้แกถูกอาม่าด่านะ แต่แกมาเล่นฉันทำไมเนี่ย”
“ยังถามอีก”
“ช่วยไม่ได้นี่หว่าถ้าไม่อยากให้อาม่ารู้ว่าแกไปค้างอ้างแรมกับไอ้หยก แกก็ต้องตามน้ำ”
“แกก็...พูดซะฉันเสียหาย ถ้าใครมาได้ยินเข้าเขาจะคิดว่ายังไง”
“ฉันพูดผิดตรงไหน แกไปค้างกับไอ้หยกแล้วให้ฉันโกหกอาม่าให้จริงๆนี่”
“มันก็ใช่...แต่ว่า...มันไม่ใช่อย่างที่แกเข้าใจ”
ธงรบที่เข้ามาได้ยินทุกคำพูดก็ชะงักอึ้ง
“แล้วแกจะให้ฉันเข้าใจว่ายังไง เพราะตั้งแต่กลับมาจากบ้านไอ้หยก ฉันก็เห็นแกอารมณ์ ดี ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหมือนคนที่โดนปรนเปรอด้วยความสุขมาเต็มที่งั้นแหละ”
กิ่งเหมยหน้าแดง
“ไอ้บ้า...พูดซะอย่างกับฉันกับหยกไปทำ...”
หยกเลือดมังกร ตอนที่ 10 (ต่อ)
ส้มเช้งสวน
“ใช่มั้ยล่ะ”
“ไม่ใช่!”
“ไม่เชื่อ”
“เอ๊ะ...ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”
“งั้นก็เล่ามาสิว่ามันทำอะไรแก แกถึงต้องอายหน้าแดงแบบนั้น”
“หยกกับฉันก็แค่...”
กิ่งเหมยไม่ทันพูดขึ้นมา ธงรบก็กระแอมขัดจังหวะเพราะไม่อยากทนฟังอีก ส้มเช้งหันไปมอง
“อ้าว...หมวดธงรบ”
“ขอโทษนะครับที่มาขัดจังหวะ พอดีผมได้คุยกับอาม่า ทราบว่าคุณกิ่งเหมยไม่ค่อยสบาย ผมก็เลยซื้อของมาเยี่ยม...นี่ครับ”
“ขอบคุณค่ะหมวด เชิญข้างในบ้านก่อนสิคะ”
“ไม่ล่ะครับเห็นคุณกิ่งเหมยสบายดีแล้วผมก็หายห่วง ขอตัวนะครับผมมีคดีต้องไปเคลียร์”
ธงรบตัดบทสั้นๆแล้วรีบเดินออกไป กิ่งเหมยมองตามอย่างแปลกใจ
“หมวดดูแปลกๆนะส้มเช้ง”
“อาการแบบนี้แสดงว่า...ที่เราคุยกันเมื่อกี้...หมวดคงได้ยิน”
กิ่งเหมยหน้าเหวอ
“เรื่องฉันกับหยกน่ะเหรอ”
“แหงสิแก...หมวดเขาแสดงออกว่าชอบแกตั้งแต่ไหนแต่ไหนแล้วนี่...เฮ้อ เห็นแล้วก็น่า สงสาร ตำรวจดีๆมีอนาคตแต่ดันสู้กุ๊ยไม่ได้”
ดุจแพรนอนอยู่ในห้องเหม่อคิดเรื่องของตัวเองกับพ่ออยู่ ระหว่างนั้นอู๊ดดี้โผล่เข้ามาพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่
“สวัสดีจ้ะแพร”
“อู๊ดดี้”
“เป็นยังไงบ้าง พอฉันรู้เรื่องจากป๋าเธอว่าเธอประสบอุบัติเหตุ ฉันก็รีบแคนเซิลเรื่องซื้อทีม ฟุตบอลที่อังกฤษทันที กลัวจะไม่มีใครอยู่ดูแลเธอ”
“ป๋าบอกว่าฉันประสบอุบัติเหตุเหรอ”
“ใช่...รถเธอชนสะพานไม่ใช่เหรอ”
ดุจแพรนิ่งไป อู๊ดดี้เข้าไปกุมมือ
“โธ่...ลูกปลาน้อยของฉัน เธอคงจะเจ็บมากจนจำอะไรไม่ได้”
ดุจแพรรีบแกะมืออู๊ดดี้ออก
“ใช่...ฉันยังมึนๆจำอะไรไม่ค่อยได้ ขอบใจมากนะที่มาเยี่ยม”
“ขอบใจทำไม...เราเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทกันไม่ใช่เหรอ วันนี้ป๋าเธองานยุ่ง ฉันก็เลย อาสามาอยู่เป็นเพื่อน อยู่คุยกับเธอรับรองว่าเธอจะต้องไม่เบื่อ นี่...ฉันเอาดอกไม้มา ให้ด้วยนะ ฉันรู้ว่าเธอชอบ”
ดุจแพรเห็นช่อดอกไม้ที่อู๊ดดี้เอามาให้ แล้วแอบทำหน้าเซ็งและเบื่อมาก
หยกเดินเข้ามาในตรอกกำลังเลี้ยวตรงหัวมุม แต่ต้องชะงักเมื่อเจอธงรบยืนกอดอกรออยู่แล้ว
“ฉันไม่เข้าใจว่าไอ้กุ๊ยอย่างแกมีดีอะไรนักหนา ถึงทำให้กิ่งเหมยเห็นกงจักรเป็นดอกบัว”
“นี่หมวดกำลังหาเรื่องอะไรผมอีก”
“ฉันเป็นห่วงกิ่งเหมย ฉันถึงต้องมาดักเจอแก”
“ถ้าหมวดไม่มีข้อหาจะเล่นงานผมแล้ว ก็อย่าเอาเรื่องกิ่งเหมยมาเป็นข้ออ้างเล่นงานผม เลย ต่างคนต่างอยู่กันดีกว่า”
หยกบอกแล้วจะเดินไปต่อ แต่ธงรบจับไหล่กระชากกลับมา
“ฉันยังพูดกับแกไม่จบ”
“หมวดเป็นตำรวจนะครับ ควรจะยุ่งแต่กับเรื่องความปลอดภัยของประชาชน ไม่ใช่มา สอดรู้สอดเห็นยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของชาวบ้าน”
“แก! ฉันเป็นห่วงกิ่งเหมยต่างหาก เธอเป็นผู้หญิงที่ดี ที่ควรจะมีคนดีๆมาปกป้องดูแล ไม่ใช่กุ๊ยอย่างแก”
“หมวดอย่ามาตัดสินผมว่าผม ไม่คู่ควรกับกิ่งเหมยเพียงเพราะว่าหมวดใส่เครื่องแบบ คนจะดีหรือไม่ดีมันวัดกันที่นี่” หยกเอากำปั้นทุบที่หน้าอกตรงหัวใจ “และคนอย่างผมนี่แหละ ที่จะปกป้องกิ่งเหมยได้”
ธงรบยิ้มหยัน
“คำพูดแกมันฟังดูดี แต่แกจะทำได้อย่างที่พูดเหรอ ฉันได้ยินมาแล้วว่าตอนนี้แกงค์ ของพวกแกกำลังมีเรื่องข้ามแกงค์กันอยู่ ลำพังแกเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ เพราะถ้า แกพลาดเมื่อไหร่...คนที่เสียใจที่สุดก็คือกิ่งเหมย”
ธงรบตะคอกใส่หน้าแล้วเดินกระแทกไหล่หยกออกไป หยกนิ่งแล้วมองตาม คำพูดของหมอนั่นก็มีส่วนถูก
อู๊ดดี้เอาดอกไม้จัดใส่แจกันให้ดุจแพร ปากก็พูดพร่ำไม่หยุดสร้างแต่ความน่ารำคาญให้เธอ
“ป๋าเธอบอกว่าถ้าเธอหายดีแล้ว จะให้เธอไปพักผ่อนที่อังกฤษกับฉัน เพราะอีกหน่อยพอ ฉันติดต่อซื้อทีมฟุตบอลเสร็จ เราจะได้ไปเชียร์ติดขอบสนามด้วยกัน”
“ฉันไม่ชอบดูบอล”
“ทำไมล่ะลูกปลาน้อย...ใครๆก็ชอบดูบอลกันนะ”
“นี่...ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเรียกฉันว่าลูกปลาน้อยอีก”
“ฉันขอโทษ...มันติดปากฉันน่ะ ก็เรียกมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว”
ดุจแพรแอบถอนหายใจเซ็งมากแล้วคิดอะไรได้
“ฉันถามหน่อยสิอู๊ดดี้...เธอเข้ามาเยี่ยมฉัน เห็นลูกน้องป๋าเฝ้าอยู่รึเปล่า”
“เห็นสิ...เดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้อง”
ดุจแพรนิ่งไปครุ่นคิดอยู่ครู่
“อู๊ดดี้จ้ะ...ฉันวานอะไรหน่อยสิ”
“สั่งมาได้เลยลูกปลาน้อย เธอจะให้ฉันไปทำอะไรที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไร บอกมาคำเดียว ฉันเคลียร์ให้ได้หมด”
ดุจแพรยิ้มรับอย่างมีเลศนัย
อู๊ดดี้เดินออกมาคุยกับลูกน้องตงที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง
“คุณหนูให้ผมกลับไปเอามือถือมาให้เหรอครับ”
“ใช่...ตอนนี้เลย เพราะคุณแพรต้องใช้”
“แต่เสี่ยสั่งให้ผมเฝ้าอยู่ที่นี่”
“จะต้องเฝ้าทำไม ก็ฉันอยู่เฝ้าอยู่แล้ว”
ลูกน้องนิ่งไป
“ยังมามองหน้าอีก...รีบไปสิ”
“ครับๆ
ลูกน้องรีบออกไป อู๊ดดี้ยิ้มที่ได้ทำตามความต้องการของดุจแพร
อู๊ดดี้กลับเข้ามาในห้องอย่างร่าเริง
“ลูกปลาน้อย...ฉันจัดการให้แล้วนะ”
อู๊ดดี้เรียกไป แต่ไม่เห็นตัวดุจแพรเพราะเธอหายออกไปจากห้อง อย่างไร้ร่องรอย
“ลูกปลาน้อย...เฮ้ย...หายไปไหนแล้ววะ”
ดุจแพรรีบเดินออกมาทั้งยังอยู่ในชุดคนไข้ มือกุมแขนที่ดึงเข็มน้ำเกลือออกมา สภาพร่างกายของ เธอไม่เต็มร้อยเพราะยังเจ็บแผลที่เพิ่งผ่าตัดไป แต่ก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว เธอฝืนเดินต่อจนเกือบจะล้ม ระห่างนั้นมานพเข้ามาประครองเธอเอาไว้
“เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณแพร”
“คุณมานพ”
“นี่คุณออกมาเดินอยู่แถวนี้ได้ยังไงครับ คุณควรจะพักอยู่ในห้องไม่ใช่เหรอ”
“คือว่าฉัน...”
ดุจแพรไม่รู้ว่าจะบอกยังไงดี ระหว่างนั้นหันไปเห็นอู๊ดดี้ออกมาเดินตามหาถามหาเธอกับพยาบาลดุจแพรรีบบอก
“คุณมานพคะ...ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ คุณช่วยพาฉันออกไปได้มั้ยคะ”
“แต่ว่าคุณยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอ”
“ฉันยังไหวค่ะ แต่ฉันอยู่ไม่ได้จริงๆ ช่วยพาฉันไปเถอะนะคะ...ฉันขอร้อง”
มานพนิ่งมองดุจแพรอย่างตัดสินใจ
ในศาลเจ้า...กิ่งเหมยทำแจกกันตกแตก อาม่ารีบเข้ามาดู
“ไอ้หย๋า...อาเหมย...ทำอะไรของลื้อ ทำไมไม่ระวัง แตกเลอะเทอะไปหมดแล้ว”
“เอ่อ...เหมยขอโทษค่ะอาม่า”
“อาม่าว่าถ้าลื้อยังไม่ดีขึ้นก็กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวอาม่าเก็บเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะอาม่า เหมยแค่ไม่ทันระวัง เดี๋ยวเหมยรีบเก็บให้ ใครมาใครไปจะได้ไม่ เหยียบแล้วบาดเท้า อาม่าไปเอาแจกันใบใหม่มาเปลี่ยนเถอะค่ะ”
“ก็ได้ งั้นลื้อจัดการตรงนี้ไปนะ”
อาม่าเดินออกไป กิ่งเหมยก้มลงพยายามจะเก็บเศษแจกันที่เกลื่อนพื้น แต่สายตาที่พร่าเลือนจนมองไม่ค่อยชัด ทำให้มือเธอพลาดไปโดนเศษแจกันบาดนิ้วจนสะดุ้งเจ็บ เลือดซิบๆเป็นแผล หยกเข้ามาจับมือแล้วเช็ดเลือดให้
“ให้ฉันช่วยเธอเองดีกว่า”
หยกเอาพลาสเตอร์มาพันที่นิ้วให้กิ่งเหมยอยู่ที่มุมหนึ่งบริเวณศาลเจ้า
“เธอทำอย่างนี้ทำไม นับวันอาการของเธอมันยิ่งแย่ลง อาม่าจะต้องรู้ความจริง”
“ฉันรู้ว่าฉันปิดอาม่าได้ไม่นาน แต่จนกว่าฉันจะจัดการเรื่องที่คาใจฉันเสร็จ ฉันจะให้ อาม่าเป็นห่วงฉันไม่ได้”
หยกแปลกใจ
“เธอคาใจเรื่องอะไรอยู่ บอกฉันมาสิ ฉันจะเป็นคนจัดการให้เธอเอง”
“ฉันบอกไม่ได้หรอกหยก”
“ทำไม...เธอไม่ไว้ใจฉันเหรอ เธอก็รู้ว่าฉันคิดกับเธอยังไง”
กิ่งเหมยชะงัก
“หยก…“
อาม่าเข้ามาพอดี
“อ้าวอาหยก...นี่ลื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
หยกชะงัก
“อาม่า...เอ่อ...คือ”
กิ่งเหมยแอบเอามือหยิกหลังเขาไม่ให้พูดเรื่องตัวเองให้อาม่ารู้ หยกสะดุ้งเจ็บ
“เมื่อกี้นี่เองครับอาม่า”
อาม่าสงสัย
“พวกลื้อมีลับลมคมนัยอะไรกัน”
กิ่งเหมยรีบปฏิเสธ
“เปล่าหรอกค่ะอาม่า ไม่มีอะไร”
อาม่ายิ่งสงสัย
“อย่ามาโกหกอั้วนะอาเหมย เวลาพวกลื้อเป็นแบบนี้ทีไร เป็นต้องมีเรื่อง ให้อั้วต้องปวดหัวทุกที”
“ไม่มีอะไรจริงๆค่ะอาม่า เหมยก็แค่หาเรื่องแกล้งไอ้หยกไปงั้นแหละ ใช่มั้ยหยก”
“เอ่อ...ครับอาม่า”
“ไม่มีอะไรก็ดี ลื้อสองคนน่ะโตมาด้วยกันเป็นเพื่อนกันก็ต้องช่วยเหลือดูแลกัน โดยเฉพาะ ลื้อนะไอ้หยก หมู่นี้อาเหมยไม่สบายบ่อยๆ ลื้อต้องเลิกแกล้งอีซะที”
“ครับอาม่า”
“อาเหมย...เดี๋ยวลื้อคุยกับอาหยกเสร็จแล้วเอาใบเซียมซีไปเติมให้หน่อยนะ”
“ค่ะอาม่า”
อาม่าเข้าไปทำงานต่อ กิ่งเหมยแอบโล่งอกจนหยกต้องจับมือเธอมาบีบหน้าตาจริงจัง
“มานี่เลย...ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอทำแบบนี้อีกแล้ว”
หยกพากิ่งเหมยแยกมาคุยที่มุมหนึ่งในตรอกที่ปลอดคน เขาบีบไหล่เธอคะยั้นคะยอถาม
“เธอต้องบอกฉันมา...เธอกำลังเสี่ยงทำแบบนี้เพื่ออะไร”
“ฉันบอกเธอไม่ได้”
“งั้นฉันจะกลับไปบอกอาม่าว่าเธอกำลังจะตาบอด”
กิ่งเหมยตกใจ
“อย่านะหยก...ฉันขอร้องล่ะ”
“เพราะฉันเป็นห่วงเธอนะ ฉันไม่อยากเห็นเธอต้องแบกรับเรื่องหนักๆไว้คนเดียว”
กิ่งเหมยเงียบไปอย่างเสียใจ
“บอกฉันมาสิกิ่งเหมย...ให้ฉันได้ช่วยเธอ ทำไมเธอถึงต้องเสี่ยงเข้าไปหาเสี่ยตง...ทำไม”
“หยก...ฉันสงสัยว่าเสี่ยตงจะอยู่เบื้องหลังการตายของแม่ฉันกับอากง”
กิ่งเหมยพูดไปก็น้ำตาคลอ หยกตกใจ
“จริงเหรอกิ่งเหมย”
“อาม่าพยายามปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้ฉันรู้ตั้งแต่วันที่เสี่ยตงมาที่ศาลเจ้า เพราะกลัวเสี่ยตง ตามมาเล่นงานเลยสั่งไม่ให้ฉันยุ่งกับเรื่องนี้ ถ้าฉันไม่ทำอะไรเลยอาม่าก็ต้องพาฉันหนี ไปอีก...ฉันสงสารอาม่า ไม่อยากให้ท่านต้องอยู่กับความกลัวไปทั้งชีวิต”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะหาความจริงให้เธอเอง”
“ไม่ต้องหรอกหยกนี่เป็นปัญหาของฉัน”
“แต่ถ้าฉันปกป้องคนที่ฉันรักไม่ได้ แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร”
กิ่งเหมยอึ้งไป
“หยก…”
หยกพยักหน้ารับว่าเธอเข้าใจถูกแล้ว กิ่งเหมยน้ำตาคลอ หยกค่อยๆเช็ดน้ำตาให้เธออย่างทะนุถนอม
“รู้ไว้นะว่าเวลาที่ฉันเห็นเธอเจ็บ ฉันเจ็บยิ่งกว่าเธอหลายเท่า”
หยกค่อยเชยคางหญิงสาวขึ้นมาแล้วจูบที่ริมฝีปาก กิ่งเหมยหลับตารับจูบจากชายหนุ่มอย่างไม่ปฏิเสธ
ตงลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ขณะกำลังนั่งกินมือเที่ยงอยู่ในภัตตาคารอาหารจีน
“ว่าไงนะอู๊ดดี้...ยัยแพรน่ะเหรอหนีออกไปจากโรงพยาบาล โธ่เว้ย”
ตงกดปิดสายแล้วหันมาอารมณ์ฉุนเฉียว เก่งฟังแล้วสงสัย
“คุณหนูยังไม่หายดีแบบนั้น จะหนีออกไปจากโรงพยาบาลได้ยังไงครับเสี่ย”
“ต้องมีคนช่วยพายัยแพรออกไปแน่ แกสั่งคนของเราให้ออกตามหาแล้วพาตัวลูกสาวฉัน กลับมาให้ได้ แล้วถ้าเจอตัวไอ้คนที่พาลูกฉันหนีอยู่ด้วยก็กระทืบมันแล้วลากมาให้ฉัน”
“ครับเสี่ย”
เก่งเดินออกไป ตงหงุดหงิดสุดๆ
“ไอ้ลูกไม่รักดี”
หยกกับกิ่งเหมยจูบกันเนิ่นนาน สักครู่เขาก็ถอนริมฝีปากออกมาแล้วสบตาเธออย่างรักใคร่ ระหว่างนั้น โทรศัพท์ของเขาดังขัดจังหวะ หยกหยิบมาดูเบอร์ที่โทรเข้ามาแล้วสงสัยก่อนจะถอยมารับสาย
“ว่าไง...คุณแพรน่ะเหรอหนีออกจากโรงพยาบาล ได้...ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
หยกกดปิดสาย กิ่งเหมยเข้ามาจับมือ
“รีบไปตามหาคุณแพรเถอะ ฉันเชื่อว่าสภาพจิตใจของเธอตอนนี้เหมือนแก้วร้าวที่ใกล้จะ แตกเต็มทนแล้ว”
“ฉันจะพาเธอไปส่ง”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ห่วงคุณแพรเถอะ คุณแพรไม่มีใครที่พอจะคุยและไว้ใจได้เท่ากับ ฉันกับเธอ…เพราะฉะนั้นเธอต้องช่วยคุณแพรนะหยก”
หยกพยักหน้ารับแล้วออกไป กิ่งเหมยมองตามอย่างเป็นห่วงดุจแพร
ดุจแพรเอาแต่นั่งเงียบน้ำตาซึมอยู่ที่ม้านั่งริมแม่น้ำ ทั้งที่ยังอยู่ในชุดคนไข้โรงพยาบาล มานพเข้ามาพร้อมยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
“ถ้ามีอะไรพอให้ผมช่วยทำให้คุณสบายใจได้ บอกมาเลยนะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะคุณมานพ แต่แค่นี้ฉันก็รบกวนคุณมากพอแล้ว”
“ไม่ถือเป็นการรบกวนหรอกครับ ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ ยิ่งมารู้ว่าที่คุณต้องมาเจ็บแบบนี้ เพราะพ่อผมมีส่วนรู้เห็นด้วย ผมยิ่งรู้สึกผิดและต้องรับผิดชอบต่อคุณ”
มานพทำเนียนๆถือโอกาสจับมือดุจแพรขึ้นมากุม
“เพราะผู้ใหญ่ของเรามีปัญหากัน ผมกลัวว่าคุณจะเกลียดผมไปด้วย”
ดุจแพรแกะมือออก
“ไม่หรอกค่ะ ฉันแยกแยะออกว่าปัญหามาจากใคร”
ระหว่างนั้นลูกน้องตงพากันเข้ามา แล้วกระชากตัวมานพออกจากดุจแพร
“เฮ้ย...ปล่อยฉันนะเว้ย” มานพโวยวาย
เก่งไม่ฟังชกท้องมานพทีเดียวจุกตัวงอ ดุจแพรตวาดลั่น
“นี่นายเก่ง...ปล่อยคุณมานพนะ”
“เสี่ยสั่งให้ผมพาคุณหนูกลับ...เฮ้ย...แกสองคนพาคุณหนูไปก่อน”
เก่งสั่งให้ลูกน้องที่มาด้วยพาตัวดุจแพรออกไป
“คุณแพร!!”
มานพพยายามจะตาม แต่เจอเก่งชกเข้าที่ท้องอีกทีจนจุกตัวงอ เก่งกระชากหัวขึ้นมายิ้มร้าย
“คุณมานพ...นี่ถ้าเสี่ยรู้ว่าคุณเป็นคนพาคุณหนูหนีออกมาล่ะก็...เสี่ยชอบใจแน่…”
ดุจแพรถูกพาตัวมาตามทางเดินกำลังจะพาขึ้นรถ
“ปล่อยฉันนะ...บอกให้ปล่อย”
ดุจแพรจับมือลูกน้องคนหนึ่งมากัดทำให้มันต้องรีบปล่อยมือ ดุจแพรจะวิ่งกลับไปแต่ชะงักเมื่อเจอหยก
“หยก !ช่วยฉันด้วย ฉันไม่อยากกลับไป”
“แต่สภาพคุณหนูตอนนี้ต้องการการดูแลนะครับ”
“ฉันตัดสินใจแล้วต่อไปนี้ฉันจะดูแลตัวเอง ฉันไม่อยากอยู่ได้ด้วยเงินสกปรกของป๋า”
“การใช้ชีวิตด้วยตัวเองตามลำพัง มันไม่ง่ายอย่างที่คุณหนูคิดหรอกครับ”
“แล้วทำไมทั้งเธอทั้งกิ่งเหมยถึงทำได้ล่ะ ทั้งๆที่พวกเธอก็กำพร้าเหมือนกัน ถ้าพวกเธอ ทำได้ฉันก็ทำได้”
ดุจแพรยืนยันเสียงแข็ง ลูกน้องตงเข้ามาจับแขนดุจแพรจพาไปขึ้นรถ
“ปล่อยนะ...หยก...เธอช่วยฉันไม่ได้เหรอ...หยก...หยก”
หยกเห็นดุจแพรกำลังจะถูกพาตัวไปเลยตัดสินใจ
“ปล่อยคุณหนู”
“แกอย่ามายุ่งดีกว่าไอ้หยก เสี่ยสั่งให้พาคุณหนูกลับไป”
“ฉันจะพาคุณหนูกลับไปเอง”
ลูกน้องทั้งคู่นิ่งไปมองหน้ากันแล้วไม่ฟังจะพาดุจแพรไป
“หยก...หยก” ดุจแพรอ้อนวอน
หยกตัดสินใจตามไปกระชากคอเสื้อพวกมันมามาเล่นงาน ซัดด้วยเชิงมวยสองสามหมัดพวกมันก็หมอบ เขาหันไปมองดุจแพรด้วยแววตาสงสาร
หยกประครองพาดุจแพรเข้ามาในที่พักของเขาบนดาดฟ้า
“คุณหนูเคยมาที่นี่แล้ว อะไรอยู่ตรงไหนก็คงรู้แล้ว”
ดุจแพร พยักหน้ารับ
“ขอบใจนะหยก”
“อย่าเพิ่งมาขอบใจอะไรผมตอนนี้เลย แผลคุณหนูยังไม่หายดี ถ้าเป็นอะไรหนักหนาขึ้น มา ผมคงต้องพากลับไปโรงพยาบาล”
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยากอยู่ที่นั่น เบื่อขี้หน้าอู๊ดดี้จะตาย เอ้อ...ฉันเห็นนายมีอุปกรณ์ ปฐมพยาบาลอยู่ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวฉันจัดการเองก็ได้”
เขามองเธอแล้วหันไปหยิบกล่องเครื่องมือปฐมพยาบาลที่วางอยู่ไม่ไกลยื่นให้
“คุณหนูนี่ชอบหาเรื่องให้ผมเดือดร้อนอยู่เรื่อย”
“หยุดว่าฉันซะทีเถอะ พอได้โอกาสเข้าหน่อย ถล่มฉันซะไม่มีดีเลย ถ้านายไม่ยอมช่วยพา ฉันมา ฉันก็ไม่ว่าหรอก”
“อ้าว...คุณหนู”
ดุจแพรยิ้มชอบใจ
“ออกไปก่อน...ฉันจะล้างแผล...ไปสิ”
ดุจแพรไล่ เขาเลยเดินออกไปอย่างเซ็งๆ
กิ่งเหมยเดินเข้ามาหยุดที่หน้าตึก พยายามเพ่งมองทางเพราะการมองเห็นของเธอมันลางเลือนจนภาพ เบลอไปหมดแล้ว กิ่งเหมยจะเดินเข้าไปในตึกแต่เจอชาวบ้านในนั้นเดินออกมาชนเธอจนเกือบจะล้ม
“เอ้า...เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่เห็นเหรอไงว่าฉันกำลังเดินออกมา”
“ขอโทษด้วยค่ะ คือฉันไม่ทันมอง”
“ทีหลังก็ระวังหน่อย ไม่ใช่เดินใจลอย”
ชาวบ้านบ่นแล้วเดินออกไป กิ่งเหมยหันมาถอนใจเฮือกใหญ่ เริ่มใช้มือช่วยคลำทางพาตัวเองเดินเข้าไปในตึก
หยกออกมารออยู่ข้างนอกบริเวณดาดฟ้า ระหว่างนั้นได้ยินเสียงร้องเจ็บของดุจแพรดังออกมา เขาสงสัย รีบวิ่งกลับเข้าไปดู เห็นดุจแพรร้องเจ็บแผล สภาพเปิดไหล่เสื้อออกเพื่อล้างแผลจนไหล่เปลือยเปล่า
“เป็นอะไรครับคุณหนู”
“ฉันล้างแผลแล้วมันแสบอ่ะ...โอ้ย”
“ก็ผมบอกแล้วไง คุณหนูทำอวดเก่งเอง”
“หยุดว่าฉันแล้วมาช่วยฉันก่อนได้มั้ย...ฉันทำเองไม่ได้”
“ก็ไหนบอกว่าเก่งจะดูแลตัวเองไง”
“นี่นาย...ก็ได้...งั้นฉันทำเอง”
ดุจแพรงอนหัวเสียเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์มาแตะแล้วร้องซี้ดเจ็บ หยกเห็นแล้วส่ายหน้า
“มานี่...ผมทำให้”
หยกปัดมือเธอออกแล้วช่วยทำความสะอาดแผลให้อย่างเบามือ ดุจแพรชะงักเผลอมองเขา
“นายนี่ก็เก่งเนอะ ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง”
“ตอนเป็นเด็กผมมีเรื่องหัวร้างค่างแตกบ่อยๆ ให้พ่อรู้ก็ไม่ได้ไม่งั้นโดนซ้ำหนักกว่าเดิม ก็เลยต้องพึ่งตัวเองเป็นประจำ”
“งั้นไว้สอนฉันบ้างนะ ต่อไปฉันจะได้ไม่ต้องขอให้นายช่วย บอกตรงๆ ฉันเขิน”
“เขินอะไร”
“ก็นี่ไง...ฉันยังไม่เคยให้ผู้ชายคนไหนเห็นฉันมากขนาดนี้เลย”
ดุจแพรหมายถึงไหล่ที่เปิดออกกว้างจนเห็นผิวขาวเนียนและเนินอก หยกเลยเผลอชะงักมอง
“นี่...นายกำลังมองลามกฉันใช่มั้ย”
“เปล่านะครับ...พอคุณพูดขึ้นมาผมก็เลยมอง”
“ไม่ต้องมาโกหกเลย”
ดุจแพรหันมาทุบจะเล่นงานแต่โดนเขาจับมือเอาไว้ทำให้ทั้งคู่ชะงักมองหน้ากัน ดุจแพรใจเต้นตึกๆเพราะ ใกล้ชิดเขามาก ระหว่างนั้นเสียงกิ่งเหมยดังมาจากข้างนอก
“หยก...หยก”
หยกชะงักปล่อยมือดุจแพรแล้วรีบลุกออกไป ดุจแพรยังใจเต้นไม่หาย...หยกเดินออกมาที่บริเวณดาดฟ้า เห็นกิ่งเหมยก็รีบเข้าไปหา
“กิ่งเหมย...มาทำอะไรที่นี่”
“ฉันเป็นห่วงคุณแพร อยากรู้ว่าเธอเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อยู่ที่นี่แล้ว”
“นี่เธอพาคุณแพรมาที่นี่เหรอ”
หยกไม่ทันจะบอกดุจแพรก็รีบออกมา
“กิ่งเหมย”
“คุณแพร”
สองสาวโผเข้าหากันสวมกอดกันอย่างเป็นห่วง
“ฉันเป็นห่วงคุณมากเลยนะคะ ใจคอไม่ดีเลยที่รู้ว่าคุณต้องบาดเจ็บเพราะฉันเป็นต้นเหตุ”
“เธอไม่ได้เป็นต้นเหตุทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้หรอกนะกิ่งเหมย”
“แต่เพราะฉันพาคุณไปทำให้คุณรู้เรื่องพ่อคุณ”
“ถึงฉันจะไม่รู้จากเธอ สักวันฉันก็ต้องรู้ เรื่องไม่ดีปิดยังไงก็ปิดไม่มิดหรอก”
“แล้วพ่อคุณรู้รึเปล่าว่าคุณมาอยู่ที่นี่”
ดุจแพรนิ่งไปแล้วหันไปมองหยกอย่างหนักใจ
ดุจแพรเดินตามหยกที่กำลังจะออกไป
“เดี๋ยวสิหยก”
“คุณหนูไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะหาทางอธิบายให้เสี่ยเข้าใจ”
“ถ้าป๋าเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆฉันก็คงไม่ห่วงหรอก”
“งั้นคุณหนูก็ต้องกลับไป”
ดุจแพรรีบส่ายหน้า
“ไม่เอา...ฉันอยากอยู่ที่นี่”
กิ่งเหมย เข้ามาปลอบ
“ไว้ใจหยกเถอะค่ะคุณแพร หยกรับปากว่าจะช่วยใครแล้ว เขาไม่เคยทำให้ผิดหวัง”
ดุจแพรค่อยหายกังวล
“ไปเถอะหยก...ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณแพรที่นี่เอง”
หยกพยักหน้ารับแล้วเดินจะออกไป แต่ดุจแพรนึกขึ้นได้
“เดี๋ยวหยก ฉันมีเรื่องต้องขอให้เธอช่วยอีกเรื่อง คุณมานพช่วยฉันไว้ ฉันกลัวว่าพ่อจะ ทำร้ายเขา”
“ผมจะไปดูให้แล้วกัน” หยกรับปาก
โปรดติดตาม พรุ่งนี้ 9.30 น.
หยกเลือดมังกร ตอนที่ 10 (ต่อ)
ในภัตตาคารจีน...มานพถูกเก่งกับลูกน้องเสี่ยตงคุมตัวอยู่ที่โต๊ะจีนในห้อง VIP มานพจะขยับแต่ถูกเก่งเอาปืนจี้ไว้
“อยู่เฉยๆดีกว่าครับคุณมานพ อย่าหาเรื่องใส่ตัวไม่งั้นไม่ได้กลับไปแบบครบชิ้นส่วนแน่”
มานพมองหน้าเก่งอย่างเหม็นขี้หน้า ระหว่างนั้นตงเข้ามา
“เฮ้ย...นั่นมันลูกชายไอ้เล้ง จะทำอะไรให้เกียรติลูกศัตรูฉันบ้าง”
“ครับเสี่ย”
เก่งรับคำแต่เอาด้ามปืนทุบต้นคอมานพจนเจ็บระบมแล้ว เก่งหัวเราะชอบใจพร้อมกับตง
“เป็นไงไอ้หลานชาย...แค่นี้มันยังน้อยไปสำหรับไอ้คนที่คิดมาเจ๊าะแจ๊ะกับลูกสาวฉัน”
“แต่ผมเคยช่วยลูกสาวคุณไว้”
“แล้วไง...เคยช่วยลูกสาวฉัน ฉันก็เลยต้องตอบแทนด้วยการยกลูกสาวฉันให้งั้นเหรอ”
“ผมไม่ได้ร้องขอขนาดนั้น แต่แค่อยากญาติดีด้วย”
“แกรู้มั้ยว่าไอ้เล้งมันพยายามกดหัวฉันมากี่ปีแล้ว ฉันร่วมเป็นร่วมตายกับมันมาตั้งแต่ อายุยังไม่เท่าแก ฉันช่วยทำให้ชื่อของมันมีแต่คนยำเกรง แต่มันกลับกดหัวไม่ให้ฉันขึ้น มาใหญ่อย่างมัน เอาคำว่าเราต้องเลิกเป็นกุ๊ยแล้วทำงานอย่างสุจริตมาสั่งฉัน...ถุย!”
ตงพูดแล้วอารมณ์ขึ้นเข้าไปจิกหัวมานพขึ้นมามองหน้าเอาเรื่อง
“ไอ้พวกหน้าไหว้หลังหลอกเห็นแก่ตัวอย่างมัน แกคิดว่าฉันอยากญาติดีด้วยงั้นเหรอ”
ตงไสหัวมานพให้เก่งแล้วสั่งอย่างเอาเรื่อง
“ลากมันไปหักแข้งหักขาให้พิการแล้วส่งมันไปให้ไอ้เล้ง”
เก่งกับลูกน้องเข้ามาลากตัวแต่มานพกลับยิ้มร้ายอย่างมีเลศนัย
“ใช่ว่าเสี่ยคนเดียวที่ไหนที่ถูกคนอย่างเขากดหัวให้เป็นแค่มือแค่ตีน แม้แต่ลูกตัวเองเขา ยังไม่เคยมองเห็นหัวเลยด้วยซ้ำ”
ตงฟังคำพูดของมานพแล้วชะงักสนใจสั่งห้ามลูกน้องทันที
“เดี๋ยว”
พวกลูกน้องหยุด ตงเดินเข้ามาหรี่ตามองมานพอย่างสนใจ
“เมื่อกี้ที่แกพูดออกมาคงไม่ใช่เพราะกลัวเจ็บตัวหรอกนะไอ้หลานชาย”
“สั่งให้ลูกน้องเสี่ยออกไปให้หมด แล้วมาคุยกัน เสี่ยจะได้รู้ว่าเรามันหัวอกเดียวกัน”
ตงจิกหน้ามองมานพอย่างครุ่นคิด มานพมองอย่างเจ้าเล่ห์ร้ายกาจพอตัว
รถเจ้าสัวเล้งเข้ามาจอดที่หน้าอาบอบนวด สักพักนนท์เข้ามาพร้อมลูกน้องอีกสองสามคนเพื่อรายงาน
“เป็นไงบ้างนนท์”
“พวกตัวแสบๆคนเก่าของแก๊งค์สี่เจ้าเวหา มันไม่ยอมรับการเข้ามาควบคุมของเจ้าสัวครับ”
“แล้วมันมาทำอะไรที่นี่”
“มันต้องการขอที่นี่ไปดูแลเอง เลยเข้ามาหาเรื่องครับ”
เจ้าสัวเล้งนิ่งไปแล้วเปิดประตูลงจากรถเพื่อจะเข้าไปจัดการ แต่นนท์ขัด
“ผมว่าเจ้าสัวไม่ควรจะเข้าไปครับ ให้เป็นหน้าที่ผมกับลูกน้องดีกว่า”
เจ้าสัวเล้งนิ่งไปแล้วพยักหน้ารับ นนท์พาลูกน้องเข้าไปในอาบอบนวด
ภายในอาบอบนวด หมอนวดสาวๆ 4-5 คนถูกพวกนักเลงลวนลามกอดจูบอย่างสนุกสนาน พวกมันเข้ามาข่มขู่ จนไม่มีใครกล้ายุ่ง ระหว่างนั้นนนท์พาลูกน้องเข้ามา พวกมันหยุดชะงักมองนนท์อย่างกวนๆ
“เฮ้ย...ไหนวะเจ้านายพวกแก ถ้าไม่ตามมันมาคุยกับข้า ก็ออกไปให้พ้นๆ”
นนท์มองหน้า
“กระจอกอย่างพวกแกเจ้าสัวไม่เสียเวลามาคุยด้วยหรอก”
“งั้นก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”
นักเลงพยักหน้าให้พรรคพวกที่มาด้วยเปิดฉากยิงใส่ นนท์กับพวกลูกน้องพร้อมอยู่แล้วเลยยิงตอบโต้ เสียงปืนดังสนั่นผสมปนเปกับเสียงหวีดร้องของหมอนวดสาวๆที่พากันวิ่งหนีตาย พรรคพวกของนักเลงถูกนนท์ ยิงตายซะเป็นส่วนใหญ่
นักเลงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกมาทางหลังอาบอบนวดหลังจากสู้กับพวกนนท์ไม่ได้ มันวิ่งออกมาจน เกือบจะหนีรอดแต่ต้องชะงักเมื่อเจอเจ้าสัวเล้งเข้ามายืนขวางทาง นักเลงยกปืนจะยิงใส่แต่ เจ้าสัวเล้งใช้เชิงมวยเล่นงานมันในระยะประชิดตัวจนทำให้ปืนมันหลุดมือและโดนถีบกระเด็น ไปกระแทกกำแพงลงมาจุก
“แก...แกเป็นใครวะ”
“ฉันเป็นนายคนใหม่ของแก”
นักเลงชะงัก
“แก...แกคือเล้ง มังกรวารี”
“นายคนเก่าของแกตายไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่พวกแกควรจะต้องเชื่อฟัง นายใหม่ซะที”
“หน้าไหนก็ไม่ฟังทั้งนั้นแหละเว้ย เรื่องอะไรพวกข้าจะต้องเป็นลูกน้องไปตลอดชีวิต”
นักเลงชักมีดพกออกมาแล้วปรี่เข้าไปเล่นงานฟาดฟันใส่อย่างบ้าคลั่ง เจ้าสัวเล้งมีเชิงที่เหนือกว่าหลบหลีกคมมีด ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่จังหวะหนึ่งเกิดพลาดถูกมันตวัดมีดเข้าที่ท้องจนเสื้อขาดได้เลือดซิบๆ นักเลงยิ้มหยัน
“นี่เหรอวะเล้ง มังกรวารี กระจอก”
นักเลงควงมีดพกอย่างคล่องแคล่วพร้อมจะเข้าไปจัดการอย่างเด็ดขาด เจ้าสัวเล้งหรี่ตามองมันแล้วถอดเสื้อที่โดนมีดฟันขาด เผยให้เห็นรอยสักมังกรวารีอันสวยงามที่แผ่นหลัง จากนั้นเขาก็ตั้ง ท่าเชิงมวยพร้อมลุย
“เข้ามา”
นักเลงร้องเสียงดังบุกเข้าไปฟาดฟันใส่ แต่คราวนี้มันเจอ เจ้าสัวเล้งเอาจริงใช้เชิงมวยสั่งสอนจนสะบักสะบอมลงไปกอง หน้าเยินเลือดกบปากยันจมูก นนท์ตามเข้ามาพร้อมปืนข้าไปจ่อหัวพร้อมเก็บมัน เจ้าสัวเล้งห้ามไว้
“ไม่ต้องฆ่ามัน”
“จะปล่อยมันไว้ทำไมครับเจ้าสัว”
เจ้าสัวเล้งเข้าไปจิกหัวมันขึ้นมา
“ฉันจะไว้ชีวิตแก เพื่อให้แกไปบอกไอ้พวกที่คิดจะแข็งข้อกับ มังกรวารี ถ้าไม่คิดจะอยู่ข้างฉัน ก็เตรียมตัวถูกกวาดล้างได้”
เจ้าสัวเล้งไสหัวมันออกไป แล้วมองตามมันด้วยแววตาอันน่าเกรงขาม
เจ้าสัวเล้งนั่งถอดเสื้อให้ดวงแขช่วยพันแผลที่โดนมีด
“ฉันไม่เห็นด้วยเลยที่คุณคิดหวนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้คุณไม่เหมือนเดิม แล้วนะคะเล้ง”
“แต่ถ้าฉันไม่ทำเลือดจะยิ่งนองมากกว่านี้อีก”
“แล้วยังไงคะ เป็นหางเสือมานาถึงเวลามันก็อยากขึ้นมาเป็นหัยวเสือกันทั้งนั้น ยิ่งมัน เห็นว่าคุณวางมือมานานแล้ว มันเลยยิ่งไม่กลัวคุณ”
“เธอจะให้ฉันปล่อยให้พวกมันแผ่ขยายอิทธิพลจนไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเหรอ”
“อย่างน้อยเราก็ไม่เดือดร้อนไม่ใช่เหรอคะ”
“ฉันทำไม่ได้หรอก อำนาจที่ปราศจากเหตุผลคืออำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจาก ความเมตตาคืออำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย ถ้าฉันต้องมือเปื้อนเลือดเพื่อให้มีคน เดือดร้อนน้อยลง...ฉันยอม”
เจ้าสัวเล้งบอกดวงแขแล้วลุกเดินออกไป ดวงแขมองตามจิกหน้าเชอะ
ตงมองมานพอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“ฉันควรจะเชื่อที่แกพูดมาเหรอไอ้หลานชาย ไอ้เล้งน่ะมันพ่อของแกนะ”
“ถ้าเป็นพ่อคนอื่นลูกอาจจะต้องกตัญญูตอบแทน แต่สำหรับพ่อของฉัน ถ้าใครไม่ได้ถูก เขาเลี้ยงมา มันไม่รู้หรอกว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง”
“เท่าที่ฉันรู้จักไอ้เล้งมา มันเป็นคนหัวดื้อยึดเอาแต่ตัวเองเป็นหลัก มันไม่เคยยอมรับว่า คนอื่นก็เก่งและฉลาดกว่ามัน”
“ใช่...เขาถึงไม่เคยสนใจเห็นว่าผมเป็นทายาทที่ควรสืบทอดทุกอย่างต่อจากเขา”
“แต่การที่แกอยากร่วมมือกับฉันเพื่อเล่นงานไอ้เล้ง มันเป็นการทรยศหักหลังพ่อตัวเอง”
“มันไม่ใช่การทรยศหักหลัง แต่เป็นการยึดอำนาจเพื่อให้เขาได้พักผ่อนจริงๆจังก็แค่นั้น”
ตงหรี่ตามองมานพแล้วหัวเราะชอบใจเสียงดังลั่น มานพยิ้มตามเพราะคิดว่าตงเห็นด้วย
“แกนี่มันร้ายไม่ใช่เล่น นึกว่าจะเป็นแค่ลูกเจ้าสัวดีแต่เสเพลไปวันๆ”
ตงเข้ามาตบบ่าแล้วยิ้มให้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจับมานพกดลงกับโต๊ะอย่างแรงเพราะไม่ไว้ใจ
“แต่ฉันไม่เชื่อแกหรอกเว้ยไอ้หลานชาย”
มานพตกใจ
“ผมพูดจริงๆนะเสี่ย...ผมต้องการสั่งสอนพ่อผม ถ้าเราสองคนร่วมมือกันเขาไม่มี ทางสู้เราได้แน่
“แต่ไอ้เล้งมันอาจจะส่งลูกชายมันมาหลอกให้ฉันหลงกลก็ได้ คนอย่างมันหัวหมอจะตาย”
“งั้นเสี่ยจะให้ผมพิสูจน์ยังไง...ผมพร้อมพิสูจน์”
ตงมองมานพอย่างนิ่งคิด
มานพถูกเก่งกับลูกน้องจับซ้อมอย่างหนักทั้งชกหน้าอัดลำตัวจนแทบทรุดโดยมีเสี่ยตงยืนดูอย่าง นิ่งเฉยและเลือดเย็น มานพโดนอัดเข้าที่ท้องจนฟุบลงไป เก่งเข้าไปกระชากตัวขึ้นมา มานพเจ็บตัวระบมไปหมดแต่แววตายังจริงจัง
“ฉันเกลียดมัน...พอๆกับที่แกเกลียดมันนั่นแหละเสี่ยตง”
เก่งหันมาถาม
“เอาไงต่อครับเสี่ย”
“ไอ้เล้งทำให้ลูกสาวฉันบาดเจ็บ มันต้องชดใช้ กระทืบมันต่อ”
ตงยิ้มร้าย ปล่อยให้เก่งเล่นงานมานพต่ออย่างสะบักสะบอม
หยกเข้ามาที่ด้านหน้าตึกร้างเจอลูกน้องตงเฝ้าอยู่ข้างหน้า หยกจะเข้าไปแต่พวกนั้นกันเอาไว้
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเสี่ย”
“เสี่ยกำลังยุ่ง ไว้คุยทีหลัง”
ลูกน้องดันหยกให้ถอยออกไป ระหว่างนั้นเสียงร้องเจ็บปวดของมานพดังก้องออกมา หยกหนักใจเพราะรับปากดุจแพรไว้
“แต่ฉันต้องคุยกับเสี่ยเดี๋ยวนี้”
“เรื่องอะไร” ลูกน้องถามกวนๆ
มานพโดนเก่งจับบิดแขนจนร้องเจ็บปวดทรมาน หยกเข้ามาเห็นแล้วอยากจะช่วย
“เสี่ยครับ”
ตงชะงักหันไปมองหยกแต่ไม่สนใจ
“ตอนนี้ฉันกำลังยุ่ง”
ตงไม่สนใจหันไปดูเก่งเล่นงานมานพ หยกถูกกันออกไป แต่เขาต้องการช่วยมานพเลยตะโกนขัด
“แต่ผมมีเรื่องคุณหนูมาคุยกับเสี่ย”
ตงชะงักหันมาสนใจที่หยก ก่อนจะบอกเก่ง
“พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวฉันกลับมา”
ตงบอกเก่งแล้วเดินออกไป หยกมองมานพที่สภาพดูน่าเวทนาแล้วรีบเดินตามตงออกไป...หยกเดินตามเสี่ยตงเข้ามา ตงหันขวับมาพร้อมกับปืนแล้วตบเข้าหน้าหยกทันทีจนหน้าหันเลือดกบปาก แก้มแดงช้ำ
“ฉันรู้เรื่องที่แกเล่นงานพวกที่ฉันให้ไปพาตัวลูกสาวฉันกลับมาแล้ว ถ้าฉันไม่ยุ่งกับไอ้ มานพอยู่ แกโดนลากคอมาแล้ว”
“ผมขอโทษครับเสี่ย คุณหนูขอร้องให้ผมช่วย ผมก็เลยจำเป็น”
“จำเป็นเหรอ...แกทำงานให้ฉันต้องฟังฉันสิเว้ย” ตงผลักไหล่หยก “ไปพาลูกสาวฉันกลับบ้าน ถ้ามันยังไม่ฟังฉันอนุญาตให้แกใช้กำลัง แต่แค่ทำให้สลบพอ แล้วฉันจะขังไว้ที่บ้านเอง”
หยกยังยืนนิ่งไม่ยอมไป ตงเลยยิ่งโมโห
“ก็บอกให้ไปไง หรือแกอยากให้ฉันกระทืบแก”
“เสี่ยอยากทำอะไรกับผมก็ทำตามสบายเลยครับ เพราะว่าครั้งนี้ผมไม่เห็นด้วยกับคำสั่ง เสี่ยจริงๆ คุณหนูเป็นคนไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเสี่ย”
“ไอ้หยก!”
ตงเข้าไปใช้ปืนจ่อหน้าอย่างหงุดหงิด แต่หยกกลับมองอย่างไม่กลัว
“ถ้าเสี่ยยังคิดแต่จะบังคับให้คุณหนูอยู่แต่ในกรงทองของเสี่ย ผมเชื่อว่าคนใจเด็ดอย่าง คุณหนูจะต้องหนีออกมาอีก และจะหนีไปไกลเรื่อยๆ จนเสี่ยจะไม่มีโอกาสได้เจอหน้า ลูกสาวตัวเองอีกตลอดชีวิต”
“แกเป็นแค่ลูกน้องของฉัน อย่าสะเออะมาสั่งสอนฉัน”
ตงพูดไปก็ถีบหยกจนล้ม เขายันตัวลุกขึ้นมาอย่างไม่กลัวเจ้านาย
“ผมไม่ได้พูดกับเสี่ยในฐานะลูกน้อง แต่พูดในฐานะที่คุณหนูไว้ใจให้ผมช่วยเธอ”
ตงเจ็บใจ
“ลูกสาวฉัน…มันไว้ใจลูกน้องฉันมากกว่าฉันอีกเหรอ...โธ่เว้ย”
ตงระเบิดอารมณ์หงุดหงิดนิ้วเหนี่ยวไกปืนแล้วยิงทันที…เปรี้ยง !! เสียงปืนดังก้องตงยิงปืนเฉี่ยวหยกอย่างตั้งใจ แต่เขาไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหรือกลัวเลย
“ได้…ครั้งนี้ฉันจะยอมตามใจมัน แต่แกต้องดูแลลูกสาวฉันให้ดี คอยเป็นหูเป็นตาให้ด้วย แล้วถ้าแกช่วยให้ลูกสาวฉันกลับมาหาฉันได้อย่างไม่มีปัญหา ฉันจะมีรางวัลให้”
“ครับเสี่ย” หยกถอนใจ ที่เสี่ยตงยังฟังเขาอยู่บ้าน
ตงเดินกลับมาที่มานพพร้อมกับหยกเห็นมานพฟุบหมดสตินอนอยู่ที่พื้น
“มันเป็นยังไงบ้าง”
“หมดสติไปแล้วครับ เสี่ยจะให้ผมทำยังไงกับมันต่อ”
ตงคิดอยู่ครู่
“ไอ้หยก พามันไปส่งบ้าน แล้วก็ส่งให้ถึงมือไอ้เล้งด้วยนะ...อ้อ เล่าให้มันฟัง ด้วยว่าฉันกระทืบลูกชายมันยังไงบ้าง...ฮ่าๆ!”
ตงหัวเราะออกไปพร้อมกับเก่ง หยกเห็นสภาพมานพถูกซ้อมจนสลบก็เข้าไปช่วยประคองให้ลุกขึ้น
ดุจแพรใส่เสื้อผ้าของส้มเช้งเดินออกมาให้ดู
“เป็นยังไงคะคุณแพร พอดีตัวมั้ย” ส้มเช้งถาม
“พอได้จ้ะส้มเช้ง...แต่เสื้อตัวนี้มันข้างบนเข้ารูปเลยค่อนข้างจะหลวมๆหน่อย”
“ก็น่าจะหลวมน่ะค่ะเพราะไซส์เราไม่เท่ากัน”
ดุจแพรชะงักอาย
“ส้มเช้งอ่ะ”
“อุ๋ย...ขอโทษค่ะพูดตรงไปนิดนึง”
กิ่งเหมยปราม
“แกนี่ก็ไปแซวคุณแพร”
“แหมถือว่าฉันล้อเล่นแล้วกัน ถ้าเป็นเสื้อผ้าแกคุณแพรอาจจะใส่แล้วพอดีเพราะมีพอๆกัน แต่เห็นว่าถ้ากลับไปเอาเสื้อผ้าแกมาให้คุณแพรยืมใส่ก่อน อาม่าต้องสงสัยแน่ๆ”
ดุจแพรสงสัย
“ทำไมอาม่าเธอต้องสงสัยด้วยล่ะกิ่งเหมย”
“เอ่อ...คือ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณแพร”
กิ่งเหมยตอบเลี่ยงไปแล้วหันไปจิกหน้าใส่ส้มเช้ง
กิ่งเหมยออกมาคุยกับส้มเช้งข้างนอก
“ทีหลังแกอย่าพูดอะไรแบบนั้นให้คุณแพรสงสัยอีกนะ”
“ฉันก็ลืมไปน่าแก แต่จะว่าไปถ้าแกสงสัยพ่อเขา แกก็น่าจะบอกเขาไปเลย เผื่อเขาจะ ช่วยทำให้แกหายข้องใจขึ้นมาได้”
“ฉันให้คุณแพรรู้เรื่องนี้ไม่ได้ ลำพังแค่รู้ว่าตัวเองโดนพ่อโกหกมาทั้งชีวิต เธอก็น่าสงสาร พอแล้ว”
“ก็ได้...แกว่าไงฉันก็ว่าตามอยู่แล้ว แต่ฉันถามจริงๆเถอะ แกจะให้คุณแพรอยู่กับไอ้หยก ที่นี่จริงๆเหรอ”
“แกถามทำไม"
“เอ้าแกนี่ก็...คุณแพรสวยซะขนาดนั้น ให้อยู่ตามลำพังกับไอ้หยกที่นี่เนี่ยนะ” ส้มเฃ้งมองหางตาแบบแหย่ๆเพื่อน “ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าแกเป็นพวกอกเล็กแต่ใจกว้าง”
กิ่งเหมยอึ้ง
“ยัยส้มเช้ง”
กิ่งเหมยทุบเพื่อนแรงๆทันที ส้มเช้งโดนไปก็ร้องเจ็บ
ค่ำนั้น...ดวงแขโทรศัพท์ติดต่อมานพไม่ได้ก็เริ่มเป็นกังวล
“ตานพนะตานพ อยู่ๆก็หายไปเลย ไม่ติดต่อกลับมาสักที ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างเนี่ย”
ดวงแขใจคอไม่ดีระหว่างนั้นจำปารีบเข้ามา
“คุณนายคะ...คุณนาย แย่แล้วค่ะ”
“อะไรของแก”
“คุณมานพน่ะสิ”
“มานพเป็นอะไร”
หยกพยุงมานพที่ถูกซ้อมมาอย่างสะบักสะบอม เข้ามาในห้องโถงเจอกับเจ้าสัวเล้ง
“มานพ !เกิดอะไรขึ้นกับแก”
“พ่อ…”
เจ้าสัวเล้งรีบเข้าไปประคองมานพจากมือหยก นนท์กับชาญรีบเข้ามาล็อคตัวหยกทันที
“ฝีมือไอ้ตง !...มันเล่นงานลูกชายฉันใช่มั้ย!”
หยกไม่ทันจะตอบนนท์ก็ชกท้องหยกจนจุกตัวงอ นนท์ไม่พอกระชากหัวหยกขึ้นมาให้มองหน้าเจ้าสัวเล้งชัดๆ
“บอกเจ้าสัวไป ไอ้ตงมันส่งแกมาทำไม...บอกไป”
“เสี่ยเขาให้ผมพาคุณมานพมาส่ง กำชับว่าต้องให้ถึงมือเจ้าสัว”
เจ้าสัวเล้งเจ็บใจ
“ไอ้ตง!”
ระหว่างนั้นดวงแขเข้ามาพร้อมกับจำปาพอเห็นสภาพลูกชายก็ตกใจ
“ตานพ…ตายแล้ว แม่บอกแกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ต้องไปเยี่ยมดุจแพร แล้วดูสิ...ดูที่มันทำกับ แก...โธ่เอ้ย” ดวงแขหันไปสั่งจำปา “มัวยืนเซ่ออะไรอยู่ล่ะ...ไปเอารถมา ฉันต้องพาตานพไปส่ง โรงพยาบาล”
“ค่ะๆๆคุณนาย”
จำปาจะรีบออกไปแต่มานพสั่งห้าม
“ไม่ต้อง...ฉันไม่เป็นอะไร”
“จะบ้าไปแล้วเหรอตานพ แกโดนมาขนาดนี้แล้วยังบอกไม่เป็นอะไรอีกได้ยังไง”
“ผมยังไหวอยู่ครับแม่...ผมมีเรื่องต้องคุยกับพ่อ”
เจ้าสัวเล้งเป็นห่วง
“ฉันว่าแกควรจะไปโรงพยาบาลก่อน”
“ไม่ครับพ่อ...ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ”
เจ้าสัวเล้งนิ่งมองมานพอย่างตัดสินใจก่อนจะเข้าไปประคองมานพแล้วหันไปสั่งนนท์
“เฝ้ามันไว้ก่อนรอจนกว่าฉันจะคุยกับลูกฉันเสร็จ”
“ครับเสี่ย”
เจ้าสัวเล้ง พยุงลูกชายพาเข้าไปในบ้าน ดวงแขอดเป็นห่วงไม่ได้
เจ้าสัวเล้งพยุงมานพเข้ามาในห้องทำงานให้นั่งลง แล้วเอาผ้าสะอาดมาเช็ดคราบเลือดบนหน้าให้อย่างเป็นห่วง
“แกรู้เรื่องที่ฉันมีปัญหากับไอ้ตงจากแม่แล้วใช่มั้ย”
“ครับพ่อ เรื่องที่พ่อตัดสินใจหวนกลับคืนวงการเจ้าพ่อ แม่ก็เล่าให้ผมฟังหมดแล้ว”
“ถ้ารู้แล้ว ทำไมถึงไม่ฟังคำเตือนของแม่แก หาเรื่องให้ตัวเองถูกไอ้ตงลากไปซ้อมทำไม”
“เพราะผมอยากช่วยพ่อ”
เจ้าสัวเล้งชะงัก
“อยากช่วยฉัน”
เจ้าสัวเล้งมองมานพอย่างแปลกใจ
หยกถูกชาญคุมตัวเฝ้าอยู่อีกห้องหนึ่ง ระหว่างนั้นดวงแขเข้ามาด้วยท่าทางเอาเรื่องไม่พอใจ
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ ไอ้เสี่ยตงมันทำร้ายอะไรลูกชายฉัน”
“เสี่ยให้ผมบอกเจ้าสัวคนเดียวครับ”
“จะเจ้าสัวหรือฉันบอกใครก็เหมือนกัน”
หยกนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เลยทำให้ดวงแขโกรธจัด
“ถ้าไอ้ตงมันอยากเยาะเย้ยพวกฉัน ฉันก็จะให้มันเห็นว่าคนที่นี่ไม่มีใครกลัวมัน”
ดวงแขพูดไปก็คว้าแจกันขนาดเหมาะมือที่โต๊ะข้างๆมาฟาดเข้าที่หัวของหยกทันที...เพล้ง! แจกันแตกละเอียด หยกเซเจ็บเลือดไหลออกมาซิบๆที่หน้าผาก นนท์ตามเข้ามาเห็นเข้าก็ตกใจ
“คุณนาย...หยุดนะครับ”
“แกไม่ต้องมายุ่ง...ฉันจะสั่งสอนคนของไอ้ตง พวกมันทำให้ลูกฉันเจ็บฉันก็ต้องเอาคืน”
ดวงแขเข้าไปแย่งปืนจากเอวของชาญแล้วยกจ่อไปที่หยกนิ้วแตะไกพร้อมจะยิง นนท์ตกใจพยายามห้าม
“อย่านะครับคุณนาย...เก็บปืนไปเถอะครับ”
ดวงแขไม่ฟังจ่อปืนไป ในขณะที่หยกมองตอบจ้องเขม็งอย่างไม่มีเกรงกลัว
มานพเล่นละครตีสองหน้า ทำตัวเป็นลูกกตัญญูห่วงเจ้าสัวเล้งสุดฤทธิ์
“ผมรู้ว่าถ้าเสี่ยตงเจอหน้าผมเขาต้องลากผมไปเล่นงานเพื่อแก้แค้นพ่อแน่ แต่ผมก็อยาก จะเสี่ยงเพื่อหาทางเข้าให้ถึงตัว เพราะถ้าเจรจาให้เขายอมพ่อได้ ตระกูลของเราจะได้ไม่ ต้องเสี่ยงกับเรื่องนองเลือดอีก”
“มานพ...แกรู้มั้ยว่าที่แกคิดทำลงไปมันอาจทำให้แกตายได้”
“ครับพ่อ...แต่คนในตระกูลของเราล้วนต้องตายเพราะเรื่องแบบนี้มากมากพอแล้ว ถ้าชีวิตผมจะทำให้เกิดความสงบสุขขึ้น ผมก็พร้อมทำเพื่อตระกูลครับ”
เจ้าสัวเล้งอึ้งน้ำตาคลอ
“มานพ...แก...แกนี่มันโง่จริงๆ”
เจ้าสัวเล้งปลาบปลื้มลูกชายจนต้องเข้าไปดึงมากอดเอาไว้แน่น
“แกเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของตระกูล ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแก รู้มั้ยว่าจะมันหายนะ ขนาดไหน”
“เพราะตระกูลเราสูญเสียไปมากแล้วไงครับ ผมถึงทนอยู่เฉยไม่ได้”
“แต่มือแกมันสะอาดเกินไปที่จะมายุ่งกับเรื่องสกปรกแบบนี้”
“ผมเป็นลูกมังกรนะครับ ถ้าพ่อจะให้ผมสืบทอดทุกอย่างต่อ พ่อก็ต้องฝึกให้ผมเป็นมังกร เหมือนพ่อสิครับ”
เจ้าสัวเล้งนิ่งมองมานพ
ดวงแขพร้อมจะยิงใส่หยก นนท์ขยับเข้ามาพยายามห้าม
“คุณนายวางปืนลงเถอะครับ เรื่องแก้แค้นให้คุณมานพ เจ้าสัวต้องทำแน่นอน”
“งั้นจะต้องไปสนใจทำไมกับไอ้แค่ชีวิตกระจอกๆของลูกน้องมัน ฆ่ามันซะแล้วก็ส่งไปให้ ไอ้ตงดู มันจะได้รู้ว่าฉันไม่ยอมให้มันมาทำร้ายลูกฉันฟรีๆ”
“แต่นี้ไม่ใช่วิธีการของเจ้าสัวนะครับ”
“ฉันไม่สนใจวิธีการ...ฉันสนแค่ลูกฉันเจ็บตัวแล้วฉันต้องเอาคืน”
ดวงแขจะยิงใส่หยก แต่เจ้าสัวเล้งเข้ามา
“หยุดนะดวงแข”
“คุณ!”
เล้งเดินหน้าตาเอาเรื่องเข้ามาจ้องดวงแขเขม็ง ก่อนจะดึงปืนจากมือดวงแขออกมา
“ไปดูแลมานพ...นี่มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอ”
“แต่ว่า…”
“ฉันสั่งให้ไป!”
ดวงแขเจ็บใจ มองหยกอย่างหงุดหงิดแล้วเดินออกไป
หยกเดินตามเจ้าสัวเล้งมีผ้าที่ได้จากนนท์มาซับเลือดที่แตกบนหัว มาบริเวณสระว่ายน้ำ
“เจ้าสัวไว้ชีวิตผมอีกแล้ว”
“ฉันต้องไว้ชีวิตเธอ เพราะฉันคุยกับมานพแล้วเรื่องที่เขาถูกซ้อม เขาบอกว่าถ้าแกไม่เข้า มาขัดจังหวะ ก็คงถูกเล่นงานหนักกว่านี้”
“คุณมานพเคยช่วยเหลือคุณแพรไว้ ผมเลยเห็นว่าเสี่ยทำไม่ถูกต้อง”
เจ้าสัวเล้งหยุดแล้วหันมายิ้มให้
“ขอบใจมากนะหยก จะหาคำว่าคุณธรรมในหมู่นักเลงมัน ยากพอๆกับงมเข็มในมหาสมุทร แต่ฉันก็ยังได้เจอเข็มเล่มนั้น”
“ผมว่าเจ้าสัวอย่าไว้ใจผมมากเลยดีกว่าครับ ตราบใดที่ผมยังเป็นลูกน้องของเสี่ยตง เราก็ยังยืนอยู่ในสนามรบเดียวกัน”
“ฉันเข้าใจ...สักวันนึงฉันกับเธอจะต้องได้สู้กันอีกครั้งแน่ จำไว้ว่าเธอคือคู่ต่อสู้ที่ฉันอยากสู้ด้วยที่สุด”
เจ้าสัวเล้งกับหยกมองหน้ากันอย่างลูกผู้ชายก่อนที่ เจ้าสัวจะพยักหน้าให้ลูกน้องพาหยกออกไป คล้อยหลังไม่นานนนท์เข้า มาถาม
“เด็กหนุ่มคนนี้ใจมันเด็ดจริงๆนะครับเจ้าสัว รู้ทั้งรู้ว่าถ้ามาที่นี่พร้อมคุณมานพยังไงก็ต้อง โดนเล่นงานแน่ แต่มันก็ยังกล้ามา”
“นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ ฉันไม่ได้อยากเอาชนะไอ้ตงด้วยการนองเลือด อย่างเดียวหรอก”
“ครับวิธีการมองคนของเจ้าสัวเฉียบคมจริงๆ”
“บอกตรงๆนะนนท์ เวลาที่ฉันเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ทีไร ฉันได้เห็นความเด็ดเดี่ยวและมีน้ำใจ เหมือนใครบางคนที่ฉันเคยเจอ”
“ใครเหรอครับเจ้าสัว”
เจ้าสัวเล้งนิ่งไปไม่พูดอะไรตบบ่านนท์แล้วเดินเข้าบ้าน
มานพร้องซี้ดเจ็บหลังจากที่ดวงแขเอายามาทาแผลแตกที่ริมฝีปาก
“เบาหน่อยสิครับแม่”
“แกนะแก...แม่บอกแล้วว่าไม่จำเป็นต้องลงทุนถึงขนาดนี้”
“มันก็ต้องมีบ้างสิครับแม่ จะทำงานใหญ่ให้สำเร็จ จะไปหวังพึ่งคนอื่นตลอดเวลา ผมไม่ไว้ใจ”
“แต่สุดท้ายแกก็เจ็บตัวฟรี ลงทุนเล่นละครตบตาพ่อแกถึงขนาดนี้ แต่มันก็ยังหวงเก้าอี้ไม่ ยอมให้แกขึ้นมาแทน”
ดวงแขตอกย้ำขึ้นมา มานพเลยออกอาการเจ็บใจ
“มันอ้างแต่ว่าผมเป็นสายเลือดคนสุดท้าย เลยไม่อยากให้ผมเอาชีวิตไปเสี่ยง...ผมไม่ เชื่อมันหรอก มันก็แค่ไอ้แก่หวงอำนาจ คิดแต่ว่าไม่มีใครเก่งแล้วฉลาดเกินมันอย่างที่ เสี่ยตงว่า”
“รู้อย่างนี้แล้วทีหลังแกก็อย่าทำอีก จะได้ไม่ต้องมาเจ็บตัว”
“แม่อย่าคิดว่ามันไม่ได้ผลสิ การลงทุนครั้งนี้ของผมถือว่าประสบความสำเร็จต่างหาก”
ดวงแขแปลกใจ
“หมายความว่ายังไง”
“ที่ผมไปพบไอ้เสี่ยตง ผมหยั่งเชิงเปิดช่องทางเอาไว้สำหรับเราแล้ว ไม่ว่าใคร จะชนะในสงครามครั้งนี้ สุดท้ายผมนั่นแหละคือคนที่จะได้เป็นพระราชา...หึๆ”
มานพยิ้มร้ายอย่างชอบใจ
หยกเลือดมังกร ตอนที่ 10 (จบตอน)
ค่ำนั้น...หยกกลับมายังที่พักบนดาดฟ้า เขาเข้ามานั่งลงที่หน้าห้อง เลือดที่แผลแตกบนหัวจากฝีมือของดวงแข เริ่มซึมออกมาอีก ดุจแพรออกมามองพอเห็นเลือดก็ตกใจ
“หยก...เกิดอะไรขึ้น เธอไปโดนอะไรมา”
“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณหนู”
ดุจแพรสงสัย
“ฝีมือพ่อฉันใช่มั้ย เพราะฉันทำให้เธอเดือดร้อนเขาเลยเล่นงานเธอ”
“ไม่ใช่หรอกครับ...ผมอธิบายให้เสี่ยเข้าใจแล้ว เสี่ยยอมให้คุณหนูทำตามที่ต้องการ”
“นี่เธอไม่ได้แกล้งให้ฉันดีใจใช่มั้ย ป๋าเนี่ยนะจะยอมให้ฉันออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก”
“ครับ...คุณหนูอยากทำอะไรเสี่ยไม่ห้ามแล้ว แต่ว่าต้องอยู่ในความดูแลของผมอย่างใกล้ชิด ห้ามทำอะไรนอกเหนือจากที่ผมสั่ง ไม่งั้นเสี่ยจะส่งคนมารับคุณหนูกลับทันที”
“โห...งั้นก็ไม่ต่างอะไรกับตอนที่อยู่ที่บ้านน่ะสิ”
“ก็ตามใจนะครับ...เสี่ยบอกด้วยว่าถ้าคุณหนูไม่ฟังผม เสี่ยอนุญาตให้ผมใช้กำลังกับ คุณหนูได้”
หยกบอกไปแล้วก็เดินเข้าไปในที่พัก ดุจแพรมองตามแล้วกอดอกปั้นหน้าไม่พอใจ
“อนุญาตให้ใช้กำลังกับฉันเนี่ยนะ...ฮึ่ม!”
ดุจแพรตามเข้ามาในที่พักถามต่อ ขณะที่หยกกำลังเอาสำลีชุบยาล้างแผลเช็ดแผลอยู่
“นายหยก...ฉันไม่เชื่อหรอกว่าป๋าจะอนุญาตให้นายใช้กำลังกับฉันได้ นายกุเรื่องขึ้นมา เพื่อหาเรื่องแกล้งฉันต่างหาก”
“แกล้งคุณเนี่ยนะ ผมจะหาเรื่องแกล้งคุณไปทำไม”
“ก็เอาคืนไง...เพราะปกตินายต้องคอยทำตามคำสั่งฉันตลอด”
“ติงต๊อง ผมไม่ใช่เด็ก 10 ขวบที่จะต้องหาเรื่องสนุกมาเล่นหยุมหยิมแบบนี้หรอก”
หยกดูถูกแล้วถอดเสื้อตัวนอกออกเหลือเสื้อกล้ามแล้วหันไปเปิดตู้เย็นหาของกิน ดุจแพรไม่ยอมให้โดนว่าอยู่ฝ่ายเดียว
“นี่นายหาว่าฉันติงต๊องเหรอ...นายหยก!”
ดุจแพรโกรธจะเข้าไปเงื้อมือทุบ แต่โดนหยกหันมาเอาแครอทจากในตู้เย็นชี้หน้าดุเอาเรื่องและขึ้นเสียง
“อย่านะครับคุณหนู...ถ้าไม่เชื่อที่ผมเตือน คุณหนูเจ็บตัวแน่”
ดุจแพรชะงักเกือบหน้าทิ่ม แถมเจอหยกปั้นหน้าโหดเอาเรื่อง ดุจแพรเหวอ...เงียบกริบ
“ดี ถ้าคิดจะอยู่กับผมที่นี่ก็อยู่ให้สงบเข้าไว้ ผมยิ่งหิวๆอยู่อย่าให้โมโหหิว...เข้าใจมั้ย”
หยกบอกแล้วเดินถือแครอทพร้อมกับของสดอีกสองสามอย่างในตู้เย็นเดินออกไป ดุจแพรมองตามจิกหน้าหงุดหงิดอารมณ์เสีย
“ไอ้บ้าหยก ไอ้ขี้เก๊ก”
ส้มเช้งเดินนำกิ่งเหมยมาตามทางในตรอกศาลเจ้า
“ฉันน่ะเป็นพวกเห็นเพื่อนมีความสุขก็สนับสนุน ถ้าแกตัดสินใจคบกับไอ้หยกแล้วมี ความสุข ฉันก็ดีใจด้วย” ส้มเช้งเดินพูดไปเรื่อยเปื่อย
กิ่งเหมยไม่ได้ฟังส้มเช้งพูดเพราะมีปัญหากับสายตาที่เริ่มมองเห็นไม่ชัดมากขึ้น ยิ่งเป็นเวลากลางคืนทุกอย่างยิ่งเลือนลางจนต้องใช้ความพยายามเพ่งมองทาง
“แต่แกก็ไม่ควรไว้ใจผู้ชายนะ ปล่อยให้อยู่กันตามลำพังแบบนั้น อะไรๆก็เกิดขึ้นได้”
ส้มเช้งพูดไม่ทันขาดคำ กิ่งเหมยสะดุดฝาท่อระบายน้ำที่พื้นทำให้ล้มลง
“เป็นไรรึเปล่าแก”
ส้มเช้งรีบพยุงเพื่อนขึ้นมา พบว่ากิ่งเหมยได้แผลถลอกที่มือ
“ดูสิ...ได้แผลเลยแก เดินอยู่ๆดีทำไมสะดุดล้มได้ล่ะ อ๊ะ...หรือว่าห่วงเรื่องที่ฉันเตือนแก จนใจลอยตาไม่มองทางซะงั้น”
“ฉันไม่ได้ใจลอย”
“อ๊ะๆๆ...ไม่ต้องมาทำกลบเกลื่อนเลย ฉันเห็นแกตาลอยๆมาตั้งแต่กลางวันแล้ว”
“ฉันไม่อยากคุยกับแกแล้ว...ถึงบ้านแกรึยังเนี่ย”
ส้มเช้งงง
“เอ้า...แกนี่ก็ถามแปลกๆ ก็ถึงแล้วไง เนี่ยหน้าบ้านฉัน”
กิ่งเหมยชะงัก
“เหรอ...ฉันฟังแกพล่ามเพลินเลยไม่ทันสังเกตน่ะ”
“ฉันว่าแกเป็นเอามากนะเนี่ย เอางี้มั้ย ให้ฉันไปชวนคุณแพรมานอนที่บ้านฉัน แกจะได้ ไม่ต้องกลัวไอ้หยกจะนอกใจแก”
“ฉันไม่ได้กลัวหยกนอกใจจริงๆ เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว แกเข้าบ้านไปเถอะ ฉันต้องรีบกลับ”
กิ่งเหมยรีบเดินออกไป และเกือบจะสะดุดล้มอีกแต่ก็พยายามทำเป็นปกติพยุงตัวเอาไว้เพื่อไม่ให้ส้มเช้งสงสัย ส้มเช้งมองตามเพื่อนอย่างสงสัย
หยกเอาเตากระทะไฟฟ้ามาเสียบปลั๊กพ่วงทำบะหมี่สำเร็จรูปต้มยำหม้อไฟควันคลุ้งกลิ่นหอมฉุย
“อ้า...หม้อไฟบะหมี่ต้มยำ...สุโค่ย!”
หยกเอาตะเกียบคีบเส้นขึ้นมาแล้วดูดเส้นซดน้ำซุปโฮก
“โอ๊ยๆ...แซ่บเว่อร์”
ดุจแพรนั่งอยู่ใกล้ๆหางตามองอย่างหมั่นไส้ แต่ตัวเองก็แอบท้องร้องหิวอยู่เหมือนกัน
“ทุเรศ...ไม่มีมารยาท”
“อย่ามาทำแดกดันผมหน่อยเลยครับคุณหนู อยากกินก็บอกมาเถอะ ผมได้ยินเสียงท้อง คุณหนูร้องจ๊อกๆ”
“นี่นาย!”
หยกหัวเราะชอบใจแล้วคีบเส้นกินต่ออย่างเอร็ดอร่อย ดุจแพรแอบแช่งซะเลย
“ชิ...ขอให้ลวกปาก”
“โอ๊ยๆ...ร้อนๆ”
หยกโดนลวกปากจริงๆรีบลุกหาน้ำ
“น้ำ...น้ำอยู่ไหน”
หยกมองไปที่เหยือกน้ำวางอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ แต่พอจะเข้าไปคว้าก็เจอดุจแพรตัดหน้าแย่งไปทั้งเหยือกก่อน
“นี่...เอาน้ำมาให้ผมคุณหนู”
“อยากได้น้ำไปดับร้อนเหรอ...ได้สิ...เดี๋ยวฉันช่วยให้”
ดุจแพรยิ้มร้ายแล้วสาดน้ำในเหยือกใส่หน้าหยกเข้าไปเต็มๆน้ำเข้าหน้าเข้าจมูกเข้าปากแทบสำลัก
“เป็นไงล่ะนายหยก...หายแสบร้อนดีมั้ย”
“คุณหนู ! ผมเหลืออดกับคุณหนูแล้ว เอามานี่”
“ไม่ให้”
หยกกับดุจแพรยื้อแย่งเหยือกน้ำกันไป น้ำในเหยือกที่เหลือหกรดลงไปที่ปลั๊กพ่วงที่เสียบปลั๊กคาอยู่ ไฟช็อตแปล๊บๆประกายไฟพรึ่บ ตามมาด้วยไฟในห้องดับทันที
“เฮ้ย...ไฟช็อต...คุณหนู!”
หยกมองหน้าเอาเรื่องโทษว่าเป็นความผิดของดุจแพร แต่เธอกลับเชิดหน้าไม่สนใจ
“ไม่ใช่ความผิดฉันซะหน่อย...นายนั่นแหละที่ทำให้ไฟดับเอง”
กิ่งเหมยเดินมาตามทางอย่างลำบากเพราะตาเริ่มที่จะมองไม่เห็นอะไรแล้ว ส้มเช้งเดินตามหลังมาตลอดเห็นท่าทางของเพื่อนแล้วก็ยิ่งแปลกใจ จนเห็นกิ่งเหมยหยุดอยู่กับที่แล้วทรุดนั่งลงน้ำตาคลอเวทนาตัวเอง ส้มเช้งลองเดินเข้าไปใกล้ๆแล้วทดสอบเรียกดู
“กิ่งเหมย”
กิ่งเหมยชะงัก
“ส้มเช้ง...” กิ่งเหมยรีบปาดน้ำตา “นี่...นี่แกตามฉันมาทำไม”
“ฉันเป็นห่วงแกน่ะสิ เห็นท่าทางแกดูแปลกๆ”
“ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร แกกลับไปเถอะ”
“ถ้าแกไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ งั้นฉันกลับก็ได้”
ส้มเช้งบอกไปอย่างนั้นแต่ไม่ได้เดินออกไป กลับยืนอยู่เฉยๆใกล้ๆนั่นเอง กิ่งเหมยคิดว่าเพื่อนออกไปแล้วก็จะเดินไปต่อ แต่ต้องใช้มือคลำผนังด้านข้างค่อยๆเดินต่อไป ทำให้ส้มเช้ง ถึงกับอึ้งตกใจ
“กิ่งเหมย...ตาแกเป็นอะไร...แกมองไม่เห็นเหรอ”
กิ่งเหมย ตกใจ
“ส้มเช้ง!”
ส้มเช้งนั่งโอบไหล่กิ่งเหมยที่บริเวณศาลเจ้า ทั้งคู่นั่งร้องไห้ไปด้วยกัน
“เรื่องสำคัญขนาดนี้ ทำไมแกไม่บอกฉัน แกไม่เห็นฉันเป็นเพื่อนแกแล้วเหรอไง”
“ฉันไม่อยากให้แกเป็นห่วงฉันต่างหาก”
“ถ้าไม่ให้ฉันเป็นห่วงแก สู้ไล่ไม่ให้ฉันคบกับแกเลยซะดีกว่า”
“ฉันขอบใจที่แกเป็นห่วง แต่มันไม่มีทางที่ฉันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ในเมื่อ ความมืดกำลังรอฉันอยู่ ฉันก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ แต่ถ้าทุกคนคอยเป็นห่วง คอยช่วยฉัน ฉันก็คงเป็นได้แค่คนพิการ”
“แก...ฉันสงสารแกอ่ะ...ฮือๆ”
ส้มเช้งเห็นเพื่อนมีความพยายามต่อสู้กับชะตากรรม ก็อดน้ำตารื้นร้องไห้สงสารเพื่อนไม่ได้
“แกอย่าร้องไห้สิส้มเช้ง ความสงสารมันจะยิ่งทำให้ฉันอ่อนแอนะ”
“ก็ฉันเป็นห่วงแกนี่หว่า จากนี้ไป แกจะอยู่ยังไง ขนาดตาดีปกติยังทำมาหากินลำบาก แล้วตาบอดเนี่ยมันไม่ยิ่งแย่เข้าไปอีกเหรอ”
“ฉันต้องอยู่ได้สิ เพราะฉันยังต้องค้นหาความจริงเรื่องการตายของแม่กับอากง แล้วที่ สำคัญ กำลังใจจากหยกก็ทำให้ฉันพร้อมที่จะสู้”
กิ่งเหมยพูดไปก็นึกถึงกำลังใจจากหยกผู้ชายที่เธอรัก และเป็นกำลังใจให้จนพร้อมยกหัวใจให้หมดทั้งดวง
หยกเอาเตียงผ้าใบมากางนอนที่ด้านนอกดาดฟ้า มีเทียนที่จุดในขวดแก้ววางเรียงรายให้แสงสว่าง
“ยัยคุณหนูตัวแสบ มาคืนแรกก็ทำไฟดับฟิวส์ขาด...ปล่อยให้นอนอบอ้าวอยู่ในห้องไป นั่นแหละ”
ชายหนุ่มบ่นไปก็ล้มตัวลงนอนที่เตียงผ้าใบ แหงนหน้ามองดาวบนท้องฟ้าเห็นดวงดาวระยิบระยับ เขาคิดถึง คืนก่อนที่เขาพากิ่งเหมยมาดูดาวด้วยกัน หยกยิ้มมีความสุขแล้วกำลังจะเคลิ้มหลับ
“นายหยก…นายหยก!”
ดุจแพรเสียงดังทำเอาหยกเซ็งมากๆ
“นี่คุณหนู ดูเวลาไม่เป็นเหรอ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ผมไม่ใช่ยามนะจะได้ให้มานั่งถ่างตา เฝ้าคุณได้ทั้งคืน”
“ฉันเรียกนายแค่สองคำ แต่นายย้อนฉันเป็นขบวนรถไฟเลยนะ ระวังเถอะขี้บ่นตั้งแต่ยัง หนุ่มแบบนี้ แก่ตัวไปจะไม่มีใครเอา”
“นี่คุณ !”
หยกเซ็งขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วยเลยทำไม่สนใจลงไปนอนที่เตียงผ้าใบทำท่าจะนอนหลับ
“เดี๋ยว...อย่าเพิ่งนอนสิ ไฟดับแบบนี้ ข้างในห้องนายร้อนอย่างกับเตาอบ ฉันนอนไม่ได้”
“นอนไม่ได้ใช่มั้ยครับ งั้นเดี๋ยวผมจะโทรเรียกให้เสี่ยส่งคนมารับคุณกลับบ้าน”
“ไม่เอานะหยก...ฉันไม่กลับไปอยู่กับป๋าเด็ดขาด”
“ถ้าแค่นี้คุณยังทนไม่ได้ คุณก็อย่าดีแต่ปากเก่งว่าจะใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งพ่อเลย”
ดุจแพรโมโห
“นี่นายหาว่าฉันเก่งแต่ปากเหรอ”
“หรือไม่จริง”
“งั้นฉันไม่อยู่รบกวนนายที่นี่แล้วก็ได้ ฉันจะไปอยู่ที่อื่น”
ดุจแพรอารมณ์เสียเดินหน้าปั้นปึงออกไปเลย หยกหันไปมองตามแล้วถอนใจยาวและสบถเซ็ง
“โธ่เว้ย คืนนี้จะได้นอนมั้ยเนี่ย”
ดุจแพรเดินหน้าบึ้ง หยกกอดอกเดินตามออกมา
“ดึกดื่นป่านนี้คิดว่าจะไปหาที่พักที่ไหนได้ครับคุณหนู”
“ยุ่ง...โรงแรมมีเยอะแยะไป”
“ในที่สุดก็ต้องหาโรงแรมนอน...อย่างที่เสี่ยบอกผมไว้ไม่ผิด คุณหนูพยศได้แค่ไม่กี่วัน เดี๋ยวก็รีบแจ้นหาทางกลับบ้านเพราะทนอยู่ลำบากไม่ได้”
ดุจแพรอึ้ง
“ฉันไม่ไปนอนโรงแรมก็ได้ ฉันจะไปนอนกับกิ่งเหมย”
ดุจแพรรีบเดินไปต่อแต่หยกเข้าไปจับแขนดึงกลับมา พร้อมกับสองมือบีบไหล่จ้องหน้าเขม็ง
“แต่ผมให้คุณหนูไปนอนที่ไหนไม่ได้ คุณหนูต้องอยู่กับผมเท่านั้น”
“นี่...ปล่อย...อย่ามาบังคับฉันแบบนี้นะนายหยก”
“ไม่ปล่อย...หน้าที่ที่ผมรับปากเสี่ยไว้คือการรับผิดชอบชีวิตคุณหนู ถ้าทำไม่ได้ เสี่ยเล่น งานผมเละเป็นโจ๊กแน่”
“ดี...ฉันอยากเห็นนายเละเป็นโจ๊กเหมือนกัน”
ดุจแพรยิ้มร้ายแล้วกระทืบเท้าอย่างแรงจนเขาสะดุ้งปล่อยมือ ตามด้วยชกเปรี้ยงเข้าหน้า จนหยกผงะร้อง
“โอ๊ย!”
“ชิ...จำไว้ว่าอย่าหือกับฉัน”
ดุจแพรรีบวิ่งออกไป หยกมองตามโกรธไม่พอใจสุดๆ
“หาเรื่องเดือดร้อนเองนะคุณหนูตัวแสบ”
ดุจแพรรีบเดินออกมา แต่หยกวิ่งอ้อมมาดักขวางทาง ทั้งคู่จ้องหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกัน ดุจแพรหันไปคว้ากระถางต้นไม้ใกล้มือขึ้นมาพร้อมทุ่ม
“เอาสิ...ถ้าเข้าใกล้ฉันอีกล่ะก็...ต้นไม้ที่นายปลูกมากับมือโดนฉันทุ่มทิ้งแน่”
“อย่านะคุณหนู...ต้นไม้ผมกว่าจะปลูกให้โตให้สวยได้แบบนั้น ผมเลี้ยงมาเป็นเดือนๆนะ”
“งั้นก็หลบไป...อย่ามาขวางฉัน”
“ไม่”
“ไม่เหรอ...ก็ได้”
ดุจแพรจัดการทุ่มกระถางต้นไม้แตก เพล้ง !! ต่อหน้าต่อตาแบบไม่กลัวหยกจะโกรธ
“คุณหนู!”
ดุจแพรยิ้มร้าย
“บอกแล้วว่าอย่าท้าท้ายคนอย่างฉัน...จะหลบมั้ย”
“ไม่!”
“งั้นก็ดูต้นไม้ของนายตายต่อหน้าต่อตาไปเลย”
ดุจแพรหันไปคว้ากระถางอีกสองสามกระถางมาทุ่มแตกกระจาย หยกกำหมัดแน่นเจ็บใจโกรธและเหลืออดมากๆ
หยกนึกถึงช่วงเวลาที่เขากับกิ่งเหมยช่วยกันปลูกต้นไม้ลงกระถางอย่างมีความสุข หยกเอาดินใส่ เอาต้นไม้ลง แล้วปาดเหงื่อ ดินเลอะหน้า กิ่งเหมยขำ เขาเลยเอาดินป้ายหน้าเธอบ้างทำให้เธอโกรธไล่ตี...หยกเดินออกมาจากห้องพักในสภาพเพิ่งตื่นนอนหัวยังยุ่งๆแล้วเห็นกิ่งเหมยมารดน้ำต้นไม้ของเขาอย่างทะนุถนอม แล้วยังพูดคุยกับต้นไม้
“โตเร็วๆนะจ๊ะต้นไม้ของนายหยก”
กิ่งเหมยยิ้มกับต้นไม้แล้วดมกลิ่นหอมๆของดอกไม้ที่สวยงาม หยกยืนมองอย่างรู้สึกประทับใจ
หยกดูดุจแพรทุ่มกระถางต้นไม้ที่เขากับกิ่งเหมยช่วยกันดูแล แล้วโกรธจัดจนทนไม่ไหว
“หยุดบ้าซะที...ผมเหลืออดกับคุณเต็มทีแล้ว”
หยกหันไปคว้าสายยางฉีดน้ำมาฉีดใส่ดุจแพร ทำให้น้ำเข้าหน้าเข้าปากจนเธอต้องหยุดพยศ
“หยุดนะนายหยก...ฉันเปียกไปหมดแล้ว...บอกให้หยุด...หยุด”
ดุจแพรโวยวายจนลื่นล้มเองเพราะพื้นเจิ่งนองตัวเปียกโชก หยกจึงหยุดแล้วเข้ายืนมองหน้าเรียบเฉย
“บ้า...นายมันบ้าไปแล้ว”
“ใช่...ผมมันบ้า”
หยกยังไม่หยุดเล่นงานดุจแพร เข้าไปอุ้มจับเธอมาแบกขึ้นบ่าจนเธอตกใจ
“นี่นายจะทำอะไรฉันน่ะ...ปล่อยนะ...บอกให้ปล่อย!”
หยกแบกดุจแพรเข้าในห้องแล้วจับโยนลงบนโซฟา มีเทียนในถ้วยแก้วเล็กๆจุดเรียงราย
“โอ๊ย ! ฉันเจ็บนะ”
“รู้ตัวไว้ด้วยนะคุณหนู คุณน่ะดีแต่คิดถึงแต่ตัวเอง คิดว่าสิ่งที่คุณเจอมันเลวร้ายที่สุดใน ชีวิตแล้ว แต่แค่นั้นมันยังน้อยไปสำหรับคนอื่นที่ชีวิตต้องเจอแต่ความสูญเสีย พ่อแม่ก็ ไม่เหลือ แถมยังต้องรอชะตากรรมเป็นคนพิการอีก”
“นายพูดถึงใครอยู่”
หยกชะงัก
“ผมไม่ได้หมายถึงใคร แค่อยากให้คุณรู้ตัวว่าควรจะหยุดเรียกร้องทุกอย่างเพื่อ สนองความต้องการให้ตัวเองซะที”
ดุจแพรฟังหยกต่อว่าแล้วน้อยใจและเสียใจเลยตบหน้าเขาทันที พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้า
“ใช่สิ...ฉันมันไม่มีดีอะไรสักอย่าง เป็นคุณหนูที่ดีแต่คิดเข้าข้างตัวเอง มีชีวิตสุขสบายโต มาด้วยเงินที่ป๋าไปทำบาปทำกรรมไว้กับคนอื่น อิสระก็ไม่มีทำอะไรก็ไม่ได้ เป็นได้แค่นก ในกรงที่รอให้เขาป้อนข้าวป้อนน้ำ”
“คุณหนู...”
ดุจแพรเริ่มร้องไห้เสียใจ
“เวลาที่ฉันเรียกร้องอะไรก็เหมือนว่าฉันเอาแต่ใจตัวเอง แต่ถ้าเธอไม่ มาลองเป็นฉัน เธอไม่รู้หรอกว่าฉันอยากมีอิสระมากแค่ไหน”
ดุจแพรเริ่มร้องไห้ฟูมฟายเสียใจแล้วเข้าไปทุบอกหยกไม่หยุดมือ
“เธอไม่รู้หรอกหยก...เธอไม่รู้ว่าฉันต้องการอะไร...ฮือๆๆ...เธอไม่รู้...เธอไม่เคยรู้เลย...ฮือๆๆ”
ดุจแพรเอาแต่ร้องไห้น่าเวทนาสงสารจนหยกต้องจับมือเธอให้หยุด แล้วมองหน้าเธออย่างใกล้ชิด
“ผมขอโทษครับคุณหนู...บอกผมมาสิครับว่าคุณหนูต้องการอะไร”
ดุจแพรนิ่งมองหน้าหยกแล้วตัดสินใจจูบที่ปากเขาทันที...หยกอึ้งตะลึง
กิ่งเหมยอยู่ในห้องนอนนั่งอยู่ตรงหน้าเฟรมกระดาษ มือกำถ่านดรออิ้งสำหรับวาดภาพ เธอพยายามเพ่งไปที่ กระดาษแล้วมือจรดปลายถ่านค่อยๆร่างภาพใบหน้าของหยก แต่วาดไปได้แค่ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุดเพราะภาพที่ ออกมาเป็นภาพใบหน้าที่บิดเบี้ยวจากผลของการที่ตามองเห็นเพียงแค่ลางๆ เธอดึงกระดาษออกจากเฟรมขยำทิ้งแล้วพยายามจะวาดอีกครั้ง แต่ก็เหมือนครั้งแรกเธอไม่สามารถวาด ภาพหยกได้อีก เธอขยำกระดาษทิ้งแล้ววาดทำซ้ำหันอยู่หลายครั้งจนท้อใจ นั่งเศร้าเสียใจ
“หยก...ถ้าคำอธิษฐานต่อดวงดาวเป็นจริงได้ ฉันอยากจะขอให้ตาฉันไม่ต้องบอด ฉันจะ ได้เห็นหน้าเธอในทุกๆวันที่ฉันตื่น...ฮือๆๆ”
กิ่งเหมยร้องไห้ด้วยความเสียใจ
ดุจแพรจูบหยกอยู่ครู่ใหญ่ เขาผงะไปครู่ที่เธอเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน เขารีบดันเธอออกจากตัว
“คุณหนู!”
ดุจแพรนิ่งผงะเพราะเพิ่งรู้สึกตัวว่าได้เปิดเผยความในใจที่มีต่อเขาไป รีบถอยไปยืนกอดตัวเองน้ำตาซึม
“ฉัน...ฉันจะไม่ไปไหนแล้ว เธอออกไปเถอะหยก”
“คุณหนู”
“ออกไปสิ...ฉันอยู่ได้แล้ว”
“ครับคุณหนู”
หยกเดินออกไปทิ้งให้ดุจแพรนั่งลงกอดตัวเองน้ำตาซึมอย่างน่าสงสาร ก่อนจะมองตามเขาแล้วพูดออกมาเบาๆ
“หยก...เธอรู้แล้วนะว่าฉันต้องการอะไร”
วันใหม่...อาม่าเปิดประตูออกมาจากบ้านก็เจอส้มเช้งมายืนรออยู่ที่หน้าบ้าน
“อ้าว...ส้มเช้ง นี่ลื้อมาทำอะไรแต่เช้า”
“มารอกิ่งเหมยจ้ะอาม่า”
“รอ...ตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันจะขันเนี่ยนะ จะพากันไปไหน”
“เอ่อ...ฉัน...ฉันกับไอ้กิ่งเหมยจะไป...ไป…”
กิ่งเหมยออกมา
“ส้มเช้งจะไปสมัครงานค่ะอาม่า ก็เลยมาชวนเหมยให้ไปเป็นเพื่อน”
ส้มเช้งรีบเออออ
“เอ่อ...ใช่ค่ะอาม่า หนูกำลังจะไปสมัครงาน”
“สมัครงานเหรอ...เออ...ดี รู้จักหางานทำก็ดีแล้ว จะได้ไม่ลอยไปลอยมาอยู่ในตรอกเนี่ย”
“โห...อาม่า...แรงอ่ะ คนนะไม่ใช่ลูกโป่งจะได้ลอยไปลอยมาได้”
“อั้วขี้เกียจเถียงกับลื้อแล้ว จะรีบไปสมัครงานไม่ใช่เหรอ ไปสายเดี๋ยวเขาก็ไม่รับลื้อหรอก”
“ค่ะอาม่า”
ส้มเช้งรีบแถเข้าไปเกาะแขนกิ่งเหมยคอยช่วยประคองให้
“ค่อยๆเดินตามฉันมานะแก”
ส้มเช้งพากิ่งเหมยออกไป อาม่ามองตามแล้วอดสงสัยไม่ได้
“ทำไมมันต้องเดินประครองกันไปด้วย ทำอะไรแปลกๆ”
อาม่าบ่นไปแต่ก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร หันไปหยิบไม้กวาดมากวาดหน้าบ้านตามปกติ
ส้มเช้งช่วยจับมือพากิ่งเหมยเดินมาตามตรอก แล้วหยุดให้พักระหว่างทางส่วนตัวเองย้อนกลับไปดูว่าอาม่าตามมารึเปล่า กิ่งเหมยถามอย่างกังวล
“อาม่าฉันตามมารึเปล่า”
“เปล่า ทางโล่งสะดวกปลอดภัย แต่นี่แก ฉันว่าแกอย่าหาเรื่องใส่ตัวเลยดีกว่า บอกความ จริงอาม่าไปเถอะ”
“ฉันจะบอกอาม่าก็ต่อเมื่อฉันรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว”
“แต่แม่แกกับอากงแกก็ตายไปตั้งหลายปีดีดักแล้ว แกจะไปสืบให้รู้ทำไมอีก ปล่อยๆมัน ไปเถอะ รู้มาก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“มีสิ...ที่อาม่าฉันต้องอยู่กับความกลัวและต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อพาฉันหนีจากเสี่ยตง ถ้าฉัน หาความจริงไม่ได้ แล้วฉันจะช่วยอาม่าได้ยังไง”
“มันก็จริง...แต่ฉันกลัวมันจะอันตรายเกินกว่าที่แกจะรับมือ น่าจะปล่อยให้ไอ้หยกจัดการ”
“หยกมีเรื่องต้องทำเยอะแล้ว ฉันอยากรู้ด้วยตัวเองมากกว่า”
กิ่งเหมยบอกส้มเช้งไปแล้วใช้มือช่วยคลำผนังเดินออกไป ส้มเช้งมองตามเป็นห่วงเพื่อน
“เอาวะ...ฉันมันเพื่อนตายแกอยู่แล้วนี่”
ส้มเช้งรีบตามกิ่งเหมยไป
ในอดีต...ตงพาดุจแพรในวัยเด็กมานั่งกินอาหารเหลาฉลองวันเกิดให้ลูกสาว
“กินเยอะๆนะลูก...นี่...หูฉลามอร่อยนะ กินเสร็จแล้วป๋าเตรียมเค้กวันเกิดไว้ให้ด้วย”
“แพรไม่อยากกินหูฉลาม ไม่อยากกินเค้ก แพรอยากได้ตุ๊กตาบาร์บี้”
ป้าจั่นเข้ามาปลอบโปลม
“จำที่ป้าสอนไม่ได้เหรอคะคุณหนู จะแกะของขวัญจะได้ก็ต่อเมื่อคุณหนูทานข้าวเสร็จ ก่อนนะคะ”
“แต่แพรไม่หิว แพรจะเอาของเล่น”
“เอาล่ะๆ...ตามใจอาหมวยของฉันเต็มที่เลย วันนี้วันของเขา เอาของขวัญลูกสาวฉันมา”
โปรดติดตามตอนที่ 11