xs
xsm
sm
md
lg

รากบุญ ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รากบุญ ตอนที่ 10

นักพนันจำนวนหนึ่งกำลังเปิดบ่อนเล่นพนันกันอยู่ในโถงบ้าน ทันใดนั้น ตำรวจกลุ่มหนึ่งก็พังประตูหน้าต่างแล้วกรูกันเข้ามาจับบรรดานักพนันทันที กลุ่มนักพนันตกใจ บางคนวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง แต่ส่วนใหญ่ถูกตำรวจจับได้หมด
       นวัชกับตำรวจอีกกลุ่มหนึ่งกำลังซุ่มอยู่นอกบ้าน นวัชมีท่าทีเหม่อลอยเพราะอกหักจากเจติยาจนเซื่องซึม และใจลอยไปหมด
       ตำรวจนายหนึ่งดูสถานการณ์ในบ้านแล้วก็พูดกับนวัช “หนีมาทางเราแล้วครับ”
       นวัชเหม่อลอยทำให้ไม่ได้ยินแม้แต่น้อย
       ตำรวจนายนั้นเห็นนวัชเหม่อก็เรียก “หมวดครับ”
       นวัชเพิ่งรู้ตัว “อะไรจ่า”
       ทันใดนั้นนักพนันกลุ่มหนึ่งก็วิ่งหนีออกมาจากบ้าน พวกตำรวจที่ซุ่มอยู่รีบกรูกันเข้าไปจับนักพนันที่หนีออกมาทันที นวัชตรงเข้าไปจับตัวนักพนันคนหนึ่งไว้แต่ด้วยความที่สติไม่อยู่กับตัวนักพนันคนนั้นเลยสลัดหลุด ก่อนที่จะหันไปชกหน้านวัชจนหน้าหงาย นวัชเสียหลักเซหัวไปโขกกับรั้วบ้านจนหัวแตกเลือดไหลออกมา
       แต่นักพนันคนนั้นก็หนีไม่รอดเพราะโดนตำรวจที่เหลือเข้ามาล็อกตัวไว้ได้ นวัชยกมือขึ้นกุมหัวที่แตกเลือดไหลออกมาด้วยสีหน้าเจ็บๆ
       
       นวัชทำแผลเสร็จแล้วเดินออกมาจากด้านในคลีนิค โดยมีตำรวจนายหนึ่งนั่งรออยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์รับยาของคลินิก
       “หมวดครับ ตอนที่หมวดทำแผลอยู่ มีคนโทรเข้ามือถือหมวด ผมเลยบอกว่าหมวดอยู่ที่คลินิก เดี๋ยวเค้าจะมาหานะครับ” ตำรวจนายนั้นบอก
       “ใครเหรอ บอกชื่อไว้รึเปล่า” นวัชถาม
       “เปล่าครับ แต่เป็นผู้หญิง”
       นวัชแอบหวังว่าจะเป็นเจติยาแต่ยังไม่ทันไร นิษฐาก็เดินเข้าคลินิกมาด้วยความห่วงใยนวัช
       นิษฐาเป็นห่วงนวัช “พี่หมวด เป็นอะไรมากรึเปล่าคะ”
       นวัชหน้าจ๋อยทันทีเพราะผิดหวังที่เป็นนิษฐาไม่ใช่เจติยาอย่างที่เขาหวังไว้ นวัชฝืนยิ้มให้นิษฐา
       
       นวัชถือถุงใส่ยาเดินกลับเข้ามาในบ้าน โดยมีนิษฐาเดินตามหลังมา
       นิษฐาห่วง “คุณหมอจ่ายยาแก้ปวดมาให้ด้วยรึเปล่าคะ”
       “รู้สึกว่าจะมีนะครับ น้ำส้มมั้ย”
       “อะไรก็ได้ค่ะ”
       นวัชเดินไปรินน้ำส้มที่ตู้เย็น
       นิษฐาเดินตามถาม
       “พี่หมวดยังปวดแผลอยู่รึเปล่าคะ”
       นวัชรินน้ำส้มใส่แก้วพร้อมพูดไปด้วย “ปวดตุบๆนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับต้องกินยาหรอก พี่ไม่ชอบกินยา”
       นิษฐาเป็นห่วง “แต่ฐาว่าควรจะทานยาตามที่หมอสั่งนะคะ ถึงจะไม่ใช่แผลใหญ่ แต่ถ้าเราไม่ดูแลให้ดี มันก็อาจจะลุกลามได้นะคะ”
       นวัชรำคาญ “พี่ไม่ใช่เด็กๆแล้วน่า ดูแลตัวเองได้” นวัชส่งแก้วน้ำส้มให้แล้วเดินเลี่ยงไป
       นิษฐารับแก้วน้ำส้มไว้ด้วยสีหน้าน้อยใจ “วันนี้ดูพี่หมวดอารมณ์เสียจังเลยนะคะตั้งแต่เห็นฐาที่คลินิกแล้ว”
       “พี่หัวแตก ใครจะอารมณ์ดีอยู่ได้ล่ะ”
       นิษฐาแอบแขวะ เธอน้อยใจจนน้ำตาคลอ “ถ้าเป็นเจไปที่คลินิก พี่หมวดคงอารมณ์ดีขึ้นเยอะ” 
       นวัชรู้สึกว่านิษฐาพูดแทงใจดำ “ฐาจะพูดให้ได้อะไรขึ้นมา เจเค้าพูดชัดเจนขนาดนั้นแล้ว ฐาก็ได้ยินกับหู พี่จะเป็นจะตายยังไง เจเค้าก็ไม่มาสนใจใยดีพี่หรอก”
       นิษฐาสวนไปทันที “แต่ฐาสน”
       นวัชจ้องหน้านิษฐา นิษฐาน้ำตาร่วงผลอยออกมาทันที นวัชอึ้งไป
       นิษฐารีบปาดน้ำตาออกแล้วยัดแก้วน้ำส้มใส่มือนวัชคืน เธอเสียใจปนอายจึงรีบเดินก้มหน้าก้มตาออกไปจากบ้านนวัช นวัชมองตามนิษฐาไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพาลเกินไปเหมือนกัน เขาได้แต่ถอนหายใจยาวออกมา
       
       เจติยาเดินสะพายเป้เข้ามาในห้องแต่งศพตอนกลางดึก พอเดินเข้ามา เจติยาก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นลาภิณกำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้อง
       ลาภิณยืนคุยมือถือ “บอกเค้านะว่าไม่ต้องห่วง โปรเจ็คทุกอย่างจะเดินหน้าไปเหมือนเดิม ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้เอง” ลาภิณฟัง “โอ.เค. ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉันจะติดต่อกลับไปอีกที” ลาภิณกดวางสาย
       ลาภิณวางโทรศัพท์มือถือลงที่โต๊ะข้างๆ แล้วยิ้มให้เจติยา
       “เพิ่งจะหายป่วย น่าจะพักผ่อนอยู่ที่บ้านมากกว่ามาโหมงานทันทีนะคะ” เจติยาบอก
       ลาภิณยิ้มบางๆ “มีหลายอย่างที่ฉันต้องรีบเข้ามาแก้ ก่อนจะสายเกินไป”
       เจติยายิ้มรับ “แล้วนี่มีงานอะไรด่วนรึเปล่าคะ คุณถึงได้เข้ามารอถึงในห้อง”
       ลาภิณยิ้ม “ฉันก็จะมาขอบคุณเธอน่ะสิ เธอเป็นคนช่วยชีวิตฉันไว้ แต่ฉันยังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเธอเลย”
       เจติยายิ้มแย้ม
       ลาภิณตัดพ้อ “ตอนฉันไม่รู้สึกตัว เธอไปเยี่ยมฉันได้ทุกวัน แต่พอฉันหาย เธอกลับไม่ไปให้เห็นซะนี่”

“อ้าว ก็คุณหายแล้วจะให้ฉันไปเยี่ยมอีกทำไมล่ะคะ วันๆมีคนไปเยี่ยมคุณเยอะแยะเต็มห้อง ฉันไปก็เกะกะเปล่าๆ” เจติยาเดินไปเก็บของที่โต๊ะทำงาน
       ลาภิณมองตาม “เธอรู้เรื่องที่ฉันปลดน้าพิสัยออกรึยัง”
       “ทอล์คออฟเดอะทาวน์ซะขนาดนี้ ขนาดฉันอยู่บ้าน ยังมีคนโทรไปเล่าให้ฟังเลยค่ะ” เจติยาถามหน้าเครียด “เอ่อ คุณปลดคุณพิสัย เพราะเรื่องฉันรึเปล่าคะ”
       ลาภิณหน้าขรึมลง “ก็ส่วนนึง แต่รู้อะไรมั้ย ช่วงเวลาเฉียดตาย ที่วิญญาณฉันออกจากร่างมันก็มีข้อดีนะ อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ในเรื่องที่ฉันไม่มีวันจะได้รู้”
       เจติยาหันมองลาภิณด้วยสีหน้าสงสัยว่าเขารู้เรื่องอะไรมา
       ลาภิณหน้าขรึมลง “มันเจ็บมากนะที่ได้รู้ว่าคนที่เรารักและไว้ใจมาก กำลังคิดคบกับคนอื่นหักหลังเราอยู่”
       เจติยาสงสัย “หมายถึงใครคะ”
       ลาภิณถอนใจ “ช่างเถอะ อย่าพูดถึงมันอีกเลย” ลาภิณตัดบท “ฉันไม่รบกวนเวลางานเธอแล้ว ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะเจ” ลาภิณมองหน้าเจติยาด้วยสีหน้าแววตาซึ้งใจ “เธอไม่ใช่แค่มีบุญคุณกับฉัน แต่ตอนนี้เธอยังเป็นทั้งเพื่อน และคนที่ฉันไว้ใจมากที่สุดอีกด้วย”
ทั้งคู่สบตากันนิ่งๆ
       ลาภิณเอ่ยออกมา “ขอบคุณมากนะ”
       เจติยาเขิน “ตั้งแต่เข้ามานี่คุณขอบคุณฉันเกิน 5 ครั้งแล้วมั้งคะ”
       ลาภิณยิ้มๆ “เกินไป”
       เจติยากระเซ้า “แล้วก็อย่านึกสนุกออกจากร่างอีกแล้วกัน ฉันไม่อยากมี 2 เงา”
       ลาภิณขำ “ไม่ดีเหรอ ไม่เหงาดีออก”
       “สยองมากกว่าค่ะ”
       ลาภิณยิ้มๆ “ทำงานเธอต่อเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว” ลาภิณเดินออกจากห้องไป
       เจติยามองตามลาภิณไปก่อนจะไปหยิบสมุดส่งงานมาอ่านดูว่าลุงทวีจะมอบหมายงานอะไรให้เธอทำต่อบ้าง แล้วเจติยาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของลาภิณวางทิ้งไว้บนโต๊ะ
       “อ้าว” เจติยารีบไปหยิบมือถือแล้วตามไปคืนให้ลาภิณ
       
       พนักงานทำความสะอาดคนหนึ่งที่สวมหมวกปิดบังใบหน้ากำลังทำความสะอาดพื้นอยู่ ลาภิณเดินผ่านมา แบบไม่ได้สนใจอะไร พนักงานคนนั้นซึ่งก็คือเชิดปลอมตัวมาเหล่มองลาภิณตลอดเวลา พอลาภิณเดินผ่านไป เชิดก็ชักปืนออกมาหมายจะยิงเข้าที่หัวลาภิณจากทางด้านหลัง เจติยาเดินตามลาภิณออกมา เพื่อจะเอาโทรศัพท์มาคืนเรียกลาภิณไว้
       “คุณลาภิณคะ...”
       เจติยาตกใจสุดขีดที่เห็นเชิดถือปืนจะยิงลาภิณ ในขณะที่เชิดก็ตกใจเช่นกันเพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาเห็นเข้า จังหวะเดียวกันนั้นลาภิณได้ยินเสียงเจติยาเลยหันกลับมาทำให้เห็นเชิดกำลังจะยิงตน เชิดตั้งสติได้จึงหันไปมองลาภิณแล้วจะเหนี่ยวไก แต่ลาภิณไวกว่าจึงโผเข้าแย่งปืนของเชิดเพื่อไม่ให้ยิงได้ถนัด
       ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงเพื่อแย่งปืนกันจนหมวกของเชิดหลุดทำให้เห็นหน้าเชิดชัดเจน เจติยาเห็นท่าไม่ดี เลยรีบไปกดสัญญาณเตือนภัยไฟไหม้จนเกิดเสียงกริ่งดังไปทั่วตึก เชิดตกใจทำให้เสียจังหวะ ลาภิณบิดมือเชิดจนปืนหลุดก่อนจะต่อยซ้ำที่หน้าเชิดไปเต็มหมัด ลาภิณรีบไปหยิบปืนมา แต่เชิดเตะข้อมือลาภิณจนปืนหลุดกระเด็นไปไกล
       เชิดเตะลาภิณจนผงะหงายไป แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปซ้ำเพราะเสียงกริ่งยังดังไม่หยุด เชิดฉวยโอกาสวิ่งหนีไปทันที ลาภิณจะวิ่งตาม แต่เจติยารีบเข้าไปห้ามไว้
       เจติยาห้ามด้วยความเป็นห่วง “อย่าตามค่ะ เรามีกล้องวงจรปิด ให้ตำรวจเป็นคนจัดการต่อเถอะค่ะ”
       ลาภิณเชื่อเจติยาจึงไม่ตามไป แต่ก็มองตามเชิดไปด้วยความเจ็บใจ
       
       ตำรวจสเก็ตใบหน้าของเชิด เจติยาและลาภิณกำลังดูภาพเหมือนเชิดอยู่ที่สถานีตำรวจโดยมีนวัชอยู่ใกล้ๆ
       นวัชแอบเหล่เจติยาเรื่อยๆ ด้วย่ทาทางจ๋อยๆ ซึมๆ ลาภิณและเจติยาดูรูปแล้วก็หันมามองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าให้กันแล้วหันไปพูดกับนวัช
       “เหมือนค่ะพี่หมวด คนนี้ล่ะค่ะ” เจติยาบอก
       นวัชรีบหลบสายตาไปมองทางลาภิณแทน “เรามีทั้งภาพสเก็ต อาวุธปืนที่มีลายนิ้วมือคนร้าย แล้วยังภาพจากกล้องวงจรปิดอีก อย่างงี้ ผมมั่นใจว่าคงจับตัวคนร้ายได้ไม่ยากหรอกครับ” นวัชยิ้มให้ลาภิณโดยไม่สบตามองเจติยาเลย
       “งั้นก็ฝากด้วยนะครับหมวด” ลาภิณบอก
       “ไม่ต้องห่วงครับ”
       เจติยาหันไปพูดกับลาภิณ “ถ้าเป็นคนเดียวกับที่ยิงคุณคราวที่แล้วก็ดีสิคะ งานนี้จะได้สาวให้ถึงต้นตอไปเลย”
       นวัชแอบเหล่มองเจติยาเล็กน้อย
       ลาภิณพูดด้วยสีหน้าเจ็บใจ “ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าฝีมือใคร”
       นวัชมีสีหน้าซึมๆไป
       นวัชเอ่ยลาเพราะไม่อยากเห็นภาพบาดตา “งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”
       นวัชลุกขึ้นแล้วเดินเลี่ยงไปแบบซึมๆ
       ลาภิณมองตามนวัชด้วยความแปลกใจ “วันนี้หมวดเค้าเป็นอะไร ท่าทางซึมๆ ไม่เหมือนปกติ”
       เจติยายิ้มแหยๆ เพราะรู้ว่านวัชซึมเพราะอกหัก เธอรีบตัดบท “คงทำงานหนักมั้งคะ ไม่มีอะไรแล้ว เราแยกย้ายกันดีกว่า”
       “เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลย เธอไปทานเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” ลาภิณบอก
       “ทานง่ายๆ แถวนี้แล้วกัน ฉันต้องรีบกลับไปทำงานต่อ”
       “ได้ทั้งนั้นล่ะ ฉันไม่อยากทานคนเดียว”
       “ก็โทรตามแฟนคุณมาทานด้วยสิคะ” เจติยาลุกขึ้น
       ลาภิณลุกตามพร้อมพูด “ผมกับปริมเลิกกันแล้ว”
       เจติยาอึ้งไปเพราะนึกไม่ถึง

“คุณแม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของผม”ลาภิณพูดต่อ
       เจติยาอึ้งๆ เพราะพูดไม่ออก
       “ต่อไปนี้คุณไม่ไหนมาไหนกับผม ไม่ต้องกลัวปริมจะมาอาละวาดแล้วล่ะ” ลาภิณยิ้มให้
       เจติยายังงงๆ “แล้วทำไมฉันต้องไปไหนมาไหนกับคุณด้วยล่ะ” เจติยารีบเดินก้มหน้างุด หนีออกไปก่อนเลย
       ลาภิณอมยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วเดินตามเจติยาออกไป นวัชที่แอบมองอยู่ที่มุมหนึ่งของโรงพักยิ่งซึมเศร้าหนักขึ้นไปอีก
       
       พิสัยกำลังอาละวาดใส่ปองและย้งที่ห้องในคอนโด
       พิสัยโมโหมาก ไครั้งแรกก็ยิงมันไม่ตาย ให้แก้ตัวก็ยังพลาด แล้วยังหน้าด้านมาขอเงินค่าจ้างฉันอีกเหรอ”
       ย้งจ๋อย “แต่ไอ้เชิดมันจำเป็นต้องใช้เงินในการหลบหนีนะครับ คุณพิสัย เมตตามันซักครั้งเถอะครับ”
       พิสัยตะคอก “รู้มั้ยว่าไอ้ต้นมันแอบติดกล้องวงจรปิดเพิ่มตั้งกี่จุดคราวเนี้ยมันสาวถึงตัวฉันแน่” พิสัยมีสีหน้ากังวล
“ไอ้เชิดมันระวังตัวดี ลำพังแค่ภาพจากกล้องวงจรปิด เห็นหน้าไม่ชัดหรอกครับ” ปองบอก
       “ถ้าคุณพิสัยยังไม่สบายใจก็น่าจะให้เงินไอ้เชิดมันซักก้อน มันจะได้หนีออกนอกประเทศไปซะ คุณจะได้ไม่ต้องกังวลใจอีก”
       พิสัยมีสายตาที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม “มีแต่มันต้องตายเท่านั้นล่ะฉันถึงจะหมดกังวลได้จริงๆ”
       ย้งชะงักไปแล้วก็หน้าซีดด้วยความหวาดกลัวเพราะห่วงเชิดว่าจะถูกพิสัยเก็บ
       
       ย้งเดินหน้าเครียดมาพร้อมกับปอง
       ย้งเครียด “ข้ากลัวว่าคุณพิสัยจะปิดปากไอ้เชิดว่ะ”
       “ไม่หรอก ถึงคุณพิสัยจะร้ายกาจแค่ไหน แต่เราก็รับใช้เค้ามานาน คงไม่ทำกันหรอกวะ แค่ขู่เท่านั้นแหละ” ปองว่า
       ย้งเครียด “มันก็ไม่แน่หรอกไอ้ปอง ถ้าคุณพิสัยจริงใจทำไมไม่ให้เงินไอ้เชิดมันหนีไปล่ะ”
       “ก็ไอ้เชิดมันขอเป็นล้าน มันก็ต้องนานหน่อยสิวะ”
       “เงินแค่เนี้ย ขนหน้าแข้งคุณพิสัยไม่ร่วงหรอก ข้าว่าเตะถ่วงมากกว่า เอ็งคิดดูนะไอ้ปอง พวกเรารู้ความลับคุณพิสัยมากที่สุด ถ้าปิดปากไอ้เชิดแล้ว คิวต่อไปก็เอ็งกับข้านี่แหละ”
       ปองชักเครียดตามแต่ก็ยังเชื่อว่าพิสัยไม่ทำอยู่ดี “เฮ้ย เอ็งคิดมากไปแล้วไปๆ กินเหล้าดีกว่า”
       ปองลากย้งเข้าลิฟท์ไปแต่ย้งยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี
       
       เช้าวันใหม่ ลาภิณเดินลงมาจากชั้นบนของบ้าน แล้วเขาก็ชะงักไปเมื่อเห็นพิสัยนั่งคุยกับชูจิตอยู่ที่โซฟารับแขก
       ลาภิณไม่พอใจรีบปรี่เข้าไปไล่ “คุณมาที่นี่อีกทำไม เชิญกลับไปได้แล้ว บ้านนี้ไม่ต้อนรับคุณ”
       ชูจิตอึดอัดใจเพราะคนนี้ก็ลูกคนนั้นก็น้อง
       พิสัยพยายามระงับอารมณ์ “คุณต้นครับ คุณอาจจะไล่ผมออกจากนิราลัยได้ แต่ไล่ผมออกจากความเป็นน้องชายของพี่จิตไม่ได้หรอกนะครับ”
       ชูจิตพยายามไกล่เกลี่ย “ใจเย็นๆก่อนนะต้น น้าเค้าแค่แวะมาเยี่ยมแม่เฉยๆ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ” ชูจิตตัดบท “เอ่อ แล้วทางตำรวจเค้าว่ายังไงบ้างล่ะ”
       “ก็ใกล้จะได้ตัวคนร้ายแล้วล่ะครับ เดี๋ยวคงได้รู้กัน” ลาภิณมองหน้าพิสัย “ว่าใครที่มันตามจองล้างจองผลาญผมไม่เลิก”
       พิสัยหน้าเครียด แล้วหันไปพูดกับชูจิต “ผมกลับก่อนนะครับพี่จิต อยู่นานไปเดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นมาก็จะโทษผมอีก คนอย่างผมมันเลว ถึงพยายามจะทำดีแค่ไหน ก็ไม่มีใครเค้าให้โอกาสหรอกครับ”
       ชูจิตนิ่งไปเพราะลึกๆ ก็แอบใจอ่อนเพราะรักน้อง พิสัยไหว้ลาชูจิตก่อนจะเดินออกไปจากโถงบ้านพร้อมตีหน้าซึมเศร้า
       “คุณแม่อย่าเผลอใจอ่อนอีกนะครับ” ลาภิณบอก
       ชูจิตสงสารน้องจึงถอนหายใจ “ต้นจ๊ะ ถึงพิสัยเค้าจะทำไม่ดีมามาก แต่ไอ้เรื่องที่จะถึงขั้นยิงต้น แม่ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก น่าจะเป็นพวกที่เสียผลประโยชน์มากกว่า”
       “แล้วใครที่เสียผลประโยชน์ที่สุดตอนนี้ล่ะครับ ถ้าไม่ใช่น้าพิสัย”
       ชูจิตจ๋อยไป
       “คุณแม่รับปากผมแล้วนะครับ ว่าจะให้ผมจัดการทั้งเรื่องน้าพิสัย แล้วก็เรื่องปริมเอง”
       ชูจิตหน้าจ๋อย “จ้ะ ก็สุดแล้วแต่ต้น แม่ไม่ยุ่งด้วยก็ได้”
       ชูจิตลุกขึ้นแล้วเดินเลี่ยงไปด้วยสีหน้าเครียดๆ เพราะไม่สบายใจ
       ลาภิณมองตามพิสัยไปด้วยสายตาเกลียดชังเหมือนกำลังมองศัตรู เป็นสายตาที่ต่างจากที่แล้วมาเพราะที่ผ่านมายังมีความเกรงใจที่พิสัยเป็นญาติอยู่บ้าง
       
       โรงพักในตอนเช้าคนยังไม่พลุกพล่านมากนัก นวัชเดินออกมาจากด้านในด้วยสีหน้าซีดเซียวเพราะไข้ขึ้น เขามองหาที่นั่งพัก ตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาหานวัช
       “หมวดครับ รู้ตัวคนที่ดักยิงคุณลาภิณแล้วครับ” ตำรวจเอะใจ “หมวดเป็นอะไรรึเปล่าครับ หน้าซีดๆ”
       นวัชอ่อนเพลียแต่ก็ไม่ตอบ เขาลุกขึ้นยืน “ตกลงมันเป็นใคร”
       “มันชื่อไอ้เชิดครับ สมญาเชิดร้อยศพ เป็นมือปืนระดับหัวแถวบ้านเดิมมันอยู่ที่...”
       ตำรวจยังพูดไม่จบ นวัชก็เซจะล้มเพราะไข้ขึ้นสูงจนเวียนหัว เขาต้องหาที่จับเพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลง
       ตำรวจตกใจรีบเข้าไปประคองนวัช “หมวดครับ” ตำรวจประคองให้นวัชนั่งลง
       นวัชหน้าซีดเพราะไข้ขึ้น เขามึนหัวจนพูดอะไรไม่ออกจึงได้แต่หลับตานั่งพัก

นวัชนอนหลับสนิทอยู่ที่โซฟารับแขก เขาขยับตัวพลิกจนรู้สึกตัวตื่น นวัชขยับขึ้นมานั่งอย่างงงๆ ว่าตนมาอยู่ที่บ้านได้ยังไง เขาได้ยินเสียงดังมาจากในครัวจึงลุกเดินไปดู นวัชเห็นนิษฐากำลังยืนหันหลังทำข้าวต้มหมูสับอยู่หน้าเตา เขาอึ้งไปเล็กน้อย นิษฐาปิดเตาแล้วหันมาหยิบชามจึงเห็นนวัช
       “อ้าวพี่หมวด ค่อยยังชั่วรึยังคะ”
       “เธอมาได้ยังไง” นวัชมีสีหน้าสงสัย
       “พอดีฐามาบ้านเจ เห็นคุณจ่า...”
       นวัชถามสวนไปทันทีด้วยท่าทางอยากรู้ “แล้วเจล่ะ มาด้วยรึเปล่า”
       นิษฐาอึ้งปนจ๋อยไปเล็กน้อย
เจติยายกมือไหว้ลาตำรวจที่พานวัชมาส่งที่หน้าบ้าน
       “ขอบคุณมากนะคะที่พาหมวดมาส่ง”
       “โชคดีวันนี้แฟนมารับพอดี มีรถมาส่งไม่งั้นคงแย่เหมือนกันมอเตอร์ไซค์ของหมวด ผมจอดให้อย่างดีที่โรงพัก บอกหมวดไม่ต้องห่วงนะครับ”
       เจติยายิ้มแย้ม “ค่ะ”
       ตำรวจมีสีหน้าเป็นห่วง “หมวดแกเป็นอะไรไม่รู้นะครับ ทำงานไม่พักไม่ผ่อน ไม่ใช่เวรก็จะอยู่เป็นเพื่อน บอกกลับบ้านแล้วเหงา”
       เจติยาจ๋อยไปเพราะรู้ว่าตนเป็นต้นเหตุ
       “ร่างกายคนไม่ใช่เครื่องจักร ถึงได้วูบไปไงครับ”
       เจติยาฝืนยิ้มบางๆ “ค่ะ”
       
       นิษฐายกถาดใส่ชามข้าวต้มหมูมาตั้งที่โต๊ะอาหารที่มีจานแบ่งพร้อมช้อน 3 ชุดวางอยู่ นวัชเดินตามมา
       “พี่หมวดทานก่อนเถอะค่ะ” นิษฐาตักข้าวต้มใส่จานแบ่งให้นวัช
       นวัชชะเง้อมองไปหน้าบ้าน
       นิษฐาหมั่นไส้ “ไม่มีอาหารรองท้อง เดี๋ยววูบเป็นลมขึ้นมาอีก จะไม่ได้เห็นหน้าเจ”
       นวัชชะงักหันมามองหน้านิษฐา
       “จะกินเองหรือรอเจเข้ามาป้อนก็ตามใจนะคะ” นิษฐาน้อยใจ
       “อย่ามาพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้หน่อยเลยน่ะ”
       นิษฐาเหยียดปากใส่แล้วจะเดินไป
       นวัชเรียกเอาไว้ “มานั่งทานด้วยกันสิ”
       นิษฐาชะงักไป
       “เร็ว จะได้ท้องเสียด้วยกัน” นวัชตักข้าวต้มแบ่งใส่จานใหม่ให้นิษฐา
       “น้อยๆ หน่อย ป่วยเดี้ยงขนาดนี้ยังปากเก่ง” นิษฐาเดินมานั่งด้วย
       นวัชหยิบช้อนใส่ชามให้นิษฐา “ปรุงเอาเอง”
       นิษฐาเชิด “อร่อยขนาดนี้ต้องปรุงอะไรอีก” นิษฐาตักข้าวต้มกิน
       นวัชยิ้มๆ แล้วกินข้าวต้มไป เจติยาแอบมองอยู่ที่หน้าประตู เธอมีสีหน้าใช้ความคิดก่อนจะยิ้มออกมาแล้วตัดสินใจถอยฉากกลับออกไป
       
       เจติยาตัดสินใจเปิดประตูรั้วหน้าบ้านนวัชแล้วย่องออกมาเบาๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงบีบแตรรถยนต์ดังมาจากด้านหลังจนเจติยาตกใจสะดุ้งหันไปมอง เธอเห็นลาภิณจอดรถเทียบที่หน้าบ้านนวัชแล้วส่งยิ้มมาให้เธอจากในรถ เจติยาทั้งอึ้งทั้งงงว่าลาภิณมาทำไม
       
       นวัชและนิษฐามองไปทางหน้าบ้านหลังจากได้ยินเสียงแตรรถ
       นวัชงง “ใครมา”
       “ฐาไปดูให้ค่ะ”
       นิษฐาลุกเดินออกไปดู นวัชมองตามด้วยสีหน้าติดใจสงสัย
       
       ลาภิณลงจากรถมาหาเจติยาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
       เจติยาแปลกใจ “มาทำอะไรคะ”
       ลาภิณยิ้มแบบใจดีสู้เสือ “พอดีผมมาธุระแถวนี้ก็เลยแวะมาหา”
       เจติยาอึ้งๆ และมีสีหน้าระแวง “มาหาฉันทำไม”
       ลาภิณยิ้ม “ไม่ต้องกลัวฉันมาจีบหรอกน่ะ”
       เจติยาค้อนตาเขียว
       ลาภิณมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ฉันอยากเห็นกล่องรากบุญ”
       เจติยาอึ้งไปเล็กน้อย
       “เธอเอามาให้ฉันดูได้มั้ย ฉันอยากเห็นกล่องที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้”
       เจติยามีสีหน้าท่าทางอ่อนลง
       
       นิษฐามองไปที่หน้าบ้านนวัชแล้วก็มีสีหน้าซึมไปเพราะรู้สึกเห็นใจนวัชขึ้นมาจับใจ นิษฐาเห็นลาภิณเปิดประตูรถให้เจติยาโดยที่เจติยายอมก้าวขึ้นรถไปแต่โดยดี ลาภิณรีบเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป นิษฐาได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาด้วยความรู้สึกเห็นใจ
       นิษฐาบ่นพึมพำ “จะบอกพี่หมวดยังไงดีเนี่ย”
       นิษฐามีสีหน้าใช้ความคิดก่อนจะหันกลับไปแล้วก็สะดุ้งโหยงร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจเพราะนวัชมายืนมองดูอยู่ด้านหลังของเธอนานแล้ว นิษฐามองหน้านวัชโดยไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไงดี
       นวัชพูดหน้านิ่ง “ไปทานต่อเถอะ” นวัชเดินนำไปก่อน
       นิษฐาถอนใจยาวออกมาก่อนจะเดินตามนวัชไปกินข้าวเป็นเพื่อน
       สักพักรถคันหรูของปริมก็ค่อยๆ แล่นผ่านหน้าบ้านนวัชไปทางบ้าน
       เจติยาอย่างช้าๆ

กล่องรากบุญอยู่ในมือของลาภิณ ลาภิณกำลังดูกล่องรากบุญอยู่โดยที่เจติยาเดินยกน้ำมาเสิร์ฟให้แล้วนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
       “ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่ากล่องใบแค่เนี้ย จะมีอำนาจถึงขนาดช่วยชีวิตคนใกล้ตายอย่างฉันได้” ลาภิณพูด
       “แต่อำนาจของมัน ก็มาพร้อมกับความน่ากลัวนะคะ” เจติยาบอก
       ลาภิณวางกล่องรากบุญลงกลางโต๊ะก่อนจะเหลือบตามองเจติยา
       “ถ้าผิดพลาดขึ้นมาฉันอาจจะตาย หรือไม่ก็ถูกทำร้ายเพื่อแย่งกล่องไปก็ได้” เจติยาพูดเสริม
       ลาภิณยิ้มบางๆ “แต่ถ้าคิดในมุมกลับกัน มันก็ทำให้เธอได้ทำความดี ได้ช่วยเหลือวิญญาณที่กำลังเดือดร้อนนะ”
       เจติยาคิดตาม “ก็จริงค่ะ จริงๆฉันก็ดีใจนะที่ได้ช่วยเหลือพวกเค้า ถ้าไม่ต้องถูกบังคับให้...”
       ทันใดนั้นเสียงปริมก็ดังขึ้นด้วยความโมโห “คุณต้น”
       ทุกคนหันไปมองตามเสียงก็เห็นปริมที่มีสีหน้าโกรธจัดยืนอยู่หน้าประตูโถง
       “ฉันนึกแล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ คุณถึงขอเลิกกับปริม”
       เจติยาลุกขึ้น “เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วคะ”
       ปริมมีสีหน้าโกรธจัด “หน้าด้าน” ปริมจะตรงเข้าไปทำร้ายเจติยา
       ลาภิณรีบเข้าไปล็อกตัวปริมไว้ไม่ให้ทำร้ายเจติยา “อย่านะปริม เป็นบ้าอะไรของคุณ”
       ปริมมีสีหน้าโกรธจัดและอารมณ์พุ่งพล่าน เธอดิ้นรนจะเข้าไปทำร้ายเจติยาให้ได้
       ลาภิณตะคอกเสียงดัง “หยุดเดี๋ยวนี้นะปริม”
       ปริมดิ้นด้วยความโมโหสุดขีด “คุณปกป้องมันเหรอ ปล่อยปริม ปริมจะฆ่ามัน ปล่อย”
       เจติยาอ่อนใจ “คุณเคลียร์ปัญหาของคุณเองละกัน ฉันไม่เกี่ยว”
       ปริมโมโหสุดๆ “แกไม่ต้องมาแอ๊บเลย ฉันรู้ทันแผนการแกทุกอย่าง”
       เจติยาทำสีหน้าเฉยชาว่าไม่แคร์และไม่อยากยุ่งด้วย เธอหยิบกล่องรากบุญแล้วเดินขึ้นบ้านไปเลย
       ปริมเดือดพล่าน “ฉันเกลียดแก ฉันจะฆ่าแก” ปริมทั้งดิ้นทั้งกระชากตัวจะไปทำร้ายเจติยาให้ได้
       ลาภิณทนไม่ไหวจึงรีบล็อกตัวปริมลากออกจากบ้านไป
       ปริมขัดขืน “ปล่อยปริมนะคุณต้น ปล่อย ปล่อยซิ”
       ลาภิณยกปริมตัวลอยแล้วพาออกไปจากบ้านเจติยาทันที 

รากบุญ ตอนที่ 10 (ต่อ)

ลาภิณอุ้มปริมตัวลอยออกมาปล่อยกระแทกใส่รถของปริมเอง
       ลาภิณโมโหมาก “ผมหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายนะปริม ที่คุณจะไประรานเจเค้าแบบนี้”
       ปริมสวนด้วยความโมโห “ปริมจะทำอีก ถ้าคุณยังไม่เลิกยุ่งกับมัน”
       ลาภิณจ้องหน้า “คุณไม่มีสิทธิ”
       “ทำไมจะไม่มี เราเป็นแฟนกัน จะแต่งงานกันอยู่แล้วด้วย คุณนอกใจปริมแล้วจะให้ปริมทำตัวเป็นนางเอกยอมรับสภาพ นอนร้องไห้อยู่บ้าน ไม่มีทางซะหรอก”
       “เราไม่ใช่แฟนกันแล้วปริม” ลาภิณเน้นเสียง “เราจบกันแล้ว” ลาภิณเดินไปขึ้นรถ
       ปริมน้ำตาท่วมขึ้นมาก่อนจะเดินตามไป “ปริมผิดอะไร คุณบอกมาสิ”
       ลาภิณจ้องหน้า “คุณยังต้องให้ผมพูดอีกเหรอะ คุณก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”
       ปริมรีบเข้าไปกอดลาภิณไว้แล้วอ้อนวอนสุดๆ “อย่าทิ้งปริมไปนะคะคุณต้น ปริมทำผิดอะไร คุณบอกปริมมาสิคะ ปริมจะได้ปรับปรุงตัว” ปริมร้องไห้ออกมา
       ลาภิณแกะแขนปริมออกด้วยท่าทางโกรธจัด “มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ปล่อยผมเดี๋ยวนี้”
       ปริมร้องไห้แล้วกอดไว้แน่น “ไม่ปล่อยค่ะ ก่อนคุณถูกยิง คุณยังบอกว่ารักปริมอยู่เลย แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ ใครมาเป่าหูคุณ”
       “ไม่มีใครเป่าหูผมทั้งนั้นล่ะ ผมเห็นมากับตาตัวเอง แล้วผมก็ไม่อยากพูดถึงมันอีก” ลาภิณแกะแขนปริมออกอย่างหัวเสีย “ปล่อยผมได้แล้ว” ลาภิณแกะแขนปริมออกมาก่อนจะจับตัวปริมให้เผชิญหน้าแล้วพูดกระโชกใส่ “ผมจะไม่เหลือความรู้สึกดีๆ กับคุณแล้ว รู้ตัวมั่งมั้ย” ลาภิณสะบัดปริมออกไปแรงๆ
       ปริมเซไปกระแทกรถแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจมาก ลาภิณขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างไม่แยแส ปริมจิกตามองตามแล้วหยุดร้องไห้ทันทีก่อนจะมีสีหน้าแววตาแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ เธอหันขวับแล้วเงยหน้ามองไปที่ระเบียงชั้นบนบ้านของเจติยา เจติยาที่แอบมองอยู่มุมระเบียงนึกไม่ถึงว่าปริมจะมองขึ้นมาก็ตกใจจนหลบแทบไม่ทัน
       ปริมจ้องเขม็งแล้วส่งสายตาดุดันไปถึงเจติยา เจติยารีบผลุบหลบเข้าบ้านไป ปริมมีสายตาแข็งกร้าวแฝงอำมหิตจนดูน่ากลัว
       
       พิสัยเดินคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องพักโดยเปิดทีวี.เพื่อดูข่าวทิ้งเอาไว้
       พิสัยคุยมือถือ “ตอนนี้ผมออกจากนิราลัยแล้ว คุณมีอะไร ก็ติดต่อไปที่บริษัทค้าไม้ของผมละกัน” พิสัยฟังอีกฝ่ายแล้วก็หงุดหงิด “มันก็ต้องมีปัญหาสิคุณ ไม่งั้นผมจะออกเหรอ อยากจะรู้อะไรอีกมั้ย” พิสัยฟังอีกฝ่ายก่อนกดตัดสายแล้วบ่นอย่างหัวเสีย “ถามซอกแซกอยู่ได้”
       ทันใดนั้นพิสัยก็ได้ยินเสียงผู้ประกาศข่าวในทีวีกำลังรายงานข่าวอยู่
       “สำหรับความคืบหน้า คดีลอบยิงนักธุรกิจหนุ่มเจ้าของบริษัททำศพชื่อดัง”
       พิสัยหันขวับไปทางทีวีแล้วจับตาดูอย่างสนใจ
       “ขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ภาพสเก็ตของคนร้ายแล้ว...”
       พิสัยมีสีหน้าซีดเผือดเพราะตกใจมาก
       
       พิสัยวางซองใส่เงินลงบนโต๊ะต่อหน้าปองและย้ง
       ย้งดีใจ “เงินของไอ้เชิดมันใช่มั้ยครับ”
       “จะเอามั้ย” พิสัยถาม
       ย้งยกมือไหว้ “ขอบคุณมากครับคุณพิสัย”
       ย้งจะหยิบซองเงินไปแต่พิสัยรีบจับซองเงินไว้ไม่ให้เขาหยิบ ทำเอาปองและย้งงงไปตามๆ กัน
       “ไม่ใช่เงินไอ้เชิด แต่เป็นเงินของพวกแกตะหาก” พิสัยบอก
       ปองงง “เงินพวกผมเหรอครับ”
       “ใช่ พวกแกนัดไอ้เชิด บอกว่าจะเอาเงินไปให้ จากนั้นก็ปิดปากมันซะ” พิสัยจ้องหน้าปองและย้ง “เสร็จแล้วพวกแกก็เอาเงินในซองนี้ไปแบ่งกัน”
       ย้งตกใจมาก “คุณพิสัยจะให้พวกเรา...”
       พิสัยพูดสวนขึ้น “ใช่ พวกแกไม่เห็นข่าวรึไง ขืนปล่อยมันเอาไว้ ทั้งแกทั้งฉันไม่รอดแน่”
       “แต่ไอ้เชิดมันเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่เด็กเลยนะครับคุณพิสัยแล้วจะให้ผม” ย้งอึดอัดใจจนพูดไม่ออก
       “ตอนนี้มีรูปไอ้เชิดติดอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ต่อให้หนีข้ามชายแดนไปได้ ก็ไม่รอดอยู่ดี ถ้าพวกแกไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ ก็ได้ติดคุกกันยกแก๊งนี่ล่ะ” พิสัยบอก
       ปองและย้งอึกๆอักๆ เพราะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่กล้าเถียง ทั้งสองแอบสบตากัน พิสัยจับตามองทั้งคู่ตลอดเวลาว่ามีพิรุธอะไรบ้าง
ริมน้ำตอนกลางคืนเงียบสงัดเพราะปราศจากผู้คน ย้งยืนกระวนกระวายอยู่คนเดียวระหว่างรอพบเชิด สักพักเชิดก็เดินมองซ้ายมองขวาเข้ามาหาย้ง
       “รอนานมั้ยวะไอ้ย้ง ข้ากลัวตำรวจสะกดรอยตาม เลยเสียเวลาหน่อย” เชิดบอก
       ย้งกระอักกระอ่วน “ข้าก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน”
       “แล้วเงินล่ะ ข้านัดเรือไว้แล้ว จะได้ให้เค้าพาหนีคืนนี้เลย”
ย้งล้วงเข้าไปในอกเสื้อก่อนจะชักปืนออกมาแทน
       เชิดตกใจ “อะไรวะไอ้ย้ง”
       ปองที่แอบอยู่เดินออกมาพร้อมกับเล็งปืนไปที่ด้านหลังของเชิด
       “อย่าโกรธกันเลยวะไอ้เชิด พวกข้าทำตามคำสั่งคุณพิสัย เอ็งพลาดให้พวกมันเห็นหน้า ถือเป็นคราวซวยของเอ็งเอง” ปองบอก
       เชิดหันไปมองปองและย้งสลับกันด้วยความโกรธแค้น
       เชิดตะคอกย้ง “ไอ้เพื่อนทรยศ ข้ามารับงานนี้ก็เพราะเอ็งนะไอ้ย้ง เอ็งจะฆ่าเพื่อนได้ลงคอเลยเหรอวะ”
       ย้งสองจิตสองใจอยู่ครู่นึงเพราะทำใจฆ่าเพื่อนไม่ได้ เขาค่อยๆ ลดปืนลง
       ปองตกใจ “ไอ้ย้ง”

“เอ็งหุบปากไปเลย ยังไงไอ้เชิดก็เพื่อนข้า ข้าทำมันไม่ลงหรอก” ย้งว่า
       เชิดยิ้มดีใจที่เพื่อนไม่ทรยศ
       ย้งมองปอง “ถ้าคุณพิสัยใช้ให้ข้ายิงเอ็ง ข้าก็ทำไม่ได้เหมือนกัน”
       ปองลดปืนลงเพราะซึ้งใจเพื่อนเหมือนกัน “แล้วจะไปบอกคุณพิสัยยังไงวะ”
       ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นที่ด้านหลังปอง ปองล้มลงขาดใจตายทันที
       ย้งตกใจมาก “ไอ้ปอง”
       ย้งและเชิดหันไปมองจึงพบว่าคนยิงคือพิสัย
       ย้งตกใจมาก “คุณพิสัย”
       พิสัยแค้นจัด “กูคิดไม่ผิดที่ตามมาเก็บพวกมึงด้วยตัวกูเอง ไอ้เนรคุณ”
       เชิดตั้งสติได้ก็รีบเข้าไปหยิบปืนจากศพของปองเพื่อจะยิงพิสัย แต่พิสัยระวังตัวอยู่แล้วเลยยิงใส่เชิดที่หัวไหล่ก่อนจะยิงซ้ำอีกนัดที่หน้าอกจนร่างของเชิดกระเด็นตกน้ำไป ย้งตกใจสุดๆ จึงหันปืนจะยิงพิสัย แต่พิสัยก็ยิงย้งที่หัวไหล่จนปืนกระเด็นหลุดมือไป พิสัยย่างสามขุมเข้าไปหาย้ง
       ย้งกลัวสุดขีดจึงคุกเข่า “ไว้ชีวิตผมด้วยครับคุณพิสัย”
       พิสัยยิงย้งอย่างไร้ความเมตตาจนย้งขาดใจตายไปอีกคน พิสัยยิ้มเหี้ยมเพราะจัดการทุกอย่างได้ตามที่เขาต้องการ
       
       ศพปองและย้งนอนตายอยู่บนเตียงแต่งศพสองเตียงที่วางคู่กัน เจติยาและทวียืนดูศพปองกับย้งด้วยความเศร้าใจ เพราะถึงไงก็เป็นคนเคยรู้จักกัน
       เจติยามีสีหน้าติดใจสงสัย “นี่ตำรวจเค้าชันสูตรเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะลุง”
       “เรียบร้อยแล้วสิ เอกสารทุกอย่างมีครบหมด ไม่งั้นลุงจะรับศพไว้ได้ยังไงล่ะ ถามแปลกๆ”
       “ก็เจรู้สึกว่ามันแปลกจริงๆ นี่คะลุง คนอย่างปองกับย้ง ไม่น่าจะมีทรัพย์สินมีค่าติดตัวมากถึงขนาดต้องโดนฆ่าชิงทรัพย์เลยนะคะ”
       “ก็ไม่แน่หรอกหนูเจ สองคนนี่รับใช้คุณพิสัยมานาน ก็อย่างที่รู้ๆ กัน คงรับส่วนแบ่งมาเยอะแหละ”
       เจติยายังติดใจสงสัยอยู่ดี
       “มาช่วยกันทำงานดีกว่า จะได้รับศพอื่นต่อ” ทวีพูดแล้วเลี่ยงไปเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือ
       เจติยาพนมมือไหว้ขอขมาปองและย้ง “สิ่งใดที่เคยล่วงเกินต่อกันเอาไว้ เจ อโหสิให้นะ แล้วก็ขอให้พวกพี่อโหสิให้เจด้วย”
       เจติยาไหว้แล้วจบที่หัว ทันทีที่ลดมือลงมือของปองก็คว้าข้อมือของเจติยาไว้ เจติยาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจสุดๆ ศพของย้งดีดตัวขึ้นมาก่อนจะลืมตาโพลงพร้อมพูด
       “บอกความจริง”
       
       ลาภิณและเจติยาเดินคุยกันเรื่องการตายของปองกับย้งตามทางเดินในบริษัท
       ลาภิณมั่นใจ “งานนี้ไม่ต้องไปสืบหาตัวฆาตกรให้เสียเวลาหรอก ฝีมือน้าพิสัยแน่นอน”
       เจติยาหนักใจ “คุณพิสัยคงไม่ทิ้งหลักฐานอะไรให้สาวถึงตัวได้ง่ายๆ หรอกค่ะ ไม่อย่างงั้นตำรวจเค้าจะลงความเห็นว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์เหรอคะ”
       ลาภิณพยักหน้าเห็นด้วย “แล้ววิญญาณสองคนนั่นได้บอกมั้ย ว่าทำไมน้าพิสัยถึงต้องฆ่าพวกเค้าด้วย”
       “เปล่าค่ะ วิญญาณของสองคนนั่นไม่มีพลังมากพอ พวกเค้าทำได้แค่บอกว่าใครเป็นคนฆ่าเท่านั้นเอง แต่สื่อสารมากกว่านั้นไม่ได้”
       ลาภิณคิดอยู่ครู่นึง “ถ้าให้ฉันเดา ปองกับย้งทำงานกับน้าพิสัยมานาน น่าจะรู้ความลับอะไรหลายอย่าง น้าพิสัยก็เลยจำเป็นต้องปิดปากเพราะกลัวโดนหักหลัง”
       เจติยามีสีหน้าครุ่นคิดกับคำพูดของลาภิณ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
       ลาภิณเปลี่ยนเรื่องแบบไม่ให้ตั้งตัว “พักกลางวันแล้ว ไปทานข้าวด้วยกันมั้ย”
       เจติยาชะงักแล้วหันไปมอง “อย่าดีกว่าค่ะ”
       “ทำไมล่ะ”
       “ฉันไม่อยากเป็นขี้ปากใคร”
       “พูดยังกะตอนนี้ไม่เป็นงั้นล่ะ” ลาภิณยิ้มๆ
       เจติยาถอนใจ “ฉันมีครอบครัวต้องรับผิดชอบ ยังไม่อยากเจอคุณปริมยิงทิ้ง”
       ลาภิณขำๆ “อย่างปริมจะทำอันตรายใครได้”
       “คุณรู้จักผู้หญิงน้อยเกินไป” เจติยาจ้องหน้าก่อนเดินหนีไปทันที
ลาภิณมองตามยิ้มๆ พร้อมถอนใจแล้วส่ายหน้า
นวัชและตำรวจจำนวนหนึ่งเดินเข้าล็อบบี้ของโรงพยาบาลต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง หมอคนหนึ่งเดินเข้าไปหานวัชทันที
       “หมวดนวัชใช่มั้ยครับ” หมอถาม
       “ใช่ครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้ผู้ต้องสงสัยอยู่ไหนครับ” นวัชถามกลับ
       “อยู่ในห้องพักผู้ป่วยครับ ผมเพิ่งผ่าตัดเอากระสุนออก ตอนนี้คงกำลังหลับอยู่”
       นวัชนึกไม่ถึง “โดนยิงมาด้วยเหรอครับ”
       “ครับ มีชาวบ้านไปพบตัวเมื่อตอนเช้า เค้าพามาส่งที่นี่ ผมเลยผ่าตัดให้ แต่จำได้ว่าหน้าตาเหมือนในประกาศจับ ผมก็เลยแจ้งตำรวจไปน่ะครับ”
       นวัชพยักหน้ารับ “งั้นรบกวนคุณหมอนำทางไปเลยครับ”
       หมอเดินนำนวัชไป โดยมีตำรวจอีกจำนวนหนึ่งเดินตามไป
       
       หมอเดินนำนวัชกับตำรวจมาที่ห้องพักคนไข้ พอเปิดประตูเข้าไปก็ต้องตกใจเมื่อภายในห้องว่างเปล่า มีแต่สายน้ำเกลือที่ถูกถอดทิ้งไว้ โดยที่เชิดไม่อยู่แล้ว
       หมอตกใจและแปลกใจมาก “อ้าว หายไปไหนแล้วล่ะ เมื่อกี้ยังสลบอยู่เลยครับคุณตำรวจ”
       นวัชรีบเข้ามาดูที่สายน้ำเกลือแล้วจับที่เตียง
       นวัชคุยกับหมอ “เตียงยังอุ่นอยู่เลยครับ คงหนีไปได้ไม่นาน” นวัชหันไปสั่งตำรวจ “รีบไปตามหาเร็ว”
       นวัชและพวกตำรวจรีบแยกย้ายไปตามหาเชิดทันที

เจติยาเดินกลับเข้าบ้านมาโดยมยุรีกำลังถือกระดาษแผ่นหนึ่งนั่งคุยกับนทีด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่
       ที่โซฟา
       เจติยายิ้มแย้ม “กลับมาแล้วค่ะ”
       มยุรีและนทีมีท่าทางตกใจและปรับท่าทีแทบไม่ทัน นทีรีบก้มหน้าหลบสายตา
       มยุรีรีบปั้นยิ้ม “กลับมาแล้วเหรอลูก กินอะไรมารึยัง”
       “เรียบร้อยแล้วค่ะ” เจติยาเห็นกระดาษในมือแม่ “บิลอะไรคะแม่”
       มยุรีตกใจเพราะเก็บไม่ทัน
       นทีรีบพูดแทน “แม่ใช้ให้ผมไปจ่ายตลาดพรุ่งนี้ ก็เลยจดรายการที่จะซื้อมาให้”
       “ใช่จ้ะใช่” มยุรียื่นกระดาษให้นที “อ้ะ ไปจัดการให้เรียบร้อยนะ”
       นทีรับกระดาษมา “ครับแม่”
       นทีรีบถือกระดาษเดินเลี่ยงขึ้นบ้านไปทันที เจติยารู้สึกติดใจสงสัยจึงมองไปทางมยุรี มยุรีไม่กล้าสบตารีบเดินหนีไปทางครัวทันที เจติยามีสีหน้าใช้ความคิดแล้วรีบเดินตามนทีขึ้นไปชั้นบนทันที
       
       นทีเปิดประตูเข้าห้องนอนมาแต่ยังไม่ทันจะปิดประตูห้อง เจติยาก็ผลักประตูตามเข้ามาทันที นทีตกใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปมอง เจติยาใช้ความไวฉกกระดาษในมือนทีมาดู
       “เอาคืนมานะพี่เจ” นทีพยายามจะแย่งคืน
       เจติยาหันเอาตัวบังแล้วคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอ่านจนพบว่าเป็นใบแจ้งผลการสอบของนที
       “ผลสอบนี่”
       นทีหน้าบึ้งตึง “เอาของผมคืนมา” นทีจะแย่งคืน
       เจติยาปัดป้องไว้ได้ “ขอฉันดูก่อน”
       นทีถอนใจแล้วเดินไปกระแทกตัวนั่งที่ปลายเตียงด้วยสีหน้าเครียด เจติยากวาดตาดูผลสอบนทีอย่างเร็ว
       เจติยาโมโหมาก “ตกเกือบหมดทุกวิชา เรียนประสาอะไรของแก”
       นทีแถ “ก็ผมเคยบอกพี่แล้วไงว่าผมหัวไม่ดี”
       “หรือว่าเหลวไหลไม่ยอมไปเรียนกันแน่”
       นทีถอนใจเซ็งๆ
       “เอาอีกแล้วนะนที เสียแรงที่พี่ไว้ใจ ไม่คอยมานั่งจับผิด แกเลยกลับไปทำตัวเหลวไหลเหมือนเดิมอีกแล้วใช่มั้ย”
       นทีถอนใจด้วยความรำคาญแล้วจะลุกออกไปจากห้อง
       เจติยากระชากตัวเอาไว้ “แกจะไปไหน”
       นทีกระชากตัวออกด้วยหน้าหงิกงอ
       เจติยาโมโหมาก “เมื่อไหร่แกจะโตซะที มีหน้าที่เรียนหนังสืออย่างเดียวยังทำไม่ได้ แกเป็นผู้ชายนะนที กะจะแบมือขอเงินผู้หญิงอย่างฉันกับแม่ไปจนตายรึไง”
       นทีโมโหมาก “เอะอะก็ทวงบุญคุณตลอด แม่ไม่เห็นจะว่าอะไรผมเลย มีแต่ให้กำลังใจ มีแต่พี่นี่ล่ะ เอะอะก็ด่าๆๆ”
       “แม่รักแกจนตาบอด ให้ท้ายแกจนเหลิง”
       นทีเหลืออดจึงสวนกลับ “อิจฉาล่ะสิ ถึงได้หาเรื่องอาละวาดใส่ผมตลอด เลิกอ้างว่าห่วงผมซะทีเถอะ ผมรู้ทันพี่หรอกน่ะ”
เจติยาโกรธจนกำมือแน่น
       “ต่อไปพี่ไม่ต้องมาจ่ายค่าเรียนค่าโน่นนี่ให้ผมอีกแล้วนะ บาทเดียวผมก็ไม่เอา พี่จะได้เลิกมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตผมซะที” นทีว่า
       เจติยาพยายามสะกดอารมณ์ เธอจ้องหน้า “แกจะเอายังงั้นจริงๆ ใช่มั้ยนที”
       “เออ”
       เจติยาโมโหมากจึงขยำผลสอบปาใส่หน้านที “ได้ ต่อไปฉันจะไม่สนใจแกอีกเลย”
       “น่าจะทำตั้งนานแล้ว ถ้าบ้านหลังนี้ไม่มีพี่คอยโวยวาย เจ้ากี้เจ้าการไปซะทุกเรื่อง ทุกคนคงมีความสุขมากกว่านี้”
       เจติยาอึ้งๆ และอดน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความน้อยใจไม่ได้

“ผมจะโง่จะฉลาด จะอดตายยังไงก็ชีวิตผม พี่เอาเวลาไปดูแลชีวิตตัวเองให้ดีเถอะ เลิกยุ่งกับผมซะที บอกตามตรงว่าผมรำคาญ แม่ก็รำคาญแต่ไม่อยากพูดให้พี่เสียใจ”
       เจติยาปาดน้ำตาออกก่อนที่มันจะไหลแล้วพูดกับน้องชาย
       “ถ้าแกคิดว่าตัวเองแน่นัก ก็อย่าดีแต่ปาก เก่งจริงก็ออกไปอยู่ที่อื่นสิ ลองไม่มีแม่ไม่มีพี่ น้ำหน้าอย่าแกจะมีปัญญาเอาชีวิตรอดได้ซักกี่วัน”
       นทีจ้องหน้าเจติยาด้วยสีหน้ารั้นเพราะอยากเอาชนะ ก่อนจะเดินหุนหันกระชากประตูออกไปจากห้อง แล้วปิดโครมใส่หน้าเจติยา เจติยาทั้งเครียดทั้งโกรธ
นทีเดินปึงปังลงบันไดมาด้วยหน้าตาหงุดหงิด เขาจะเดินออกไปจากโถง
       มยุรีรีบเดินตามนที “จะไปไหนนที”
       “พี่เจเค้าท้าให้ผมออกไปอยู่ที่อื่น คนอย่างผมก็ท้าไม่ได้ซะด้วย” นทีผุนผันออกไปจากบ้านทันที
       “นที”
       นทีมีหน้าตาโกรธจัด เขาผุนผันออกไปจากบ้านทันที
       มยุรีรีบตามไป “นที แล้วลูกจะไปไหน”
       นทีเปิดประตูรั้ววิ่งตะบึงออกไปทันที
       มยุรีตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วง “นที”
       เสียงเจติยาดังขึ้น “ปล่อยมันไปเถอะแม่”
       มยุรีหันขวับไปจ้องหน้าเจติยาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
       มยุรีถามลูกสาวทั้งน้ำตา “เจไล่น้องออกจากบ้านได้ยังไง”
       “ก็อยากอวดเก่งนักนี่ มันบอกจะไม่ใช้เงินเจซักบาท ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณ อยากให้เจเลิกยุ่งกับชีวิตของมัน...อวดดี น้ำหน้าอย่างมัน จะไปไหนรอด จับจดขนาดนั้น”
       “สอบตกก็ซ่อมได้ ไม่เห็นต้องพูดจารุนแรงกับน้องขนาดนั้นเลยเจ”
       “แม่ให้ท้ายมันอีกแล้วนะ มันสอบตกเพราะเกเรไม่ไปเรียน”
       “ใครบอกเจว่าน้องไม่ไปเรียน เจกำลังเข้าใจน้องผิด” นทีพูดทั้งน้ำตาคลอ “นทีมันเพิ่งร้องไห้กับแม่ก่อนแกจะกลับมา ว่ามันเสียใจที่ทำสอบไม่ได้”
       เจติยาอึ้งไป
       “น้องด่าตัวเองว่าโง่ สมองขี้เลื่อย น้องพยายามแล้ว แต่มันได้แค่นี้” มยุรีน้ำตาท่วมขึ้นมา
       เจติยาพูดไม่ออกเพราะนึกไม่ถึง
       มยุรีซับน้ำตา “น้องรู้ว่าต้องโดนเจเล่นงานอีก เจต้องหาว่าน้องกลับไปเหลวไหลเหมือนเดิม แล้วมันก็เป็นจริงๆ”
       เจติยาจ๋อยไป
       “แม่เลยแนะนำให้น้องปิดเรื่องผลสอบเป็นความลับไว้ก่อน เจงานยุ่งอาจจะลืมเรื่องสอบไปเลยก็ได้”
       เจติยารู้สึกผิดมาก เธอรีบผุนผันออกจากบ้านไปตามหานที มยุรีมองตามเจติยาด้วยน้ำตารื้นๆ
       
       เจติยากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหานทีไปตามซอยที่จะออกไปสู่ถนนใหญ่ เธอพยายามมองหาไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นนที ทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งแล่นมาช้าๆ ทางด้านหลังเจติยา เจติยาหลีกทางให้รถ แต่รถคันนั้นก็ไม่ยอมขับผ่านไปได้แต่ขับตามหลังเจติยาอยู่อย่างนั้น
       เจติยาชักแปลกใจเลยหยุดยืนมอง รถคันนั้นแล่นมาจอดข้างๆ เจติยาก่อนที่กระจกรถจะเลื่อนลงทำให้เห็นว่าปริมเป็นคนขับ
       เจติยานึกไม่ถึง “คุณปริม”
       ปริมพูดหน้านิ่ง “ขึ้นรถ”
       เจติยาระแวง “คุณมีธุระอะไรรึเปล่าคะ”
       ปริมชักปืนออกมาขู่เจติยา “ฉันบอกให้ขึ้นรถ”
       เจติยาตกใจจนหน้าซีดเผือดเพราะไม่คิดว่าปริมจะเล่นแรงขนาดนี้ เจติยามีสีหน้าเจ้าเล่ห์และคิดจะวิ่งหนี แต่ปริมพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
       “อย่าคิดหนี ระยะแค่นี้ฉันยิงไม่พลาดแน่...ขึ้นมาเร็วๆ” ปริมทำสายตาดุดันเพราะพิษรักแรงหึง
       เจติยาเห็นปริมเอาจริงก็คิดว่าต้องรักษาชีวิตไว้ก่อนจึงยอมขึ้นรถไปกับปริม
       
       ปริมขับรถพาเจติยามาถึงบริเวณทางเปลี่ยวแห่งหนึ่ง โดยที่มือหนึ่งถือปืนขู่เจติยาไว้ เจติยาใช้ความคิดหาทางเอาตัวรอดตลอดเวลา ทันใดนั้นปริมก็จอดรถในที่เปลี่ยวและมืดที่สุด เจติยาเหลือบตามองปริมด้วยสีหน้าวิตกกังวลว่าปริมจะทำยังไงกับตน
       ปริมสั่ง “ลงไป”
       เจติยาพยายามกล่อม “อย่าทำอย่างงี้เลยคุณปริม มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกค่ะ”
       ปริมตวาดแว๊ด “ฉันสั่งให้แกลงไปไงล่ะ” ปริมมีสีหน้าแววตาโกรธจัด
       “คุณดื่มมาใช่มั้ย ฉันได้กลิ่นเหล้า”
       ปริมแผดเสียงดัง “ลงไป”
       เจติยายอมลงจากรถแต่ยังมีสีหน้าใช้ความคิด ปริมรีบตามลงมาจากรถทันทีพร้อมกับถือปืนขู่ตลอด
       ปริมเล็งปืนใส่เจติยา “แกคงนึกไม่ถึงล่ะสิ ว่าคนอย่างฉันจะกล้าทำเรื่องแบบนี้”ปริมน้ำตาคลอขึ้นมา “แกแย่งหัวใจของฉันไป ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว แกก็ต้องอยู่ไม่ได้เหมือนกัน” ปริมน้ำตาไหลออกมา
       เจติยาเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “ฉันไม่เคยคิดแย่งคุณลาภิณ”
       ปริมพูดสวนทันที “โกหก”
       “ฉันพูดความจริง คุณ...”
       ปริมสวนด้วยความโมโห “หุบปาก ฉันกับคุณต้นรักกันมาตั้งนานแล้ว ถ้าไม่มีแกเข้ามาแทรก เค้าก็ไม่มีวันเลิกกับฉันหรอก ทุกอย่างมันเป็นเพราะแกเป็นต้นเหตุ”
       “ฉันกับคุณต้นเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้นเอง ไม่มีทางจะเป็นอะไรมากกว่านั้นไปได้หรอกค่ะ”
       ปริมโมโหมาก “ฉันไม่เชื่อ แกกลัวตายถึงได้พูดยังงี้ ถ้าแกไม่คิดอะไรกับคุณต้นจริง แกก็ไปจากเค้าสิ ออกจากบริษัท แล้วไปให้ไกลๆ แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก ว่ายังไงล่ะ” ปริมเล็งปืนไปที่เจติยา “ตอบมาสิ”
       เจติยามีสีหน้าใช้ความคิด
       ปริมตวาด “เงียบทำไม ทำไม่ได้ใช่มั้ย งั้นแกก็ตายซะเถอะ” ปริมจะเหนี่ยวไก
       เจติยาจวนตัวเลยฉุกคิดได้ เธอมองเลยไปด้านหลังปริมแล้วเอ่ยออกมา “คุณต้น”
       ปริมตกใจจึงหันกลับไปมองตามสัญชาติญาณ เจติยาฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปแย่งปืนจากปริมทันที ทั้งคู่ต่อสู้กันแบบไม่มีใครยอมใคร แต่เจติยาแข็งแรงกว่าจึงบิดมือปริมจนปืนหลุด เจติยาฉวยโอกาสเตะปืนทิ้งไปไกลๆ แล้วผลักปริมล้มลงทันที เจติยารีบวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ปริมมองตามด้วยความแค้นจัด

รากบุญ ตอนที่ 10 (ต่อ)

เจติยาวิ่งหนีเต็มฝีเท้าเพื่อจะไปที่ถนนใหญ่ เจติยาเหนื่อยหอบแต่ก็กัดฟันวิ่งต่อ ทันใดนั้นก็มีแสงไฟสูงจากรถส่องมาทางด้านหลังเจติยา เจติยาหันไปมองแล้วก็แสบตาจนต้องเอามือป้อง ปริมเป็นคนขับรถคันนั้น ปริมมองไปที่เจติยาด้วยความแค้นสุดๆ ก่อนจะเหยียบคันเร่งเต็มแรงหมายชนเจติยาให้ตายคาที่ เจติยาตกใจเพราะตั้งหลักไม่ทัน รู้ตัวอีกทีรถของปริมก็พุ่งเข้าหาตนด้วยความเร็วสูง
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวูบพุ่งเข้ามาป้องกันเจติยาไว้จากรถที่กำลังพุ่งเข้ามาชน เจติยาทรุดลงแล้วสลบไป รถของปริมจอดสนิทและไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อีกแม้แต่นิดเดียว รถคันหนึ่งขับผ่านมาพอดี รถคันนั้นจอดจากนั้นหนุ่มสาว 4 คนในรถก็ลงจากรถไปดูเจติยาทันที
ปริมตกใจจนหน้าซีดเผือด พอตั้งสติได้เธอก็ตัวสั่นสะท้าน ก้าวขาไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก และถึงกับสติแตก ได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ในรถ ปราณยืนขมึงทึงอยู่หน้ารถปริมพร้อมกับจ้องมองไปที่เจติยาเขม็ง
ปราณพึมพำด้วยสีหน้าเครียด “ใครมาช่วยมัน” ปราณมีสีหน้าสงสัยมาก

ลาภิณเดินร้อนใจเพราะเป็นห่วงมาที่หน้าห้องฉุกเฉิน โดยที่หน้าห้องมีปริมนั่งหน้าเครียดอยู่ ส่วนมยุรีกำลังนั่งร้องไห้ โดยมีนิษฐากับนวัชคอยปลอบใจ
ปริมเห็นลาภิณก็บีบน้ำตาแล้วลุกไปหา “คุณต้น”
ลาภิณไม่สนใจ เขาเดินเลยไปถามนวัชด้วยความเป็นห่วง “เจเป็นยังไงบ้างครับ”
นวัชเครียดและเป็นห่วง “ยังไม่ทราบเหมือนกันครับ”
ปริมมีสีหน้าเจ็บใจปนน้อยใจที่ลาภิณเฉยชากับตน
มยุรีร้องไห้สะอึกสะอื้น “ไม่รู้เวรกรรมอะไรของฉัน ลูกชายก็หนีออกจากบ้าน ลูกสาวจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้”
นิษฐาเหล่มองปริมด้วยสายตาโกรธเกลียด “เจจะต้องหาย แล้วมาลากคอผู้หญิงใจโหดเข้าคุกได้แน่ๆ”
ปริมโมโห “มันสมควรโดนแล้ว ชอบแย่งของรักของคนอื่นดีนัก”
นิษฐาโมโหมาก “จับมันเลยค่ะพี่หมวด เห็นมั้ยคะ มันสารภาพแล้ว ไม่ต้องไปกลัวว่ามันเป็นลูกใครหรอกค่ะ”
“ใจเย็นๆ น่าฐา พี่ต้องทำตามหน้าที่อยู่แล้ว”
ปริมยิ้มเยาะ “ถ้าฉันกลัวโดนจับไม่มายืนลอยหน้าอยู่ที่นี่หรอก มันเป็นอุบัติเหตุ”
นิษฐาเหลืออดจะพุ่งเข้าไปหา “ฆาตกรปากแข็ง”
นวัชจับตัวนิษฐาเอาไว้เกือบไม่ทัน ปริมตกใจจึงถอยหนีไป
“ถ้าเพื่อนฉันเป็นอะไรไป ฉันจะฆ่าแก” นิษฐาว่า
นวัชปรามนิษฐา “พอแล้วฐา โรงพยาบาลนะ เกรงใจคนอื่นเค้ามั่งเถอะ”
มยุรีเสียงแข็งใส่ลาภิณ “ช่วยพาแฟนคุณออกไปก่อนได้มั้ยคะ แค่นี้ฉันก็เครียดจะตายอยู่แล้ว” มยุรีน้ำตาไหลออกมา
ลาภิณหน้าเครียดก่อนจะล็อกตัวปริมแล้วพาออกไปทางอื่นทันที

ลาภิณล็อกตัวปริมแล้วลากมาที่มุมหนึ่งในโรงพยาบาลก่อนจะปล่อยตัว
ลาภิณโมโหมาก “แค่เจตนาฆ่าคนตายยังหนักไม่พอรึไง ยังจะไปหาเรื่องเค้าอีก”
“มันเป็นอุบัติเหตุ” ปริมบอก
“แต่มีคนเห็นเหตุการณ์”
“ก็ไปเป็นพยานในศาลเอาสิคะ แต่ปริมยืนยันว่ามันคืออุบัติเหตุ”
ลาภิณมีสีหน้าผิดหวัง “ผมคิดไม่ถึงว่าคุณจะกลายเป็นคนใจร้ายได้ขนาดนี้”
ปริมจ้องหน้าลาภิณแล้วก็น้ำตาคลอขึ้นมาเพราะแอบผิดหวังเช่นกัน “ถ้าคุณไม่ได้ชอบมัน คุณคงปกป้องปริม ไม่มีทางคิดว่าปริมจะจงใจขับรถชนมันหรอก”
ลาภิณโมโห “เลิกโทษคนอื่นซะทีเถอะ ผมบอกเป็นล้านครั้งแล้วว่าเจเค้าไม่เกี่ยว ที่คุณกับผมต้องเลิกกัน เพราะผมรับไม่ได้กับสิ่งที่คุณทำ”
ปริมร้องไห้ฟูมฟาย “ไม่จริง คุณหาขออ้างต่างๆนาๆ เพื่อเลิกกับปริมเพราะมัน” ปริมเสียใจมากจึงเข้าไปทุบตีลาภิณ “คุณเปลี่ยนไปเพราะมัน”
ลาภิณจับปริมเอาไว้ “ยอมรับความจริงซะทีเถอะปริม อย่าคิดว่าแอบทำอะไรไว้แล้วจะไม่มีใครรู้”
ปริมโมโหมากจึงพูดทั้งน้ำตา “งั้นก็บอกมาสิ ปริมทำผิดอะไรคุณบอกมาเลยสิ”
ลาภิณบีบแขนปริมล็อคเอาไว้ก่อนจะตะคอกใส่ “ถึงขั้นนี้แล้วยังต้องให้ผมประจานอีกเหรอ คุณไม่อาย แต่ผมอาย” ลาภิณผลักปริมออกไป
ปริมเซไปตามแรงผลัก เธอโกรธจัดจึงแช่งออกมา
“ปริมขอให้มันตาย หรือไม่ก็พิการไปเลยยิ่งดี”
ลาภิณตะคอกสวน “พอเถอะปริม อย่าให้ผมต้องรู้สึกแย่กับคุณมากไปกว่านี้อีกเลย...แค่นี้ ผมก็แอบเผลอดีใจไปแล้ว ที่เลิกกับคุณไปซะได้”
ปริมเสียงดัง “คุณต้น”
ลาภิณเดินไปโดยไม่พูดด้วยอีก ปริมโกรธและเสียใจแต่ทำได้แต่ทุบตีตัวเองแล้วร้องไห้ฟูมฟาย

นวัชและนิษฐายังอยู่เป็นกำลังใจให้มยุรีที่หน้าห้องฉุกเฉิน พยาบาลเปิดประตูห้องให้หมอออกมา ทั้งสามคนรีบเข้าไปหาหมอทันที
มยุรีถามด้วยความเป็นห่วงเจติยาสุดๆ “ลูกดิฉันเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”
หมอตอบด้วยสีหน้าแปลกใจ “ไม่เป็นอะไรเลยครับ”
ทุกคนทั้งอึ้งทั้งงง
“แต่มีพยานเห็นกับตาเลยนะครับ ว่าเจถูกรถคุณปริมพุ่งเข้าชนจนสลบไป” นวัชบอก
“ครับ หมอก็แปลกใจ ทำไมไม่มีรอยฟกช้ำอะไรเลย แค่สลบไปเฉยๆ ตอนนี้ฟื้นแล้ว ตรวจร่างกายเบื้องต้น ก็เป็นปกติดีทุกอย่าง”
นิษฐางงมาก “เป็นไปได้ยังไงคะ”
มยุรีน้ำตาคลอด้วยความดีใจ “คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองแท้ๆเลย”
“แต่ถ้าคุณแม่ไม่สบายใจจะเช็คสมองให้ละเอียดอีกทีก็ได้นะครับ” หมอบอก
มยุรีมีสีหน้ากังวลเพราะไม่ค่อยมีเงิน
ทันใดนั้นเสียงลาภิณก็ดังขึ้น “ตรวจเลยครับ”
ทุกคนหันไปมอง
ลาภิณพูดต่อ “เช็คร่างกายอย่างละเอียดเลยครับคุณหมอ ผมจะเป็นเจ้าของไข้ให้เอง”
มยุรีดีใจจนน้ำตารื้น นวัชมีสีหน้านิ่งไปอย่างยอมรับ นิษฐาแอบชำเลืองมองหน้านวัชแล้วก็เข้าใจความรู้สึกของเขา

เจติยาเดินอยู่คนเดียวในห้องที่มืดสนิทและเวิ้งว้าง เธอหันไปมองรอบๆ แล้วก็พบแต่ความมืด ไม่ได้ยินเสียง หรือมองเห็นอะไรทั้งนั้น
เจติยาหน้าขรึมไป “นี่ฉันตายไปแล้วเหรอเนี่ย”
ทันใดนั้น เจติยาก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น
เสียงมัจจุราชดังขึ้น “เปล่าหรอก เธอแค่หลับไปเท่านั้นเอง อีกเดี๋ยวก็ตื่นแล้วล่ะ”
เจติยาตกใจ เธอมองไปรอบๆเพื่อหาต้นเสียง “คุณเป็นใคร”
เสียงมัจจุราชพูดต่อ “ฉันก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ไงล่ะ”
เจติยาพยายามนึกทบทวน “คุณช่วยฉันไว้ คุณเป็นวิญญาณที่อยู่กับกล่องรากบุญใช่มั้ยคะ”
เสียงมัจจุราชดัง “วิญญาณที่อยู่กับกล่องตอนนี้ คือเจ้าปองเจ้าย้ง ไม่มีอำนาจพอที่ จะทำอะไรแบบนั้นได้หรอก”
เจติยาสงสัยมาก “แล้วคุณเป็นใครกันแน่ถึงได้รู้เรื่องกล่องรากบุญมากขนาดนี้”
“ฉันรู้เพราะฉันคือผู้ที่สร้างมันขึ้นมาน่ะสิ”
เจติยาตกใจสุดๆ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกับผู้ที่สร้างกล่องรากบุญขึ้นมา

เจติยาสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงพักผู้ป่วยด้วยสีหน้าตกใจและประหลาดใจ เธอเหลือบตาไปมองมยุรีที่นอนหลับอยู่ที่โซฟารับแขก
เจติยามีสีหน้าติดใจสงสัย “เค้าเป็นใครกันแน่” เจติยาถอนใจออกมาอย่างใช้ความคิดจะข่มตานอนต่อก็ไม่หลับแล้ว

มยุรีเข็นรถพยาบาลพาเจติยากลับเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย
มยุรีเซ็ง “ทำไมถึงให้ปากคำไปว่าเป็นอุบัติเหตุล่ะลูก คนใจโหดเหี้ยมแบบนั้น น่าจะได้รับบทลงโทษให้หลาบจำ”
“ช่างเถอะค่ะ เจก็ไม่ได้เป็นอันตรายอะไร” เจติยาไม่สบายใจ “แล้วที่คุณปริมเค้าทำไป ก็เพราะหึงหวงจนขาดสติ จะว่าไปมันก็น่าเห็นใจเค้าเหมือนกันนะคะ”
“ใจดีไม่เข้าเรื่อง เกือบตายเพราะเค้าแท้ๆ”
เจติยาจะลุกขึ้น มยุรีรีบเข้ามาประคอง
“เจไม่ได้เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะแม่”
มยุรีช่วยประคองลูกสาว
เจติยามีสีหน้าเป็นห่วง “นทีโทรมารึยังคะแม่”
“โทรมาแล้วล่ะ บอกว่าเมื่อคืนไปค้างบ้านเพื่อน” มยุรีเป็นห่วงลูก “แต่ไม่ยอมบอกว่าเมื่อไหร่จะกลับ” มยุรีถอนหายใจออกมา

“ถ้าเค้าโทรมาอีก ให้เจคุยด้วยนะคะ เจอยากขอโทษนที”
มยุรียิ้มสบายใจแล้วบีบแขนเจติยา “ดีแล้วล่ะลูก ปรับความเข้าใจกันซะ ยังไงก็พี่น้องกัน แม่จะได้สบายใจซะที” มยุรียิ้มให้ “นอนพักเถอะลูก”
เจติยาเลื่อนตัวลงนอนบนเตียง มยุรีเดินไปนั่งที่โซฟาแล้วหยิบรีโมทมากดเปิดทีวีดู เจติยาขยับตัวนอนหันข้าง
เจติยาพูดพึมพำด้วยสีหน้าค้างคาใจ “ขอฝันถึงคนเมื่อคืนต่ออีกทีเถอะ” แล้วเจติยาก็ข่มตาหลับไป

บ่ายวันต่อมา นทีเดินคุยโทรศัพท์มือถือด้วยท่าทางหงุดหงิดผ่านหน้าร้านกาแฟในห้างสรรพสินค้า
นทีหงุดหงิด “อะไรวะ ดูหนังเป็นเพื่อนหน่อยก็ไม่ได้ ทีเอ็ง ข้าไม่เคยไม่ว่างเลยนะโว้ย”
พิสัยที่นั่งดื่มกาแฟรอพบลูกค้าอยู่เห็นนทีก็จำได้จึงจับตามอง
นทีคุยมือถือด้วยอารมณ์หงุดหงิด “เออๆ ไม่ต้องพูดมากเลย ทีใครทีมัน แค่นี้แหละ” นทีกดตัดสาย
เสียงพิสัยดังขึ้น “นทีใช่มั้ย”
นทีหันไปเจอพิสัยกำลังยิ้มให้

พิสัยยิ้มทักทาย “จำพี่ได้รึเปล่า”
นทีจำได้ว่าพิสัยเคยตามจีบเจติยา “คุณพิสัย” นทียกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
พิสัยรับไหว้ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

พิสัยพานทีเข้ามาคุยในร้านกาแฟที่เขานั่งอยู่
พิสัยปั้นหน้าเห็นอกเห็นใจ “เจทำอย่างงี้ก็เกินไป กะอีแค่สอบตกนิดๆ หน่อยๆ ซ่อมผ่านก็จบแล้ว ไม่เห็นต้องซีเรียสเลย”
นทีได้ใจ “พี่เจเค้าเป็นจอมบงการยังงี้ล่ะครับ อยากให้ผมเรียนโน่นเรียนนี่ตามใจเค้า ไม่เคยถามผมซักคำเลยว่าผมชอบรึเปล่า เมื่อไหร่จะเลิกเผด็จการบังคับจิตใจผมซะทีก็ไม่รู้”
“ไม่เห็นจะยากเลย พิสูจน์ให้เค้าเห็นสิ” พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์
นทีสนใจมาก “ทำไงครับพี่”
“ก็ทำงานไปเรียนไปน่ะสิ นทีจะได้ไม่ต้องไปแบมือของเงินเค้าใช้อีก”
นทีทำหน้าแหย “ผมจะไหวเหรอครับ”
“ก็ทำงานที่บริษัทพี่ตอนเย็นหลังเลิกเรียน งานไม่หนักหนาอะไรหรอก พี่จะเป็นแบ็คอัพให้เอง สบายใจได้” พิสัยตบบ่านทีแรงๆ สองที
นทียิ้มดีใจที่เห็นทางออก เขารีบยกมือไหว้ “ขอบคุณครับพี่”
พิสัยหยิบเงินออกมาห้าพัน “อ้ะ พี่ให้ไว้ใช้”
นทีสองจิตสองใจ “เอ่อ จะดีเหรอครับ”
พิสัยตัดบท “เอาไปเถอะ ถือว่ายืมก็ได้ แล้วเดี๋ยวเราทำงานได้เมื่อไหร่ค่อยเอามาใช้คืนพี่” พิสัยยัดเงินใส่มือนที
นทีไหว้ “ขอบคุณครับ”
นทีรับเงินมาด้วยความดีใจในขณะที่พิสัยมองนทีแล้วก็ยิ้มหยันในความโง่เขลาของนที

พิสัยเดินกลับมาที่รถของตนที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถห้างอย่างอารมณ์ดี ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปราณดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ฉันไม่เข้าใจแกเลย”
พิสัยหันไปมองหาปราณที่ด้านหลังแต่ก็ไม่เห็น
เสียงปราณดังขึ้น “แกจะใช้ประโยชน์อะไรจากน้องชายมันได้”
พิสัยหันไปด้านหน้าแล้วก็ผงะไปเล็กน้อยที่เห็นปราณยืนประชิดอยู่
พิสัยยิ้มเจ้าเล่ห์ “มันเป็นน้องของเจติยา ถ้าน้องมีอันตรายถึงชีวิต มีเหรอที่พี่สาวจะไม่ยื่นมือเข้าช่วย เจติยาต้องยอมทำทุกอย่างแน่นอน แม้แต่สละความเป็นเจ้าของกล่องให้ฉัน”
ปราณยิ้มพอใจ “ฉลาดมาก ฉันเลือกคนไม่ผิดเลยจริงๆ...แต่ระวังจะตายน้ำตื้นซะก่อนก็แล้วกัน”
พิสัยสงสัย “หมายความว่ายังไง”
“คนที่แกคิดจะปิดปาก แต่พลาดไป ตอนนี้ มันกำลังย้อนกลับมาเล่นงานแก”
พิสัยคิดตามแล้วก็ตกใจ “นี่ไอ้เชิดยังไม่ตายเหรอ”

เจติยานั่งอ่านเล็คเชอร์ทบทวนเพื่อเตรียมตัวสอบอยู่บนเตียงผู้ป่วย ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนที่ลาภิณจะเดินเข้ามา
ลาภิณยิ้มให้ “เป็นยังไงมั่ง”
เจติยาตอบหน้านิ่ง “ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่รู้คุณจะมาเสียเงินเสียทอง ตรวจโน่นนี่ให้ฉันอีกทำไม”
“เพื่อความสบายใจของคุณแม่คุณทำไปเถอะ”
เจติยาถอนใจก่อนจะปิดเล็คเชอร์
“ตำรวจบอกเธอให้การว่าเป็นอุบัติเหตุเหรอ” ลาภิณถาม
“ค่ะ”
“ขอบใจมากที่ไม่เอาเรื่องปริม”
“ฉันคิดผิดรึเปล่าก็ไม่รู้นะคะ คุณปริมคงไม่หยุดเล่นงานฉันแค่นี้แน่ ถ้าคุณยังไม่กลับไปคืนดีกับเค้า”
ลาภิณหน้าขรึมลง “มันเป็นไปไม่ได้หรอกเจ”
“ถ้างั้น คุณกับฉันก็ไม่ควรมาเจอกันตามลำพังยังงี้อีก คุณปริมเธอจะได้เลิกระแวงซะที”
“แล้วมันเรื่องอะไร ฉันต้องทำตามใจปริมเค้าด้วย ในเมื่อเราเลิกกันไปแล้ว”
“คุณเลิกกับเค้าฝ่ายเดียวมากกว่าค่ะ”
ลาภิณจ้องหน้าเจติยา “สรุปชีวิตนี้ฉันจะคบหากับใครใหม่ไม่ได้เลยใช่มั้ย”
เจติยาวางหน้าไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าลาภิณหมายถึงคบใคร เจติยาจึงหลบตา “ฉันจะไปรู้คุณเหรอ”
ลาภิณหน้าซึมไปด้วยความน้อยใจ “ที่พูดอ้างโน่นนี่ เพราะเธอกลัวพี่หมวดหึงก็บอกมาตรงๆ เถอะ”
“เค้ามาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ไม่ใช่แฟนฉันซะหน่อย” เจติยาหลบตาแล้วก็แอบอายๆ เพราะเหมือนเธอเคลียร์ตัวเองกลายๆ
ลาภิณใช้ความคิดพร้อมกับเคาะนิ้วตรงที่กั้นข้างเตียง 2-3 ครั้งแล้วเดินออกไปจากห้อง เจติยามองตามหลังลาภิณออกไปจากห้องจนประตูปิดงับกลับเข้ามา
เจติยางง “อะไรของเค้า”
ลาภิณเปิดประตูห้องกลับเข้ามาในห้อง เจติยาตกใจเล็กน้อย
“ฉันจะไม่ทำตามใจใครอีกแล้ว นอกจากใจตัวเอง” ลาภิณพูดแล้วกลับออกไปอีกครั้ง
“เพี้ยนรึเปล่า” เจติยาย่นจมูกใส่
ลาภิณเปิดประตูกลับเข้ามาอีก
เจติยาผงะไปด้วยความแปลกใจ

ลาภิณพูดเน้นคำ “ฉันยังไม่กลับ”
“ฉันก็ไม่ได้ไล่คุณซักคำ”
ลาภิณเดินไปกระแทกตัวนั่งลงที่โซฟารับแขกพร้อมทำหน้าตาเหมือนเด็กเอาแต่ใจ เจติยามองตามแล้วอดขำออกมาไม่ได้
ลาภิณเหลือบตามอง “ขำอะไร”
เจติยาอมยิ้มแล้วกลั้นขำ
ลาภิณตลกตัวเองเหมือนกันที่ทำตัวไม่มีเหตุผลเลย เขาเก็กไม่อยู่เลยค่อยๆ ขำตามออกมา ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วต่างก็ขำออกมา

เชิดสวมหมวกใส่แว่นดำปกปิดหน้าทำท่าทางลับๆล่อๆ เพราะอยากจะดักเจอลาภิณอยู่ที่หน้าบริษัทนิราลัย รปภ.เห็นท่าทางเชิดแปลกๆ ก็เดินเข้ามาหา
“มาพบใครเหรอคุณ” รปภ. ถาม
“คุณลาภิณ” เชิดตอบ
“นัดไว้รึเปล่า”
“เปล่า”
“ขอแลกบัตรประชาชนด้วยครับ”
“เดี๋ยวนี้เข้มงวดขนาดนี้เลยเหรอ”
“พักนี้มันมีเรื่องน่ะคุณ ท่านเพิ่งถูกลอบทำร้ายมา ก็เลยต้องระวังกันมากขึ้น”
“งั้นไม่เป็นไร ไว้พรุ่งนี้ฉันค่อยมาใหม่ก็ได้”
เชิดจะเดินเลี่ยงไป รปภ. จับตามองอย่างระแวง ทันใดนั้นคนขับรถก็ขับรถพาชูจิตเข้ามา เชิดจำชูจิตได้ เลยรีบวิ่งเข้าไปขวางหน้ารถไว้ทันที คนขับรถเบรครถกึกทันที
รปภ. ตกใจ “เฮ้ย จะทำอะไร”
รปภ.รีบเข้าไปล็อกตัวเชิดไว้ทันที เชิดร้องลั่นด้วยความเจ็บแผลที่เพิ่งโดนยิงมา
เชิดตะโกนลั่น “คุณผู้หญิง ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ”
ชูจิตเพ่งมองด้วยความแปลกใจ เธอกดกระจกลงดู “มีเรื่องอะไรกัน”
เชิดรีบร้อนพูด “ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณผู้หญิง ผมคือคนที่ยิงลูกชายคุณ” เชิดปาดมือขึ้นถอดหมวกและแว่นดำออก
ชูจิตตกใจมากเพราะจำได้ว่าเชิดคือคนเดียวกับในภาพสเก็ตคนร้ายที่ทำร้ายลาภิณ
“นายเชิด”

คนขับรถชูจิตวางกล่องอุปกรณ์พยาบาลไว้ที่โต๊ะมุมห้องในห้องพักอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง เชิดเดินมากวาดตามองไปรอบๆ ห้องแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ด้วยท่าทางเจ็บปวดจากแผลที่ถูกยิง
“ผมวางยากับอุปกรณ์ทำแผลไว้ที่นี่นะ”คนขับรถหยิบเงินออกมา 3 พันแล้วยื่นให้ “คุณท่านให้ไว้ใช้จ่าย”
เชิดรับเงินมา
โทรศัพท์มือถือของคนขับรถดังขึ้น เขาดูเบอร์แล้วกดรับ
คนขับรถคุยมือถือ “ครับคุณท่าน” คนขับรถฟัง “คุณท่านจะคุยด้วย” คนขับรถส่งมือถือให้เชิด
ชูจิตคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ในห้องทำงาน “ถึงที่พักแล้วใช่มั้ย” ชูจิตฟังอีกฝ่ายก่อนถามต่อ “ไหนว่ามาซิ แกจะช่วยฉันเอาผิดพิสัยได้ยังไง”
“คุณท่านเคยให้ทนายรวบรวมหลักฐานเล่นงานคุณพิสัยมาแล้วไม่ใช่เหรอครับ” เชิดถาม
ชูจิตคุยโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้าเจ็บใจ “ใช่ แล้วแกก็ฆ่าเค้า แถมเผาสำนักงาน ทำลายหลักฐานหมดแล้วด้วย”
เชิดคุยมือถือ “ยังไม่หมดหรอกครับ ทนายคุณเก็บหลักฐานไว้กับตัว ไม่ได้อยู่ที่สำนักงาน”
ชูจิตคุยโทรศัพท์มือถือด้วยความแปลกใจ “แกรู้ได้ยังไง”
“หลังจากผมฆ่าทนายคุณ ผมค้นรถเค้าเลยเจอหลักฐานเข้า คนอย่างผมไม่เคยไว้ใจใครง่ายๆอยู่แล้ว ผมเลยเก็บหลักฐานทั้งหมดเอาไว้”
ชูจิตคุยโทรศัพท์มือถือด้วยความสนใจ “แล้วตอนนี้หลักฐานอยู่ที่ไหน”
“ผมบอกแล้วไง ว่าผมไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ถ้าคุณนายอยากได้ก็ต้องให้เงินผมมาก่อน แล้วถ้าผมหนีพ้นเมื่อไหร่ ผมจะบอกที่ซ่อนให้”
ชูจิตหน้าเครียดเพราะเชิดเองก็เจ้าเล่ห์ไม่ใช่เล่น
ชูจิตหน้านิ่งก่อนจะถามกลับไป “แกต้องการเงินเท่าไหร่แลกกับหลักฐานทั้งหมด” ชูจิตรอฟังคำตอบจากปลายสาย

คนขับรถของชูจิตเดินออกมาจากอพาร์ทเมนท์แล้วขับรถกลับไป พิสัยนั่งซุ่มจับตามองอยู่ในรถที่จอดอยู่ไม่ไกล ส่วนปราณนั่งอยู่ที่เบาะหลัง
พิสัยมีสีหน้ากังวลพร้อมกับหันมามองปราณ “พี่จิตต้องรู้ความจริงว่าฉันบงการฆ่าไอ้ต้นแน่ๆ”
“จะรู้หรือไม่รู้ ค่อยว่ากันทีหลัง แต่ตอนนี้แกต้องปิดปากมันก่อน” ปราณบอก
พิสัยสบตากับปราณแล้งรับพลังผลักดันความชั่วร้ายเข้ามาในใจ พิสัยมีสีหน้าแววตาอำมหิตขึ้นมา เขาสวมแว่นดำก่อนเดินลงไปจากรถ ปราณจับตามองตามแล้วสะแหยะยิ้มที่มุมปาก

เจติยาและมยุรีถือถุงใส่ของใช้ส่วนตัวกลับมาจากโรงพยาบาลด้วยกัน ทั้งคู่ชะงักไปเมื่อเห็นนทีนั่งเล่นเกมส์จากโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่อยู่ที่โซฟารับแขก
มยุรีดีใจ “นที...กลับมาแล้วเหรอลูก”
นทีเหลือบตามองมาที่เจติยาด้วยใบหน้าบึ้งตึง
เจติยาพูดจาอ่อนลง “พี่ขอโทษ วันก่อนพี่วู่วามไปหน่อย พี่รู้ความจริงทั้งหมดจากแม่แล้ว”
นทีลุกขึ้น “ไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรผมหรอก สิ่งที่พี่พูด มันก็มาจากใจที่พี่รู้สึกจริงๆ”
เจติยาแอบถอนใจออกมาเบาๆ
มยุรีจับตามองมือถือในมือนที “นั่นไปเอาโทรศัพท์ใครมา”
“คุณพิสัยให้ผมไว้ใช้ จะได้ติดต่อกันได้ง่ายๆ” นทีบอก
เจติยาอึ้ง เธอร้อนใจเพราะกลัวน้องจะตกเป็นเครื่องมือของพิสัย “แกไปเจอกับเค้าที่ไหน แล้วรับของเค้ามาทำไม”
“ใจเย็นก่อนเจ ให้แม่พูดเอง” มยุรีบอก
นทีจ้องหน้าเจติยา “ผมได้งานทำแล้ว คุณพิสัยคือเจ้านายของผม”
เจติยาอึ้งไป
“แต่แกยังเรียนไม่จบนะนที”
“คุณพิสัยให้ผมทำงานหลังเลิกเรียน” นทีบอก

รากบุญ ตอนที่ 10 (ต่อ)
เจติยาเป็นห่วง “คุณพิสัยไม่ใช่คนดีนะนที เค้าทำอย่างงี้ ต้องหวังอะไรซักอย่างแน่ๆ พี่ว่าเราอยู่ห่างๆเค้าไว้จะดีกว่า”
นทีไม่สน “ผมจะอยู่บ้านนี้จนจบม.6 แล้วผมจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกนะครับแม่”
มยุรีอึ้งเพราะพูดไม่ออก เธอยังตั้งรับสถานการณ์ไม่ทัน
นทียิ้มเย้ยเจติยา “นับจากวันนี้ไป ผมไม่ต้องการเงินของพี่อีกแม้แต่บาทเดียว เพราะผมมีเงินเดือนเป็นของตัวเองแล้ว” นทียิ้มลำพองก่อนจะเดินเล่นสมาร์ทโฟนขึ้นบ้านไป
เจติยาเป็นห่วง “แม่ต้องห้ามนทีให้ได้นะคะ คุณพิสัยเป็นตัวอันตราย”
“ปล่อยน้องไปก่อนเถอะ น้ำกำลังเชี่ยวแม่ไม่อยากไปขวาง กลัวนทีจะหนีเตลิดไปอีก”
มยุรีถอนใจยาวออกมาก่อนจะเดินไปทรุดตัวนั่งอย่างอ่อนใจ เจติยามีสีหน้าเครียดด้วยความหนักใจเพราะไม่รู้ว่าพิสัยจะมาไม้ไหน

เชิดกำลังนั่งทำแผลให้ตัวเองอยู่ที่กลางห้องพัก ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เชิดมีสีหน้าตกใจรีบชักปืนออกมาพร้อมหาที่หลบ
เสียงชายหนุ่มตะโกนเข้ามา “อาหารมาส่งครับ”
เชิดตะโกนออกไป “ฉันไม่ได้สั่ง”
ชายหนุ่มถือกล่องใส่อาหารยืนอยู่หน้าห้องพูดกลับเข้าไป
“คนขับรถคุณชูจิตให้ผมเอาขึ้นมาให้ครับ”
เชิดมีสีหน้าสงสัยเขาเดินมาใกล้หน้าประตูห้องแล้วพูด
“วางไว้หน้าห้องนั่นล่ะ”
“ครับ” ชายหนุ่มแขวนถุงอาหารไว้ที่ลูกบิดประตู
เชิดแง้มประตูห้องแอบมองก็เห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มร่างผอมกำลังเดินกลับไป เชิดวางใจหยิบถุงอาหารเข้ามาในห้องแล้วรีบปิดประตูล็อคทันที

เด็กหนุ่มเดินพ้นมุมตึกมายังบริเวณที่พิสัยดักรออยู่
“ขอบใจมาก” พิสัยหยิบเงินให้เด็กหนุ่ม 1 พันบาท
เด็กหนุ่มดีใจยกมือไหว้ เขารับเงินแล้วรีบเดินไป พิสัยยิ้มมุมปากด้วยแววตาอำมหิต


ชูจิตกำลังนั่งเครียดอยู่คนเดียวที่ม้าสนามในสนามหน้าบ้านตอนหัวค่ำ ชูจิตคิดถึงเรื่องพิสัยแล้วก็อดสับสนในใจไม่ได้ เธอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต

ชูจิตเปิดประตูพาพิสัยในวัย 5ขวบเข้ามาในห้อง โดยมีสารัชเดินตามหลังมา
ชูจิตยิ้มแย้ม “นี่ห้องของเรานะ ชอบมั้ย”
พิสัยมองไปรอบๆ ห้องที่ตกแต่งไว้สำหรับเด็ก มีตุ๊กตายอดมนุษย์ รถบังคับ และของใช้สำหรับเด็กตกแต่งอยู่เต็มห้อง
พิสัยยิ้มแย้มดีใจ “ชอบครับ” พิสัยยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ”
ชูจิตยิ้มแย้มแล้วลูบหัวพิสัยด้วยความเอ็นดู “ไปดูสิจ๊ะว่าในห้องมีของเล่นอะไรบ้าง”
“ครับ”
พิสัยวิ่งไปเปิดโน่นเปิดนี่ในห้องอย่างสนุกสนานตามประสาเด็ก
“เอาน้องมาเลี้ยงแทนลูกอย่างงี้จะดีเหรอคุณ เกิดวันนึงเรามีลูกของเราเองขึ้นมา เด็กจะไม่ทำตัวมีปัญหาเหรอ” สารัชทัก
“คิดมากจังเลย คงไม่หรอกค่ะ จิตอยากช่วยแบ่งเบาคุณพ่อคุณแม่ มีลูกหลงตอนอายุขนาดนี้มันลำบากพวกท่านมากเลยนะคะ”
สารัชถอนใจพร้อมพยักหน้ารับเพราะไม่อยากขัดใจ “ก็ตามใจคุณ”
ทั้งคู่หันไปมองพิสัยที่หยิบของเล่นมาเล่นอย่างสนุกสนานตามประสาเด็ก

ชูจิตนึกถึงพิสัยตอนเด็กๆ แล้วก็ลำบากใจที่จะเล่นงานเขาเพราะลึกๆ แล้วเธอก็รู้สึกผิดที่เอาพิสัยมาเลี้ยงเหมือนลูก ชูจิตหยุดชะงักเมื่อฉุกคิดถึงลาภิณ

ชูจิตกอดตัวเองแน่น ร้องไห้จนตัวสั่น เธอกำลังมองหมอและพยาบาลช่วยกันใช้เครื่องช็อตหัวใจช่วยชีวิตลาภิณอยู่ แต่ชีพจรของลาภิณก็ไม่มีทีท่าว่าจะคืนกลับมาได้ ชูจิตร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด หมอและพยาบาลช่วยกันยื้อชีวิตสุดความสามารถ ร่างลาภิณยังแน่นิ่งเหมือนพร้อมจะจากไปได้ตลอดเวลา

ชูจิตนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วก็น้ำตาไหลซึมออกมาด้วยความสงสารลูกชายจับใจ เธอขบกรามและมีสายตาแข็งกร้าวขึ้นมา แล้วก็ตัดสินใจได้ว่ายังไงก็ต้องปกป้องลูกไว้ก่อน....
ทันใดนั้นเสียงลาภิณก็ดังขึ้น “คุณแม่”
ชูจิตรีบยกมือขึ้นมาซับน้ำตาออกก่อนหันไปมองลูกชาย ลาภิณเดินเข้ามาหา
“มานั่งทำอะไรมืดๆ ครับ”
ชูจิตปั้นยิ้ม “แม่รอต้นอยู่น่ะลูก” ชูจิตยื่นมือไปจับแขนลูกชายแล้วพามานั่งด้วยกัน
“มีอะไรเหรอครับ”
ชูจิตมองลาภิณแล้วก็น้ำตาคลอ “แม่รักต้นมากนะลูก”
ลาภิณทั้งขำทั้งงง “ผมก็รักแม่ครับ” ลาภิณกอดและหอมแก้มแม่
ชูจิตน้ำตารื้นขึ้นมาอีก
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของชูจิตก็ดังขึ้น
ชูจิตดูเบอร์แล้วก็กดรับ “ว่าไงจ๊ะ” ชูจิตฟังแล้วก็ตกใจมาก

เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังช่วยกันแบกศพเชิดออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ ท่ามกลางผู้คนที่มามุงดูเต็มไปหมด โดยมีตำรวจจำนวนหนึ่งคอยดูแลความเรียบร้อย ศพเชิดถูกแบกผ่านลาภิณและชูจิตที่ยืนดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สักพักนวัชก็เดินเข้ามาหาลาภิณ
“นายเชิดตายได้ยังไงครับหมวด” ลาภิณถาม
“ต้องรอผลชันสูตรก่อนนะครับ แต่เท่าที่ผมดูจากที่เกิดเหตุ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้เลย” นวัชบอก
ชูจิตมีสีหน้าสงสัย
“ส่วนพยานก็ให้การว่านายเชิดวิ่งออกมาจากห้องอย่างทุรนทุราย ซักพักก็ขาดใจตาย เป็นไปได้ว่าอาจจะโดนวางยา” นวัชบอก

ชูจิตหน้าเครียด “จะเป็นไปได้ยังไงคะ ใครจะเข้าไปวางยาถึงในห้องได้”
“นี่เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของผมครับ ยังไงก็คงต้องรอผลการชันสูตรก่อน เอ่อ ขอโทษนะครับคุณชูจิต อพาร์ทเม้นท์นี้เป็นของคุณใช่มั้ยครับ”
ลาภิณชักเอะใจอะไรบางอย่าง เขาชำเลืองมองหน้าแม่
ชูจิตหน้าเสีย “ไม่ใช่ของฉันคนเดียวหรอกค่ะ” ชูจิตพูดโดยไม่สู้ตาลาภิณ “ฉันถือหุ้นอยู่กับเพื่อนๆ น่ะค่ะ”
นวัชมีสีหน้าติดใจสงสัย “แล้วพอจะทราบมั้ยครับ ทำไมนายเชิดถึงมาพักอยู่ห้องนี้ได้ ปกติห้องนี้เป็นของคุณสำรองเอาไว้ให้พนักงานไม่ใช่เหรอครับ”
ชูจิตทำหน้าเจื่อนๆ ลาภิณจ้องเขม็งเพื่อรอคำตอบ ชูจิตหน้าเสียทันทีเพราะรู้ว่าลาภิณต้องโกรธเธอแน่ๆ
-

เวลาผ่านไป ลาภิณคุยกับชูจิตด้วยความโมโหอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้าน
ลาภิณโมโหมาก “ทำไมคุณแม่ถึงเอาแต่ปกป้องน้าพิสัย ไม่ห่วงผมบ้างเลยเหรอครับ ผมถามจริงๆเถอะ ตกลงผมเป็นลูกคุณแม่แน่รึเปล่า”
ชูจิตหน้าเสียและน้ำตาคลอ “ทำไมแม่จะไม่ห่วงลูกล่ะต้น แต่แม่คิดไม่ถึงว่าพิสัยค้าจะกล้าทำร้ายต้น” ชูจิตพูดเสียงอ่อย “แม่ก็เลยอยากให้โอกาสเค้าแก้ตัว”
ลาภิณโมโหมาก “คุณแม่ให้โอกาสเค้า ทั้งๆที่รู้ว่าเค้าฆ่าคุณปุ่นอย่างงั้นเหรอครับ”
ชูจิตจ๋อยไป
“ถ้าคุณแม่บอกความจริงกับผมแต่แรก ผมก็ต้องระวังตัวมากกว่านี้ คงไม่ถูกดักยิงจนเกือบตายยังงั้นหรอกครับ”
ชูจิตรู้สึกผิดมาก “แม่ขอโทษนะต้น” ชูจิตจับมือลาภิณแล้วก็น้ำตาท่วมตา “ที่แม่ไม่บอกต้นแต่แรกเพราะแม่รู้ว่าต้นกับพิสัยไม่ถูกกัน แม่ก็เลยไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย ไม่ใช่แม่ไม่รักต้นนะลูก”
ลาภิณโมโหมากจึงกระชากมือออกแล้วพูดประชด “ไม่ใช่ไม่รักแต่รักน้อยกว่า แม่ถึงได้ออกตัวปกป้องเค้าซะขนาดนี้ เรื่องวันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไอ้เชิดไม่ตาย แม่ก็คงเอาหลักฐานทั้งหมดมาทำลายทิ้งแล้วปล่อยให้เรื่องเงียบไปอีกใช่มั้ยครับ”
ชูจิตน้ำตาไหลที่ลูกเข้าใจผิด “ไม่จริงนะต้น แม่ตั้งใจจะเล่าเรื่องเชิดให้ต้นฟังอยู่แล้ว แม่ตกลงจะให้เงินเค้า แลกกับหลักฐานเอาผิดพิสัย แต่...”
ลาภิณพูดสวนขึ้น “แต่เชิดตายไปแล้ว น้าพิสัยก็คงลอยนวลอีกตามเคย” ลาภิณจ้องหน้า “บางทีแม่อาจจะอยู่เบื้องหลังการตายของไอ้เชิดก็ได้”
ชูจิตเสียใจที่ลูกเข้าใจผิดไปใหญ่ “ต้น”
ลาภิณยิ้มประชด “ผมล่ะอยากเกิดเป็นน้องชายคุณแม่ซะจริงๆ”
ลาภิณเดินขึ้นบ้านไปด้วยความโมโหปนน้อยใจ ชูจิตได้แต่มองตามลาภิณแล้วก็น้ำตาไหลออกมาด้วยความอัดอั้นใจเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง

ชูจิตปรึกษากับเจติยาด้วยสีหน้าหนักใจอยู่ในห้องทำงาน
เจติยาพยายามปลอบใจ “อย่าคิดมากเลยค่ะคุณท่าน เดี๋ยวคุณต้นหายโกรธก็คงเข้าใจเอง คุณท่านเลี้ยงคุณพิสัยมาเหมือนลูกคนนึง จะให้ตัดใจทำรุนแรง มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะคะ”
ชูจิตมีสีหน้าอ่อนใจ “ถ้าต้นเค้าเข้าใจฉันแบบเธอบ้างก็คงจะดี”
เจติยาเสียดาย “นายเชิดตายไปแล้วแบบนี้ เราคงไม่มีทางได้หลักฐานเอาผิดคุณพิสัยแล้วใช่มั้ยคะ”
ชูจิตถอนใจ “แต่ฉันก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ตำรวจฟังแล้วนะ ก็ไม่รู้จะพอเอาผิดพิสัยได้รึเปล่า”
เจติยามีสีหน้าเสียดายปนเจ็บใจ “ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใครนะคะ”
“คนอย่างนายเชิดมีศัตรูรอบตัวเต็มไปหมด” ชูจิตถอนใจออกมา
“แปลกจัง ทำไมจะต้องมาเคราะห์ร้ายตายตอนนี้ด้วย” เจติยามีสีหน้าติดใจสงสัย
ชูจิตชำเลืองมอง “อย่าบอกนะว่าเธอก็ระแวงฉันเหมือนต้นอีกคน”
เจติยารีบปฏิเสธ “เปล่านะคะ”
ชูจิตถอนใจ “เธอช่วยไปเอาน้ำอุ่นให้ฉันที อยากกินยาซะหน่อย ฉันเครียดจนปวดหัวไปหมดแล้ว”
“ค่ะคุณท่าน”
เจติยาเดินออกไปจากห้อง ชูจิตพิงศีรษะไปกับพนักเก้าอี้แล้วหลับตาพักผ่อน ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาก่อนจะปิดลงเบาๆ
“เร็วจังเลย” ชูจิตลืมตาขึ้นแล้วก็สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นพิสัยนั่งจ้องอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม “พิสัย เธอเข้ามาทำไม”
พิสัยปั้นยิ้ม “น้องชายจะมาเยี่ยมพี่สาวบ้างไม่ได้เลยเหรอครับ”
ชูจิตกลัวแต่พยายามใจดีสู้เสือ “เธอมีธุระอะไรก็ว่ามา”
พิสัยพูดพร้อมเดินเข้าหาชูจิต “ผมได้ยินมาว่า มีคนตายที่อพาร์ทเม้นท์ของพี่ ผมเลยอยากรู้รายละเอียด”
ชูจิตรู้สึกกลัวสีหน้า แววตาและน้ำเสียงของน้องชาย
พิสัยเดินเข้าไปเท้าโต๊ะทำงาน ก่อนจะโน้มตัวไปจ้องหน้าชูจิต “ยังไงเราก็พี่น้องกัน มีอะไรก็น่าจะคุยกันดีๆ ได้นี่ครับ”
พิสัยจ้องตาดุใส่ชูจิต ทันใดนั้นเจติยาก็ถือแก้วน้ำอุ่นเปิดประตูห้องกลับเข้ามาพอดี
เจติยาชะงักไปเมื่อเห็นพิสัยอยู่ในห้องด้วย
พิสัยถอยตัวออกห่างแล้วจ้องเขม็งไปทางเจติยา เจติยาและชูจิตลอบสบตากัน เจติยาอ่านใจออกว่าชูจิตพยายามบอกผ่านสายตาว่ากำลังหวาดกลัว
“คุณท่านจะเข้าประชุมด้วยมั้ยคะ” เจติยาถาม
ชูจิตรับมุกทันที “เข้าสิ มากันครบแล้วเหรอ”
“ค่ะรอคุณท่านคนเดียว”
ชูจิตรีบลุกพร้อมกับคว้ากระเป๋าถือ “ไป ไป”
พิสัยยิ้มเล็กน้อยเพราะรู้ทัน “ฉันไม่ยักรู้ว่าเธอเปลี่ยนตำแหน่งจากดูแลศพมาดูแลพี่จิตแทนแล้ว” พิสัยหันไปมองชูจิต “ถ้าวันนี้พี่จิตไม่ว่าง ก็ไม่เป็นไร ไว้วันหลังเราค่อยคุยกันใหม่”
พิสัยเดินออกไปจากพร้อมพร้อมจ้องหน้าเจติยาด้วยสายตาดุดัน แต่เจติยาจ้องตอบอย่างไม่กลัวเกรง พิสัยเดินออกจากห้องไปอย่างหัวเสีย ชูจิตทิ้งตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยทั้งใจทั้งกาย แล้วน้ำตาก็รื้นขึ้นมา

เจติยาเป็นห่วง “ทานยาก่อนดีกว่าค่ะคุณท่าน” เจติยารีบเอาน้ำอุ่นให้
ชูจิตหยิบซองยาจากกระเป๋า
“ต่อไปคุณท่านต้องระวังคุณพิสัยให้มากกว่านี้นะคะ หมาจนตรอกทำได้ทุกอย่าง กัดเจ้านายตัวเองตายก็มีข่าวให้เห็นเยอะแยะ”
ชูจิตนิ่งเพราะคิดตาม เธอเหลือบตามองหน้าเจติยา “เธอเองก็เหมือนกันระวังตัวเอาไว้ด้วย”
“ค่ะคุณท่าน”
เจติยามีสีหน้าเคร่งเครียดปนกังวลอย่างเห็นได้ชัด ลึกๆ เธอก็รู้ตัวว่าพิสัยพยายามเล่นงานครอบครัวของเธออยู่และเป้าหมายตอนนี้ก็คือนที


เจติยาเดินหน้าเครียดจากเรื่องของชูจิตกับพิสัยกลับมาที่ห้องแต่งศพ เธอเปิดประตูเข้ามาก็เจอวิญญาณปองยืนตัวซีดเผือดรออยู่แบบไม่ให้เธอตั้งตัว เจติยาร้องลั่นพร้อมกับกระโดดโหยงออกไปนอกห้องจนชนกับวิญญาณย้ง เจติยากรี๊ดสนั่นอีกครั้งแล้วถอยหลังไปกระแทกฝา
ย้งโมโห “เธอผิดสัญญา ไหนบอกว่าจะช่วยเราแฉความเลวของไอ้พิสัย ไม่เห็นทำอะไรซักอย่าง”
วิญญาณปองพุ่งเข้าหาเจติยาด้วยความโกรธจัดก่อนจะมาทุบกำแพงข้างๆ ตัวเจติยา
ปองโมโห “อยากลองดีกับพวกกูใช่มั้ย”
เจติยาสูดหายใจลึกแล้วตั้งสติก่อนตอบโต้ “ถ้าฉันทำไม่สำเร็จ ฉันก็ต้องตายเหมือนกัน เรื่องอะไรฉันถึงจะไม่ช่วยพวกนายล่ะ พยานหลักฐานอะไรก็ไม่มี มีแต่ปากคำจากผีอย่างเดียว แล้วใครเค้าจะเชื่อฉัน”
“ถ้าฉันหาหลักฐานให้เธอได้ล่ะ” ย้งบอก
เจติยานึกไม่ถึง “นายมีด้วยเหรอ”
“ก็หลักฐานที่ไอ้เชิดมันเก็บไว้ไง ฉันรู้ว่ามันซ่อนไว้ที่ไหน”
เจติยาค่อยยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง


เจติยาเดินนำมากดลิฟท์เพื่อลง ส่วนลาภิณเดินตามหลังพร้อมกับกวาดตามองหาไปมา
เจติยามองตามอย่างงงๆ “มองหาอะไรคะ”
“ก็ผีปองกับผีย้งไง ตอนนี้อยู่ไหน” ลาภิณถาม
“เค้าไม่อยู่ที่นี่หรอกค่ะ ถึงอยู่ คุณก็ไม่เห็นหรอก”
“รู้สึกแปลกๆ นะมีผีมาช่วยนำทาง”
เจติยาแขวะลอยๆ “ตัวเองก็เคยผ่านประสบการณ์เป็นผีมาแล้ว น่าจะคุ้นๆ นะคะ”
ลาภิณเหล่มองเจติยาเล็กน้อย
ลิฟท์เปิดพอดี ชูจิตยืนอยู่ในลิฟท์ทำให้เผชิญหน้ากับลาภิณพอดี
“อ้าว จะไปไหนกันล่ะ” ชูจิตถาม
เจติยากดลิฟท์ค้างเอาไว้ให้
ลาภิณยิ้มเย็นชา “ไปหาหลักฐานไว้ป้องกันตัวเองจากน้องชายคุณแม่ไงครับ”
ชูจิตชะงักไปเล็กน้อย
“แม่จะส่งใครไปขัดขวางผมก็รีบๆ เลย เดี๋ยวไม่ทัน” ลาภิณเดินเลี่ยงเข้าลิฟท์ไปด้วยหน้าตาบึ้งตึง
ชูจิตทั้งน้อยใจทั้งเสียใจ
เจติยาเห็นใจ “คุณลาภิณคงกำลังน้อยใจอยู่น่ะค่ะ คุณท่านอย่าคิดมากนะคะ”
ชูจิตพยักหน้ารับอย่างซึมๆ
ลาภิณพูดเสียงแข็งออกมาจากลิฟท์ “จะไม่ไปใช่มั้ย”
เจติยาทอดเสียงเพื่อแดกดันอยู่ในที “ไปสิคะ”
เจติยาถอนใจแล้วเดินเข้าไปในลิฟท์ที่ลาภิณยืนหน้าหงิกรออยู่ ลาภิณกดลิฟท์ปิดทันทีโดยไม่ยอมมองหน้าแม่เพราะยังน้อยใจไม่หาย ชูจิตได้แต่มองลูกชายด้วยความเสียใจ

ลาภิณเดินนำไปที่รถ เจติยาเดินตามไปแล้วพูดกับลาภิณด้วยสีหน้าเครียด
“คุณไม่ควรพูดกับคุณท่านยังงั้นเลยนะคะ”
ลาภิณตอบด้วยใบหน้าบึ้งตึง “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ เธอไม่เข้าใจหรอก”
“ไม่มีใครเข้าใจคนอื่นได้ทุกเรื่องหรอกค่ะ แต่ที่ฉันรู้ คือคุณท่านเป็นแม่คุณ แล้วท่านก็รักคุณมาก”
“แต่ก็ไม่มากไปกว่าน้องชายเค้าหรอก”
“แล้วคุณเคยคิดถึงใจท่านบ้างรึเปล่า นั่นก็น้อง นี่ก็ลูก เป็นคุณก็ต้องลำบากใจเหมือนกันแหละ อย่าเอาแต่อารมณ์หน่อยเลย ลองย้อนนึกถึงตอนวิญญาณคุณออกจากร่างซิ ใครร้องไห้แทบขาดใจจนล้มป่วย ไม่ใช่คุณท่านหรอกเหรอะ” เจติยาจ้องลาภิณแล้วพูดแขวะ “แล้ววิญญาณใครไม่ทราบที่ไปนอนร้องไห้กอดคุณท่านบนเตียง ลืมความรู้สึกวันนั้นแล้วรึไง” เจติยาค้อนใส่
ลาภิณโกรธเพราะโดนแทงใจดำ “เจ น้อยๆหน่อย”
เจติยาเหยียดปากใส่ “รีบไปเถอะค่ะ ถึงมืดจะหาหลักฐานไม่เจอ” เจติยาเดินนำไป
ลาภิณมองตามเจติยาไปแล้วแอบมีสีหน้าจ๋อยไปเหมือนกัน

ลาภิณขับรถพาเจติยาเข้ามาในสวนต่างจังหวัดที่มีกระท่อมหลังเล็กๆหลังหนึ่งปลูกอยู่ ลาภิณจอดรถ แล้วทั้งคู่ก็ก้าวลงไปสำรวจ
“ใช่ที่นี่แน่เหรอ” ลาภิณถาม
เจติยามองไปรอบๆ “ปองกับย้งบอกมาอย่างงี้นะคะ แต่ไม่ได้บอกว่าหลักฐานซ่อนอยู่ตรงไหน”
“งั้นก็แยกย้ายกันหา ผมจะเข้าไปค้นในบ้านเอง” ลาภิณเดินนำเข้าไปในกระท่อม
เจติยาเดินมาทางสวนพร้อมกวาดตามองหา
เจติยาเรียกพร้อมกวาดตามองหา “ปอง ย้ง หลักฐานอยู่ไหน” เจติยากวาดตามองหาไปรอบตัวแต่ก็ไม่เห็นวิญาณของปองกับย้ง
ลาภิณเดินสำรวจรอบๆกระท่อมก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในกระท่อม ลาภิณเข้าไปข้างในก่อนจะมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเครื่องเรือนอะไรซักอย่าง แถมยังไม่มีจุดที่น่าจะซ่อนของอะไรได้ด้วย
ลาภิณมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นอะไรเลย พอหันกลับมาเขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นปราณยืนอยู่มองอยู่พร้อมทั้งสะแหยะยิ้มร้าย

เจติยาเดินเข้ามาในสวนพร้อมกับมองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เกิดลมพัดแรงจนต้นไม้เอน ฝุ่นคลุ้งตลบขึ้นจนเจติยาต้องเอามือป้องตาเอาไว้ วิญญาณของปองและย้งปรากฏขึ้นที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเจติยาไม่มากนัก สักพักลมก็สงบลง
“ขุดตรงนี้ แล้วจะเจอเอง” ปองบอก
“อย่าลืมที่รับปากล่ะ” ย้งชี้หน้าเจติยา “คราวนี้เธอไม่รอดแน่” ย้งมีสีหน้าแววตาดุร้าย
แล้ววิญญาณของปองและย้งเลือนหายไป เจติยายิ้มดีใจ เธอหันซ้ายหันขวาก่อนจะวิ่งไปหาจอบหาเสียมมาขุดดินบริเวณนั้น


เจติยาถือกระเป๋าเอกสารที่ห่อไว้ด้วยถุงพลาสติกไว้อย่างดีแต่เลอะคราบดินเดินกลับมาที่กระท่อม พอเดินมาถึงกระท่อมเธอก็เห็นลาภิณยืนหันหลังรออยู่
เจติยาดีใจ “เจอแล้วค่ะ” เจติยาโชว์กระเป๋าให้ดู
ลาภิณหันกลับไปมองเจติยาแล้วส่งยิ้มเย็นๆ ให้คล้ายคนโดนสะกดจิต
ลาภิณมีสายตาและน้ำเสียงแข็งๆ เกร็งๆ “งั้นเราก็รีบกลับกันเถอะ”
ปราณยืนอยู่ข้างหลังลาภิณ แต่เจติยามองไม่เห็น ปราณและลาภิณพูดพร้อมกันและทำท่าทางเหมือนกัน
“ฉันอยากเอาหลักฐานพวกนี้ไปให้ตำรวจเร็วๆ”
เจติยายิ้มรับก่อนจะเดินนำไปที่รถที่จอดอยู่ ลาภิณเดินตัวแข็งตามไป โดยมีปราณตามหลังไปอีกที ทันใดนั้น วิญญาณของปองและย้งก็ปรากฏขึ้นมาขวางหน้าปราณไว้
ปองตะคอก “เอ็งเป็นใครวะ”
ปราณยิ้มเยาะ “หลีกทางไป ไอ้พวกสวะ”
ปราณจ้องไปที่วิญญาณปองและย้ง ทันใดนั้นก็เกิดไฟลุกท่วมวิญญาณของปองและย้งทันที ทั้งคู่ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหายตัวไป
เจติยาได้ยินเสียงร้องของปองและ ย้งจึงรีบหันกลับมาดู แต่ก็ไม่เห็นอะไร
ลาภิณถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ “มีอะไรเหรอ”
“ได้ยินเสียงแว่วๆน่ะค่ะ” เจติยามองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นอะไร “ช่างเถอะค่ะ ฉันอาจจะคิดมากไปเอง”
เจติยาเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งพร้อมกระเป๋าเอกสาร ลาภิณมองเจติยาด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม

ลาภิณกำลังขับรถด้วยความเร็วสูง โดยมีเจติยานั่งมาด้วย เข็มวัดความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เจติยาชักกลัว “ขับเร็วเกินไปรึเปล่าคะ เราไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้”
ปราณนั่งอยู่ที่เบาะหลังโดยที่เจติยาไม่เห็น ปราณกับลาภิณพูดพร้อมกันและทำท่าทางเหมือนกันทุกอย่าง
“ถึงเร็วๆไม่ดีรึไง จะได้จัดการไอ้พิสัยให้สิ้นเรื่องสิ้นราวซะที”
“ฉันกลัวจะเกิดอุบัติเหตุซะก่อนน่ะสิคะ” เจติยาบอก
ปราณยิ้มร้าย ลาภิณนั่งตาแข็งเหมือนคนไร้สติและเหยียบคันเร่งจนมิด
เจติยาตกใจมาก “คุณลาภิณ เร็วไปแล้วค่ะ”
ปราณกับลาภิณหัวเราะร้ายๆพร้อมกัน
เจติยาตกใจมาก “หยุดรถเดี๋ยวนี้นะคุณลาภิณ” เจติยาพยายามจะดึงเบรกมือ
ลาภิณผลักเจติยาออกจนเจติยาเซไปทำให้หัวกระแทกกระจกรถอีกฝั่ง
“โอ๊ย”
ลาภิณตาแข็งกร้าว เจติยาตกใจปนกลัว ลาภิณเห็นรถวิ่งสวนอยู่ห่างๆ เขาเร่งความเร็วเข้าไปหาทันทีหมายจะวิ่งชนประสานงา เจติยาตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดๆ เพราะไม่รู้จะแก้ไขยังไง
กำลังโหลดความคิดเห็น