xs
xsm
sm
md
lg

อาญารัก ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อาญารัก ตอนที่ 10

ขณะเดียวกันบนเรือนใหญ่ของขุนภักดี ทุกคนกินอาหารเสร็จแล้ว กบและแมวกำลังเสิร์ฟของหวาน

“ไอ้เสือหนักมันเอาเด็กสองคนนี่ไปมัดไว้ แล้วปล่อยมาโดยไม่ทำอะไรเลย ช่างเหลือเชื่อ” ทองจันทร์งง
“ได้ยินว่ามันเลิกปล้นฆ่าไปนานแล้วไม่ใช่หรือ” เรียมถามสองหนุ่ม
“มันจะเลิกหรือไม่เลิกความผิดความเลวกรรมชั่วของมันก็เลิกไม่ได้หรอกค่ะ” สนแหลมขึ้นมา
“หน้าตามันโหดเหี้ยมมากไหม” ทองจันทร์ซักสองหนุ่ม
สองคนสบตากัน
“ไม่ได้เห็นหน้าดอกแต่เห็นตาครับ คุณย่า”
ภาพสายตาหนักที่โผล่มาจากผ้าคาดหน้า ดุดันมาก ผุดขึ้นในความคิดของสน ขณะบอกออกไป
“ตาของมันดุร้ายพร้อมฆ่าทุกคนได้”
ต่างจากแดงน้อย ภาพดวงตาใต้ผ้าคาดหน้าของหนักดูเศร้าสร้อยมีน้ำตาซึม จึงบอกออกไปอีกอย่าง
“ตาของเขาเศร้าโศกมาก เหมือนเสียใจตลอดเวลา”
“มันกลัว คุณพ่อจะฆ่ามันน่ะสิคะ” ทานตะวันแหลมขึ้นมา
“เขามีโอกาสยิงพวกเราก่อนด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ได้ทำครับ ใช่ไหมคุณพ่อ” เทิดศักดิ์ว่า
“อย่าไปเอ่ยถึงมันอีก เลิกพูดถึงมันซะ ยิ่งพูดยิ่งเข้าเนื้อ” ขุนภักดี ตัดบท
“แต่การที่มันไม่ทำอะไรสองคนนี่ก็ถือว่าโชคดีมากแล้วนะคะพี่เทพ” เรียมว่า
สนสอดขึ้นมาอีก เหน็บแนมเรียม “ดูคุณพี่เรียม จะเห็นใจไอ้เสือคนนี้เหลือเกินนะคะ ที่มันทำร้ายสองคนนี่อาจเป็นเพราะมันห่วงใยคนที่นี่ กลัวว่าจะโดนแก้แค้นเอามั้งคะ”
ทองจันทร์ชักไม่ไหว โมโหที่สนโบยเนียน “แม่สนก็ชำระแค้นไปแล้วไม่ใช่รึ โดยมีเนียนเป็นเหยื่อแค้นโดนกระหน่ำโบยซะไม่ยั้ง ถ้าหลานเทิดศักดิ์กับพ่อแดงน้อยมาไม่ทันเห็นทีแม่สนจะสนุกมือจนเนียนมันสลบคาแส้”
สนแก้ตัว “ก้อพี่ขุนบอกให้สนไปเอาแส้ม้านี่คะ หรือว่าพี่ขุนจะเอามาถือเล่น ถ้าไม่มีเจตนาจะเอามาโบยมัน”
“แล้วแม่สนมีหน้าที่โบยคนแทนพี่เทพตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ” เรียมประชด
ขุนภักดีกระแทกช้อนโครม ทุกคนวงแตก แทบกินข้าวไม่ลง แดงน้อยหน้าเหลอหลา

ส่วนที่ร้านกาแฟไทยเจริญ สามคนคุยกันต่อ
“เงินทองที่หาให้มีใช้พอให้แดงน้อยเรียนจนจบแน่นะ” หนักถาม
“แน่สิ ยิ่งตอนนี้ร้านของเราขายดิบขายดี เลี้ยงตัวเองได้สบายๆ” โพล้งบอก
“เลิกคิดที่จะไปทำอะไรที่มันผิดกฎหมายได้แล้ว” แพรว่า
“เลิกจนกระทั่งไปบวช แต่ก็ไม่พ้นเขาตามล่า ต้องทำผิดซ้ำซากเมื่อวานข้าขัดขืนการจับกุม ยิงตำรวจบาดเจ็บไปหนึ่งราย”
“พี่ได้พบแดงน้อยกับเทิดศักดิ์ไหม” โพล้งถาม
“เจอเต็มรักเลยแหละ” หนักบอกหน้าเศร้า
“ตายละหวา แล้วพี่ทำยังไง ลุงหลานมากลายเป็นศัตรูกัน” แพรครวญ
“ข้าปิดบังใบหน้าไว้”
สองคนประสานเสียง “โล่งอก”
“ข้ามาขอนอนกับแดงน้อยให้เต็มอิ่ม ให้สาสมกับที่ไม่ได้มานานแล้ว”
สองคนพยักหน้าไม่สบายใจ

บนถนนสายหนึ่งมุ่งเข้าบางกอก ตอนกลางคืน ภายในรถเห็นเทิดศักดิ์ขับรถพาแดงน้อยกลับบ้าน
“กันติดใจแววตาของเสือหนักมาก ช่างหม่นหมอง เหมือนโศกเศร้าเสียใจตลอดเวลา” แดงน้อยคาใจไม่หาย
“กันก็ประหลาดใจในแววตาของเขา มันเหมือนแววตาคนมีเมตตาปราณี กันผิดคาดมาก กิริยาก็ไม่กักขฬะดังที่เคยคิดเอาไว้”
“เห็นใจคุณพ่อของแก ที่ตั้งใจจะจับเสือหนักให้ได้ แต่กลายเป็นกันกับแกโดนจับเสียอีก”
“เลยเกิดเรื่องวุ่นวายในบ้านกัน ขอโทษด้วย ที่เกิดเรื่องไม่งาม น่าอายแท้ๆ นี่ถ้าแกไม่ใช่เพื่อนสนิทของกัน กันคงเอาหาปี๊บมาคลุมหน้าขับรถแน่”
“แกไม่ใช่เป็นแค่เพื่อน แต่แกเป็นพี่น้องกันต่างหาก อย่ากังวลกับเรื่องเกิดขึ้นเลย ที่ไม่สบายใจเห็นจะเป็นเรื่องน้าเนียน สงสารแกเหลือเกิน” แดงน้อยวกมาที่เรื่องเนียนจนได้
“กันน่ะสงสารน้าเนียนมาตั้งแต่กันยังเด็ก ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณแม่ของกัน ถึงจงเกลียดจงชังน้าเนียนกับน้องติ๋วมากมายนัก คงจะกลัวคุณพ่อจะรักน้าเนียนมั้ง”
“น้าเนียนกับกันถูกชะตากันอย่างบอกไม่ถูก กันรู้สึกคล้ายๆ กับว่ากันกับเขาเคยใกล้ชิดผูกพันกันมา แต่ว่าตอนไหนฉันไม่รู้”
เทิดศักดิ์สัพยอก “ตอนชาติที่แล้วมั้ง”
“ไฮ้ นี่กันจริงจังนะ แกอย่าตลกร้ายล้อเล่นเป็นสนุก”
“กันอยากให้เราหัวเราะออกบ้าง ขอโทษด้วย ขอพูดเรื่องเสือหนักอีกนิดก่อนหน้าจะไปจับกุมเสือหนักกันชิงชังรังเกียจเขามาก แต่ทั้งคืนที่ผ่านมากัน กันรู้สึกว่า เขาไม่ได้ชิงชังรังเกียจเกลียดเราสองคน สักนิด”
“ทำไมเขามีท่าทีเอ็นดูเรา เขาดูสบายใจมากที่ได้ตอบคำถามเรา”
สองคนสับสนกับสิ่งที่พบเห็น

ทางด้านสนรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้แพ้อีกแล้ว
“ยิ่งผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ยิ่งกลับกลายเป็นว่า นังสองแม่ลูกนั่นมีความดีความชอบ ได้รับความเห็นอกเห็นใจเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เพราะอีแก่ กับอีเรียมเป็นตัวตั้งตัวตีให้ท้ายพวกมัน”
“แต่วันนี้คุณสนก็ได้กำไรไปอักโขนะคะ ได้โบยมันไม่ยั้ง จนแตกยับ” ช้อยแสร้งเป็นเอาใจ
“หน้าฉันสิแตกยับกว่าเนื้อหนังอีเนียน ลูกชั้นทำราวกับว่าเป็นลูกของมันนี่หรือกำไร เขาโกรธชั้น หนีกลับบางกอกไปกับนายแดงน้อยคนนั้น”
“นายแดงน้อยคนนั้น มันก็ดูแปลกๆ นะคะ คุณสน มาจากไหนก็ไม่รู้ ก็มาทำท่าทะนุถนอมอีเนียนราวกับว่าเป็นแม่มัน”
“นี่มันเกิดผิดฝาผิดตัวอะไรกันหนอ อีเรียมก็ทำเหมือนอีเด็กติ๋วเป็นลูกมันอีกคน”
“หรือว่าเพราะมันหน้าตาละม้ายคุณหนูอี๊ดคะ”
“ไม่ใช่ดอก มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น แต่ฉันยังจับไม่ได้ไล่ไม่ทันหน้าที่แกนางช้อย แกต้องจับให้ได้”
“อ้าว กรรมของอีช้อย อีกแล้ว เอ้อ...ถ้าช้อยจับไม่ได้เล่าคะ”
“แกก็จะอยู่ให้เปลืองข้าวสุกของฉันต่อไปไม่ได้”
“คุณสน” ช้อยตกใจ
“แกก็กลับไปหาแม่ชีแม่ของแก รอวันให้ไอ้เสือหนักกับไอ้หมอเสน่ห์ มาจิกหัวไปฆ่าหมกป่าที่ไหนซะ”
“อย่าขู่ช้อยสิคะ ช้อยยิ่งกลัวมันจะเข้าใจว่าช้อยเป็นคนมาบอกท่านขุน ให้ไปจับมัน”
“มันรู้แน่ว่าแกบอก หรือว่าแกไม่ได้บอก”
“ช้อยบอกเพราะคุณสนบังคับช้อยนะคะ”
สนฉุนกึก “ย้อนรึ นางช้อยแกหมดทางเลือก แผ่นดินเท่าใบพุดทราแกยังแทบหาที่ยืนไม่ได้ แกอย่ามาทำปากดีโต้แย้งฉัน หรือว่าแกอยากเป็นเช่นเดียวกับไอ้เหิมไอ้หวาน ไอ้หมอเสน่ห์ หันซ้ายก็คมหอกหันขวาก็คมดาบ เลือกหันตามสบาย”

ช้อยจ๋อย และสนเริ่มไม่พอใจช้อยอีกครั้ง

ด้านแดงน้อยกลับมาถึงบ้าน อาบน้ำจะเข้านอนแล้ว โพล้งกับแพรเดินมาหายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่าทีแปลกๆ ให้

“กินข้าวมาแล้วรึ” โพล้งถาม
“กินแล้วครับ”
“งั้นก็ไปนอนสิ” โพล้งยิ้มกริ่ม
“ผมยังไม่ง่วง ผมอยากคุยเรื่องเสือหนัก”
สองคนมองหน้ากันโบกมือส่ายหน้าไม่เอา
“เฮ้ย...ไม่อยากฟัง”
“อ้าว เอ...ทำไมลุงโพล้งกับแม่แพรดูแปลกๆ ทะแม่งทะแม่ง” แดงน้อยแปลกใจ
“ก็เห็นเหนื่อย” โพล้งบอก
“ก็อยากให้พักผ่อน” แพรว่า
“ไปๆๆ นอน”
สองคนผลักให้ไปนอน แดงน้อยงงๆ

แดงน้อยเดินเข้าห้องนอนนึกถึงเนียน เสือหนัก และเนื้อทอง
เห็นใบหน้าเนียน เนื้อทอง และหนัก ทีละหน้าผุดขึ้นมา สามคนดวงตาสวยแต่เศร้าโศก
“น้าเนียน น้องติ๋ว เสือหนัก สามคนนี่ดวงตาเศร้าโศกเหมือนกันหมด”
แดงน้อยเปิดมุ้ง แล้วมุดเข้าไปล้มตัวลงนอนโดยแรง
“เฮ้อ”
ทันใดนั้นแดงน้อยรู้สึกว่าทับไหล่ใครสักคนที่ร้องโอดโอยเสียงดังขึ้น
“โอ๊ย”
แดงน้อยตกใจ
“ใครน่ะ”
“ลุงเอง”
แดงน้อยดีใจมาก “ลุงสิน ลุงสินจริงๆ ด้วย นี่ลุงสึกแล้วหรือครับ”
“ใช่”
แดงน้อยตลบมุ้งลุกพรวดไปเปิดไฟท่าทีกระปรี้กระเปร่า หนักลุกตาม ตลอดเวลาหนักใส่เสื้อปิดแขนข้างที่เจ็บ เห็นศีรษะโล้นเลี่ยน
“มิน่า ลุงโพล้งกับแม่แพรถึงเสือกไสไล่ส่งให้ผมรีบเข้านอน เพราะ ลุงมานอนรอผมอยู่นี่เอง” แดงน้อยยิ้มร่า
“ลุงคิดถึงหลานเหลือเกิน หลานไปไหนมารึ” หนักแสร้งถาม
“ไปสุพรรณกับเทิดศักดิ์ครับ ตามท่านขุนคุณพ่อของเขาไปจับเสือหนัก”
“อ้อ” หนักยิ้มๆ “แล้วยังไง”
“แต่ไม่สำเร็จครับ กลายเป็นเสือหนักจับผมกับเทิดศักดิ์ไปเป็นตัวประกันไว้ทั้งคืนเพื่อแลกกับการจับกุมเพิ่งปล่อยเราออกมาตอนเข้าตรู่นี่เองครับ”
“หลานกับเทิดศักดิ์คงโกรธเกลียดแค้นชิงชังเสือหนักมากสินะ”
แดงน้อยส่ายหน้า
“ไม่ครับ แปลกมาก เราสองคนคิดเหมือนกัน แต่คงบอกใครไม่ได้”
“ว่ากระไร”
“เราสองคนไม่เกลียดเขาดอกครับ แต่…”
หนักมีสีหน้าปลาบปลื้ม ซักต่อ
“แต่อะไรรึ”
“ถ้าผมเป็นปลัดแล้ว เทิดศักดิ์เป็นตำรวจ เราต้องจับกุมเขาทันทีที่ทำได้ ลุงว่าถูกต้องไหมครับ”
“ถูกต้องที่สุด ใครจับเสือหนักได้ คนนั้นจะมีชื่อเสียงกระฉ่อนไม่ใช่เพียงแค่เมืองสุพรรณเท่านั้น มันไปไกลทั่วประเทศนั่นแหละ แดงน้อยกับเทิดศักดิ์อยากจับเขามากใช่ไหม”
“ครับ อยากจับเขามากที่สุด เทิดศักดิ์ก็อยากจับเขามากที่สุด เราจะช่วยกันจับเขาให้ได้ ลุงว่าเราสองคนทำได้ไหมครับ”
หนักยิ้มเศร้าๆ พยักหน้า
“ได้แน่นอน”
“เสือหนักทั้งเก่งทั้งฉลาด ถ้าเราสองคนพลาดก็ตายทั้งคู่”
“เชื่อลุงสิว่าไม่ตาย หลานกับเทิดศักดิ์จับเสือหนักได้แน่ เขาไม่มีวันฆ่าหลานกับเทิดศักดิ์ดอก”
“ทำไมลุงมั่นใจเช่นนั้นครับ”
“สัญชาตญาณบอกให้ลุงคิดเช่นนั้น”
“ลุงครับ เสือหนักไม่ยักเป็นอย่างที่เราสองคนคิด เขาดีกับเรามากมองเราเหมือนมองลูกหลาน ผมแปลกใจมาก”
“โลกนี้มีอะไรแปลกจนนึกไม่ถึงเสมอ เช่นลุงไง อยากบวชไม่สึกแล้วลุงก็ต้องสึก” หนักว่า
“เสือหนักก็ไปบวชเป็นพระ ในที่สุดเขาก็ต้องสึกมายิงกับตำรวจ”
หนักทำทีเป็นหาว
“เอ้อ ทำไมลุงต้องสึกครับ”
“ง่วงจริงๆ”
“งั้น นอนเถิดครับ”
แดงน้อยจับแขนหนักตรงจุดที่เป็นแผลพอดี
“โอ๊ย”
แดงน้อยตกใจ
“ขอโทษครับ ผมทำลุงเจ็บสองครั้งแล้ว เอ้อ...ลุงเป็นอะไรครับ”
หนักยิ้มเศร้าๆ
“ลุงโดน โดน เอ้อ...ลุงฟันต้นไม้แล้วพลาดโดนมีดของตัวเองน่ะ”
“แย่จัง เอ๊ะ ผมลืมเล่าไปเสือหนักก็โดนยิงครับ โดนยิงแถวไหล่คล้ายๆ ลุงนี่แหละ ครับ ผมกับเทิดศักดิ์งี้หน้าซีดเกือบลมใส่ตอนเห็นเขาผ่าเอากระสุนออกจากบ่า เลือดทะลัก เขาทำหน้าตาเฉยไม่ร้องสักแอะ”
หนักไม่พูดว่าอะไร ล้มตัวลงนอน เงียบๆ แดงน้อยจึงปิดไฟจะเข้านอนตาม

ทองจันทร์ นั่งอยู่บนเรือนมีทานตะวันนั่งอยู่ใกล้ๆ คอยประจบเอาใจ ชวนคุยเรื่องแดงน้อย
“คุณย่าว่าพี่แดงน้อยเป็นยังไงคะ”
“เป็นผู้ชายกิริยาหน้าตาท่าทางดีน่ะสิ”
“นั่นปะไรคะ”
“แต่…”
“อะไรหรือคะ”
“ที่มาที่ไปหมายถึงหัวนอนปลายเท้า ไม่ชัดเจน ไม่เหมาะสมกับหนูดอก”
ทานตะวันจ๋อย เห็นเนื้อทองเข้ามากับกบและแมว มานั่งคุกเข่า ก้มหน้าไม่มองมาทางทานตะวันที่ตาเขียวใส่
“ย่าหลานเขาจะคุยกันตามลำพัง มาเสนอหน้าทำไม”
“ย่าให้กบกับแมวไปตามยัยติ๋วมาเสนอหน้าเองแหละประการแรก ห้องนอนเขาอยู่บนเรือนนี้ ประการที่สอง นาฬิกาที่ซื้อมาให้เขาใช้ตอนเรียนครูก็ ยังไม่ได้ให้” ทองจันทร์บอก
“คุณย่า” ทานตะวันงอน ลุกขึ้น
“หลานจะไปไหนจ๊ะ” ทองจันทร์ถาม
“จะไปหาที่นอนที่หลับแล้วไม่ฝันร้ายค่ะ”
“ที่ไหนรึ”
“เรือนแม่สนค่ะ”
ทานตะวันเดินสะบัดตัวปึงปังออกไป
“คล้ายแม่สนเข้าไปทุกวันแล้วหลานฉัน ส่วนพ่อเทิดศักดิ์ก็คล้ายแม่เรียมเข้าไปทุกที เฮ้อ สลับแม่กันเสียดีไหมนี่”
ทองจันทร์บ่นแล้วหยิบนาฬิกาออกมาวางตรงหน้าเนื้อทอง กบแมวยื่นหน้ามาส่องใกล้ๆ บอกพร้อมกัน
“สวยจริงๆ”
“แต่ไม่ใช่ของพวกแกดอก ยัยติ๋ว รับไปสิ”

เนื้อทองก้มลงกราบอย่างอ่อนช้อย กบกะแมวยินดีไปด้วย

ส่วนสนกอดทานตะวันไว้ สีหน้ากระหยิ่มสะใจ เสี้ยมเด็กสาวทันที

“หนูอี๊ดได้นาฬิกา มันก็ได้นาฬิกา อีกหน่อยหนูอี๊ดอยากมีรถขับ มันก็ได้รถขับด้วย ถึงคราวแบ่งมรดกมันต้องมีส่วนเท่าๆกับหนูอี๊ดด้วยแน่ๆ”
“แม่สนต้องรีบช่วยหนูอี๊ดนะคะ ช่วยไวๆ ที่สุด”
“วันนี้แม่สนก็ฟาดอีกเนียนจนหลังเหวอะไปแล้วไงคะ แม่สนทำไปนั่น มันคือล้างแค้นให้หนูติ๋วด้วยนะคะ”
“ทำยังไงจะให้อีสองแม่ลูกนี่ ไม่มีตัวตนในบ้านนี้คะ แม่สน”
สนยิ้มกริ่ม “แน่นอนค่ะ นี่แม่สนไม่ได้เพื่อตัวเองนะคะ แม่สนทำเพื่อหนูอี๊ดแม่สนเห็นใจหนูอี๊ด แม่ก็ไม่รักพ่อก็เริ่มรักน้อยลง ย่าก็ไปหลงลูกบ่าว”
ช้อยเดินเข้ามานั่งตรงหน้าสน สีหน้าไม่สนุกกับเรื่องที่ไปทำสักเท่าไหร่
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ดีมาก ฉันจะรับฟังข่าวดีพรุ่งนี้เช้า”
“ข่าวดีอะไรคะแม่สน” ทานตะวันสนใจ
“รอดูด้วยตาตัวเอง พรุ่งนี้เช้าเถิดค่ะ มามะ ไปนอนได้แล้ว ช้อยแกจัดที่นอนให้คุณหนูอี๊ดด้วย”
“พูดถึงที่นอน ได้ยินนางกบนางแมวมันบอกว่า คุณแม่จัดการให้อีติ๋วใหม่หรูหรามาก อยากเห็นจริงๆ”
“แม่สนเห็นแล้วค่ะ หรูหรากว่าของหนูอี๊ดอีกนะคะ” สนเสี้ยมทันควัน
“หนูเกลียดคุณแม่”
สนกอดทานตะวันทำเป็นลูบหลังลูบไหล แต่แอบยิ้มเยาะสบตาช้อย ช้อยยิ้มตามไปแกนๆ สนพึมพำเบาๆ“สมน้ำหน้า”
ช้อยไม่รับมุก “สมน้ำหน้าช้อยเรื่องอะไรกันคะ”
สนตาเขียวปั๊ดใส่ช้อย

ด้านขุนภักดีรู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจเรื่องที่เกิดขึ้น รู้สึกว่าทำกับเนียนเกินไป ลงมาเดินทอดอารมณ์ในสวน
นึกถึงภาพเนียนนอนหมอบลงไปเองเชื้อเชิญให้ตีให้ตาย
ขุนภักดีเครียดขึ้นมา คิดแค้นไปถึงเสือหนักขึ้นมาทันที
“ไอ้เสือหนัก กูเป็นหนี้เวรหนี้กรรมมึงมาแต่ชาติปางก่อนหรือ มึงถึงตามทำร้ายทำลายจิตใจและครอบครัวกูไม่จบไม่สิ้น กูขอสาบานว่าถ้าฆ่ามึงไม่ได้ ให้ชาติหน้ากูไปลงนรก”
ท่านขุนทอดถอนใจไม่หยุดหย่อน

ขณะนั้นแทนหิ้วตะกร้ามีฝาปิดมาใบหนึ่ง แทนมองซ้าย มองขวาแล้วค่อยๆ เดินมาหยุดที่หน้าต่างห้องนอนเนียน หย่อนตะกร้าลงไปในห้อง

เนียนนอนหันหลังให้หน้าต่าง นอนไม่หลับ ครุ่นคิดถึงแดงน้อยกับหนัก
“แดงน้อยของแม่ เมือไหร่หนอลูกจะมาให้แม่ได้เห็นเป็นขวัญตาขวัญใจอีก แม่รอเวลาที่จะได้ทำหน้าที่แม่ หาอาหารให้ลูกกินอยู่ทุกเวลานาที”
เนียนยิ้ม นึกถึงหน้าตาของแดงน้อย โดยไม่รู้ว่าตะกร้าที่วางลงบนพื้นห้องตรงหน้าต่าง และแทนกำลังเอามือเอื้อมมาแง้มเปิดฝาตะกร้า
พอตะกร้าเปิดออก เห็นงูเห่าชูคอขึ้นมา

กบเดินมาจากเรือนทองจันทร์ เห็นแทนมาจากทางหน้าต่างห้องเนียนแบบลับๆ ล่อๆ หันซ้ายหันขวา กบแอบหลบมุมเรือน มองดูแทน
“ไอ้แทนมันไปทำอะไรแถวห้องเนียน ดูท่าทางมีพิรุธ”
แทนเดินผ่านกบไปโดยไม่เห็น เดินผ่านเลยไป
“ไม่ได้การแล้ว” กบสังหรณ์ใจประหลาด

งูเห่าเลื้อยออกจากตะกร้า เลื้อยไปๆ ขณะที่เนียนนอนลืมตายิ้มพรายนึกถึงแดงน้อย ขยับตัวนิดหนึ่ง

กบมาบอกเอกเรื่องแทนที่ทำลับๆ ล่อๆ สองคนมาดักแทนที่หน้าห้อง

“พวกมันเอากันอีกแล้วหรือนี่” เอกบ่นอย่างระอาเหลือ
แทนเดินมาจะเข้าห้อง เห็นเอกกับกบยืนหน้าห้องชะงัก แทนทัก
“มาทำอะไรกันน่ะ พี่เอก นางกบ”
“มาจับผิดคนเลว” กบบอก
“พูดบ้าๆ” แทนแก้ตัว
“แกไปทำอะไรด้อมๆ มองแถวห้องนอนเนียน” เอกถาม
“ไป ไป เอ้อ...ไปตามหาแมวของคุณท่าน นางสีสวาทไงล่ะ” แทนว่า
“เจอไหมล่ะ” กบถาม
“มันกระโจนเข้าหน้าต่างห้องเนียนไปแล้วน่ะสิ”
เอกกับกบมองหน้าแทน
“งั้นเรา...ไปปลุกเนียนเอาแมว ไปไว้เรือนให้คุณท่านกันเถิด” เอกว่า
แทนหน้าเสียส่ายหน้า
“ช่างมันเถิด มันเข้าห้องเนียนมันก็นอนกับเนียนได้ เนียนเขาคลุกข้าวให้มันกินนี่นา”
“แต่ฉันอยากเอามันไปเรือนคุณท่านคืนนี้ แกไม่ไปช่างปะไร สีสวาทเป็นอะไรไปละแกเอ๊ย เจอโบยแน่ๆ”
แมวสีสวาทวิ่งออกมาจากห้องแทนพอดี และวิ่งผ่านหน้าเอกกับกบด้วย
“บรรลัยละสิ” แทนตกใจ
“นั่นไงสีสวาทไม่ได้อยู่ในห้องเนียนดอก มันอยู่ในห้องแกต่างหาก” กบจ้องหน้าถาม
“แกเอามันไปซ่อนไว้ทำไม บอกมานะว่าเอามันไปซ่อนทำไม” เอกคาดคั้น
กบขู่ “หาไม่ฉันจะฟ้องคุณท่าน”
แทนรีบวิ่งไปทันทีตามจับสีสวาท
“สีสวาท สีสวาท มานี่ กลับมานี่”
สีสวาทไม่ฟังวิ่งไปอย่างเดียว
เอกกะกบมองหน้ากัน แล้ววิ่งตามแทนไป

เนียนนอนยิ้มพลิกตัวกลับมา งูเลื้อยมาข้างมุ้ง เนียนตลบมุ้งจะออกไป งูเลื้อยเข้ามาพอดี เนียนเห็นงู ตื่นตะลึงตกใจมาก
งูส่ายหัวไปมาจ้องจะฉกเนียน

ระหว่างนั้นแมวสีสวาทวิ่งมาทางหน้าต่างห้องเนียน โดยมีแทนวิ่งตามมาติดๆ เรียก “สีสวาทๆ” โดยมีกบเอก
ตามแทนมาอีกที
“สีสวาทกลับมานะ กลับมาอย่าไป อย่าไป”
“ไอ้แทน ไอ้คนโกหก บอกมานะว่าแอบทำอะไรชั่วๆ มา” เอกร้องขู่ตามไป
“แกไม่รอดคืนนี้แน่ไอ้แทน”
สองคนพยายามข่มขู่แทนให้พูด

ฟากขุนภักดีที่เดินวนเวียนอยู่ในสวน ได้ยินเสียงเอะอะ แว่วมา
“นี่มันเกิดเหตุอะไรกันอีกเล่า”
ขุนภักดีรีบเดินไปตามเสียงเอะอะนั้นไป

เนียนนิ่งขึง ขณะที่งูส่ายหัวจ้องฉกเนียน เสียงคำสอนของหนักดังขึ้นมาในความคิด
“เนียน น้องจำไว้นะ เราเป็นชาวนา เราต้องเจองูเห่าวันยังค่ำ อย่ากระดุกกระดิก อย่ากระพริบตา จ้องตามันไว้ แล้วมันจะไม่กล้าทำร้ายเนียน มันจะกลัวแล้วจากไปเอง”

เนียนทำตามหนักสอนเต็มที่

จังหวะนั้นแมวสีสวาทตัวโปรดของคุณนายทองจันทร์กระโดดผลุงขึ้นไปที่หน้าต่างห้องเนียน แทนตกใจสุดขีด

“อย่าเข้าไปสีสวาท อย่า”
สีสวาทกระโดดเข้าไปแล้ว แทนกลัวทองจันทร์ดุมาก ลืมตัวกระโดดตามเข้าไป
เอกกะกบตามมาถึงหน้าต่าง เสียงโอดโอยทั้งของแทนและเสียงขู่แมวดังสลับไปกันไปมา เอกกับกบผวามาถึงหน้าต่าง มองอย่างตื่นตะลึง
“งูเห่า”

งูเห่าฉกร่างแทนซ้ำๆ เนียนกรีดร้องอย่างตกใจ แมวสีสวาทขู่ฟ่อท่าทีตกใจ งูเลื้อยไปขดที่มุมห้อง เอกกับกบถึงบ้างอ้อ
“ที่แท้มันเอางูมาเพื่อให้กัดเนียนนี่เอง”
“สมน้ำหน้าโดนงูกัดเสียเอง” กบแค้น
เห็นแมวสีสวาทกระโดดออกมา กบรีบตะครุบกอดไว้
เสียงแทนร้องโอดโอย “ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ขุนภักดีปราดมาถึง ตกใจไม่น้อยเพราะเหตุเกิดที่ห้องเนียน แล้วให้นึกห่วงเผลอตัวตะโกนถาม
“เนียน เนียน เนียนเป็นอะไรน่ะ”
ขุนภักดีทะยานมาที่หน้าต่าง มองเข้าไปในห้อง เอกกับกบแหวกทางให้

เนียนกรีดร้องไม่เลิกเนื้อตัวสั่นเทา แทนนอนหายใจระรวยระริน พิษงูกำลังวิ่งเข้าไปทั่วร่างกาย งูยังขดตัวอยู่เหมือนตกใจเช่นกันที่มุมห้อง
ขุนภักดีกระโดดเข้ามาในห้องโดยอัตโนมัติ ช้อนร่างเนียนอุ้มไว้
“มันกัดเนียนตรงไหน”
เนียนหยุดกรี๊ดแต่ตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ไม่สนใจแทน ที่ร้องขอความช่วยเหลือ

สองคนกบกับเอกตกตะลึงเช่นกัน แต่สบตากัน ยิ้มน้อยๆ แล้วก็สะดุ้งเมื่อโดนด่า
“มึงจะยิ้มหาอะไรกัน”
ท่านขุนอุ้มร่างเนียนที่หมดสติไปแล้ว พลางสั่ง
“ไอ้เอกรีบหาคนมาตีงู กูจะพาเมีย เอ๊ย เนียนไปดูว่าโดนงูกัดที่ตรงไหน นางกบ ไปเรียกคนทั้งบ้านมาช่วยกันหาหยูกหายาหาสมุนไพร ไวๆ เข้า แล้วรีบตามกูไปที่เรือนคุณแม่”

ขุนภักดีอุ้มเนียนพรวดออกไปจากที่นั่น

บนเรือนทองจันทร์เวลาต่อมา ทองจันทร์ แมว เรียม และเนื้อทองตกใจมาก
“แม่เนียน เป็นอะไรคะ”
“เนียนโดนงูเห่ากัด” ขุนภักดีบอก
“แม่ ๆๆ แม่จ๋า แม่อย่าเป็นอะไรนะ”
“พี่เทพขาช่วยเนียนให้ได้ อย่าให้เนียนตายนะคะ”
ทองจันทร์ตกใจ “คุณพระคุณเจ้าช่วยเนียนด้วย เวรกรรมซ้ำซากอะไรของมันนักหนานะ”
ขุนภักดีมีสีหน้าหวาดกลัว ปากพร่ำเรียกเนียนตลอดเวลา
“ท่านขุนเจ้าขา ช่วยแม่หนูด้วยเจ้าค่ะ อย่าปล่อยแม่หนูตายนะเจ้าคะ สงสารแม่หนูเถิดเจ้าค่ะ หนูจะไม่ขอลืมพระคุณท่านไปจนวันตาย”
ท่านขุนรีบพลิกตัวเนียนค้นหาบาดแผลที่งูกัด
“เนียน เนียน” ขุนภักดีพยามยามเรียกเนียน “ช่วยกันหาสิว่าโดนกัดตรงไหน ช่วยหากันหน่อยว่าโดนกัดตรงไหน ใครก็ได้รีบหายาแก้พิษมาไวๆ”
“เจ้าค่ะ เรามีรางจืดแก้พิษเจ้าค่ะ”
แมววิ่งไปโดยพลัน เนียนขยับตัว ร้องคราง
“อืมม”
เรียมกะทองจันทร์ดีใจนัก “เนียน”
เนียนปรือตามองมา
“งูกัดตรงไหน ฉันจะดูดเอาพิษงูออกให้” ขุนภักดีก้มลงไปเพื่อจะใช้ปากดูดพิษ
เนียนได้สติ เห็นท่านขุนก้มหน้าลงมาชิดส่งสายตาห่วงใยมาก รอคำตอบ
เนียนตกใจมาก “ท่านขุน”
“อย่ามัวมาเรียกชื่อฉัน บอกมาว่าโดนงูกัดตรงไหน”
“ไม่ ไม่...” น้ำตาไหลพรากตื้นตันท่านขุนห่วงใย แต่ยังพูดไม่จบ
กบวิ่งพรวดขึ้นมาอุ้มสีสวาทในมือ
“ไม่ได้กัดเนียน ดอกเจ้าค่ะ แต่แว้งกัดคนที่มันเอางูมากัดเนียนเสียเองเจ้าค่ะ”
ทุกคนถามพร้อมกัน “ใคร”
“ไอ้แทนมันแอบปล่อยงูเข้าไปในห้องเนียนหวังจะให้กัดเนียน แต่เวรกรรมตามสนอง งูกัดปากมัน ตอนนี้มันกำลังจะตายเจ้าค่ะ”
ทองจันทร์โล่ง “โล่งอก”
“เนียนคงตกใจจนเป็นลมน่ะเจ้าค่ะ” กบว่า
เรียมดีใจมาก “สาธุ”
เนื้อทองผวาไปกอดแม่อย่างดีใจ
“แม่จ๋า แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ส่วนท่านขุนลุกพรวดออกไปทันที
“กูจะไปฆ่ามันซ้ำ”
ขุนภักดีเดินพรวดออกไปๆ ไม่สนใจเนียนอีกต่อไป เรียมประคองเนียนให้ลุกนั่ง
กบวิ่งตามท่านขุนไป
“เล่ามาให้ครบถ้วนกระบวนความ สิว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ทองจันทร์ถาม
เนียนละสายตาจากการมองท่านขุน กอดลูกสาวแน่น หันมาทางเรียมและทองจันทร์เพื่อบอกเล่าเรื่องร้าย

ทางด้านสนกับทานตะวันนั่งรอฟังข่าวดี
“ข่าวดีกำลังจะมาค่ะ หนูอี๊ดคงหมดเสี้ยนหนามตำชีวิตสักทีอีเนียนกำลังจะตาย”
“ดีใจจังเลย ขอบคุณมากนะคะแม่สน หนูหงุดหงิดอีเนียนมานานมากแล้ว”
จังหวะนั้นช้อยวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“แย่แล้ว มันกำลังจะตายแล้วเจ้าค่ะ”
สองคนมองหน้ากัน
“รู้แล้วว่าอีเนียนกำลังจะตาย แล้วทำไมจะแย่”
สนโผมากอดทานตะวัน
“แย่เพราะคนที่จะตายคือไอ้แทนเจ้าค่ะ”

สองคนตกใจมาก

อาญารัก ตอนที่ 10 (ต่อ)

แทนนอนแน่นหน้าอก หายใจรวยริน จวนจะขาดใจตายแล้ว มีแผลที่ปากพิษงูกำลังพุ่งเข้าสู่หัวใจ มีเอก และคนในบ้านกำลังมุงดู เอกกำลังคาดคั้นถามคนบงการ

“ปากปลาหมอขนาดงูมันยังรู้ว่าต้องกัด ปากเนียนเคยทำอะไรให้มึงเจ็บช้ำสักหน่อยรึก็ไม่เคย บอกมานะว่าใครสั่งมึงให้เอางูไปฆ่าเนียน”
แทนพยายามจะพูด “อี... ส…”
“อี ส...หน้าไหน สั่งมึง”
ขุนภักดีแหวกคนเข้าไปยืนจังก้า แทนตัวสั่นไปหมดพยายามยกมือจะไหว้ แต่ไม่ไหว
“มึงเอางูเห่าไปฆ่าคนของกูทำไม”
แทนพยายามจะพูดแต่ขากรรไกรแข็งค้างพูดไม่ออกไปแล้ว ตามองเบิ่งไปที่ด้านหลังของทุกคน
“นะ.. นั่น.อี..ช...”
แทนมองไป เห็นช้อยยืนตกใจอยู่
“ชี้กูทำไม เวรของอีช้อยอีกแล้วละสิ”
ช้อยเสียววาบ ถอยกรูดไป หายไปในทันที ทุกคนมองตามที่แทนบอก
“อีช..อะไรอยู่ตรงนั้น ออกมานะ ออกมาเดี๋ยวนี้” ขุนภักดีตะโกน
เอกวิ่งพรวดไปทันที ขณะที่วิ่งไป มีก้อนหินถูกขว้างมาใส่หน้าเอกโดยแรง
“โอ๊ย”
“ไปจับตัวมันมา กูจะแล่เนื้อเอาเกลือทาให้หมากิน”
ทุกคนวิ่งไปตามหาทันที ท่านขุนหันมาจ้องหน้าแทน
“อกตัญญู เนรคุณ เลี้ยงเสียข้าวสุก อำมหิต มึงกล้าฆ่าคนหน้าตาเฉย ทั้งที่ไม่มีเรื่องโกรธแค้น ไม่มีสาเหตุจูงใจ มึงก็ไปลงนรกเสียเถิด มึงจะกลายเป็นผีไม่มีญาติ เพราะกูจะไม่ให้ใครเผามึง”
ร่างแทนกระตุกๆ สั่นเทิ้มไปแล้วหมดลมหายใจตายในสภาพตาค้างเบิกโพลง

ฟากช้อยวิ่งลัดเลาะหลบหลีก มาแอบลงไปซ่อนอยู่ในคูน้ำหันซ้ายหันขวา
“ไอ้บ้าเอ๊ย จะตายไปลงนรกอยู่แล้วยังมีหน้ามาเล่นงานกันอีก”
“มันวิ่งไปทางนี้”
เสียงเอกดังเข้ามา ช้อยหักเอาหลอดต้นคูนมาใช้หายใจแล้วจมหัวลงไปในคูน้ำ
พวกเอกวิ่งมาถึง มองซ้ายมองขวาเอกชะงักยิ้มชี้ให้ไปต่อ
“มันวิ่งไปโน่น”
แต่เอกกลับไม่ขยับ มองไปในคูเห็นหลอดคูนเคลื่อนไหวไปมา เอกยิ้ม
“ไอ้อี ชอ ไอ้อีสอ ตัวไหนก็ตามที่ก่อเหตุให้เกิดมีคนตายในบ้านหลังนี้อีกแล้ว สักวันเถิด พวกมึงจะถูกพวกวิญญาณผีที่มึงเข่นฆ่ามารุมลากมึงไปลงนรก อย่านึกว่าไม่รู้นะ แต่กูจะปล่อยให้เวรกรรมมาจัดการพวกมึง ถุยนางคนชั่ว ขอให้พวกมึงตายอย่างทารุณ ตายแล้ววิญญาณก็ไปหาที่ผุดที่เกิดไม่ได้ นอกจากในนรก”
เอกถุยน้ำลายลงไปบังหลอดคูน แล้วหันกลับเดินออกไป
ช้อยโผล่หน้าขึ้นมา มีปลาไหล และปลิงเกาะหัวยั้วเยี้ยไปหมด ช้อยทำหน้าสยดสยอง
“ว๊าย”

ด้านเนียนเข้ามาอยู่ในห้องนอนของเนื้อทอง มีทองจันทร์ตามมาติดๆ
“ขืนข้าปล่อยให้เอ็งไปอยู่ห้องชั้นล่างตามลำพัง เอ็งอาจตายขึ้นมากะทันหัน เพราะฉะนั้น นับแต่นี้ไปเอ็งอยู่ในห้องนี้กับลูกของเอ็ง”
“คุณท่านเจ้าขา แต่ว่า...”
“อย่ามาแต่ ข้ากลัวผี ห้ามมาตายคาเรือนข้า รึจะบังอาจขัดคำสั่ง” ทองจันทร์ดุ
“ไม่บังอาจเจ้าค่ะ เนียนเกรงใจ”
“เกรงใจ ๆ คิดอย่างอื่นเป็นบ้างไหม ยัยติ๋ว เอ็งไปนอนเป็นเพื่อนข้าวันนี้นางแมวมันวุ่นวายกับไอ้ผีไอ้นรกแทนอยู่”
เนื้อทองรีบประคองทองจันทร์เดินออกไป เนียนยกมือไหว้ขอบคุณมองตามอย่างซาบซึ้งในน้ำใจหญิงชรา

ฟากช้อยกำลังจีบปากจีบคอแก้ตัวกับสนที่หน้าตึงไม่พอใจ
“ก็ไอ้แทนมันโง่งี่เง่าเต่าตุ่น ดันเผลอเรอให้ไอ้เอกกับนางกบมันจับพิรุธได้”
“มันก็โง่เง่าเต่าตุ่นพอกับเอ็งนั่นแหละ ใช้คนไม่เป็น ใช้ใครไม่ใช้ดันไปใช้ไอ้แทนปากปลาหมอ” สนโมโหมาก
“ขนาดงูยังกัดมันที่ปากเลยนะเจ้าคะ”
“ยัยช้อยเอ็งโง่นัก สักวันเถิดเอ็งจะโดนแทงที่ปากตายบ้าง” ทานตะวันด่าว่า
“หนูอี๊ดพูดถูก แกระวังตัวให้ดี”
ช้อยนึกขึ้นมาได้
“ฟังเรื่องนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ ฟังแล้วดีไม่ดี คุณสนจะโดนผีเข้าเอาได้นะเจ้าคะ”
“อะไรรึ”
“ตอนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม งูลังเลว่าจะกัดใครดี ท่านขุนมาพอดี”
“คุณพ่อมา” ทานตะวันตกใจ
“พี่ขุนมา”
“อีเนียนเลยฉวยโอกาสเป็นลม ท่านขุนก็ขนมผสมน้ำยา อ้าอ้อมแขนอุ้มมันขึ้นเรือนคุณท่านไปเจ้าค่ะ สีหน้าท่าทางห่วงหาอาวรณ์มันเหมือน เมื่อก่อนตอนหลงมันจนลืมคุณสนไม่มีผิดเจ้าค่ะ”
สนกรี๊ด “ต๊าย อุเหม่”
“หนูไปจัดการมันเองค่ะ”
ทานตะวันโมโหลุกพรวด สนดึงไว้
“ใจเย็นๆ ค่ะ แม่สนยังมีอีกหลายวิธีที่จะจัดการมัน เล่นงานแม่ไม่ได้ มาก็ย้ายมาเล่นงานลูกมันสิคะ” สนว่า
“อีเด็กติ๋ว” ทานตะวันอุทาน ตาวาววับ

สนพยักหน้ายืนยัน

ทางด้านเรียมนอนยิ้มรู้สึกพึงพอใจ ที่เห็นท่านขุนยังห่วงใยเนียน แต่ขุนภักดีรู้สึกเสียหน้าที่เผลอห่วงใยเนียนออกนอกหน้า

“พี่เทพว่าใครที่สั่งไอ้แทนเอางูมากัดเนียนคะ”
“เรียมสงสัยใครหรือ”
“คิดไม่ออกดอกค่ะ กลัวคิดแล้วผิดจะกลายเป็นบาปเป็นกรรม แต่เชื่อว่าต้องเป็นพวกเดียวกันที่ฆ่าไอ้หวาน”
“ไอ้หวานนั่นอาจเป็นเสือหนัก เพราะมันปากมากเรื่องเนียน แต่ครั้งนี้พี่จนใจ”
“คนคนนั้นทำไมต้องอยากให้เนียนตาย ทั้งที่เนียนก็ตายทั้งเป็นอยู่แล้ว”
“ประชดพี่รึ”
“หามิได้ค่ะ เรียมอยากจะขอบใจพี่เทพแทนเนียนด้วยซ้ำ ที่แท้ในเบื้องลึกของจิตใจ พี่เทพยังห่วงใยเนียน ถ้าไม่รีบอุ้มเข้ามา คงโดนงูกัดแล้ว”
“อย่ามาพูดเองเออเองนะเรียม พี่เพียงพบเห็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นตรงหน้า พี่ก็ต้องดูดำดูดี พี่เป็นหัวหน้าครอบครัว อย่ามาเหมาโมเมว่าพี่ใจอ่อนห่วงใยคนเนรคุณแพศยานะ”
เรียมยิ้มไม่ว่าอะไร เอื้อมมือไปจับมือสามีมาแนบแก้ม
“เรียมรู้ค่ะ พี่เทพ มีน้ำใจ แต่ใครไม่รู้ก็ว่าพี่เทพใจดำ พี่เทพใจแข็งต่างหาก”
“เอ๊ะ เรียม บอกว่าอย่ามาเย้าพี่นะ”
“พี่เทพมีน้ำใจกับเนียนครั้งนี้ เนียนคงมีความสุขจนเหลือจะเอ่ย”
เรียมหัวเราะเบาๆ แต่ท่านขุนงอนโดนจับไต๋ได้

ส่วนเนียนนอนไม่หลับ คิดถึงท่าที่ห่วงใยของท่านขุน แอบมีความสุขขึ้นมาบ้า ภาพตอนที่ท่านขุนตกใจปราดมาช้อนร่างเนียนไว้ในอ้อมกอดพลางตะโกนเรียกเนียน ผุดขึ้นมา
เนียนคิดแล้วเผลอยิ้มทั้งน้ำตา
“ความเมตตาที่ได้รับแม้เพียงชั่วครู่ในความทุกข์ระทมขมขื่นที่ได้รับมานานนับสิบกว่าปี ก็ทำให้เนียนสุขจนเหลือล้น เนียนอยากกราบขอบพระคุณท่าน แต่เนียนไม่บังอาจเอ่ยปาก”
หัวใจของเนียน ยามนี้อิ่มเอิบเหลือแสน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข ฝันดีไปทั้งคืน

ทานตะวันโดนสนปลุกแต่เช้าตรู่
“หนูอี๊ดขา ตื่นค่ะ รีบตื่น”
“รีบตื่นทำไมกันคะ หนูยังง่วงอยู่เลยค่ะ แม่สน”
“รีบกลับไปรักษาสิทธิ์ในความเป็นหลานตัวจริง ให้ไวๆ ค่ะ ขืนช้าไปจะโดนนังเด็กติ๋วมาสวมสิทธิ์เป็นหลานแทนนะคะ”
ช้อยผสมโรง “จริงๆ นะเจ้าคะ นางสองคนแม่ลูกมันเป็นจอมฉวยโอกาส มันจะฉวยทุกอย่างที่ขวางหน้ามาเป็นของมัน แม้แต่คุณย่าเจ้าค่ะ”
สนรีบผลักไสทานตะวันให้ไป เล่นงานเนื้อทองกับเนียน
“ขอบคุณแม่สนมากที่คอยดูแลหนูมาตลอด หนูรักแม่สนมากกว่าคุณแม่ดีไหมคะ”
“จะไม่ดีมังคะ” สนแกล้งพูด
“แต่ช้อยว่าไม่เลวดอกเจ้าค่ะ รีบทำตามความหวังดีที่คุณแม่สนบอกเถิดเจ้าค่ะ”
“รีบไปเลยก่อนที่พวกมันจะอ้อนจนคุณย่าจ่ายค่าทำขวัญให้มันเรื่องเมื่อคืน สมบัติของหนูกับพี่เทิดศักดิ์ทั้งนั้น”
“ค่ะ ค่ะ”
ทานตะวันวิ่งลงเรือนไป สนกับช้อยมองตาม
“อีเด็กโง่ แต่คิดว่าตัวฉลาด สมบัตินั่นมันต้องเป็นของเทิดศักดิ์คนเดียวไม่ใช่แก”
“อ้าว นี่อย่าบอกนะเจ้าคะว่าเสร็จงานอีเนียนกับอีเด็กติ๋ว คุณหนูอี๊ดมีสิทธิ์ตามนางสองแม่ลูกนั่น”
“รึเอ็งว่ามันไม่สมควร เอ็งชอบมันจริงๆ เพราะมันเสี้ยมง่าย”
“ความริษยาทำให้เธอตามืดมัว นี่เธอคงจะเป็นเด็กชั่วร้ายเลวทรามตามที่คุณสนตั้งใจปั้นมาตั้งเด็กนะเจ้าคะ”
“มันยิ่งเลวมากเท่าไหร่ ลูกข้าก็ยิ่งดีมากเท่านั้น มันกับแม่มันย่ามันแม้กระทั่งพ่อมัน ต้องร้าวฉานกันให้มากที่สุด เพราะเรื่องอีเนียนกับอีเด็กติ๋ว”
จู่ๆ ช้อยก็ก้มลงกอดเท้าสน
“คุณสนเจ้าขา ช้อยมีบาปจะสารภาพเจ้าค่ะ”
“บาปอะไรเอ็งแอบทำบาปอะไรให้ข้า”
“ช้อยแอบไปมีลูกมาคนหนึ่งเจ้าค่ะ”
“อะไรนะเอ็งแอบไปมีลูกตอนไหน”
“ก้อตอนที่ พ่อช้อยป่วย แล้วหายไปประมาณเก้าเดือนเศษนั่นแหละ”
“ใครเป็นผัวเอ็ง”
“ไอ้เหิมเจ้าค่ะ”
สนยืนนิ่งแล้วตบหน้าช้อยฉาดใหญ่
“ไอ้เหิม เป็นผัวเอ็ง เลวมาก”
“เลวที่ช้อยมีผัวคนเดียวกับคุณสนหรือเจ้าคะ”
“โอ๊ย นี่ฉันกลายเป็นเมียน้อยไอ้เหิม นังคนชั่วเอ็งพาไอ้เหิมมาฉุดข้า”
สนบันดาลโทสะตามตบตีช้อยพัลวัน ช้อยส่ายหน้า
“มันมาเอง มันฉุดคร่าข่มขืนไปทั่ว ไม่ใช่แค่ช้อยกับคุณสนดอกเจ้าค่ะ”

สนตีช้อยจนหอบ แล้วนั่งร้องไห้ ช้อยเองก็นั่งร้องไห้

ส่วนเนียนข่มตาหลับไม่ลง ชื่นใจไม่เลิกรา นึกถึงภาพท่านขุนปราดมาอุ้มตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จนมีเสียงเคาะห้อง เนียนสะดุ้งตื่นจาภวังค์
“หนูติ๋วหรือลูก”
ไม่มีเสียงตอบเสียงเคาะยังดังขึ้นเนียนเดินไปเปิดประตู เจอทานตะวันยืนขวางหน้าจ้องตาเขียว เนียนทั้งดีใจทั้งตกใจ
“คุณหนูอี๊ด”
“แกนึกว่าคุณพ่อมาโอ๋แกรึ แกสะเออะมาทำอะไรในห้องนี้”
“คุณท่านให้ ม...” เนียนจะหลุดคำแม่ รีบเปลี่ยน “เอ้อ ฉันมานอนที่นี่เจ้าค่ะ”
“แล้วนังติ๋วมันไปนอนที่ไหน”
“ไปนอนกับคุณท่านเจ้าค่ะ”
“บ้า บาบอคอแตกกันใหญ่แล้ว จำไว้นะว่าอย่าขึ้นมานอนบนนี้อีก”
“เจ้าค่ะ”
ทานตะวันผลักเนียนหลบแล้วเดินเข้าไปในห้อง เนียนรีรอ
“มีหน้าที่ทำอะไรก็ไปทำ มาอ้อยอิ่งอยู่ทำไม”
เนียนจึงจำใจเดินออกมา ทั้งน้อยใจทั้งเสียใจ ทานตะวันมองตามแล้วก้าวเข้าไปในห้องกวาดตามอง เห็นห้องหับดูสวยงามเป็นระเบียบ เนียนชะงักรีรอ ทานตะวันหันไปแหวใส่
“บอกว่าจะไปไหนก็ไป นี่บ้านย่าฉัน แกเป็นคนใช้ฉันสั่งให้ทำอะไรก็ได้”
เนียนน้ำตาแทบร่วง กับคำพูดของลูก รีบหันกลับเดินออกมาน้ำตาร่วงพรู ทานตะวันมองข้าวของในห้องเหยียดยิ้มอย่างอิจฉา
“ทุกคนทำดีกับพวกแกมากเกินไปแล้ว”
ทานตะวันผวาไปจะทำลายข้าวของติ๋ว เสียงสนดังก้องในหู
“ช้าเป็นการ นานเป็นคุณ อย่าผลีผลาม ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามค่ะ”
“แม่สนพูดถูก ฉันจะเอาพร้าเล่มงามเสียบตามตัวแกให้เจ็บให้สาสม ที่แกขโมยความรักจากคุณย่าของฉันไปที่แกสองคนแม่ลูก”

ทานตะวันละมือจากข้าวของของเนื้อทอง

ฟากยายอ่อนมาพบแพรกับโพล้งที่ร้านกาแฟไทยเจริญในบางกอก เพื่อเจรจาซื้อที่นาของเนียน ที่ลูกชายเช่าทำกินมาหลายปี

“ว่ายังไงยะ เรื่องที่นาของเนียน ฉันเช่ามาหลายปีดีดัก ซื้อที่ใกล้เคียงไว้แล้ว ทำอย่างไรจะได้เป็นเจ้าของที่ของเนียนเขาสักทียะ”
“เรื่องมันยาวมันยุ่ง มันยาก มัยเยิ่นเย้อ จนยากจะบรรยาย มันยุ่งเหมือนลิงแก้แห มันแย่ตรงที่เนียนเขาทำพินัยกรรมยกที่นานั่นให้แดงน้อย” แพรบอก
“ไฮ้เหลวไหล เนียนเขาไปเกี่ยวอะไรกับแดงน้อย อยากรู้จริงๆ บอกมาบอกมา” ยายอ่อนคาใจ
“อยากซื้อที่นาหรือว่าอยากสอบสัมมะโนครัว เอาเป็นว่าที่นานั่นยังขายไม่ได้เพราะเนียนเขายังไม่ได้เซ็นโอนให้แดงน้อย เข้าใจไหม” โพล้งแดกดัน
“เรื่องที่นาเข้าใจแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเนียนถึงต้องยกให้แดงน้อย”
แดงน้อยเดินออกมาใส่ชุดนิสิตเห็นยายอ่อนคนแปลกหน้าแต่รู้ว่าผู้ใหญ่ก็ยกมือไหว้
“สวัสดีครับ”
“ไหว้พระเถิดพ่อคุณ”
“ไหว้แกนั่นแหละยายอ่อน พระที่ไหนกัน เพ้อเจ้อ” โพล้งว่า
“นี่น่ะสิพ่อแดงน้อยที่เคยเจอตอนตัวกะเปี๊ยก เออแดงน้อยยายอยากรู้ว่าทำไม...”
แพรรีบยื่นมือมาตบแก้มยายอ่อน
“ทำไมยุงมันชอบมากัดแก้มเหี่ยวๆ พูดแล้วจะว่าอวด แดงน้อย เขาเรียนจุฬา สาขา ภูมิศาสตร์”
“แค่นจะอวด ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดือกแดงน้อยเขาเรียนรัดถะสาด” โพล้งว่า
ยายอ่อนอ้าปากจะพูดอีก แพรรีบขัดคอ
“แดงน้อยเขาเรียนเป็นข้าหลวง”
ยายอ่อนอ้าปากจะพูด แต่ไม่ทันอีก
“ไม่รู้แล้วอย่าคุย มันต้องเป็นปลัดอำเภอ นายอำเภอ ปลัดจังหวัด รองข้าหลวง ถึงจะเป็นข้าหลวง” โพล้งว่า
ยายอ่อนขยับจะถามอีก
“แดงน้อยเขาต้องไปเรียน ภาษาปะกิดฟุตฟิตฟอไฟ กับอาจานผักกาด” แพรบอก
ยายอ่อนจ้องหน้าแดงน้อยจ้องเอาจ้องเอาชี้ด้วย
“เขาชื่ออาจานดักก๊าช ไม่ใช่ผักกาด” โพล้งเถียง
แดงน้อยขำหัวเราะเบาๆ “อาจารย์ดักกล๊าสครับ ลุงโพล้ง แม่แพร ผมขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับ คุณยายอ่อน”
แล้วแดงน้อยก็รีบออกไป ยายอ่อนมองตามหันมาถามสองคนต่อ
“แดงน้อยเขาเรียนเก่ง เขาอยากสอบชิงทุนปะเรียนโท” แพรบอกอีก
โพล้งแย้ง “เปรียญนั่นสอบพระ นี่เขาเรียกว่าปริญญาโท โง่แล้วอยากพูดอยากอวด”
ยายอ่อนสอดขึ้น “เนียนกับแดงน้อยดองกันทางไหนรึ หน้าตาเหมือนกันยังกะแม่ลูก”
สองคนมองหน้ากัน ส่ายหน้า พูดพร้อมเพรียง
“ไม่เกี่ยวข้องกันเลย”
“แต่ดันไปเกี่ยวเรื่องที่นา แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้ซื้อที่นาของเนียน”
“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น รอไปก่อนเหอะ ถ้ารอไหว”
“ถ้ารอไม่ไหวก็ไปหาเนียนเขาเองเหอะ”
“จะไปได้ยังไงก็ฉันเคยบอกแล้วไงว่า คุณนายเรียมท่านให้เงินมาตั้ง 100 ชั่งเป็นค่าปิดปากค่าไม่ให้ไปในเมืองสุพรรณอีก”
“แน่จริงแกก็ลักลอบไปสิ” แพรยุ
“ลักลอบไปหาที่ตายน่ะสิ ไอ้แทนคนหนึ่ง ไอ้หมอเสน่ห์ก็สาบสูญจากมานานนี่ไม่รู้ว่ามีใครตายอีกไหม เอว่าแต่ว่าเนียนก็มีลูกสาวทำไมถึงยกให้ ทำไมต้องเอามายกให้แดงน้อย”
ยายอ่อนกุมขมับ

อยู่มาวันหนึ่งเรียมมานั่งมองหลุมฝังศพลูกสาวที่เวลานี้มีดอกไม้ปลูกทับไว้สวยงาม น้ำตาซึม เนียนนั่งด้านหลังน้ำตาคลอไปด้วย ทั้งสองปักธูปพนมมืออธิษฐาน เอกยืนอยู่ห่างออกไป คอยดูต้นทาง
“ใกล้ครบรอบวันเกิดของหนูอี๊ด หนูติ๋ว แต่มันกลับเป็นใกล้ครบรอบวันตายของลูกสาวฉัน สิบแปดปีแล้วสินะ เนียน”
“เจ้าค่ะ ป่านนี้คุณหนูไปเกิดใหม่ในสวรรค์แล้วเจ้าค่ะ”
“เนียน ฉันเสียใจมาก กับเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเนียนซ้ำๆ”
“เกิดกับเนียน ยังดีกว่าเกิดกับหนูติ๋วและคุณหนูอี๊ดเจ้าค่ะ”
“ฉันจะไม่ยอมให้อะไรเกิดขึ้นกับหนูติ๋วเด็ดขาด ฉันสัญญา ฉันขอสาบานต่อหน้าดวงวิญญาณของลูกสาวฉัน ว่าจะปกป้องดูแลหนูติ๋วเชิดชูหนูติ๋วเสมือนหนึ่งเป็นลูกของฉันเอง”
เนียนก้มลงกราบเท้าเรียม “ขอบพระคุณที่สุดเจ้าค่ะ เนียนกับลูกก็จะขอรับใช้คุณนายเรียมและทุกคนในครอบครัว ไปจนตราบชีวิตจะหาไม่เจ้าค่ะ”
เรียมประคองเนียนให้ลุกแล้วดึงเนียนมากอด ลูบหลังเนียนไปมาเบาๆ
“เนียนคือน้องสาวของฉัน น้องสาวผู้มีพระคุณ น้องสาวผู้ประคับประคองชีวิตของฉันไม่ให้ตกต่ำ อ้างว้าง อดทนเถิดนะเนียน ฉันว่าเวรกรรมมันกำลังจะวิ่งมาทันคนชั่ว”
“เนียน ปลงแล้วเจ้าค่ะ ไม่หวังว่าใครที่ทำอะไรเนียนจะต้องรับกรรม ขอเพียงลูกทั้งหมดของเนียนอยู่รอดปลอดภัย ก็เพียงพอแล้วสำหรับเนียน”

“แต่ฉันสังหรณ์ใจว่า ชีวิตของเนียนและหนูติ๋ว กำลังจะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามคำของท่านพระครู”
“เนียนพอใจกับที่เป็นอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“อีกไม่นานดอกพี่เทพจะตาสว่าง เนียนคงตกใจจนไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าแววตาห่วงใยของพี่เทพที่มีต่อเนียนวันก่อน ในใจเขายังคงมีเนียนเสมอ ฉันรู้”
เนียนก้มหน้าซ่อนทั้งน้ำตาและรอยยิ้มเปี่ยมสุข มีความหวัง
เสียงลมพัดกระพือ หวีดหวิด ดอกไม้สวยๆ ปลิวมาโดนสองคน เอกที่ยืนมองสองคน ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขตามไปด้วย

“คุณหนูบนสวรรค์โปรยดอกไม้แห่งความรักยืนยันคำพูดของคุณนายเรียม”

ห่างออกมาสนกับช้อยสะกดรอยตามมา และแอบมองแต่ห่างจนไม่ได้ยินคำพูดสองคนให้ฉงนใจสองคนเงี่ยหูฟังสุดๆ สนหยิกช้อย

“นางช้อย เอ็งช่วยบอกสิว่ามันมาทำอะไรกันที่นี่”
“ช้อยก็กำลังขอให้คุณสนคิดอยู่นี่แหละเจ้าค่ะว่ามันมาทำอะไรกันที่นี่”
“ไม่เห็นจะมีอะไร มีแต่แปลงดอกไม้ แล้วมันมาจุดธูปไหว้ดอกไม้ทำไม”
“หรือว่ามันจะมาขอหวย ก ข หรือหวยจั่บยี่ขิก เจ้าคะ”
“นางบ้า เงินทองของมันผลาญเท่าไหร่ไม่มีวันหมด มันมาขอหวยไปให้พ่อแม่เอ็งมั้ง”
“มันต้องมีลับลบคมในฝักแน่ๆ เจ้าค่ะ มันสุมหัวกัน กำจัดคุณสน ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ช้อยสรุป
“ไฮ้ ไม่ได้การ ข้าต้องรีบลงมือก่อนมันละสิ”
“ใช่เลยเจ้าค่ะ”
สนมองเรียมเขม็ง มองไปมองมา
“เมื่อก่อนตอนที่พี่ขุนรักใคร่ไหลหลงข้า ทำไมข้าไม่กำจัดอีเรียมนะ”
“มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ”
สนคนบาปหนามองหน้าบ่าวใจชั่ว ช้อยพยักหน้ายิ้มให้

ไม่นานต่อมาเนียน เรียม และเอกเดินกลับบ้าน มีสนช้อยแอบสะกดรอยตามห่างๆ
“นายเอก ฉันกับเนียนจะเดินกลับบ้านเอง”
“แล้วกระผมเล่าขอรับจะให้กลับไปไหนขอรับ”
“วัด” เรียมบอก
“ฮ้า กระผมยังไม่ตายนะขอรับ จะเสือกไสให้กลับไปวัด”
“ไปกราบนิมนต์ท่านพระครูองค์ใหม่มาฉันเพลที่บ้านวันเกิดลูกสาวฉัน”
เอกกระซิบ อย่างรู้กัน “ลูกสาวเนียนด้วยใช่ไหมขอรับ”
“พี่เอก ระวังปากคำด้วย ฉวยใครมาได้ยินละแย่ทีเดียว” เนียนเอ็ด
“รีบไปสิ” เรียมเร่ง
เอกพยักหน้ารับคำแล้วแยกไป สองคนเดินต่อไปกลับบ้าน
สนจึงเลิกตาม
“ไม่ต้องตามมันแล้ว มันกลับบ้าน”
“เอ้อ...” ช้อยมองซ้ายมองขวา “คุณสนเจ้าขา” แล้วทรุดตัวนั่งลงกอดขาสนหมับ
“เอ็งจะปล้ำข้ารึนางช้อย มากอดแข้งกอดขา น่าบัดสี”
“คือว่า ช้อยยังสารภาพเรื่องลูกชายของช้อยไม่จบเจ้าค่ะ”
“ว่ามา”
“คือว่า มันหนีทหารอยู่เจ้าค่ะ”
“ช่างหัวมันปะไร”
“มันกลัวโดนจับได้เจ้าค่ะ”
“กล้าหนีแล้วจะกลัวทำไม”
“แต่ถ้ามันมีหลุมหลบภัยดีๆ มันก็ไม่ต้องหนีดอกเจ้าค่ะ”
“เอ็งก็พามันไปลงหลุมหลบภัยนั่นสิ”
“แต่หลุมหลบภัยนั่น มันอยู่ในบ้านคุณสนเองนะเจ้าคะ” ช้อยเข้าเรื่องซะที
“นางช้อย”
“ก็ไหนว่าอยากกำจัดคุณนายเรียมไงเจ้าคะ”
สนชะงัก คิดตาม ช้อยยิ้มออก

ท่านพระครูรูปใหม่ กำลังพรมน้ำมนต์ให้ทุกคนอยู่บนเรือนใหญ่ ที่กำลังพนมมือก้มหัวให้ ทานตะวันแต่งตัวสวยงามนั่งระหว่างท่านขุนกับเรียม ทองจันทร์ เนื้อทองนั่งข้างเนียน กบ กะ แมว เอกถือบาตรน้ำมนต์ให้ท่านพระครู
สนนั่งอยู่กับช้อยและแช่ม เทิดศักดิ์เพิ่งเข้ามา สนพยักหน้าเรียก
“มานั่งข้างแม่สิ เทิดศักดิ์”
เทิดศักดิ์ มองไปที่สนชะงักสายตาที่แช่ม ซูมเข้าที่แช่มมีหน้าตาไม่น่าไว้ใจมาก
“ผมนั่งข้างน้าเนียนก็ได้ครับ”
สนชักสีหน้าไม่พอใจ เนียนกับเนื้อทองรีบก้มหน้า
พระครูรดน้ำมนต์มาที่ทองจันทร์ เรียม ทานตะวัน และท่านขุน สะบัดน้ำมนต์ใส่ ทานตะวันปัดน้ำมนต์ออก อย่างรำคาญที่น้ำมาตกใส่หัว
“โยม นั่นน้ำมนต์ไม่ใช่น้ำกรด ตกใส่หัวแล้วจะโชคดี อย่าไปสะบัดโชคดีออกจากหัวสิ”
“ขอประทานอภัยท่านพระครูแทนลูกสาวด้วยขอรับ เขาไปเรียนหนังสือที่บางกอกเสียนานห่างวัดไม่รู้ประเพณีนะขอรับ” ขุนภักดีเอ่ยแก้ให้ลูกสาว
“รีบกราบขอโทษท่านพระครูสิหนูอี๊ด” ทองจันทร์บอก
อี๊ดชักสีหน้า
“เร็วสิคะ” เรียมเร่ง
อี๊ดจึงจำใจก้มลงกราบแบบไม่เต็มใจ

เวลาเดียวกันหมอเสน่ห์กับหนักนัดเจอกัน ในมุมลับตาผู้คน หมอเสน่ห์มองถุงเงินที่หนักส่งให้อย่างแปลกใจ รับมาเปิดดูตกใจ
“เงิน”
“ใช่เงิน ข้าให้เอ็งไปทำกิน มีข้อแม้ว่าต้องทำกินโดยสุจริต ห้ามใช้วิชาอาคมชั่วร้าย ไปหลอกลวงทำร้ายทำลายผู้อื่นเด็ดขาด” หนักบอก
“ทำไมต้องให้เงินฉันไปทำกิน ก็เราตัวติดกันกินอยู่ด้วยกันมานานนับสิบปีแล้ว”
“นับแต่นี้ต่อไป เราจะแยกกันอยู่ เอ็งไปตามทางของเอ็ง ข้าไปตามทางของข้า”
“แต่ว่า..ฉัน ห่วงลูกพี่”
“ห่วงชีวิตที่ยังเหลือของเอ็งให้ดีดีกว่า เอ็งไม่ได้ปล้นฆ่าใคร เอ็งยังอยู่ไปได้อีกยาวนาน แต่เวลาของข้า มันเหลือน้อยมาก อย่าเอาชีวิตมาผูกติดกับข้า”
“โธ่ ลูกพี่มีพระคุณกับฉัน ยังไม่ทันได้ตอบแทน”
“เอ็งได้ตอบแทนแน่ วันใดที่รู้ว่าชีวิตข้าหาไม่แล้ว จงไปที่บ้านท่านขุนเปิดเผยความจริง เรื่องนางสนว่ามัน ทำความเลวร้ายอะไรไว้กับน้องสาวข้าบ้าง”
หนักตบบ่าพยักหน้าให้เสน่ห์ แล้วหันกลับออกเดินจากไปเสน่ห์ขยับจะตาม
“อย่าตามข้ามา”

เสน่ห์จึงหยุด ได้แต่มองตามน้ำตาคลอ ยกถุงเงินมากอดไว้ ด้วยความซาบซึ้ง

อาญารัก ตอนที่ 10 (ต่อ)

ด้านท่านพระครูเดินมาให้น้ำมนต์ที่เนียนกับเนื้อทอง เอกนั่งรับน้ำมนต์อยู่ด้วย

“เอ แม่หนูคนนี้ เมื่อกี้เพิ่งรดน้ำมนต์ไปแล้วปัดออกนี่นา”
“เอ้อ คนละคนเจ้าค่ะ”
“ท่านขุนกับคุณนายเรียมมีลูกสาวแฝดรึ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ นั่นลูกเนียน ต้นห้องของอิฉัน หนูอี๊ดเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านขุนกับแม่เรียมเจ้าค่ะ แต่ว่าหน้าตาเขาเหมือนกันโดยบังเอิญเจ้าค่ะ” ทองจันทร์บอก
“บังเอิญมาเหมือนเอาฝ่ายต้นห้องทั้งสองคน ไม่เหมือนคุณนายเรียมสักนิด แต่ยังพอมีเค้าที่ตรงปากที่เหมือนท่านขุน”
คำพูดของท่านพระครูกระแทกเข้าหน้าเรียมที่เงียบสนิท และเข้าที่หน้าเนียนซึ่งก้มหน้างุด เอกแอบยิ้ม ขณะที่เนื้อทองมีสีหน้าแปลกใจ
“วันเกิดคนนี้ใช่ไหม” ชี้ไปที่ทานตะวัน
“เจ้าค่ะ แต่เอ้อ...เอ้อ วันเกิดคนโน้นเหมือนกันเจ้าค่ะ” เรียมชี้ไปทางเนื้อทองด้วย
“มานั่งคู่กันสิ จะได้ให้พรพร้อมกัน”
สนหน้างอ
“อีเรียมเอาอีกแล้ว”
ทองจันทร์พยักหน้าเรียกเนื้อทอง
“ท่านพระครูเรียกยังไม่รีบมานั่งคู่กันอีก”
เด็กสาวสองคนจึงมานั่งคู่กันตรงหน้าพระครู ซึ่งท่านหยิบพระจากย่ามมาวางให้ เนื้อทองก้มลงกราบ
ทานตะวันรีรอ ถูกท่านขุนสั่ง
“หนูอี๊ด กราบท่านสิ”
ทานตะวันทำตาม
“ตกฟากพร้อมกันเลยนี่นา” ท่านพระครูว่า
สนหันมากระซิบช้อย อย่างทึ่ง
“พระท่านรู้ได้ยังไง”
“แต่ดวงชะตาต่างกันมาก คนหนึ่ง คาบช้อนเงินช้อนทองติดปากมา แต่อีกคนหนึ่งคาบเวรคาบกรรมมาด้วย แต่สุดท้าย...”
“เป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ” ทองจันทร์สนใจมาก
“เป็นสุข ด้วยกันนั่นแหละ แต่ใครจะสุขสมกว่าใครนั่นอาตมาระบุไม่ได้เป็นเด็กดีทั้งสองคนนะ ใครทำดีก็มีสุขมาก ใครทำไม่ดีก็มีทุกข์มากจำใส่ใจไว้ให้ดี” ท่านพระครูสอนสั่งอบรมเด็กสาว ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นฝาแฝดกัน
“สาธุ” ทุกคนเปล่งเสียงพร้อมกัน
ทานตะวันหน้างอ ส่วนนเนื้อทองหน้าสงบนิ่ง

หนักใส่หมวกหลุบหน้าพายเรือมาด้อมๆ มองที่ท่าน้ำ แอบมองเข้าไปในตัวบ้านทางท่าน้ำ หนักเตร่เข้าไปที่
ท่าน้ำ
“หาใครรึลุง” บ่าวชายถาม
“ไม่หาใครดอก แค่จะเอาของขวัญวันเกิดมาให้คน”
“ที่แท้ก็แขกมางานวันเกิดคุณหนูอี๊ด เชิญเลยลุง”
“ขอบใจ แต่ไม่เข้าไปดอก รับของขวัญนี่ไปให้เจ้าของวันเกิดด้วย”
หนักส่งถุงเล็กๆ ให้สองถุง
“สองถุง ทำไมมีสองถุง”
“เกิดสองคนจะให้ถุงเดียวได้ยังไง มาฝากของไว้แค่นี้แหละ”
แล้วหนักก็พายเรือจ้ำอ้าวออกไปโดยเร็ว เทิดศักดิ์ที่เดินมาพอดีเห็นท้ายเรือไวๆ
“ใครมาทำอะไรรึ”
“ใครไม่ทราบขอรับ เอาของขวัญวันเกิดมาฝากไว้สองชิ้นขอรับ..นี่ขอรับ”
เทิดศักดิ์รับของมามองอย่างแปลกใจ

ขุนภักดีและครอบครัวกินอาหารเสร็จแล้ว พวกบ่าวไพร่รวมทั้งเนียนกับเนื้อทองกำลังเก็บสำรับ ช้อยพูดอะไรเบาๆ กับแช่มเหมือนจะบอกว่าใครเป็นใคร อะไรเป็นอะไร
“รู้เรื่องหมดแล้วใช่ไหม ไอ้แช่ม”
“รู้แล้วแม่ จะให้ลงมือเมื่อไหร่”
“รอคำสั่งคุณสน รีบเก็บของแล้วกลับไปรอที่เรือนคุณสน”
แช่มรับคำทำทีเก็บของกำลังถอยลงไป เทิดศักดิ์ถือของขวัญสวนมาพอดี แช่มสะดุ้งโหยง เพราะสายตาของ
เทิดศักดิ์ที่จ้องมาคมกริบมาก ขณะถาม
“แกเพิ่งมาทำงานใหม่รึ”
ทำให้ขุนภักดี เรียม ทองจันทร์ เอก และคนอื่นๆ หันมามองแช่มเป็นตาเดียว
ท่านขุนถามซัก “นั่นสิไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แกชื่ออะไร”
“แช่มขอรับ”
“ใครรับแกเข้ามาทำงาน ทำไมไม่มีใครบอกฉันหรือคุณนายเรียม” ทองจันทร์แปลกใจ
ช้อยมองหน้าสน
“สนเองค่ะ คุณแม่ สนตั้งใจว่าจะหาโอกาสบอกคุณแม่พี่ขุนกับคุณพี่เรียมแต่ยังไม่สบโอกาสค่ะ”
“มันชื่อแช่ม เป็นญาติฝ่ายบิดาของคุณสนน่ะเจ้าค่ะ” ช้อยบอก
สนทำตาเขียวใส่ช้อย ที่ช้อยพูดมั่วเอง สนคำรามในคอ
“อีช้อย”
“ต๊าย นี่แปลว่านายแช่มคนนี้เป็นญาติกับแม่สนคนนี้ หน้าตาเหมือนกุ๊ยหน้าโรงหนังจังเลยค่ะ”
ช้อยแทบกระโดดตบทานตะวันที่ด่าลูกตน คำรามเบาๆ
“อีเด็กผีทะเล”
สนตาเขียวใส่แช่มที่รีบถอยออกไป เทิดศักดิ์จึงเดินไปหาเนียนกับเนื้อทองส่งของให้
“น้าเนียนครับ มีคนฝากของขวัญวันเกิดมาให้น้องติ๋วครับ”
ทุกคนงง แต่เนียนก็สะกิดให้เนื้อทองรับไว้
“เขาฝากมาให้น้องอี๊ดด้วยครับ”
เทิดศักดิ์เดินไปส่งให้ เนื้อทองรั้งมือไว้
“ใครกันคะ”
“พี่ไม่ทราบ เขาพายเรือมาฝากไว้กับคนงานของเราที่ท่าเรือ”
ทานตะวันปัดถุงของออก
“โธ่เอ๊ย ไอ้พวกชาวบ้านอยากประจบคุณพ่อ เอาของกะเลวกะราดที่ไหนมาให้ใครจะเอาของมัน”
ถุงตกลงพื้น ของในถุงกลิ้งออกมาเป็นสร้อยข้อมือเพชรส่งประกายวิบวับแวววาม ทุกคนตกใจ
“ของปลอม” สนบอก
ทองจันทร์หยิบมามอง เรียมมองอีกคน อุทานพร้อมกัน
“ของจริง”
“เพชรขาวจั๊วะน้ำงามมาก” ทองจันทร์บอก
ทุกคนมองไปทางถุงของเนื้อทอง ทานตะวันปราดเข้าไปดึงออกมา ทุกคนมองตกใจ เพราะเป็นแบบเดียวกันเป๊ะ
“อะไรกันนี่” สนงง
“ใครกันนะ” ขุนภักดีคาใจ
ทานตะวันมองสร้อยเพชรของเนื้อทองที่ทองจันทร์หยิบมาเทียบ ไม่พอใจมากๆ

เนียนและเนื้อทอง ตลอดจนคนอื่นๆ งงไปทั้งแถบ

สองแม่ลูกนอนอยู่ในห้อง สร้อยข้อมือเพชรวางตรงหน้าสองคนแม่ลูก เนียนนึกได้

“รึว่าจะเป็น...”
“ใครจ้ะแม่เนียน” เนื้อทองสงสัย
“ช่างเถิด เอาเก็บรักษาไว้ให้ดี คนที่เขาเอามาให้เขาคงมุ่งมั่นว่าต้องการให้เต็มที่”
“ทำไมเขาต้องให้หนู แถมยังให้คุณหนูอี๊ดเหมือนกันกับที่ให้หนูด้วยน้ากบน้าแมวบอกว่ามันแพงมากใช่ไหมจ๊ะแม่”
เนียนพยักหน้า ดึงเนื้อทองมากอด พึมพำ
“แต่มันถูกกว่าน้ำใจของคนให้จ้ะ ขอให้ลูกรักของแม่อายุมั่นขวัญยืนทุกข์ภัยพาลอย่าได้แผ้วพาน นะจ๊ะทูนหัวของแม่”
“ขอบคุณมากจ้ะแม่”
เนื้อทองหลับไปแล้วเนียนนั่งลูบหัวลูก
“พี่หนักจ๋า เนียนรู้ว่าของขวัญนั่นเป็นของพี่ ขอบคุณพี่ที่สุดจ้ะ”
เนียนยิ้มเศร้าๆๆ

ทานตะวันไม่พอใจที่ทำไมต้องมีของเหมือนกันกับเนื้อทอง รีบมาฟ้องสน
“ทำไมหนูต้องมีของเหมือนนังเด็กติ๋วด้วย มันคงดีใจเอาไปนอนกอดทั้งคืน สัญชาติคนไม่เคยมี”
“ใช่เจ้าคะ...คนที่ให้ทำไมถึงตีราคาคุณหนูอี๊ดลดลงไปเท่ากับเด็กติ๋วนั่น” ช้อยสอพลอ
“ถ้าหนูอี๊ดไม่อยากได้ให้แม่สนเก็บไว้ให้ก็ได้นะคะ”
เทิดศักดิ์เดินเข้ามา สีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
“ของคนอื่นเขาให้ด้วยใจ ทำไมไม่เก็บเอาไว้เองคะน้องอี๊ด”
“รู้ได้ยังไงคะ ว่าให้ด้วยใจ หนูเก็บเอาไว้ก็ได้ แต่ไม่ใส่ดอกกลัวไปใส่ตรงกันกับเด็กติ๋ว เสียศักดิ์ศรีลูกท่านขุน ภักดีภูบาลหมด แม่สนขาหนูอี๊ด กลับก่อนนะคะ” ทานตะวันกระซิบสน “อย่าลืมที่หนูขอไว้นะคะ”
สนพยักหน้าแต่ไม่กล้าแสดงมาก เพราะเทิดศักดิ์จ้องตาเป๋ง ทานตะวันเดินออกไป เทิดศักดิ์เตือนสติสน
“คุณแม่สนครับ ผมอยากจะขอร้องว่า อย่าไปสอนให้น้องอี๊ดทำอะไรที่ไม่น่ารัก”
“ถ้าเด็กมันไม่น่ารัก ลูกเทิดศักดิ์ของแม่ก็ยิ่งดูน่ารัก ใครๆ ก็รักไม่ดีหรือ”
“คุณแม่พูดราวกับว่า ผมกับน้องอี๊ดไม่ใช่พี่น้องกัน เรามีพ่อคนเดียวกันนะครับ ผมถามจริงๆ คุณแม่หวังดีกับน้องอี๊ดจริงๆ หรือว่าแสร้งทำ”
“หยุดนะ แม่ไม่ใช่ผู้ต้องหา อย่ามาฝึกสอบสวนแม่ สมอีกหน่อยเป็นนายร้อยติดดาว แม่ทำอะไรผิดมิคิดเอาแม่เข้าคุกรึ”
“แน่นอนครับ ผมมีหน้าที่ทำตามกฎหมาย”
เทิดศักดิ์พูดจบเดินหนีเข้าห้องไป สนอึ้งช้อยเงียบกริบ
“ฟังคุณเทิดศักดิ์พูดแล้ว ช้อยเสียววาบไปถึงก้นกบก้นหอยเจ้าค่ะ”
สนนิ่งเงียบไปไม่สบายใจแต่ยังดันทุรัง
“ให้มันรู้ไปว่ามันจะอกตัญญูผู้บังเกิดเกล้า”

ขณะที่ทานตะวันเดินกลับเรือน แช่มนั่งอยู่ตรงทางผ่าน มองมาด้วยสายตากระเหี้ยนกระหือรือ ทานตะวันหันมาเจอ
“ว๊าย ไอ้บ้าหน้าโง่ แกมานั่งเกะกะอะไรที่นี่”
“ผม ไม่รู้ว่าที่นี่นั่งไม่ได้ ขอประทานโทษด้วย”
แต่สายตาแช่มยังคงเดิม
“แกอย่ามามองฉัน จำไว้ เห็นฉันที่ไหนให้แกก้มหน้าเอาไว้ ไอ้ทะลึ่งถ้าไม่ติดว่าแกเป็นญาติแม่สน ฉันให้คุณพ่อไล่แกไปจากบ้านแล้ว แกมันดูไม่น่าไว้ใจสักนิด ไปให้พ้น”
ทานตะวันเดินไป แช่มถอยหลบแอบมองตามสายตาขุ่นเคือง
“อีคุณหนู อย่านึกว่ามึงแน่”

เนียนมาแอบดูขุนภักดี รู้สึกอยากขอบพระคุณแต่รู้ว่าทำไม่ได้ ได้แต่แอบมอง ท่านขุนกำลังจะลงเรือไปทำงาน เอกคอยดูแลอย่างเคย
“ถึงจะมีถนนดีๆ มีรถนั่งแต่ยังติดเดินทาง ทางน้ำ มันเร็วดี ไม่จอแจ”
“ขอรับ ท่านขุน”
“เรื่องศพไอ้ผีนรกไม่มีญาติ เอามันไปไว้ที่ไหน”
“โกดังเก็บศพที่วัดร้างกลางดงโน่นขอรับ” เอกบอก
“อยากจะโยนศพมันให้แร้งกากินนัก”
เอกแอบหัวเราะ ทันใดสองคนก็สะดุ้ง มีเสียงเอะอะของทานตะวันดังขึ้น
“แกมาแอบดูคุณพ่อทำไม คุณพ่อขา...นางขี้ข้ามาแอบดูคุณพ่อคะ”
ท่านขุนหันขวับ เห็นทานตะวันกำลังฉุดลากทึ้งเนียนที่ไม่เต็มใจจะออกมา ปรากฏให้เห็น
“แหมคุณหนูขอรับ เนียนเขาอาจจะแค่เผอิญมาทำอะไรแถวนั้นต่างหาก” เอกว่า
“นายเอกชอบเข้าข้างมัน สงสัยอยากจะเป็นอย่างที่แม่..ส…”
ขุนภักดีขึ้นเสียง “พอเถิดหนูอี๊ด” พลางหันมามองหน้าเนียน มองลึกลงไปห่วงแต่ปากพูดสั่งออกมา “มายืนทำไม ไม่มีอะไรทำแถวนั้นก็รีบไปสิ”
เนียนรีบยกมือพนมไหว้ คิดในใจ
“เนียนอยากจะมาขอบพระคุณที่ช่วยชีวิตเนียนเจ้าค่ะ”
ท่านขุนเมินหน้าหนีก้าวลงเรือไป เอกมองเนียนห่วงใย ทานตะวันมองเนียนแบบไม่พอใจ
“ทีหลังเห็นคุณพ่ออยู่ที่ไหน ไปให้ห่างพ่อฉันสิบลี้จำไว้”
“เจ้าค่ะ”
เนียนรับคำแล้วรีบเดินออกไป

ทองจันทร์สอบถามเนื้อทองเรื่องจะกลับไปสอบเข้าเรียนคหกรรมศาสตร์ มีทานตะวันนั่งฟังอยู่กับสน เนียน และเรียมนั่งอยู่ด้วย
“ตกลงแกคิดว่าแกแน่จริง จะไปลองสอบชิงทุนไม่เอาทุนฉันรึ ยัยติ๋ว”
“เจ้าค่ะ แต่หนู..แค่จะขออนุญาตลองไปสอบน่ะเจ้าค่ะ”
ทานตะวันสอดขึ้น “วู๊ย จะไปสอบก็ไปสิ แกมันเก่งจะเป็นจะตาย ทำไมต้องแสร้งมาขออนุญาต”
“หนูติ๋ว เขาไปลามาไหว้ก็ถูกต้องแล้วนี่คะลูกไปเถิดจ้ะ จะไปยังไงล่ะ ให้นายเอกไปส่งเถิดนะ” เรียมว่า
“แหมไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ กะอีแค่ไปบางกอกต้องทำเป็นคุณหนูมีคนพาไปส่ง”
เทิดศักดิ์เดินยิ้มกริ่มเข้ามา
“ผมนี่แหละครับ จะพาน้องติ๋วไปส่ง คุณแม่สนไม่ต้องกลัวว่านายเอกจะไปส่งดอกครับ”
“ยังไงล่ะ แม่สน หลานเทิดศักดิ์ไปส่งไม่ต้องนั่งเรือนั่งรถเก๋งสบายใจเฉิบโก้ไปเลย” ทองจันทร์เยาะ
“เอ้อ อย่ารบกวนดีกว่าเจ้าค่ะ หนูติ๋วไปเองได้” เนียนบอก
“ใช่เจ้าค่ะ หนูไปเองได้ เจ้าค่ะ” เนื้อทองว่า
“แต่ฉันว่า หนูให้เทิดศักดิ์ไปส่งเถิดจ้ะ” เรียมบอก
“ไปสิคะ..น้องติ๋ว” เทิดศักดิ์ยิ้ม
“ไปสิยะ ยัยติ๋ว ราชรถมาเกยทั้งที อ้อ เดี๋ยวๆๆ จะไปทั้งทีเกิดไปเหยียบอ่างกะปิใครแตก จะโดนกักตัวไว้เรียกค่าไถ่ เอาเงินติดชายพกไปกินขนมย่ะ”
ทองจันทร์ส่งให้เนื้อทองหนึ่งร้อยบาท
“เผื่อจะอยากซื้ออะไรที่จำเป็น”
เรียมส่งให้อีกหนึ่งร้อยบาท
สนกับทานตะวันสบตากันท่าทีแค้นมาก เนื้อทองกราบทองจันทร์กับเรียม แล้วยกมือไหว้เนียน เนียนยื่นมาโอบลูกนิดหนึ่งไม่กล้าแสดงมาก
“โชคดีนะลูก”
“จ้ะแม่”
“คุณย่า คุณแม่เรียมครับ ฝากดูแลน้าเนียนด้วยนะครับ ผมเพิ่งทราบเรื่องงูเห่าจากนายเอกเมื่อสักครู่ก่อนขึ้นมานี่ ใครกันหนอ ช่างก่อเวรก่อกรรม กับคนดีๆ อย่างน้าเนียน”
สนโมโห “กลับมาถึงจะถามทุกข์สุขแม่สักคำก็ไม่มี้ไม่มี มีแต่ห่วงใยทุกข์สุขแม่คนอื่นน่าน้อยใจนัก”
“ผมทราบดีว่าคุณแม่สนมีสุขสนุกทุกเวลา ยิ่งถ้ามีคู่เป็นนางช้อยยิ่งสนุก”
สนค้อนขวับ เทิดศักดิ์พยักหน้าให้ติ๋วออกไป
ทองจันทร์หันมาถามทานตะวัน “แล้วหลานอี๊ดเล่า หนูจะไม่สอบเข้าอะไรกับเขาบ้างรึ”
ทานตะวันยืดอกบอก “หนูไม่ไปสอบเข้าที่ไหนให้เหนื่อยยากดอกค่ะ คุณย่า หนูจะไปเรียนทำผมที่ฝรั่งเศส เหมือนอย่างที่ลูกสาวผู้ดีมีเงินเขาไปกัน”

ระหว่างนั้นสนกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับทานตะวันเบาๆ

วันหนึ่ง ภายในห้องสอบชิงทุนไปเรียนต่อปริญญาโท ของกพ. มีเด็กหนุ่มไปสอบประมาณหกคน กำลังก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบ แดงน้อยคือหนึ่งในนั้น แดงน้อยสีหน้าสงบค่อยๆ เขียนคำตอบ

ส่วนหน้าห้องสอบชิงทุนเรียนคหกรรมศาสตร์ เนื้อทองเดินออกมาจากห้องสอบสีหน้าเคร่งเครียด เทิดศักดิ์ปราดมาหา
“ทำข้อสอบได้ไหมคะ น้องติ๋ว”
“ได้เป็นส่วนมากค่ะ”
“พี่นึกแล้ว”
“แต่หนูคิดว่า คนอื่นๆ เขาก็ทำได้เหมือนหนู หรือไม่ก็มากกว่าหนู”
เทิดศักดิ์ยิ้มให้กำลังใจ

ฟากแพรกับโพล้ง กำลังเก็บของในหลืบ มีชายสวมหมวกหลุบหน้าใส่แว่นตาดำ
“ขอลูกปืนห้าร้อยลูกสิ”
โพล้งแพรสะดุ้งโหยงหันมามอง ชายคนนั้นถอดหมวกถอดแว่นหัวเราะ
“พี่หนัก” สองคนอุทานลั่น
“แดงน้อยเล่า”
“ไปสอบชิงทุน กอขอ กอคอ อะไรเนี่ย” แพรบอก
“กพ. ตะหาก” โพล้งท้วง
“สอบชิงทุน” หนักฉงน
“ไปเรียนที่ประเทศออกยา สตรี อะไรนี่แหละ” แพรว่า
“ออสเตรเลียตะหาก”
หนักบอก รีบสวมหมวกใส่แว่นแล้วเดินออกไปทางข้างร้านโดยเร็ว
“พี่หนัก”
หนักหายแว้บไปอย่างรวดเร็ว พอดีกับที่ แดงน้อย เนื้อทอง และเทิดศักดิ์เข้ามาพอดี
“สวัสดีครับ ลุงโพล้ง แม่แพร”
“สวัสดีค่ะ ลุงโพล้ง แม่แพร”
“ผมเห็นหลังใครแว้บๆ เดินออกไปเมื่อกี้นี้” แดงน้อยถาม
สองคนสบตากันส่ายหน้า
“ผมก็เห็นครับ”
“หนูก็เห็นค่ะ”
เทิดศักดิ์ และเนื้อทองบอกอีก สองคนอึกอัก
“อ้อ ไอ้คนส่งน้ำแข็ง มันมาถามว่าจะเอา จะเอา...” โพล้งบอก
“จะเอาน้ำแข็งเพิ่มไหม จะได้ส่งเพิ่มให้” แพรว่า
“ทำสอบได้ไหมแดงน้อย” โพล้งเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ทำเต็มที่ครับแม่แพร แต่จะได้ทุนหรือเปล่า ก็ต้องรอผล แต่สำหรับน้องติ๋ว ผมมั่นใจแทนน้อง ได้แน่นอน”
สองคนมองเนื้อทองที่เขินอายอยู่ ถามพร้อมกัน
“หนูติ๋วสอบด้วยรึ”
“ค่ะ”
“แม่ เนียนของหนูสบายดีรึ”
เนื้อทองพูดไม่ออก เทิดศักดิ์มองสบตาแล้วบอกแทน
“สบายดีครับ เพราะผมฝากคุณย่ากับคุณแม่เรียมดูแลเอาไว้ก่อนมาครับ”
เทิดศักดิ์ผู้ช่างสงสัย ไม่วายมองไปทางข้างร้าน

หนักนั่งฟังทุกคนพูดกัน
“ลุงโพล้งแม่แพรไปเยี่ยมหลวงลุงสินบ้างหรือเปล่าครับ” เสียงเทิดศักดิ์ถาม
“ลุงสินสึกแล้ว” แดงน้อยบอก
“สึกแล้ว แกรู้ได้ยังไง” เทิดศักดิ์แปลกใจ
“ลุงมาหากัน หลังจากวันที่เราโดนเสือหนักจับตัวไปนั่นแหละ”
“วันนั้นกันมาส่งแก ถ้ากันนอนกับแกอย่างที่แกชวน กันคงได้พบลุงสินแน่ๆ”
หนักซึมเศร้าบ่นพึมพำกับตัวเอง
“ลูกเอ๊ย พ่อแปดเปื้อนจนไม่กล้าพบหน้าลูก กลัวความมัวหมองจะไปติดลูก”
หนักแอบมองเทิดศักดิ์จดสายตามองจ้องตลอดเวลา

ไม่นานต่อมาสามคนกินอาหารกันอยู่ เทิดศักดิ์หันหน้าไปทางหนักที่แอบมองพอดี สีหน้าเทิดศักดิ์สดใสยิ้มหัวพูดจากิริยาดีไปหมด
“เสือหนักเอ๊ย ถึงนายจะเคยใจดีกับฉัน แต่วันใดที่ฉันได้ติดดาวบนบ่าวันนั้นคือวันเริ่มต้น พิชิตเสือหนัก”
เทิดศักดิ์พูด หนักได้ฟังน้ำตาซึม
“ด้วยความยินดีและเต็มใจลูกรัก ของพ่อ
“กันก็จะช่วยแกจับเสือหนักให้ได้” แดงน้อยบอก
สองคนพยักหน้า
หนักคิดอะไรขึ้นมาบางอย่าง แล้วตัดสินใจลุก
“เป็นไงเป็นกัน วันนี้ขอสัมผัสความเป็นพ่อสักครั้ง”
หนักลุกขึ้นมา

ขณะที่แดงน้อยกับเทิดศักดิ์จับมือ ให้คำมั่นกัน
“เราจะจับเสือหนักด้วยกัน”
แพรกับโพล้งสะดุ้ง ตกใจจนตาเหลือก ชี้ไปด้านหลังแดงน้อย
“นั่น นั่น”
แดงน้อยหันไปมอง เนื้อทองจ้องตาเป๋ง หนักพาตัวเองมายืนอยู่ตรงหน้าเทิดศักดิ์ ในระยะประชิดกันมาก
“ลุงสิน”
เท่านั้นเองเทิดศักดิ์ลุกพรวด ดีใจมากปราดมาไหว้สิน
“ลุงสิน”
“ลุงสิน” เนื้อทองไหว้ตามไปด้วย “สวัสดีค่ะ”

“ผม ดีใจมาก ดีใจที่สุด ที่ในที่สุดผมก็ได้พบลุง ผมรอคอยมานานเป็นสิบกว่าปีแล้วนะครับ”
โพล้งกับแพรยืนหยิกกันไปมากระซิบกระซาบ
“ละครฉากใหญ่ที่น่าหวาดเสียว”
“ฉันใจหล่นไปที่ตาตุ่มแล้ว”
“แปลกแท้ๆ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าลุงสินคือลุงแท้ๆ ของผมไม่ใช่แค่ลุงของเพื่อน” เทิดศักดิ์บอก
“ลุงก็รู้สึกว่าเทิดศักดิ์ไม่ใช่เพื่อนของหลาน แต่เราสองคนสายเลือดเดียวกัน”
สองคนแพรและโพล้งแอบตบอกผางๆ
“เอาละวา”
“สรุปว่าแกกับฉันสายเลือดเดียวแล้วสินะ” แดงน้อยล้อเทิดศักดิ์
“ยกเว้นหนูค่ะ ไม่เกี่ยวกับใครเลย” เนื้อทองเอ่ยขึ้น
หนักสวนออกมา “ใครบอกเล่า ลุงก็รู้สึกว่าหนูกับลุงสายเลือดเดียวกัน ถ้าอย่างนั้น ขอกอดทุกคนให้ชื่นใจสักครั้ง ครั้งเดียวในชีวิตก็เกินพอ”
โพล้งกับแพรน้ำตาไหล สบตากัน เด็กสามคนรู้สึกแปลกๆ แต่คิดว่าสินคงเหงาอยากมีลูกหลาน
หนักกางแขนรอเทิดศักดิ์ ที่โผเข้าไปในอ้อมกอดของหนักแล้วโอบกอดตอบหนัก แดงน้อยแทรกเข้าไปอีกคน โพล้งกับแพร ดันติ๋วเข้าไปในอ้อมกอดของหนัก
สองคนเต็มตื้นกอดกันบ้าง ยืนมองน้ำตาไหล เห็นภาพหนักมีเทิดศักดิ์อยู่ตรงกลาง แดงน้อยอยู่อ้อมกอดขวา เนื้อทองอยู่ทางซ้าย
ทุกคนสีหน้าอิ่มเอิบมีความสุข โพล้งกับแพรป้ายน้ำตา สุขที่สุดคือหนัก
“ลุงขออวยพรให้เทิดศักดิ์กับแดงน้อย จับเสือหนักให้ได้”
แพรและโพล้งอึ้ง “อ้าว”

สองคนกอดกันพลอยร้องไห้ไปด้วย

ขณะเดียวกันเนียนกำลังบีบนวดทองจันทร์ พลางส่งยาหอมยาลมให้กิน

“ขอบใจมากเนียน ข้าแก่มากเกินไปแล้วสินะ ลมแล้งมันจะกินเอาง่ายๆ ไปตามแมวหรือกบให้มันมานอนกับข้าได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ เอ้อ ให้เนียนนอนเฝ้าดีกว่าเจ้าค่ะ”
เนียนทำท่าลุก ทานตะวันเดินยิ้มหวานเข้ามากอดย่า
“คิดถึงคุณย่าห่วงคุณย่าจังเลยค่ะหนูอี๊ด จะมาขอนอนเรือนนี้ได้ไหมคะ” สายตาทานตะวันมองเนียนเย้ยๆ
“ทำไม๊จะไม่ได้เล่าหลาน ถ้าอย่างนั้น เนียนเอ็งไม่ต้องนอนกับข้าดอก บอกนางกบว่าไม่ต้องมานอนกับข้าดอก หลานสาวข้าจะมานอนด้วย”
“เจ้าค่ะ” สายตาเนียนที่จ้องทานตะวันมีแต่ความรักใคร่
“ให้นังเนียนมันนอนกับคุณย่านะดีแล้วค่ะ” ทานตะวันเอ่ยขึ้น
“ไฮ้ ทำไมจิกหัวเรียกเขาว่านัง ย่าเองยังไม่เคยเรียกคนในบ้านคนไหนว่านัง อย่างดีก็นาง”
“มันเหมาะสมสำหรับคนคบชู้แล้วนี่คะ” ทานตะวันไม่รู้ตัวว่านรกจะกินกบาล
เนียนก้มหน้างุดซ่อนน้ำตา
“เรื่องมันนานมา ตั้งแต่หนูยังไม่เกิดอย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บเลย หนูนั้นแหละไหนหนูว่าจะนอนกับย่า”
“หนูบอกว่าจะมาขอนอนเรือนคุณย่าต่างหากนี่คะ หนูจะไปนอนห้องยัยติ๋ว ห้องนอนมันสวยน่านอน มากค่ะ นะคะ นะคุณย่า”
ทองจันทร์พยักหน้าหงึกๆ ทานตะวันมองเนียนแล้วยิ้มเยาะ ก่อนจะเดินตรงไปห้องนอนเนื้อทอง

สักครู่หนึ่ง ทานตะวันกำลังโยนที่นอนหมอนมุ้งข้าวของของเนื้อทองออกไปทางหน้าต่างจนหมด แล้วยิ้มสาแก่ใจ โดยมีช้อยกำลังลากที่นอนหมอนมุ้งของเนื้อทองอยู่ข้างล่างตรงหน้าต่าง ก่อนจะหายหัวออกไปจากที่นั่น

ทองจันทร์หลับสบายไปแล้ว เนียนนั่งพัดวีให้ไม่ยอมหลับนอน เนียนมองผ่านหน้าต่างไป เห็นเปลวไฟลุกห่างออกไปทางด้านนอกหน้าต่าง แต่อยู่ไกลไปจากตัวเรือน
เนียนแปลกใจ ลุกไปมองดูที่หน้าต่าง
“แปลกแท้ๆ ใครมาเผาหญ้าตอนกลางดึก”

สองคนกำลังเคลิ้มหลับ มีเสียงเคาะห้อง เรียมสะดุ้ง
“คุณแม่ขา คุณพ่อขา หนูมาขอนอนด้วยคนค่ะ”
ขุนภักดีงัวเงียงงๆ เรียมประหลาดใจแต่ก็เดินไปเปิดประตูห้อง
“ทำไมไม่นอนห้องตัวเองค่ะลูกอี๊ด”
“หนูกลัวผีไอ้แทนนี่คะ พวกหลังบ้านมันเห็นไอ้แทนมานอนชักกระแด่วๆ ทุกคืน”
“เหลวไหล” ขุนภักดีพูดอย่างเอ็นดู “แต่ถ้าหนูอยากจะมาขอนอนกับพ่อแม่ก็มาสิลูก”
ท่านขุนตบที่นอนข้างตัวทานตะวันลงไปนอนข้างพ่อ กอดพ่อเอาไว้หน้าตายิ้มย่อง
ส่วนเรียมลุกเดินอยู่ เขม้นมองไปที่หน้าต่าง
“เอ๊ะ ใครมาเผาหญ้าหลังบ้านเรากลางดึกคะ”
“ช่างมันเถิด มันเผาหญ้าไม่ได้เผาเรือนเราสักหน่อย เรียมอย่าตื่นเต้น” ขุนภักดีบอก
“ใช่ค่ะ คุณแม่อย่าตื่นเต้นไปเลยค่ะ มานอนกอดหนูอี๊ดดีกว่า หนูอี๊ดอยากทำเหมือนตอนเป็นเด็กเล็กๆ มีคุณพ่อคุณแม่นอนกอดซ้ายขวา”
นั่นแหละเรียมจึงเดินมากอดทานตะวัน ที่หัวเราะชอบใจมีพ่อแม่กอดซ้ายขวา

ที่นอนกำลังไฟลุกท่วม เห็นช้อยกำลังยืนหัวเราะชอบใจ เต้นระบำไปรอบกองเพลิง
“ผีฟ้าเอย...”
มีเสียงหมาหอน ดังขึ้น ช้อยชะงักกึก
“ว๊าย หมาหอน”
ช้อยมองรอบตัวกลอกตาล่อกแล่ก มีเสียงคราง ฮือๆๆๆ
ช้อยตกใจ “เสียงคราง”
เสียงครางต่อ “กูครางเอง กูเจ็บกูปวดแผล ที่งูกัดกู”
“ว๊าย ไอ้แทน ผีไอ้แทนมาหลอกหลอนกูแล้ว”
“กูมากับไอ้แทนด้วย ไอ้หวานไง”
“ว๊าย ไม่เอาแล้ว ไปที่ชอบ ที่ชอบซะ”
“มึงส่งกูไปที่ไม่ชอบ แล้วกูจะไปที่ชอบได้ยังไง”
ช้อยโกยแน่บ วิ่งสุดชีวิต พอช้อยพ้นไป เอก แมวและกบพากันออกมายืนหัวเราะชอบใจ
“มันเอาที่นอนใครมาเผากันนะ” เอกแปลกใจ
“เอ๊ะที่นอนลายนี้ นางแมว เอ็งจำได้ไหม” กบนึกเอะใจ
“ที่นอนหนูอี๊ด ที่คุณนายเรียมจัดให้ใหม่” แมวจำได้
“แล้วมันไปเอามาเผาได้ยังไง”
กบ แมว และเอกมองหน้ากัน

เช้าวันต่อมา เนียนตั้งสำรับข้าวต้มให้ทองและทานตะวัน
“ไปเรียกหนูอี๊ดมากินข้าวต้มกับฉันสิ”
“เจ้าค่ะ”
เนียนกำลังจะเดินไป เห็นทานตะวันเดินอี๋อ๋อมีพ่อแม่กอดซ้ายขวาคลอเคลียมา
“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะ คุณย่าเจ้าขา”
เนียนชะงัก ทองจันทร์แปลกใจ
“ไหนว่าหนูนอนห้องยัยติ๋ว แล้วไหง๋มากับพ่อแม่”
“หนูเปลี่ยนใจกระทันหันค่ะคุณย่า หนูอยากอ้อนคุณพ่อคุณแม่เนียนจ๋า ขอข้าวต้มให้ฉันกับคุณพ่อคุณแม่กินบ้างสิจ๊ะ”
เนียนตะลึง ที่จู่ๆ ทานตะวันพูดเพราะด้วย แต่ก็ปลื้มจนมือไม้สั่น
“ทำเผื่อ ไว้หรือเปล่าล่ะเนียน”
“ทำเจ้าค่ะ”
เนียนดีใจมองทานตะวันอย่างสุขล้น ขุนภักดีเมินหน้าแต่หางตาแอบชำเลือง เนียนรีบออกไปอย่างมีความสุขมาก รีบไปยกอาหารเพิ่ม แมวกะกบคลานเข้ามา
“คุณท่านเจ้าขา หนูติ๋วกลับมาจากบางกอกหรือยังเจ้าค่ะ” กบถาม
“แกถามทำไม” ทานตะวันแหวใส่
“เอ้อ...คือที่นอนหมอนมุ้งของหนูติ๋ว ถูกเอาไปเผาทิ้งที่สวนหลังบ้านเจ้าค่ะ” กบบอก
ทองจันทร์กะเรียม ร้อง “ฮ้า”
ทานตะวันแอบหัวเราะคิก เนียนชะงักเท้า เรียมมองทานตะวันที่หัวเราะตาเป๋ง
“หนูอี๊ด”
“หนูไม่เกี่ยวนะคะ หนูเปลี่ยนใจกลับไปนอนกับคุณพ่อคุณแม่”
“หนูอี๊ดอยากจะลองนอนห้องยัยติ๋ว ให้ได้ ไล่เนียนมานอนกับย่าแปลกจริงนะ”

ทานตะวันรีบลุกเดินเลี่ยงหายไปทันที

อาญารัก ตอนที่ 10 (ต่อ)

เทิดศักดิ์ขับรถแล่นมาตามถนนมุ่งหน้ากลับบ้านภักดีภูบาล ที่สุพรรณ เนื้อทองนั่งสีหน้าสงบใจนึกห่วงแม่ และกังวลว่าจะสอบชิงทุนได้ไหม

เทิดศักดิ์เองก็ครุ่นคิดแปลกใจ เรื่อง หนัก หรือ สิน ว่าทำไมซาบซึ้งกับการได้แสดงความรักใคร่พวกตนนัก
“น้องติ๋ว กังวลเรื่องสอบชิงทุนหรือคะ”
“ค่ะหนูติ๋วกลัวสอบไม่ได้”
“แต่ในใจพี่ว่าน้องติ๋วสอบได้ แต่ถึงสอบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนี่คะ”
“หนูอยากสอบได้ ไม่ใช่เพราะหนูอยากเป็นคนเก่ง แต่หนูไม่อยากให้คุณท่านสิ้นเปลืองเงินค่าเรียนของหนู ตั้งสามปีนะคะ”
“คิดมาก คุณย่าท่านมีทั้งน้ำใจมีทั้งเงินล้นเหลือ ท่านรักน้องติ๋วเมตตาน้องติ๋ว น้าเนียนกับน้องติ๋วก็รับใช้ดูแลท่านอย่างดี”
“เอ้อ ค่ะ เอ้อ คุณเทิดศักดิ์คะ ไม่แปลกใจบ้างหรือคะ ว่าทำไม ลุงสินของพี่แดงน้อย ถึงได้เผื่อแผ่ความรักมาให้พวกเรา ราวกับว่าเราเป็นสายเลือดเดียวกับแกจริงๆ”
“พี่ก็แปลกใจมาก แกมีแดงน้อยเป็นหลานที่แสนรักอยู่ทั้งคน ทำไมแกถึง…”
“แสดงอาการว่ารักเราเท่าๆ กับพี่แดงน้อยใช่ไหมคะ”
“นี่น้องติ๋วก็คิดเช่นเดียวกับพี่หรือ”
“ค่ะ สีหน้าแววตาของลุงสิน รู้สึกเหมือนกับคำพูดที่แกพูดออกมาหนูติ๋วขนลุก”
“พี่รู้สึกว่าลุงสินผูกพันกับพี่มาก พี่รู้สึกอบอุ่นตอนที่แกโอบกอดพี่ไว้” เทิดศักดิ์ว่า
สองคนมองหน้ากัน พึมพำออกมา
“แปลกแท้ๆ”
แล้วเทิดศักดิ์ก็ต้องเบรคกระทันหัน หัวสองคนมาโขกกัน เมื่อเห็นควายเดินตัดหน้ารถช้าๆ
“อุ๊ย”
“แย่จริง พี่ขอโทษคุยเพลิน เกือบชนควาย”
สองคนยิ้มให้กัน เทิดศักดิ์ยกมือขึ้นทำท่าจะจับมือเนื้อทอง แต่แล้วในที่สุดก็จับกุมไว้
“เอ้อ” เนื้อทองดึงออก “ขอโทษนะคะ รีบกลับบ้านกันเถิดค่ะ”
เทิดศักดิ์พยักหน้า นึกได้ว่าเผลอตัว ขับรถพุ่งออกไป
“พี่มันบ้า พี่ขอโทษด้วย พี่จะไม่เผลอใจแบบนี้อีก”
เนื้อทองหันไปมองนอกรถ เห็นใบหน้าของแดงน้อยลอยเด่นอยู่ตรงหน้า เนื้อทองยิ้มอย่างมีความสุข

สนปรึกษาหารือ คิดการทำเรื่องชั่วช้าอยู่กับช้อย บนเรือน
“นางเด็กติ๋วมันหยามหน้าข้า ด้วยการไปกับลูกชายข้าต่อหน้าต่อตา”
“ดูท่าว่าคุณสนจะเอาคุณเทิดศักดิ์ไม่อยู่ สำหรับเรื่องนี้ซะกระมังเจ้าคะ”
“มันกำลังกลับมาจากการไปสอบชิงทุน คงถึงตอนค่ำๆ”
“แต่มันกลับมากับคุณเทิดศักดิ์นะเจ้าคะ”
“ข้าจะต้องรีบป่วย เอ็งไปดักรอคุณเทิดศักดิ์ที่โรงรถ บอกว่าข้าท้องร่วงใกล้เป็นห่าลง”
“ถ้าคุณเทิดศักดิ์ไม่เชื่อเล่าเจ้าคะ”
“เอ๊ะ นางช้อย”
“เจ้าค่ะ แล้วยังไงต่อดีเจ้าคะ”
สนกระซิบช้อยพยักหน้า
“ไอ้แช่มมันพร้อมแล้วใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ”
สนยิ้มพยักพเยิดอย่างพอใจ

จู่ๆ ขณะที่รถเทิดศักดิ์แล่นมาตารมทาง แล้วออกาการวิ่งตะกุกตะกัก
“สงสัยว่ารถจะยางแตก ทำไมวันนี้ช่างมีแต่อุปสรรคขวากหนาม”
“มียางอะไหล่ไหมคะ หนูติ๋วช่วยเปลี่ยนค่ะ”
“ขอบใจมากค่ะ”
สองคนลงจากรถ

ด้านเนียนกระสับกระส่ายมารอเนื้อทอง เพราะมืดแล้วยังไม่มาสักที แช่มแอบมองมาที่โรงรถมีทีท่ามึนเมา
“ความจริง แม่ของนางติ๋วมันยังสวยไม่สร่าง มันน่า”
เรียมเดินมาหาเนียน
“เนียน มารอหนูติ๋วหรือ”
“ค่ะ ผิดเวลาไปมากเลยนะคะ”
“ไปกับเทิดศักดิ์ ไม่ต้องเป็นห่วงดอก”
“คุณนายเรียม มาตามหาเนียนมีอะไรให้เนียนทำหรือคะ”
“อยากจะมาขอโทษ เรื่องที่นอนของหนูติ๋ว”
“เอ้อ”
“ฉันมั่นใจว่าหนูอี๊ดเป็นคนทำ ทำแล้วหลายตัวหลบไปไม่ยอมสู้หน้าฉันกลัวจะซักไซ้” เรียมมั่นใจ
“อาจเป็นคนอื่นก็ได้ค่ะ” เนียนว่า
“คนอื่นที่ไหนมันจะขึ้นไปในห้องบนเรือนคุณแม่ได้ นอกจากพวกเรากันเอง เนียนรอหนูติ๋วไปเถิด ฉันจะไปตามหาหนูอี๊ด ต้องเค้นเอาความจริงให้จงได้ ไม่เช่นนั้นแกจะนิสัยแย่ลงเรื่อยๆ เนียนคงไม่อยากเห็นแกเป็นเด็กน่าเกลียด ใช่ไหม”
เรียมเดินออกไป เนียนมองตาม ถอนใจ ไม่อยากให้ลูกสาวเป็นเด็กไม่น่ารัก แช่มแอบฟังได้ยินหมด
“วันนี้คงกินนางเด็กติ๋วลำบาก แม่มันมาเฝ้ารออยู่ตรงนี้ สู้ไปแข่งกับคุณนายเรียมตามหานางคุณหนูตัวร้ายนั่นดีกว่า”
แช่มพึมพำเดินสะเงาะสะแงะหลบออกไป ทิ้งให้เนียนนั่งรอเนื้อทอง และเนียนก็เริ่มห่วงทานตะวันขึ้นมา
“หนูอี๊ดหลบไปไหนนะ”
เนียนเริ่มกังวลกับทานตะวัน

ที่แท้ทานตะวันมานั่งหลบมุมที่ท่าน้ำ ท่าทีหงุดหงิดมาก คืนนั้นเดือนค่อนข้างมืด
“กะอีแค่ทำให้ที่นอนด็กติ๋วมันโดนเผา ทำไมคุณแม่กับคุณย่าต้องจะเอาเรื่องเอาราวกันด้วย นางเนียนนางติ๋ว ฉันเกลียดแกเหลือเกิน”
ทันใดมีร่างใครคนหนึ่ง ซึ่งเอาผ้าคาดหน้าไว้ กระโดดมาด้วยท่าทางเมาๆ มาตะครุบตัวทานตะวันไว้ใช้อีกมืออุดปากไว้แน่น

ทานตะวันตกใจสุดขีด ดิ้นขลุกขลักพยายามจะร้องแต่ร้องไม่ได้

ด้านเอกมาพบเรียมตรงมุมหนึ่งในบ้าน ขณะที่เรียมกำลังตามหาทานตะวัน

“คุณนายเรียมลงมาทำอะไรตอนค่ำๆแบบนี้มันอันตรายนะขอรับ”
เรียมถอนใจ “ก็เพราะว่าฉันรู้ว่าตอนนี้บ้านเรามันอันตรายน่ะสิ ฉันถึงต้องมาตามหาหนูอี๊ด นายเอกเห็นหนูอี๊ดไหม”
“เห็นขอรับ เห็นเธอลงจากเรือนคุณนายสน เมื่อตอนเย็นๆ ผมเข้าใจว่าเธอคงจะขึ้นเรือนคุณท่าน หรือไม่ก้อเรือนท่านขุนไปแล้ว”
“ไม่ได้ไปทั้งสองเรือน ฉันชักร้อนใจซะแล้ว”
“ผมก็ร้อนใจขอรับ ท่านขุนท่านสั่งให้ผมคอยลาดตระเวนในตอนค่ำๆ เพื่อป้องกันเหตุร้าย ผมจะรีบไปตามหาคุณหนูขอรับ”
“ฉันไปกับนายเอกด้วย ถ้าหนูอี๊ดเป็นอะไรไปไม่เพียงฉันเท่านั้นจะขาดใจตาย เนียนน่ะคงยิ่งกว่าฉัน ฉันจะมองหน้าเนียนไม่ได้ไปตลอดชาติ”
เรียมทุกข์ร้อนใจเหลือแสน รีบตามเอกไป

แช่มใช้มือปิดปากทานตะวันข้างหนึ่ง อีกข้างลากตัวทานตะวันเข้ามาพุ่มไม้ทึบใกล้ท่าน้ำ อี๊ดดิ้นรนทุบตีเตะถีบ โดนแช่มตีเอาแรงๆ
“เงียบนะ นังคนสวย ทำท่าทางดีดดิ้นดีนัก”
แช่มโถมตัวใส่จนทานตะวันล้มลง แล้วเอาตัวเองทับไว้ ทานตะวันตกใจจนตาเหลือก

เนียนออกตามหาทานตะวัน ห่วงใจแทบขาด ปากก็พึมพำเบาๆ
“หนูอี๊ดของแม่อย่าเป็นอะไรนะลูก หนูอี๊ดของแม่ต้องไม่เป็นอะไร”
เนียนก็ได้ยินเสียงอะไรดังตุ้บตั้บแว่วๆ มา เนียนเงี่ยหูฟัง ก่อนจะอุทานออกมา
“หนูอี๊ด”
เนียนพุ่งตัวออกไปทางเสียงทันที

แช่มปลุกปล้ำไปทุบตีทานตะวันไป
“บอกว่าอย่าดิ้น บอกว่าให้อยู่นิ่งๆ”
จนในที่สุดทานตะวันสลบหมดสติ
“นางคุณหนู หมดฤทธิ์สักที ทีนี้แหละ”
แช่มทำท่าจะปลดกระดุมเสื้อผ้าทานตะวัน เนียนพรวดออกมาเห็นภาพตกตะลึง ปากไวเท่าความคิดเนียนพรวดเข้าไปโดยไม่คิดชีวิต คำรามราวกับแม่เสือ
“มึงจะทำอะไรลูกกู”
แช่มเองก็ตกใจมาก ที่จู่ๆ เนียนก็โผล่มา เนียนเข้ามาถึงตัวแช่มแล้ว ถีบแช่มเต็มแรงจนแช่มหงายเงิบ ผละมาจากทานตะวัน เนียนปราดไปโอบกอดกันลูกสาวคนเล็กเอาไว้
“มึงไปให้พ้นลูกกูนะ”
แช่มตั้งสติได้ เตะเนียนโดยแรง เนียนแม้โดนเตะก็ยังปราดเอาตัวมากันทานตะวันไว้
“อีแก่มึงอยากเจ็บตัวใช่ไหม เอาสิ กูจะปล้ำมึงด้วยทั้งแก่ๆ นี่แหละ”
แช่มจิกหัวเนียนตบฉาดใหญ่ เนียนยังผวามากันทานตะวันไว้อีก พลางตะโกนสุดเสียง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
แช่มทุบตีเนียนไม่ยั้ง แต่เนียนก็ยังกันท่านตะวันไว้แบบยอมตายถวายชีวิต

เรียมกับเอกมองหาทานตะวันอยู่ มีเอกถือไฟฉายส่องอยู่ได้ยินเสียงตะโกนให้ช่วย
“เสียงเนียน”
“ทางโน้นครับ”
เอกวิ่งฉายไฟไปด้วย เรียมวิ่งตามไปติดๆ

แช่มกำลังตบตีเนียนอย่างเมามัน เนียนกอดปกป้องลูกสาวเอาไว้แน่นไม่ยอมให้โดนทำร้าย
“อีแก่มึงแหกปากตะโกนเรียกคนมาช่วยรึ นี่แน่ะ นี่แน่ะ”
ทันใดแสงไฟฉายสาดส่องมายังทั้งสามคน แช่มตกใจ
“เฮ้ย”
เอกกระโดดมาที่แช่ม
“หยุดนะ..ไอ้สารเลว”
เรียมหวีดร้องสุดเสียง
“หนูอี๊ด เนียน”
เอกพุ่งเข้าไปชกต่อยแช่ม ที่พยายามจะหนี
“มึงเป็นใคร บังอาจมาทำร้ายคนถึงบ้านหลังนี้ อย่าหนีนะ กูขอดูหน้ามึงให้ได้ว่ามึงเป็นใคร”
แช่มถอยหนีไปสู้ไป ไม่ยอมให้เอกดึงผ้าปิดหน้า จึงเสียเปรียบ โดนรุกไล่ไปถึงริมน้ำ เรียมร้องไห้ไปด้วยพยายามประคองทั้งเนียนและอี๊ด
“หนูอี๊ด โธ่หนูอี๊ด เนียน เนียน ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ”
“คุณหนูสลบไปแล้วเจ้าค่ะ รีบ ปฐมพยาบาลเจ้าค่ะ”
สองคนพยายามปฐมพยาบาลอี๊ด

เรือของขุนภักดีแล่นมาตามลำน้ำ ใกล้ถึงท่าน้ำ ท่านขุนเห็นแสงไฟฉายที่เอกโยนทิ้งตอนโดดไปเล่นงาน
แช่ม และได้ยินเสียงหวีดร้องของเรียม กับเสียงด่าทอของเอก
“อะไรกันน่ะ เข้าไปดูสิ” ขุนภักดีสั่งคนขับเรือ
คนขับเรือหันหัวเรือเข้าไปท่านขุนลุกขึ้นชะเง้อมอง

แช่มวิ่งไปทางริมฝั่ง ที่เรือของขุนภักดีกำลังหันหัวเรือเข้ามา เอกปราดมาพยายามจับตัวไว้
“กูต้องจับมึงให้ได้ไอ้คนชั่วช้าสามานย์ มึงกล้าดีอย่าหนีสิวะ”
เอกจับแช่มได้พอดี
ขุนภักดีตะโกนมาถาม “มีอะไรกันน่ะ”
“ท่านขุน” เอกกะแช่มอุทาน
“นี่มึงรู้จักท่านขุนด้วยรึ” เอกเริ่มเอะใจ
เรียมตะโกนบอก “พี่เทพจับมันให้ได้มันมาทำร้ายหนูอี๊ด”
“ไอ้ผีนรก มึงเป็นใครกันบังอาจมาทำร้ายลูกกู เอาปืนมาสิ” ขุนภักดีสั่งคนเรือ
แช่มฉวยโอกาสที่เอกหันไปสนใจท่านขุน กระโดดลงน้ำพลางตะโกนตอบ
“ข้าเป็นลูกน้องเสือหนักโว๊ย”
เอกกระชากได้เพียงผ้าปิดหน้า แต่ตัวแช่มกระโจนหายลงไปในน้ำแล้ว
“ลูกน้องเสือหนัก” ขุนภักดีสะดุดหู
“มึงโกหก” เอกด่า
เนียนกับเรียมตะโกนออกมาพร้อมกัน
“ไม่จริง”
เอกกระโจนตามลงไปในน้ำ สวนทางกับขุนภักดีที่กระโดดลงบนฝั่ง ปราดมาที่เนียนกับเรียม และทานตะวัน ท่านขุนยิงปืนไล่แช่ม แต่ห่วงทานตะวันมากกว่าจึงวิ่งมาดู
“หนูอี๊ดเป็นอะไร”
“ไอ้คนชั่วนั่นมันจะปล้ำหนูอี๊ด”
ขาดคำขุนภักดีไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ตบหน้าเนียนฉาดใหญ่
“เลวที่สุด มึงบอกชู้มึงส่งคนมาปล้ำลูกกู กูจะฆ่ามึงอีเนรคุณ”
ท่านขุนจะตบซ้ำ เรียมผวามากันไว้ ท่านขุนกระชากเรียมเซออกมา เรียมผวากลับไปบังเนียน
“ฆ่าเรียมด้วยอีกคนสิ พี่เทพหูเบา ไม่ใช้เหตุผล ไม่เห็นดอกรึว่าลูกสาวเราสลบไปแล้ว ยังไม่รีบช่วยลูก”
ท่านขุนจึงปราดไปช้อนตัวทานตะวันขึ้นมา ก่อนไปไม่วายหันมาด่าเนียนซ้ำ
“ลูกกูเป็นอะไร กูจะฆ่ามึงให้ตาย ไล่ออกจากบ้าน ทั้งแม่ทั้งลูก”

เรียมประคองเนียนที่ระบมไปหมดทั้งตัวพาออกไป

เทิดศักดิ์จอดรถเรียบร้อยลงจากรถพร้อมเนื้อทอง เห็นผู้คนวิ่งกันสับสนไปมา

“มีอะไรกันอีกแน่ๆ น้องติ๋ว”
เนื้อทองเริ่มใจเสีย แมวเห็นสองคนพอดี มองเนื้อทองอย่างสงสาร
“เร็วเข้าเถิดเจ้าค่ะ คุณเทิดศักดิ์ รีบไปช่วยเนียนเร็วเจ้าค่ะ”
“แม่” เนื้อทองเข่าอ่อน
“รีบไปน้องติ๋ว”
แมววิ่งนำ เทิดศักดิ์ดึงแขนเนื้อทองวิ่งตามไปทันที

สนกับช้อยหัวเราะกันคิกคักรู้ว่าเกิดเรื่องแต่ยังไม่กระจ่างว่าผิดคน
“คุณสนเจ้าขา เสียงเอะอะโวยวายวุ่นกันไปทั้งบ้าน ไอ้แช่มมันทำงานสำเร็จเจ้าค่ะ”
“นั่นไงไอ้แช่ม เปียกมะล่อกมะแล่กเหมือนลูกหมาตกน้ำมาทีเดียว ไปเรียกมันมาสิ”
ช้อยหันไปมองแช่ม น่วมทั้งตัวเพราะโดนเอกเล่นงาน เปียกปอนไปหมด
“ไอ้แช่ม นั่นเอ็งเอานางเด็กติ๋วลงไปปล้ำในน้ำมาเรอะ”
“นังติ๋วมันเล่นงานเอ็งซะอ่วมขนาดนี้เลยรึ”
“ไอ้เอกต่างหากขอรับ”
สนกะช้อยตกใจ “อะไรนะ”
ช้อยปราดไปตบแช่มทันที
“บอกมานะมึงทำงานพลาดใช่ไหม”
“กระผม เอ้อ ปล้ำผิดคนขอรับ”
สองคนร้อง “หา”
“กระผมปล้ำ คุณหนูอี๊ด คือกระผมเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กติ๋ว”
แช่มโกหกหน้าด้านๆ
“วิบัติแล้วไง” สองนายบ่าวสบถ
สนตบแช่มฉาด ซ้ำช้อยช่วยตบแถมอีกฉาด

ฝ่ายทองจันทร์ และกบ กำลังปฐมพยาบาลทานตะวันอยู่ เนียนนั่งก้มหน้าร้องไห้ ขุนภักดีกำลังสอบสวนเนียนมีเรียมกับเอกกำลังพูดจาปกป้อง ทุกคนอยู่บนเรือนของทองจันทร์
“มึงรับสารภาพมาซะดีๆ ว่ามึงโกรธที่กูไปจับชู้ของมึง มึงเลยวางแผนให้มันมาปล้ำลูกกู อีเนรคุณ อีขุนไม่ขึ้น อีเลี้ยงไม่เชื่อง ไอ้เอกไปเอาแส้ม้ามากูจะโบยมันบนเรือนนี้แหละ”
ขุนภักดีกดหัวเนียนให้หมอบลงกับพื้น
เรียมบอกเสียงแข็ง “ถ้าพี่เทพจะโบยเนียน ก็โบยเรียมด้วยค่ะ”
“เรียมบ้าไปแล้วรึ ทำไมต้องลุกขึ้นมาปกป้องนางคนชั่วมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“เพราะเนียนไม่ได้เป็นดังที่พี่เทพว่าน่ะสิ เนียนไม่มีวันทำร้ายหนูอี๊ด”
“นี่เรียมเชื่ออีนางแพศยามากกว่าผัวตัวเอง”
เทิดศักดิ์ แมว และเนื้อทองมาถึงพอดี เนื้อทองถลามากอดแม่เอาไว้
“แม่จ๋า”
“คุณพ่อกำลังจะลงโทษอะไรน้าเนียนอีกหรือครับ” เทิดศักดิ์ไม่พอใจ
“พ่อเขาว่าเนียนมันบอกให้ไอ้เสือหนักส่งลูกน้องมาทำร้ายหนูอี๊ด”
“ใครบอกครับ”
“ไอ้คนชั่วนั้นมันตะโกนบอก พ่อได้ยินกับหู ไอ้เอกกับคุณแม่เรียมก็ได้ยิน” ขุนภักดีว่า
“พวกคนชั่วมันหัวไวนักในการป้ายสีให้คนอื่นเขาเป็นแพะรับบาป คุณพ่อเชื่อคำโจรหรือครับ”
ท่านขุนโกรธกริ้ว “นี่แกบังอาจมาสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำรึ แกกำลังหน้ามืดตามัว เพราะอยากทำตัวเป็นลูกเขยนางแพศยา”
“ผมเพียงแต่ขอร้องคุณพ่อว่า อย่าฟังความข้างเดียว หนำซ้ำยังฟังความของคนชั่ว ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนนายร้อยท่านเพิ่งสอนผมมาว่าคนที่มีอำนาจ ยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องมีเมตตามากเท่านั้น หาไม่เช่นนั้นบ้านเมืองผู้คนในความดูแล จะปั่นป่วนจนหาความสงบไม่ได้”
ขุนภักดีนิ่ง ทองจันทร์ยิ้ม เอกก็ยิ้ม
“แล้วแกจะให้พ่อทำอย่างไร”
“นายเอก น้าแมว น้ากบ ไปเรียกคนทั้งบ้าน มาหน้าลานเรือนคุณย่า” เทิดศักดิ์สั่ง
“เรียกมาทำไม” ท่านขุนฉงน
“เหตุเกิดในบ้านท่านขุนภักดีภูบาล ที่คนสะท้านกลัวทั้งเมืองสุพรรณ มันต้องมีเกลือเป็นหนอน หรือไม่ก็มือลึกลับแถวนี้บงการอยู่”
“พวกแกไปตามคนทั้งบ้าน ลูกชายข้าเขาอยากลองวิชา”
ขุนภักดีพูดประชดประชัน

สนกับช้อยกำลังรุมด่าแช่ม ซึ่งแช่มเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว
“ก็ยังดีที่แกหัวไวใส่ความว่าเป็นไอ้เสือหนักส่งสมุนมาล้างแค้น” สนว่า
“ลูกช้อยมันก็หัวไวเหมือนช้อยนี่แหละเจ้าค่ะ”
“รอดตัวไปนะแก ถามจริงๆ เถิด แกไม่รู้หรือว่าจงใจไม่รู้ว่าที่ลากไปนั่นไม่ใช่เด็กติ๋ว” สนถาม
“เอ้อ...มันมืดน่ะขอครับ เอ้อ...คุณสนขอรับ ผมให้แปลกใจว่าทำไมตอนนางเนียนมันโผล่มาเจอเหตุ มันตะโกนว่าอย่ามาแตะต้องลูกมัน”
“มันคงคิดว่าเป็นลูกมันน่ะสิ ก็หน้ามันเหมือนกันจะตายไป”
“จริงสิครับ ขนาดมันยังจำผิดผมจะจำถูกได้ยังไง”
ช้อยหันไปเห็นเอก “ไอ้เอกมาเจ้าค่ะ ไอ้แช่มรีบหลบไปไวๆ”
แช่มรีบหลบไปทันที
“ท่านขุน กับคุณเทิดศักดิ์ให้มาตามคนทั้งบ้านไปที่ลาน เรือนคุณท่านขอรับคุณนายสน”
สองคนมองหน้ากัน
“มีอะไรกันหรือ” สนตีหน้าเซ่อ ทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“ไปถึงแล้ว ท่านคงแจ้งเองว่ามีอะไร”
“นี่เอ็งถือดีว่าเป็นคนสนิทพี่ขุนมาพูดจาโยกโย้เฉไฉใส่ข้ารึ” สนฉุน
“มิได้ขอรับ กระผมพูดตามที่ท่านสั่ง ก็แล้วแต่คุณนายสนจะเห็นเช่นไร อ้อ แม่ช้อยช่วยไปตามนายแช่มไปตามคำสั่งด้วย”
สองคนปรายตามองสบตากัน
“มันไม่อยู่ มันลากลับบ้านไปหาพ่อกำนัน ไปนางช้อย”
สนรีบดึงแขนช้อยออกไป

เอกมองเข้าไปในบ้านแต่ไม่กล้าเข้าไป ยิ้มอย่างไม่เชื่อสองบ่าวนายใจชั่ว

ทุกคนในบ้านมารวมกันที่ลานหน้าเรือนทองจันทร์ เทิดศักดิ์เริ่มสอบถามเอาความจนทั่วหน้า

“นายแช่มญาติคุณแม่สนหายไปไหนครับ ทำไมมันไม่มาตามคำสั่งผมกับคุณพ่อ”
“แม่ใช้ให้มันไปหาคุณตาของลูก”
“คงเป็นธุระร้อนมากน่ะขอรับ ถึงขั้นต้องไปค่ำมืดๆ” เอกแดกดัน
ทุกคนหันมามองทางเอก
“เอ๊ะ ไอ้เอก นี่เอ็งจะมาขับฉันให้ข้าจนแต้มใช่ไหม” สนแหวใส่
“หามิได้ขอรับ”
“ทำไมนายเอก ถึงรู้ว่านายแช่มไปตอนค่ำๆ มืดๆ”
“ตอนหัวค่ำผมยังเห็นมันนั่งกรึ่มเหล้าอยู่ท้ายเรือนคนรับใช้ขอรับ”
“แม่สน ทำไมให้ญาติของแม่สนมาดื่มเหล้าในบ้านนี้” ขุนภักดีไม่พอใจ
“คุณสนเธอไม่ทราบดอกเจ้าค่ะ ช้อยจัดการมันเองเจ้าค่ะ” ช้อยสาระแน
“นี่แปลว่ากำลังสงสัยไอ้แช่ม หลักฐานก็ไม่มี อย่าเบนเข็มมาปรักปรำมันสิ ก็ไอ้โจรนั่นมันบอกอยู่โต้งๆ ไม่ใช่รึ ว่า ไอ้เสือหนักส่งมันมา”
ช้อยตกใจเพราะเมื่อสักครู่ สนเพิ่งบอกว่าไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร รีบสะกิดเตือน
“คุณสนเจ้าขา”
“เมื่อสักครู่ที่กระผมไปตาม คุณนายสนยังไม่ทราบเลยนะขอรับว่าเกิดเรื่องอะไร” เอกบอก
สนหน้าเสียไปนิดหนึ่งแมวและกบกระซิบ
“เออน่ะสิ หรือว่ามีพรายกระซิบตามทางเดินมาที่นี่”
“ทุกคนกลับไปได้แล้ว” เทิดศักดิ์ตัดบท “คุณพ่อครับ ผมพอได้เค้าลางแล้วครับ”
สนแอบถอนใจโล่งอก ส่วนเทิดศักดิ์ไม่สบายใจ
ส่วนเนื้อทองทาแผลให้เนียน ร้องไห้ไปด้วยกันทั้งแม่ทั้งลูก
“หนูสงสารแม่เหลือเกิน ทำไมเวรกรรมของเราสองคนไม่จบสิ้นสักทีนะจ๊ะแม่เนียนจ๋า”
“แม่น่ะไม่เป็นไรดอก แต่แม่สงสารคุณหนูอี๊ด โถ ถ้าแม่ ช้าไปก้าวเดียว คุณหนูของแม่ คงยับเยิน ทุกคนคงหัวใจสลาย”
เนื้อทองแปลกใจ “นี่แม่รักแม่ห่วงจนยอมโดนตบตีเพื่อปกป้อง คุณหนูอี๊ดถึงเพียงนี้ ทั้งที่แม่ก็ทราบดีว่าเขาไม่มีวันจะหันมาเมตตาเราสองคนสักนิด”
“ช่างเขาเถิดลูก แม่ทำไปไม่หวังจะให้คุณหนูอี๊ดมาตอบแทนอะไรแม่”
“ไม่ตอบแทน แถมยังเกลียดชัง หนูจะรอดูวันพรุ่งนี้ว่าเขาจะขอบใจแม่สักคำไหม หนูเชื่อว่าเขาเชื่อคำป้ายสีไอ้คนโจรชั่วนั่น”
“เสือหนักไม่มีวันส่งใครมาทำร้ายคนที่นี่แม้แต่ปลายก้อยดอกเชื่อแม่เถิดลูกรัก”
เนื้อทองพยักหน้า
“หนูติ๋วเชื่อแม่จ้ะ”
“ขอบใจ ลูกรัก ขอบใจมากจริงๆ แม่ขอร้องนะลูกรักไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าคุณหนูอี๊ด จะร้ายกาจอย่างไร จงให้อภัยเธอนะลูก”
คราวนี้เนื้อทองนิ่ง
“รับปากแม่สิลูก โกรธกันไปเกลียดกันมา อาฆาตแค้น มันก็ทุกข์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เชื่อแม่เถิดอีกหน่อยเธอก็เลิกราไปเอง”
เนื้อทองไม่อยากจะเชื่อ แต่เห็นแม่อาการแย่ จึงรับคำ
“จ้ะ หนูจะพยายามเชื่ออย่างที่แม่บอก”
เนียนเบาใจขึ้น

ทานตะวันฟื้นแล้ว เอาแต่นั่งร้องไห้พะอืดพะอม มีเรียมกับขุนภักดีคอยปลอบโยนเอาใจ
“หนูไม่มีวันเลิกเกลียด นางเนียน หนูจะเอาเรื่องมันกับลูกมันให้ถึงที่สุด”
“หยุดนะ คนเขาช่วยให้รอดเงื้อมมือคนใจทรามยังไม่คิดกราบขอบคุณ กลับมาด่าว่าปรักปรำเขา” เรียกฉุน
“คุณแม่พูดออกมาได้ยังไง ให้หนูไปกราบขอบคุณ คนใช้” ทานตะวันไม่พอใจ
“เรียมนี่ก็แปลกแท้ๆ หรือว่าโดนมันทำเสน่ห์เอาจนหลงผิดคิดว่าตัวเองเป็นพี่น้องท้องเดียวกับมันไปแล้ว”
“เสน่ห์ของใครก็ไม่อาจทำให้ใครหลงใหลได้ตลอดไปดอกค่ะ พี่เทพ ความดีงามความจริงใจของเนียนต่างหากที่จับใจเรียมเอาไว้”
“มันทำดีอะไรกับคุณแม่นักหนาคะ”
“ที่เห็นๆ ก็ช่วยลูกวันนี้ หรือว่าลูกคิดว่าที่รอดพ้นมาได้เพราะผีนรกที่ไหนมันมาช่วย ถ้าเขาช้าไปก้าวเดียวลูกก็แหลกลาญ ถ้าเขารู้เห็นเป็นใจว่ามีใครมาทำร้ายลูก แล้วเขาจะยอมให้มันตบตีเพื่อช่วยหนูทำไมทั้งพ่อทั้งลูกช่วยไตร่ตรองด้วย แม่ขอตัวก่อนจะไปดูเนียน”
พูดจบเรียมก็เดินหน้านิ่งออกไป เงียบๆ

ฟากสนกับช้อยซุบซิบกันอยู่บนเรือน เทิดศักดิ์เข้ามาไล่ช้อยไป
“ช้อยไปให้พ้น ฉันต้องการจะคุยกับคุณแม่ อย่ามาแอบฟังทีเดียวนะ”
เทิดศักดิ์จ้องหน้าช้อยดุๆ ช้อยรีบก้มหน้างุดออกไป สนทำเป็นหาว
“แม่ง่วงนอน เอาไว้คุยพรุ่งนี้ เถิด”
“ผมพูดแค่ประโยคสองประโยคเท่านั้น ไม่มีการตั้งคำถามด้วย”
“นี่ยังไม่ทันติดดาว ก็เห็นแม่เป็นผู้ต้องหาแล้วรึ”
“ฟังนะครับ ผมกับน้องอี๊ด มีพ่อคนเดียวกัน เป็นพี่น้องกันแม้ว่าจะต่างแม่ก็ตาม ถึงน้องอี๊ดจะเหลวไหลอาละวาดนิสัยเสียอย่างไร ผมก็รัก น้องของผม ผมไม่ต้องการให้ใครหวังดีต่อผมด้วยการพยายามทำร้ายทำลายน้องผม พรุ่งนี้ผมจะไปหาคุณตาแสง ไปถามเอาความจริงจากนายแช่มให้ได้”
เทิดศักดิ์พูดจบสนนิ่งสนิทพูดไม่ออก ตกใจมาก

ส่วนช้อยกำลังส่งเงินให้แช่ม ด่าไปด้วย แช่มห่อผ้าเตรียมหนี
“มึงรีบไสหัวไปให้พ้น ก่อนที่มึงจะทำให้กูพินาศ ไอ้ลูกเหลือขออุตส่าห์หาที่หลบภัยให้ ดันมาก่อเรื่อง”
“ถามจริงเหอะแม่ รู้นะว่าคุณสนน่ะเกลียดนางคุณหนูนั่นพอๆ กับนังเด็กติ๋ว แต่แสร้งทำเป็นดีกับมัน น่าจะขอบใจฉันตะหากใช่มาโกรธฉัน”
“มึงทำผิดที่ผิดเวลา ถ้ามึงเล่นงานนังเด็กติ๋ว ใครเขาจะเดือดเนื้อร้อนใจเพราะมันแค่ลูกคนใช้ ทำไมมึงไม่อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ไสหัวไปซะ อย่ามาก่อเรื่องให้กูเดือดร้อน มึงนึกว่ากูสนุกรึ ที่ทนให้อีคุณนายสนเจ้าเล่ห์มันสับมันโขกเอา”
“ก็ไหนแม่ว่ามันไม่กล้าหือแม่ เพราะแม่กำความลับมันเอาไว้มาก”
“เออ..กรรมของกูมากด้วย ที่ไปกำความลับของมันไว้มาก กู ก็ยิ่งต้องระวังตัวมาก อีคนนี้น่ะให้มันสู้กับงูพิษกูว่ามันชนะ เลยแหละ”
เสียงเอกดังเข้ามา “ใคร อยู่ตรงนั้นน่ะ”
สองคนสะดุ้ง
“มึงยังไม่รีบไปจะรอพ่อมึงมาลากคอไปรึ”
แช่มจึงรีบผละไป ช้อยทำเป็นเก็บผักเด็ดหญ้าแถวนั้น เอกฉายไฟก้าวออกมา
“มาทำอะไรตรงนี้ ช้อย”
“เก็บผัก” ช้อยบอกหน้าตาเฉย
“เก็บผักตำแย จะเอาไปยำตำแยให้เจ้านายกินหรือนางช้อย” เอกแดกดัน

ช้อยจ๋อย เอกเดินผ่านช้อยไปตามทางที่แช่มเพิ่งหนีไป ช้อยใจหายวับ

ติดตาม "อาญารัก" ตอนที่ 11
กำลังโหลดความคิดเห็น