บอดี้การ์ดสาว ตอนที่ 9
แพรลอยหลับอยู่ในห้องนอน แต่มีอาการกระสับกระส่ายด้วยกำลังฝันร้ายถึงเรื่องราวในอดีต เหตุการณ์ที่เห็นพ่อแม่ถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา เด็กหญิงแพรพลอยกรีดร้องสุดเสียง
แพรพลอยสะดุ้งตื่นขึ้น เหงื่อออกเต็มหน้า แล้วต้องสะดุ้งซ้ำเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงอิศร์
“คุณแพร! เป็นอะไรหรือเปล่า คุณแพร!”
แพรพลอยลุกเดินออกไปเปิดประตูให้ เห็นอิศร์ยืนทำหน้าร้อนรนอยู่
“ผมได้ยินเสียงคุณตะโกนดังลั่นเลย”
“ฉัน...ฝันร้ายนิดหน่อย”
“คุณเครียดล่ะสิ” เขามองด้วยสีหน้าเป็นห่วง “มีเรื่องอะไร ผมว่าคุณดูแปลกๆ ตั้งแต่บินมากระบี่แล้วนะ”
“ไม่มีค่ะ คุณไปนอนเถอะ”
อิศร์จะพูดต่อ แต่แพรพลอยรีบปิดประตู
“คุณแพร...”
อิศร์ครางเสียงอ่อย เพราะยังเป็นห่วงแพรพลอยอยู่ เขาเลยครุ่นคิดว่าจะทำอะไรสักอย่าง
แพรพลอยล้มตัวลงนอน ได้ยินเสียงอุคุเลเล่แว่วมา หันไปมองแล้วพยายามไม่สนใจข่มตาหลับ
แต่เสียงอุคุเลเล่ไกลเข้ามาเรื่อยๆ เป็นเสียงดีดเพี้ยนๆ ไม่เป็นเพลง ฟังดูน่ารำคาญมากกว่า
แพรพลอยพลิกตัวไปมาด้วยความหงุดหงิด แต่ทนไม่ไหว ลุกขึ้นชะโงกหน้าออกไปดูที่หน้าต่าง พบว่ามีดวงเทียนเล็กๆ ปักอยู่ในถ้วยวางไว้รอบๆ บ้าน ส่องแสงระยิบระยับ
แพรพลอยยิ่งแปลกใจ เลยลุกขึ้นจะออกไปดู แต่พอเปิดประตูไปก็เจอแสงเทียนอยู่ในบ้านเป็นแถวยาวออกไปถึงหน้าประตู
แพรพลอยย่องออกไปตามแสงเทียนที่นำทางออกนอกบ้าน อีกมือก็แตะปืนที่เอวเตรียมพร้อม แต่โผล่หน้าออกมาที่หาดก็ถอนใจ เมื่อเห็นว่าเป็นอิศร์ยืนเล่นอุคุเลเล่แบบเพี้ยนๆ อยู่หน้าบ้าน มีเทียนล้อมรอบเป็นวงกลม
“ทำอะไรของคุณ”
อิศร์หันมายิ้มเผล่ “ก็ผมเห็นคนฝันร้าย ก็เลยจะเล่นเพลงกล่อม” ว่าแล้วก็เล่นต่อมั่วๆ พร้อมกับร้องคีย์เพี้ยนๆ ไปด้วย
แพรพลอยอดยิ้มขำไม่ได้ ท่าทีหล่อนผ่อนคลายลง และรู้สึกดี แต่ยังคงวางฟอร์มอยู่
“เล่นอย่างนี้ทำให้ฉันนอนไม่หลับมากกว่า”
“งั้นก็ยังไม่ต้องนอน มาร้องเพลงกับผม โยนไอ้นี่ทิ้งไปก่อน” อิศร์แย่งปืนจากแพรพลอยโยนทิ้งไป
“คุณอิศร์”
“คุณอยากร้องเพลงอะไร” อิศร์ดีดมั่วๆ ไม่เป็นเพลง
“ไม่เอา ไม่อยากร้อง”
แพรพลอยจะออกไป แต่ถูกอิศร์ขวาง แม้จะเป็นสำเนียงอุคุเลเล่มั่วๆ แต่ความหมายในเนื้อเพลงกลับฟังแล้วรู้สึกดี
อิศร์ร้องไปเดินวนรอบตัวไม่ยอมให้แพรพลอยออกไปจากวง พยายามสร้างบรรยากาศ โยกตัวตลกๆ จับมือแพรพลอยโบกไปมาตามเพลง แพรพลอยเริ่มอารมณ์ดีขึ้น ค่อยๆ ยิ้มออก
“แน่ะ ยิ้มแล้ว สบายใจขึ้นยัง” อิศร์ร้องเพลงมั่วๆ ต่อไปอย่างร่าเริง สนุกสนาน
ฟากมายาวีงัวเงียออกมาจากห้อง เพราะได้ยินเสียงเพลงของอิศร์ เห็นอนุภัทรแอบมองยิ้มอยู่หน้าบ้าน
“เสียงอะไร ขี้เมาที่ไหนมาร้องเพลง” มายาวีว่า
อนุภัทรทำมือให้มายาวีเงียบ มายาวีสงสัยชะโงกมอง เห็นอิศร์จับแพรพลอยโยกตัวตามจังหวะเพลง
“เขาทำอะไรกันน่ะ” มายาวีถลันจะออกไป
อนุภัทรดึงรั้งไว้ “ไม่ใช่เรื่องของคุณน่า ไปนอน”
ผู้กองเอามือปิดปากหล่อนแล้วลากเข้าบ้าน มายาวียังมองกลับมา อยากรู้อยากเห็น
แพรพลอยโดนอิศร์จับหมุนตัวโยกไปทั่วจนเวียนหัว ผละออกมานั่งแปะลงบนพื้นทราย
“พอแล้ว ฉันเวียนหัว”
อิศร์ตามมานั่ง แล้วถามอย่างห่วงใย
“คุณหายเครียดหรือยัง”
แพรพลอยยังวางฟอร์ม “ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย คุณคิดไปเอง”
อิศร์ครวญ “เฮ้อ...คุณแพร เมื่อไรคุณจะไว้ใจผมน้า เอาเถอะ ผมคิดไปเองก็ได้ว่าคุณเครียด ตอนนี้ก็คิดไปเองอีกว่าคุณหายเครียดแล้ว จะไปนอนได้หรือยังครับ”
แพรพลอยยิ้มให้ พลางพยักหน้า อิศร์เลยลุกขึ้น ส่งมือดึงแพรพลอยขึ้นมา ทั้งสองสบตากัน
แพรพลอยเขินๆ เพราะรู้สึกดีที่อิศร์ห่วงใย “เอาไว้ถ้าคุณคิดไปเองว่าฉันเครียดอีก ฉันจะออกมาฟังเพลงห่วยๆ ของคุณใหม่แล้วกันนะ”
“นี่จะขอบคุณหรือจะแขวะกันเนี่ย ผมตีความไม่ออก”
“ทั้งสองอย่าง”
แพรพลอยยิ้มขัน แล้วลุกเดินเข้าบ้านไป อิศร์เกาหัว
“แหม ขออย่างเดียวชัดๆ ไม่ได้เหรอ เดี๋ยวก่อนซี่”
อิศร์วิ่งตามแพรพลอยเข้าบ้านไป
เช้าวันต่อมาอำพลนั่งอ่านเอกสารทำงานอยู่ที่โต๊ะในบ้าน สุนทรเอากาแฟมาเสิร์ฟให้มองอำพลท่าทีลังเลจะพูดไม่พูด แล้วตัดสินใจพูด
“นายครับ เมื่อวันก่อน คุณไอศูรย์มาคาดคั้นขอที่อยู่ของทิตาจากผม”
อำพลชะงัก เงยหน้าขึ้นมองสุนทรทันที
“แล้วแกให้ไปหรือเปล่า”
สุนทรพยักหน้าขรึมๆ แทนคำตอบ อำพลนึกเอะใจ
“มันจะเอาไปทำไม”
“ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ พยายามจะถามจากทิตา แต่ยังติดต่อไม่ได้”
“หรือมันจะสั่งงานนักฆ่าของแก ให้ทำงานพิเศษ มันคิดจะฆ่าใครอีกนอกจากไอ้อิศร์”
กรองทองบังเอิญเดินผ่านมาหน้าห้อง ได้ยินชื่ออิศร์ในประโยคสุดท้ายพอดี หล่อนชะงักฟัง
“คนที่คุณไอศูรย์อยากให้หายไปจากโลก ก็น่าจะมีคุณอิศร์คนเดียวนะครับ”
กรองทองได้ยินเต็มสองหู เอามือปิดปากตกใจ
“ก็จริงของแก ยิ่งตอนนี้มีเรื่องหนูอริสแท้งลูกด้วย ไอศูรย์มันคงอยากฆ่าเจ้าอิศร์เต็มที หรือมันจะไปเร่งให้คนของแกรีบลงมือ ก็ดีเหมือนกัน จะได้จบๆ ไป”
กรองทองอึ้ง ตะลึงงัน ไม่อยากเชื่อว่าอำพลกับไอศูรย์วางแผนฆ่าอิศร์ แถมสุนทรผู้เป็นพ่อก็รู้เห็นด้วย
ฟากอิศร์ขับเรือมากับแพรพลอยสองคน ออกมาในทะเล เขาวนหามุมสวยๆ เตรียมดำน้ำ
“ถึงแล้วคร้าบ มุมนี้แหละที่ยายเมย์บอกว่ามีแนวปะการังสวยๆ อยู่”
อิศร์ทิ้งสมอเรือ แล้วเปิดกระเป๋าเตรียมอุปกรณ์สน็อกเกิ้ล
แพรพลอยก้มดูในน้ำ “คุณเมย์กับผู้กองภัทรไม่ว่าเอาเหรอคะที่เราหนีมาแบบนี้”
“สองคนนั้นมัวแต่ซื้อของสดไม่กลับมาซักทีนี่นา ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวค่อยกลับมาใหม่ก็ได้ ผมอยากมากับคุณแค่สองคนก่อน เดี๋ยวไม่โรแมนติก” อิศร์ยิ้มกริ่มตาหวานเชื่อม
แพรพลอยมองค้อน “คิดไปเองอีกละ ไม่เห็นจะโรแมนติกตรงไหน”
อิศร์ร้อง “อ้าว”
แพรพลอยหัวเราะขำ แล้วเอาสน็อกเกิ้ลสวม ก่อนจะเลื่อนตัวลงทะเล
“เดี๋ยวสิคุณ รอด้วย” อิศร์รีบลงน้ำตามไป
ใต้แผ่นน้ำเวลานั้นอิศร์กับแพรพลอยดำน้ำดูปะการังกับปลาสวยๆ อิศร์เอากล้องกันน้ำมาถ่ายรูปคู่ หยอกล้อกับแพรพลอย
เวลาผ่านไปแพรพลอยโผล่ขึ้นมาจะปีนกลับขึ้นเรือเพราะความเหนื่อย เอากล้องมาเปิดดูรูป
“สวยจัง”
อิศร์ยิ้มร่ามองแพรพลอยที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ระหว่างดูรูป ว่ายน้ำเข้ามาใกล้ๆ
“ถ้าคุณชอบ คราวหลังเรามากันอีกก็ได้นะ มากันแค่สองคน”
อิศร์ปีนขึ้นมานั่งกระแซะข้างๆ แพรพลอยบนกาบเรือ
“คงมีเวลามาหรอก คุณกลับไปก็ต้องเคลียร์งานให้เรียบร้อย อย่าอู้”
“ก็หอบงานมาทำที่นี่ซะเลย หนีความวุ่นวายของกรุงเทพมาอยู่ที่นี่เลยดีไหม”
แพรพลอยเศร้านัก เมื่อนึกถึงชีวิตวัยเด็กที่โตที่นี่เหมือนกัน หล่อนรีบฝืนยิ้ม
“อย่าถามความเห็นฉันเลย ชีวิตคุณนี่คะ
“แต่ผมอยากให้คุณช่วยตัดสินใจนี่นา”
อิศร์มองตาแพรพลอยซึ้งๆ อย่างมีความหมาย แพรพลอยหลบตาประหม่า
“กลับกันดีกว่า เผื่อสองคนนั้นจะกลับมาแล้ว”
แพรพลอยลุกขึ้นถอดหน้ากาก อิศร์มองออกไปที่ทะเล เห็นเรือแล่นมา แกล้งตกใจ
“คุณแพร! ผมเห็นคนถือปืน หลบเร็ว”
แพรพลอยตกใจ “อะไรคะ ว้าย”
อิศร์ดึงแพรพลอยร่วงตกน้ำลงมาใต้น้ำด้วยกัน แพรพลอยดิ้นหายใจไม่ออก ตะเกียกตะกายจะขึ้น อิศร์จับหน้าแพรพลอยไว้แล้วก้มประทับจูบ นิ่งนาน แพรพลอยได้สติทะลึ่งพรวดขึ้นทันที ทั้งตกใจ ทั้งโกรธ
“ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย”
“ก็เรือลำนั้น มันมีปืน...อ้าว”
อิศร์ชี้ไปที่เรือที่แล่นผ่านมาใกล้ เห็นชายคนหนึ่งถือกล้องส่องทางไกลสีดำส่องมาที่เรือของอิศร์
“ปืนอะไรเล่า นั่นมันกล้องส่องทางไกล”
“ผมเห็นไกลๆ สีดำๆ ก็เลยนึกว่าปืน” อิศร์แก้ตัว
“แล้วคุณจูบฉันทำไม”
อิศร์แถ “ผมกลัวคุณทะลึ่งพรวดขึ้นมา แล้วเราจะซวยกันหมด ผมหวังดีนะ”
“นี่เหรอความหวังดีของคุณ คนบ้า ฉวยโอกาส”
แพรพลอยขย้ำอิศร์ พยายามจับอิศร์กดน้ำ อิศร์ร้องโอ๊ยๆ แล้วดิ้นสู้ ก่อนจะรวบตัวแพรพลอยไว้ในอ้อมกอดได้อีก ถามยิ้มๆ
“เดี๋ยวก็ฉวยโอกาสอีกรอบหรอก”
อิศร์จ้องตาแพรพลอยยิ้มๆ แพรพลอยเขินจัดสะบัดออกเต็มแรง แล้วรีบปีนขึ้นเรือ
“กลับบ้านเองแล้วกัน”
“อ้าว คุณแพร”
แพรพลอยปีนไปที่หน้าเรือ แล้วขับออกไปทันที ทิ้งให้อิศร์ลอยเคว้ง ตะโกนเรียกแพรพลอย
ทางด้านอนุภัทรเดินดูอาหารทะเลสดๆ ที่เพิ่งขึ้นมาจากท่า
“คุณรู้ไหม วิธีการเลือกปลาหมึกสดๆ เนี่ยต้องดูที่...อ้าว”
อนุภัทรหันมาจะคุยกับมายาวี แต่กลายเป็นว่ามายาวีไม่ได้เดินมาด้วย แต่มัวถ่ายรูปปลาตัวใหญ่อยู่อีกร้านนึง เลยรีบเดินไปหา
“คุณเมย์ มัวแต่ถ่ายรูปอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวตลาดก็วายพอดี”
“ฉันซื้อไม่เป็นนี่ คุณเลือกเป็นก็ซื้อไปสิ เอ้าเอาตังค์ไป” หล่อนควักตังค์ส่งๆ ให้แล้วถ่ายรูป “ป้าขา วานถ่ายให้ทีนะคะ หนูจะเอาไปลงอินสตาแกรม”
มายาวีส่งมือถือให้แม่ค้า แล้วแอ็คท่าแอ๊บถ่ายรูป อนุภัทรมองเอือมๆ แล้วเดินหนี ซื้อเองก็ได้ฟระ
อนุภัทรเดินซื้อของสดไปเตรียมปาร์ตี้ตอนค่ำ ไม่สนใจมายาวีอีก
มายาวีเดินถ่ายรูปมุมสวยๆ ชิลล์ๆ อยู่อีกมุมหนึ่งของตลาดตามประสาคนเมือง มืออีกข้างถือแก้วกาแฟ
ชายคนหนึ่งออกมายืนมองมายาวี เพ่งไปที่โทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ราคาแพง แล้วปรี่เข้ามาชนมายาวีกระเด็นแล้วกระชากกระเป๋าไป
“ว้าย ช่วยด้วยค่ะ ฉันโดนปล้น”
โจรวิ่งฝ่าคนที่เดินสวนมาออกไปอย่างรวดเร็ว อนุภัทรได้ยินเสียงเอะอะหันไปมอง
“คุณเมย์” อนุภัทรรีบวิ่งไปหามายาวี
“เกิดอะไรขึ้น”
“จ...โจรวิ่งราวกระเป๋าฉัน!”
อนุภัทรรีบวิ่งตามโจรออกไป
โจรวิ่งออกมาที่ถนน อนุภัทรไล่กวดตามมาติดๆ
“เฮ่ย หยุดนะ”
โจรวิ่งหันรีหันขวาง วิ่งแล้วสะดุดล้มลง อนุภัทรพุ่งเข้าคว้าตัวไว้ โจรต่อสู้เตะต่อยกับอนุภัทรพัลวัน
ที่สุดโจรสลัดอนุภัทรออกไป แล้วชักมีดออกมา พุ่งเข้าจะแทง อนุภัทรหลบหลีก แล้วเตะมีดกระเด็น โจรเสียที อนุภัทรพุ่งเข้าอัด จนมันยกมือไหว้ ยอมแพ้
“อย่าไปทำชั่วที่ไหนอีก ถ้าเจอแกอีกที ฉันเอาแกตายแน่”
โจรรีบวิ่งหนีไป อนุภัทรก้มลงเก็บกระเป๋า มายาวีวิ่งตามมาพอดี
“ผู้กอง เป็นอะไรหรือเปล่า”
อนุภัทรดุเสียงขุ่นเขียว “เพราะความไม่ระวังของคุณ เห็นไหมว่าเกือบเป็นเรื่อง แทนที่จะมาช่วยกันซื้อของ เดินเอ้อระเหยอยู่ได้ แล้วกระเป๋าแพงๆ เนี่ยเอามาทำไม”
พลางอนุภัทรยัดกระเป๋าใส่มือมายาวีแล้วเดินออกไปอย่างฉุนๆ
มายาวีอึ้งๆ พอได้สติว่าอนุภัทรโกรธก็รีบวิ่งตามไป
“ผู้ก๊องง... ฉันขอโทษ คราวนี้ฉันจะไม่อยู่ห่างคุณแล้วน้า อย่าโกรธน้า”
อนุภัทรเดินฉุนไม่ฟัง มายาวีไล่ตามง้อไป
ที่ด้านหลัง เห็นเงาใครคนหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากที่ซ่อน ที่แท้คือทิตาที่มองตามทั้งสองไป แล้วกดโทรศัพท์ไปรายงานไอศูรย์
“ฉันเจอนังคุณหนูกับไอ้ตำรวจนั่นแล้ว อยู่ที่นี่ไม่ผิดแน่”
ไอศูรย์คุยโทรศัพท์ ยิ้มกระหยิ่ม
“ดี จัดการให้สิ้นซาก รางวัลของฉันรอเธออยู่” ได้ยินเสียงคนเข้ามาใกล้แล้ว “แค่นี้ก่อนนะ”
ไอศูรย์วางสาย พอเห็นว่าอริสราเดินเข้ามาก็ยิ้มให้
“ออกไปทานข้าวนอกบ้านกันนะครับอริส”
อริสรามองสามี รู้สึกว่าไอศูรย์ดูยิ้มแย้มแปลกๆ
“หรือว่าคุณอยากไปดูหนัง ช้อปปิ้งไหม ผมว่างทั้งวันเลย”
“ทำไมถึงคิดว่าฉันอยากไปกับคุณ”
ไอศูรย์เข้าไปกอด อ้อนๆ “ไม่เอาน่า เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะครับ อะไรไม่ดีที่ผ่านมา ลืมมันไปให้หมด ให้โอกาสผมแก้ตัวนะ”
“ฉันบอกคุณแล้วไงว่าอย่ามาแตะต้องฉัน”
อริสราผลักออก แล้วรีบเดินออกไป ไอศูรย์มองตามอย่างเคืองขุ่น ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา
“ทำเป็นเล่นตัวไปเถอะ ถ้าไม่มีไอ้อิศร์ซักคน คุณก็ต้องซมซานมาหาผม”
สุนทรแต่งตัวเตรียมออกจากบ้าน กรองทองถลันเข้ามาขวาง ท่าทางร้อนใจ
“พ่อ! พ่อจะไปไหน”
“ไปธุระให้นาย แกถามทำไม มีอะไรก็ไปทำสิ”
สุนทรจะไป แต่กรองทองขวางไว้ คว้าแขน
“ไม่นะ กรองไม่ให้พ่อไป”
สุนทรงง “อะไรของแกยายกรอง! ปล่อยพ่อน่า”
“พ่อจะไปฆ่าคุณอิศร์ใช่ไหม”
สุนทรชะงัก มองกรองทอง ตกตะลึง คาดไม่ถึง แต่ยังเก็บอาการ
“แกเอาอะไรมาพูด”
กรองทองเบะปากจะร้องไห้แล้ว “ก็กรองได้ยินพ่อพูดกับคุณผู้ชายว่าพวกเขาจะฆ่าคุณอิศร์ ทำไมล่ะพ่อ โกรธแค้นอะไรกันนักหนาถึงต้องฆ่าแกงกัน”
สุนทรนิ่งอึ้ง แล้วรีบตัดบท
“มันเป็นเรื่องของเจ้านาย”
“แสดงว่าเป็นเรื่องจริง” กรองทองร้องไห้ออกมา “ไม่นะพ่อ พ่ออย่าทำอะไรคุณอิศร์นะ คุณอิศร์เป็นคนดี เธอไม่เคยคิดร้ายกับใครเลย พ่อก็รู้”
สุนทรหนักใจ เพราะรู้ว่ากรองทองพูดถูก “พ่อรู้ แต่พ่อตัดสินใจแทนนายไม่ได้”
“แต่กรองไม่ให้พ่อทำ”
สุนทรมองลูกอย่างเข้าใจ “พ่อไม่ได้เป็นคนลงมือหรอก มีหน้าที่ก็แค่รับคำสั่งนายเท่านั้น”
“งั้นใครลงมือ กรองจะไปหยุดมัน กรองจะแจ้งตำรวจ กรองจะ...”
สุนทรสวนเสียงเข้ม “กรอง! ครอบครัวของนายมีบุญคุณล้นหัวเราพ่อลูก แกอย่าได้แม้แต่จะคิดทำอย่างนั้นเป็นอันขาด”
“แต่สิ่งที่พวกเขาทำมันผิด”
“ถ้าแกไม่อยากให้พ่อเดือดร้อนไปด้วย แกก็ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะตอนนี้พ่อมาไกลเกินว่าจะถอยกลับแล้ว”
สุนทรเดินออกไป กรองทองยืนน้ำตาไหล ปวดร้าวใจ เป็นห่วงทั้งพ่อ เป็นห่วงทั้งอิศร์
มายาวีเปิดถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาจากตลาด แพรพลอยเปลี่ยนชุดนอนออกมาจากห้อง
“ว้ายคุณแพร จะนอนแล้วเหรอคะ ปาร์ตี้ริมหาดของเราล่ะ”
แพรพลอยก้มลงมองตัวเอง “ใส่ชุดนี้ไปปาร์ตี้ไม่ได้เหรอคะ”
“ไม่ได้ค่ะไม่ได้ เสียบรรยากาศ มาทะเลทั้งทีมันต้องแต่งให้เข้าธีม มานี่ เดี๋ยวเมย์จัดการให้ เมย์เพิ่งซื้อผ้าสวยๆ มาจากตลาด”
“แต่คุณเมย์คะ...”
แพรพลอยทักท้วงบ่ายเบี่ยง แต่ถูกมายาวีลากเข้าห้องไปจนได้
ตอนเย็นจวนค่ำ ที่หน้าบ้านเตรียมจัดสถานที่ปาร์ตี้บาร์บีคิว ปิ้งย่างอาหารทะเล โดยอิศร์กับอนุภัทรช่วยกันประดับไฟ แต่งสถานที่ มายาวีแต่งตัวสวยสไตล์สาวชาวเกาะ นุ่งผ้าลายดอก
“เสร็จหรือยังคะหนุ่มๆ หิวจะตายแล้ว”
“แหม ถ้าหิวก็อัญเชิญมาที่หน้าเตาเลยครับเจ๊ พวกผมก็มัวแต่ยกโน่นจัดนี่ ท้องร้องแล้วเหมือนกัน รอเจ๊มาทำให้กินนี่แหละ”
“แหม นึกว่าจะบริการอาหารให้ด้วย”
มายาวีค้อน แล้วเดินไปดูที่เตา อนุภัทรหยิบอุคุเลเล่มาดีดเล่นแล้วมองหาแพรพลอย
“คุณแพรไปไหนล่ะครับ”
“นั่นสิ” มายาวีหันไปมองในบ้าน “คุณแพรขา ออกมาเถอะค่ะ ปาร์ตี้เริ่มแล้วนะค้า”
ทุกคนหันไปมองในบ้าน เห็นแพรพลอยค่อยๆ เดินออกมาท่าทีประหม่า อิศร์ตะลึงแลตาค้างเมื่อเห็นว่าแพรพลอยปล่อยผมยาวสยายเบี่ยงข้าง นุ่งผ้าเหมือนมายาวี ติดดอกไม้แซมผม
“ฮ้า นี่ใครเนี่ย”
“แหม ความจำเสื่อมเหรอ บอดี้การ์ดสาวของนายไง มาค่ะคุณแพร”
มายาวีเข้าไปจูงแพรพลอยเดินลงไปที่หาด แพรพลอยท่าทางเขินๆ อิศร์มองตามตาค้าง อนุภัทรหมั่นไส้
“คอจะหมุนสามร้อยหกสิบองศาแล้วไอ้อิศร์”
“แหม ก็อยากมองนานๆ จะได้แน่ใจว่าตาไม่ฝาด” อิศร์ขยี้ตา “ฉันไม่เคยเห็นคุณแพรตอนเป็นผู้หญิงแบบนี้ เดี๋ยวต้องขอเข้าไปดูใกล้ๆ หน่อยนะ”
แพรพลอยง่วนปิ้งบาร์บีคิวอยู่ หันมาเห็นอิศร์เตร่เข้ามาหา ก้มหน้าดมผม
“ห๊อม หอม”
“นี่คุณ” แพรพลอยเอ็ด
“อะไรเล่า ผมหมายถึงบาร์บีคิวนี่ ห๊อม หอม”
“ถ้าเข้าใกล้ฉันอีกนิด ฉันจะเสียบไม้ย่างแทนบาร์บีคิว”
อิศร์กระโดดเหยงถอยหนี มายาวีหัวเราะ
“จับทำบาร์บีคิวเนื้อคนเลยค่ะคุณแพร หมั่นไส้นัก เดี๋ยวเมย์จะถ่ายรูปตอนเสียบไว้” หล่อนหยิบมือถือออกมา
อนุภัทรเห็นควันขโมงตรงเตาหน้ามายาวี รีบวิ่งมา
“คุณก็ห่วงแต่ถ่ายรูป กุ้งไหม้หมดแล้ว ไม่ดูเลย”
“ว้ายตายแล้ว โอ๊ยเสียดายอะ ผู้กองกินนะ ฉันยกให้”
มายาวีเอาไม้เสียบกุ้งยื่นจะป้อนอนุภัทร อนุภัทริเบือนหน้าหนี บรรยากาศกุ๊กกิ๊กสองคู่หวานชื่นสุดๆ
ไกลออกไปไม่ห่างจากบ้านนัก ทุกอย่างเงียบสงัด
ทิตาพรางตัวอยู่มุมหนึ่งในป่าพร้อมลูกน้องราว 5-6 คน เสียงทั้งสี่ยังคุยกันกระหนุงกระหนิงแว่วๆ มา
ทิตาระแวดระวัง หันไปมองด้านหลัง แล้วยกมือส่งสัญญาณ ลุกนำไป แลเห็นลูกน้องกลุ่มใหญ่ ลุกขึ้นกรูตามกันออกไป
ทิตากับลูกน้องค่อยๆ แฝงตัวเข้ามาปิดล้อมตัวบ้านทางด้านหลังอย่างเงียบๆ ทิตาหันไปพยักหน้ากับลูกน้อง ลูกน้องคนหนึ่งหยิบเครื่องบินเล็กบังคับวิทยุติดกล้อง ปล่อยให้บินขึ้นไป
เครื่องบินบังคับบินขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปยังหน้าหาด ทิตาควักโทรศัพท์ออกมา เปิดดูจอภาพที่รับสัญญาณกล้อง เห็นความเคลื่อนไหวของทั้ง 4 จากชายหาด
ทุกคนกำลังสนุกสนานเต็มที่ มายาวีบงการให้อนุภัทรแกะกุ้งให้
“ไม่เอา ฉันไม่อยากมือเลอะ แกะให้หน่อยนะผู้กอง”
“เค้ามีแต่ผู้หญิงเป็นฝ่ายปรนนิบัติ” อนุภัทรบ่น
“โบราณ ฉันยุคใหม่ เน้นสิทธิสตรี”
“เท่าเทียมกับผู้ชาย” อนุภัทรประชด
มายาวีจ้องหน้า “เหนือกว่า! ผู้ชายควรเป็นฝ่ายบริการ...แกะกุ้งมาเดี๋ยวนี้”
อิศร์หัวเราะ แพรพลอยยิ้มขำ
“เวลาคุณยิ้ม เหมือนโลกทั้งใบยิ้มให้ผมด้วย วันหลังเลิกทำหน้าบึ้งได้แล้วนะ”
“ถ้าคุณทำตัวอยู่กับร่องกับรอย ไม่กวนประสาทฉันมาก ฉันจะยิ้มบ่อยๆ”
“โอเค ดีล” อิศร์ยื่นมือจะให้จับ แพรพลอยตีมือ
“แต๊ะอั๋งฉันอีกแล้ว”
“แหม...” อิศร์หัวเราะเขิน)
ขณะเดียวกันภาพในมือถือ แลเห็นแพรพลอย อิศร์ มายาวี อนุภัทร ทำกิจกรรมร่วมกันอยู่
“อยู่กันครบ” ทิตายิ้มร้ายที่มุมปาก
สี่คนอยู่ริมหาดสวย แพรพลอยรวบช้อน ดื่มน้ำ แล้วเอนหลังบนเก้าอี้ชายหาด
“เฮ้อ อิ่ม” หล่อนชะงัก สีหน้าเห็นอะไรบางอย่างบนท้องฟ้า
“อะไรกัน อย่าเพิ่งอิ่มสิ ช่วยผมกินก่อน มามะๆ ป้อนๆ”
อิศร์ทำท่าจะป้อน แต่แพรพลอยสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“อ้าว ยิ้มแป๊บๆ ทำหน้าบึ้งอีกละ ไม่กวนก็ได้” อิศร์งอนใส่
“ดีแล้วค่ะ อย่าเพิ่งกวนฉัน” แพรพลอยเขม้นตามองบนฟ้า “คุณทำตัวตามปกติไปก่อน”
“อะไรอ่ะคุณ พูดแปลกๆ”
“ฉันว่าเราไม่ได้อยู่กันตามลำพัง”
แพรพลอยพยักหน้าขึ้นไปบนฟ้า อิศร์มองตาม
“เฮ้ย ของใครอ่ะ”
อนุภัทรกับมายาวีเงยหน้ามองตาม
“แถวนี้ไม่มีบ้านใครนี่นา แล้วมันมาจากไหน”
อนุภัทรตั้งข้อสังเกต “ใครจะเอาเฮกซ์คอปเตอร์ติดกล้องถ่ายภาพทางอากาศมาเล่นตอนกลางคืน ผมว่าไม่ค่อยดีแล้วล่ะคุณแพร”
“หมายความว่าไงคะ” มายาวีใจคอไม่ดี
“เราอยู่ตรงนี้ไม่ได้ เก็บของเร็ว”
“ไม่ทันแล้ว”
แพรพลอยหยิบจานกระเบื้อง แล้วเหวี่ยงเหมือนจานบินไปสอยเฮกซ์คอปเตอร์ร่วง
ภาพในมือถือทิตาดับวูบลงไปทันที ทิตามองไปที่บ้าน
“พวกมันรู้ตัวแล้ว ไป”
ลูกน้องทิ้งอุปกรณ์กล้อง แล้วกระจายตัวบุกเข้าบ้าน
เย็นย่ำลงไปอีกหน่อย อนุภัทร มายาวี อิศร์ไปดูซากเฮกซ์คอปเตอร์ที่ตกอยู่ริมหาด แพรพลอยกวาดตามองรอบบ้านด้วยสัญชาตญาณ ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังเปรี้ยงๆๆๆ มาจากหลายทิศทาง
“คุณอิศร์หมอบค่ะ”
แพรพลอยกระโจนเข้ารวบตัวอิศร์ กลิ้งล้มลงพื้นทรายที่ลาดลงไปด้วยกัน
“คุณไม่เป็นอะไรนะ” อิศร์ห่วงแพรพลอยกว่าตัวเอง
“บ้า! ฉันต่างหากที่ต้องปกป้องคุณ”
“เราจะดูแลกันและกัน”
แพรพลอยพยักหน้าให้ เสียงปืนดังขึ้นมาอีก อิศร์รวบตัวแพรพลอย พลิกตัวหนีตามสัญชาตญาณ
อีกด้านมายาวีกลิ้งหลบอยู่ ทรายเต็มหน้า เข้าตาจนมองไม่เห็น
“อ๊าย ผู้กองช่วยด้วย”
“คุณเมย์ มาหาผม ผมอยู่ตรงนี้”
“ตรงไหน ทรายเข้าตาฉัน ฉันมองไม่เห็น”
มายาวีมือไม้เปะปะ อนุภัทรกลิ้งตัวเข้ามาประคองมายาวี จับมือแน่น
“ผมอยู่นี่” อนุภัทรเช็ดหน้าให้
ทันใด เสียงปืนดังเปรี้ยงขึ้นอีก ทิตากับลูกน้องกระขายตัวออกมา แล้วกระหน่ำยิงใส่
ทั้งสี่รีบลุกขึ้น แล้ววิ่งเตลิดไปตามชายหาด
“เราจะหนีไปไหน”
อนุภัทรบอก “ไปทางป่านั้น”
อนุภัทรจูงมือมายาวีวิ่งนำไปข้างหน้า อิศร์จะจูงมือแพรพลอยวิ่ง แต่แพรพลอยชะงักวิ่งกลับมาคว่ำเตาย่างบาร์บีคิว แกะตะเกียงบนโต๊ะ เทน้ำมันใส่เตา จนเกิดไฟลุกโชน ขวางทิตากับพวกที่วิ่งตามมา
“คุณอิศร์ ไป”
อิศร์และแพรพลอยรีบวิ่งหนีพวกลูกน้องทิตาไป ทิตากับลูกน้องรีบแยกกระจายออกตามล่า
แพรพลอย อิศร์ มายาวี และอนุภัทรวิ่งหนีพวกทิตา ลัดเลาะมาตามป่า มายาวีเสื้อโดนหนามกิ่งไม้เกี่ยว ขาดติดต้นไม้ แขนมายาวีมีเลือดซิบ
“โอ๊ย”
“ไหวมั้ยคุณเมย์ อย่าเพิ่งเจ็บตอนนี้” ผู้กองรีบประคองพาไป
อิศร์กับแพรพลอยวิ่งนำหน้า หันมามองอนุภัทรกับมายาวีแล้วหยุดรอ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเปรี้ยงดังขึ้น กระสุนเจาะเข้าที่ลำต้นต้นไม้ ห่างหัวอิศร์แค่ไม่กี่นิ้ว อิศร์เหวอสุดขีด ผวากอดแพรพลอยแน่น
“คุณแพร”
แพรพลอยปลอบขวัญ “คุณอิศร์ ไม่ต้องกลัว ฉันจะดูแลคุณเอง”
“ผมไม่ได้กลัวตาย แต่ผมกลัวว่าผมจะไม่ได้อยู่ใกล้คุณอีก ผมสัญญา ผมจะรักษาชีวิตเพื่อคุณ”
อิศร์พูดคำหวานในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน และเป็นฝ่ายดึงแพรพลอยวิ่งหนีสุดชีวิต
ทิตายิงเปรี้ยงๆ โดนกิ่งไม้หัก โดนต้นไม้กระจุย ทิตาวิ่งตามมาเจอเศษเสื้อของมายวี ทิตารีบพุ่งตามไป
สี่คนวิ่งหนีมาถึงชายหาด
“โอ๊ย ยังไงต่อคะ”
“เรือ” แพรพลอยนึกออกหันไปมองเรือ “ไปที่เรือ”
แพรพลอยชี้ไปที่ทะเลเรือลอยลำทอดสมออยู่ห่างจากชายหาดไม่ไกล ทุกคนวิ่งลงสู่หาด
แต่เสียงดังเปรี้ยงๆๆ พร้อมกระสุนแหวกอากาศออกมาจากราวป่า โดนเข้ากับทราย
แพรพลอย อิศร์ อนุภัทร มายาวี วิ่งข้ามหาดทราย มีเศษทรายที่โดนกระสุนฟุ้งตลบ ทิตาและลูกน้องตามมาติดๆ
แพรพลอยขึ้นเรือได้ก่อน ดึงมายาวีขึ้นโดยมีอนุภัทรรุนหลัง อนุภัทรขึ้นตาม อิศร์รั้งท้าย
“คุณอิศร์ เร็วเข้า”
ทิตาและลูกน้องมาถึงหาด ตั้งป้อมกระหน่ำห่ากระสุนตรงมาที่เรือ
“คุณแพร หลบ ไม่ต้องห่วงผม”
อิศร์หลบข้างเรือ แพรพลอย กดหัวมายาวีในเรือให้หมอบลง อนุภัทรสตาร์ทเรือแล้ว เคลื่อนคันเร่ง
“เราต้องรีบไปแล้วเพื่อน”
อนุภัทรตะโกนบอกอิศร์ แล้วเคลื่อนคันเร่ง เรือพุ่งออกไปข้างหน้า
“เดี๋ยวค่ะ คุณอิศร์” แพรพลอยจะบอกว่าอิศร์ยังไม่ได้ขึ้นเรือ
ทิตากระหน่ำยิงมาไม่ขาดระยะ เห็นว่าในเรือ มีเพียง 3 คน คือ อนุภัทร แพรพลอยและมายาวี
“อิศร์ตกน้ำไปแล้ว” ทิตารำพึง
เรือแล่นมา แพรพลอยตกใจมาก เหลียวมองทางฝั่ง
“คุณอิศร์ คุณอิศร์อยู่ไหน”
“ผมอยู่นี่”
เสียงอิศร์ตะโกนมาจากข้างเรือ แพรพลอยรีบไปชะโงกหน้ามอง พบอิศร์เกาะห่วงยางข้างเรืออย่างเหนียวแน่น ลำตัวระน้ำกระหนาบมากับเรือตลอดเวลา
“คุณอิศร์”
แพรพลอยทึ่ง รีบยื่นมือดึงอิศร์ อิศร์ตะกายขึ้นมาได้ ตบไหล่อนุภัทร
“ขอบใจที่ยังจำได้”
“ลูกไม้เก่าของเราสมัยวัยรุ่น ขับเรือหนีผู้หญิง” อนุภัทรว่า
“โอย ใจหายใจคว่ำ...แล้วทีนี้จะหนีไปไหนคะ”
มายาวีมองหน้าทุกคน
เรืออีกลำมาจอดเทียบหน้าชายหาด ทิตาและลูกน้องกระโดดขึ้นเรือ
“ตามไป” ทิตาสั่งเสียงเหี้ยม
แพรพลอย อิศร์ มายาวี อนุภัทร อยู่ในเรือที่แล่นมา
“ผมว่าวกเข้าท่าเรือในเมืองน่าจะปลอดภัย ถึงฝั่งแล้วผมจะติดต่อคนของผม”
“ไม่ทันแล้วมั้ง” มายาวีเอ่ยขึ้น
อิศร์งง “ทำไม”
“พวกมันมาโน่นแล้ว ผู้กอง ฉันกลัว”
มายาวีชี้ไปกลางทะเล เห็นเรือเร็วอีกลำของทิตาพุ่งมาทางนี้
“ฉันขับเองค่ะ ลองดู เรือเร็วก็แว้นได้เหมือนกัน” แพรพลอยเร่งคันเร่ง
นับจากนั้น เรือสองลำ ไล่ล่ากัน ลำทิตาบี้ตามไม่ลดละ
โดยในเรือของทิตา มีทิตาอยู่หน้าเรือ ประทับปืน เล็ง ยิง เปรี้ยงๆๆๆ
“วิ่งตรงๆ แบบนี้เราอาจหลบกระสุนไม่พ้น ทุกคนเกาะแน่นๆ นะคะ”
แพรพลอยบอก ตามองไปข้างหน้า หล่อนหมุนพวงมาลัยเรือ เรือแล่นฉวัดเฉวียนหลบกระสุนที่พุ่งเป็นห่าฝนมาจากเรือทิตา
ทิตาหัวเราะเยาะ
“คิดว่าจะพ้นเหรอ” หล่อนพยักหน้าให้สัญญาณลูกน้อง
ลูกน้องจัดอาวุธหนัก เอ็ม 16 สาดกระสุนใส่เรือแพรพลอยไม่ยั้ง ชนิดจัดหนัก!!
เรือที่แพรพลอยขับ ถูกกระสุนเจาะข้างเรือ น้ำทะลักเข้ามา ขณะที่เรือของทิตาพุ่งเข้าใกล้มากขึ้น ทิตากับลูกยิงกระหน่ำมาอย่างต่อเนื้อง
“คุณเมย์ หลบ” อนุภัทรรีบเข้าประคอง
ทันใดนั้น เรือทิตาพุ่งชนท้ายเรือแพรพลอยอย่างจัง
มายาวีร้องวี๊ดดังลั่น
อนุภัทรกับมายาวีเสียการทรงตัว ตกโครมลงไปในน้ำ อิศร์กระเด็นไปทางหนึ่ง แพรพลอยกระเด็นไปทางหนึ่งเรือเสียหลักแฉลบออกไปไกลสองคน
“ไอ้ภัทร” อิศร์ตะโกน ขณะแพรพลอยร้องขึ้น “คุณเมย์”
อนุภัทรพุ่งตัวลงน้ำดึงแขนมายาวีที่ตกใจสุดขีด ตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ
อิศร์ตั้งสติได้ก่อน ไปกุมพวงมาลัยเรือ จะหักเลี้ยวมารับอนุภัทรกับมายาวี
“คุณอิศร์คะ สองคนนั้น”
“ผมจะกลับไปรับ” อิศร์บอกอย่างมาดมั่น
อิศร์หักพวงมาลัยเรือมา
“คุณอิศร์ระวังชนกองหินโสโครกตรงนั้น”
อิศร์หักเรือหลบกองหินโสโครกที่โผล่พ้นน้ำกลางทะเล เรืออิศร์หลบไปทางหนึ่ง เข้าทางเรือทิตาตีโค้งเข้ามาทันพอดี แล้วกระหน่ำกระสุนใส่
“คุณแพร หมอบลงกับเรือ”
“แล้วคุณล่ะคะ”
“ไม่ต้องห่วงผม”
ทิตาเล็งปืนไปที่ถังน้ำมันท้ายเรืออิศร์ แพรพลอยมองไปที่เรือทิตา เห็นทิตาเล็งปืนไปที่ถังน้ำมัน ก็ตกใจ
“คุณอิศร์ ระวัง”
แพรพลอยพุ่งตัวเข้าหาอิศร์ คว้าตัวล้มลงไปด้วยกัน
ไกลออกไป เห็นอนุภัทรและมายาวีโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ลอยคอกลางน้ำ ห่างเรือไปไกลมากแต่ใกล้กับเกาะร้างเกาะหนึ่ง
“คุณเมย์” อนุภัทรมองหา
“ฉันอยู่นี่ ผู้กอง ฉันอยู่นี่”
อนุภัทรรีบว่ายน้ำเข้ามาหา ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดตูมกลางทะเล ทั้งสองหันไปมอง
มายาวีตกใจแทบช็อก “อิศร์ คุณแพร”
เรือระเบิดเป็นจุล เศษเรือปลิวกระจัดกระจาย
“คุณเมย์หลบ”
อนุภัทรรีบดึงมายาวีให้ดำน้ำก้มหลบ เพราะเห็นเรือเร็วของทิตายังแล่นวนอยู่ไม่ไกลนัก
ส่วนที่เรือทิตาขับวนดูสภาพ ทิตามองหาร่างอิศร์และแพรพลอย
“หาให้เจอ”
“เรือระเบิดขนาดนี้ จมน้ำตายไปแล้วแหง” ลูกน้องคนหนึ่งบอก
“งั้นอีกสองคนที่เหลือ”
อนุภัทรและมายาวีโผล่หน้าขึ้นมา ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เรือดังใกล้เข้ามา
“มันต้องกลับมาตามหาเราแน่ๆ”
อนุภัทรเหลียวซ้ายขวา เจอเกาะร้างไม่ไกล
“อดทนอีกฮึดนึงนะคุณเมย์ ไปทางโน้น”
มายาวีจะร้องไห้ “แล้วสองคนนั้น”
“อย่าเพิ่งคิดอะไรทั้งนั้น ว่ายไปที่เกาะนั่น เร็ว”
อนุภัทรตัดใจ ว่ายประคองพามายาวีไป
ตรงเกาะแก่งหินโสโครก เศษซากเรือที่ระเบิดลอยอยู่เต็มพื้นที่ บ้างเกยอยู่บนหินโสโครก ทิตากวาดตามองตามแสงไฟฉายในมือ
“เชื่อผม ป่านนี้มันสองคนไม่เหลือซากแล้ว” ลูกน้องว่า
“ไม่ได้ ฉันต้องแน่ใจ”
ทิตาส่องไฟฉายมอง ลูกน้องมองไปที่กลางทะเล เห็นแสงไฟจากเรือประมง
“ลูกพี่ ไปก่อนเถอะ”
ทิตาข้องใจ เงยหน้ามอง เห็นเรือประมงแล่นตรงมา ก็รีบปิดไฟฉาย
“ไป ตามไปดูอีกสองคนนั่น”
เรือเร็วทิตาแล่นหนีออกไป เรือประมงชาวบ้านแล่นมาใกล้ คนบนเรือโผล่หน้าออกมามองซากเรือ
อนุภัทรดึงมายาวีขึ้นมาบนฝั่ง
“ไหวไหมคุณ ค่อยๆ ลุกนะ”
มายาวีหอบหายใจ “ผู้กอง...เราต้องไปช่วยสองคนนั้น เขาต้องบาดเจ็บแน่ๆ ไปเร็ว”
“ตอนนี้เราต้องหลบไปก่อน มันมานั่นแล้ว”
อนุภัทรมองไปที่หาด เห็นเรือของทิตาแล่นมา ไฟฉายสาดส่อง อนุภัทรรีบลากมายาวีออกวิ่งหาที่หลบ
เรือของทิตาแล่นมาจอดเทียบริมหาด ทุกคนกระโดดลงมา
“นี่เป็นเกาะที่ใกล้ที่สุดที่พวกมันตกลงมา ตามหาให้ทั่วว่ามันอยู่บนนี้หรือเป็นเหยื่อฉลามไปแล้ว”
ทิตากับลูกน้องกระจายกันออกตามหา โดยที่หลังหินก้อนใหญ่ อนุภัทรกอดมายาวีไว้แน่น มายาวีกลัวหายใจเสียงดัง
“ฉ...ฉันกลัว”
“ไม่ต้องกลัว ผมจะไม่ให้ใครทำอันตรายคุณได้”
อนุภัทรชะโงกหน้ามองความเคลื่อนไหว แล้วรีบดึงมายาวีวิ่งหลบต่อเข้าไปในป่า
หากันอยู่สักครู่ใหญ่ ลูกน้องทิตาเดินวนไปมาจนกลับมาเจอกัน
ลูกน้อง 1 บอก “ไม่มีร่องรอยอะไรเลย ผมว่ามันเป็นผีเฝ้าทะเลกันไปหมดทั้งสี่ตัวนั่นแหละ
ลูกน้อง 2 ว่า “ไปเถอะลูกพี่ เดี๋ยวไอ้พวกเรือประมงมันตามเรามาจะยุ่ง”
ทิตามองไปรอบๆ อย่างเสียดายที่ต้องรีบไป แล้วตัดสินใจโบกมือเรียกทุกคนให้ตามไป
มายาวีแอบมองพอเห็นทิตาไป ก็ดิ้นจะออกจากอกอนุภัทร
“จะไปไหน”
“ชาวบ้านไง ชาวบ้านมา ฉันจะเรียกเขามาช่วย”
“ออกไปตอนนี้พวกผู้ร้ายก็เห็นเรา เกิดมันย้อนมาเก็บเราล่ะ”
อนุภัทรดึงมายาวีได้สักครู่ใหญ่ เสียงเรือประมงแล่นเข้ามาใกล้
“เสียงเรือชาวบ้าน”
มายาวีและอนุภัทรรีบวิ่งออกมาที่หาด มายาวีตะโกนเรียกเรือ
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
ที่กลางทะเล เห็นเรือประมงแล่นห่างจากเกาะร้างไปเรื่อยๆ ท่ามกลางพายุเริ่มก่อตัว ลมแรง มีฟ้าแลบแปลบปลาบ
มายาวีและอนุภัทรกระโดดโบกมือ แต่ชาวบ้านไม่หันไป เพราะไม่ได้ยินเสียงเนื่องจากมีเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่ากลบ
“รีบกลับเกาะกันเถอะ ข้าว่าท่าทางจะหนัก”
ชาวบ้าน 2 มองฟ้า แล้วหันกลับมามองชาวบ้าน 1 ที่นั่งอยู่กลางลำเรือ
แพรพลอยและอิศร์ ถูกชาวบ้านสองคนช่วยเหลือขึ้นมา ทั้งคู่นอนอยู่กลางลำเรือที่แล่นห่างจากเกาะออกไปเรื่อยๆ
วันต่อมาแพรพลอยลืมตาตื่นขึ้นเพราะอาการระบมบาดแผลที่แก้ม พบว่าตัวเองนอนอยู่ในบ้านไม้หลังหนึ่ง เลยค่อยๆ ลุกขึ้นมองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ และเห็นอิศร์นอนสลบอยู่ เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดทั้งคู่
“คุณอิศร์” หล่อนขยับเข้าไปเรียก “คุณอิศร์...”
แพรพลอยเขย่าตัวอิศร์ ที่บาดเจ็บ มีผ้าพันแผลที่หน้าอกไว้ไม่หนามาก
“คุณแพร คุณเป็นยังไงมั่ง” อิศร์รีบร้อนลุก แล้วร้องลั่นเพราะเจ็บแผล “โอ๊ย”
แพรพลอยขยับเข้าไปประคองช่วยอิศร์
“นี่เราอยู่ที่ไหนกัน”
อิศร์มองสำรวจไปรอบๆ ส่ายหน้า “ผมก็ไม่รู้ ผมจำได้แต่ว่าเรือเราถูกยิง แล้วก็ระเบิดตูม” พอนึกได้ ก็ตกใจ “หรือว่าคนร้ายมันจะจับตัวเรามา รีบไปเถอะ โอ๊ย”
อิศร์ร้องลั่นขึ้นมาอีกเพราะผลุนผลันลุกขึ้นจนปวดแผล
“ค่อยๆ สิคุณ เดี๋ยวแผลก็ฉีก” แพรพลอยลูบแผลอิศร์ สีหน้าครุ่นคิดตรึกตรอง “ฉันว่าไม่ใช่หรอก ถ้าเราโดนจับมา มันจะทำแผลให้คุณทำไม”
“มันอาจจะเรียกค่าไถ่พวกเรา”
ประตูหน้าห้องแง้มเปิดออกพอดี ลุงกับป้าโผล่หน้าเข้ามา อิศร์กระโดดเหยง รีบผลักแพรพลอยไปด้านหลัง
“เฮ้ย อย่าเข้ามานะ ฉันสู้ตายนะโว้ย โอ๊ย” อิศร์เจ็บแผลขึ้นมาอีก
“อะไรกันพ่อหนุ่ม หายดีแล้วเหรอถึงลุกขึ้นมาเต้นแร้งเต้นกาน่ะ”
อิศร์ชะงักงง สังเกตแล้วว่าลุงกับป้าท่าทางใจดี
“โล่งอกที่หนูสองคนฟื้นกันแล้วทั้งคู่ ลุงกับป้าว่าจะไปตามหมอที่อนามัยพอดี”
แพรพลอยมองอย่างประเมิน “คุณลุงกับคุณป้าเป็นใครคะ”
“เออ คงยังงงๆ อยู่สินะ เมื่อคืนพวกหาปลาเขาไปเจอคุณสองคนลอยคออยู่ เห็นว่าเรือแตก จำได้ไหม” ลุงว่า
อิศร์กับแพรพลอยมองหน้ากันแล้วพยักหน้างงๆ ป้าตัดบท
“ลงไปคุยกันที่วงข้าวเถอะพ่อ คงจะหิวกันแล้ว ไปๆ”
อิศร์กินข้าวอย่างหิวโหย โดยมีแพรพลอยคอยสะกิดเตือนไม่ให้มูมมามน่าเกลียด แต่ลุงกับป้ามองอย่างเอ็นดู
“กินให้อิ่มนะจ๊ะ ไม่ต้องเกรงใจ” ป้าบอก
“แหะๆ งั้นผมขอต่ออีกจานนะครับ”
อิศร์ยื่นจานให้ป้าเติมข้าว แพรพลอยยิ้มแหย อายแทนอิศร์
“แถวนี้มีไม่กี่เกาะที่มีคนอยู่ คุณสองคนโชคดีมากที่มีคนไปเจอเข้า”
แพรพลอยอดนึกถึงอีกสองคนไม่ได้ “แล้วคนที่ไปพบ เจอแค่พวกเราสองคนเหรอคะ”
ลุงฉงน “ทำไมเหรอ ยังมีใครอีก”
“เพื่อนของผมครับ อีกสองคน ตกเรือหายไป” อิศร์บอก
“คุณพระช่วย” ป้าฟังแล้วตกใจ
“ไม่มีนะ ไอ้ดำกับไอ้แดงบอกว่าเจอคุณสองคนเกาะทุ่นเรือสลบอยู่ ไม่เห็นมีคนอื่น อ้อ มีเรือลำนึงมาวนอยู่ใกล้ๆ แล้วก็แล่นหายไป”
“ถ้าอย่างนั้นเราขอยืมโทรศัพท์ได้ไหมคะ หนูเป็นห่วงเพื่อน”
“เกาะนี้ไม่มีโทรศัพท์หรอกจ้ะ ต้องนั่งเรือไปอีกที่ แต่ตอนนี้ออกไปไม่ได้หรอกนะ พายุกำลังจะเข้า”
แพรพลอยอึ้ง สบตากับอิศร์อย่างกังวล
แพรพลอยเดินออกมาหน้าบ้าน ลมพัดกรูเกรียวฟ้ามืดครึ้ม
“เราจะทำยังไงกันดีคุณอิศร์ ฉันเป็นห่วงคุณเมย์กับผู้กองภัทร”
“ผมว่าเขาสองคนก็คงเป็นห่วงเราเหมือนกัน ถ้า...ถ้าเขายังไม่ตายนะ” อิศร์ยิ้มแห้งๆ
“พูดอะไรอย่างนั้น ปากเสีย”
อิศร์รีบตบปากตัวเอง แล้วเดินตามแพรพลอยไปที่ริมหาด แพรพลอยมองฟ้ามืดครึ้มอย่างไม่สบายใจ
“เราออกไปไม่ได้ แต่ถ้าติดต่อคนบนฝั่งได้ก็ยังพอจะช่วยตามหาพวกเขาได้บ้าง รอคอยอยู่แบบนี้ฉันใจไม่ดีเลย”
อนุภัทรกับมายาวีเดินเซซังไปตามชายหาดเกาะร้าง แดดเปรี้ยงผิดกับเกาะที่แพรพลอยและอิศร์ติดอยู่
“โอ๊ย ผู้กอง จะเดินไปไหนคะ ฉันเหนื่อยแล้วนะ”
“ก็เดินหาคนช่วยเราไง เผื่อจะมีคนอยู่ที่นี่” อนุภัทรตะโกน “มีใครอยู่ไหม ช่วยพวกเราด้วยครับ” ผู้กองหันไปบอกมายาวีเสียงขุ่น “คุณก็ตะโกนสิ”
“ฉันตะโกนมาตั้งแต่เช้าจนไม่มีเสียงแล้ว น้ำก็ยังไม่ได้กินซักหยด”
“งั้นก็อดทนอีกนิดนะ ถ้าเจอชาวบ้านผมจะขอน้ำให้” อนุภัทรตะโกนต่อ “มีใครอยู่บนเกาะนี้ไหม! ช่วยผมด้วยครับ”
อนุภัทรเดินป้องปากตะโกน มายาวีเดินตาม แต่เริ่มโงนเงนเพราะเหนื่อยอ่อน ซักพักก็ล้มฟุบไป
อนุภัทรหันมา “เฮ้ย คุณเมย์ คุณ”
อนุภัทรรีบวิ่งเข้ามาประคองมายาวี พยายามเขย่าตัว แต่มายาวีนอนนิ่งเป็นลมไปแล้ว
ส่วนที่บ้านเดชโชดม กรุงเทพฯ อริสราตามมาเซ้าซี้ป้าดวง
“อิศร์ยังไม่กลับมาอีกเหรอคะ”
“ยังเลยค่ะ ป้าเองก็ติดต่อไม่ได้”
“เขาไปเที่ยวที่ไหนกัน”
ป้าดวงมองหน้าอริสรา ลังเลว่าจะตอบดีไหม แต่ไอศูรย์ตามเข้ามาขัดเสียก่อน
“คุณจะตามไปหรือไง”
ป้าดวงเห็นท่าไม่ดี รีบหลบฉากไป อริสราชักสีหน้า
“ใช่ ฉันก็อยากจะไปพักผ่อนเหมือนกัน เบื่อบ้านนี้”
“แต่การที่อิศร์มันไม่บอกใคร ก็แปลว่ามันไม่อยากให้ใครบางคนตามไป”
“คนบางคนที่ว่าก็คือคนโมโหร้ายไร้เหตุผลอย่างคุณนั่นแหละ ที่ทำให้อิศร์ไม่อยากอยู่บ้านนี้”
“งั้นก็ดี ให้มันไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมาอีกเลย ผมจะมีความสุขมาก ฮะๆๆๆ”
ไอศูรย์หัวเราะเสียงต่ำกวนประสาท ลำพองใจว่ายังไงอิศร์ตายแน่ แล้วเดินออกไป
ทางด้านกรณ์อยู่ที่มูลนิธิยกลังหนังสือเก่าเข้ามาวางไว้หน้าบ้าน อัมพาเดินออกมาเห็น
“กรณ์ยกอะไรมาลูก กล่องเบ้อเร่อเชียว”
“หนังสือเก่าน่ะครับแม่ ร้านเช่าหนังสือในซอยเขาเลิกกิจการก็เลยบริจาคให้เราหมดเลย”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“เห็นว่าตึกหมดสัญญาเช่าน่ะครับ ยายคุณนายเนื้อเค็มคงจะขึ้นค่าเช่าอีกเป็นเท่าตัว ตอนนี้ร้านค้าในซอยเลยย้ายออกกันเป็นแถว”
“เฮ้อ น่าจะถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ถ้าคนพากันหนีหมดแล้วคุณนายจะเอารายได้มาจากไหน”
กรณ์พยักหน้าเห็นด้วย แล้วหันไปเห็นรถตู้หรูหราคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดในมูลนิธิ
ชายในชุดสูทเปิดประตูตอนหน้าลงมา แล้วเดินเข้ามาหาทั้งสอง
“ผมเป็นเลขาประจำตัวของมิสเตอร์โรเจอร์ ลี แห่งบริษัทลีเดเวลลอปเมนท์ มิสเตอร์ลีต้องการจะนำเงินมาบริจาคมูลนิธิของคุณ”
อัมพางงๆ “เอ่อ ค่ะๆ เชิญค่ะ”
เลขาพยักหน้า แล้วกลับไปที่รถ ซักพักก็เปิดประตูที่นั่งตอนหลัง
กลุ่มบอดี้การ์ดก้าวตามลงมาเป็นแผงใหญ่ โดยมีมิสเตอร์ลีลงมาปิดท้าย
กรณ์จำได้ กระซิบ “ผู้ชายคนนี้เป็นคู่แข่งบริษัทคุณอิศร์นี่ครับแม่”
มิสเตอร์ลีเดินสำรวจรอบๆ มูลนิธิ โดยมีบอดี้การ์ดตามประกบ อัมพากับกรณ์ยืนอยู่ห่างๆ
อัมพากระซิบ “ท่าทางเหมือนพวกเจ้าพ่อเลยเนอะ น่ากลั๊ว”
มิสเตอร์ลีเดินดูไปเรื่อยๆ แท้จริงคือต้องการมาสำรวจพื้นที่ เพราะกำลังจะกว้านซื้อที่แถบนี้ไว้
กรณ์เอาน้ำเย็นมาเสิร์ฟมิสเตอร์ลีที่คุยกับอัมพาอยู่
“พอดีผมแวะมาทำธุระแถวนี้ ได้ยินว่ามีมูลนิธิเด็กกำพร้าเลยอยากจะทำบุญ”
“ด้วยความยินดีค่ะ”
มิสเตอร์ลีมองไปรอบๆ เห็นรูปถ่ายติดผนัง เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ชวนคุย
“คุณเปิดมูลนิธินี้มากี่ปีแล้ว”
“เอ้อ ก็ ราวๆ ยี่สิบปีได้ค่ะ”
มิสเตอร์ลีพยักหน้ารับรู้ เดินดูรูปถ่ายที่ผนัง
"เด็กๆ พวกนี้เคยอยู่ที่นี่ทั้งหมดเหรอ"
อัมพาใช่ค่ะ
มิสเตอร์ลีไล่สายตาไปเรื่อยๆ จนไปหยุดที่รูปเดี่ยวของแพรพลอย จำได้เลยหยิบมา
“รวมถึงผู้หญิงคนนี้ด้วยเหรอ”
“ครับ แพรพลอยตอนนี้เป็นบอดี้การ์ดของคุณอิศร์ เดชโชดมไงครับ” อิศร์บอก
มิสเตอร์ลีพยักหน้า แล้วมองรูปแพรพลอยอย่างสนใจ
“ผมจำได้”
เวลาเดียวกัน แพรพลอยกับอิศร์ช่วยลุงกับป้าฉีกเปลือกมะพร้าวอยู่หน้าบ้าน ลุงกับป้าเดินออกมาดู
“เสร็จพอดีเลยครับ”
“ขอบใจมากนะ หนูสองคนไปพักผ่อนเถอะ ป้าไปปัดกวาดบ้านท้ายสวนไว้ให้แล้ว นอนกันที่นั่นแล้วกันนะ จะได้กว้างขวางหน่อย” ป้าว่า
“คุณป้าไม่น่าต้องลำบากเลยค่ะ พวกเรานอนที่นอกชานบ้านนี้ก็ได้”
“ไม่ได้ๆ ยุงจะหามเอา อีกอย่างผัวเมียจะได้มีเวลาส่วนตัว ไม่ต้องเขินลุงกับป้า”
ป้ากับลุงหัวเราะร่วน แพรพลอยตาโต จะแย้ง
“เอ้อ คือเรา...”
อิศร์แทรกขัด “ขอบคุณมากครับ ถ้างั้นพวกผมไปนอนเลยนะครับ ไป”
อิศร์รีบดึงแพรพลอย ป้ากับลุงหัวเราะ รีบกวักมือ
“เดี๋ยวก่อนๆ ไม่มีเครื่องนอนจะนอนกันยังไง ตามป้าขึ้นมาเอาหมอนกับผ้าห่มก่อนมา แหม ใจร้อนจริง ฮ่ะๆๆ”
ป้าเดินนำขึ้นบ้าน อิศร์ตามไปกระหยิ่มยิ้มย่องสุดขีด
แพรพลอยเดินหน้าหงิกช่วยหอบผ้าห่ม ขณะที่อิศร์หอบหมอนมา
“นี่คุณแพร ยิ้มหน่อยสิ อย่างน้อยคืนนี้เราก็มีที่นอน”
แพรพลอยบ่น “นอนกับผู้ชายตามลำพังในสวน ฉันควรจะยิ้มระรื่นงั้นสิ คุณก็ดันไปรับสมอ้างให้ลุงกับป้าเข้าใจผิดว่าเราเป็นอะไรกัน”
“อ้าว ไม่งั้นท่านก็คงให้เรานอนแยกกัน คุณก็ต้องไปนอนที่บ้านโน้น ลุงกับป้าแกก็ต้องลำบากดูแลอีก จะรบกวนท่านไปกันใหญ่นา”
“ทีอย่างนี้ล่ะก็มีเหตุมีผลขึ้นมาเชียวนะ ฮึ้ย”
แพรพลอยขัดใจ เดินกระฟัดกระเฟียดเข้ากระท่อมไป อิศร์อมยิ้ม เดินตาม
ต่อมาไม่นานแพรพลอยปูที่นอนลงบนพื้น เห็นที่นอนอิศร์อยู่ข้างๆ เริ่มระแวงขึ้นมา เลยหันมองรอบห้อง แล้วเดินไปหยิบท่อนไม้ที่พิงผนังกระท่อมมาวางระหว่างที่นอนของตัวเองกับอิศร์
แพรพลอยพูดบ่นกับที่นอน “ถ้าข้ามเขตมาล่ะน่าดู”
เสียงอิศร์ดังเข้ามา “คุณแพร! คุณแพรช่วยผมด้วย! โอ๊ย!”
แพรพลอยตกใจ รีบวิ่งออกไป
แพรพลอยคว้าไม้วิ่งมาที่ลานอาบน้ำหลังกระท่อม ตกใจไปด้วย
“อะไรคุณอิศร์ เกิดอะไรขึ้น”
อิศร์นุ่งผ้าขาวม้าอาบน้ำเต้นเร่าๆ ฟองยาสระผมเต็มหัว
“ผมทำขันตก แสบตาไปหมดแล้ว คุณช่วยผมที”
แพรพลอยเซ็ง “โธ่เอ๊ย ตาบ้า ร้องซะตกอกตกใจหมด”
“เร็วๆ สิ โอ๊ย” อิศร์เอามือขยี้ตาตัวเอง
แพรพลอยส่ายหน้าเอือมมองไปเห็นขันตกอยู่มุมหนึ่ง เลยเดินไปหยิบ แล้วค่อยๆ ยื่นให้แบบแหยงๆ นิดหนึ่ง ยังเขินอยู่
“อ้ะ”
“ไหนๆ”
อิศร์เอื้อมมือรับแล้วจ้วงขันลงไปในตุ่มน้ำตักราดหัวตัวเองทันที ไม่ได้มองว่าตักอะไรขึ้นมา
“โอ๊ย ค่อยยังชั่ว”
อิศร์ลูบหน้าตัวเองแล้วไปมองแพรพลอย ที่ทำตาค้าง
“จ้องทำไมผมทำไมล่ะคุณ” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ “อย่าบอกนะว่าเห็นซิกซ์แพ็คแล้วหวั่นไหว มาอาบด้วยกันไหมล่ะ มามะ”
อิศร์ขยับเข้าใส่ แพรพลอยถอยกรูด หน้าแหยๆ
“ย...อย่าเข้ามานะ” เห็นอิศร์ทำหน้างงๆ ก็ชี้ “บนหัวคุณน่ะ”
“หัวผมทำไม”
อิศร์กลอกตามองขึ้นไป เห็นเขียดตัวโตนั่งอยู่บนหัวอิศร์ ส่งเสียงร้อง
“ห๊ะ” อิศร์ค่อยๆ เอามือคลำจับเขียดลงมามอง ตกใจ “เฮ้ย”
อิศร์ดิ้นเร่าๆ กรี๊ดร้องเสียสติ ผ้าขาวม้าหลุดลงไปกองที่พื้นแบบไม่รู้ตัว แพรพลอยตกใจ
“ว้าย” รีบหันหน้าหนี
“อ้าว คุณแพร รอผมด้วย ผมกลัว”
อิศร์กระโจนตามแพรพลอย แล้วลื่นพรืดลงไปด้วยกัน อิศร์ล้มทับแพรพลอยทั้งตัว ปากชนกันอีกสองคนจ้องกันตาโตตะลึง
“ท...ทำไมมันเย็นๆ วะ” อิศร์ค่อยเอื้อมมือจับก้น แล้วก้มลงมองสภาพตัวเอง
“อ๊าย..... ออกไป๊ !
แพรพลอยกรี๊ดผลักอิศร์กระเด็น แล้วลุกขึ้นวิ่งออกไป อิศร์วิ่งเอามือปิดหน้าปิดหลังวิ่งตาม
“เดี๋ยวก่อนคุณแพร... ผมขอโท้ด...”
ขณะเดียวกันอนุภัทรประคองมายาวีที่เป็นลมขึ้นมา ป้อนน้ำจากมะพร้าวสดบนเกาะให้กิน จนมายาวีค่อยๆ รู้สึกตัว
อนุภัทรดีใจ “คุณเมย์ เป็นไงบ้างครับ ดีขึ้นไหม”
มายาวีกะพริบตางงๆ “ผู้กอง เอาอะไรให้ฉันกิน”
“น้ำมะพร้าวครับ กินอีกนิดนะ”
อนุภัทรจะป้อนอีก แต่มายาวีเบือนหน้าหนี ทำท่าตื่นเต้น
“ฮะ ! เจอร้านขายน้ำเหรอ มีน้ำสะอาดแช่เย็นไหม ไหนๆ อยู่ไหน”
มายาวีรีบลุกขึ้นมองหา อนุภัทรตามประคอง กลัวเป็นลมอีก
“คุณเมย์ ไม่มีหรอกครับ มะพร้าวเนี่ยผมเก็บจากที่มันหล่นจากต้น บนเกาะนี้ไม่มีใครเลย”
“คุณรู้ได้ยังไง ออกไปตามหากันสิ รีบไปเร็ว”
มายาวีดึงมืออนุภัทรเดินต่อ อนุภัทรขืนตัวไว้
“ไม่มีจริงๆ ตอนที่คุณสลบอยู่ผมวิ่งจนทั่วเกาะแล้ว ไม่เจอสิ่งมีชีวิตเลย”
มายาวียิ่งหน้าเสีย “ไม่เจอสิ่งมีชีวิต...แปลว่าเราจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้งั้นเหรอ ไม่นะ ฉันไม่ยอม”
สาวไฮโววิ่งเตลิดออกไป อนุภัทรตกใจ รีบวิ่งตาม
มายาวีวิ่งเข้ามาในราวป่า โดยมีอนุภัทรวิ่งตามมาเรียกไว้
“คุณเมย์ จะไปไหน หยุดก่อน”
“ฉันก็จะตามหาคนบนเกาะนี้น่ะสิ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีใครเลย มันต้องมีหมู่บ้านบนเกาะนี้”
“ถ้ามีคนอยู่เขาก็ต้องได้ยินเสียงพวกเราแล้ว”
“เขาอาจจะไม่ได้ยิน”
มายาวีเถียงอย่างดื้อรั้นแล้วเดินลุยป่าเข้าไปลึกขึ้น ป้องปากตะโกน
“มีใครอยู่ไหมค้า ช่วยพวกเราด้วยค่ะ พวกเราหลงทาง”
“โธ่ ไม่มีหรอกคุณ”
“ฉันไม่เชื่อ จะเป็นไปได้ยังไง คนไทยตั้งเกือบเจ็ดสิบล้านคน จะไม่มีบนเกาะนี้ซักคน ยู้ฮู ได้ยินพวกเราไหมค้า”
อนุภัทรเดินตามมายาวีไป แล้วมองเห็นอะไรแว้บๆ รีบดึงไว้
“คุณเมย์ นั่น” อนุภัทรชี้ไป
มายาวีมองตาม เห็นร่างของชายคนหนึ่งใส่เสื้อแขนยาว สวมหมวกเก่าๆ ยืนหลังต้นไม้ มายาวีดีใจสุดขีด
“นั่นไงล่ะ คนจริงๆ ด้วย ฉันบอกแล้วว่าต้องมีคนอยู่ที่นี่”
มายาวีกับอนุภัทรรีบวิ่งตรงไปที่ต้นไม้อย่างดีใจ
“สวัสดีค่า คือพวกเราพลัดหลงกับเพื่อนน่ะค่ะ พี่พอจะพาเราออกไปจากเกาะนี้ได้ไหมคะ” ไม่มีการตอบรับใดๆ มายาวีชะงัก หันไปคุยกับอนุภัทร “ทำไมเขาไม่หันมาล่ะ”
อนุภัทรส่ายหน้าไม่รู้ แล้วลองเดินเข้าไปใกล้ ชายคนนั้นยังยืนหันหลังไม่ไหวติง
“สวัสดีครับ เอ้อ คือพวกเรา...”
“หูตึงหรือไงนะ นี่ ลุงขา”
มายาวีไม่ทันใจ เอื้อมมือจับไหล่ชายคนนั้นหมับ ทันใดนั้นร่างทั้งร่างก็โคลงเคลงแล้วหมุนกลับมา กลายเป็นว่าชายคนนั้นเหลือเพียงแค่โครงกระดูกในชุดเสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่า คอถูกผูกโตงเตงมาจากกิ่งไม้ใหญ่ด้านบน
มายาวีร้องกรี๊ดลั่น กระโดดเข้ากอดอนุภัทรที่กำลังตกใจเช่นกัน
“ศ...ศพ เขาตายแล้ว ผู้กอง เขาตายแล้ว” มายาวีผวาตัวกอดซุกหน้ากับอก อนุภัทรที่มองอึ้งๆ
“เขาอาจจะหาทางออกจากเกาะนี้ไม่ได้เหมือนเรา ก็เลยฆ่าตัวตาย”
“เราจะต้องลงเอยอย่างนี้เหรอผู้กอง ฮือๆ” มายาวีร้องไห้
“ไม่หรอก เราต้องหาทางออกให้ได้”
อนุภัทรมองไปที่กองย่ามที่พื้น แล้วตรงเข้าไปค้น
“คุณทำอะไร”
“ถ้าเราจะอยู่ให้รอดจนกว่าจะมีทางกลับบ้าน ก็ต้องหาทางช่วยเหลือตัวเองเอาไว้ คุณลองดูตามตัวศพซิว่ามีเครื่องมือเครื่องใช้อะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง”
“จะบ้าเหรอ ไม่เอา ฉันไม่กล้า”
“งั้นคุณถือย่ามนี้ไว้ ผมค้นเอง”
อนุภัทรมองศพอย่างเกร็งๆ แล้วเอามือปิดจมูกข้างหนึ่ง อีกข้างยื่นไปตบๆ ตามกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกงศพ ทันใดนั้นกิ่งไม้ที่ห้อยศพอยู่ก็หักโครมลงมา อนุภัทรกับมายาวีหวีดร้อง แล้วกระโดดหนีล้มไปด้วยกันเพราความตกใจ
อนุภัทรเงยหน้าขึ้นมาได้ยินเสียงหึ่งๆ ระงมรอบตัว พอมองไปก็เห็นรังต่อขนาดใหญ่ตกลงมาพร้อมกับศพด้วย
“คุณเมย์ วิ่ง”
มายาวีงง “ห๊ะ อะไร”
“วิ่ง เร็ว”
อนุภัทรตะกายลุกพรวดขึ้นแล้วกระชากแขนมายาวีออกไปโดยเร็ว ฝูงต่อกลุ่มใหญ่บินไล่ตามติดๆ
อนุภัทรจูงมายาวีวิ่งหนีฝูงต่ออย่างไม่คิดชีวิต เสียงหึ่งๆ ไล่ตามติด ผู้กองหันไปมองอย่างหวาดกลัว พอหันไปข้างหน้าก็เห็นบึงใหญ่พอดี
“คุณเมย์ ทิ้งย่ามแล้วโดดลงไปในน้ำ”
อนุภัทรวิ่งนำแล้วกระโจนตูมลงไป มายาวีวิ่งตามมา โยนย่ามทิ้งไว้แล้วกลั้นใจพุ่งตัวลงน้ำไป
สองคนอยู่ใต้น้ำอนุภัทรคว้าตัวมายาวีกอดไว้แน่นไม่ให้โผล่ขึ้นมา
เหนือแผ่นน้ำสายฝนเทกระหน่ำลงมาพอดี ไล่ฝูงต่อไปหมด ส่วนใต้น้ำอนุภัทรเห็นฝนตกลงมาก็รีบพามายาวีทะลึ่งพรวดขึ้นเหนือน้ำอีกครั้ง
“มันไปแล้วครับ ไปหมดแล้ว”
อนุภัทรกับมายาวีกอดกันโล่งอก ยิ้มร่ารับสายฝนที่เทลงมา
อิศร์โดนมัดรอบเอวอยู่กับเก้าอี้ แพรพลอยก้มๆ เงยๆ เอาเชือกมัดมือไพล่ไปด้านหลัง
“โธ่ คุณแพร ต้องทำขนาดนี้เชียวเหรอ”
“ใช่ เพราะฉันไม่ไว้ใจคุณ”
อิศร์ต่อรอง “คุณเอาผ้าผูกตาผมเฉยๆ ก็ได้ ไม่เห็นจะต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลย”
“ผูกตาไว้เฉยๆ คุณก็แกะออกจนได้ ฉันไม่อยากอาบน้ำไประแวงไป อยู่ตรงนี้แหละ แป๊บเดียวฉันก็มาแล้ว”
“ไม่ยุติธรรมเลย คุณเห็นผมโป๊ได้ แต่ผมเห็นคุณโป๊ไม่ได้”
แพรพลอยพูดมาก ฉันผูกปากคุณด้วยดีกว่า
“เฮ้ย อย่า โอ๊ย”
แพรพลอยเอาเศษผ้ามาคาดปากอิศร์ แล้วผูกเป็นปมข้างหลัง อิศร์ดิ้นขัดขืน ป้าเปิดประตูเข้ามาเห็น ตกใจ
“อุ๊ย ตายแล้ว เล่นอะไรกันจ๊ะ”
สองคนตกใจ “คุณป้า”
ป้าวางปิ่นโตลงตรงหน้าอิศร์กับแพรพลอย ซึ่งอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้ว ใส่ชุดชาวบ้านทั้งคู่
“ฝนกำลังจะตก ป้ากลัวจะเดินไปกินข้าวไม่ได้ เลยเอาปิ่นโตมาให้จ้ะ
“ขอบคุณค่ะ”
“ขอโทษทีนะจ๊ะที่มาขัดจังหวะกุ๊กกิ๊กของหนุ่มสาว”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ เมื่อกี้แพรจะไปอาบน้ำน่ะค่ะ แต่กลัวเขาจะตามไปดูก็เลยต้อง...มัดไว้” แพรพลอยยิ้มแหยๆ
ป้าบอก “แหม เป็นผัวเมียกันจะอายอะไรกั๊น”
“นั่นสิครับ ผมก็ว่างั้น”
แพรพลอยหันไปตีอิศร์ดังเผียะ
“คือ...เราเป็นพวกข้าวใหม่ปลามันน่ะครับ แพรเขาก็เลยยังไม่ชิน ใช่ไหมจ๊ะ”
อิศร์ถือโอกาสโอบตัวโชว์หวาน แพรพลอยยิ้มกลบเกลื่อน สอดมือไปด้านหลังแล้วยิกก้นอีกแรงๆ
อิศร์สะดุ้ง “โอ๊ย”
“เป็นอะไรจ๊ะ”
แพรพลอยแสยะยิ้มถาม “โดนมดกัดเหรอคะ”
อิศร์ยิ้มเจื่อนๆ “ใช่จ้ะ” เขาเอามือลูบก้น “สงสัยจะเป็นมดนางพญา ดุ๊ดุ แหะๆๆ”
“เอาเถอะ ป้าไม่กวนแล้ว ตามสบายนะจ๊ะ”
ป้าลุกขึ้น แพรพลอยกับอิศร์ลุกตามจะไปส่ง
“ป้าคะ แล้วมีใครข่าวเพื่อนสองคนของหนูบ้างหรือยังคะ”
“ยังเลยจ้ะ มันมีพายุกลางทะเล เลยไม่มีเรือออกไป แล้วป้าจะคอยถามให้นะ”
ป้าออกไป แพรพลอยถอนใจเศร้า เป็นห่วงอนุภัทรกับมายาวี
แพรพลอยเดินออกไปหน้าบ้าน เห็นฝนยังตกพรำๆ อยู่
“ฉันเป็นห่วงคุณเมย์กับผู้กองจังเลย”
“สองคนนั้นอาจจะโชคดีก็ได้นะครับ ไอ้ภัทรมันก็อึดอยู่ คงไม่ปล่อยให้ตัวเองกับคุณเมย์เป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก”
“เขาสองคนตกน้ำไปตอนที่พวกคนร้ายมันไล่ตามเรา ถ้าพวกมันจับตัวไว้ได้”
“อย่าเพิ่งคิดมากเลยคุณแพร ไม่แน่นะ ป่านนี้ไอ้ภัทรอาจจะพาคุณเมย์กลับเข้ากรุงเทพฯ แล้วพาคนกลับมาตามหาเราอยู่ก็ได้”
แพรพลอยถอนใจ ยังไม่อยากจะเชื่อทุกอย่างจะลงเอยด้วยดีแบบนั้น
“ไปกินข้าวก่อนดีกว่า จะได้มีแรงกลุ้มต่อ นะๆ”
อิศร์โอบแพรพลอยกลับเข้าบ้านเนียนๆ แพรพลอยตีแขน
“ถือโอกาสเชียวนะ เดี๋ยวกัดมือขาดเลย”
แพรพลอยรีบเดินหนีเข้าบ้าน อิศร์ปิดประตูกันฝนสาดเข้ามาแล้วรีบตามไป
วันต่อมาอำพลต้อนรับบรรเลง พามานั่งคุยที่โซฟารับแขก ท่าทางพินอบพิเทา
“ท่านอุตส่าห์มาพบผมด้วยตัวเอง มีอะไรให้เดชโชดมกรุ๊ปรับใช้หรือเปล่าครับ”
“ไม่ใช่เรื่องงานหรอกคุณอำพล เรื่องลูกสาวผมน่ะ ช่วงนี้คุณพอจะติดต่อกับอิศร์ได้บ้างไหม”
“ไม่ได้คุยกันเลยครับท่าน” อำพลนึกได้ “เอ อิศร์ไปพักผ่อนต่างจังหวัดกับหนูมายาวีไม่ใช่เหรอครับ
“ก็นั่นแหละ แต่ยังไงก็ไม่รู้ หายเงียบกันไปหมด ผมติดต่อใครไม่ได้เลย แม้แต่เจ้าคนเฝ้าบ้าน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ถ้าคุณอำพลได้คุยกับนายอิศร์ ก็ช่วยฝากบอกให้ยายเมย์ติดต่อผมหน่อยนะ”
“ได้ครับ”
อำพลยิ้มรับ แต่สีหน้าครุ่นคิด สงสัยอะไรบางอย่าง
ส่วนไอศูรย์คุยโทรศัพท์อยู่กับทิตา ท่าทีเคร่งเครียด
“หมายความว่ายังไงที่ว่าเธอหาหลักฐานว่ามันตายมาให้ฉันดูไม่ได้”
ทิตาคุยโทรศัพท์อยู่ในบ้านพักตากอากาศ หน้าเครียดพอกัน
“ก็เพราะฉันยังไม่เจอศพพวกมันซักคนน่ะสิ”
ไอศูรย์โวยวาย “ถ้าไม่มีศพ ฉันก็ถือว่าพวกมันยังไม่ตาย เธอยังทำงานไม่สำเร็จ”
ไอศูรย์โวยวายเสียงดัง โดยไม่เห็นว่าอำพลเปิดประตูเข้ามาฟังอยู่ ได้ยินเต็มหู
“รู้แล้วน่า ยังไงฉันก็ไม่ไปจากที่นี่แน่ จนกว่าจะได้ตัวนายอิศร์กับบอดี้การ์ดหญิงคนนั้น”
ที่ด้านหลังทิตา เห็นนายมั่นถูกมัดมือมัดปาก ลากเข้ามาเหวี่ยงในบ้าน
“ไม่ใช่แค่มันสองคน เธอต้องจัดการนังคุณหนูกับไอ้ตำรวจนั่นด้วย ฉันไม่อยากให้มีใครหลุดรอดมาแว้งกัดฉันทีหลัง”
ไอศูรย์วางสายหงุดหงิด อำพลเดินเข้ามา
“ฉันคิดไว้แล้วไม่มีผิด”
ไอศูรย์ตกใจ “คุณพ่อ”
“แกสั่งนังนักฆ่านั่นลงไปเก็บไอ้อิศร์ใช่ไหม” อำพลจ้องตาลูกชาย
“ก็ผมไม่เห็นพ่อสั่งให้มันทำอะไรซักที ก็เลยเพิ่มเงินให้มันอีกหน่อยเป็นค่าเร่งงาน”
“ฉันไม่ว่าแกหรอกที่ข้ามหน้าข้ามตาฉันไปสั่งงานมัน แต่เมื่อกี้ฉันได้ยินว่าแกสั่งจัดการหนูเมย์ด้วยงั้นเหรอ”
“ใช่สิครับ จะเอามันไว้ทำไมล่ะ”
อำพลย้อน “แกรู้ไหมว่าพ่อเขาเพิ่งมาถามหาลูกสาวกับฉัน”
ไอศูรย์อึ้งไป
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหนูเมย์จริงๆ มันเป็นเรื่องใหญ่นะโว้ย คนระดับรัฐมนตรีบรรเลง ไม่ปล่อยให้ลูกสาวตายฟรีแน่ๆ” อำพลชี้หน้าคาดโทษ “แกต้องรีบสั่งให้นังทิตาอยู่ห่างจากหนูเมย์ไว้ ถ้าไม่อยากเดือดร้อน”
ไอศูรย์กังวล “แต่ทิตาลงมือไปแล้วนี่พ่อ”
“ว่าไงนะ”
“ทิตาบอกกับผมว่า เมื่อคืนนี้ไอ้อิศร์กับพวกมันถูกยิงจนเรือระเบิด จมน้ำหายไปพร้อมกันหมด”
อำพลตะลึง เครียดขึ้นมาทันที
“แกทำอะไรลงไปเนี่ยไอ้ศูรย์”
“คิดในแง่ดีนะพ่อ ถ้ามันตกน้ำตายกันหมด ก็ไม่มีใครกลับมาเป็นพยานซัดทอดเราได้ ผมจะสั่งทิตาเก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย”
ไอศูรย์พยายามปลอบใจพ่อ ทั้งที่ตัวเองสีหน้าไม่ดีนัก หวั่นกลัวงานพลาดอยู่เหมือนกัน
ด้านมายาวีนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่ใต้ต้นไม้ ฝนหยุดแล้ว แต่รอบตัวเปียกชื้น อนุภัทรเดินตัวเปียกกลับเข้ามาพร้อมกับกล้วยเครือใหญ่
“มาแล้ว อาหารเย็นเรา ทนกินไปก่อนนะคุณ”
อนุภัทรนั่งลงข้างๆ ปลิดเครือกล้วยให้มายาวีกิน มายาวีมองกล้วยที่ยังออกเหลืองอมเขียวเพราะสุกไม่เต็มที่ แล้วเบ้ปาก
“มันยังไม่สุกเลยนี่”
“นี่แหละสุกที่สุดที่หาได้แล้ว ทนๆ เอาหน่อยน่า” อนุภัทรปอกกล้วยเข้าปาก
มายาวีรับมาปอกกิน แต่กินไปคำเดียวก็คายทิ้ง
“แหวะ ฝาด ฉันกินไม่ได้หรอก”
“แล้วจะกินอะไร มันไม่มีผลไม้อย่างอื่นหรอกนะ”
“จับกุ้งหอยปูปลากินไม่ดีเหรอ ฉันเจอแหกับไฟแช็คในย่าม” มายาวีล้วงย่ามให้ดู
อนุภัทรมองหน้ามายาวีเซ็งๆ “นี่ จับปลากินมันไม่ได้ง่ายเหมือนเข้าไปเก็บไข่ในเล้านะคุณ ต้องออกไปน้ำลึกๆ โน่น จะเอาเรือที่ไหนไป”
“ก็ร่างกายฉันต้องการโปรตีนนี่ เดี๋ยวไม่มีแรง”
“กล้วยเนี่ยแหละให้พลังงาน กินเข้าไปก่อน เอ้า ผมเลือกลูกสวยๆ ให้”
“ไม่เอา มันไม่อร่อย” มายาวีปัดทิ้ง
“เรื่องเยอะ อยากกินอะไรก็ไปหาเองแล้วกันเจ๊”
อนุภัทรกินกล้วยต่อไม่สนใจ มายาวีงอน คว้าย่ามลุกพรวดขึ้น
“ใช่ซี้ คุณน่ะขี้เกียจ ฉันเคยเห็นในรายการเซอร์ไวเวอร์ เขายังจับปลากันได้ตั้งเยอะ เดี๋ยวจะทำให้ดู อย่ามาขอกินแล้วกัน”
“งั้นก็ตามสบายเลยครับคุณผู้หญิง ระวังได้ปลาฉลามนะ”
มายาวีสะบัดหน้าพรืด เดินออกไป
มายาวีอยู่ในน้ำทะเลสูงประมาณเข่า เหวี่ยงแห เก้ๆ กังๆ
“โอ๊ย อะไรเล่า จะหนีไปไหน เดี๋ยวก่อน”
มายาวีมองเห็นปลาว่ายหนี รีบกระตุกแหขึ้น เหวี่ยงใหม่ แล้ววิ่งตามปลา ล้มตูมลงไปในน้ำ
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นด้านหลัง มายาวีหันไปมอง เห็นอนุภัทรยืนกินกล้วยอยู่บนโขดหิน หัวเราะเยาะ
“ไงครับ จับได้หรือยัง หรือได้แต่วิญญาณปลา”
มายาวีเม้งดึงแหขึ้นมา เห็นมีแต่เศษสาหร่าย เปลือกหอย ขยะ โยนทิ้งเซ็งๆ
“ผมบอกแล้ว จับปลาน้ำตื้นมีที่ไหน”
“ฉันไม่ยอมแพ้หรอก ฉันต้องเป็นเซอร์ไวเวอร์”
“อ๋อเหรอ” อนุภัทรยิ้มยั่ว “งั้นก็ลองจับกิ้งก่ากิ้งกือมาย่างกินสิ ผมเห็นพวกเซอร์ไวเวอร์ทำบ่อย เวลาไม่มีจะกิน”
“ยี้ ฉันยอมกินกล้วยดีกว่า” มายาวีแบมืออย่างเสียฟอร์ม “ขอลูกนึงสิคุณ”
“อ้าว ไหนว่าอยากกินโปรตีนไง”
“เอาไว้ก่อนแล้วกัน นะ ขอหน่อย”
มายาวียื่นมือ อนุภัทรหันกล้วยหนี
“อย่ากินเลย มันทั้งฝาดทั้งเฝื่อนคอ กินไปก็แทบอ้วก ไม่อร่อยหรอก” อนุภัทรพูดไปกินไป
“ผู้กอง หวงเหรอ”
“หวังดี”
มายาวีกระโดดเข้ากอดรัดอนุภัทรด้านหลัง จะแย่งกินให้ได้
“ไม่ให้ๆ” อนุภัทรรีบเอาใส่ปากจนหมด
“อ๊าย อีตาบ้า คนเห็นแก่ตัว”
มายาวีเดินงอนตุปัดตุป่องออกไป
มายาวีเดินเข้ามาในป่า พยายามหาผลไม้กิน อนุภัทรหยิบเครือกล้วยที่เหลือตามมา
“คุณเมย์ คุณจะไปไหนน่ะ”
“ไปหาอะไรกิน”
“ผมแค่ล้อเล่นน่า นี่ไง ผมเหลือกล้วยไว้ให้ตั้งหลายลูก”
“ฉันไม่อยากกินของคุณ คนใจดำ”
“แล้วคุณจะกินอะไร อย่าเข้าไปเลยน่ามันจะมืดแล้ว อันตราย”
“ถ้ากลัวก็ไม่ต้องตามมา ฉันดูแลตัวเองได้”
“คุณเมย์ ไม่เอาน่า”
มายาวีเดินแหวกพุ่มไม้มองหา จนไปเจอต้นกล้วย ออกเครือสวยงาม
“นั่นไง คอยดูนะ คราวนี้จะกินไม่แบ่งบ้าง”
มายาวีรีบเดินเข้าไปที่ต้นกล้วยอย่างดีใจ ไม่ทันมองว่าตัวเองเหยียบสัตว์มีพิษเข้าอย่างจัง
“อุ๊ย โอ๊ย” ร่างมายาวีทรุดฮวบลงไปกับพื้น
อนุภัทรได้ยินเสียงร้อง รีบวิ่งเข้ามา เห็นมายาวีล้มอยู่ที่พื้นเอามือจับเท้า สีหน้าเจ็บปวดมาก
“คุณเมย์ เป็นอะไร”
“ฉันโดนอะไรกัดไม่รู้ โอ๊ย”
อนุภัทรจับมายาวีขึ้นมาดู เห็นรอยแดง รีบก้มดูที่พื้น เห็นแมงป่องตัวใหญ่วิ่งหนีไป
“แมงป่อง !”
“หา แมลงป่อง”
มายาวีมองตามเห็นแมงป่องตัวใหญ่เบิ้มก็ร้องกรี๊ดๆๆแล้วเป็นลมไปในอ้อมแขนอนุภัทร
ต่อมาไม่นานอนุภัทรรีบอุ้มมายาวีมานอนพักตรงใต้ต้นไม้ที่วางข้าวของเครื่องใช้ที่เก็บจากศพได้
“คุณเมย์ ! คุณเมย์ ได้ยินผมไหม”
อนุภัทรตบแก้มมายาวีเบาๆ เรียกสติ แต่มายาวีเป็นลมไม่ฟื้น อนุภัทรมองไปที่เท้ามายาวีที่เริ่มบวมแดง รีบหันไปคุ้ยย่ามดูว่ามีอะไรจะช่วยปฐมพยาบาลบ้าง
“ทำใจดีๆ ไว้นะคุณเมย์”
ตกตอนกลางคืน แพรพลอยฝันร้ายอีก ผวาตัวตื่น กรีดร้องสุดเสียง
“พ่อ! แม่!”
อิศร์ลุกพรวดขึ้น คว้าตะเกียงเปิดไฟขึ้น
“คุณแพร มีอะไรครับ ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ”
แพรพลอยได้สติ กะพริบตามองไปรอบๆ อิศร์ขยับตัวมาจะจับ แต่แพรพลอยสะบัด
“อย่า”
“คุณแพร ผมเป็นห่วงคุณนะ
แพรพลอยมองหน้าอิศร์ อ่อนลง “ฉัน...ฉันฝันร้ายนิดหน่อย คุณนอนต่อเถอะ”
แพรพลอยลุกเดินออกไป อิศร์มองตามอย่างเป็นห่วง
ต่ อ จ า ก ต อ น ที่ แ ล้ ว
แพรพลอยออกไปยืนหน้ากระท่อม มองเหม่อครุ่นคิด ซักพักอิศร์ก็เดินตามออกมา
“คุณลุกออกมาทำไม”
“ผมจะนอนลงได้ยังไง ถ้าคุณเป็นอย่างนี้ เฮ้อ แถวนี้ก็ไม่มีอุคุเลเล่ซะด้วยสิ จะได้เล่นกล่อมให้ฝันดีเหมือนวันนั้น”
แพรพลอยตื้นตันที่อิศร์เป็นห่วง เผลอยิ้มออกมา
“คุณน่าจะลองคุยกับหมอดูนะ ถ้าคุณต้องฝันร้ายบ่อยๆ แบบนี้ไม่ดีแน่”
“จริงๆ ก็ไม่บ่อยหรอกค่ะ ก็แค่ช่วงนี้เท่านั้น”
“ทำไมเหรอครับ มีอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ๆ คุณฝันถึงคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมา”
แพรพลอยมองตาอิศร์ลังเลใจ ตั้งกำแพงขึ้นมากั้นตามสัญชาตญาณ อิศร์รีบออกตัว
“ผมไม่ได้มีเจตนาก้าวก่ายนะ แต่ผมเต็มใจที่จะรับฟังถ้าคุณอยากระบาย คุณช่วยแก้ปัญหาให้ผมมาเยอะแล้ว ผมก็อยากช่วยคุณบ้าง”
แพรพลอยมองอิศร์อย่างชั่งใจ เห็นน้ำใจเขาที่ห่วงใยจริง กอปรกับเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้นแล้ว
“ฉัน...ฉันเคยอยู่ที่นี่ค่ะ”
“ที่นี่”
“ฉันเกิดและโตที่กระบี่”
อิศร์อึ้งไป ไม่คาดคิดมาก่อน แพรพลอยหันมาสบตาจริงจัง พร้อมบอกความจริง
“คุณเคยสงสัยว่าทำไมฉันถึงดูแปลกไปตั้งแต่มาที่นี่ คุณเข้าใจถูกแล้วล่ะ ฉันไม่เคยอยากกลับมาที่นี่อีก เพราะฉันไม่อยากนึกถึงความทรงจำที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับฉัน”
อิศร์เริ่มเข้าใจรางๆ “มันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณต้องไปอยู่มูลนิธิ”
แพรพลอยพยักหน้า แล้วเมินหนี เพราะรู้สึกสะเทือนใจเมื่อนึกถึงความหลังจนน้ำตารื้นขึ้นมา
“พ่อกับแม่ฉัน...ถูกโจรสองคนฆ่าตายในบ้าน โดยที่ฉันอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย แต่ฉันช่วยท่านไม่ได้”
ภาพเหตุการณ์ตอนแพรพลอยเห็นพ่อกับแม่โดนทำร้าย ผุดขึ้นมา ขณะแพรพลอยบรรยาย
“ฉันทำได้แค่หนีเอาตัวรอดตามคำสั่งของพ่อกับแม่...ฉันวิ่งออกมาจากบ้านหลังนั้น” แพรพลอยน้ำตาไหลริน “วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ตั้งใจจะตามคนกลับไปช่วยพ่อกับแม่ แต่หันหลังกลับไปอีกที บ้านทั้งหลังก็ตกอยู่ในกองเพลิง”
เหตุการณ์ตอนที่เด็กหญิงแพรพลอยวิ่งหนีออกจากบ้าน แล้วหันไปเห็นบ้านถูกไฟไหม้ผุดขึ้นมาอีก
“ตำรวจจับคนร้ายได้ แต่ไม่มีใครพาพ่อกับแม่ฉันกลับมาได้ ตั้งแต่วันนั้นฉันเลยพยายามฝังความทรงจำนี้ไว้ให้ลึกที่สุด ไม่อยากขุดคุ้ยมันขึ้นมาให้เจ็บปวดอีก”
อิศร์อึ้งไปซักพัก “ผมเสียใจด้วยนะครับ นี่ถ้าผมรู้ก่อนหน้านี้ ผมจะไม่ชวนคุณมาที่นี่”
“ช่างเถอะค่ะ ยังไงฉันก็ละทิ้งหน้าที่ของตัวเองไม่ได้หรอก”
แพรพลอยจะเดินกลับเข้ากระท่อม อิศร์คว้าแขนแพรพลอยไว้
“อย่าคิดว่ามันเป็นหน้าที่สิคุณแพร อย่าคิดว่าที่เรามาเกี่ยวข้องกันเพราะการทำงาน ผมอาจจะเคยพูดเล่น แต่ผมไม่เคยจริงจังว่าคุณเป็นลูกจ้าง หรือเป็นแค่บอดี้การ์ด สำหรับผม คุณมีความสำคัญมากกว่านั้นเยอะ คุณเป็นทั้งเพื่อน เป็นที่ปรึกษา เป็น...” อิศร์พูดไปแล้วนึกเขิน “เป็นคนที่ผมรู้สึกว่าอยู่ใกล้แล้วมีความสุข”
อิศร์สีหน้าจริงจังขึ้น แววตาลึกซึ้งขณะจับมือแพรพลอยกุมแน่น
“เพราะฉะนั้นความไม่สบายใจของคุณก็คือความทุกข์ของผมเหมือนกัน”
แพรพลอยยิ้มเขิน ชักมือออก “คุณทำให้ฉันรู้สึกผิดนะเนี่ย”
อิศร์แกล้งทำเซ็ง “อะไร ไม่ซึ้งเหรอเนี่ย สงสัยจะด้นสดไม่เก่ง วันหลังผมคงต้องเตรียมสคริปท์ซึ้งๆ กว่านี้”
แพรพลอยยิ้มกว้าง รู้ว่าอิศร์พยายามบิวท์ให้หายเครียด อิศร์มีสีหน้าขรึมลงไปอีก
“ถ้าคุณรู้สึกผิด กลัวผมกลุ้มไปด้วย คุณก็ต้องเข้าไปนอน แล้วก็ยิ้มไปจนหลับ ห้ามหยุด”
“ฉันก็เป็นคนบ้าน่ะสิ”
“เดี๋ยวผมนอนยิ้มเป็นเพื่อน ค้างไว้อย่างนี้เลยนะ” เขาจับแก้มหล่อนฉีกยิ้ม “ยิ้มสิครับยิ้ม...”
“คุณอิศร์” แพรพลอยตีมืออิศร์
อิศร์ดึงดันพยายามจับแก้มแพรพลอยฉีกยิ้ม แต่แพรพลอยแกะมือออกเขินๆ
ตกกลางคืนแพรพลอยนั่งสวดมนต์ แล้วก้มจะกราบพระ แต่อิศร์มาดึงหมอนแพรพลอยไป
“จะเอาหมอนฉันไปไหน”
“หมอนนี่อาจจะทำให้คุณฝันร้าย ผมจะเอามานอนเอง คุณเอาของผมไป”
อิศร์เอาหมอนตัวเองวางไว้ให้แพรพลอย แล้วหยิบท่อนไม้ที่แพรพลอยวางไว้ระหว่างที่นอนทั้งสอง
“ส่วนไม้เนี่ย ทิ้งไปเถอะ เดี๋ยวคุณละเมอตื่นขึ้นมาคิดว่าผมเป็นโจร จะคว้ามาฟาดผมหัวแตกซะเปล่าๆ ลองนอนเปลือยๆ ดูบ้างสิครับคุณแพร”
“ว่าไงนะ” แพรพลอยรีบเอามือจับเสื้อตัวเองหมับ
“ผมหมายถึงเปลือยความรู้สึก ปลดเปลื้องความกังวลต่างๆ ไปให้หมด ทำใจให้ว่างๆ”
“อ๋อ...”
“แต่ถ้าคุณจะเปลือยอย่างอื่นด้วยผมก็ไม่ว่านะ” อิศร์อมยิ้ม
“มันน่านัก”
แพรพลอยหมั่นไส้ หันไปคว้าไม้ที่อิศร์โยนทิ้งจะฟาด อิศร์รีบหดหัวคลุมโปง แกล้งกรนดัง แพรพลอยอดขำไม่ได้ แล้วค่อยๆ ล้มตัวลงนอน ด้วยจิตใจที่ผ่อนคลายขึ้น
อิศร์ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม แอบมองแพรพลอยที่นอนยิ้มอย่างโล่งใจ
วันต่อมา ธำรงเดินออกมาจากในบ้าน เห็นอำนวยแต่งชุดอยู่บ้านสบายๆ เดินเล็มแต่งกิ่งไม้อยู่
ธำรงทักแปลกใจ “วันนี้พ่อไม่ไปทำงานเหรอครับ”
อำนวยหันหน้ามามองธำรง ส่ายหน้าเซ็งๆ
“ฉันลาออกแล้ว”
“อ้าว ทำไมล่ะพ่อ” ธำรงยิ่งงง
“จะให้ฉันทนทำงานอยู่ในยังไง ในเมื่อลูกชายตัวเองก่อความเสียหายไว้กับบริษัท ในฐานะที่ฉันเป็นพ่อ แกทำอะไรไว้ฉันก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย”
“พ่อก็โชว์สปิริตไม่เข้าเรื่อง” ธำรงยักไหล่ “แต่ก็ดีเหมือนกัน พ่อแก่แล้ว อยู่บ้านพักผ่อนไปดีกว่า เดี๋ยวผมจะเลี้ยงพ่อเอง”
อำนวยตกใจ “แกจะก่อเรื่องอะไรอีก ตอนนี้แกก็ถูกพักงานอยู่นะ อย่าลืม”
“ผมไม่ยุ่งกับบริษัทหรอกน่า อยู่อย่างนี้สบายจะตาย ไม่ต้องทำงานแต่ไอ้อิศร์ก็ให้เงินเดือนใช้ ผมก็แค่จะเอาเงินที่ได้ไปต่อยอดนิดหน่อย”
ธำรงยิ้มกริ่มเดินออกไป อำนวยมองตาม ไม่สบายใจว่าธำรงจะไปทำอะไรอีก
หากอำนวยรู้คงยิ่งปวดหัว เพราะที่แท้ธำรงเดินเข้ามาในบ่อนพนันของบรรดาไฮโซ เห็นคนพลุกพล่านเป็นกลุ่มๆ เสี่ยเจ้าของบ่อนออกมาเห็น รีบเข้ามาหา
“คุณธำรง วันนี้มาแต่เช้าเลยนะครับ เชิญๆ” เสี่ยหันไปพูดกับลูกน้อง “เฮ้ย ไปหาเบียร์เย็นๆ มาต้อนรับสมาชิกวีไอพีหน่อยโว้ย”
เสี่ยพาธำรงไปเข้าโต๊ะ ธำรงมองดูคนเล่นอย่างคันไม้คันมือ
ทางด้านแพรพลอยลืมตาตื่นขึ้นภายในกระท่อม แล้วมองเห็นที่นอนอิศร์ว่างเปล่า และเสียงพูดคุยหัวเราะดังแว่วๆ มาจากหน้าบ้าน เลยทำให้แพรพลอยหันไปมอง แล้วลุกเดินออกไปนอกกระท่อม
แพรพลอยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินเข้ามาในสวน เห็นลุงป้ากำลังคุมคนงานนับมะพร้าวอยู่
“หนูแพร ตื่นแล้วเหรอลูก หิวไหม” ป้าทัก
“ยังค่ะป้า นี่ทำอะไรกันคะ”
“ป้าจะทำขนมไปเลี้ยงเพลที่วัดจ้ะ รู้ไหมว่ามะพร้าวพวกนี้ฝีมือใครเก็บ”
แพรพลอยทำหน้างง จะถาม ทันใดก็มีมะพร้าวตกลงมาใกล้ตัว แพรพลอยตกใจกระโดดหนี
เสียงอิศร์หัวเราะดังขึ้น “ฮ่าๆๆ ไม่รับมะพร้าวน้ำหอมซักลูกเหรอคุณแพร”
แพรพลอยแหงนหน้ามอง เห็นอิศร์อยู่ปีนต้นมะพร้าวอยู่
“คุณอิศร์”
ลุงบอก “ใช่แล้ว ฝีมือพ่ออิศร์เขาล่ะ” ลุงตะโกนบอกอีก “อ้าว อย่าอยู่เฉยสิพ่อ เอาอีก แค่นี้ไม่พอหรอก”
“ครับๆ” อิศร์เหนี่ยวตัวหามะพร้าวลูกสวยๆ
จังหวะนี้คนงานอีกคนจูงลิงฝึกเข้ามาพอดี
“ป้า ลุงครับ ผมเอาไอ้จ๋อมาแล้ว”
“เอ้า งั้นก็เอาไปขึ้นต้นโน้นเลย จะได้ช่วยๆ กัน”
คนงานจูงลิงไปที่ต้นมะพร้าวใกล้ๆ กับอิศร์ ลุงหันไปตะโกนบอกอิศร์
“พ่ออิศร์ เร่งมือหน่อยนา ไม่งั้นแพ้ไอ้จ๋อมันไม่รู้ด้วย”
“ได้เลยครับลุง”
ลิงจ๋อปีนขึ้นมะพร้าวไปอย่างรวดเร็ว เด็ดลูกมะพร้าวโยนลงมาหลายลูก
อิศร์เห็นเข้าก็พยายามเด็ดมะพร้าวแข่งไม่ยอมแพ้ พวกคนงานเชียร์ลิงจ๋อ ลุงกับป้าหันมาเชียร์อิศร์ แพรพลอยเชียร์ตาม ที่สุดลิงจ๋อเด็ดมะพร้าวได้หมดต้นก่อน พวกคนงานส่งเสียงเฮลั่น อิศร์เซ็ง
“โธ่เอ๊ย อย่าให้เกิดเป็นลิงบ้างก็แล้วกัน แบร่”
อิศร์แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เจ้าจ๋อ มันหันมามอง แล้วเด็ดมะพร้าวลูกเล็กขว้างใส่ อิศร์ตกใจเอี้ยวตัวหลบ เสียหลักหงายหลัง
“เย้ย”
อิศร์หล่นโครมลงบนพื้น ก้นกระแทกจ้ำเบ้า ลุง ป้า แพรพลอยรีบวิ่งไปดู
“อูย ผมจะพิการไหมเนี่ย”
แพรพลอยเข้าไปประคองให้อิศร์ลุกขึ้น อิศร์จับก้นตัวเองร้องโอดโอย เดินกะเผลก
“หนูแพรพาพ่ออิศร์ไปพักก่อนเถอะ เดี๋ยวป้าทำขนมเสร็จแล้วจะไปเรียกนะจ๊ะ” ป้าบอก
ตอนสายๆ สามคนอยู่บนศาลาหลังเล็กๆ ของวัดเล็กๆ บนเกาะ แพรพลอยกับอิศร์ช่วยป้าประเคนขนมให้พระ แล้วมองดูชาวบ้านอื่นๆ ช่วยกันประเคนอาหาร
“หนูสองคนอยู่กรุงเทพฯ เคยไปงานบวชไหมจ๊ะ” ป้าถามขึ้น
“ผมไม่เคยเลยครับ
“พรุ่งนี้ที่วัดจะบวชนาค จะมาดูก็ได้นะ นั่นไงว่าที่พระใหม่”
ป้าพยักพเยิดไปทางชายชื่อ สิน ซึ่งอยู่ในชุดขาวที่เข้ามาช่วยรินน้ำประเคนให้พระในวงฉันเพล
สินก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่อย่างสำรวมเรียบร้อย แพรพลอยไม่ได้เอะใจ จนกระทั่งจังหวะที่สินหันมาให้เห็น เต็มๆ หน้า
แพรพลอยเห็นเข้าถึงกับผงะ จำได้แม่น แม้ตอนนี้สินจะดูสูงวัย ผมสีขาว ใบหน้ามีริ้วรอย เพราะสินเป็น 1 ในคนร้ายที่ฆ่าพ่อกับแม่แพรพลอย
อิศร์ยังไม่สังเกตเห็นอาการแพรพลอย “ลุงคนนั้นเหรอครับ แกแก่แล้วนี่นา”
“ใช่จ้ะ ลุงสิน” เสียงป้าเบาลง “แกเพิ่งออกจากคุก พอกลับตัวได้ก็เลยจะบวชตลอดชีวิต อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร”
แพรพลอยยังคงมองสินอย่างตกตะลึง โดยที่สินไม่ได้มองมา อิศร์หันไปมอง
“คุณแพรเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดจัง”
“แพรขอตัวไปห้องน้ำเดี๋ยวนะคะ”
แพรพลอยลุกขึ้นเดินตัวสั่นๆ ออกไป อิศร์มองตามด้วยความแปลกใจ
แพรพลอยเดินออกมาหยุดหน้าศาลา สีหน้ายังคงช็อก ตัวสั่นสะท้าน หล่อนมือกำแน่น หัวสมองตีกันวุ่นวายสับสน ทั้งตกใจ ตื่นเต้น แค้น ทุกอย่างประดังประเดกันเข้ามา
ทางด้านมายาวีสะลึมสะลือตื่น อนุภัทรเห็นเข้าดีใจ
“คุณเมย์ คุณฟื้นแล้ว”
มายาวีทำตาปริบๆ แล้วไอค่อกๆ ออกมา อนุภัทรรีบประคองแล้วแล้วหยิบกะลาใส่น้ำยื่นให้
“ดื่มน้ำหน่อยครับ ผมรองน้ำฝนไว้ให้”
มายาวีดื่มน้ำอย่างหิวโหย แล้วมองไปที่ขาของตัวเอง เห็นอนุภัทรเอาเศษผ้าแห้งมาพันปิดแผลไว้
“เป็นยังไงบ้าง คุณยังเจ็บแผลอยู่ไหม”
มายาวีแตะที่แผลเบาๆ “นิดหน่อยค่ะ”
“ไม่ต้องห่วงนะ ผมทำแผลให้คุณแล้ว เดี๋ยวมันจะดีขึ้น”
“ทำยังไง คุณรู้เหรอ”
“ผมก็เคยเรียนเรื่องสมุนไพรมาบ้างแหละน่า คุณลุกไหวไหม เดี๋ยวผมจะไปจับปลา ไม่อยากให้คุณอยู่ในนี้คนเดียว”
“ไหนคุณบอกว่าไม่มีปลาให้จับไง”
“แถวนี้ไม่มีหรอก แต่ผมเห็นหาดด้านหลังมันเป็นน้ำลึก ถ้าว่ายออกไปไกลหน่อยหาดหน่อยก็อาจจะเจอ ผมทำอุปกรณ์ไว้แล้ว”
อนุภัทรโชว์ให้ดูฉมวกง่ายๆ ที่ดัดแปลงจาก เศษไม้แหลมกับเชือกพันรอบท่อนไม้ยาว
“ลงทุนทำขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
“ก็คุณอยากกินไม่ใช่เหรอ เอาเถอะ ตอนนี้เป็นคุณเป็นคนป่วย ผมไม่อยากขัดใจ”
อนุภัทรประคองให้มายาวีลุกขึ้นนั่งเอน แต่มายาวีลุกขึ้นซักพักก็ทรุดลงอีก
“ไม่ไหว ฉันยังเจ็บแผลอยู่”
“งั้นเอางี้ คุณถือไว้นะ”
อนุภัทรรวบตัวมายาวีขึ้นอุ้มทั้งสองมือ แล้วพาเดินออกไปที่หาด
มายาวีกอดซบอนุภัทรแน่นกลัวตก แล้วแอบมองเขาอย่างประทับใจ
ต่อมามานานมายาวีนั่งอยู่ที่โขดหิน มองอนุภัทรที่ลุยน้ำลงไปเกือบถึงคอ ก้มดูปลา แล้วเอาฉมวกไล่ปัก แต่พอถอนขึ้นมากลายเป็นเศษขยะ
“ผู้กอง ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องหรอกค่ะ ขึ้นมาเถอะ ฉันกินผลไม้ได้”
“ปัญหาคือผลไม้ก็จะไม่มีให้กินแล้วน่ะสิคุณ อดทนอีกนิดนะ” อิศร์ก้มหน้าหาต่อ “เฮ้ย ผมเจอแล้ว ตัวใหญ่ด้วย”
อนุภัทรใช้ฉมวกไล่แทงปลา แต่พอถึงขึ้นมากลับไม่ได้อะไรเลย
“โธ่เอ๊ย”
“คุณออกไปลึกกว่าเดิมแล้วนะคะ ขึ้นมาเถอะ”
อนุภัทรไม่สน เดินลุยน้ำต่อไป แล้วลื่นพรืด หล่นน้ำตูมมิดหัว
“เฮ้ย”
“ผู้กอง”
มายาวีตกใจ รีบลุกขึ้น แล้วเจ็บจี๊ดที่ขาจนต้องนั่งลงเหมือนเดิม มองหาอนุภัทรอย่างเป็นห่วง
“ผู้กองอนุภัทร เกิดอะไรขึ้น”
มายาวีมองไปที่ทะเลเห็นน้ำกระเพื่อมตรงจุดที่อนุภัทรจมลงไป เหมือนกำลังดิ้นรนก็ยิ่งกังวล
“คุณอย่าเป็นอะไรนะ ฉันจะไปช่วยคุณ” สาวจอมจุ้นน้ำตารื้นด้วยความเป็นห่วง
ที่สุดมายาวีกัดฟันลุก แต่ต้องเอามือยันโขดหินเพราะลุกไม่ไหว
จู่ๆ อนุภัทรโผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำ ชูมือขึ้น ข้างหนึ่งถือฉมวก อีกข้างถือกุ้งตัวใหญ่ยักษ์
อนุภัทรหอบ “ผมไม่ได้ปลา กินกุ้งแทนแล้วกันนะคุณ”
มายาวีตะลึง แล้วถอนใจโล่งอก รีบปาดน้ำตา “ผู้กองอ่ะ ฉันตกใจหมด”
อนุภัทรรีบลุยน้ำกับเข้าฝั่งพร้อมกับมองกุ้งในมืออย่างภูมิใจ
ฟากอัมพาเดินเข้ามาที่มูลนิธิ เห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวดี กำลังยืนหันหลังเดินสำรวจรอบๆ มูลนิธิอยู่ ก็เข้าใจว่าเป็นแขก รีบเข้าไปต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ จะมาทำบุญกับมูลนิธิใช่ไหมคะ”
อริสราหันกลับมา มองอย่างไว้ตัว อัมพาเห็นท่าทางมึนตึงก็หน้าเจื่อนไป
อัมพาเอาน้ำมาเสิร์ฟให้อริสราที่นั่งเชิดอยู่ในห้องรับแขก แล้วนั่งลงคุยด้วย
“เงินจำนวนนี้ ฉันถือว่าช่วยทำบุญให้กับที่นี่ แต่ต้องแลกกับการที่คุณบอกฉันว่าแพรพลอยกับคุณอิศร์พากันไปไหน”
อัมพายิ้มเจื่อนๆ “ฉันไม่ทราบหรอกค่ะ ยายแพรไม่ได้บอกอะไรเลย”
อริสราเปิดกระเป๋า ส่งเงินให้อีกจำนวนหนึ่ง อัมพาเริ่มไม่พอใจ แต่รักษามารยาท
“ไม่ว่าคุณจะให้เพิ่มอีกเท่าไร ฉันก็ยังยืนยันว่าไม่ทราบค่ะ อีกอย่างมูลนิธิของเรารับเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ถ้าคุณจะมาบริจาคเพราะจุดประสงค์อื่น ฉันก็คงรับไว้ไม่ได้”
“เล่นตัวไม่รับ เพราะคิดว่าอีกหน่อยก็คงจะสบายกันทั่วหน้า ถ้าลูกสาวของคุณจับอิศร์ได้สินะ” อริสราแขวะ
อัมพาหน้าตึง ทนไม่ไหวอีกต่อไป ลุกขึ้นพูดเสียงเย็น
“ฉันคงต้องเชิญคุณกลับแล้วค่ะ”
“ทำไม ฉันพูดจี้ใจดำใช่ไหม พวกคุณลำบากกันมากนี่ ก็เลยหวังจะตกถังข้าวสาร ฉันก็พอเข้าใจนะ แต่ไปหาเอาข้างหน้าดีกว่า อย่ามายุ่งกับคนรักของฉัน”
เสียงกรณ์ดังเข้ามา “อดีต! คุณก็เป็นแค่อดีตของคุณอิศร์เท่านั้น”
กรณ์ผลุนผลันเข้ามา แล้วโอบอัมพาไว้ข้างหลังอย่างปกป้อง
“เพราะฉะนั้นต่อให้เราวางแผนจะตกถังข้าวสารของคุณอิศร์ คุณก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับพวกเรา ! กลับไปเถอะครับ แล้วผมจะถือว่าคุณไม่เคยมาที่นี่”
อริสราโกรธจัด คอแข็งขึ้นมาทันที “ฉันไปแน่ แต่ฝากบอกแพรพลอยด้วยก็แล้วกันว่าฉันจะขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้เขาเข้าใกล้อิศร์ เพราะเขาไม่เหมาะสมกับอิศร์”
“แล้วคุณเหมาะสมงั้นสิ” กรณ์เหยียดยิ้ม “ผู้หญิงที่มีสามีแล้วแต่ยังคิดว่าตัวเองเหมาะสมกับผู้ชายคนอื่น เขาเรียกว่าผู้หญิงสองใจ”
อริสราโกรธจนตัวสั่น “นาย นายดูถูกฉัน”
“ก็เพราะคุณทำตัวเองให้น่าดูถูก กลับไปซะ อย่าให้ผมต้องโทร.ไปเรียกสามีคุณมาที่นี่ เดี๋ยวจะจบไม่สวย”
อริสราจ้องกรณ์อย่างเจ็บใจ รีบคว้ากระเป๋าเดินพรวดพราดออกไป
ขณะที่สินก้มหน้าก้มตากวาดไม้ใบอยู่หลังวัด แล้วชะงักเมื่อเห็นเท้าใครบางคนก้าวเข้ามา พอเงยหน้าก็เห็นว่าเป็นแพรพลอยยืนจ้องอยู่
สินฝืนยิ้มงงๆ คิดว่ากวาดไปโดนแพรพลอย “ขอโทษครับคุณ”
สินฝืนยิ้มซื่อๆ แล้วเดินเลี่ยงกวาดดอกไม้ต่อ จำแพรพลอยไม่ได้
“จะไปไหนคะลุง”
สินหันมางงๆ “เอ้อ จะไปกวาดลานต่อครับ คุณ...มีอะไรหรือเปล่า ถ้าจะมาช่วย เดี๋ยวผมจะไปเอาไม้กวาดให้”
“ไม่ค่ะ วันนี้ฉันทำบุญมาพอแล้ว ลุงทำไปเถอะ” แพรพลอยเดินเข้าไปจ้องหน้าใกล้ๆ “แต่อย่าคิดนะว่าบุญกุศลที่ลุงเฝ้าทำอยู่ มันจะลบล้างความผิดของลุงได้”
สินหน้าเสีย ระแวงว่าแพรพลอยด่าเรื่องที่ตนเองขี้คุก รีบก้มหน้าหลบตา
“ผ...ผมรู้” สินจะไปแล้ว
แพรพลอยบอกอีก “ชีวิตคนสองคนที่เสียไป ต่อให้บวชจนตายก็คงทำให้ลุงสงบลงไม่ได้หรอก”
สินชะงัก เงยหน้ามองตะลึง “ค...คุณ...ทำไม”
แพรพลอยมองเขม็ง แสยะยิ้ม
“ทำไมฉันถึงรู้ใช่ไหม ลุงมองฉันให้ดีๆ สิ มองให้ลึกๆ ว่าฉันเป็นใคร”
ขณะเดียวกันนั้น อิศร์เดินหาแพรพลอยมาทางหลังวัด เจอชาวบ้านเลยเดินเข้าไปถาม ชาวบ้านชี้ไปทางลานหลังวัด อิศร์มองเห็นแพรพลอยยืนคุยกับสินอยู่
สินพยายามเพ่งมองแพรพลอย แม้ยังไม่แน่ใจว่าเป็นใคร แต่เริ่มถอยหลังอย่างหวาดกลัว
“ผม...ผมไม่รู้ ไม่รู้ว่าคุณเป็นใครจริงๆ” ยกมือไหว้สั่นๆ “ขอ...ขอร้องเถอะนะ อดีตของผมมันผ่านไปแล้ว ผมอยากลืม”
“อยากลืมงั้นเหรอ พูดง่ายนี่ สำหรับคนที่ไม่ต้องสูญเสีย ! ลุงจำฉันไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม ว่าฉันคือเด็กผู้หญิงในบ้านสวน ที่โจรขี้ยาสองคนมันบุกเข้ามาปล้นแล้วก็ฆ่าพ่อแม่ฉันตาย”
อิศร์เดินเข้ามาได้ยินพอดี ตกใจ แต่ไม่กล้าเข้ามาขัดจังหวะ สินยิ่งช็อค ขาอ่อน ทรุดลงกับพื้นทันที มองจ้องแพรพลอยอย่างตะลึงงัน
“คุณ...คุณเหรอ”
แพรพลอยพูดทั้งน้ำตา “ใช่! ลุงทำให้ฉันต้องเป็นกำพร้า ทำให้ฉันบ้านแตกสาแหรกขาด ลุงทำลายชีวิตฉันจนไม่มีชิ้นดี แล้ววันนี้ลุงได้ออกลอยนวลใช้ชีวิตเหมือนเดิม ทั้งที่พ่อแม่ฉันไม่มีโอกาสนั้น”
“แต่...แต่ผมชดใช้กรรมไปแล้ว ผมไม่มีอะไรจะชดใช้ให้อีกแล้ว ที่ผมจะบวชก็เพราะพ่อแม่ของคุณนั่นแหละ”
“มันไม่พอหรอก! มันไม่พอ”
“แล้วคุณต้องการอะไร”
“ชีวิตมันต้องชดใช้ด้วยชีวิต ลุงควรจะตายในคุก ตายตามพ่อฉันไป มันถึงจะสาสมกัน”
“คุณ...คุณ...”
สินตกใจหงายหลัง แพรพลอยก้มลงหยิบไม้กวาด เดินเข้าหา ท่าทางอำมหิต แค้นจนหน้ามืด
อิศร์ตัดสินใจวิ่งเข้าไปชาร์จ แล้วรั้งตัวแพรพลอยเอาไว้
“คุณแพร อย่านะ คุณต้องไม่ทำอย่างนั้น”
อิศร์พุ่งเข้ารัดตัวแพรพลอยไว้ แพรพลอยดิ้น สะบัด สินได้สติรีบลุกขึ้น
“ลุงหลบไปก่อน เชื่อผมนะ”
สินพยักหน้ากลัวๆ แล้วรีบวิ่งออกไป แพรพลอยดิ้น ตะโกนร้องให้อิศร์ปล่อย
อิศร์ลากแพรพลอยเข้ามาในกระท่อม จับให้นั่งสงบสติอารมณ์
“คุณแพร รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังจะทำอะไร”
“ในเมื่อกฎหมายไม่ให้ความยุติธรรมกับพ่อแม่ฉัน ฉันจะก็ทำให้พ่อแม่ฉันเอง”
“มีสติหน่อยสิคุณแพร คุณผ่านเรื่องทั้งหมดมาได้เพื่อที่จะมาทำลายชีวิตตัวเองด้วยการแก้แค้นงั้นเหรอ”
แพรพลอยสะอื้น แล้วร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้น และกดดัน
“แต่ฉันทนเห็นคนที่ฆ่าพ่อแม่ฉันมีความสุขไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม”
“แค่การที่เขายังมีลมหายใจ มันอาจจะไม่ได้แปลว่าเขามีความสุขก็ได้ เขาอาจจะยังติดคุกในใจอยู่ ถึงได้คิดจะบวชตลอดชีวิตให้พ่อแม่ของคุณ”
แพรพลอยน้ำตาไหลพราก ภายในใจยังต่อสู้กันหนัก สุดท้ายดื้อดึงว่าต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อพ่อแม่
“ใจเย็นๆ นะคุณแพร ใช้สติให้มากๆ คุณเคยเป็นคนมีเหตุผล ไม่วู่วาม อย่าให้คุณต้องสูญเสียมันไปเพราะเหตุการณ์นี้เลย ไม่งั้นคุณอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เหมือนลุงคนนั้น”
“มันอาจจะคุ้มค่าก็ได้” แพรพลอยเถียง
อิศร์เริ่มโมโห “คุ้มค่ายังไง? คุณจะได้อะไรนอกจากความสะใจที่ได้แก้แค้น พ่อแม่คุณจะกลับมาหรือเปล่า? แล้วแม่คุณกับน้องๆ ที่มูลนิธิล่ะ เขาจะยินดีกับการที่คุณต้องเข้าคุกเพราะอารมณ์แค้นชั่ววูบนี่ไหม”
แพรพลอยอึ้ง ฉุกคิดขึ้นมาแว้บหนึ่ง แต่ความดื้อรั้นปนความแค้นมีมากกว่า
“ไม่ต้องมาสอนฉัน”
แพรพลอยพูดอย่างดื้อดึงแล้วเดินหนีไป
“คุณแพร”
แพรพลอยเดินลิ่วๆ ออกไปจากกระท่อม อิศร์วิ่ง
“คุณแพร หยุดก่อน รอผมก่อน”
แพรพลอยหยุดเดิน หันมาจ้องอิศร์ตาแข็งกร้าว
“อย่าตามมานะ! ตอนนี้ฉันไม่พร้อมจะให้ใครมาขัดขวาง!”
แพรพลอยหันหลังกลับเดินลิ่วออกไป อิศร์วิ่งตามไปขวางไว้
“งั้นก็เอาสิ! ถ้าคุณจะไปก็ต้องฆ่าผมก่อน” อิศร์กางมือขวางไว้ “ตอนนี้คุณอยากฆ่าคนอยู่แล้วนี่ เอาเลย! เริ่มที่ผมเป็นศพแรก”
แพรพลอยมองอิศร์อย่างเดือดดาล อิศร์จ้องตอบ ไม่ยอมแพ้
แพรพลอยเดินกลับเข้ามา ท่าทางหงุดหงิดมาก
“คุณไม่เข้าใจฉันหรอก เพราะคุณไม่เคยต้องเป็นผู้ถูกกระทำ”
“ไม่เคยเหรอ? ผมถูกลูกพี่ลูกน้องตัวเองแย่งคนรักที่คบกันมาหลายปี ใช้อำนาจเงินบังคับพ่อแม่เขาให้ยกลูกสาวให้ ผมโดนญาติพี่น้องยักยอกเงินบริษัทเข้ากระเป๋าตัวเอง ทำลายชื่อเสียงบริษัทจนป่นปี้ จริงอยู่ สิ่งที่ผมเจอมันเทียบไม่ได้กับชีวิตของคุณ แต่ผมมีอารมณ์โกรธแค้น ไม่พอใจ อยากเอาคืนไม่ต่างจากคุณหรอก”
แพรพลอยเบือนหน้าหนี ไม่อยากฟัง อิศร์ตามไปดักหน้า
“แต่สุดท้ายผมเลือกปล่อยวาง เพราะผมไม่เชื่อในการแก้แค้น ผมไม่เคยเห็นความแค้นทำให้ใครมีความสุข คนที่ให้อภัยต่างหากที่ในที่สุดก็จะมีความสุข”
“แต่พ่อแม่ฉันทั้งคน...” แพรพลอยแย้ง
“ใช่ พ่อแม่คุณ ที่วันนี้อาจจะไม่ได้อยู่กับคุณ แต่กำลังมองคุณด้วยความภูมิใจอยู่ที่ไหนซักแห่ง คุณคิดว่าท่านจะไม่ยินดีเหรอ ที่เห็นลูกสาวคนเดียวผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้และมีชีวิตอย่างทุกวันนี้ คุณคิดว่าท่านอยากให้คุณทิ้งทุกอย่างเพื่อแลกกับสิ่งที่คุณเรียกว่าความยุติธรรมอย่างนั้นเหรอ”
แพรพลอยตอบไม่ถูก ได้แต่ทอดถอนใจ ความพลุ่งพล่านเริ่มอ่อนลงแล้ว
อิศร์เสียงอ่อนลง “ความยุติธรรมที่แท้จริงก็คือการที่เขาต้องทุกข์ทรมานกับบาปกรรมที่ก่อไปตลอดชีวิต แม้ว่ากฎหมายจะให้อิสรภาพกับเขาแล้วก็ตาม ส่วนคุณเองก็เลือกที่จะลืมอดีตแล้วก็ก้าวผ่านมานานแล้ว อย่าหันกลับไปมองมันให้เจ็บปวดอีกเลยคุณแพร”
“ฉันคงไม่คิดจะหวนกลับไปอีก ถ้าไม่ต้องเจอผู้ชายคนนั้นที่นี่”
“คิดซะว่าการที่คุณได้กลับมาพบเขา ก็เพื่อที่คุณจะให้อภัยเขา ไม่ต้องมีเวรกรรมต่อกันอีก แล้วคุณก็จะได้วางอดีตทั้งหมดลงอย่างสบายใจไงครับ”
แพรพลอยช้อนสายตาขึ้นมองอิศร์ช้าๆ อิศร์ยิ้มให้กำลังใจ
ภายในบ่อนเวลาเดียวกัน เจ้ามือกวาดชิปบนโต๊ะเข้าหาตัว หัวเราะร่า ธำรงทิ้งไพ่ในมืออาการเซ็งสุดขีด เสียหมดตูด
“อ้าว กลับแล้วเหรอคุณธำรง”
“เงินหมดแล้วจะอยู่ทำไมล่ะ”
ธำรงเซ็งมาก เดินหงุดหงิดออกไป พวกนักพนันเล่นกันต่อ ไม่สนใจ
ป้าดวงเก็บล้างครัวอยู่ โดยมีกรองทองคอยช่วย
“ป้า คุณอิศร์ยังไม่ติดต่อมาอีกเหรอจ๊ะ”
“ยังเลย เอ๊ แกนี่ถามทุกวัน มีอะไรนักหนาฮะกรอง”
“ก็กรองเป็นห่วงคุณอิศร์นี่”
“คุณอิศร์เธอไปเที่ยวพักผ่อน จะห่วงทำไม เดี๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะน่ะ”
“แต่เธอหายเงียบไปเลยนะป้า กรองกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวมันจะสายเกินไป”
ป้าดวงแปลกใจ “จะเกิดอะไร ไหนแกลองพูดมาซิ”
กรองทองนิ่ง นึกถึงคำขู่ของสุนทรขึ้นมา
“ถ้าแกไม่อยากให้พ่อเดือดร้อนไปด้วย แกก็ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพราะตอนนี้พ่อมาไกลเกินว่าจะถอยกลับแล้ว”
กรองทองเริ่มลังเล เห็นป้าดวงจ้องแบบรอคำตอบ
“เอ่อ กรองก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ”
ป้าดวงส่ายหน้าทำงานต่อ กรองทองเงียบไป แต่สีหน้าไม่ดี
ธำรงเดินเข้ามาในห้องโถง หันรีหันขวาง กวาดตามองดูข้าวของเครื่องใช้ในบ้านอิศร์ สายตาไปหยุดที่รูปสลักงาช้างราคาแพง ขนาดพอเหมาะมือบนตู้โชว์
ธำรงค่อยๆ เดินเข้าไป มองซ้ายมองขวา แล้วหยิบงาช้างขึ้นมา เตรียมจะเอาไป แต่ไอริณเข้ามาเห็น
“จะทำอะไรพี่ธำรง”
ธำรงสะดุ้งรีบซ่อนของไว้ ไอริณมองเห็นแล้วสงสัย เดินเข้ามาอะไร
“เอาอะไรไปน่ะ”
“อะไรของแก”
“พี่ธำรงซ่อนอะไรไว้ เอามาดูซิ”
ธำรงขึ้นเสียง “อย่ามายุ่งได้ไหม”
ไอริณไม่ฟัง ตรงเข้ายื้อแย่งธำรงจนกระชากมาได้
“ของเก่าของคุณปู่นี่ จะเอาไปไหน อย่าบอกนะว่าจะขโมย”
ธำรงจนมุม หลบตา ไอริณได้ทีซ้ำเติม
“โตจนป่านนี้แล้วยังไม่เลิกนิสัยโจรอีกเหรอ ทำไมคะ เงินเดือนที่ได้กินเปล่ามันไม่พอใช้หรือไง หรือว่าลักกินขโมยกินจนเป็นสันดานไปแล้ว”
ธำรงชักโกรธ “ไอริณ จะมากไปแล้วนะแก ฉันไม่ได้ขโมยเว้ย”
“หลักฐานคามือ บวกกับนิสัยเก่าๆ ของพี่ อมพระทั้งวัดมาพูดริณก็ไม่เชื่อ”
“นังนี่”
ธำรงเงื้อมือจะตบหน้าไอริณ ป้าดวงกับกรองทองวิ่งออกมา ป้าดวงร้องลั่น
“ว้าย มีอะไรกันคะ คุณธำรงจะทำอะไรคุณริณ”
ธำรงเห็นคนเยอะก็ลดมือลง ชี้หน้าไอริณฉุนๆ
“ฝากไว้ก่อนเถอะแก”
ธำรงผลุนผลันเดินออกไป ไอริณเบะปากไล่หลัง แล้วยัดงาช้างใส่มือป้าดวง
“อย่าให้พี่ธำรงเข้ามาในนี้อีกนะป้าดวง เดี๋ยวสมบัติก็เกลี้ยงบ้านหรอก”
อนุภัทรกับมายาวีนั่งกินกุ้งเผาอยู่หน้ากองไฟที่มอดแล้ว อนุภัทรหยิบก้ามกุ้งขนาดใหญ่ขึ้นมายื่นให้
“ในก้ามนี้พอจะมีเนื้ออยู่”
“คุณกินเถอะ อุตส่าห์จับได้”
“ไม่เอา คุณนั่นแหละกิน ร่างกายต้องการโปรตีนไปรักษาแผล”
“ฉันอิ่มแล้ว” แต่ท้องดันร้องแฉ
“นั่นไง ปากอิจฉาท้อง เอาไปเถอะน่า”
อนุภัทรเอาก้ามป้อนถึงปาก มายาวีรับมา
“งั้นก็แบ่งกันคนละครึ่ง” มายาวีหักครึ่งแล้วส่งคืน “เฮ้อ ไม่นึกเล้ยว่าชีวิตนี้จะมีวันที่ต้องแงะก้ามกุ้งกิน ฉันสาบานเลยนะว่ากลับไปคราวนี้ ฉันจะเลิกกินทิ้งกินขว้าง จะนึกถึงคนที่อดอยากให้มากๆ หมั่นทำบุญทำทาน เข็ดจริงๆ เลย”
“งั้นสิ่งแรกที่คุณต้องทำหลังจากกลับบ้าน คือไปเลี้ยงข้าวที่มูลนิธิคุณแพร”
“ฉันไปแน่ๆ” มายาวีนิ่งงันไป หน้าเศร้าลง “ว่าแต่เราจะได้กลับบ้านจริงๆ ใช่ไหมผู้กอง”
อนุภัทรชะงัก ในใจก็หมดหวังเหมือนกัน แต่เห็นหน้ามายาวีแล้วก็ฝืนยิ้มปลอบ
“ต้องได้กลับสิ มันต้องมีปาฏิหาริย์ เหมือนที่อยู่ๆ เจ้ากุ้งตัวเบ้อเร่อนี่มันว่ายน้ำมาเสิร์ฟเราไงล่ะ”
มายาวีค่อยยิ้มออก แล้วมองอนุภัทรกินกุ้งต่อ พร้อมอมยิ้ม
อนุภัทรเงยหน้ามอง “ยิ้มอะไร”
“แก้มคุณเปื้อนมันกุ้ง ฉันเช็ดให้”
มายาวียื่นมือเข้าไปเช็ดแก้มให้อนุภัทรเบาๆ ทั้งสองสบตากันเขินๆ แล้วรีบเมินหนี ไม่รู้ไม่ชี้กัน
ส่วนแพรพลอย และอิศร์นั่งพนมมือฟังพระสวดอยู่กับลุงป้า ภายในโบสถ์กำลังทำพิธีบวชพระให้สิน นอกจากกลุ่มของแพรพลอยก็มีชาวบ้านประปรายมาร่วมพิธีด้วย
สินก้มลงกราบพระ ท่องบทสวด เสียงสวดของพระกังวานก้องทั่วโบสถ์ ดูมีพลังเยือกเย็น
พิธีการบวชเสร็จสิ้นลง พระสินนุ่งห่มจีวรสีเหลืองอร่ามเดินออกมาจากโบสถ์ ญาติรอ เตรียมถวายปัจจัย ดอกไม้ธูปเทียน พระสินเดินรับบิณฑบาตญาติโยมมาตามทาง จนเห็นแพรพลอยกับอิศร์นั่งอยู่ปลายแถวก็หยุดชะงัก เหมือนตกใจนิดๆ ที่เห็น
ป้ากับลุงถวายของก้มลงกราบ พระสินเลยต้องเดินมาหยุดตรงหน้าแพรพลอย
แพรพลอยมองหน้าพระสินนิ่งอยู่อึดใจ แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นพนม พูดนิ่งๆ
“ดิฉันไม่มีอะไรจะถวายท่าน นอกจากคำว่า...ขออโหสิกรรมเจ้าค่ะ”
แพรพลอยก้มลงกราบที่เท้าของพระสิน พระสินตื้นตัน ปล่อยให้แพรพลอยกราบจนเสร็จแล้วเดินออกไป
แพรพลอยยังซบหน้าอยู่ที่พื้น โดยมีอิศร์ที่ก้มกราบอยู่ข้างๆ แอบมองอย่างพอใจ
แพรพลอยยืนเหม่ออยู่ริมทะเล แอบเศร้าๆ เล็กน้อยที่ตัดสินใจปล่อยให้สินได้ใช้ชีวิตต่อไป
“ผมภูมิใจในตัวคุณนะครับคุณแพร พ่อแม่คุณก็คงภูมิใจเช่นกัน”
อิศร์เดินเข้ามายืนข้างๆ
“คุณรู้ไหม พ่อกับแม่คือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ฉันเลือกที่จะเป็นบอดี้การ์ด เพราะฉันฝังใจตลอดมาว่า ความอ่อนแอของฉัน ทำให้ต้องสูญเสียท่านทั้งสองไป”
“คุณทำงานนี้เพื่อชดเชยความรู้สึกผิดของตัวเอง”
แพรพลอยพยักหน้า “ใช่ค่ะ ฉันเลือกคุ้มครองชีวิตคน เพราะไม่อยากให้ใครต้องเป็นผู้สูญเสียเหมือนฉัน คุณพูดถูก ฉันไม่ควรทำลายสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้เพราะความโกรธแค้นชั่ววูบ ฉันควรจะเป็นผู้คุ้มครอง ไม่ใช่ผู้ทำลาย”
“ผมรู้ว่าคำว่าให้อภัยมันพูดยากที่สุด แต่พอได้พูดออกไปแล้ว คุณมีความสุขขึ้นใช่ไหม”
แพรพลอยหันมามองอิศร์ ยิ้มและพยักหน้าให้ อิศร์ยิ้มสบายใจ
“ขอบคุณที่สอนฉันให้ฉันมีความสุขนะคะ”
แพรพลอยค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะมืออิศร์ท่าทีเขินๆ แล้วกอบกุมเอาไว้
อิศร์ก้มลงมองดูอย่างแปลกใจ แต่พอเห็นแพรพลอยเมินหน้าหนีไปอีกทาง พยายามกลั้นยิ้มเขินก็ดีใจ รู้วาแพรพลอยเริ่มเปิดใจรับตนเองมากขึ้นแล้ว
“พ่ออิศร์ หนูแพร” เสียงป้าดังเข้ามา
แพรพลอยกับอิศร์หันไป เห็นป้าวิ่งกระหืดกระหอบมา
“ข่าวดีจ้ะ เมื่อคืนพายุสลายตัวแล้ว มีคนจะเอาเรือเข้าฝั่ง หนูจะไปกับเขาหรือเปล่า”
แพรพลอยกับอิศร์ยิ้มดีใจ รีบตอบรับพร้อมกัน
ไม่นานต่อมา ท่ามกลางผืนทะเลสีสวยสดใส ท้องฟ้าสีครามสด แลเห็นเรือประมงลำหนึ่งแล่นออกจากเกาะ มุ่งหน้าสู่ท้องทะเลกว้าง แพรพลอยนั่งอยู่กับอิศร์ที่ดาดฟ้าเรือ มองตรงไปที่แผ่นดินใหญ่อย่างมีความหวัง
“คุณเมย์กับผู้กองจะอยู่ที่นั่นหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ถ้าไม่อยู่เราก็จะออกตามหา ผมไม่มีวันทิ้งสองคนนั่น”
ชาวประมงเดินมาจากเก๋งเรือ ส่งโทรศัพท์มือถือรุ่นโบราณให้
“อีกประมาณชั่วโมงจะถึงฝั่ง ตรงนี้พอจะมีสัญญาณโทรศัพท์แล้วล่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
แพรพลอยรับโทรศัพท์มากดหมายเลข
ท่านรมต.บรรเลงอยู่ที่บ้านในกรุงเทพฯ สีหน้าบรรเลงตกใจมากเมื่อรู้ว่าใครโทร.มาหา
“หนูแพร! ทำไมหายเงียบกันไปหมดเลย รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วง ขอฉันพูดสายกับยายเมย์หน่อยได้ไหม” ได้ฟังแพรพลอยบอก ก็ตกใจ “อะไรนะ! เกิดอะไรขึ้นกับยายเมย์”
บรรเลงหน้าซีด ทรุดลง หันไปเห็นเลขาส่วนตัวกับบอดี้การ์ดเข้ามาพอดี
“หาตั๋วไฟลท์ไปกระบี่ที่เร็วที่สุด ฉันจะไปตามลูกสาวฉัน”
แพรพลอยนั่งนิ่งอยู่ในเรือ ในใจเป็นห่วงมายาวีและอนุภัทรมาก
“ฉันไม่น่าเล่าให้ท่านฟังเลย ท่าทางท่านคงตกใจมาก”
“ถ้ายายเมย์ยังไม่ได้กลับไป ยังไงคุณลุงก็ต้องรู้ คุณไม่ต้องห่วงหรอก ท่านเข้มแข็งมากกว่าที่เราคิด คุณเตรียมตัวไว้เถอะ เดี๋ยวไปถึงแล้วจะมีอะไรให้เราต้องทำอีกเยอะ”
อิศร์ยิ้มมองหน้าแพรพลอย แต่แล้วเรือเจอคลื่นลูกใหญ่จนโคลง ร่างทั้งสองเซเข้าหากันหน้าแนบหน้าเกือบจูบกัน อิศร์กับแพรพลอยร้องออกมาพร้อมกัน คนขับเรือหันมาเห็นแล้วยิ้มแซว
“คลื่นมันแรง จับแน่นๆหน่อยแล้วกัน”
อิศร์ชอบใจ “จัดมาอีกเลยครับน้า”
“บ้า ฉันไม่อยากเมาเรือนะ”
“จะไปไหนเล่า เดี๋ยวก็ล้มอีก”
แพรพลอยจะเดินหนี แต่เรือดันโคลงอีก เลยกลิ้งเข้ามาในอ้อมแขนอิศร์อีกจนได้
“เห็นไหมๆ”
อิศร์ยิ้มร่าโอบแพรพลอยไว้แล้วยักคิ้วหลิ่วตากับคนขับเรือ แพรพลอยเขิน แต่ไม่กล้าผละจากอิศร์ เพราะกลัวจะล้มไปอีก
เรือประมงแล่นอยู่กลางทะเล โดยที่หัวเรืออิศร์และแพรพลอยยืนประคองเคียงคู่กัน
ฟากทิตายังรอพวกแพรพลอยอยู่ที่บ้าน ได้รับโทรศัพท์จากไอศูรย์ก็โมโห
“ว่าไงนะคุณไอศูรย์ พวกมันยังไม่ตายงั้นเหรอ” ทิตานิ่งฟัง ยิ้มเหี้ยม “ตกลง ! ฉันจะไปปิดบัญชีพวกมันเดี๋ยวนี้”
ด้านอนุภัทรหยิบกะลาใส่น้ำคว่ำลง แต่ไม่มีน้ำไหลลงมา
“ฝนไม่ตกเลย ไม่มีน้ำเหลือซักหยด”
“ทำไงดี มะพร้าวก็ไม่มีแล้ว ฉันคอแห้ง หิวด้วย” มายาวีบ่น
“เดี๋ยวผมจะเข้าไปตักน้ำในบึงกลางเกาะมาให้” ผู้กองลุกขึ้น
“ฉันไปด้วย อยู่แถวนี้ร้อน”
“เดี๋ยวก็เดินไปเหยียบตัวอะไรเข้าอีก แผลเพิ่งจะหาย”
“คุณก็อุ้มฉันไปสิ นะ...ให้ฉันไปด้วย ฉันไม่อยากอยู่แถวนี้คนเดียว เกิดมีเสือสิงห์กระทิงแรดบุกมา”
อนุภัทรส่ายหน้า “นี่มันบนเกาะไม่ใช่ป่าซาฟารี”
มายาวีไม่สน ชูมือขึ้นทำท่าเหมือนเด็กขอให้อุ้ม อนุภัทรถอนใจ แล้วเข้าประคองมายาวี อุ้มขึ้นมา
“อยู่เฉยๆ”
อนุภัทรช้อนอุ้มมายาวีเดินไป ไม่เห็นว่ามายาวีแอบมอบปลื้มๆ แล้วซบอกอนุภัทรนิ่งอย่างมีความสุข
เรือลำที่สองคนโดยสารมาเทียบท่าสะพานปลา อิศร์กระโดดขึ้นบนท่าก่อน ยื่นมือให้แพรพลอยขึ้นมา แล้วหันไปไหว้ทั้งสอง
“ขอบคุณพี่สองคนมากนะครับ”
ชาวประมง 2 คน โบกมือให้ ถอดเชือกออกจากหมุด เตรียมออกเรือกลับ แพรพลอยมองไปรอบๆ เห็นคนพลุกพล่าน
“ฉันบอกกับท่านบรรเลงว่า เราจะมาขึ้นฝั่งที่ท่านี้ เราคงหาจุดสังเกตรอท่าน”
อิศร์พยักหน้ารับ เดินตามแพรพลอยไป ผ่านกลุ่มชาวประมงที่ท่าเรือ
บรรยากาศที่สะพานปลาคึกคัก ชาวประมง คนงานท่าเรือขนปลาขึ้นจากเรือ บ้างขนส่งเข่งปลา ดูขวักไขว่ วุ่นวาย
แพรพลอยกับอิศร์เดินปะปนมากับพวกชาวบ้าน มองหาที่นัดพบกับบรรเลง
มีสายตาลึกลับคู่หนึ่งเพ่งมองจากระยะไกลด้วยกล้องในมือ เล็งมาที่แพรพลอยกับอิศร์ที่ยังเดินอยู่ คนที่ส่องกล้องคือทิตา
ทิตาส่งสัญญาณกับลูกน้องที่ปลอมตัวเป็นคนงาน นั่งๆ ยืนๆ อยู่ตามจุดต่างๆ บนสะพานปลา อยู่ที่รถส่งปลา บ้างทำเหมือนกำลังเตรียมเข่งลงปลา
แพรพลอยและอิศร์เดินผ่าน แพรพลอยมองคนงานท่าเรือ รู้สึกแปลกๆ
“คุณว่ามันแหม่งๆ มั้ย”
“กลิ่นน่ะเหรอ ก็กลิ่นปลาทะเล แหม่งมั้ย” อิศร์ทำจมูกฟุดฟิด
“ไม่ใช่อย่างนั้น” แพรพลอยกวาดตามองโดยสัญชาติญาณ “แปลกจัง”
“อะไรแปลก”
อิศร์เห็นแพรพลอยมองไปรอบๆ ก็เลยกวาดตามองตาม
จากมาร์กของเป้าปืน เห็นอิศร์อยู่ตรงกลางพอดีเป๊ะ แต่คนเดินผ่านไปมาบังเป็นระยะๆ ทิตาเล็งปืน แต่ยังหาจังหวะไม่ได้
“คนเยอะเกินไป จับตาดูมันไว้ก่อน”
ลูกน้องทิตาที่กระจายอยู่ พยักหน้ารับคำสั่งหงึกหงัก พลางหันไปส่งสัญญาณให้กัน แพรพลอยมองไปรอบๆ รู้สึกแปลกขึ้นทุกที เริ่มจับสังเกตการพยักหน้าส่งสัญญาณได้
แพรพลอยเห็นคนงานแบกเข่งปลาทูขนาดใหญ่ตรงมา ก็แกล้งเอนตัวทำทีเป็นกอดอิศร์แล้วกระซิบบอก
“เดินใกล้ๆ คนงานไว้คุณอิศร์”
อิศร์งง “หือ ทำไม”
“เอาเหอะน่า
แพรพลอยโอบอิศร์เดินเข้าไปหาคนแบกเข่งปลาทู ให้เป็นกำบังเป้าปืน ทิตามองจากกล้อง เห็นเป็นเข่งปลาทูบังทั้งสองคนก็หงุดหงิด ยกเลิกแผนสไนเปอร์ สั่งลูกน้อง
“จัดการ”
แพรพลอยกับอิศร์อยู่บนท่าเรือสะพานปลา แต่เดินห่างกลุ่มคนออกมา ลูกน้องทิตาปลอมตัวเป็นคนขนแบกเข่งเดินตรงมาหา
แพรพลอยเห็นด้วยสายตารู้ตัว “คุณอิศร์”
ทันใดนั้น ลูกน้อง 1 ควักปืนออกมาจากเข่งเล็งไปทางอิศร์ แพรพลอยวาดขาเตะโครม เข่งปลากระเด็นลูกน้องที่เหลือเข้ามาปิดล้อมอิศร์กับแพรพลอย ลูกน้องทิตาล้อมกรอบเข้ามาถึง 6 คน แพรพลอยและอิศร์หันหลังชนกันโดยอัตโนมัติ
“คราวนี้ผมขอโชว์ฝีมือบ้างเหอะ” อิศร์คึกมาก
“ระวังตัวนะคุณ”
“ไม่รอดก็ตาย” เขาบอก
ลูกน้อง 1 วาดขาเข้ามา อิศร์ยกศอกรับอย่างแมนโครต เสียงดังพลั่ก อิศร์หงายเงิบ
ร้องคราง “อ๋อย”
“คุณอิศร์”
แพรพลอยจะเข้าไปช่วยอิศร์ ลูกน้อง 2-3 พุ่งจับแพรพลอย
“คุณแพร”
อิศร์ฮึดลุกขึ้น ลูกน้อง 1 เตะกระหน่ำทันที อิศร์พยายามชกสวนแบบเก้ๆ กังๆ แต่ฟลุคชกลูกน้อง 1 หงายไป ลูกน้อง 4 และ 5 ดาหน้าเข้ามา
แพรพลอยโดน ลูกน้อง 2 และ 3 จับตัวได้ ลูกน้อง 6 เดินหน้าเข้ามา กำหมัดจะต่อยท้อง แพรพลอยโหนตัวโดยอาศัยลูกน้อง 2 ลูกน้อง 3 เป็นหลัก แล้วยันเข้าหน้าลูกน้อง 6 ที่เดินเข้ามาจนหงายไปอีก
แพรพลอยสะบัดลูกน้อง 2 และ 3 ออก ตุ๊ยท้อง แล้วศอกเข้าปลายคาง อีกคนเจอฮุกเข้ากลางเป้า
อิศร์และแพรพลอย ต่างหลุดจากลูกน้องทิตา วิ่งเข้าหากัน
“คุณแพร วิ่ง”
อิศร์จูงมือแพรพลอยวิ่ง ระหว่างทาง เขาเหวี่ยงเข่งปลาล้มปลากระจายเกลื่อน แพรแพลอยเหวี่ยงเข่งปลาหมึก เข่งน้ำแข็ง ที่ใกล้ตัวขวาง
ลูกน้องทั้ง 6 วิ่งตามมา เหยียบปลา เหนียบปลาหมึก น้ำแข็ง ลื่นล้มเป็นแถบๆ พอลุกได้ก็รีบวิ่งตาม
อีกมุมหนึ่งเป็นสะพานโล่งๆ อิศร์และแพรพลอยวิ่งมาตรงนี้ อิศร์จับคางที่โดนสอยจนกรามเลื่อน
“อูย”
“คุณอิศร์ ไหวไหมคะ”
“ไหว”
อิศร์และแพรพลอยจะวิ่งต่อ ลูกน้อง 6 คน ตามมาทัน ควักมีดยาว ฉมวกแทงปลา ตรงมาหา แพรพลอยเหลือบมองที่พื้น มีกองแห และเชือกผูกสมอเรือที่ติดอยู่กับโซ่ยาว
ลูกน้อง 1 เหวี่ยงตะขอเหล็กยาวปลายงุ้มคมเข้ามา ดังวืด
อิศร์และแพรพลอยต้องเบี่ยงห่างจากกันโดยอัตโนมัติ เพราะตะขอเหล็กเหวี่ยงเข้ามาตรงกลางพอดี ลูกน้องที่เหลือได้ที กลุ้มรุมด้วยอาวุธในมือ
อิศร์ต่อสู้กับลูกน้อง 1 และ 2 ฉวยแรงจากลูกน้อง 1 ซัดลูกน้อง 2 จนหงายหลังตกจากสะพานปลาลงทะเล
แพรพลอย เหวี่ยงแหใส่ลูกน้อง 3 คนที่เหลือ ติดไป 1 คน อีก 2 คน พุ่งเข้าชาร์จแพรพลอย แต่แพรพลอยหลบหลีกป้องกันตัวอย่างว่องไว
ฟากอิศร์โดนลูกน้องอีกคนเตะเข้าชายโครงที่ยังเจ็บอยู่ตั้งแต่เรือแตก ร้องลั่น ฟุบลงใส่กองเชือก
แพรพลอยชำเลืองเห็น “คุณอิศร์”
แพรพลอยจะเข้ามาช่วยอิศร์ เจอลูกน้อง 2 คนที่เหลือจัดการ ดึงแพรพลอยกลับ แพรพลอยบู๊ดุเดือดสู้อย่างมีชั้นเชิงมาดอย่างเท่
ลูกน้องที่รุมอิศร์พากันย่ามใจ เพราะเห็นอิศร์ล้มไปแล้ว
อิศร์ที่นอนฟุบอยู่ สายตาจ้องกองเชือก รอจังหวะนับว่าเมื่อไหร่ลูกน้องจะก้มลงมา ทันใดนั้น ลูกน้องก้มลงจะดึงอิศร์หงาย อิศร์เหวี่ยงเชือกรัดคอลูกน้อง 1
ลูกน้อง 3 จะเข้ามาซ้ำ อิศร์เบี่ยงตัว ทำให้ลูกน้อง 1 โดนลูกน้อง 3 ซ้ำ สลบแน่นิ่ง
อิศร์ลุกขึ้นได้ ต่อสู้ตัวต่อตัวกับลูกน้อง 3 จนเข้าถึงตัว แลกหมัด ลงไปกองกับพื้น ในที่สุดอิศร์คร่อมได้ ต่อยจนสลบ
ในที่สุดแพรพลอยได้จังหวะ ดึงโซ่ยาวเหวี่ยงล้อมใส่ลูกน้องคนหนึ่ง อีกคนเหวี่ยงสมอเรือใส่แพรพลอย แพรพลอยหลบทัน สมอเรือเหวี่ยงลงน้ำ ลูกน้องที่โดนโซ่ล่ามตกน้ำไปกับสมอเรือ
ลูกน้องที่เหลือ มีฉมวกแทงปลา เหนือกว่าแพรพลอย เพราะแพรพลอยถอยไปจนชิดขอบปูน จะหล่นลงน้ำอยู่รอมร่อ ลูกน้องจะพุ่งฉมวกแทงปลา เสียบแพรพลอย แต่อิศร์กระโจนเข้ามา คว่ำเข่งปลาใส่หัวลูกน้องคนสุดท้าย
แพรพลอยกระชากฉมวกแทงปลาออกจากมือลูกน้อง แล้วถีบลูกน้องตกน้ำ แพรพลอยและอิศร์รอดไปได้ สองคนเหนื่อยหอบ เป็นห่วงกันและกัน
สองคนถามขึ้นพร้อมๆ กัน “คุณโอเคนะ”
อิศร์จับหน้าแพรพลอยประคองทั้งสองมือ ยิ้มให้ ทันใดนั้นเสียงปืนดังเปรี้ยงขึ้น อิศร์ผวาตัวดึงแพรพลอยย่อตัวลง มองที่มา เห็นทิตาใส่หมวกไอ้โม่งพรางหน้ายืนตระหง่านเล็งปืนตรงมา
อิศร์รีบลากแพรพลอยก้มต่ำวิ่งๆ ไป ทิตาไล่ยิงตามเปรี้ยงๆๆๆ
จังหวะนี้อิศร์เห็นมอเตอร์ไซค์เก่าๆ จอดอยู่ มีกุญแจเสียบคา รีบกระชากแพรพลอยไป
แพรพลอยมองตามสายตาอิศร์ “อย่าบอกนะ”
“ไม่ได้ซิ่งนานแล้ว ผมชักคันมือ” อิศร์ยักคิ้ว
อิศร์กระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ แพรพลอยซ้อนท้าย อิศร์บิดเต็มที่ แพรพลอยยังมีฉมวกแทงปลาติดมือไปด้วย ทิตาเล็งปืน สาดกระสุนใส่ไม่ยั้ง
อิศร์ขี่มอเตอร์ไซค์มีแพรพลอยซ้อนท้าย หักซ้ายขวา ซิ่งมาบนสะพานปลา หลบกระสุนเฉี่ยว เปรี้ยงๆๆๆ อิศร์และแพรพลอยขี่มอเตอร์ไซค์มาใกล้ทิตา
แพรพลอยตะโกน “เราจะไปไหนกันคุณอิศร์ ฉันนัดกับท่านบรรเลงที่ท่าเรือนะ”
“มันไม่ปลอดภัย ผมว่าเราไปดักรอที่สนามบินดีกว่า ท่านคงยังมาไม่ถึงหรอก”
แพรพลอยหันไปเห็นว่าทิตาแอบอยู่มุมหนึ่ง ใกล้ท่าเรือ
“คุณอิศร์ ระวังซ้าย”
อิศร์กวาดตามอง เหลือบเห็นทางลาดสำหรับไถลเข่งปลาอยู่ไม่ไกล
“จับแน่นๆนะทูนหัว”
อิศร์บึ่งมอเตอร์ไซค์ขึ้นทางลาด พุ่งขึ้นจนเหาะลอยสูงเหนือหัวทิตา ทิตาจ้องแล้วหมุนปืนตาม หาจังหวะจะเล็ง ก่อนที่ทิตาจะยิง แพรพลอยพุ่งฉมวกใส่ ฉมวกเฉี่ยวแขนทิตา เลือดสาด
“โอ๊ย”
ทิตาเสียจังหวะเซไปด้านหลัง มอเตอร์ไซค์ของอิศร์กระแทกพื้น อิศร์รีบบึ่งออกไป ทิตาตั้งหลักได้ กุมแขนวิ่งตามออกไป ยิงไล่หลังเปรี้ยงๆ
เสียงไซเรนรถตำรวจดังขึ้น ทิตาหันขวับไปมองอย่างตกใจ แล้วรีบถอนตัวหนีเอาตัวรอดไปก่อน
อิศร์ขี่มอเตอร์ไซค์มีแพรพลอยซ้อนท้ายมาตามเส้นทางอันสวยงาม ผ่านสวนยางและสวนปาล์มน้ำมัน
แพรพลอยมองแผ่นหลังอิศร์ รู้สึกซาบซึ้งจับใจ รวมทั้งเห็นใจที่เขาถูกตามฆ่า แพรพลอยซบหน้าลงที่แผ่นหลัง ค่อยๆ เลื่อนมือมากอดเอวอิศร์แน่นขึ้น อิศร์ก้มมองอมยิ้ม มีความสุขมากที่แพรพลอยเริ่มให้ความใกล้ชิดขึ้นทุกที
ทั้งสองขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยกันท่ามกลางทิวทัศน์สองข้างทางอันสวยงาม
อ่านต่อตอนที่ 10