ลูกทาส ตอนที่ 13 (อวสาน)
เวลาเย็น ไชยากรเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วถอนใจหนักๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
นิ่มกำลังพับผ้าใส่ตู้อยู่ เหลือบเห็นท่าทางสามี ก็พอเดาได้ว่าคิดอะไร
“ท่านเจ้าคุณก็ได้เห็นนิสัยคุณมาโนชแล้ว ว่ายามที่เราตกต่ำลง ทำกับเราเช่นไร จะเสียดายไปทำไมล่ะคะ”
“แม่นิ่มรู้ได้อย่างไรว่าฉันเสียดาย”
นิ่มยิ้มบางๆ
“เราอยู่กินกันมากี่ปีแล้วล่ะคะ ทำไมฉันจะไม่รู้ใจท่านเจ้าคุณ”
ไชยากรถอนใจ
“พ่อมาโนชเลวร้ายก็จริง แต่ฉันก็หาใครคู่ควรกับลูกน้ำทิพย์เท่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”
“แต่ถึงได้แต่งงานกันไป ก็คงไม่แคล้วต้องเลิกรา เป็นหม้ายขันหมากเสียแต่ตอนนี้ ก็ดีกว่าเป็นหม้ายจริงนะคะ”
ไชยากรถอนใจ
“แม่นิ่มไม่เข้าใจดอก”
“ ที่ท่านเจ้าคุณเสียดายคุณมาโนช นอกจากเรื่องฐานะแลความคู่ควรแล้ว ยังต้องการใช้ป้องกันแก้วด้วย ใช่หรือไม่คะ”
ไชยากรชะงักกึก นิ่มพูดตรงใจดำ
นิ่มยิ้มแบบรู้ทัน
“เพราะตอนนี้แก้วกำลังรุ่งเรืองขึ้นมาก จนท่านเจ้าคุณชักเริ่มกลัว”
ไชยากรเถียงไม่ออก ใบหน้าบูดบึ้ง ฉายแววเกลียดชังแก้วอย่างเด่นชัด นิ่มรู้สึกไม่สบายใจ เห็นใจแก้วและน้ำทิพย์ขึ้นมาทันที
ตุ๊กตารีบเดินออกมาจากข้างในเรือนแพในตอนกลางคืน พร้อมกับห่มผ้าคลุมไหล่มาด้วย เธอเดินออกมาหาเจ้าคุณที่รออยู่
“ ท่านเจ้าคุณมีอะไรหรือคะ ถึงได้มามืดค่ำเช่นนี้”
“ ไม่มีดอก ฉันนอนไม่หลับ ก็เลยอยากมาหาตุ๊กตากับลูกเท่านั้นเอง ลูกล่ะ หลับหรือยัง”
“หลับแล้วค่ะ ท่านเจ้าคุณรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันต้มน้ำร้อนชงชาให้”
เจ้าคุณจับข้อมือตุ๊กตาไว้
“ไม่ต้อง ตุ๊กตาอยู่คุยกับฉันดีกว่า”
ตุ๊กตารู้สึกว่าสามีแปลกไปมากในคืนนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร
“ ฉันให้ตุ๊กตากับลูกแยกมาอยู่เช่นนี้ แลยังไปหมั้นหมายกับผู้หญิงอื่นอีก ตุ๊กตาเคยนึกโกรธเคืองฉันบ้างหรือไม่”
“ถ้าพูดถึงโกรธ ตุ๊กตาไม่เคยโกรธท่านเจ้าคุณดอกค่ะ ถ้าจะโกรธ ก็โกรธโชคชะตาตัวเอง ที่เกิดมาต้อยต่ำเกินไป แต่ถึงเวลานี้ตุ๊กตาทำใจได้แล้วค่ะ ถึงท่านเจ้าคุณแต่งงานกับคุณดารา วันนี้ ตุ๊กตาก็ไม่เสียใจหรือน้อยใจอีกแล้ว”
“แล้วอะไรทำให้ตุ๊กตาทำใจได้ เวลาที่ผ่านไปนานเข้าอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่ค่ะ ลูกต่างหากล่ะคะ ลูก ทำให้ตุ๊กตารู้ ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด ขอเพียงตุ๊กตามีโอกาสได้เลี้ยงดูลูก ให้เติบโตเป็นคนดีเหมือนพ่อของเค้า ความเสียใจหรือน้อยใจอย่างอื่น ก็ไม่มีความหมายแล้วล่ะค่ะ”
พระยานิติธรรมธาดาหน้าขรึมลง ฟังตุ๊กตาพูดแล้วก็สะทกสะท้อนใจ ถ้าเขาทิ้งตุ๊กตากับลูกไป ยังจะเป็นคนดีที่ตุ๊กตาอยากให้ลูกเป็นเหมือนอยู่รึเปล่า
บรรยากาศในกระทรวงยุติธรรมยามเช้า ข้าราชการมาทำงาน ทักทายกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส แก้วเดินคุยกับพระยานิติธรรมมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“กระผมเห็นใจท่านเจ้าคุณเหลือเกินขอรับ แค่ฟังท่านเจ้าคุณพูด กระผมก็สงสารตุ๊กตาจับใจ แต่หากไม่ทำตามที่คุณดาราต้องการ...” แก้วถอนใจ ไม่อยากพูดต่อ
เจ้าคุณพูดต่อให้
“ก็ต้องแตกหักกับท่านเจ้าพระยาใช่หรือไม่”
แก้วหน้าเครียด
“ขอรับ”
“ท่านเจ้าพระยารังสีฯมีอำนาจมากนัก ครั้งที่เกิดวิกฤติ ก็ถือว่าท่านเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญคนหนึ่งที่ประคับประคองบ้านเมืองจนรอดพ้นมาได้ หากฉันทำให้ท่านเสียหน้า หน้าที่ราชการของฉัน ก็คงต้องจบ
ลงแต่เพียงเท่านี้”
“แต่ถ้าหากท่านเจ้าคุณทำตามที่คุณดาราต้องการ ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม หรือแม้แต่บรรดาศักดิ์เจ้าพระยา ก็คงได้มาโดยไม่ต้องสงสัย เรื่องนี้หนักหนานัก สุดแล้วแต่ท่านเจ้าคุณเถอะขอรับ กระผมพร้อมจะทำตามที่ท่านเจ้าคุณสั่งทุกประการ”
พระยานิติธรรมธาดาสีหน้าเครียด ลังเลหนักว่าจะเอายังไงดี
เวลาเย็น ภายในห้องรับแขกของบ้านเจ้าพระยารังสี คุณดาราเดินออกมาจากข้างใน เข้ามาหาเจ้าคุณนิติธรรมที่รออยู่ เธอยิ้มแย้ม ก่อน นั่งลงคุยด้วย
“เพิ่งเลิกงาน ท่านเจ้าคุณก็มาหาฉันทันที คงมีธุระสำคัญจะมาบอกใช่หรือไม่คะ”
“เธอก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ จะถามฉันอีกทำไม”
“ ดีแล้วล่ะค่ะ ที่ท่านเจ้าคุณตัดสินใจแบบนี้ ภายหน้าจะได้ไม่มีปัญหาอีก เจ้าคุณพ่อของฉันท่านก็ไม่เห็นดีเห็นงามกับวิธีนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าท่านเจ้าคุณเต็มใจให้เงินทองแม่ตุ๊กตาเอง ท่านก็คงเบาใจ”
เจ้าคุณสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ฉันจะมาบอกเธอ ว่าฉันทำตามที่เธอต้องการไม่ได้”
คุณดาราหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“ทำไมคะ”
“ตุ๊กตาตัวคนเดียว มีญาติก็เหมือนไม่มี ถ้าฉันยังทอดทิ้งอีก ก็เท่ากับเสือกไสให้ตุ๊กตากับลูกไปตกระกำลำบาก อย่าให้ฉันต้องเป็นคนโหดร้ายเช่นนั้นเลย”
เธอลุกพรวดด้วยความไม่พอใจ
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ยกย่องใครให้เหนือกว่าเธอหรือลูกที่เกิดจากเธอเป็นอันขาด ด้านทรัพย์สมบัติ ฉันก็จะทำหนังสือแจกแจงให้ชัดเจน ไม่ให้เธอต้องเดือดร้อนดอก”
คุณดาราสีหน้านิ่งขรึม ดูไม่ออกว่าโกรธ หรือว่ายอมรับในสิ่งที่พระยานิติธรรมพูดกันแน่
ผ่านเวลาซักครู่ คุณดาราให้พวกทาส เทของหมั้นลงต่อหน้าพระยานิติธรรม จนแก้วแหวนเงินทองกองเกลื่อนอยู่หน้าประตูเข้าโถงบ้าน เจ้าคุณโมโหมาก
“เธอทำอะไรของเธอดารา ของพวกนี้เป็นของหมั้นที่ฉันให้เธอ ในเมื่อฉันทำตามที่เธอต้องการไม่ได้ เธอจะถอนหมั้นฉันก็ไม่ว่า แต่ทำไมต้องเอาของหมั้นมาเทลงพื้นอย่างนี้ด้วย”
“ เพราะฉันไม่อยากเก็บของพวกนี้ไว้เป็นราคีแก่เรือนฉันน่ะสิคะ เมื่อท่านเจ้าคุณเห็นนังไพร่นั่นดีกว่าฉัน ก็เชิญท่านเจ้าคุณกลับไปหามันเถอะค่ะ ของๆท่านเจ้าคุณ ฉันไม่ต้องการ”
“ ฉันน่ะรึ เห็นตุ๊กตาดีกว่าเธอ ตรงข้าม ฉันให้เกียรติเธอมากกว่าด้วยซ้ำ แต่เธอจะให้ฉันเอาเงินทองก้อนหนึ่งฟาดหัวตุ๊กตากับลูกแล้วทิ้งเค้า โดยที่เค้าไม่มีความผิดอะไร เธอคิดบ้างหรือไม่ว่า มันโหดร้ายเกินไป หรือเธออยากเห็นคู่ครองของเธอเป็นคนทมิฬหินชาติเช่นนั้น”
“พูดอย่างนี้ หมายความว่าฉันบังคับให้ท่านเจ้าคุณเป็นคนเลวอย่างนั้นหรือคะ ทั้งๆที่เรื่อง มันเกิดจากความมักมากของท่านเจ้าคุณเองต่างหาก ทำไมถึงไม่คิดบ้าง”
“ฉันรู้ตัวว่าผิด แต่เธอเรียกร้องในสิ่งที่ฉันให้ไม่ได้ จะให้ฉันทำอย่างไร”
“ ก็ไม่ต้องทำอย่างไรดอกค่ะ ในเมื่อท่านเจ้าคุณไม่รู้ว่าอันไหนทอง อันไหนกระเบื้อง ก็ป่วยการที่จะคุยแล้ว แค่เอาของหมั้นของท่านเจ้าคุณไปให้พ้นเรือนฉันก็พอ”
คุณดาราเดินสะบัดหน้ากลับเข้าข้างในไปพร้อมกับบ่าวไพร่ เจ้าคุณมองตาม ไม่คิดว่าคุณดาราจะเอาแต่ใจตัวเองขนาดนี้
แก้ว และน้ำทิพย์ กำลังตักบาตรด้วยกันตอนเช้าวันหนึ่ง พอตักบาตรเสร็จ ก็รับศีลรับพรจากพระ ก่อนที่พระจะเดินเลี่ยงไป
“บทจะเด็ดขาดขึ้นมา ท่านเจ้าคุณของแก้วก็ไม่เป็นรองใครเหมือนกันนะ เป็นคนอื่น ถ้าไม่ทิ้งตุ๊กตา ก็คงแอบเลี้ยงดูไว้ ไม่บอกคุณดาราตรงๆ แบบนั้นดอก”
แก้วยิ้มแย้ม
“แต่กระผมไม่แปลกใจเลยขอรับ ออกจะมั่นใจแต่แรกด้วยซ้ำ ว่าท่านเจ้าคุณต้องทำเช่นนี้ เพราะคนอย่างท่านเจ้าคุณ ไม่ยืดถืออะไรมากไปกว่าความยุติธรรมดอกขอรับ”
“แต่ฉันก็เห็นว่าตุ๊กตา ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมมากพออยู่ดี”
“ทำไมหรือขอรับ”
น้ำทิพย์กำลังจะอธิบาย ทันใดนั้น ไชยากรก็ฉุดแขนน้ำทิพย์ให้ออกห่างจากแก้วทันที ท่ามกลางความตกใจของคนทั้งคู่
“ท่านเจ้าคุณ”
แก้วตั้งสติได้ ก็ยกมือไหว้ไชยากร แต่เจอตะคอกใส่
“ มึงไม่ต้องมาไหว้กู กูไม่อยากให้เสนียดทาสของมึงมาแปดเปื้อนตัวกูกับลูก เพราะการยกมือไหว้ของมึง”
“คุณพ่อ”
“ ยังรู้รึ ว่าพ่อเป็นพ่อ ถ้ารู้แล้วมาพบปะกับมันทำไม นี่คงคิดว่าพ่อสิ้นวาสนา แลเจ็บป่วยอยู่นานเดือน เลยคิดจะกระทำอย่างใดเหยียบย่ำใจพ่อก็ได้ ใช่หรือไม่ ...อย่าหวังเลยน้ำทิพย์ กลับเรือนกับพ่อเดี๋ยวนี้”
ไชยากรฉุดมือลูกสาวไป โดยไม่สนใจสายตาคนอื่นแม้แต่น้อย แก้วได้แต่มองตาม ด้วยความสงสารน้ำทิพย์จับใจ เขาไม่รู้จะหยุดความเกลียดของไชยากรได้ยังไง
เวลาต่อมา น้ำทิพย์กำลังเถียงกับพ่อ โดยมีนิ่มนั่งหน้าเจื่อนอยู่ใกล้ๆ
"ลูกเพียงแต่ไปตักบาตรเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสีย ทำไมคุณพ่อต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยคะ"
" ก็เพราะไปตักบาตรน่ะสิ พ่อถึงทำเพียงแค่นี้ หาไม่ พ่อฆ่าไอ้แก้วมันไปแล้ว"
น้ำทิพย์อึดอัดใจสุดๆ
"ตอนนี้แก้วเป็นข้าราชการแล้ว แม้จะไม่มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนเป็นหลวง แต่ก็หาใช่ไร้เกียรติเหมือนแต่ก่อน คุณพ่อจะรังเกียจแก้วไปถึงไหนกันคะ"
"จนกว่าพ่อจะตายนั่นแหละ แลถึงตายกลายเป็นผีแล้ว พ่อก็ไม่มีวันคลายความเกลียดชังมันลงไปได้"
น้ำทิพย์ถอนใจส่ายหน้า ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว
แม้นิ่มจะสงสารน้ำทิพย์ แต่ก็กลัวสามี
"ใจเย็นๆก่อนเถอะค่ะท่านเจ้าคุณ ฉันเห็นว่าคิดเผื่อวันหน้าไว้บ้างก็ไม่เสียหายนะคะ เผื่อแก้วได้เป็นขุน
ขึ้นมาจริงๆ เราจะรังเกียจอีก ก็ใช่ที่นะคะ"
ไชยากรขำเยาะ
"ในชีวิตแม่นิ่ม เคยเห็นทาสได้เป็นขุนรึ ลองบอกมาซิว่า มีใครบ้าง"
นิ่มอึกๆอักๆ เพราะไม่เคยเห็นเหมือนกัน
ไชยากรเบะปากดูถูก
"แลถึงไอ้แก้วได้เป็นขุนจริง ก็ล้างกลิ่นสาบทาสในตัวมันไปไม่ได้ดอก เพราะมันเป็นลูกทาสในเรือนเบี้ย มันเกิดที่นี่ที่เรือนทาสของไอ้ก้านกับอีกิ่ง"
น้ำทิพย์ทนไม่ไหว
"แล้ววิชาความรู้ของแก้วล่ะคะ มันล้างสาบทาสไม่ได้เลยรึ แก้วสู้อุตส่าห์เล่าเรียน แม้จะถูกกีดกัน ถูกลงโทษเท่าใดก็ตาม เพื่อรอวันได้เป็นไท แล้วจะใช้วิชาความรู้ให้เป็นประโยชน์ ความเพียรแลใฝ่ดีของแก้วมันไม่มีค่า เท่ากับสายเลือดที่เลือกเกิดเองไม่ได้เลยหรือคะ"
"ลูกอย่ามาย้อนพ่ออย่างนี้นะน้ำทิพย์ ไม่ว่าไอ้แก้วมันจะดีวิเศษยังไง พ่อก็ไม่มีวันให้ลูกแต่งงานกับมันเด็ดขาด หากพ่อสิ้นแรงใกล้ตาย พ่อก็จะไปฆ่ามันก่อน"
ไชยากรเดินกลับเข้าข้างในไป น้ำทิพย์น้ำตาคลอขึ้นมาด้วยความเสียใจ ทิฐิของพ่อรุนแรง จนสุดจะแก้ไข นิ่มเข้าไปกอดปลอบใจ สงสารแต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง
เวลาบ่าย เฉียวหูกับอั้งยี่อีกสองสามคน เดินคุยกันอย่างยิ้มแย้มเข้ามาในห้องสูบฝิ่น โดยมีเจ้าของโรงฝิ่นเดินประจบประแจงมาด้วย พอเข้ามาก็เห็นเข้มในฐานะคนงานคนหนึ่งใช้ผ้าขาวม้าโพกหัว กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์สูบฝิ่นอยู่ เข้มเข้ามาทำงานในโรงฝิ่นเพื่อสืบข่าว และหาฝิ่นสูบไปด้วย
เจ้าของโรงฝิ่นบอก
"ไม่ได้มาเสียนานนะตั่วกอ"
เฉียวหูมองไปที่เข้มแล้วถาม
"นั่นใคร"
"พวกขี้ยาน่ะตั่วกอ อั๊วสงสาร ก็เลยให้มาทำงานแต๊ *แลกฝิ่น ตั่วกอต้องการแต๊บ้างหรือไม่"
"อั๊วไม่ชอบบีบนวด ออกไป อั๊วจะคุยเรื่องงาน"
"ได้ๆ พวกลื้อตามอั๊วออกมา ตั่วกออีไม่ชอบ"
เจ้าของเดินออกจากห้องไป เข้มรีบก้มหัวไม่ให้เฉียวหูเห็นหน้า แล้วเดินตามออกไป พอพ้นห้อง เข้มก็รีบดักฟังอยู่หน้าห้องทันที
*แต๊ คือการนวดให้พวกขี้ยาในโรงฝิ่น
หัวค่ำวันเดียวกัน แก้วตกใจ
"ปล้นบ้านท่านเจ้าคุณ เอ็งไม่ได้ยินผิดแน่นะไอ้เข้ม"
แก้วกำลังคุยอยู่กับเข้ม
"ไม่ผิดดอก ข้าได้ยินพวกมันนัดแนะกันเป็นมั่นเหมาะ ว่าจะระดมพวกอั้งยี่ซิวลี่กือ เข้าปล้นบ้านท่านเจ้าคุณ เสียดายแต่ว่ามันไม่ยอมบอกว่าจะลงมือวันไหนเท่านั้นเอง"
"ที่คุณมาโนชต้องการ คือคุณน้ำทิพย์ไม่ใช่รึ แล้วจะให้พวกอั้งยี่ ปล้นบ้านท่านเจ้าคุณไปทำไม"
"ข้าไม่รู้ดอก คุณมาโนชอาจจะไม่ต้องการคุณน้ำทิพย์แล้ว แต่อยากได้ทรัพย์สมบัติมากกว่ากระมัง"
"ไม่มีทาง เจ้าคุณพ่อของคุณมาโนชมั่งมีกว่าท่านเจ้าคุณเสียอีก อย่างไรก็ไม่มีทางเห็นเงินทองสำคัญไปกว่าคุณน้ำทิพย์แน่"
"ถ้าอย่างนั้น เอ็งจะเอาอย่างไรก็ว่ามา"
แก้วคิดอยู่ครู่นึง ก่อนจะหยิบถุงเงินยื่นให้เข้ม
"เอ็งไม่ต้องหาข่าวที่โรงฝิ่นแล้ว ไปจับตาคุณมาโนชแทน ข้าเชื่อ ว่าต้องได้เบาะแสอะไรเพิ่มขึ้นอีก"
เข้มดีใจมาก รีบรับเงินมา
"ได้ๆ ตามคุณมาโนชยังง่ายกว่าตามไอ้พวกอั้งยี่เสียอีก"
แก้วครุ่นคิด ไม่รู้ว่ามาโนชจะมาไม้ไหน
เวลาเช้า ไชยากรถือไม้ตะพดเดินลิ่วมาด้วยความโกรธ แก้วเดินตามมา
" เชื่อกระผมเถิดขอรับท่านเจ้าคุณ คุณมาโนชกำลังวางแผนร้ายอยู่แน่ ท่านเจ้าคุณต้องระวังตัวนะขอรับ"
ไชยากรโมโหมาก เอาไม้ตะพดชี้หน้าแก้ว
"หุบปากได้แล้วไอ้แก้ว ถ้าไม่ติดว่าที่นี่เป็นกระทรวงยุติธรรม กูจะเอาไม้ตะพดเรียกเลือดมึงเดี๋ยวนี้"
แก้วยกมือไหว้
"กระผมขอประทานโทษที่ทำให้ท่านคุณไม่พอใจขอรับ แต่กระผมพูดความจริง ขอให้ท่านเจ้าคุณได้โปรดระมัดระวังตัวด้วยเถิดขอรับ"
"ถึงพ่อมาโนชจะกระทำเรื่องร้ายกาจไว้มาก แต่อย่างไรก็มีศักดิ์เป็นหลานข้า ข้าเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก ไม่มีทางทำชั่ว เนรคุณข้าอย่างที่เอ็งกล่าวหาดอก"
"กระผมไม่ได้กล่าวหาโดยเลื่อนลอยนะขอรับ เพียงแต่บอกไม่ได้เท่านั้นว่าได้ข่าวมาจากที่ใด คุณมาโนชวางแผนย้ายออกไป เพื่อให้คุณนายน้อมถอนพวกนักเลงออกจากเรือน จะได้สมคบพวกอั้งยี่เข้าปล้นขอรับ"
" กูไม่เชื่อ มึงไสหัวไปได้แล้วไอ้แก้ว กูมาที่นี่เพื่อจะยื่นคำร้องขอกลับเข้ารับราชการอีกครั้ง ไม่ใช่มาฟังเรื่องโป้ปดมดเท็จของมึง"
ไชยากรเดินเลี่ยงไปด้วยความโมโห แก้วได้แต่มองตามด้วยความอ่อนใจ พูดความจริงกลับไม่เชื่อ
ผ่านเวลาไป 2-3 วัน บุญเจิมกำลังยกสำรับข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงลอย กับบรรดาลูกศิษย์หมื่นลพ ที่มากันเต็มบ้านเช่าของแก้ว เขากำลังคุยกับลอยพร้อมกับทานข้าวเช้าไปด้วย
"พวกอั้งยี่มีฝีมือร้ายกาจ ถ้าพี่ลอยไม่มาช่วย ฉันก็ยังไม่รู้จะรับมือพวกมันอย่างไรเลย"
"ไม่ต้องขอบอกขอบใจดอก ข้าเองก็อยากแก้มือพวกมันเช่นกัน แล้วเอ็งรู้แน่หรือยัง ว่ามันจะบุกเข้าปล้นวันไหน"
"ยังเลยพี่ ข้อนี้ฉันก็ยังสงสัยอยู่ ว่าทำไมถึงคิดจะปล้นบ้านท่านเจ้าคุณ แต่เพื่อไม่ประมาท ฉันจึงต้องขอแรงพี่มาเตรียมพร้อมไว้ก่อน"
"ข้อนั้นไม่เป็นไรดอก แต่หากพวกอั้งยี่มากขนาดนั้นจริง ข้าก็กลัวว่าคนของเราจะรับมือไม่ไหวเหมือนกันนะแก้ว"
แก้วคิดหนัก ลอยพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน
เวลาบ่าย แก้วกำลังคุยกับน้อมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"พ่อแก้วไม่ต้องกลัวไป ฉันจะให้พวกนักเลงกลับไปเฝ้าที่เรือนอีกก็แล้วกัน" น้อมบอก
แก้วหน้าเครียด
"อย่าขอรับ อย่ากลับไปเฝ้าที่เรือน แค่เพียงจับตา เพื่อช่วยเหลือในยามคับขันก็พอ"
น้อมแปลกใจ
"อ้าว ทำไมเล่า"
"ถ้าส่งคนกลับไปเฝ้าอีก คุณมาโนชก็จะเปลี่ยนใจ แล้วหาทางลอบกัดภายหลัง สู้หลอกให้ตายใจ แล้วจัดการตลบหลัง มิให้เป็นพิษเป็นภัยอีกดีกว่าขอรับ"
น้อมยิ้มพอใจ จับมือแก้ว ส่งสายตากรุ้มกริ่ม
"เฉลียวฉลาดจริงนะพ่อแก้ว ทีเรื่องอื่น ไม่เห็นเฉลียวฉลาดอย่างนี้บ้างเลย"
แก้วยิ้มแหย ค่อยๆชักมือออก น้อมทิ้งค้อน ทอดสะพานให้ขนาดนี้ แก้วก็ไม่สนใจซะที
"แต่พ่อแก้วก็ยังไม่รู้ไม่ใช่รึ ว่าจะลงมือปล้นวันไหน แล้วเราจะตลบหลังพวกมันทันรึ"
"คนของกระผมกำลังตามสืบอยู่ขอรับ รู้กำหนดแน่นอนวันไหน จะรีบมาบอกคุณนายน้อมทันที รับรองว่าคราวนี้ต้องจับพวกมันได้ทั้งหมดแน่"
แก้วสีหน้ามั่นใจ
บรรยากาศในโรงสีข้าวแห่งหนึ่ง มาโนชเดินตรวจตราอยู่ด้วยความพอใจ โดยมีเฉียวหู เค้งเดินตามหลัง
"เอ็งหาที่ทางได้ดีมากเฉียวหู ไกลผู้คน ไม่มีใครมายุ่มย่าม เหมาะที่จะเป็นเรือนหอของข้ากับน้องน้ำทิพย์เสียจริงๆ"
เฉียวหูยิ้มเจ้าเล่ห์
"แล้วคุณมาโนชจะให้พวกอั๊วลงมือเมื่อไหร่"
"คืนนี้"
เค้งตกใจ
"คืนนี้ ทำไมเร็วนักล่ะ คืนนี้เป็นคืนมาฆบูชาด้วยไม่ใช่รึ"
"ก็เพราะอย่างนั้นสิวะ ถึงได้ง่ายต่อการลงมือ เพราะธรรมดาแล้ว น้องน้ำทิพย์ก็อยู่แต่ในเรือน ถ้าไม่ใช่คืนนี้ แล้วข้าจะหาโอกาสตอนไหน หรือเอ็งจะให้ข้าบุกขึ้นไปฉุดถึงบนเรือน"
เฉียวหูตัดบท
"คืนนี้ก็คืนนี้ พวกอั๊วพร้อมอยู่แล้ว ลงมือวันไหนก็เหมือนกัน"
"ใช่ ข้าสั่งวันไหนก็ต้องวันนั้น พวกเอ็งเลือกไม่ได้อยู่แล้ว"
มาโนชยิ้มดูถูกเล็กน้อยก่อนเดินไป มาโนชเดินเลี่ยงไป ท่าทางหยิ่งยโส ใช้งานอั้งยี่ทั้งสองราวกับทาส
เฉียวหูมองตามมาโนชแล้วยิ้มดูถูก
"ไอ้มาโนชมันถนัดลอบกัด ขนาดจะฉุดผู้หญิงซึ่งหน้ายังไม่กล้า"
เค้งเกลียดมาโนช
"เสร็จงานแล้ว เชือดมันเลยดีหรือไม่ตั่วกอ"
"จะเชือดมันทำไม เก็บมันไว้ตายแทนเราไม่ดีกว่ารึ ให้มันได้ผู้หญิงไป ส่วนเราก็หอบสมบัติหนี คดีความก็โยนให้ไอ้มาโนชรับไปให้สิ้น"
เฉียวหูหัวเราะชอบใจ เค้งยิ้มพอใจ
แต่ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงผิดปกติดังขึ้นที่ด้านหลัง เค้งรีบหันกลับไปมองทันที แต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ
"มีอะไรรึอาเค้ง"
เค้งสบตาเฉียวหู ส่ายหน้า
"ไม่มี ตั่วกอ"
อั้งยี่ทั้งสองเดินเลี่ยงไป เข้มซึ่งสะกดรอยตามมาแอบฟังเรื่องทั้งหมด เขากลัวจนหน้าซีดที่รู้
แผนการที่วางไว้
เข้มกำลังรอแก้วอย่างกระวนกระวายเพื่อบอกข่าวที่ตนไปสืบมา เข้มกำลังกระวนกระวายอยู่ ก็รู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังตน
"ทำไมช้านักวะไอ้..."
เข้มพูดไม่ทันจบ ก็สะดุ้งเฮือกตาเหลือกถลน เพราะถูกแทงด้วยกรรไกรขาเดียวเข้าเต็มท้อง คนที่อยู่ด้านหลังเขาไม่ใช่แก้ว แต่เป็นเค้งกับเฉียวหูนั่นเอง
เข้มพยายามจะร้องก็ร้องไม่ออก ได้แต่ดูกรรไกรขาเดียวที่ท้อง ก่อนจะค่อยๆทรุดลงไปกับพื้น
เฉียวหูยิ้มร้าย
"อั๊วจำได้แล้ว ขี้ยาที่ไอ้มาโนชใช้ให้เราไปฆ่านี่เอง นึกว่าตายไปแล้วเสียอีก"
"ถึงตอนนั้นมันไม่ตาย แต่ตอนนี้ มันไม่รอดแน่"
เฉียวหูตบบ่าเค้ง
"เพราะไหวพริบลื้อแท้ๆ ถึงได้ตามมาจัดการมันได้ ไปเถอะอาเค้ง"
อั้งยี่ทั้งสองเดินเลี่ยงไป เข้มยังไม่ตาย แต่ก็ทำได้แค่กระเสือกกระสนรอความตายอย่างทรมานอยู่บนพื้น ขณะนั้นเอง แก้วก็เดินมาถึงพอดีก็ตกใจมาก รีบเข้าไปดูอาการ
" ไอ้เข้ม ไอ้เข้ม เกิดอะไรขึ้น"
เข้มพยายามจะพูด แต่เสียงแผ่วเบาจนไม่ได้ยิน แก้วต้องเอียงหูเข้าไปใกล้ๆ เพื่อฟังเข้ม เขาพูดอยู่สองสามประโยค ก็หมดลมขาดใจตายไป
แก้วเห็นเข้มนิ่งไปก็ตกใจ
"ไอ้เข้มๆ"
แก้วเอามืออังลมหายใจที่จมูกเข้ม พอรู้ว่าเข้มตายแน่ๆ ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที หลังจากที่ได้ข่าวก่อนตายที่เข้มสืบมา
หน้าเรือนไชยากรตอนหัวค่ำ น้ำทิพย์ในชุดสวยแบบจัดเต็มที่เดินออกมาจากข้างใน พร้อมกับนมอ้อน
ไชยากร นิ่ม และอบเชยรออยู่ ทุกคนแต่งตัวสวยงามเตรียมออกงานคืนเพ็ญ วันมาฆบูชา
"งามเหลือเกินลูกพ่อ วันนี้ใครที่เห็นลูกแล้วไม่จับใจ ก็ใจแข็งเกินผู้คนแล้ว"
"อันที่จริง คืนนี้เราเพียงแต่ไปเวียนเทียน แลฟังเทศน์ในวันมาฆบูชาเท่านั้น ไม่เห็นจะต้องแต่งเนื้อแต่งตัวเช่นนี้เลยนะคะ คุณพ่อ"
"พูดยังกะไม่รู้ใจคุณพ่อ งานบุญคราวนี้เป็นงานใหญ่ มีเจ้าใหญ่นายโตมาทำบุญฟังเทศน์กันมากมาย ถ้าไม่ฉวยโอกาสพบปะเพื่อกรุยทางกลับเข้ารับราชการใหม่ตอนนี้ แล้วจะรองานไหนอีกล่ะคะ" อ้อนว่าพลางทิ้งค้อนให้ไชยากร
น้ำทิพย์หน้าเสีย ขนาดเป็นวันมาฆบูชา พ่อยังฉวยโอกาสอีก ไชยากรยิ้มขำๆ
"สมกับเป็นคนเก่าคนแก่ ช่างรู้ใจฉันเสียจริง ไปกันเถอะลูกน้ำทิพย์ แม่นิ่ม"
ไชยากรเดินนำลงจากเรือนไป โดยมีน้ำทิพย์ นมอ้อนตามหลัง
อบเชยหันมายิ้มให้นิ่ม
"ในที่สุด ท่านเจ้าคุณก็พาพี่นิ่มออกหน้าออกตา สมกับที่พี่นิ่มรอมานานแล้วนะจ๊ะ"
นิ่มยิ้มดีใจ
"พี่ก็แค่ทำหน้าที่เมียเท่านั้น คนที่ท่านเจ้าคุณหวังจะให้เป็นหน้าเป็นตามากที่สุด ก็คือคุณน้ำทิพย์ต่างหาก"
อบเชยหน้าเสีย
"หมายความว่า คิดจะหาคู่ให้ลูกสาวอีกแล้วรึ"
นิ่มยิ้มบางๆ ตัดบท
"พี่ไปก่อนนะอบเชย"
นิ่มเดินลงจากเรือนไป อบเชยมองตาม แล้วถอนใจส่ายหน้า อ่อนใจกับความดื้อรั้นของไชยากรเหลือเกิน
อ่านต่อหน้า 2
ลูกทาส ตอนที่ 13 (อวสาน) ต่อ
ทาสชายขับรถม้า พาพระยาไชยากร นิ่ม และน้ำทิพย์ออกจากบ้านไป แก้ววิ่งสุดฝีเท้ามา เพื่อจะเตือนพระยาไชยากรกับน้ำทิพย์ แต่ก็ไม่ทัน รถม้าขับไปไกลแล้ว
แก้วเลยรีบเข้าไปหาทาสชายที่เฝ้าประตู
"ไอ้ขิม ท่านเจ้าคุณกับคุณน้ำทิพย์ไปไหนรึ"
"วันนี้วันมาฆบูชา ก็คงไปเวียนเทียนแลฟังเทศน์กระมัง"
" แล้วท่านเจ้าคุณไปทำบุญวัดไหน ใช่วัดนามบัญญัติหรือไม่"
"ข้าไม่รู้ดอก"
"ถ้าอย่างงั้น เอ็งให้ข้าเข้าไปข้างในได้หรือไม่ ข้าจะถามคนที่รู้เอง"
ทาสขิมไม่สบายใจ
"ท่านเจ้าคุณสั่งห้ามขาด ไม่ให้เอ็งเหยียบเรือน ข้าให้เอ็งเข้าไปไม่ได้ดอก"
แก้วชะงักไป หน้าเครียดขึ้นมาทันที คิดหาทางช่วยน้ำทิพย์ให้ได้
ลานกว้างแห่งหนึ่ง พวกอั้งยี่จำนวนมาก พร้อมอาวุธครบมือกำลังทยอยกันมารวมพล เตรียมพร้อมจะทำงานในคืนนี้ ทุกคนมารวมกันที่ลานกว้าง โดยมีเฉียวหู และเค้งเป็นหัวหน้า
"อั๊วคัดมาแต่มือดีทั้งสิ้น ตั่วกอพอใจหรือไม่"
เฉียวหูมองดูลูกน้องตน แล้วก็ยิ้มพอใจ
"ลื้อทำได้ดีมากอาเค้ง เดี๋ยวลื้อเอาคนไปเจ็ดส่วน ที่เหลือมากับอั๊ว จำไว้ ว่าต้องฆ่าคนบ้านพระยาไชยากรให้หมดทุกคน อย่าให้ซัดทอดถึงเราได้ หากเกิดอะไรขึ้น ก็โยนไปให้ไอ้มาโนชมันให้หมด"
"งานนี้ไม่ใช่แค่ได้สมบัติ แต่ยังได้ล้างแค้นไอ้มาโนชเสียด้วย" เค้งบอก
เฉียวหูหัวเราะออกมาอย่างสะใจ
แก้วเคาะประตูเรือนแพของพระยานิติธรรมด้วยความร้อนใจสุดๆ
" ท่านเจ้าคุณๆ อยู่ที่นี่หรือไม่ขอรับ ท่านเจ้าคุณ"
ขณะนั้นเอง อ้นก็เปิดประตูออกมา
"เจ้าแก้วเองรึ"
" ท่านเจ้าคุณมาที่นี่ใช่หรือไม่พี่อ้น"
ขณะนั้น พระยานิติธรรมธาดากับตุ๊กตา ก็เดินออกมาจากข้างในด้วยสีหน้าสงสัย
"เกิดอะไรขึ้นรึเจ้าแก้ว"
แก้วยิ้มออกมีกำลังใจขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเจ้าคุณ
เฉียวหูและบรรดาอั้งยี่ที่เป็นลูกน้อง นั่งเรือแจวหลายลำ เตรียมไปทำงานตามแผน อั้งยี่แต่ละคนหน้าตาถมึงทึง มีอาวุธครบมือ เฉียวหูสีหน้าแววตาเหี้ยมโหด
แก้วกำลังคุยกับพระยานิติธรรมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมีตุ๊กตา และอ้นอยู่ใกล้ๆ
"ฉันว่าน่าจะเป็นวัดสุทัศน์ เพราะปีนี้มีงานใหญ่ บรรดาคนใหญ่คนโตล้วนไปเวียนเทียนแลทำบุญที่นี่ ท่านเจ้าคุณไชยากรอยากจะกลับเข้ารับราชการอีก อย่างไรก็ไม่พลาดโอกาสนี้แน่"
แก้วคิดตาม สีหน้าเห็นด้วย
"นอกจากเรื่องจะฉุดคุณน้ำทิพย์คืนนี้แล้ว เจ้าเข้มยังบอกอะไรอีกหรือไม่"
แก้วเครียดหนัก
"ไอ้เข้มมันขาดใจตายก่อนขอรับ กระผมก็เลยรู้เพียงเท่านี้"
เจ้าคุณนึกระแวง
"แปลก ถ้าคุณมาโนชจะฉุดคุณน้ำทิพย์ แล้วเหตุใดต้องให้พวกอั้งยี่ ปล้นบ้านเจ้าคุณไชยากรด้วย"
"แปลกตรงไหนหรือขอรับ คุณมาโนชอาจจะอยากได้ทั้งผู้หญิงแลสมบัติด้วยก็ได้" อ้นบอก
"ถ้าได้คุณน้ำทิพย์เป็นเมียน้อยแล้ว สมบัติของเจ้าคุณไชยากรก็เหมือนผลส้มในลัง เหตุใดต้องปล้นด้วยเล่า"
แก้วคิดตามอย่างติดใจสงสัย
"เจ้าแก้ว แกรีบนำลูกศิษย์ของคุณตาฉันไปช่วยคุณน้ำทิพย์ก่อน ส่วนฉันกับเจ้าอ้น จะไปดูแลเรือนท่านเจ้าคุณให้ ป้องกันไว้ทั้งสองทาง จะได้ไม่พลาด"
"ขอรับ คนของคุณนายน้อมคอยระแวดระวังอยู่ หากเกิดอะไรขึ้น ก็จะมีคนมาช่วยอีกแรงขอรับ"
"ระวังตัวนะคะท่านเจ้าคุณ" ตุ๊กตาเป็นห่วง
พระยานิติธรรมยิ้มรับ ก่อนจะเดินไปหยิบปืนที่ซ่อนไว้ออกมา
เค้งพาอั้งยี่จำนวนมาก เข้าล้อมรอบบ้านพระยาไชยากร เตรียมบุกปล้นเต็มที่
บรรยากาศในวัดสุทัศน์ มีข้าราชการ ชาวบ้านผู้คนมาทำบุญมากมายเพราะเป็นวันมาฆบูชา
ไชยากร น้ำทิพย์ และนิ่มเดินเข้ามาภายในวัด ผู้คนที่มาส่วนใหญ่เป็นคนที่ไชยากรรู้จัก และเป็นบุคคลสำคัญทั้งนั้น ไชยากรกระหยิ่มยิ้มย่อง หวังจะใช้งานนี้รื้อฟื้นเส้นสายเพื่อกลับเข้ารับราชการ
นิ่มตื่นเต้นบอก
"งานใหญ่มากเลยนะคะท่านเจ้าคุณ"
ไชยากรยิ้มแย้ม
"ฉันถึงต้องมาให้ได้อย่างไรเล่า ยิ่งเราขลุกอยู่แต่ในเรือน ผู้คนก็จะพาลคิดว่าฉันสิ้นท่า ฉันถึงต้องแสดงให้เห็นว่าพระยาไชยากรยังมั่งมีแลมีดีอีกมาก"
ขณะนั้นเอง ก็มีข้าราชการหนุ่มคนหนึ่งเหลือบเห็นน้ำทิพย์เข้า เลยเดินเข้าไปหา ข้าราชการคนนั้นเคยชอบพอกับน้ำทิพย์ แต่ติดที่ไชยากรเลยเข้าไม่ถึง
"ไม่ได้เจอกันเสียนานนะขอรับ น้องน้ำทิพย์"
น้ำทิพย์ยกมือไหว้ ข้าราชการรับไหว้ ก่อนจะหันไปไหว้ไชยากรและนิ่ม ตามมารยาท
"นึกว่าใคร ที่แท้ก็พ่อมิ่งนี่เอง เห็นว่าจะได้ขึ้นเป็นขุนแล้วรึ"
"ยังไม่ใช่ตอนนี้ดอกขอรับ น่าจะเป็นอีกซักปีหรือสองปีขอรับ เอ่อ ท่านเจ้าคุณสบายดีนะขอรับ"
"สบายสิ ทรัพย์สินเงินทองอามีเหลือเฟือ จะไม่สุขสบายได้อย่างไร เพียงแต่คนเรามันอยู่ว่างๆ ไม่ได้ทำงานทำการอะไร ก็เลยรู้สึกเหงาๆ เท่านั้นเอง"
"แล้วน้องน้ำทิพย์ล่ะ สบายดีหรือไม่"
ขณะนั้นเอง แม่ของข้าราชการก็มองมาพร้อมเรียกขัด เสียงแข็ง ไม่พอใจ
"พ่อมิ่ง"
" ขอตัวก่อนนะขอรับ"
ข้าราชการรีบเดินกลับไปหาแม่ทันที แม่สะบัดหน้าพรืดใส่แล้วรีบพาลูกชายเดินหนีไป เพราะไม่อยากให้สุงสิงกับคนหมดอำนาจอย่างไชยากร
"ดูไว้นะแม่นิ่ม น้ำทิพย์ นังคุณนายอิ่มเมียพระวิจารณ์ แต่ก่อนแทบจะคลานเข่าเข้ามาหาพ่อ เดี๋ยวนี้ทำเป็นยโส ไม่ยอมแม้แต่จะให้ลูกชายพูดจากับพวกเรา"
นิ่มหน้าเสีย
"อย่าโกรธเคืองไปเลยค่ะท่านเจ้าคุณ เรามาทำบุญนะคะ ทำจิตใจให้ผ่องแผ้วไว้ดีกว่า"
ไชยากรเดินเลี่ยงไป พยายามระงับอารมณ์เต็มที่ นิ่มรีบเดินตามไป
ในขณะที่น้ำทิพย์ได้แต่มองตามพ่อแล้วถอนใจ สงสารพ่อก็สงสาร แต่พ่อทำใจไม่ได้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง
เฉียวหูกำลังสั่งงานลูกน้องอั้งยี่ของตน
"กระจายกำลังล้อมไว้ อย่าให้มันหนีรอดไปได้ แต่ถ้าอั๊วยังไม่ส่งสัญญาณ ห้ามเคลื่อนไหวเด็ดขาด...ไป"
พวกลูกน้องเอาผ้าปิดบังหน้าตา แล้วกระจายกำลังตามที่เฉียวหูสั่งทันที เฉียวหูชักดาบจีนของตนออกมาเตรียมพร้อม แสยะยิ้มแววตาร้าย
บรรดาผู้คนและข้าราชการกำลังเวียนเทียนกันรอบโบสถ์ ไชยากร น้ำทิพย์ และนิ่มกำลังเวียนเทียนอยู่
เจอคนคุ้นเคย ไชยากรก็รีบเข้าไปหาเลียบๆเคียงๆทันที
" เป็นอย่างไรบ้างล่ะคุณพระ ไม่เจอกันเสียนานเลยนะ"
ข้าราชการคนนั้น พอเห็นไชยากรก็หน้าเสีย ไม่อยากคุยกับคนไม่มีประโยชน์ แถมกลัวว่า ไชยากรจะมาพึ่งพาให้ปวดหัวอีกต่างหาก เลยรีบเดินเลี่ยงไปไม่คุยด้วย ไชยากรมองตามด้วยความเจ็บใจ หันมาพูดกับนิ่ม น้ำทิพย์
"แม่นิ่ม เวียนเทียนเสร็จแล้วก็กลับเรือนเลยแล้วกัน"
"แล้วไม่ฟังเทศน์ก่อนหรือคะท่านเจ้าคุณ"
"ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น"
พระยาไชยากรเดินเลี่ยงไปด้วยความโมโห
น้ำทิพย์มองตามพ่อด้วยความอ่อนใจ
"เมื่อไหร่คุณพ่อจะยอมรับได้ซักทีนะคะ ว่าไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวกับคนไร้อำนาจวาสนาอย่างพวกเรา"
"คงยากค่ะคุณน้ำทิพย์ ท่านเจ้าคุณอยู่กับยศศักดิ์แลอำนาจมาทั้งชีวิต ไม่มีทางตัดได้ขาดดอกค่ะ แค่ไม่คิดให้คุณน้ำทิพย์แต่งงานเพื่อเป็นสะพานเชื่อมหาใครต่อใครอีก ก็ถือว่าโชคดีแล้วล่ะค่ะ"
น้ำทิพย์หน้าซึมลงอย่างเห็นด้วย
ผ่านเวลาสักครู่ ทาสชายกำลังขับรถม้า พาพระยาไชยากร น้ำทิพย์ นิ่ม เพื่อจะกลับไปที่เรือน
ทันใดนั้น เฉียวหูก็นำพวกอั้งยี่บุกเข้าเล่นงานรถม้าของพระยาไชยากรทันที ไชยากรตกใจทำอะไรไม่ถูก ส่วนนิ่ม น้ำทิพย์ ตกใจกรีดร้องลั่น เฉียวหูฆ่าทาสชายทิ้ง ลูกน้องฉุดกระชากทุกคนลงจากรถม้า ไชยากรพยายามสู้ ทั้งเตะทั้งถีบสกัด นิ่มร้องลั่น
"ช่วยด้วยๆ โจรปล้น ช่วยด้วย"
ขาดคำ เฉียวหูก็ตบหน้านิ่มเต็มแรง จนหัวนิ่มกระแทกกับรถม้าสลบเหมือดไป ไชยากรตกใจ
"แม่นิ่ม"
พวกอั้งยี่ ช่วยกันจับตัวไชยากรลงมา แล้วรุมซ้อมทันที
"คุณพ่อ อย่าทำคุณพ่อฉันนะ ช่วยด้วยๆ"
อั้งยี่คนหนึ่งเงื้อมือจะตบน้ำทิพย์ เฉียวหูรีบห้าม
"อย่า เดี๋ยวช้ำ เอาไปที่รถลาก"
พวกอั้งยี่ฉุดกระชากลากถู พาน้ำทิพย์ไปที่รถลากที่เตรียมไว้
เฉียวหูสั่ง
"ฆ่าไอ้พระยากับเมียทิ้งซะ"
อั้งยี่คนหนึ่ง เงื้อดาบขึ้นมาจะแทงไชยากรที่กลัวสุดๆ
"อย่า อย่า"
ทันใดนั้น ก่อนที่พระยาไชยากรจะถูกแทง ก็มีลูกธนูถูกยิงเข้าปักอั้งยี่คนที่เงื้อดาบ ตายคาที่
เฉียวหูตกใจมากที่ถูกลอบโจมตี แก้วนำลอย และลูกศิษย์หมื่นลพ พร้อมอาวุธครบมือ บุกตะลุยเข้าใส่พวกเฉียวหูทันที ลอยถือทั้งธนูและดาบ ส่วนคนอื่นๆถือดาบเป็นส่วนใหญ่
น้ำทิพย์ดีใจสุดๆ
"แก้ว ช่วยด้วยแก้ว"
แก้วจะเข้าไปช่วยน้ำทิพย์ แต่เฉียวหูก็ใช้ดาบฟันสกัดไว้ก่อน แล้วตะโกนสั่ง
"รีบพาผู้หญิงหนีไป"
พวกอั้งยี่จับน้ำทิพย์มานั่งบนรถลาก แล้วช่วยกันมัดมือติดกับรถ เพื่อไม่ให้กระโจนหนีกลางทาง น้ำทิพย์พยายามดิ้นสู้เต็มที่ แต่ก็สู้แรงพวกอั้งยี่ที่มีหลายคนไม่ไหว
พอมัดเสร็จ พวกอั้งยี่ก็ลากรถพาน้ำทิพย์หนีไปทันที
แก้วสู้กับเฉียวหูอย่างดุเดือด พยายามจะเข้าไปช่วยน้ำทิพย์แต่ก็ไม่ทัน เพราะเฉียวหูคอยสกัดไว้
เฉียวหูเห็นน้ำทิพย์ถูกพาไปแล้ว ก็ตะโกนลั่น
"แยกย้ายกันหนี เร็ว"
เฉียวหูกับพวกอั้งยี่ที่เหลือ รีบกระจายกันหนีกันไปคนละทิศละทาง หลังจากถ่วงเวลาสำเร็จ ไชยากรเจ็บหนักเพราะถูกซ้อม แต่ก็ห่วงลูกมากกว่า ตะโกนบอก
"ไอ้แก้ว เอ็งรีบขับรถม้าตามไปเร็ว ช่วยลูกน้ำทิพย์ให้ได้"
แก้วได้สติ รีบขึ้นรถม้าทันทีควบตามไปทันทีพร้อมกับลอยและลูกศิษย์หมื่นลพจำนวนหนึ่ง
ทาสชาย 2 คนกำลังเดินเวรยามอยู่บ้านไชยากร ทันใดนั้น เค้งก็เข้ามาล็อกคอจากทางด้านหลัง แล้วหักคอทาสชายตายคาที่ ทาสอีกคนตกใจสุดๆ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก็โดนเค้งขว้างกรรไกรขาเดียวปักอกตายคาที่ทันที เค้งยกมือส่งสัญญาณ พวกอั้งยี่กรูกันออกมาจากที่ซ่อนพร้อมอาวุธครบมือ แล้วบุกขึ้นเรือนทันที
ทันใดนั้น ก็เสียงปืนดังขึ้น อั้งยี่ที่วิ่งขึ้นเรือนคนแรก ถูกยิงตายทันที พวกอั้งยี่ตกใจ หันไปมองตาม เห็นพระยานิติธรรมยืนอยู่บนเรือน ในมือถือปืน
เค้งตะโกนลั่น
"ฆ่าพวกมันให้หมด"
เค้งชักกรรไกรขาเดียวออกมา พร้อมกับพวกอั้งยี่ที่บุกตะลุยเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
อ้น และพวกทาสชายที่ซุ่มอยู่บนเรือน พากันหยิบอาวุธออกมาสู้กับพวกอั้งยี่อย่างดุเดือด อบเชย อ้อน และพวกทาสหญิง ก็เอาไม้หรืออาวุธเท่าที่พอหาได้ ไล่ตีไล่ฟาดพวกอั้งยี่ที่บุกขึ้นเรือนมาจนกระเจิง
อั้งยี่คนหนึ่งจะเข้าทำร้ายพวกผู้หญิง แต่ก็โดนพระยานิติธรรมยิงตาย
"แม่อบเชย พาพวกผู้หญิงหนีไปก่อนเร็ว"
"เจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณ"
อบเชยรีบให้นมอ้อนพาพวกทาสหญิงหนีไปทางด้านหลัง เจ้าคุณนิติธรรมต่อสู้กับอั้งยี่ แต่พวกอั้งยี่มีจำนวนมาก พอยิงล้มคว่ำไปหนึ่งคน อีกคนก็เข้ามาฟันที่ด้านหลังพระยานิติธรรมทันที แต่อ้นฟันสวนไปก่อน เลยช่วยชีวิตพระยานิติธรรมเอาไว้ได้หวุดหวิด
"ไม่ต้องกลัวขอรับ ถ้าจะตาย กระผมขอตายก่อนท่านเจ้าคุณ"
พระยานิติธรรมยิ้มขอบใจ
ฝ่ายน้ำทิพย์ถูกเหวี่ยงเข้ามาในโรงสีแห่งหนึ่งจนเสียหลักล้มลง เธอเงยหน้าขึ้นมอง มาโนชอยู่ข้างหน้าเธอ
"พี่มาโนช ฉันนึกแล้วว่าต้องเป็นฝีมือพี่"
มาโนชยืนยิ้มร้ายมองน้ำทิพย์ เฉียวหูและอั้งยี่ลูกน้องยืนคุมเชิงอยู่
"ช่างรู้ใจพี่เสียจริงน้องน้ำทิพย์ สมแล้ว ที่เราเคยหมั้นหมายกันมาก่อน"
"ฉันมันโง่เอง เห็นว่าพี่ย้ายออกจากเรือนแลถอนหมั้นกันแล้ว เลยคิดว่าจะนับญาติกันต่อไปได้"
เธอจ้องหน้า สีหน้าแววตาดูถูกเย้ยหยัน
"ลืมไปว่าวิสัยแร้งกาย่อมอดกินซากเน่าไม่ได้ฉันใด คนชั่วก็อดที่จะทำชั่วไม่ได้ฉันนั้น"
มาโนชโมโห
"ถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะปากดีอยู่อีกรึ ดูซิ ว่าหากเปลี่ยนจากญาติเป็นผัวแล้ว ยังจะปากร้ายอยู่อีกหรือไม่"
"อย่านะ ถ้าทำอะไรฉัน ฉันจะฟ้องร้องพี่ให้ถึงที่สุด"
มาโนชหัวเราะชอบใจ
"ก็เอาซิ อยากเห็นคนรักหน้าตาอย่างคุณอาไปเป็นพยานเอาผิดพี่อยู่เหมือนกัน"
น้ำทิพย์หน้าเสีย เถียงไม่ออก รู้ดีว่าพ่อคงไม่ยอมเสื่อมเสียแน่ ได้แต่เจ็บใจแต่ไม่กล้าพูดอะไร
เฉียวหูหงุดหงิด
"จะทำอะไรก็เร็วๆเข้าเถอะ ข้อสัญญาระหว่างเรา จะได้จบสิ้นลงเสียที"
"เอ็งจะมาเร่งข้าทำไมวะ"
ทันใดนั้น อั้งยี่คนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
" ตั่วกอ ไอ้พวกนั้นมันตามมาแล้ว เอาอย่างไรดี"
มาโนชตกใจ
"พวกไหนกัน ใช่นครบาลหรือไม่"
น้ำทิพย์ยิ้มดีใจ พูดเบาๆกับตัวเอง
"แก้ว"
แก้วขับรถม้าพุ่งเข้าใส่พวกอั้งยี่ที่ตั้งแถวขวางอยู่ จนกระเจิงกันไปคนละทาง ก่อนจะชักดาบลงจากรถ พร้อมลอยและลูกศิษย์หมื่นลพจำนวนหนึ่ง ตรงเข้าใส่พวกอั้งยี่ทันที
พวกแก้วกับลอยมีฝีมือเหนือกว่า เล่นงานพวกอั้งยี่จนพ่ายแพ้ไป แก้วกับพวกรีบวิ่งเข้าไปในโรงสีทันที
ทันใดนั้น ก็มีกรรไกรขาเดียวอันหนึ่งถูกปาเข้าใส่แก้ว
"ระวัง"
ลอยเหลือบเห็นเข้า ก็ใช้ดาบในมือฟันกรรไกรที่พุ่งเข้าหาแก้วจนหล่นกระเด็นไป แก้วรอดได้หวุดหวิด ทันใดนั้น เฉียวหูก็นำพวกที่ซ่อนอยู่บุกเข้าจู่โจมทันที ลอยจำเฉียวหูได้
"ไอ้นี่เอง"
แก้ว และลอย กับพวกบุกเข้าสู้กับเฉียวหูและพวกอั้งยี่ทันที ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างดุเดือด ผลัดกันรุกรับ
แม้ลอยจะมีกำลังน้อยกว่า แต่พวกลอยมีฝีมือเหนือกว่า เลยสู้กันอย่างดุเดือด
ชั้นบนของโรงสี น้ำทิพย์ถูกเหวี่ยงลงบนเตียง มาโนชใช้ไม้ขัดประตูไว้ ไม่ให้คนข้างนอกเปิดเข้ามาได้
น้ำทิพย์ตรงเข้าไปทุบตีมาโนชไม่ยั้ง
"ปล่อยฉันนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้"
มาโนชโดนทุบตีเข้าไปหลายที จนโมโห เลยผลักน้ำทิพย์ล้มลงไปบนเตียง
"โอ๊ย"
"ฉันปล่อยแกแน่ แต่ขอให้ฉันได้ปราบพยศแกให้สาแก่ใจก่อนเถอะ"
น้ำทิพย์จ้องมาโนชเขม็ง
"ต่อให้พี่สร้างราคีให้ฉัน ฉันก็ไม่มีวันสยบยอมต่อพี่เป็นอันขาด แล้วอย่าคิดว่าฉันจะต้องทนอับอายเพื่อให้พี่ลอยนวล ถึงคุณพ่อจะเสียหน้าแค่ไหน ฉันก็ต้องลากคอพี่เข้าคุกให้ได้"
"ก็เอาซิ ฉันก็อยากรู้ ว่าสุดท้ายแล้วใครมันจะชนะ ถือว่าตัวเองเป็นลูกพระยาไชยากร หยิ่งยโสไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตา แต่กลับใฝ่ต่ำ ไปรักใคร่กับทาสอย่างไอ้แก้ว"
น้ำทิพย์มองมาโนชด้วยสายตาเกลียดชังสุดๆ
"ฉันรักแก้ว ไม่ว่าแก้วจะเป็นอะไร ฉันก็รักแก้ว แต่ฉันไม่มีวันรักคนชั่วช้าอย่างพี่ดอก"
"ก็ได้ เชิญแกไปรักไอ้ทาสนั่นให้สมใจแก แต่วาสนาทาสอย่างไอ้แก้ว ก็ได้แค่ของเหลือเดนที่ฉันคายทิ้งแล้วเท่านั้น"
มาโนชโมโหสุดขีด ตรงเข้าปลุกปล้ำน้ำทิพย์ทันที น้ำทิพย์สู้สุดชีวิต ทั้งหยิกข่วนกัด ไม่ยอมให้มาโนชล่วงเกินได้ง่ายๆ
ลอยกับพวก กำลังสู้กับพวกอั้งยี่อยู่ ต่างฝ่ายต่างรุกรับ ตอบโต้กัน ด้านแก้วก็กำลังสู้กับเฉียวหูอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างใช้ดาบเข้าฟาดฟันกัน แต่พอสู้ไปได้ซักพัก แก้วเริ่มตะลุยรุกไล่จนเฉียวหูชักต้านไม่ไหว ต้องถอยร่นไม่เป็นกระบวน แก้วโหมฟันจนดาบจีนของเฉียวหูหลุดจากมือ เฉียวหูเสียหลักล้มลง
แก้วเงื้อดาบจะฟันซ้ำ
เฉียวหูรีบยกมือไหว้
"อย่าๆ อั๊วถูกบังคับ อย่าฆ่าอั๊วเลย อย่าฆ่าอั๊ว"
แก้วชะงัก เห็นเฉียวหูยกมือไหว้ ก็ชักใจอ่อน ลังเล ทันใดนั้นเอง เฉียวหูก็ชักมีดเล่มเล็กๆที่ซ่อนอยู่ที่ชายพก ซัดใส่แก้วทันที แก้วตกใจ เบี่ยงตัวหลบตามสัญชาติญาณ มีดพุ่งเฉี่ยวแก้วไป แต่เฉียวหูก็ได้โอกาส ลุกขึ้นกระโดดถีบแก้วจนกระเด็นไป ก่อนจะเตะดาบในมือแก้วจนหลุดมือ
เฉียวหูหันไปหยิบตะขอสับที่อยู่บนกระสอบข้าว กะใช้ตะขอปักแก้วให้ตายคาที่ แก้วพลิกตัวหลบไปได้หวุดหวิด เฉียวหูก็ตามไล่สับต่อ ไม่ให้แก้วตั้งหลัก แก้วใช้มือจับข้อมือของเฉียวหูไว้ได้ทัน เฉียวหูพยายามจะปักตะขอลงปักที่ศีรษะแก้ว แต่แก้วก็พยายามเกร็งข้อมือฝืนเต็มที่
ทันใดนั้น แก้วก็ถีบยันเฉียวหูออกไป พอตั้งหลักได้ แก้วก็ตั้งการ์ด แล้วใช้วิชามวยไทยที่หมื่นลพสอนบุกเข้าใส่เฉียวหูทันที
เฉียวหูใช้ขอสับเล่นงานแก้ว แต่แก้วพลิกตัวหลบ ใช้วิชามวยไทยศอกกลับ ก่อนจะเข่าลอยใส่เฉียวหูจนกระเด็นไป เฉียวหูกระเด็นร่วงลงกับพื้น ทั้งเจ็บทั้งจุก แต่ก็เหลือบเห็นดาบจีนของตนหล่นอยู่ใกล้ๆ เลยรีบหยิบดาบจีนขึ้นมา กะเข้าสู้กับแก้วอีกรอบ
แต่ขณะนั้นเอง ลอยที่เพิ่งเล่นงานอั้งยี่สองคนพ่ายแพ้ไป ก็เข้ามาขวางหน้าเฉียวหูไว้
"เอ็งรีบไปช่วยคุณน้ำทิพย์เถอะ ข้าจัดการมันเอง"
"ฝากด้วยนะพี่ลอย"
แก้วรีบเดินเลี่ยงไปทันที ลอยและเฉียวหู จ้องหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเตรียมพร้อมห้ำหั่นกันเต็มที่
แก้วตามหาน้ำทิพย์ด้วยความร้อนใจ เขาเปิดประตูห้องโน้น ห้องนี้ แต่ก็ไม่พบน้ำทิพย์แม้แต่น้อย
ก่อนจะมาถึงห้องๆหนึ่งที่ปิดล็อกเอาไว้ เปิดไม่ออก แก้วรีบใช้ตัวกระแทกเพื่อเปิดห้อง กระแทกเข้าไปหลายทีจนประตูเปิดออกจนได้
พอประตูเปิดออก ก็เห็นน้ำทิพย์ถูกจับมัดมือ แล้วใช้ผ้าปิดปาก อยู่ข้างในจริงๆ น้ำทิพย์พูดไม่ได้ แต่พยายามแสดงอาการไม่ให้แก้วเข้ามาในห้อง
แก้วดีใจสุดขีด จนไม่ได้สังเกตอาการน้ำทิพย์
"คุณน้ำทิพย์"
แก้วรีบเข้ามาในห้องเพื่อจะช่วยน้ำทิพย์ แต่ทันใดนั้นเอง แก้วก็ถูกยิงจนล้มคว่ำลงไปกับพื้น เธอตกใจสุดขีด พยายามจะร้องออกมา แต่ก็ถูกผ้าปิดปากไว้ มาโนชค่อยๆเดินออกมาจากที่ซ่อน ด้วยสีหน้าสะใจสุดๆ ที่ใช้น้ำทิพย์เป็นเหยื่อล่อ จนสามารถลอบยิงแก้วได้
แก้ว ถูกยิงสลบ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย แต่เลือดนองเต็มพื้นไปหมด
อ่านต่อหน้า 3
ลูกทาส ตอนที่ 13 (อวสาน) ต่อ
พระยานิติธรรมเล็งปืนไปที่เค้ง แต่ก็ยังช้ากว่าเค้งที่ขว้างกรรไกรขาเดียวกระแทกปืนของเจ้าคุณจนหลุดกระเด็น เจ้าคุณไม่เป็นวิชาการต่อสู้ เลยถูกเค้งใช้วิชามวยจีนเล่นงานทันที
เค้งทั้งเตะต่อย จนเจ้าคุณถอยร่นไม่เป็นกระบวน เค้งม้วนตัวเตะ ต่อยเจ้าคุณจนเลือดกบปาก ร่วงลงกับพื้น
อ้นกำลังสู้กับพวกอั้งยี่อยู่ พอเห็นเจ้าคุณถูกเล่นงาน ก็เข้าไปช่วยทันที
อ้นใช้ดาบฟันใส่เค้ง แต่เค้งเก่งกว่าเยอะ พลิกตัวหลบแล้วใช้ฝ่ามือฟาดใส่อ้นจนกระอักเลือด
ทรุดลงกับพื้น อ้นตะเกียกตะกายมาบังพระยานิติธรรมไว้ ไม่ให้เค้งทำร้ายพระยานิติธรรมธาดา
เค้งยิ้มเหี้ยม ย่างสามขุมเข้ามาหาทั้งสองคน
แต่ทันใดนั้น นักเลงที่น้อมจ้างมา ก็บุกตะลุยเข้าใส่พวกอั้งยี่ พร้อมกับส่งเสียงโห่ร้องลั่น พวกนักเลงมีอาวุธครบมือ ร่วมกับพวกทาส เลยช่วยกันสู้กับพวกอั้งยี่ได้อย่างสูสี หลังจากที่พวกทาสเสียเปรียบมาพักใหญ่
อ้นดีใจมาก
"พวกนักเลงวัดนามบัญญัติมาช่วยพวกเราตามที่เจ้าแก้วบอกจริงๆด้วยขอรับ"
เค้งเห็นท่าไม่ดี เพราะพวกนักเลงก็มีฝีมือแถมรวมกับพวกทาสแล้วก็เยอะกว่าพวกตน คงจะฆ่าหมดทั้งเรือนตามแผนไม่ได้แน่
เค้งหันไปพูดกับพวกอั้งยี่
"พวกลื้อยันมันเอาไว้ ส่วนพวกลื้อตามอั๊วไปที่ห้องเก็บสมบัติเดี๋ยวนี้"
เค้งรีบนำอั้งยี่กลุ่มหนึ่งไปทันที พระยานิติธรรมธาดาแม้จะบาดเจ็บ แต่ก็ปล่อยให้เค้งปล้นสมบัติไปไม่ได้
น้ำทิพย์ดิ้นจนหลุดจากผ้าที่มัด แล้วรีบดึงผ้าที่อุดปากออกทันที ก่อนจะวิ่งไปหาแก้ว ที่ถูกยิง
จนสลบเลือดนองพื้นทั้งน้ำตานองหน้า มาโนชยืนยิ้มสะใจอยู่ใกล้ๆ
"แก้ว ฟื้นสิแก้ว แก้ว"
มาโนชหัวเราะสะใจดังลั่น
น้ำทิพย์หันไปมองมาโนชด้วยความแค้น เกลียดชังสุดๆ
"ไอ้แก้ว ในที่สุดมึงก็มีวันนี้ วันที่มึงตายด้วยน้ำมือกู ไอ้ลูกทาสเอ๊ย ถ้ามึงอดใจรอให้กูลิ้มชิมรสเสียก่อน กูก็จะคืนน้ำทิพย์ให้มึงเพื่อกินเดนเหลือต่อจากกูอยู่แล้ว มึงไม่น่ารีบร้อนเข้ามาหาที่ตายเลย"
" แกอย่าได้หวังเลยว่าจะทำลายฉันได้ ฉันยอมตายเสียดีกว่า ที่จะยอมคนอย่างแก"
มาโนชหัวเราะเยาะเย้ยเสียงดัง
พวกอั้งยี่กำลังใช้ก้อนหิน ทุบทำลายกุญแจที่ล็อกห้องเก็บหีบสมบัติ แต่ทุบเพียงไม่กี่ที กุญแจก็พัง เค้งถีบใส่ประตูห้องเก็บสมบัติจนเปิดออก
พอเปิดออก ก็เห็นหีบสมบัติวางอยู่ในห้องเต็มไปหมด เค้งพาพวกอั้งยี่เข้ามาขนหีบสมบัติทันที
-แต่ขณะที่กำลังขนของออกไป ก็เจอพระยานินิติธรรม อ้น และพวกทาส ดักทำร้ายอยู่ที่หน้าห้อง
ใช้ทั้งดาบทั้งไม้ไล่ฟันไล่ตีพวกอั้งยี่จนบาดเจ็บไป
เค้งตกใจ จะรีบเข้าไปช่วย แต่พวกทาสรีบดันประตูปิดทันทีไม่ให้พวกอั้งยี่ออกมาจากห้อง
พวกอั้งยี่ผลักประตูจะออกไป แต่ประตูแคบ ออกได้พร้อมกันไม่เกินสองคน เลยทำให้พระยา
นิติธรรมกับอ้นดักทำร้ายได้ง่ายๆ ก่อนจะรีบปิดประตูอีก
เค้งตกใจที่พระยานิติธรรมใช้แผนนี้ ล่อให้พวกตนออกไปทีละคนสองคนแล้วก็ทำร้าย
เค้งเลยรีบถอยหลังแล้ววิ่งกระโดดกระแทกประตูจนเปิดออก พร้อมกับตัวของเค้งที่หลุดออกมา
จนพระยานิติธรรมกับอ้นเลยทำร้ายไม่ทัน
พวกอั้งยี่ก็กรูกันออกมา อ้นเลยต้องหันไปรับมือ ปล่อยให้เค้งใช้วิชามวยจีนสู้กับเจ้าคุณ
ตัวต่อตัว เจ้าคุณสู้เค้งไม่ได้ โดนเตะต่อย ทำร้ายจนบาดเจ็บไปไม่น้อย
อ้นรีบเข้าไปช่วย แต่สองรุมหนึ่ง ก็ยังเจอวิชามวยจีนของเค้งทำร้ายจนสะบักสะบอมไปทั้งคู่
น้ำทิพย์กวาดตามองหาช่องทางเอาตัวรอด ไปทางหน้าต่างระเบียง
"ก็เอาซิ ที่นี่ก็สูงอยู่ กระโดดลงไปเลยสิ จะได้ตายสมใจ แต่ถ้าเก่งแต่ปาก ก็ยอมให้ฉันเชยชมเสีย แล้วฉันจะสงเคราะห์ด้วยการให้เป็นเมียน้อยก็แล้วกัน"
"ฉันยอมตายเสียดีกว่า"
ขาดคำ น้ำทิพย์ก็ลุกขึ้นแล้วจะกระโดดลงไปจริงๆอย่างที่มาโนชท้า แต่มาโนชไวกว่า ดึงเธอกลับมาได้
"คิดว่าฉันจะปล่อยให้ตายง่ายๆรึ ถ้าจะตาย ก็ต้องหลังจากได้ชื่อเป็นเมียฉันแล้วเท่านั้น"
มาโนชเข้าปลุกปล้ำน้ำทิพย์ทันที น้ำทิพย์กรีดร้องสุดเสียง พยายามสู้เต็มที่ แต่ก็สู้แรงมาโนชไม่ไหว
ทันใดนั้นเอง แก้วก็ลุกขึ้น กระชากคอมาโนชด้วยมือเดียวออกมา เพราะแก้วถูกยิงที่ไหล่ทำให้ไม่สามารถใช้มืออีกข้างได้ แก้วชกมาโนชเต็มเหนี่ยวจนล้มคว่ำไป ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
บนเรือนไชยากร อ้นถูกเค้งม้วนตัวเตะ จนเลือดกบปากล้มลงกับพื้น
"เจ้าอ้น" เจ้าคุณเรียกอย่างเป็นห่วง
ขาดคำ เค้งก็เตะจนเจ้าคุณร่วงไปอีกคน แล้วชักกรรไกรขาเดียวออกมา จ้วงแทงพระยานิติธรรมทันที
เจ้าคุณรีบใช้มือรับกรรไกรขาเดียวไว้ จนถูกคมกรรไกรบาดมือ เลือดไหลอาบ แต่ก็สามารถจับกรรไกรของเค้งไว้ ไม่ให้จ้วงแทงตนได้
พวกอั้งยี่คอยดูอย่างลุ้นระทึก
"ยืนดูอะไร รีบขนสมบัติหนีไปสิ อีกเดี๋ยวอั๊วฆ่าพวกมันสองคนเสร็จ ก็จะตามไป" เค้งตะคอก
พวกอั้งยี่รีบกลับเข้าไปขนสมบัติทันที
จังหวะนั้นเอง เค้งกดกรรไกรลงไปเรื่อยๆ เจ้าคุณสู้แรงไม่ไหว จนในที่สุด กรรไกรก็ปักลงไปที่หัวไหล่จนพระยานิติธรรมธาดาร้องด้วยความเจ็บปวด
อ้นที่นอนรวยรินอยู่กับพื้น รีบลุกขึ้น จะใช้ไม้ฟาดไปที่ด้านหลังเค้งทันที แต่เจอเค้งเตะสวนเข้าเต็มหน้าจนอ้นสลบเหมือด
เจ้าคุณใช้จังหวะนั้นรีบดึงกรรไกรขาเดียวออก แล้วบิดข้อมือเค้งให้กรรไกรในมือเค้งแทงสวนเข้าที่ท้องเค้งเอง จนกรรไกรมิดด้าม
เค้งตาเหลือกค้าง ก่อนร่างจะค่อยๆทรุดลงไปขาดใจตาย ท่ามกลางความตกใจสุดๆของพวกอั้งยี่ที่เรียก
" ยี่กอ"
พวกอั้งยี่ขวัญเสียหนัก ตกใจกลัว รีบทิ้งหีบสมบัติแล้วหนีเอาตัวรอดไปทันที พระยานิติธรรมธาดาทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง แทบเอาชีวิตไม่รอด
ฝ่ายลอย กับเฉียวหู ดวลดาบกันอย่างดุเดือด ผลัดกันรุกผลัดกันรับ เช่นเดียวกับลูกศิษย์หมื่นลพที่ไล่ถล่มพวกอั้งยี่ จนเริ่มแตกพ่ายกันไปทีละคน
ลอยและเฉียวหูสู้กันด้วยเพลงดาบอย่างสูสี ก่อนที่เฉียวหูจะได้โอกาสกระแทกข้อมือลอยจนดาบหลุด
เฉียวหูฉวยโอกาสไล่ฟันลอย แต่ลอยก็ใช้วิชามวยไทยสู้กับเฉียวหู ก่อนจะกระแทกจนดาบของเฉียวหูหลุดบ้าง
ลอย เฉียวหู หันมาสู้กันด้วยมือเปล่าระหว่างมวยจีนกับมวยไทย ผลัดกันรุกรับ ต่างฝ่ายต่างโดน
แต่ก็ไม่มีใครยอมใคร สู้กันได้ซักพัก ลอยก็เริ่มได้เปรียบ ลุยเตะจนเฉียวหูจนถอยกรูด
เฉียวหูกัดฟันลุยสวน ม้วนตัวเตะเข้าเต็มชายโครงของลอย แต่ลอยยอมโดนเตะ แล้วจับขาเฉียวหูไว้ ก่อนจะใช้แม่ไม้มวยไทย หักขาเฉียวหูทันที เฉียวหูร้องด้วยความเจ็บปวดสุดๆ
เฉียวหูโดนหักขาร่วงลงไป พยายามกระเสือกกระสนจะลุกขึ้นแต่ก็ไม่ไหว โดนจับตัวเอาไว้ได้
ส่วนพวกอั้งยี่คนอื่นๆ ก็โดนเล่นงานจนบางคนก็บาดเจ็บ บางคนก็หนีเตลิดไปจนหมด
ห้องชั้นบนในโรงสีข้าว มาโนชโดนแก้วต่อยหน้าจนเลือดกบปาก มาโนชจะยิงแก้วอีก แต่แก้วเข้าไปจับข้อมือบิดจนปืนหลุด
มาโนชกัดฟันจับไปที่แผลที่โดนยิงของแก้ว แล้วกดสุดแรง แก้วเจ็บปวดต้องปล่อยข้อมือมาโนช ทำให้มาโนชได้โอกาสตีเข่าไปที่ลำตัวของแก้วเข้าไปหลายที ก่อนจะต่อยแก้วจนผงะออกไป
มาโนชจะเข้ามาหยิบปืน แต่ช้าเกินไป น้ำทิพย์เข้ามาแย่งปืนไว้ได้ก่อน
"เอามานี่"
มาโนชกับน้ำทิพย์ต่างฝ่ายต่างยื้อยุดฉุดกระชากแย่งปืนกัน แก้วได้โอกาส เข้าไปล็อกคอมาโนชด้วยแขนข้างเดียว แล้วลากมาโนชออกมาให้พ้นจากน้ำทิพย์ แก้วล็อกแน่น เป็นตายก็ไม่ยอมปล่อย
มาโนชถอยหลัง เอาตัวของแก้วกระแทกกับที่กั้นระเบียง แต่แก้วก็ไม่ยอมปล่อย มาโนชเลยกระแทกซ้ำอีก ซ้ำอีกๆ กะให้แก้วปล่อยตนให้ได้
ทันใดนั้น ไม้ที่กั้นระเบียงอยู่ซึ่งไม่แข็งแรงนักก็พังลง ทั้งตัวของแก้วและมาโนช ต่างพลัดตก
ออกไปทันที
น้ำทิพย์ตกใจสุดชีวิต
"แก้ว"
น้ำทิพย์พุ่งตามไปดูพบว่า แก้วใช้มือข้างที่ไม่โดนยิงเกาะยึดพวกขื่อคานโรงสีเอาไว้ทัน ส่วนมาโนช
ตกไปตายอนาจที่พื้นเบื้องล่างแล้ว แก้วมีสีหน้าเจ็บปวดทรมานจะไม่ไหวแล้ว น้ำทิพย์รวมแรงที่มีทั้งหมดรีบช่วยดึงแก้วขึ้นมาได้ แก้วและน้ำทิพย์สวดกอดกันเอาไว้แน่น
น้ำทิพย์ร้องไห้จนตัวสั่นสะท้านสวมกอดแก้วไว้อย่างไม่ยอมปล่อย แก้วเองก็กอดน้ำทิพย์
ปลอบประโลมเอาไว้
ตำรวจพาน้ำทิพย์ในสภาพอิดโรยเดินกลับขึ้นเรือนมา ไชยากร และนิ่ม รออยู่ด้วยความเป็นห่วง รีบเข้าไปหาน้ำทิพย์ทันที น้ำทิพย์น้ำตาคลอ เข้าไปกอดพ่อทันที
"คุณพ่อ"
ไชยากรห่วงลูกสุดๆ
"ขวัญเอ๋ยขวัญมานะลูก เป็นยังไงบ้าง"
น้ำทิพย์น้ำตาคลอ
"ลูกปลอดภัยดีค่ะ แล้วคุณพ่อกับแม่นิ่มเป็นอย่างไรบ้างคะ"
"ก็โดนทำร้ายเจ็บตัวอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นอะไรมากดอก เพียงแต่..."
ไชยากรหน้าเสียไม่สบายใจที่เรือนถูกปล้น น้ำทิพย์เห็นสีหน้าพ่อ ก็สังหรณ์ใจ
"เกิดอะไรขึ้นคะ"
"พวกอั้งยี่มันบุกเข้ามาปล้นค่ะ แต่ท่านเจ้าคุณนิติธรรม กับคนของแม่ฉันมาช่วยเอาไว้ทัน มันเลยเอาทรัพย์สมบัติไปไม่ได้" นิ่มบอกแต่หน้าเสียสงสารบ่าวไพร่สุดๆ
"แต่ก็ต้องมีคนมารับเคราะห์ ทั้งตายทั้งบาดเจ็บอยู่หลายคนเหมือนกัน"
น้ำทิพย์หน้าถอดสี คิดไม่ถึงว่าทางบ้านจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น
"แล้วน้องล่ะคะ"
"พอพวกโจรบุกขึ้นมา นมอ้อนก็รีบพาไปซ่อนตัว ปลอดภัยดีทุกอย่างค่ะ"
น้ำทิพย์ถอนใจโล่งอกไปได้บ้าง
ไชยากรแค้นมาก หันไปถามตำรวจที่มาส่งน้ำทิพย์
"แล้วตกลงรู้ตัวไอ้คนบงการแล้วหรือไม่"
ตำรวจหน้าเสียบอก
"รู้แล้วขอรับ คนบงการก็คือคุณมาโนช หลานชายของท่านเจ้าคุณขอรับ"
ไชยากรตกใจมาก พูดอะไรไม่ออก
"พี่มาโนชร่วมมือกับพวกอั้งยี่มาฉุดลูกค่ะ โชคดีที่แก้วตามมาช่วยเอาไว้ได้ทัน แต่แก้วก็ถูกยิงบาดเจ็บ ตอนนี้หมอกำลังผ่าเอากระสุนออกอยู่ค่ะ ส่วนพี่มาโนช ตายแล้วค่ะ"
ไชยากรหน้าเสียขึ้นไปอีก ที่รู้ข่าวการตายของมาโนช
"เวรกรรมแท้ๆเลย ...ท่านเจ้าคุณก็เหลือเกิน นี่ถ้าเชื่อที่แก้วมาเตือนตั้งแต่ต้น ก็คงไม่ต้องสูญเสียกันขนาดนี้ดอกค่ะ" นิ่มบอก
ไชยากรนิ่งขรึมไป กระอักกระอ่วนใจ รู้สึกกว่าเรื่องนี้คงต้องรับผิดอยู่ไม่น้อยจริงๆ ที่ไม่เชื่อคำพูดของแก้ว
เวลาเช้า บริเวณลานกว้างหน้าเรือนไชยากร พวกทาสหญิงกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ต่อหน้าไชยากร นิ่ม น้อม อบเชย และอ้อน อ้อนร้องไห้ สงสารพวกทาส
"พวกผู้หญิงหลบซ่อนทัน จึงไม่มีใครเป็นอะไรเจ้าค่ะ แต่พวกผู้ชาย ถูกฆ่าไปถึงสิบห้าคน ที่เหลือก็บาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้างกันถ้วนทุกคน"
"เพราะพวกทาสช่วยกันปกป้องเรือนไว้ ถึงได้เจ็บตายกันถึงเพียงนี้ ถ้าต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด ก็คงไม่เป็นอย่างนี้ดอก" อบเชยว่า
ไชยากรหน้าเครียดๆสั่ง
"แม่นิ่ม เป็นธุระจัดงานศพให้คนที่ตายด้วย แลให้เงินทำขวัญพวกทาสทุกคน อย่าให้ขาดตกบกพร่องล่ะ"
"ค่ะ ฉันจะทำอย่างดีที่สุดค่ะ"
น้อมไม่อยากเชื่อหูตัวเอง อดแดกดันไม่ได้
"อุ๊ย ใจกว้างขนาดนี้เชียว ทุกทีเห็นรังเกียจพวกทาสยังกะอะไรดี ตอนนี้กลับมาเห็นค่าแล้วรึ"
น้อมชายหางตาค้อนใส่ไปมา ไชยากรหน้าบึ้งตึง เดินเลี่ยงไปทันที นิ่มอ่อนใจสุดๆ
"แม่ มีคนบาดเจ็บล้มตายขนาดนี้ ยังจะแขวะท่านเจ้าคุณอีกรึ"
น้อมทำท่าจะเถียง แต่พอเหลือบเห็นทุกคนมองมาที่ตนเป็นตาเดียว ด้วยสายตาเชิงตำหนิ เลยทิ้งค้อน แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก นิ่มมองตามสามีด้วยสายตาสงสาร เห็นใจ
ภายในบ้านเช่า แก้วยันกายลุกขึ้นนั่ง ทั้งๆที่บาดเจ็บ ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ไม่อยากเชื่อสายตา
"ท่านเจ้าคุณ"
ไชยากรยืนมองแก้ว ที่นอนพักรักษาตัวอยู่
" นี่ท่านเจ้าคุณมาได้อย่างไรกันขอรับ แล้วท่านเจ้าคุณมาคนเดียวหรือขอรับ"
ไชยากรหน้าบึ้งตึงอยู่
"แล้วเอ็งเห็นคนอื่นมากับข้าด้วยหรือไม่เล่า ถามโง่ๆ"
แก้วหน้าเสีย
"ท่านเจ้าคุณมีอะไรจะใช้กระผมหรือขอรับ"
ไชยากรท่าทางหยิ่งไว้ตัว
"ได้ยินว่าเอ็งถูกยิงบาดเจ็บ ข้าก็เลยมาเยี่ยม"
แก้วยกมือไหว้
"ขอบพระคุณขอรับ เมื่อคืนหมอผ่าเอากระสุนออกให้แล้ว แต่กระผมสลบ เพิ่งฟื้นเมื่อรุ่งสางนี่เองขอรับ ตอนนี้ยังปวดแผลอยู่ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้วขอรับ"
ไชยากรพยักหน้ารับ
"ถ้าเอ็งขาดเหลือเงินทองค่ารักษา ก็บอกข้ามา ข้าจะให้ ถือว่าข้าขอบใจเอ็ง ที่เอ็งเคยเตือนข้าเรื่องพ่อมาโนช"
ไชยากรชี้หน้า แก้ว แล้วพูดต่อ
"แต่เอ็งอย่าได้คิดเป็นอันขาด ว่าข้าทำดีกับเอ็งแล้ว เอ็งจะตีตัวขึ้นมาเสมอข้าได้"
" กระผมไม่เคยคิดตีตัวเสมอท่านเจ้าคุณเลย ที่กระผมเพียรพยายามอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อแสดงให้เห็น ว่าถึงแม้ กระผมจะเกิดมาเป็นทาสแต่ใจกระผมมิได้เป็นทาสด้วย วันหนึ่งที่มีโอกาส กระผมก็สามารถได้ดีเช่นคนอื่นที่เกิดมาเป็นไทได้เช่นกัน"
ไชยากรยิ้มมุมปาก หมั่นไส้
"เอ็งพูดเช่นนี้ คงแค้นเคืองที่ข้าเคยกดหัวเอ็งสินะ แล้วเหตุใดไม่ล้างแค้นเสียเลยเล่า เพราะนางกิ่งแม่เอ็ง ก็ตายเพราะข้า"
แก้วก้มลงกราบเท้า ไชยากรตกใจ คิดไม่ถึง
"กระผมไม่เคยลืม ว่าหากท่านเจ้าคุณมีเมตตาสักเพียงนิด แม่ของกระผมก็คงไม่ตาย แต่กระผมก็ไม่เคยลืมอีกเช่นกัน ว่าท่านเจ้าคุณเลี้ยงดู ให้ข้าว ให้น้ำแลหยูกยารักษายามเจ็บไข้ แก่พ่อแม่แลตัวกระผม กระผมจึงไม่เคยคิดแค้นท่านเจ้าคุณเลย ขอท่านเจ้าคุณ อย่าได้คลางแคลงใจไอ้แก้วในข้อนี้อีกเลยขอรับ"
ไชยากรเห็นแก้วพูดจากใจจริง ไม่โกรธเคือง ก็ขบกรามแน่น ไม่พูดอะไร ก่อนจะเดินลงจากเรือนไป
แก้วแปลกใจ ไม่รู้ว่าไชยากรคิดอะไรอยู่กันแน่
บรรยากาศในกระทรวงยุติธรรม มีข้าราชการมาทำงานมากมาย บุญเจิมยื่นจดหมายฉบับหนึ่ง ให้ข้าราชการคนหนึ่งรับไป
"พี่แก้วให้ฉันมายื่นจดหมายลาให้พระคุณเจ้าค่ะ"
ข้าราชการ 1ยิ้มแย้ม
"ข่าวเรื่องเสมียนแก้วสู้กับพวกอั้งยี่ โด่งดังไปทั่วพระนคร ถึงไม่ส่งจดหมายลา ฉันก็ต้องให้หยุดพักรักษาตัวอยู่แล้ว เอ่อ แล้วหล่อนชื่ออะไรล่ะ ถ้าเจ้านายฉันถาม ว่าใครเป็นคนมาส่งจดหมายลา ฉันจะได้กราบเรียนท่านถูก"
"ฉันชื่อบุญเจิมเจ้าค่ะ"
ข้าราชการ 1 หน้าเจื่อนไปทันที พอจะรู้เรื่องของบุญเจิมอยู่บ้าง เลยรีบพยักหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปทันที
บุญเจิมมองตามแบบงงๆ ขณะกำลังจะเดินกลับ ก็มีข้าราชการสองคนเดินคุยผ่านมา
ข้าราชการ 2
"พวกอั้งยี่มันร้ายกาจออกจะตาย เสมียนแก้วยังกล้าต่อกรด้วย คนกล้าอย่างนี้ ภายหน้าต้องได้เป็นใหญ่เป็นโตแน่"
ข้าราชการ 3
"กล้าก็จริง แต่ดันมีเมียเป็นพวกขี้คุกเสียได้ แล้วใครจะไว้ใจให้ทำเรื่องสำคัญกัน ฉันว่าเป็นเสมียนไปจนตายนั่นแหละ"
บุญเจิมได้ยินเต็มสองหู ทั้งเสียใจ ทั้งสงสารแก้วสุดๆ ที่ตนกลายเป็นตัวถ่วงความเจริญของแก้ว
เวลาบ่าย ภายโบสถ์ในวัดแห่งหนึ่ง บุญเจิมกำลังนั่งพับเพียบร้องไห้สะอึกสะอื้น พร้อมกับพูดคุยกับพระพุทธรูปที่ใส่อัฐิของคอก
"ข้าควรจะทำอย่างไรดีไอ้คอก ยิ่งข้าอยู่ ก็ยิ่งฉุดให้พี่แก้วตกต่ำลง แต่ข้าจะไป พี่แก้วก็ไม่ยอม ข้ารู้ ว่าพี่แก้วติดค้างหนี้น้ำใจข้า แต่ข้าก็ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนทำลายความเพียรของพี่แก้วเลย ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว เอ็งช่วยบอกข้าทีเถิด"
บุญเจิมสีหน้าอัดอั้นตันใจน้ำตาไหลพรากๆ เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็จนปัญญาจะแก้ไขได้แล้ว
ขณะนั้นเอง เสียงพระสงฆ์รูปหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
"ไม่มีใครตอบสีกาได้ดอก"
บุญเจิมหันกลับไป เห็นพระภิกษุวัยกลางคนรูปหนึ่ง กำลังยืนมองตนอยู่ เธอเช็ดน้ำตาแล้วพนมมือ"ทำไมหลวงพ่อพูดอย่างนั้นล่ะเจ้าคะ"
"เพราะทุกข์ของสีกา เกิดจากใจของสีกาเอง ถ้าจะดับก็ต้องดับที่ใจของสีกา ไม่ใช่ถามคนอื่นหรือถามพระพุทธรูป"
"อีชั้นเป็นคนโง่เขลา ถ้าจะให้ดับทุกข์ที่มีด้วยตัวของตัวเอง คงทำไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ หลวงพ่อเมตตาชี้ทางให้อีชั้นด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
พระยิ้มบางๆ
"อาตมาเองก็ช่วยสีกาไม่ได้ดอก แต่ธรรมะของพระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ให้พิจารณาว่าเหตุแห่งทุกข์นั้นว่าเกิดจากอะไร แล้วใช้ปัญญาของตัวเอง แก้ไขที่เหตุนั้น โยมลองพยายามดูก่อนเถิด"
บุญเจิมนิ่งคิดตามที่พระภิกษุสอน ค่อยๆคิดทบทวนไปทีละน้อย
น้อม และอบเชย ยกสำรับอาหารเย็นมาให้แก้วที่บ้านเช่าตอนหัวค่ำ โดยมีน้ำทิพย์ และอ้อน
กำลังช่วยดูแลให้แก้วลุกขึ้นนั่งทานอาหาร
"นี่ถ้าพวกฉันไม่แวะมาเยี่ยม พ่อแก้วมิต้องอดข้าวเย็นดอกรึ นังบุญเจิมนี่ไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ"
น้อมทิ้งค้อนอย่างหงุดหงิด แก้วหน้าเครียด
"แต่กระผมเป็นห่วงนังเจิมมันมากกว่านะขอรับ จนป่านนี้แล้วยังไม่กลับอีก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น"
"ไม่มีอะไรดอก พอเอาจดหมายไปส่งให้แก้วเสร็จ ก็คงไปเลือกซื้อของเพลิน จนมืดค่ำเท่านั้นเอง" อบเชยบอก
"แต่นังเจิมมันไปตั้งแต่เที่ยงแล้วนะแม่อบเชย ถ้าจะเลือกซื้อของอะไร ก็น่าจะกลับได้แล้ว" แก้วว่า
น้ำทิพย์ไม่สบายใจ
"หรือว่าบุญเจิมจะหนีไปอีกจ๊ะ"
น้ำทิพย์เหล่มองนมอ้อนที่ชักร้อนตัว
"นมไม่เกี่ยวนะคะคุณน้ำทิพย์ นมสัญญาแล้ว ว่าจะไม่พูดจาว่าร้ายนังบุญเจิมอีก นมก็ไม่ทำจริงๆเจ้าค่ะ"
"ถ้าอย่างนั้น แก้วรออีกซักพักก่อนแล้วกันนะจ๊ะ ถ้าบุญเจิมยังไม่กลับมา ฉันจะให้คนออกตามหาให้"
"ขอรับ"
แก้วสีหน้าเครียดกังวล ห่วงบุญเจิมว่าจะมีอันตรายหรือไม่ก็หนีไปอีก
ผ่านเวลาหลายวัน ในสถานที่ต่างๆ อบเชยกำลังเดินตามหาบุญเจิมอยู่ในตลาด เจอพ่อค้าแม่ค้าคนไหนก็เข้าไปถาม แต่ก็ไม่มีใครเห็นบุญเจิมเลย อบเชยไม่ย่อท้อออกตามหาต่อไป, น้อมกำลังคุยกับตำรวจ 2 นายเพื่อให้ช่วยตามหาบุญเจิม บอกรูปพรรณสัณฐานบุญเจิม น้อมเห็นตำรวจหนุ่มหน้าตาดีก็มีมือไม้ถึงตัวบ้างตามนิสัย, ตอนกลางคืน เห็นน้ำทิพย์กำลังสอบถามพวกทาสที่ส่งไปตามหาบุญเจิม แต่ก็ไม่มีใครเจอ
จนน้ำทิพย์หน้าเสียเพราะห่วงบุญเจิม, ตอนกลางวัน น้ำทิพย์ออกตามหาบุญเจิมด้วยตนเองที่ย่านร้านค้า มีบ่าวติดตามมาด้วย แต่ก็ไม่มีใครเห็นบุญเจิมเลย น้ำทิพย์ได้แต่ถอนใจออกมาอย่างจนใจ ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหนแล้ว
เช้าวันหนึ่ง น้ำทิพย์ประคองแก้วเดินมาที่บริเวณวัด
"ฉันก็ส่งคนออกตามหาแล้ว แก้วไม่เห็นต้องมาด้วยตัวเองเลย ยังบาดเจ็บอยู่แท้ๆน่าจะพักฟื้นอยู่ที่เรือน"
"กระผมร้อนใจขอรับ คงรอฟังข่าวอยู่ที่เรือนไม่ได้ดอกขอรับ แลที่วัดนี้ ยังเป็นที่ไว้อัฐิไอ้คอกด้วย นังเจิมอาจจะมาที่นี่ก็เป็นได้"
ขณะนั้นเอง แก้วและน้ำทิพย์ก็เหลือบเห็นอุบาสิกาคนหนึ่ง กำลังกวาดลานวัดอยู่
"ลองถามอุบาสิกาท่านนั้นดูก่อนเถอะ"
แก้ว และน้ำทิพย์รีบเดินเข้าไปหา
"อุบาสิกาขอรับ"
อุบาสิกาหันกลับมา ปรากฏว่าเป็นบุญเจิมที่สวมชุดอุบาสิกา นุ่งขาวห่มขาวแล้วนั่นเอง น้ำทิพย์ตกใจมาก นึกไม่ถึง
"บุญเจิม"
แก้วตกใจมาก นึกไม่ถึง
"เกิดอะไรขึ้น ทำไม"
บุญเจิมน้ำเสียงนิ่ง สงบ
"นี่คงมาตามหาฉันล่ะสิ ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เป็นห่วง เมื่อคืน ฉันอยู่ที่วัดทั้งคืน เพิ่งปลงตกคิดได้เมื่อรุ่งสางนี่เอง ก็เลยตัดสินใจถือศีล หากมีวาสนา ก็จะได้บวชในภายภาคหน้า"
แก้วและน้ำทิพย์อึ้งๆ ชำเลืองมองหน้ากันเล็กน้อย
" นี่ก็กะว่าสายๆจะกลับเรือนไปบอกอยู่พอดี"
แก้วไม่สบายใจมาก
"เป็นเพราะข้าใช่หรือไม่ เพราะเอ็งเกรงว่าจะเป็นตัวถ่วงข้า แต่จะหนีไปอีก ข้าก็ไม่ยอม จึงตัดสินใจทำเช่นนี้"
"แรกเริ่มเดิมทีก็เป็นเช่นนั้น แต่หลังจากฉันปลงตกใจ ฉันก็สงบลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แลฉันก็อยากถือศีล อุทิศส่วนกุศลให้กับคอกด้วย หากเป็นไปได้ ฉันก็อยากรับใช้บวรพระพุทธศาสนาตลอดไป"
แก้วและน้ำทิพย์ค่อยๆยกมือไหว้ อนุโมทนาหนทางบุญของบุญเจิม
อ่านต่อหน้า 4
ลูกทาส ตอนที่ 13 (อวสาน) ต่อ
ผ่านเวลา 4-5 ปี ภายในศาลาวัด แก้วกำลังสอนหนังสือให้เด็กๆอยู่ในศาลาวัด โดยให้เด็กๆ อ่านหนังสือเรื่องสามก๊ก ซึ่งทำให้เด็กรู้จักการผันเสียงวรรณยุกต์ เด็กๆ อ่านพร้อมกัน
"อ้วนเสี้ยวมีทหารเป็นอันมาก แต่หาความคิดมิได้ ท่านอย่าปรารมภ์ด้วยทหารเราน้อย ถ้ายกไปทำการศึกแก่ อ้วนเสี้ยว ข้าพเจ้าเห็นท่านจะมีชัยชนะสิบประการ แลอ้วนเสี้ยวนั้นจะแพ้แก่ท่านสิบประการ"
พระยานิติธรรมธาดาเดินเข้ามายืนฟัง แก้วเหลือบไปเห็น ก็บอกเด็กๆ
"หยุดก่อน เดี๋ยวครูมา"
แก้วรีบออกไปหา ยกมือไหว้ไหว้ ยิ้มแย้ม
"ท่านเจ้าคุณมาทำบุญหรือขอรับ"
"มาหาแกต่างหาก ตอนแรกไปที่เรือน แต่เจ้ากริชมันบอกว่าแกมาสอนหนังสือเด็กๆที่นี่ ฉันก็เลยตามมา เออ เจ้ากริชนี่ยิ่งโตยิ่งเข้าท่าเข้าทาง ฉันว่าแกไม่เสียแรงที่เลี้ยงดูมันแน่"
" ขอรับ กระผมก็กะว่าถ้าแก่ตัวลง ก็จะฝากผีฝากไข้กับเจ้ากริชนี่ล่ะขอรับ เอ่อ แล้วท่านเจ้าคุณมีกิจธุระอะไรกับกระผมหรือขอรับ ใช่เรื่องกรมหลวงท่านหรือไม่ขอรับ"
" ใช่ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ท่านถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมแล้ว ผู้ที่จะขึ้นแทนก็คือพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าระพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์"
แก้วคิดตาม จดจำชื่อไว้จนขึ้นใจ
"กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์"
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าระพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ในปีพุทธศักราช2439 และในปีพุทธศักราช 2440 ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อผลิตนักกฎหมายรุ่นใหม่ให้รองรับกับระบบใหม่ของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งนับเป็นก้าวย่างสำคัญของประเทศไทยในเวลาต่อมา
แก้วเรียนกฎหมายอยู่ โดยมีข้าราชการอื่นร่วมเรียนด้วย 4-5 คน และมีกรมหลวงราชบุรีฯทรงเป็นอาจารย์สอน โดยห้องที่สอนเป็นเพียงห้องว่างๆ ในกระทรวงยุติธรรม
"ซึ่งในระยะแรก มีผู้สนใจเข้าเรียนไม่มากนัก โดยกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ทรงสอนเองทุกวัน"
ผ่านเวลา แก้วหอบตำราเดินเข้าห้องเรียนมา แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อห้องเรียนแออัดยัดเยียดไปด้วยข้าราชการจำนวนมาก ที่อยากมาเรียนกฎหมาย
"แต่ต่อมา มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก จนสถานที่เดิมไม่พอเรียน และในปลายปีนั้นเอง ก็ได้มีการสอบไล่เป็นเนติบัณฑิตขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก"
พระองค์เจ้าระพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ได้รับการยกย่องให้เป็น “พระบิดาแห่งกฎหมายไทย”
1 ปีผ่านไป แก้วกำลังคุยกับพระยานิติธรรมอยู่ในห้องทำงาน แก้วกังวล สีหน้าไม่มั่นใจ
"ท่านเจ้าคุณจะให้กระผมเข้าสอบไล่เนติบัณฑิตหรือขอรับ"
นิติธรรมแปลกใจ
"ทำไมทำหน้าอย่างนั้น แกไม่อยากสอบรึ"
"พุทโธ่ กระผมเพิ่งเรียนได้ไม่เท่าใด จะเอาความรู้อะไรไปสอบแข่งกับเค้าเล่าขอรับ ไม่ต้องอื่นไกล แค่เทียบกับท่านเลขานุการฯ ความรู้กระผมก็เท่าหางอึ่งแล้ว เอาไว้อีกสักสองสามปีเถิดขอรับ แล้วค่อยแบกหน้าไปสอบแข่งกับเค้า"
"ถ้าเป็นศึกสงคราม แล้วฉันมีทหารแบบแก ฉันสั่งตัดหัวเสียบประจานหน้าค่ายแล้ว อะไรกัน ยังไม่ทันทำศึก ก็ยอมแพ้เสียแล้ว"
แก้วหน้าจ๋อยๆ
"สอบตั้งหกวิชานะขอรับ อย่างมาก กระผมก็ชำนาญไม่เกินสองวิชา แค่กฎหมายอาญากับกฎหมายทาสเท่านั้น ส่วนวิชาอื่นก็แค่งูๆปลาๆ ยิ่งกฎหมายระหว่างประเทศ ยิ่งเกินปัญญากระผมนักขอรับ"
เจ้าคุณยิ้มมั่นใจ
"แต่ฉันว่าไม่แน่ แกมันดูถูกตัวเองเกินไป"
"แต่..."
เจ้าคุณนิติธรรมตัดบท
"พูดตามตรงนะเจ้าแก้ว แกมาจากข้าราชการชั้นผู้น้อย แม้ฉันจะสนับสนุนแกมากเท่าใด ก็คงไปไกลไม่เกินขุนดอก แต่หากแกได้เป็นเนติบัณฑิต ถึงไม่มีฉัน แกก็ต้องได้เป็นหลวง แล้วสิ่งที่แกสัญญากับคุณน้ำทิพย์ก็จะได้เป็นจริง เว้นแต่แก จะลืมสัญญาแล้วเท่านั้น"
เจ้าคุณพูดพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ แก้วหน้าเจื่อน เถียงอะไรไม่ออก โดนพระยานิติธรรมจับมัดมือชกเรียบร้อย
เวลาเย็น น้ำทิพย์กำลังเดินเลือกซื้อของ พร้อมกับคุยกับแก้วไปด้วย
"แล้วแก้วตอบท่านเจ้าคุณไปว่าอย่างไรล่ะจ๊ะ"
แก้วหน้าจ๋อยๆ
"ท่านเจ้าคุณมาไม้นี้ ยังเปิดโอกาสให้ไอ้แก้วพูดอะไรได้อีกเล่าขอรับ ก็ท่านเจ้าคุณรู้อยู่ว่า กระผมหมายจะเป็นขุนเป็นหลวง ก็เพราะมีแรงใจจากคุณน้ำทิพย์ทั้งสิ้น"
น้ำทิพย์ยิ้มเขินๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
"พูดถึงท่านเจ้าคุณแล้ว วันนี้ตอนที่ฉันเข้าเฝ้าเสด็จในวัง ก็มีการพูดคุยเรื่องของท่านด้วยนะ"
"เรื่องอะไรหรือขอรับ"
น้ำทิพย์ยิ้มแบบมีเลศนัย
"อีกไม่กี่วัน แก้วก็จะรู้จ้ะ แต่ถ้าถึงเวลานั้น ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากทำมานานแล้ว แก้วอย่าขัดขวางฉันนะ"
แก้วแปลกใจว่าน้ำทิพย์คิดจะทำอะไรกันแน่
ตอนหัวค่ำ ไชยากรกำลังอ่านทบทวน เอกสารคำร้องขอกลับเข้ารับราชการของตนอยู่ นิ่มเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับเอาน้ำมะตูมร้อนๆมาให้
"น้ำมะตูมเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณ"
ไชยากรพยักหน้ารับ แต่ยังอ่านทบทวนอยู่
นิ่มถอนใจ
"ท่านเจ้าคุณจะยื่นคำร้องขอกลับเข้ารับราชการอีกหรือคะ หลายปีมานี่ ท่านเจ้าคุณยื่นไปเกือบสิบครั้งแล้วนะคะ"
ไชยากรหน้าเครียด เปลี่ยนเรื่อง
"วันนี้ไปเยี่ยมแม่อบเชยมาไม่ใช่รึ คลอดลูกแล้ว เป็นอย่างไรบ้างล่ะ"
"ท่านเจ้าคุณไม่อยากให้ฉันถามเรื่องนี้อีก ฉันไม่ถามก็ได้ค่ะ ฉันก็แค่เป็นห่วงท่านเจ้าคุณ เพราะเห็นผิดหวังกลับมาทีไร ท่านเจ้าคุณก็เป็นทุกข์ทุกที"
ไชยากรยิ้มบางๆ โอบบ่าภรรยาไว้
"คราวนี้ ต้องสำเร็จแน่แม่นิ่ม ฉันพยายามมานานปี จะไม่มีใครเห็นความตั้งใจของฉันบ้างก็ให้มันรู้ไป"
ผ่านเวลา 7-8 วัน ในยามบ่าย ข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ไชยากรกำลังเดินคุยมากับข้าราชการคนหนึ่ง
ข้าราชการ 1บอก
"กระผมนับถือท่านเจ้าคุณจริงๆ ผ่านมาหลายปีแล้ว ท่านเจ้าคุณก็ยังไม่ละความพยายามที่จะกลับเข้ารับราชการอีก หากเป็นคนอื่น คงท้อใจไปเสียนานแล้ว"
"ฉันรู้ ว่ามีคนหนุ่มเติบโตในราชการขึ้นมาก แต่คนแก่อย่างฉันก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย ถ้าจะให้นั่งๆนอนๆอยู่บนเรือน ฉันทำใจไม่ได้จริงๆ"
"กระผมเข้าใจขอรับ แต่ตอนนี้ทุกคนในกระทรวงยุติธรรม กำลังวุ่นวายเรื่องการสอบไล่เนติบัณฑิตอยู่ คงช่วยเหลือท่านเจ้าคุณไม่ได้ แลกรมหลวงท่านทรงมอบอำนาจ ในการตัดสินใจรับคนกลับเข้ารับราชการแก่คนอื่นไปแล้ว ถึงท่านเจ้าคุณมาหากระผม ก็ไม่เกิดประโยชน์ดอกขอรับ"
ไชยากรสนใจทันที
"ท่านทรงมอบหมายให้ใครรึ ฉันรู้จักหรือไม่"
"รู้จักดีทีเดียวล่ะขอรับ ก็ท่านเจ้าพระยานิติธรรมธาดาอย่างไรล่ะขอรับ"
ไชยากรแปลกใจ
"พระยาไม่ใช่รึ ไม่ใช่เจ้าพระยาเสียหน่อย"
"เจ้าพระยาขอรับ ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้ามาเมื่อเช้านี้เอง มิเสียที ที่ท่านเจ้าพระยาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของกระทรวงยุติธรรม ได้เป็นเจ้าพระยาที่หนุ่มที่สุดในสยามเลยนะขอรับ"
ไชยากรนึกไม่ถึง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคุณพระเรือนแพที่เคยดูถูก จะก้าวมาถึงเจ้าพระยา ศักดินาหมื่นไร่ เหนือกว่าตนมากมายนัก
เย็นวันนั้น น้ำทิพย์เดินคุยอยู่กับเจ้าพระยานิติธรรมตามทางเดินในหมู่เรือนแพ
" ในวันน่ายินดีเช่นนี้ ฉันจะไม่มาแสดงความยินดีกับท่านเจ้าพระยาได้อย่างไรล่ะคะ"
" ขอบใจมาก เราสองคนรู้จักกันมานานปี แม้ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ หากคุณน้ำทิพย์มีเรื่องเดือดร้อนอะไรให้ฉันช่วย ก็พูดมาเถิด"
" ท่านเจ้าพระยาเป็นคนเฉลียวฉลาด ป่วยการที่ฉันจะพูดอ้อมค้อม จริงๆ เรื่องนี้ที่จริงไม่ใช่เรื่องของฉัน
ดอกค่ะ แต่ฉันอยากให้ท่านเจ้าคุณช่วยปลดปล่อยทาสสักคนหนึ่งเท่านั้น"
เจ้าพระยาแปลกใจ
"ทาสเรือนใดรึ แล้วครบกำหนดได้เป็นไทแล้วหรือไม่ ถ้าครบแล้วแต่เจ้าเรือนไม่ยอมปลดปล่อย ฉันจะจัดการเอง"
"กำหนดปลดปล่อยมีหรือไม่ ฉันไม่ทราบค่ะ แต่ผู้ที่จะปลดปล่อยทาสคนนี้ได้ มีแต่ท่านเจ้าคุณเท่านั้น เพราะทาสคนนี้ชื่อ ตุ๊กตา"
เจ้าพระยาอึ้งไปชั่วครู่
"ฉันรู้ ว่าคุณน้ำทิพย์ไม่พอใจที่ฉันเลี้ยงดูตุ๊กตาเสมือนหนึ่งเมียลับๆ แต่ฉันก็ดูแลให้ความเป็นธรรม
ตุ๊กตากับลูกอย่างดี จะเรียกตุ๊กตาว่าเป็นทาสไม่ได้ดอกนะ"
"ทาสนั้นมีหลายอย่างค่ะ ตุ๊กตาก็เป็นทาสประเภทหนึ่ง คือทาสรัก แลความภักดีที่มีต่อท่านเจ้าคุณอย่างไรล่ะคะ ทาสประเภทนี้ไม่อาจยกเลิกได้ด้วยกฎหมายใดๆ เพราะทาสประเภทนี้ ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง
ชายที่ตนรักไปจนชั่วชีวิต"
ท่านเจ้าคุณอึ้ง เถียงไม่ออก คำพูดน้ำทิพย์แทงใจดำจนไม่รู้จะเถียงยังไง
"ท่านเจ้าคุณอาจจะเห็นว่าฉันละลาบละล้วง แต่ในฐานะลูกผู้หญิงเหมือนกัน เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ฉันไม่อาจยอมได้ เพราะฉันรู้ว่าตุ๊กตาคงไม่มีวันพูดเป็นแน่ ฉันจึงอยากจะขอความเป็นธรรมจากท่านเจ้าคุณแทนตุ๊กตาค่ะ"
เจ้าพระยานิติธรรมถอนใจหนักๆ ที่โดนน้ำทิพย์ไล่เบี้ยจนกระดาน อย่างหมดทางสู้
ผ่านเวลาสักพัก แก้ว และ น้ำทิพย์เดินคุยกันมาตามถนนหนทาง
"กระผมไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจู่ๆคุณน้ำทิพย์จะลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ได้"
"กลัวจะโดนบ้างอย่างนั้นรึ"
" ไม่ใช่ขอรับ กระผมไม่มีใครแล้วนอกจากคุณน้ำทิพย์ แล้วจะต้องกลัวอะไรเล่าขอรับ"
น้ำทิพย์ทิ้งค้อนหมั่นไส้ ก่อนจะหลุดขำออกมา
"อันที่จริง ฉันคิดมานานแล้ว แต่ฉันรู้ ว่าท่านเจ้าคุณลำบากใจที่จะยกย่องตุ๊กตาขึ้นมา ฉันเลย
ยังไม่พูด แต่ตอนนี้ท่านเจ้าคุณเป็นเจ้าพระยา นับว่าสูงสุดเท่าที่ข้าราชการคนหนึ่งจะเป็นได้ ไม่ต้องเกรงว่าคู่ครองไม่สมกันแล้วจะกระเทือนหน้าที่ราชการอีก ฉันจึงพูดในวันนี้อย่างไรเล่า"
แก้วคิดตามอยู่ครู่นึง ก่อนจะหัวเราะออกมา น้ำทิพย์แปลกใจ
"หัวเราะอะไรรึ"
"กระผมเคยคิด ว่ารู้ใจคุณน้ำทิพย์ทุกอย่าง แต่แท้ที่จริง กระผมยังรู้จักคุณน้ำทิพย์น้อยนัก เห็นที เราต้องรู้จักกันให้มากกว่านี้เสียแล้ว"
แก้วมองน้ำทิพย์ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
น้ำทิพย์เบือนหน้าด้วยความเขินอาย
"อย่ามาปากดีหน่อยเลย เรื่องสอบไล่เนติบัณฑิตเป็นอย่างไรบ้าง ยังไม่เห็นเล่าให้ฉันฟังเลย"
แก้วหน้าเครียดขึ้นมาทันที
"การสอบยากเหลือเกินขอรับ สอบถึงหกวัน วันละสี่ชั่วโมง เกณฑ์การให้คะแนนก็แบ่งอย่างละเอียด กระผมไม่มั่นใจเลยขอรับ"
น้ำทิพย์เห็นสีหน้าแก้วแล้ว รู้ว่าคงยากจริงๆอย่างแก้วบอก
เวลาเช้า ที่กระทรวงยุติธรรม เจ้าพระยานิติธรรมยืนมองออกไปนอนกหน้าต่าง สีหน้าแววตา เต็มไปด้วยความสับสน ครุ่นคิด แต่ในหัวมีคำพูดของน้ำทิพย์ดังก้องอยู่ตลอดเวลา
ท่านเจ้าคุณถอนใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะทำยังไงดี ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
"เชิญ"
ข้าราชการคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา พร้อมถือใบคะแนนผลการสอบเนติบัณฑิตมาด้วย
"ผลสอบไล่เนติบัณฑิตขอรับท่านเจ้าคุณ"
ท่านเจ้าคุณแปลกใจ
"ฉันเพิ่งส่งคะแนนในวิชาของฉันไปเมื่อเช้า ทำไมรวมคะแนนเร็วนักเล่า"
"พระเดชพระคุณท่านอื่น ก็ส่งคะแนนมาพร้อมกับท่านเจ้าคุณขอรับ เสด็จในกรมท่านจึงทรงรวมคะแนนได้เร็วขอรับ "
เจ้าพระยานิติธรรมพยักหน้า ก่อนจะรับใบคะแนนมาดู
บรรยากาศในพระที่นั่งสมมุติเทวราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ เจ้าพระยานิติธรรมธาดากำลังนำข้าราชการที่สอบไล่เนติบัณฑิตได้ 9 คนเข้าเฝ้า โดยทั้งเก้าคนนั้นแบ่งเป็นสอบไล่ได้ชั้นที่หนึ่ง 4 คน ชั้นที่สอง 5คน โดยคนที่สอบไล่ได้ชั้นที่หนึ่ง รวมทั้งแก้ว
ได้คุกเข่าเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ด้านหน้า ส่วนชั้นที่สองคุกเข่าเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ด้านหลัง
ท่านเจ้าพระยาคุกเข่าพนมมือ
"ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้า ได้นำผู้สอบไล่ได้เนติบัณฑิตรุ่นแรกทั้งหมดเก้าคนแบ่งเป็นชั้นที่หนึ่งสี่คน ชั้นที่สองห้าคน มาเข้าเฝ้าตามพระบรม
ราชโองการแล้ว พระพุทธเจ้าข้า"
ทั้งเก้าคนก้มลงกราบอย่างพร้อมเพรียงกัน
แก้วปลาบปลื้มตื้นตันใจ ความพยายามของทาสคนหนึ่งไต่เต้าจนมาสูงได้ถึงเพียงนี้ แก้วน้ำตาไหลซึมอย่างต่อเนื่อง จนแผ่นหลังสะท้านจากการกลั้นสะอื้น
เจ้าพระยานิติธรรมชำเลืองมองแก้ว เข้าใจความรู้สึก ปลื้มใจแทนจนน้ำตารื้นๆ ตาม
แก้วก้มกราบพระองค์ร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนเนื้อตัวสั่นคุมความรู้สึกไม่ไหวแล้ว ไม่คาดคิดพระบาทของพระองค์เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างหน้าแก้ว
แก้วเหลือบตามองที่พระบาทของพระองค์ ก่อนที่พระหัตถ์พระองค์จะยื่นเข้ามาตบบ่าแก้วเบาๆ
ให้กำลังใจ
แก้วขยับตัวไปกราบแทบพระบาทของพระองค์น้ำตาไหลพรากไม่หยุด
เจ้าพระยานิติธรรม เดินกลับขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อารมณ์ดี ตุ๊กตาเดินออกมารับ
"ทำไมวันนี้กลับเร็วนักล่ะคะท่านเจ้าคุณ"
"วันนี้ข้อราชการมีน้อย พอนำเนติบัณฑิตเข้าเฝ้าเสร็จ ฉันก็เลยว่าง ... แล้วลูกล่ะ"
"เรียนหนังสือเสร็จ ก็วิ่งเล่นอยู่แถวนี้ล่ะค่ะ ท่านเจ้าคุณจะให้ไปตามหรือไม่คะ"
"ไม่ต้องดอก ให้เด็กๆวิ่งเล่นไปเถิด ... ท่านผู้หญิง"
ตุ๊กตาเอะใจ
"ท่านเจ้าคุณเรียกตุ๊กตาว่ายังไงนะคะ"
ท่านเจ้าคุณตีหน้าตาย
"ได้ยินไม่ผิดดอก ฉันเรียกตุ๊กตาว่าท่านผู้หญิง ภรรยาเอกของเจ้าพระยา ก็ต้องเรียกท่านผู้หญิง ไม่ถูกรึ"
"นี่ท่านเจ้าคุณล้อตุ๊กตาเล่นหรือคะ"
"ใครว่าฉันล้อเล่น วันนี้หลังจากนำเนติบัณฑิตเข้าเฝ้า ฉันก็ถือโอกาสทูลขอตราตั้งให้ตุ๊กตาเลย ตุ๊กตาเตรียมตัวรับตราไว้เถิด"
ตุ๊กตาตกใจสุดๆ อย่างนึกไม่ถึง
"แต่ตุ๊กตาไม่คู่ควร..."
เจ้าพระยานิติธรรมใช้นิ้วแตะริมฝีปากตุ๊กตาไว้ ไม่ให้พูดต่อ
"ต่อไปนี้ อย่าพูดคำว่าคู่ควรหรือไม่คู่ควรอีกเลย เจ้าแก้วมันปลดโซ่ตรวนของมัน ดิ้นรนเพื่อจะได้เป็นไท แต่ฉันกลับล่ามโซ่ตรวนเกียรติยศไว้กับตัวเอง จนละเลยความดีของตุ๊กตามานาน"
ตุ๊กตาน้ำตาท่วมตาขึ้นมาด้วยความปลาบปลื้ม ท่านเจ้าคุณยกมือขึ้นซับน้ำตาให้
"นับจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว ขอให้ฉันได้ยกย่องตุ๊กตา สมกับความดีแลความรักที่ตุ๊กตามีให้ฉันเถิด"
ตุ๊กตาซึ้งใจ พูดไม่ออก ก่อนจะเข้ากอดสามี ร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ
เจ้าพระยานิติธรรมลูบผมตุ๊กตาเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความสุขใจ ในที่สุด ตนก็ตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ตนควรทำมานานแล้ว
ผ่านเวลา 4-5 วัน พระยาไชยากรนั่งซึมๆอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ แม้จะร่ำรวย แต่ไม่มีงานทำ ชีวิตเหมือนไร้คุณค่า นิ่มเดินเข้าไปในศาลาเพื่อหาสามี
"สำรับเช้าเสร็จแล้วค่ะท่านเจ้าคุณ"
" ฉันยังไม่หิวเลย แม่นิ่มกับลูกกินไปก่อนเถิด"
นิ่มสงสารสามี
"ยังคิดเรื่องกลับเข้ารับราชการอีกหรือคะ ความจริง อยู่อย่างนี้ก็เป็นสุขดีอยู่แล้ว เงินทองเราก็มีมากมาย ถึงท่านเจ้าคุณไม่รับราชการอีก ก็ไม่เดือดร้อนอะไร อย่าคิดมากไปเลยค่ะ"
"ฉันอดคิดไม่ได้ดอกแม่นิ่ม ยิ่งรู้ว่าคนมีอำนาจว่าจะรับฉันหรือไม่นั้น คือเจ้าพระยานิติธรรม ฉันก็ยิ่งท้อแท้ใจ หากรู้ว่าวันหนึ่งเค้าจะรุ่งเรืองขึ้นจนฉันต้องพึ่งพา ฉันก็คงไม่ทำกับเค้าไว้ถึงเพียงนี้ดอก"
"ไม่มีใครรู้การภายหน้าดอกค่ะ หากรู้ ก็คงไม่มีใครทำเรื่องผิดพลาดขึ้น อยู่กับเรื่องตรงหน้าเถิดนะคะท่านเจ้าคุณ อย่าคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วเลย"
ไชยากรหน้าเศร้าๆ ยอมรับ
"ชีวิตฉัน ผิดอยู่สองเรื่อง เรื่องแรก ก็คือเลี้ยงงูพิษอย่างพ่อมาโนชไว้ เป็นเหตุให้คนต้องบาดเจ็บล้มตาย เรื่องที่สอง คือฉันดีกับแม่นิ่มน้อยเกินไป ไม่รู้ค่าเพชรที่ได้มาไว้ในมือเลย หากฉันได้กลับเข้ารับราชการอีก
ฉันตั้งใจจะยกย่องแม่นิ่มให้เป็นคุณหญิงของฉัน แต่เสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว"
นิ่มน้ำตาคลอ ซึ้งใจ
"ช่างมันเถอะค่ะท่านเจ้าคุณ แค่ท่านเจ้าคุณมีใจคิดถึงฉันเช่นนี้ ฉันก็ดีใจเป็นที่สุดแล้ว ตำแหน่งคุณหญิงอะไร ฉันไม่ต้องการดอกค่ะ"
พระยาไชยากรดึงนิ่มเข้ามากอด ด้วยน้ำตาคลอเบ้าด้วยความสงสาร ส่วนนิ่มก็ร้องไห้ด้วยความซึ้งใจ ที่ความดีที่ตนทำมาไม่เสียเปล่า
ขณะนั้นเอง ทาสหญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา
"มีอะไรรึนางทองอยู่"
ทาสหญิง 1คุกเข่าลง
"เจ้าพระยานิติธรรมธาดา มาขอพบท่านเจ้าคุณเจ้าค่ะ"
ไชยากรแปลกใจ นึกไม่ถึง ที่จู่ๆคนระดับเจ้าพระยานิติธรรม จะมาหาถึงเรือน
ไชยากรเดินนำนิ่มขึ้นมาบนเรือนก็เห็นเจ้าพระยานิติธรรมยืนรออยู่ ไชยากรจะเข้าไปไหว้ เพราะศักดิ์ฐานะตนต่ำกว่าเจ้าพระยานิติธรรมมาก แต่เจ้าพระยานิติธรรมพนมมือขึ้นไหว้ก่อน อย่างไม่ถือเนื้อถือ
"สบายดีหรือขอรับเจ้าคุณพี่"
" ขอรับกระผม ใต้เท้ากรุณาอุตส่าห์มาเยือน เป็นพระคุณมิได้สิ้นสุดเลย เชิญตามสบายเถิดขอรับ"
ทั้งหมดเดินมานั่งคุยกัน พวกทาสหญิงรีบเอาของว่าง น้ำดื่มมารับรองเจ้าพระยานิติธรรม
" ทราบมาว่าท่านเจ้าคุณนอกจากจะได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาแล้ว ยังได้เป็นอธิบดีศาลด้วย ฉันดีใจด้วยนะคะ" นิ่มบอก
"ขอบใจแม่นิ่มมาก แลที่ฉันมาวันนี้ก็ด้วยเหตุนี้ เพราะหลังจากที่ฉันได้เป็นอธิบดีศาลแล้ว ฉันก็ได้รับตุลาการใหม่อีกหลายคน มีอยู่คนหนึ่ง ที่ฉันอยากพามากราบท่านเจ้าคุณพี่"
"เกรงใจไปแล้วขอรับใต้เท้า กระผมอยู่อย่างไร้เกียรติถึงปานนี้ ไม่คู่ควรให้คนชั้นตุลาการมากราบกรานดอกขอรับ"
"กระผมคิดว่าความมีเกียรติของคนเรานั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราจะสำนึกเองได้ หากแต่มันเกิดจากความรู้สึกของผู้อื่น จะพึงหยิบยื่นให้เราต่างหากเล่าขอรับ แลความรู้สึกของกระผม เจ้าคุณพี่ยังคงมีเกียรติเหมือนเดิม
ไม่เปลี่ยนแปลง"
ไชยากรยิ้มแย้มดีใจ อดภาคภูมิใจไม่ได้
"เป็นพระคุณเหลือเกินขอรับ ที่ใต้เท้าให้เกียรติกระผมถึงเพียงนี้ แล้วตุลาการที่ใต้เท้านำมา ชื่ออะไรหรือขอรับ"
เจ้าพระยานิติธรรมธาดาเหลือบไปมองที่ด้านหลังพระยาไชยากร
"หลวงรัตนอรรถชัย โน่นยังไงขอรับ เดินคุยกับคุณน้ำทิพย์มาโน่นแล้ว"
ไชยากร นิ่ม หันไปมองตาม เห็นแก้วในชุดข้าราชการ ดูสง่างามภาคภูมิ เดินคุยมากับน้ำทิพย์ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ออกมาจากข้างในเรือน แก้วเดินเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าไชยากร โดยมีน้ำทิพย์มานั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
ไชยากรนึกไม่ถึง
"ไอ้แก้ว"
"ถูกแล้วขอรับ ข้าเก่าเต่าเลี้ยงของเจ้าคุณพี่เอง มิใช่คนอื่นไกลเลย เจ้าแก้วเพิ่งสอบได้เนติบัณฑิตชั้นที่หนึ่ง จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงรัตนอรรถชัย ตุลาการศาลประจำกระทรวง กระผมจึงพามากราบเท้า เพื่อแสดงกตเวทีต่อเจ้าคุณพี่ในวันนี้พร้อมกันด้วย"
แก้วจะก้มลงกราบ ไชยากรรีบลุกขึ้นเดินหนีทันที ไม่ยอมให้แก้วกราบ
"ฉันมันคนไร้วาสนาบารมีแล้ว ไม่บังควรที่คุณหลวงจะมากราบกรานฉันดอก กลับไปเสียเถิด"
"คุณพ่อคะ"
ไชยากรขบกรามแน่น เบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมมองหน้าใคร
ขณะนั้นเอง แก้วก็คลานเข่าเข้าไปหา ไชยากรเหลือบตามอง แก้วพนมมือ
"ที่กระผมมาในวันนี้ ก็เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ ว่าลูกทาสในบ้านพระคุณได้ดิบได้ดี เพราะพระคุณชุบเลี้ยงมากับมือ ครั้งที่กระผมได้บรรพชาเป็นภิกษุ ก็ได้อุทิศผลบุญไปสู่คนทั้งสาม คือแม่กิ่งผู้วายชนม์หนึ่ง พระคุณไชยากรสอง แลคุณน้ำทิพย์อันเป็นมิ่งขวัญของกระผมเป็นอันดับสาม ดังนั้นหากพระคุณบังเกิด
น้ำใจเมตตา พอจะอภัยผิดทั้งปวงแต่หนหลังแล้ว ก็จงกรุณาอวยพรแก่ลูกทาสคนเดิมของพระคุณสักคำเถิดขอรับ"
ไชยากรขบกรามแน่น น้ำตาเริ่มเอ่อคลอขึ้นมา ไม่คิดว่าในวันที่แก้วได้ดี แต่ตนตกต่ำ แก้วกลับยังนึกถึงบุญคุณตนอีก โดยไม่มีข้ออาฆาตแค้นเลย
ทุกคนมองไปที่ไชยากรพร้อมกัน เหมือนจะรอให้ไชยากรอวยพรให้แก้ว เพื่อพ้นจากข้อบาดหมางที่มีมา แต่ไชยากรขบกรามแน่น ไม่ยอมพูดอะไร
ทุกคนมองหน้ากัน ด้วยสีหน้าเศร้า สุดท้ายก็ไม่สามารถลดทิฐิของพระยาไชยากรลงได้เลย
" ฉันคงอวยพรให้คุณหลวงไม่ได้ดอก... แต่ความกตัญญูกตเวทิตาที่คุณหลวงมี จะเป็นสิ่งนำพาให้คุณหลวงจำเริญยิ่งขึ้นไปเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาคำอวยพรจากปากใครทั้งสิ้น"
ในที่สุด แก้วก็ใช้ความดี เอาชนะใจอันแข็งกระด้างของไชยากรลงจนได้ ทุกคนยิ้มดีใจ
แก้วน้ำตาคลอเบ้า ก้มลงกราบเท้าไชยากร
"ขอบพระคุณขอรับ"
พระยาไชยากร น้ำตาคลอเอื้อมมือไปตบหัวแก้วเบาๆ เหมือนอโหสิให้ สิ้นความรังเกียจเดียดฉันลงไปจนได้
ผ่านเวลา บนเรือนไชยากร แก้วบรรจงสวมแหวนแต่งงานให้น้ำทิพย์ ท่ามกลางความดีใจของเจ้าพระยานิติธรรม ไชยากร ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ตลอดจนน้อม นิ่ม อบเชย นมอ้อน
และแขกเหรื่อในงานแต่งงาน
แก้ว และน้ำทิพย์ยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ก่อนจะก้มลงกราบเท้าไชยากร และเจ้าพระยา
นิติธรรมพร้อมกัน
เวลากลางคืน แก้วประคองกอดน้ำทิพย์พามานั่งที่เตียงในคืนส่งตัว น้ำทิพย์เอนศีรษะซบกับบ่าของแก้ว ทั้งคู่ยิ้มแย้มมีความสุขที่ได้ครองคู่กันหลังจากผ่านความทุกข์ยากอย่างมากมาย
ในที่สุด โซ่ตรวนที่ใช้ล่ามขาทาส ค่อยๆตกลงสู่พื้น บรรดาทาสที่ได้เป็นไท ต่างดีอกดีใจ สวมกอดกันอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน วัด ตลาด ตามสถานที่ต่างๆ ล้วนแต่มีคนโห่ร้องยินดี ลูกวิ่งเข้ามากอดพ่อ ภรรยากอดสามี ลูกก้มลงกราบเท้าพ่อกับแม่ ฯลฯ
ทุกคนเต็มไปด้วยความดีใจ บางคนถึงกับร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติ
"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินการเลิกทาสอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มจากการออกพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไทย ในปีพุทธศักราช 2417 จนสามารถเลิกทาสได้อย่างเด็ดขาด ในปีพุทธศักราช 2448 โดยเป็นการเลิกทาส ที่ไม่สูญเสียเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกันแม้แต่หยดเดียว"
ปวงประชาต่างก้มกราบกับพื้นหันหน้าไปทางวังที่ประทับแล้วเปล่งเสียงสดุดีโดยพร้อมเพรียงกึกก้องไปทั่วว่า “ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ”
วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2473 เวลาหัวค่ำ ณ พระบรมรูปทรงม้า ตั้งตระหง่าน สง่างาม แก้วในวัย 63-64 ปีแต่งตัวภูมิฐาน ในชุดสูทสากลตามยุคสมัย เดินถือพวงมาลาดอกไม้สดเข้ามาให้เจ้าหน้าที่ที่คอยดูแล
แก้วมอบพวงมาลาให้เจ้าหน้าที่ เพื่อนำไปสักการะ ก่อนจะเดินไปที่พระบรมรูป แล้วคุกเข่าลงกราบ"ด้วยเดชะ พระบารมีของล้นเกล้าฯ ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้มีชีวิตรอดมาสู่ความสมหวังตามอุดมการณ์
วันที่ยี่สิบสามตุลาคมเวียนมาครั้งใด ครั้งนั้น ข้าพระพุทธเจ้ามิอาจลืมเลือนภาพชีวิตในอดีต ซึ่งชโลมด้วยเลือดและน้ำตาเสียได้เลย เพราะภาพในอดีตนั่นแล้ว ที่อาศัยพระบารมีมหาราชเจ้า ดลบันดาลให้ไอ้แก้ว ลูกทาสในเรือนเบี้ยเค้า ได้เป็นไท จนถึงวันนี้..."
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงน้ำทิพย์ดังขึ้น
"จะไม่รอกันก่อนหรือคะท่านเจ้าคุณ"
แก้วหันไปมองตาม เห็นน้ำทิพย์ในวัยเดียวกันเดินยิ้มบางๆมาทางตน โดยมีลูกชาย ลูกสะใภ้ หลานสาว ช่วยกันประคองมา
แม้น้ำทิพย์อายุมากแล้ว แต่ก็ยังสวย แข็งแรง เดินตัวตรง สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
"ฉันเห็นคุณหญิงติดธุระ ก็นึกว่าจะไม่มาแล้วน่ะสิ"
"วันอื่นอาจจะไม่มาได้ค่ะ แต่วันนี้ อย่างไรฉันก็ต้องมา"
แก้วยื่นมือให้น้ำทิพย์จับ ก่อนที่น้ำทิพย์จะนั่งคุกเข่าลงข้างๆแก้ว ทั้งคู่ยิ้มให้กัน แม้จะอยู่กินกันมาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังรักและผูกพันกันเหมือนเดิม
น้ำทิพย์เงยหน้ามองพระบรมรูป
"ถ้าไม่มีพระเมตตาจากพระองค์ท่าน เราสองคนก็คงไม่ได้อยู่อย่างมีความสุขอย่างทุกวันนี้"
แก้วยิ้มรับเห็นด้วย เงยหน้ามองพระบรมรูปตามน้ำทิพย์
"อย่าว่าแต่ตำแหน่งอธิบดีศาลหรือบรรดาศักดิ์พระยาพานทองเลย แม้แต่ความเป็นคน ก็ยังมีไม่เท่าคนอื่นด้วยซ้ำ ยิ่งเรื่องที่จะได้คุณน้ำทิพย์บุตรสาวคนสวยของพระยาไชยากรมาเป็นภรรยานั้น ยิ่งเลิกคิดไปได้เลย"
น้ำทิพย์ยิ้มขำๆ อายุปูนนี้แล้ว สามีก็ยังมีกะใจเย้าแหย่อีก
ทั้งคู่หันไปมองพระบรมรูปทรงม้า แล้วพนมมืออธิษฐานพร้อมกัน
"ขอให้พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระมหาราชเจ้า จงยั่งยืนสถาพร อยู่ในความรู้สึกของคนไทยทุกคน นับแต่ปัจจุบันนี้ ไปสู่อนาคตอันนิรันดร อย่าได้เสื่อมคลายเลย"
แก้ว น้ำทิพย์ และบรรดาลูกหลานต่างก้มลงกราบพระบรมรูปทรงม้าของรัชกาลที่ห้า ที่ตั้งตระหง่าน เด่นเป็นสง่าให้คนได้เคารพบูชา
นอกจากการเลิกทาสแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่สำคัญอีกมากมาย อาทิ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้ใช้เล่าเรียนหนังสือ โดยโรงเรียนหลวงแห่งแรกสำหรับราษฎรคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม
ทรงเปลี่ยนระบบเงินตรา มาใช้ธนบัตรและเหรียญบาทตามสากลนิยม
ทรงปฏิรูปการปกครอง โดยจัดเป็นมณฑล เมือง อำเภอ หมู่บ้านรวมทั้งมีการตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการ 12 กระทรวง
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างทางรถไฟ และจัดตั้งกรมรถไฟขึ้น เพื่อดำเนินกิจการรถไฟ ซึ่งนับเป็นการปฏิรูประบบคมนาคมครั้งสำคัญของประเทศไทย
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดสร้างโรงพยาบาลขึ้น โดยโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทยคือ โรงศิริราชพยาบาล ซึ่งในปัจจุบันก็คือ โรงพยาบาลศิริราช
และด้วยพระปรีชาสามารถ ตลอดจนพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประชาชนคนไทยจึงพร้อมใจกัน ถวายพระนามพระองค์ว่า “พระปิยมหาราช” ซึ่งแปลว่า “มหาราชผู้ทรงเป็นที่รักของปวงชนชาวไทยทุกคน”
ประชาชนมากมายสุดลูกหูลูกตายังให้ความเคารพสักการะ พร้อมใจกันกราบพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 5 อย่างพร้อมเพรียง
จบบริบูรณ์...