xs
xsm
sm
md
lg

อย่าลืมฉัน ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อย่าลืมฉัน ตอนที่ 2

เอื้อเดินเข้ามาที่มุมสัมภาษณ์ที่จัดไว้ในห้องทำงาน ทีมงานหลายคนกำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมถ่ายทำรายการโทรทัศน์ ชายหนุ่มเหลือบเห็น “บัญชา ชุมชัยเวทย์” พิธีกรจากรายการ จอโลกเศรษฐกิจ ยืนอยู่ จึงยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีครับ”
คุณบัญชารับไหว้ “สวัสดีครับคุณเอื้อ...พร้อมนะครับ ?”
เอื้อสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด “พร้อมครับ” พลางยืนยิ้มอย่างมั่นใจ รัศมีเปล่งประกายทั่วห้อง

“ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเอาเวลางานไปคุยเรื่องส่วนตัว”
เขมชาติเสียงเข้ม พลางทำหน้าเชิดประชด “ก็เข้าใจนะ เพิ่งเป็นหม้าย คงอยากรีบหาสามีใหม่มาดูแล แต่กรุณาทำนอกเวลางาน อย่ามาเบียดบังเวลาของบริษัท”
สุริยงพยายามกลั้นอารมณ์ ก่อนจะพูดตอบอย่างสุภาพ
“ขอบคุณผู้อำนวยการที่เข้าใจหญิงหม้าย แต่ขอโทษนะคะ ดิฉันยังไม่อยากรีบหาสามีใหม่ คนที่ดิฉันคุยด้วยเป็นคนในครอบครัวค่ะ”
เขมชาติเชิดหน้าอย่างไม่เชื่อในคำพูด พลางแค่นหัวเราะ
“คุยเสียงหวาน ให้กำลังใจ คะ ขา เนี่ยนะ เป็นคนในครอบครัว”
“ใช่ค่ะ” สุริยงยืนกราน “ ดิฉันเป็นคนให้ความสำคัญกับคนใกล้ตัว ยิ่งสนิทมาก ยิ่งต้องคุยด้วย หวาน ๆ พูดด้วยดีๆ “
เขมชาติจ้องหน้าสุริยงอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
“ได้ ต่อไปผมจะใช้มาตราฐานเดียวกับคุณ ยิ่งใกล้ ยิ่งหวาน ส่วนคนที่ผมไม่สนิท ก็ไม่จำเป็นต้องพูดดีด้วย ถ้าคุณได้รับการปฎิบัติที่ไม่ดีจากผม ก็รับรู้ไว้ด้วยว่าคุณ คือคนที่ไม่สำคัญ”
พูดจบเขมชาติ ก็โยนแฟ้มลงบนโต๊ะเต็มแรง สุริยงก้มหน้านิดๆ รู้ดีว่าโดนประชด หากพยายามสะกด
อารมณ์อย่างเต็มที่
“ผมต้องการตัวอย่างผ้าทั้งหมดตามรายการในแฟ้ม ขนขึ้นมาให้ผมที่ห้องทำงาน ห้ามให้คนอื่นช่วยเด็ดขาด และผมต้องการทั้งหมด เดี๋ยวนี้”


เขมชาติย้ำคำว่า “เดี๋ยวนี้” จากนั้นก็หันหลังเดินกลับเข้าห้องไป สุริยงเหลือบมองดูแฟ้มงานบนโต๊ะ จากนั้นก็มองดูจดหมายที่ทำค้างอยู่ พลางส่ายหน้า ก่อนจะหยิบแฟ้มมาดู เห็นรายการผ้าที่ต้องการยาวเต็ม
หน้ากระดาษ
สุริยงเงยหน้านิ่ง รู้ดีว่าโดนเล่นงานเข้าให้แล้ว

เขมชาติเดินมานั่งที่เก้าอี้ทำงาน พลางคิดถึงคำพูดของสุริยง ชายหนุ่มพูดกับตัวเอง
“คนในครอบครัว ฮึ ใครเชื่อก็โง่แล้ว !!
แม้น้ำเสียงจะเหยียดหยาม ชิงชัง หากลึกๆ ก็ไม่ปฏิเสธว่า ตนเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่

เอื้อในชุดสูทหรู เนี้ยบ บ่งบอกถึงรสนิยมของผู้แต่ง กำลังให้สัมภาษณ์อยู่ในห้อง ทุกคำตอบบ่งบอกถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
คุณบัญชาป้อนคำถามต่อ
“เมื่อต้นปีธนาคารรัตนชาติสูญเสียเจ้าสัวชวลิต ซึ่งถือว่าเป็นเสาหลัก และเป็นสัญลักษณ์ขององค์กร
คุณเอื้อในฐานะที่เป็นทั้งทายาทและเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ มีวิธีทำอย่างไรให้ลูกค้า และผู้ถือหุ้นมั่นใจในความ
มั่นคงของธนาคาร ?”
“คุณพ่อเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารนี้ขึ้นมา ทำให้หลายคนเกิดคำถามหลังการจากไปของท่าน แต่ในความเป็นจริง ธนาคารเป็นบริษัทมหาชน บริหารด้วยทีมงานมืออาชีพ แต่ด้วยความเอกภาพของคุณะผู้บริหาร ทุกอย่างจึงดูราบรื่น เหมือนกับการทำงานในระบบครอบครัว ถึงแม้จะไม่มีคุณพ่อแล้ว แต่ผู้บริหารทุกท่านก็ยังคงอยู่กับเรา ภายใต้การนำของผม!
เอื้อตอบคำถามด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ แต่ก็ไม่ได้ดูยะโสจนเกินไป

ในขณะเดียวกันภายในบ้านของสุริยง ก็เปิดทีวีค้างไว้ เป็นรายการที่เอื้อกำลังให้สัมภาษณ์อยู่ ภาพในจอคุณบัญชาตั้งคำถามต่อ
“ช่วง 2-3 ปีมานี้เศรษฐกิจโลกผันผวนอย่างหนัก ธนาคารวางกลยุทธ์อย่างไรเพื่อความอยู่รอดและเติบโตในภาวะวิกฤติแบบนี้ครับ ?”
นภา กับชื่น ที่กำลังถือจานผลไม้มาวางที่โต๊ะ ชื่นหันไปเห็นทีวีพอดี ก็รีบตะโกนขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“คุณนายคะคุณนาย นี่คุณเอื้อนี่คะ”
นภาเงยหน้าดู แล้วก็รีบตะโกนเสียงดัง
“คุณ มานี่เร็ว ไก่ ไข่ มานี่เร็วลูกมาดู “พี่เอื้อ” ออกทีวี เร็ว ๆ “
อาทิตย์ ไก่ ไข่ รีบเดินมาตามเสียงเรียก
“มาแล้วครับ” 2 เด็กแฝด ส่งเสียงนำมาก่อน
“ไหนๆ” อาทิตย์ถามอย่างตื่นเต้น
ไก่ วิ่งนำมากระโดดขึ้นที่โซฟา “พี่เอื้อจริงๆด้วย”
ไข่ กระโดดตามขึ้นไปบ้าง “พี่เอื้อ ๆๆ”
ไก่ หันมาจุ๊ปาก เป็นเชิงบอกให้คู่แฝดเงียบเสียง ก่อนที่ทั้งคู่ จะตั้งหน้าตั้งตาฟังด้วยความสนใจ ภาพเอื้อในจทีวี ตอบคำถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดีนะครับ และชอบมองหาโอกาสในวิกฤติ ผมมองเห็นโอกาสในการนำเสนอสินค้าใหม่ๆ ที่ลูกค้าต้องการในภาวะที่เศรษฐกิจผันผวน เช่น การป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ประกันที่ให้ผลตอบแทนสูงแต่ความเสี่ยงต่ำ”
ที่มุมหนึ่งของห้องดูทีวี มีภาพถ่ายของ ชวลิต ไก่ และ ไข่ ถ่ายคู่กันสามคน แขวนอยู่ เช่นเดียวกับภายในห้องทำงานของเอื้อ ก็มีภาพถ่ายของชวลิตคู่กับเอื้อเช่นเดียวกัน ภาพนั้นบ่งบอกถึงความสนิทสนมกันระหว่างพ่อกับลูก
และนั่นหมายถึงว่า ทั้งเอื้อ ไก่ และไข่ ต่างก็เป็น “พี่-น้อง” ร่วมบิดาเดียวกัน
“ในวันนี้ทางรายการต้องขอบคุณคุณเอื้อมากนะครับ ถ้ามีโอกาสคราวหน้าจะขอสัมภาษณ์คุณเอื้อในเรื่องอื่นๆที่นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจบ้าง โดยเฉพาะเรื่องหัวใจคงมีสาวๆหลายคนอยากรู้”
คุณบัญชาพูดปิดรายการ เอื้อยิ้มอายๆ
“ได้ครับ”
“ในวันนี้ผมต้องลาไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
คุณบัญชาและเอื้อ ส่งยิ้มให้กับกล้อง
เสียงโปรดิวเซอร์ตะโกนขึ้น “โอเคครับ ขอบคุณครับ” จากนั้นก็สั่งตัดสัญญาณการถ่ายทอดสด
เอื้อ ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ขอบคุณทุกคนนะครับ ผมให้เลขาจัดอาหารว่างไว้ให้ เชิญทุกคนตามสบายนะครับ คุณบัญชาและ
ทีมงาน ขอบคุณมากครับ”
จากนั้นเลขากับเจ้าหน้าที่ ก็ลำเลียงของว่างเข้ามาเสิร์ฟ เอื้อยิ้มให้กับทุกคนอย่างกันเอง และเดินผละออกไป ระหว่างเดิน เอื้อก็หยิบโทรศัพื?มือถือขึ้นมา แล้วกดโทร.ออก

ที่จอโทรศัพท์ขึ้นชื่อ “หนูเล็ก”

สุริยงหยิบโทรศัพท์มือถือ ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทขึ้นมาดู เป็นปรากฎชื่อ “เอื้อ” หญิงสาวรีบกดตัดสายทิ้ง พลางหันมาทางวิบูลย์ ที่ยืนอยู่ข้างๆ รอบๆ ห้องเต็มไปด้วยผ้าตัวอย่างกองใหญ่ ที่สูงจนท่วมหัว

วิบูลย์ยืนดูแฟ้มเช็คของในมือ จากนั้นก็หันมาบอกสุริยง
“โอเคครับ เรียบร้อย ครบตามที่คุณเขมต้องการ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ผมให้คนช่วยยกขึ้นไปนะครับ” วิบูลย์เสนอตัว หากสุริยงหวนนึกถึงเขมชาติ ที่ออกคำสั่งเสียงเข้ม
“ขนขึ้นมาให้ผมที่ห้องทำงาน ห้ามให้คนอื่นช่วยเด็ดขาด”
หญิงสาวจึงจำต้องปฏิเสธความหวังดี
“อย่าเลยค่ะ สุขนขึ้นไปเอง”
“ไหวเหรอครับ ?” วิบูลย์เป็นห่วง
“ต้องไหวค่ะ”
สุริยงตอบอย่างมั่นใจ จากนั้นก็วางแฟ้มไว้บนตัวอย่างผ้า แล้วค่อยๆ ทยอยยกผ้าไปอย่างทุลักทุเล
วิบูลย์มอง พร้อมลุ้นตาม

ภายในห้องทำงานของเขมชาติ เจ้าของห้องกำลังตั้งอกตั้งใจเลือกดูแบบผ้าในกระดาษสเก็ตซ์ เมื่อ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขมชาติจึงชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ
“ขออนุญาตค่ะ”
เสียงของสุริยงดังมาจากหน้าห้อง ก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เขมชาติเงยหน้ามามอง สีหน้าหงุดหงิด
“ ผมบอกแล้วใช่มั้ย ว่าถ้าผมไม่เรียก ห้ามเข้ามา”
“ดิฉันขนผ้าที่ผู้อำนวยการต้องการมาให้ ถ้าดิฉันเข้าห้องไม่ได้ ผู้อำนวยการต้องการให้ดิฉันวางไว้ที่ไหนคะ ?”
สุริยงไม่ยอมแพ้
เขมชาติ ตอบด้วยสีหน้ากวนๆ
“วางไว้ในนี้”
“ตกลงว่าดิฉันเข้าห้องได้แล้วใช่มั้ยคะ ?” สุริยงเริ่มงง
เขมชาติ ลอยหน้าลอยตาตอบ ด้วยสีหน้ายียวน
“ถ้าเข้ามาไม่ได้ แล้วจะขนผ้าเข้ามายังไง ถามไม่คิด”
สุริยงพยายามสะกดอารมณ์ นิ่ง ไม่ต่อปากต่อคำ แล้วก็เปิดประตูกว้างค้างไว้ ก่อนจะหันไปยกกองผ้าที่วางพักไว้บนโต๊ะทำงาน แล้วก็หอบเข้ามาในห้องเขมชาติ ในขณะที่เจ้าของห้องเพียงแค่ปรายตาไปมอง ด้วยแววตาเย็นชา แล้วก็พูดเสียงดุ นิ่ง
“วางไว้ตรงไหนก็ได้ อย่าให้ขวางหูขวางตา”
สุริยงเชิดหน้านิดๆ เขมชาติออกคำสั่งต่อ
“เดินเบาๆ แล้วก็วางเบาๆ ผมต้องการความเงียบ “
สุริยงค่อยๆ เดินย่างพยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุด จากนั้นจึงวางผ้ากองโต และหนักอึ้ง ไว้ที่โต๊ะกลางห้อง
เขมชาติ พูดโดยไม่หันกลับมามองสุริยง
“อย่าวางตรงนั้น มัน “รำคาญ” ตา”
เขมชาติเน้นคำว่า “รำคาญ” อย่างตั้งใจให้รู้ว่า “รำคาญ” จริงๆ
สุริยงชะงัก แล้วก็ยกของไปวางที่โซฟาห่างไปเล็กน้อย เขมชาติปรายตาดูนิดๆ แล้วก็พูดเสียงเข้ม
“ห่างออกไปแค่นั้น มันจะต่างกันตรงไหน มันก็ยัง “รำคาญ” อยู่ดี”
เขมชาติเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตายียวน “คุยนักคุยหนาว่า “สามี” สอนงานมาอย่างดี แค่นี้ คิดไม่ได้หรือไง ? “
สุริยงสะอึก มองหน้าเขมชาติที่มองมาด้วยแววตาที่เหยียดหยามสุดๆ จากนั้นก็หอบกองผ้าเดินพุ่งมา
หาเขมชาติ ที่แสร้งทำเป็นก้มหน้าทำงาน แต่ปรายตามองตลอด
สุริยงเดินดุ่มเข้ามา ทำท่าเหมือนจะทุ่มกองผ้าใส่หน้าเขมชาติ หากก็ตัดสินใจเดินผ่านเลยไป
เขมชาติตวัดหางตามองตาม เห็นสุริยงวางกองผ้าไว้ที่โต๊ะวางของข้างหลังเขาอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็หันมาทางเจ้าของห้อง
“วางไว้ข้างหลังผู้อำนวยการ ไม่อยู่ในรัศมีสายตาแบบนี้ คงจะไม่ “รำคาญ” นะคะ”
เขมชาติเชิดหน้า สุริยงรีบตัดบท
“ดิฉันจะได้รีบไปยกผ้าที่เหลือขึ้นมาให้ เพราะผู้อำนวยการสั่งว่าต้องการ เดี๋ยวนี้”
พูดจบ สุริยงก็เดินออกไปเลย เขมชาติปรายตามามองผ้าที่กองอยู่ข้างหลัง แล้วก็ตวัดสายตากลับแบบไม่ยอมแพ้

สุริยงขนผ้ากองโตอย่างทุลักทุเล ระหว่างทางเดินผ่านห้องสมคิด เห็นมาลัยกำลังส่งตัวอย่างให้สมคิด ซึ่งรับมาพลางปรายตามองสุริยงยังขนผ้าอยู่ สมคิดส่ายหน้าเบาๆ
ในขณะที่เขมชาตินั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะอย่างไม่รู้สึกรู้สม ใดๆ เลย ซ้ำร้ายบางจังหวะที่สุริยงถือผ้ามาจะทำตก เขมชาติ ก็จะรีบตวัดสายตามอง จนสุริยงต้องรีบประคับประคอง เดินผ่านไปไม่ให้เสียงดัง หญิงสาวต้องเทียว
เข้าเทียวออก เพื่อหอบผ้าอยู่ 4-5 รอบ จนผ้ากองอยู่เต็มด้านหลังของเขมชาติ

สุริยงวางแฟ้มรายการผ้าที่เขมชาติต้องการ ลงบนโต๊ะ มือแอบสั่นนิดๆ
“ผ้าที่ผู้อำนวยการต้องการ ดิฉันยกขึ้นมาครบทุกรายการแล้วค่ะ “
ยามนี้ใบหน้าของสุริยงมันเป็นเงา ผมเผ้ายุ่งเหยิง เขมชาติปรายตาขึ้นมองอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปทางกองผ้าจำนวนมหาศาล จากนั้นก็ลุกขึ้นไปยืนมอง กวาดสายตามองไปจนทั่ว ครบทุกชิ้น
สุริยงยังไม่หายเหนื่อย หญิงสาวยืนหอบ
“เรียบร้อยแล้ว ดิฉันไปทำงานต่อนะคะ” พลางตั้งท่าจะหันหลังกลับ แต่ก็ยังช้ากว่าเขมชาติ ที่ออกคำสั่งเสียงเข้ม
“เดี๋ยว “
จากนั้นก็เดินไปที่กองผ้า ยื่นมือไปหยิบตัวอย่างผ้ามาหนึ่งผืน มองด้วยความพอใจ แล้วก็หันมาออกคำสั่งต่อ
“ผมต้องการแค่นี้ ที่เหลือเอากลับไปเก็บที่เดิม”
สุริยงอึ้ง หากเขมชาติไม่สนใจ เดินกลับมานั่งทำงานต่อที่โต๊ะหน้าตาเฉย สุริยงมองกองผ้าที่วางอยู่พลางคิดในใจ “แค่นี้ ?”
เขมชาติทำเป็นปรายตามามอง ด้วยแววตาเหยียดๆ
“เร็วๆ เบาๆ เข้าใจหรือเปล่า ?”
สุริยงกำมือแน่น. สูดลมหายใจเข้าปอด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด
“เข้าใจค่ะ”
สุริยงเดินไปที่กองผ้า แล้วก็สูดลมหายใจเข้าปอดหนึ่งที ก่อนจะยกผ้าขึ้นมาหนึ่งหอบใหญ่ เขมชาติก้มหน้าทำงาน ทำเป็นไม่สนใจ แต่แอบสะใจอยู่ลึกๆ สุริยงหอบผ้าและหันมามองด้านหลังของเขมชาติอยากจะเอาผ้าทุ่มใส่หัวเขมชาติ หากสุดท้าย สุริยงก็ส่ายหน้า อย่างพยายามไม่เก็บมาเป็นอารมณ์และขนผ้าออกไป

คล้อยหลังสุริยง เขมชาติเงยหน้าขึ้นมองตาม แล้วก็ยิ้มเหยียดที่มุมปากอย่างสาแก่ใจ

อ่านต่อหน้า 2

อย่าลืมฉัน ตอนที่ 2 (ต่อ)

สุริยงหอบผ้าออกมาจากห้องทำงานของเขมชาติ เป็นจังหวะเดียวกับที่สมคิด ที่กำลังจะถือแฟ้มไปหาเขมชาติเดินสวนมาพอดี

“อ้าว...คุณสุ ... เมื่อกี๊เพิ่งเห็นขนไป?” สมคิดทำหน้างงๆ
“ผู้อำนวยการสั่งให้ขนกลับไปเก็บค่ะ”
“หะ?” สมคิดงงหนักเข้าไปอีก
“ค่ะ” สุริยงตอบเพียงสั้นๆ แล้วก็เดินไปเลย
คล้อยหลังสุริยง สมคิดก็พูดกับตัวเองเบาๆ ด้วยความเห็นใจ
“โดนคุณเขมรับน้องเข้าให้แล้ว...รายนี้เล่นหนักนะเนี่ย “

สมคิดส่งแฟ้มตัวอย่างผ้าที่จะเอาไปเสนอลูกค้าให้เขมชาติที่นั่งสบายอารมณ์อยู่
“ตัวอย่างผ้าที่จะเสนอลูกค้าบ่ายนี้ครับ”
เขมชาติรับมา เปิดดู “ขอบคุณครับ”
สมคิออธิบายต่อ
“ทางโรงงานแจ้งมาว่าเย็นนี้จะมีการทดสอบผ้ากันไฟชุดใหม่ เผื่อคุณเขมจะ อยากแวะไปดู“
เขมชาติพยักหน้ารับรู้ ตามองดูผ้าในแฟ้ม ในขณะที่สมคิดมองดูกองผ้าที่วางระเกะระกะอยู่เต็มห้อง แล้วก็พูดยิ้มๆ
“ผมเห็นคุณสุขนขึ้นขนลงไม่บ่นสักคำ แบบทดสอบนี้ดูท่าทางจะผ่านไปได้ด้วยดีนะครับ”
เขมชาติ ปิดแฟ้มเสียงดัง สีหน้าบอกความไม่พอใจ จนสมคิดสะดุ้งนิดๆ
“ไม่บ่นให้ได้ยิน แต่อาจจะแอบด่าอยู่ในใจก็ได้ ผู้หญิงปากกับใจไม่ตรงกัน เชื่อไม่ได้“
สมคิดชักงง
“แล้วคุณเขมทราบได้ยังไงครับว่า คุณสุ ปากกับใจไม่ตรงกัน”
เขมชาติ ชะงักนิดๆก่อนตอบ
“ผมรู้ก็แล้วกัน”
ยิ่งตอบยิ่งไม่เข้าใจ สมคิดก็เลยชิงตัดบท
“เอ่อ งั้นผมไปทำงานต่อก่อนนะ อ้อ บ่ายนี้คุณเขมจะให้ผมออกไปพบลูกค้าด้วยหรือเปล่าครับ ?”
เขมชาติชะงัก หยุดคิดนิดหนึ่ง พลางยิ้มอย่างมีแผน

สุริยงรีบเดินออกมาจากห้องเก็บของ โทรศัพท์มือถือสั่นมีสายเข้า สุริยงหยิบมาดู เห็นที่หน้าเจอเป็นชื่อ “คุณเอื้อ” หญิงสาวถอนใจบาๆ เหมือนจำยอมต้องตัดใจกดตัดสาย แล้วรีบเดินไปทำงานต่อ

เอื้อวางสายโทรศัพท์มือถือ นึกแปลกใจอยู่ครามครัน
“หนูเล็กเป็นอะไร ไม่รับสาย”
สีหน้าครุ่นคิด พลันโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เอื้อรีบหันมาดู หวังใจว่าจะเป็นสุริยง แต่ก็ผิดหวัง ... เมื่อ
หน้าจอปรากฏเป็นชื่อ “อร” พร้อมกับรูปของ “อรทัย”
“อรว่าไง ? “
เสียงอรทัยพูดมาทางปลายสาย “ พี่อัมกับอรมาถึงแล้วค่ะ เจอกันที่ห้องคุณพ่อนะคะ”
“โอเค”
เอื้อวางสายไป...แววตาแปลกใจนิดๆ

รถยนต์คันหรูแล่นเข้ามาจอดเทียบด้านหน้าอย่างโดดเด่น ประตูสองด้านถูกเปิดออก “อัมพิกา” ก้าวลงจากรถอย่างสง่า เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเรียบหรู แต่งหน้า ทรงผม ได้รับการบรรจงแต่งอย่างสวยงาม จากนั้น “อรทัย” ก็ก้าวลงตามมา หญิงสาวแต่งตัวเปรี้ยว มั่นใจ ต่างจากพี่สาวอย่างสิ้นเชิง
อัมพิกาและอรทัยเดินเข้าไปในธนาคารราวกับนางพญา พนักงานยกมือไหว้เป็นทาง

“วันนี้นึกยังไงครับ ถึงได้เข้าบริษัทมาพร้อมกันทั้งสองคน”
เอื้อทักทายเจ้าของห้อง ทันทีที่ก้าวเข้ามาภายใน ห้องทำงานของอัมพิกา กว้างใหญ่ หรูหรา ทว่าไม่มี
สิ่งใดที่บ่งบอกว่าเจ้าของห้องใช้ห้องนี้ “ทำงาน” จริงๆ อัมพิกานั่งอยู่ที่เก้าอี้ใหญ่หลังโต๊ะทำงาน อรทัยนั่งอยู่ที่โซฟา
ก้มหน้าก้มตาใช้โทรศัพท์มือถือแชทคุยกับเพื่อนๆ
“พี่รักษาการณ์ประธานกรรมการแทนคุณพ่อ พี่จะเข้ามาดูกิจการบ้าง มันแปลกตรงไหน ?”
อรทัย พูดเสริมขึ้น ทั้งๆ ที่ยังไม่ละสายตาจากจอมือถือ “อรก็เป็นกรรมการนะคะ อรจะมาก็ไม่แปลกเหมือนกัน เอ้อ พี่เอื้อ วันนี้พี่เอื้อออกทีวีใช่มั้ยคะ ?”
“อืม ใช่” เอื้อพยักหน้าประกอบคำตอบ
อรทัย รีบวางมือถือ แล้วก็ลุกพรวดมาคล้องแขวนพี่ชาย “พี่เอื้อรู้มั้ย ? “
“ไม่รู้” เอื้อแอบกวนน้องตัวเอง
อรทัยรู้ว่าโดนพี่ชายแกล้งเข้าให้ หากเธอไม่สน “ไม่รู้ก็ฟังต่อสิคะ .. เพื่อนอรกรี๊ดพี่เอื้อมาก กระหน่ำโทร.มาจนขี้เกียจจะรับ มีแต่คนชมว่าพี่ชายอรทั้งหล่อ ทั้งเท่ แถมยังฉลาดอีกต่างหาก”
เอื้อยิ้มรับนิดๆ แต่ไม่ตอบอะไร ในขณะที่อัมพิกา ก็ดูจะชื่นชมน้องชายคนนี้อย่างออกนอกหน้า
“เพื่อนพี่ก็โทร.มา อาจจะไม่ได้กรี๊ดกร๊าดเหมือนเพื่อนอร แต่ก็ชมกันยกใหญ่”
อรทัยได้จังหวะ รีบเข้าเรื่องทันที
“อ้อ..ที่สำคัญที่สุด..พี่เอื้อจำ “หม่อมแมงเม่า” เพื่อนอรได้มั้ยคะ คนที่อรเล่าให้ฟังว่าเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ เค้าก็โทร.มาชมด้วยนะคะ อรก็เลยถือโอกาสชวนเค้ามาทานข้าวที่บ้าน พี่เอื้อกับเค้าจะได้เจอกัน”
อรทัยยิ้มอย่างมีเลศนัยจนโดนอัมพิกาค่อนแคะ
“ทำตัวเป็นคุณพ่อไปได้ ชอบจับคู่”
เอื้อชะงักนิดๆ อรทัยปล่อยแขนเอื้อ แล้วก็แย้งขึ้น
“ไม่เหมือนค่ะ เพราะอรหาคนที่คู่ควรกับพี่เอื้อ ทั้งฐานะทางการเงินและสถานะทางสังคม คุณพ่อเพื่อนอรเป็นถึงผู้ดีเก่า แล้วยังเป็นเจ้าของที่ดินมากมาย ไม่ใช่ ลูกหนี้ธนาคารที่ส่งลูกสาวมาแต่งงานใช้หนี้ “
อรทัยเบ้ปากอย่างดูถูก เอื้อมองแล้วก็เอือมเล็กๆ กับความถือตัวของน้องสาว แล้วรีบพูดพูดตัดบท
“นอกจากเรื่องที่ผมออกทีวีแล้วมีเรื่องอื่นจะคุยอีกมั้ยครับ ถ้าไม่มีผมขอตัวกลับไปทำงานต่อ”
พูดจบ ก็เตรียมหันหลังจะไป หากอัมพิกาท้วงไว้ก่อน
“พี่จะมาคุยกับเราเรื่องมรดกของเด็ก 2 คนนั้น”

เอื้อชะงัก ในขณะที่อัมพิกาและอรทัยหน้าเครียด

สุริยงเดินมาที่โต๊ะ แล้วก็รีบเปิดคอมพิวเตอร์ พลางหยิบจดหมายที่จดโน้ตไว้มาแปล ทว่าพิมพ์ไปได้นิดเดียว โทรศัพท์ก็สั่นขึ้นอีก หญิงสาวรีบหยิบมาดู หน้าจอโทศัพท์ขึ้นรูปไก่กับไข่ และขึ้นชื่อว่า “บ้าน”

สุริยงคิด พลางชะเง้อมองไปที่ประตูห้องทำงานเขมชาติ เห็นว่าปิดเงียบ จึงรีบกดรับ
เสียงที่ปลายสายเป็นเสียงของ 2 เด็กแฝด ไก่ ไข่ ที่แย่งกันพูด
“แม่หนูเล็กๆๆ พี่เอื้อออกทีวีด้วย”
“ไก่เห็นก่อน”
“ไข่ก็เห็นเหมือนกัน”
สุริยงรีบพูดอย่างเร็ว แต่เบาๆ
“ไก่ ไข่ครับ .. คุณแม่คุยตอนนี้ไม่ได้นะครับ เดี๋ยวคุณแม่โทร.กลับนะครับ แค่นี้ก่อนนะครับ คุณแม่รัก
หนูนะ จุ๊บๆครับ”
สุริยงรีบวางสายไป แล้วก็มองไปที่ประตู เมื่อไม่มีใครออกมา ก็ถอนหายใจโล่งอก พลางมองดูรูปไก่กับไข่ที่เป็นภาพพักหน้าจอ
“แม่ขอโทษนะครับ”

ในขณะที่ภายในห้องทำงานของอัมพิกา ยังคงถกเกียงกันอย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง เสียงอัมพิกาประกาศกร้าว
“พี่ไม่ยอมให้เด็ก 2 คนนั้นมาถือหุ้นของธนาคารเป็นอันขาด ถึงแม้คุณพ่อจะระบุไว้ในพินัยกรรมแต่พี่ไม่ยอม”
อรทัยเห็นด้วยกับพี่สาว
“พวกมันได้คนละตั้ง 20 เปอร์เซ็นต์ของหุ้นในส่วนของคุณพ่อ 2 คนก็ 40 เปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้ว เกือบครึ่งเลยนะคะ อรไม่มีวันยอมเด็ดขาด”
หากเอื้อคิดต่างออกไป
“แต่ผมว่าคุณพ่อก็ทำถูกแล้ว มีลูก 5 คน พี่อัม พี่ อร ไก่ กับ ไข่ ก็แบ่งกันไปคนละ 20 เปอร์เซ็นต์ ก็ยุติธรรมดี”
อัมพิกา หันขวับมาทันที
“มันจะยุติธรรมได้ยังไง ในเมื่อตอนก่อตั้งธนาคาร คุณพ่อใช้เงินของตระกูลคุณแม่ เพราะฉะนั้นเงินที่มันงอกเงยขึ้นมา ก็ต้องเป็นของเราทั้ง 3 คนที่เป็นลูกของคุณแม่โดยตรง”
อรทัยรีบเสริม
“ไอ้พวกลูกที่มันเกิดจากผู้หญิงเห็นแก่เงิน เมียคนอื่นของคุณพ่อไม่เกี่ยว ถ้าคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ คุณพ่อก็คงไม่มีเมียใหม่ พวกมันก็ไม่ได้เกิด เพราะฉะนั้นมันไม่สิทธิ์จะมาถือหุ้นในธนาคารของเรา”
ทั้งน้ำเสียงและแววตาของอรทัยแข็งกระด้าง อัมพิกายืนพยักหน้าช้าๆ ด้วยสายตาเยือกเย็น
เอื้อ ทั้งเหนื่อย และหนักใจ
“ แต่ในพินัยกรรมคุณพ่อระบุไว้ชัดเจนว่า ไก่กับไข่ มีสิทธิ์ในหุ้น พี่จะให้ผมทำยังไง ?”
อัมพิกา เชิดหน้านิดๆ
“ซื้อมันกลับมา พวกมันต้องการเท่าไหร่ ก็ให้เงินมันไป แล้วโอนหุ้นคืนมาให้เราทั้งหมด .. นังแม่เลี้ยง
มันชอบเงินอยู่แล้วนี่ เอาฟาดหัวมันไป เรื่องจะได้จบๆ”
ยามเมื่อพูดถึงสุริยง อัมพิกาสามารถใช้วาจาดูถูกได้อย่างไม่ต้องสงวนท่าที เอื้อได้แต่นิ่ง เงียบ ในใจ
นึกค้าน แต่ไม่อยากแย้ง
“ผมไม่รับปากว่าหนูเล็กจะยอมหรือเปล่า .. แต่ถ้าพี่ต้องการ ผมจะถามให้”
พูดจบ เอื้อแล้วก็เดินออกไป อรทัยมองตาม แววตาไม่วางใจแม้แต้น้อย
พ้นจากห้องทำงานอัมพิกา เอื้อก็เดินฃครุ่นคิดไปตลอดทาง

อรทัยหันมาพูดกับอัมพิกาด้วยความกังวล
“บอกตรงๆนะคะ..อรไม่ค่อยไว้ใจพี่เอื้อเลย ตั้งแต่ไปสนิทสนมกับนังแม่เลี้ยง พี่เอื้อเหมือนจะเห็นใจ สงสารมัน แล้วยังไอ้เด็กแฝดนั่นอีก ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องไปหาอยู่เรื่อย ถ้าพี่เอื้อเกิดรักไอ้พวกนั้นเหมือนน้องจริงๆขึ้นมา เราจะทำยังไงคะ”
อัมพิกา นิ่งคิด
“พี่ยังมั่นใจ ไม่ว่ายังไงเอื้อก็ยังเห็นเราดีกว่าไอ้พวกนั้น อาจจะมีใจอ่อนบ้าง แต่สุดท้าย...”ก็ต้องเชื่อพวกเรา” ... เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา”
อัมพิกาตอบอย่างมั่นใจ ที่มุมปากผุดรอยยิ้มอันเย็นชาแฝงความน่ากลัว ...

สุริยง นำกล่องข้าว ผลไม้ และขนมหวานจากที่บ้าน วางลงบนโต๊ะอาหารในโรงอาหารอย่างแผ่วเบา พลางนั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน แอบถอนใจนิดๆ ก่อนที่จะก็ก้มหน้าเปิดกล่องข้าวเตรียมจะตักข้าวเข้าปาก พลันก็มีสองสาวเดินพรวดเข้ามา
“สวัสดีค่ะ”
มาลัย กับวิเวียน นั่นเอง
สุริยง เงยหน้า มองสองสาวอย่างงๆ แต่ก็กล่าวทักทายตอบกลับไป “สวัสดีค่ะ”
“พี่ชื่อมาลัยเป็นเลขาคุณสมคิด”
“หนูชื่อ วิเวียน เป็นเลขาคุณวิบูลย์ค่ะ”
2 สาวผลัดกันแนะนำตัวเอง สุริยงยิ้มรับพลางเริ่มใช้สายตาสำรวจเพื่อนร่วมสำนักงาน
มาลัย” อายุประมาณเกือบ 40 แต่งตัวมิดชิด แนวอนุรักษ์นิยม จะมีแอบเปรี้ยวอยู่บ้าง ก็ตรงกรอบแว่นทรงทันสมัย ในขณะที่ “ วิเวียน” ซึ่งเป็นเลขาของวิบูลย์ ออกแนวใสๆสไตล์เกาหลี ทั้งสองคนถือจานข้าว และแก้วน้ำมาด้วย
สุริยงอ้าปากขยับจะแนะนำตัวเองบ้าง แต่ก็ช้ากว่ามาลัย ที่ชิงพูดเสียเอง
“ คุณสุริยงเป็นเลขาใหม่ของคุณเขม เราสองคนรู้จักดีค่ะ ขอนั่งด้วยนะคะ”
ยังไม่ทันที่สุริยงจะตอบ สองสาวหย่อยก้นลงนั่งทันที มาลัยเห็นกล่องข้าวก็ทักขึ้น
“อุ๊ยตายแล้ว ห่อข้าวมากินด้วย เก๋นะ “
วิเวียน มองตาม “น่ากินจัง”
สุริยง ยิ้มอย่างมีไมตรี
“ทานด้วยกันมั้ยคะ”
“ขอบคุณค่ะ” วิเวียน ยิ้ม พร้อมตั้งท่าจะเอื้อมมือไปตัก แต่มาลัย รีบเอาช้อนมาสกัดไว้
“หยุด”
วิเวียนชะงักมือ
“แย่งคุณสุเค้ากินได้ยังไงน่าเกลียด ของตัวเองมีก็กินไป” พลางหันไปพูดกับสุริยง “เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยมีมารยาทอย่าถือนะคะ ขอบคุณที่ชวน แต่เกรงใจค่ะ”
มาลัยยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่วิเวียนแอบมองด้วยความเสียดาย สุริยงนึกรู้ เลยรีบบอก
“ถ้าอย่างนั้น ทานขนมหวานกับผลไม้ด้วยกันนะคะ มีเยอะเลย สุทานคนเดียวไม่หมดหรอกค่ะ ช่วยกันทานนะคะ”
“ ขอบคุณค่ะ” วิเวียน ยิ้มกว้าง รีบหยิบชมพู่มาเข้าปาก มาลัยจะห้ามก็ไม่ทัน จากนั้นวิเวียนก็พูดขึ้นมาด้วยคำพูดซื่อๆ แต่จริงใจ “พี่สุใจดีจัง ใจดีแบบนี้ อยู่ด้วยกันนานๆ นะคะ “
สุริยงแปลกใจ วิเวียนขยายความต่อ
“เลขาคุณเขม เปลี่ยนทุกเดือน ไม่เห็นจะอยู่ทนสักคน บางคนอยู่ไม่ถึงวัน มาเช้าเย็นหาย...หายไป ไม่กลับมาอีกเลยค่ะ”
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ?”
สุริยงถามตรงๆ มาลัยกับวิเวียนได้แต่มองหน้ากัน สุดท้ายมาลัยก็หันมาตอบ
“คือ...คุณเขมเธอเป็นคนช่างเลือกน่ะค่ะ"

สุริยงเลิกคิ้วนิดๆ แววตาฉงน

อ่านต่อหน้า 3

อย่าลืมฉัน ตอนที่ 2 (ต่อ)

มาลัยย้อนเล่านึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมา ในขณะที่ตัวเองนั่งหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ที่โซฟาในห้องทำงานเขมชาติ ข้างหน้าเป็นสมคิดนั่งตรงข้ามกับเขมชาติที่กำลังก้มอ่านเอกสารอยู่

พลันก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้อง ก่อนที่ประตูห้องทำงานจะถูกเปิดออก พร้อมกับหญิงสาวในชุดกระโปรงสั้นมาก ที่เดินเข้ามาพร้อมกับแก้วกาแฟในมือ
“กาแฟค่ะ ท่านผู้อำนวยการ”
เขมชาติ เงยหน้าเห็นชุด ถึงกับชะงัก
“คุณเป็นใคร ?”
คราวนี้กลายเป็นฝ่ายถูกถามชะงักบ้าง สมคิดจึงต้องรีบชิงอธิบาย
“เลขาใหม่ของท่านผู้อำนวยการครับ เพิ่งมาทำงานวันนี้วันแรก”
เขมชาติพินิจมองหญิงสาวในชุดนุ่งสั้น ตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกที แล้วก็ปิดแฟ้มเอกสารด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่จะหันมาพูดกับสมคิดด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ
“คุณสมคิด ผมต้องการ “เลขา” ไม่ใช่ “โคโยตี้ แต่งตัวแบบนี้มาทำงาน แสดงว่าไม่เข้าใจความหมาย
ของคำว่า “กาลเทศะ” ไล่ออก”
กับอีกเหตุการณ์หนึ่ง มาลัย สมคิด นั่งตำแหน่งเดิม เขมชาตินั่งเซ็นเอกสารเหมือนเดิมทุกอย่าง และเมื่อประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้ผู้ที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับแก้วกาแฟ เป็นหญิงสาวที่แต่งตัวมิดชิด เรียบร้อย
เขมชาติปรายตามองชุด แต่ก็ไม่เอ่ยปากว่ากระไร สมคิดกับมาลัยโล่งอก เขมชาติรับแก้วกาแฟมา
ดื่ม แล้วก็ชะงัก กลืนกาแฟลงอย่างอารมณ์เสียแล้วก็เดินลุกพรวดขึ้น เปิดหน้าต่างแล้วก็เทกาแฟทิ้งไปเลย
เลขาผู้มาใหม่ ตกใจหน้าเสีย
“ที่บริษัทมีกาน้ำร้อน ถ้าใช้ไม่เป็นก็ลาออกไปซะ”
และเมื่อเลขาคนเดิม นำแก้วกาแฟที่งมาใหม่วางลงบนโต๊ะเขมชาติ เห็นไอร้อนลอยขึ้นมา
“กาแฟร้อนค่ะ ผู้อำนวยการ”
เลขาสาวเสียงสั่น
เขมชาติ มองแก้วกาแฟ และไอร้อน ที่โชยขึ้นมาจากในแก้ว แววตานิ่งๆ แล้วก็หันมาทางสมคิด
“คุณสมคิดบอกเขา” ปรายตามาทางเลขา “ ด้วยว่า..ผมไม่ชอบคนประชด “
เลขาสาวหน้าเสีย
“ดิฉันไม่ได้ประชดนะคะ ผู้อำนวยการอยากดื่มกาแฟร้อน ดิฉันก็ไปชงร้อนๆมาให้ไงคะ”
เขมชาติ ปรายตามามองไม่สน แล้วก็พูดกับสมคิด
“ผมไม่ชอบคนแก้ตัว”
“ดิฉันไม่ได้แก้ตัวนะคะ” เลขาสาวพยายามอธิบาย แต่เขมชาตินอกจากจะไม่ฟังแล้ว ยังพูดสวนใส่หน้าสมคิด
“ และผมก็ไม่ชอบคนเถียงด้วย ไล่ออกไปเลย “

สุริยง ฟังแล้วก็อึ้ง พลางยกกาแฟขึ้นดื่ม สีหน้าครุ่นคิด
“นี่แค่บางส่วน ยังมีอีกเยอะค่ะ” มาลัยพูดต่อ
วิเวียน ช่วยเสริม
“ใช่ค่ะ เล่าทั้งวันก็ไม่จบ นี่ขนาดตัวอย่างแค่ 2 คน เกือบจะหมดเวลาพักเที่ยง”
สุริยง นึกได้ รีบวางแก้วลงทันที
“อุ๊ย จะหมดเวลาแล้วจริงๆด้วย” พลางพลิกดูนาฬิกาข้อมือ “ต้องขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ ผลไม้กับขนมนี่ทานกันได้เลยนะคะ แล้วคุยกันใหม่ค่ะ “
พูดจบ สุริยงก็รีบถือกล่องข้าวแล้วเดินไปเลย มาลัยกับวิเวียนมองตาม แล้ววิเวียนก็หันมาถาม
“ที่เราเล่าเมื่อกี๊ เราไม่ได้ทำให้พี่เค้ากลัวใช่มั้ยอ่ะ ? “ วิเวียนเริ่มไม่แน่ใจ
“ไม่มั้ง” มาลัยตอบแบบไม่ค่อยเต็มเสียง
จากนั้นทั้งสองคนก็ได้หันไปมองสุริยงด้วยความเห็นใจ พลันมาลัยก็หันไปเห็นแก้วกาแฟของสุริยง แล้วก็ชะงัก
“เฮ้ย...กาแฟใส่มะนาว “
วิเวียนหันขวับมาตกใจ “อะไรพี่มาลัย อยู่ๆก็ร้องตกใจหมด”
มาลัย หยิบแก้วกาแฟมาดู แล้วก็พึมพำ
“ ไม่อยากเชื่อเลย บนโลกนี้จะมีคนกินกาแฟใส่มะนาวฝานเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”
มาลัยอึ้งด้วยความแปลกใจ วิเวียนยื่นหน้ามาถาม
“แล้วคนแรกที่เจอคือใครเหรอคะ ?”

เขมชาติเดิน ตรงไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าบริษัท พลางมองดูนาฬิกา แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ในขณะที่
สุริยงรีบเดินกลับเข้ามาลงนั่ง เหลือบเห็นโน๊ตแป่ะอยู่ที่จอคอมพ์ แล้วก็ชะงักกึก ที่โน๊ตเขียนว่า
“ออกไปพบลูกค้ากับผม บ่ายโมงตรงเจอกันหน้าบริษัท อย่าช้า ผมไม่ชอบรอ ”
สุริยงมองนาฬิกาเห็นว่าอีก 5 นาทีจะบ่ายโมง ตกใจ รีบคว้ากระเป๋ารีบวิ่งออกไป
เขมชาติมองนาฬิกา เห็นเวลาอีก 2 นาทีบ่ายโมง พลางส่ายศีรษะอย่างหงุดหงิด ทางด้านสุริยงก็รีบ
วิ่งออกมาจากลิฟต์ แต่บังเอิญชนเข้ากับพนักงานคนอื่นที่กำลังจะเดินสวนเข้าไปในลิฟต์ เอกสารต่างๆในมือตก
กระจาย สุริยงรีบหยิบรวบรวมขึ้นมาแล้ววิ่งออกไป
เขมชาติมองนาฬืกาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่า บ่ายโมงตรง ก็ยิ้มมุมปากร้ายกาจ ขับรถพุ่งออกไปอย่าง
รวดเร็ว แต่แล้วก็ต้องเบรคเอี๊ยด เมื่อสุริยง วิ่งมายืนขวางหน้ารถด้วยใบหน้ากระหืดกระหอบ
เขมชาติเปิดประตูรถลงมาโวยใส่สุริยง
“ไม่มีใครบอกหรือไงว่าที่นี่ ให้พักเที่ยงถึงบ่ายโมง”
“คุณสมคิดบอกแล้วค่ะ”
เขมชาติทำเป็นหันนาฬิกาข้อมือมาดู ก่อนจะพูดด้วยความไม่พอใจ
“ตอนนี้บ่ายโมง 2 นาที”
“ขอโทษค่ะ ต่อจากนี้ไป ดิฉันจะตั้งนาฬิกาใหม่ ให้เวลาของเราสองคนตรงกัน เพราะตอนนี้
เวลาของดิฉัน" สุริยงหันนาฬิกามาดู "เที่ยง 58 นาที 32 วินาที ยังไม่บ่ายโมงค่ะ”
“ไม่ใช่แค่เวลาที่คุณจะต้องยึดผมเป็นหลัก แต่ทุกๆเรื่องนับจากนี้เป็นต้นไป เมื่อก้าวเข้ามาในบริษัทนี้
ผมคือทุกสิ่งทุกอย่างของคุณ ถ้ารับไม่ได้ก็ลาออกไป “
พูดจบเขมชาติก็เดินขึ้นรถ สุริยงรีบขึ้นรถตามไป เขมชาติสะบัดหน้า เชิดใส่ แล้วก็ออกรถไปอย่างเร็ว
แล้วก็แกล้งเลี้ยวหักศอกอย่างแรง สุริยงตกใจไม่ทันตั้งตัว ตัวเอนไปกระแทกกับประตูอย่างแรง

เขมชาติปรายตามามองนิดๆ ไม่สน แล้วก็เหยียบไปต่อ สุริยงรีบคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดอย่า

ในรถสปอร์ตสุดหรูของเขมชาติ ที่มีสุริยงนั่งอยู่ข้างๆ หญิงสาววางท่าอย่างสงบเสงี่ยม มือสองข้างวางไว้บนตัก มือข้างที่ใส่แหวนอยู่ข้างบน

“นั่งเงียบทำไม ? เป็นใบ้หรือไง”
“ท่านผู้อำนวยการสั่งไว้ว่า ถ้าผู้อำนวยการไม่พูดด้วย ดิฉันก็พูดไม่ได้ ดิฉันก็เลยเงียบค่ะ”
สุริยงย้อน เขมชาติกัดฟันกรอด แล้วก็ปรายตามาเห็นแหวนก็ชะงักกึก ก่อนที่จะตวัดสายตากลับ อาการเจ็บร้าวลึกๆ ฉายชัดในแววตา พลางชายหนุ่มเชิดหน้านิดๆ แล้วก็ตัดสินใจเหยียบเบรกอย่างแรง จนสุริยงตัวโน้มไปข้างหน้าตามแรงเบรก หญิงสาวหันมามองงงๆ
“มีอะไรคะ ?”
“ลงไป” เขมชาติพูดห้วน สั้น
สุริยงงง “ คะ ?”
เขมชาติ หันมาจ้องหน้าหญิงสาว เสียงเข้ม
“ ลงจากรถไปเดี๋ยวนี้”
“เอ่อ...ผู้อำนวยการไม่ให้ดิฉันไปพบลูกค้าแล้วเหรอคะ ?”
เขมชาติเน้นคำ
“ผมบอกให้ลง-จาก-รถ“
สุริยงหยุด ไม่ถามต่อ หากเชิดหน้า และลงจากรถไปตามสั่ง เขมชาติกดกระจกลง แล้วก็กระดิกนิ้วเรียกให้ก้มหน้าลงมา สุริยงมองงงๆ แต่ก็ก้มหน้ามาที่กระจก
“ผมนัดลูกค้าไว้บ่ายสองโมง ถ้าผมไปถึงที่นัดแล้วไม่เจอคุณ...เก็บของกลับบ้าน ลาออกไปได้เลย”
“แต่ดิฉันยังไม่ทราบรายละเอียดเลยนะคะ” สุริยงแย้ง หากเขมชาติไม่สนใจ หันหน้ากลับ แล้วก็กด
กระจกขึ้น.สุริยง พูดต่อ ในขณะที่กระจกกำลังเลื่อนปิด และรถกำลังเคลื่อนออก
“ไม่รู้ว่าผู้อำนวยการนัดกับใคร ? แล้วก็ไม่ทราบว่านัดที่ไหน ? “
กระจกปิดไปแล้ว และรถเขมชาติก็แล่นออกไปเลย ทิ้งให้สุริยงยืนเหวออยู่ตามลำพัง
“แล้วจะไปถูกได้ยังไง ? “
สุริยงพูดกับตัวเอง พลางคิด

เขมชาติขับรถไปด้วยความสะใจ และเมื่อมองผ่านกระจกหลังเห็นสุริยงยืนเคว้งคว้างอย่างไร้ทางออกยิ่งสะใจ จากนั้นก็ขับรถมุ่งไปอย่างผู้กำชัย

เขมชาติมาถึงสถานที่นัดลูกค้า ซึ่งเป็นร้านอาหารสุดหรู ในโรงรมหรูระดับห้าดาว เมื่อเวลา 14.00 น. พอดิบพอดี ชายหนุ่มเดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี ในมือมีแท็บเล็ต และตัวอย่างผ้าที่สมคิดเตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ เขมชาติมองไปรอบๆ ไม่เห็นวี่แววของสุริยง ก็ยิ้มสะใจ แล้วก็เดินเข้าไปในร้านอาหาร
เขมชาติเดินเข้ามามองๆรอบๆ เห็นลูกค้าฝรั่งที่นัดไว้นั่งหันข้างกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เขารีบสาวเท้าเดินยิ้มๆ เข้าไปหา ไม่ทันเห็นว่าลูกค้ากำลังเงยหน้าคุยกับใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อาหารอร่อยมากๆ รสชาติใกล้เคียงกับที่แม่ผมทำมาก ประทับใจจริงๆ “
โอลิวิเย่ สนทนาด้วยภาษาฝรั่งเศส เขมชาติชะงักกึก นึกฉงนว่าคุยกับใคร .. หรือว่าสุริยง ? ชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปทันที พร้อมกับทักทาย
“สวัสดีครับมิสเตอร์โอลิวีเย่”
“อ้าว คุณเขม” คราวนี้หนุ่มผมสีทอง พูดด้วยภาษาไทย สำเนียงแปร่งหู “สวัสดีครับ”
เขมชาติยิ้มรับ และรีบหันมาทางคนที่โอลิวิเย่คุยด้วย เห็นเป็นเชฟร่างใหญ่ชาวฝรั่งเศส ยืนอยู่ในชุดเชฟ เขมชาติโล่งอก ที่ไม่ใช่สุริยง ดังที่คิด
โอลิวิเย่แนะนำต่อ


“คุณเขมครับ นี่คือ เชฟโจนาธานเป็นเชฟอาหารฝรั่งเศสของที่นี่ ฝีมือสุดยอดมาก” พลางหันมาพูดกับเชฟเป็นภาษาฝรั่งเศส “เชฟ..นี่คุณเขมชาติเพื่อนผม “
เขมชาติและเชฟจับมือทักทายกัน
เขมชาติกล่าวทักทายเป็นภาษาฝรั่งเศส ”ยินดีที่รู้จัก”
เชฟอวยทักทายตอบเป็นภาษาเดียวกัน“ยินดีที่รู้จัก ” พลางหันมาพูดกับโอลิวีเย่ “ผมขอตัวก่อนนะครับ เชิญตามสบายนะครับ”
เมื่อเชฟร่างใหญ่เดินผละออกไป เขมชาติก็หันมาสนทนากับโอลิวีเย่ พร้อมๆ กับทำท่าจะหย่อนก้นลงนั่งที่เก้าอี้
“ผมเพิ่งทราบว่าที่นี่มีเชฟอาหารฝรั่งเศสฝีมือดีอยู่ด้วย”
“ผมก็ไม่เคยรู้เหมือนกัน นี่ถ้า “เลขา” คุณไม่บอก ผมก็ไม่รู้”
เขมชาติ ที่กำลังจะหย่อนก้นลงนั่ง ถึงกับชะงัก พลางยืดตัวขึ้นอีกทีครั้ง
“ เมื่อกี๊คุณบอกว่าใครเป็นคนบอกนะ”
“เลขาของคุณ มาดามสุริยง”
คำตอบของโอลิวิเย่ ทำเอาเขมชาติทั้งอึ้ง ทั้งงง
“คุณรู้จักเขาได้ยังไง ?”
“ก็ผมเจอเขาเมื่อครู่ คุณเป็นคนส่งเขามาต้อนรับผมเอง”
จบประโยค เขมชาติยิ่งอึ้งหนักเข้าไปอีก

สุริยงก็เดินนำหน้าพนักงานที่ถือถาดเครื่องดื่มเข้ามาในห้อง ด้วยอากัปกิริยาที่กระฉับกระเฉง ดูต่างจากผู้หญิงที่เพิ่งถูกทิ้งไว้ริมถนนเมื่อคร่าใหญ่ๆ ที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
เขมชาติอึ้งไปทันทีที่เห็นสุริยงเดินนำพนักงานเข้ามา พร้อมทั้งผายมือไปทางโอลีวีเย่
“ไวน์สำหรับมองซิเออร์โอลิวีเย่ และกาแฟสำหรับผู้อำนวยการค่ะ “
พนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ทั้งสองคน เขมชาติมองสุริยงไม่กระพริบตา สุริยงยืนยิ้มนิดๆ วางหน้าปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขมชาติได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ พลางก้มลงมองที่แก้วกาแฟ และพบว่าเป็นกาแฟดำอุ่นๆ มีมะนาวฝานบางๆวางอยู่ ช่างดูน่าดื่มและถูกใจเป็นยิ่งนัก

เขมชาติมองแก้วกาแฟในมือ พลางหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีต ในขณะที่เขากำลังนั่งทำรายงานอยู่ในมหาวิทยาลัย ข้างตัวมีแก้วกาแฟกระเบื้องเคลือบแบบบ้านๆ ภายในเป็นกาแฟดำ และมีมะนาวฝานลอยอยู่ ชายหนุ่มเงยหน้ามามองแก้วกาแฟแล้วก็ยิ้ม
“ขอบคุณครับ .. คุณรู้ได้ยังไงว่าผมชอบดื่มกาแฟดำใส่มะนาว”
สุริยงตอบแบบยิ้มๆ งงๆ หน่อยๆ ยามนั้นหญิงสาวยังเป็นสาววัยแรกรุ่น สวยใส น่ารัก และไม่นิ่งขรึมเหมือนปัจจุบัน
“อ้าว..เขมก็ชอบเหรอ ? วดีไม่รู้หรอก แก้วเนี่ย ของวดีนะ ไม่ใช่ของเขม”
“หะ ? ของวดี ? “ เขมชาติหน้าเหรอ
สุริยง ยักคิ้วยิ้มๆ
“อือ งั้น “ พลางหันไปหยิบแก้วอีกใบมา “ แบ่งกันนะ” จากนั้น สุริยงก็เทกาแฟใส่อีกแก้ว แล้วเอามะนาวฝานมาใส่แก้วของเขมชาติ “ให้” พลางเลื่อนแก้วมาให้เขมชาติ
“ขอบคุณครับ” เขมชาติยิ้มปลื้ม มองแก้วกาแฟดำใส่มะนาวอยู่ในมือ

หากในยามนี้ เขมชาติเพียงแค่ปรายตามองแก้วกาแฟดำวางอยู่บนโต๊ะ ราวกับไม่อยากจะจดจำเรื่องราวในอดีต
โอลีวีเย่ ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม พลางหันมาชม
“เลือกไวน์ได้ดีมาก เยี่ยมมาก “
สุริยงยิ้มอย่างถ่อมตัว ตรงข้ามกับเขมชาติ ที่มองค้อนอย่างหมั่นไส้
“มิสเตอร์โอลีวีเย่ครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราเริ่มคุยงานกันเลยดีกว่าครับ”
พูดจบก็หยิบแท็บแล็ตออกมาเปิดดูลายผ้าที่เลือกไว้
“นี่เป็นลายผ้าที่ผมจะนำมาเสนอสำหรับโรงแรมของคุณที่สวิส มีทั้งหมด 5 แบบ ลองเลือกดูนะครับ”
เขมชาติส่งแบบผ้าให้ โอลีวีเย่รับมาดูด้วยความสนใจ สุริยงพยักหน้าให้พนักงานมาเก็บโต๊ะอย่างรู้งาน พนักงานรีบเดินมาเคลียร์จานอาหารออก และปรับจากโต๊ะอาหารเป็นโต๊ะคุยงานได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นสุริยงก็ถอยไปนั่งที่โต๊ะข้างๆ ห่างไปไม่มาก ในมือเตรียมจดทุกอย่าง ข้างๆมีมือถือแท็บแล็ตวางพร้อม

เขมชาติปรายตามองเหมือนจับผิดตลอดเวลา แต่เมื่อไม่พบข้อบกพร่องอะไรให้จับผิดได้ เขมชาติยิ่งแค้นใจหนัก

อ่านต่อหน้า 4

อย่าลืมฉัน ตอนที่ 2 (ต่อ)

“เกนหลง” หญิงสาวหน้าหวานเฉี่ยว มัดผมรวบตึง ในชุดกีฬาทะมัดทะแมง แต่แฝงความเซ็กซี่เล็กๆกำลังเรียนต่อยมวยกับเทรนเนอร์อยู่บนเวทีมวย ท่วงท่าของเธอดูคล่องแคล่ว เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว

เทรนเน่อร์ร่างบึก ออกคำสั่ง พร้อมกำกับท่าทาง ให้หญิงสาวทำตาม

“ต่อย ฮุคซ้าย..ซ้าย..ขวา...ขวา ซ้ายขวา ดี ต่อไปเตะ ซ้าย ซ้าย ขวา ขวาซ้าย อูย ดี เข่ามา เข่าซ้าย ขวา..ขวา เตะซ้าย ซ้าย ซ้าย ขวา ขวา ขวา ซ้าย ถีบ “
เกนหลงเผลอตัวถีบเข้าไปเต็มแรง จนเทรนเนอร์กระเด็นออกไป แล้วก็เสียหลักเซตกจากเวที
“โอ๊ย” เทรนเน่อร์ร่างบึกร้องเสียงหลง
เกนหลงตกใจ
“ว้าย ขอโทษค่ะ “
เกนหลงร้องออกมาด้วยความตกใจ พร้อมกับยกมือไหว้ด้วยความรู้สึกผิด ยามนี้หญิงสาวแลดูน่ารัก ต่างกับความโหดตอนเตะ ต่อยอย่างสิ้นเชิง

ประตูล็อคเกอร์ในฟิตเนสถูกเปิดออก เกนหลง เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองเก๋ๆ แต่งหน้าเบาๆ พลางหยิบกระเป๋าแบรนด์หรูออกจากล็อคเกอร์ แล้วก็เดินออกไปจากห้องแต่งตัวอย่างอารมณ์ดี เมื่อเดินผ่านที่หน้าเคาท์เตอร์ พนักงานต้อนรับ ก็หยิบเมมเบอร์การ์ดส่งให้อย่างเป็นมิตร และคุ้นเคย
“คุณ “เกนหลง” ค่ะ”
เกนหลงรับมาพร้อมกับยิ้มสดใส “ ขอบคุณค่ะ”
พนักงานต้อนรับถามต่อ
“คุณเกนหลงจะให้ดิฉันจองเทรนเนอร์ครั้งต่อไปไว้เลยหรือเปล่าคะ ? “
“ยังดีกว่าค่ะ” เกนหลงปฎิเสธอ่อนโยน “ช่วงนี้มีคิวปาร์ตี้แน่นมาก จองกั๊กไว้ ถ้ามาไม่ได้ คนอื่นจะเสียโอกาส เอาไว้ถ้าว่างเกนโทร.มาถามคิวเทรนเนอร์ดีกว่าค่ะ ไปก่อนนะคะ”
พนักงานยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
เกนหลงรับไหว้ พร้อมยิ้มน่ารัก แล้วก็เดินออกไปอารมณ์ดี พลันเสียงโทรศัพท์ที่ตั้งปลุกไว้ก็ดังขึ้น เกนหลงหยิบมาอ่าน ที่หน้าจอปรากฏข้อความ
“Dinner กับเขม”
เกนหลงอ่านแล้วก็ยิ้มอย่างมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

ในขณะที่เขมชาตยังคงนั่งคุยกับโอลีวีเย่อยู่ที่เดิม โทรศัพท์มือถือวางอยู่ข้างตัว โอลีวีเย่ส่งแบบผ้าคืนพร้อมกับเลือกลายผ้า
“ผมเลือกลายนี้...ผมชอบอะไรที่มัน ..คลาสสิก ไม่หวือหวาเกินไป ภายนอกดูเรียบๆแต่ลึกๆมีบางอย่างที่น่าค้นหา ไม่น่าเบื่อ”
โอลีวีเย่พูดพลางหันมามองสุริยง ดวงตาเป็นประกาย สุริยงนั่งนิ่งๆ ทำเป็นไม่รู้ตัว เขมชาติปรายตามามองอย่างรู้ทัน ชายหนุ่มหน้าบึ้งขึ้นมาทันที ด้วยความหมั่นไส้
“ คุณเลือกได้ถูก ผ้าลายนี้ดูกี่ทีก็ไม่เบื่อ ผมออกแบบให้อารมณ์ผ้าเปลี่ยนไปตามแสงของฤดูที่เปลี่ยนไป ลูกค้าที่มาโรงแรมคุณในแต่ละช่วงเวลา จะได้สัมผัสกับอารมณ์ที่ไม่เหมือนกัน”
โอลีวีเย่พยักหน้าชื่นชม สุริยงเองแม้จะไม่ได้แสดงออก แต่แววตาบ่งบอกถึงความรู้สึกแปลกใจและทึ่งในความคิดของเขมชาติ
เขมชาติ อธิบายต่อ
“ผ้าลายนี้จะให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนในฤดูหนาว สดชื่นสบายตาในฤดูใบไม้ผลิ สดใสจัดจ้านในฤดูร้อน และสงบเยือกเย็นในฤดูใบไม้ร่วง”
โอลีวีเย่พยักหน้าชื่นชม และคล้อยตามสิ่งที่เขมชาติพูดทุกอย่าง ในขณะที่สุริยงเอง ก็มองเขมชาติอย่างแอบทึ่ง
“แต่ผ้ากับผู้หญิงไม่เหมือนกันนะครับ” เขมชาติพูดต่อ “ผ้าที่เราเห็นไม่ว่าข้างนอกจะมีกี่สี ข้างในก็ประกอบด้วยเส้นด้ายสีนั้น แต่ผู้หญิงบางคนสร้างภาพภายนอกให้สูงส่ง ดูดี แต่ข้างใน” ปรายตามาทางสุริยง
“ไร้ค่า เต็มไปด้วยกิเลศตัณหาและความทะเยอทะยาน”
สุริยงหลังเหยียดตรงขึ้นมาทันที หน้าเชิดเหมือนไม่ยอมรับ แม้จะรู้ว่าโดนเหน็บเข้าให้อย่างจัง
โอลีวีเย่ ยิ้มๆ อย่างคนไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง
“คุณเขมมองผู้หญิงในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่าครับ”
“เมื่อก่อนผมเคยมองผู้หญิงในแง่ดีมาก ก็เลยโดนหลอก จนเกือบ ” ตาย” ผมเป็นคุณเป็นเพื่อนก็เลยเตือนด้วยความหวังดี”
เขมชาติแสร้งยิ้ม สุริยงนั่งนิ่ง. พยายามข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ทั้งเสียใจ น้อยใจ โกรธ และปลง ระคนกัน

เกนหลงเดินอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ในรถเข็นว่างเปล่า หญิงสาวเดินมาถึงแผนกของสด กระนั้นก็ยังก็คิดไม่ออกจะซื้ออะไร ในที่สุดก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา

“ตกลงว่าคุณเลือกลายนี้นะครับ ผมจะได้สั่งให้โรงงานเริ่มผลิตเลย ไม่เกินสองเดือนทุกอย่างเรียบร้อย”
เขมชาติสรุป
โอลีวีเย่ยิ้ม “โอเค”
เขมชาติเก็บแท็บแล็ตมาวางข้างโทรศัพท์ สุริยงชะเง้อมองตาม ตั้งใจจะดูลายผ้าที่ลูกค้าเลือก พลันโทรศัพท์มือถือของเขมชาติก็สั่น เมื่อมีสัญญาณโทร. เข้า หน้าจอเป็นรูปของเกนหลงกับเขมชาติ ที่ถ่ายคู่กันอย่าง
แนบชิดสนิทสนม เขมชาติยิ้มกว้างมีความสุข ต่างจากหน้าที่ปั้นเข้าหาสุริยงอย่างสิ้นเชิง
สุริยงมองเห็นเต็มตา ในขณะที่เขมชาติก็ปรายมามองพอดี เขมชาติเห็นว่าสุริยงมองหน้าจออยู่ ในจังหวะที่สุริยงก็รู้ตัวว่าเขมชาติมองอยู่ ก็หันมา สองคนสบตากัน เขมชาติยิ้มร้ายนิดๆ อย่างสะใจเหมือนอยากอวด ก่อนจะหันมาทางโอลีวีเย่
“สายนี้สำคัญมาก ไม่รับไม่ได้ ผมขอตัวไปรับสักครู่นะครับ “
“ตามสบายครับ” โอลีวีเย่ยิ้มอย่างเต็มใจ
เขมชาติจงใจหันมาปรายตาเย้ยสุริยงอยู่ในที แล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือ เดินออกไปได้ 2-3 ก้าว ส่วนโอลีวีเย่ ก็ลุกจากที่นั่งแล้วเดินมานั่งข้างสุริยงทันที พร้อมถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ผมจะอยู่กรุงเทพฯ อีก 3-4 วัน กำลังต้องการเพื่อน มาดามจะแฮงค์เอ้าท์ พาผมเที่ยวกรุงเทพ สักวันสองวันได้หรือเปล่าครับ ?”
สิ้นเสียงของโอลีวีเย่ เขมชาติก็ชะงักกึก เขาปรายตามาทางโอลีวีเย่ที่กำลังตั้งท่าจีบสุริยงอยู่อย่างขัดใจ เลือดในตัวของเขมชาติฉีดแรง มันไม่ใช่ความหึง แต่มันเป็นความรู้สึกที่แยกไม่ถูก ระหว่าง หวงก้าง หมั่นไส้ ไม่อยากให้ได้ดี และต่างๆนานาอีกมากมาย ปะปนกัน
เขมชาติยืนนิ่งอยู่หนึ่งอึดใจ ข้างหลังคือ สุริยงที่กำลังโดนผู้ชายอีกคนจีบ ส่วนในมือ คือผู้หญิงที่ตัวเองกำลังตามจีบ และกำลังรอสายอยู่
เขมชาติชะงัก อย่างไม่รู้จะเลือกอะไร?

ในระหว่างเกนหลงยืนถือโทรศัพท์รอสายอยู่ อีกด้านหนึ่งเขมชาติ ก็ยังไม่ยอมรับสาย หากยืนนิ่ง
อยู่ที่เดิม ตั้งใจจะเงี่ยหูแอบฟังการสนทนาของโอลีวีเย่กับสุริยง โดยที่ฝ่ายหลังนั่งยิ้มๆ อย่างเป็นมิตร ขณะเดียวกัน
ก็ระวังตัวอยู่ในที
“ถ้าวันทำงานไม่สะดวก จะเป็นวันหยุด หรือหลังเลิกงานก็ได้นะครับ”
สุริยงยิ้มอย่างสุภาพแทนคำตอบ ไม่ทันสังเกตว่าเขมชาติแอบฟัง ชายหนุ่มพยายามเงี่ยหูรอ
ฟังคำตอบ แต่โทรศัพท์ยังสั่นเตือนว่ามีคนรออยู่

เขมชาติละล้าละลังนิดๆ แต่สุดท้ายก็จำใจเลือกเดินออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

เขมชาติเดินออกมาที่หน้าร้าน และรีบกดรับอย่างร้อนใจ

“สวัสดีครับคุณเกน”
“เขมจำได้หรือเปล่าคะ ว่าเย็นนี้เรามีนัดกัน?" เกนหลงที่อยู่ทางปลายสาย เปิดประโยค
สนทนาอย่างอารมณ์ดี
เขมชาติปากคุยโทรศัพท์ แต่ใจและสายตากลับพะวักพะวงอยู่ในร้านอาหาร
“จำได้สิครับ นัดกับคุณเกนผมจะลืมได้ยังไง? เย็นนี้เจอกันนะครับ”
จบประโยค เขมชาติก็เตรียมจะวางสาย แต่เกนหลงพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“เดี๋ยวก่อนค่ะเขม เกนว่าจะทำอาหารเอง ตอนนี้อยู่ซูเปอร์มาร์เก็ต คุณอยากทานอะไรคะ?”
“ผมทานอะไรก็ได้ครับ” เขมชาติตอบแบบผ่านๆ เพราะใจจดจ่ออยู่ในร้านมากกว่า
เสียงเกนหลงสวนขึ้นมาทันที “อะไรก็ได้ ไม่ได้ค่ะ ต้องช่วยเกนตัดสินใจด้วย”
เขมชาติเริ่มชักสีหน้านิดๆ ลึกๆ แอบร้อนใจ ห่วงพะวง เกนหลงพูดต่อ
“เกนมีตัวเลือกให้คุณก็แล้วกัน ระหว่างอาหารไทยและอาหารอิตาเลี่ยน เขมอยากทานอะไรคะ?”
“ผมทานได้ทั้ง 2 อย่าง คุณเกนทำทั้งสองอย่างเลยก็ได้ครับ”
เขมชาติตอบพลาง ตาก็มองเข้าไปในร้านอยู่ตลอดเวลา
เกนหลงพูดเหน็บยิ้มๆ
“ห้ามโลภ ต้องเลือกค่ะ“
“คุณเกนเลือกเลยครับ ผมเชื่อในการตัดสินใจของคุณ” เขมชาติพยายามตัดบท
เกนหลงยิ้มหวาน
“หวานนะคะ...หวานแบบนี้ เกนไม่เซ้าซี้แล้วค่ะ เอาเป็นว่าดินเนอร์นี้เกนจัดให้คุณเอง ถ้าไม่
ถูกใจก็ช่วยไม่ได้นะคะ”
เขมชาติรีบตอบ
“คุณเกนเลือกอะไรมา ผมก็ชอบทั้งนั้น แล้วพบกันนะครับ สวัสดีครับ”
เขมชาติยิ้มกว้างอย่างมีเสน่ห์ แล้วก็รีบวางสายไป พลันก็เปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นแววตาดุ จากนั้นก็
รีบเดินกลับเข้าไปในร้านอาหารด้วยความร้อนใจ
ในขณะเดียวกัน โอลีวีเย่ยังพยายามตื้อสุริยงอยู่อย่างไม่ลดละ
“คุณไม่มีเวลาว่างจริงๆเหรอครับ ? สักชั่วโมง สองชั่วโมง แค่ดื่มกาแฟก็ได้ “
สุริยงยิ้ม “เวลาว่างมีค่ะ แต่ดิฉันต้องใช้เวลานั้นกับลูกๆ”
“ลูก ?” โอลีวีเย่ขมวดคิ้ว พลางทวนคำด้วยความสงสัย
“ค่ะ แฝดสอง”
โอลีวีเย่ถามหน้าจ๋อยๆ “แล้วสามี ?”
“เสียชีวิตแล้วค่ะ”
โอลีวีเย่ ยิ้มอย่างโล่งอก
“ โอเค !! พาลูกๆมาด้วยก็ได้นะครับ ผม..ยินดี”
เขมชาติซึ่งเดินพรวดเข้ามาได้ยินพอดี เขาโพล่งออกมาอย่างลืมตัว
“วดี “
พลันก็ชะงักกึก กับชื่อที่ตัวเองพูดออกไป สุริยงก็ชะงักเช่นเดียวกัน เขมชาติกับสุริยง หันมา
มองหน้ากันแว่บหนึ่ง และในเสี้ยววินาทีนั้น เขมชาติหลุดแววตาแห่งเยื่อใยออกมา หากก็รีบเก็บไว้ แสร้งทำเป็น
เสียงขรึม
“ขอโทษนะครับ” เขมชาติหันมาทางโอลีวีเย่ ก่อนที่จะพยักหน้าให้สุริยงเดินมาหา เมื่อหญิง
สาวลุกมา เขมชาติก็ส่งกุญแจรถให้ พร้อมกับออกคำสั่ง
“ ไปเอารถมาจอดรอที่หน้าร้าน”
“ค่ะ แล้วรถผู้อำนวยการจอดอยู่ที่ไหนคะ ?”
เขมชาติ ถลึงตาดุ “มันเป็นหน้าที่ของคุณ ที่ต้องไปหา ไม่ใช่หน้าที่ของผม ที่จะต้องมาตอบ”
สุริยงชะงัก เขมชาติพูดต่อเสียงดุ
“รถผมราคาแพง ขับมาดีๆ ถ้ามีรอยข่วนแม้แต่นิดเดียว นอกจากจะโดนไล่ออกแล้ว คุณยัง
จะต้องชดใช้ค่าเสียหายทุกบาททุกสตางค์”
สุริยงมองหน้าเขมชาติ นึกรู้ว่าโดนแกล้ง
“รีบไปเอารถมาได้แล้ว อย่าช้า ผม .. “
เขมชาติยังพูดไม่ทันจบประโยค สุริยงก็พูดสวนขึ้นมาทันที
“ ผู้อำนวยการไม่ชอบรอ..ดิฉันจำได้ค่ะ”
จากนั้นสุริยงก็รีบเดินออกไป ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถจอดอยู่ที่ไหน เขมชาติมองตามแล้วก็ยิ้ม
สะใจ พอหันมาก็เจอสายตาของโอลีวีเย่ ที่มองสุริยงด้วยความอาลัยอาวรณ์
“มาดามสุริยงไปไหนครับ ? เธอยังไม่ให้คำตอบเลยว่าจะออกเดทกับผมหรือเปล่า ?”
รอยยิ้มของเขมชาติหายวับไปเลย แอบถลึงตาใส่โอลีวีเย่ พลางพูดตัดบท
“ผมว่าเรามาคุยเรื่องงานกันต่อดีกว่าครับ”

ในขณะที่สุริยง ที่เดินออกมาจากนอกร้าน เธอหยุดมองกุญแจรถพลางคิด ว่าจะไปหารถที่ไหน หญิงสาวถอนใจแล้วก็รีบเดินตรงไปที่ลานจอดรถทันที
 
อ่านต่อตอนที่ 3 / 17.00 น.
กำลังโหลดความคิดเห็น