สาปสาง ตอนที่ 2
กรณ์ขับรถออกไปจากโรงละครก่อนจะหันไปถามช่อ
“คุณหิวไหม นี่ก็ยังไม่ดึกมากก เราแวะหาอะไรทานกันก่อนดีไหมครับ ผมรู้จักร้านอร่อยๆ บรรยากาศดี ๆแถวนี้”
“ก็ดีค่ะ”
ไทเดินมาที่หุ่นที่สวมเสื้อผ้าของตัวเอกที่ช่อเอื้องแสดงแล้วจ้องมองด้วยความโกรธ แพรวเข้ามาเห็นเข้าพอดี
“ทำอะไรอยู่น่ะ ครูเรียกแล้ว รีบไปเถอะ”
ไทพึมพำด้วยแค้นกับตัวเองเบาๆ
“ฉันไม่มีวันยอมให้เธอเป็นของมันแน่ ไม่มีทาง!”
ไทหมุนตัวเดินตามแพรวไป
พนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามาเสิร์ฟ
“ของหวานค่ะ”
ช่อเอื้องกับกรณ์พูด “ขอบคุณครับ”
“ง่วงรึยังครับ”
“ยังค่ะ”
“ทำไมสีหน้าคุณดูเครียดๆ มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”
“คิดเรื่องละครน่ะค่ะ ในหัวมีแต่เรื่องของตัวละครตลอดเวลา สลัดยังไงก็ไม่หลุดน่ะค่ะ”
“ตัวละครที่คุณเล่นน่ะเหรอครับ”
“ค่ะ ยิ่งแสดง ฉันก็ยิ่งสงสารเธอ ช่างเป็นคนที่โชคร้ายจริงๆ”
“อย่าคิดมากเลยครับ เรื่องแบบนี้คงมีแต่ในละคร ชีวิตจริงคงไม่มีหรอกครับ”
“ทำไมจะไม่มีค่ะ คนที่ว่ารักกันนักรักกันหนาแต่สุดท้ายต้องเลิกกันเพราะมือที่สาม มีออกเยอะแยะไป”
“อันนั้นผมไม่เถียง แต่เรื่องการสาปแช่งกันอะไรพวกนั้น ผมว่าคงไม่มีใครทำถึงขนาดนั้น”
“ก็ไม่แน่นะคะ คนเราถ้าโกรธแค้นแต่ทำอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือสาปแช่ง แช่งให้คนที่ทำร้ายต้องชดใช้กรรมที่ก่อเอาไว้”
“คุณเชื่อเรื่องคำสาปงั้นเหรอครับ” กรณ์ถาม
“ไม่รู้สิคะ จะบอกว่าไม่เชื่อซะทีเดียวก็คงไม่ใช่ เพราะเวลาเล่นบทสาปทีไร ช่อขนลุกทุกทีเลยค่ะ มันแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูกค่ะ”
“คงเป็นเพราะคุณอินกับบทละครของคุณแม่มากก็ได้นะครับ”
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ”
“ทานเถอะครับ เดี๋ยวจะเย็นซะหมด”
กรณ์ตักขนมป้อนช่อเอื้อง
“ทานซะ ของหวานๆ ช่วยคลายเครียดได้ดีนะครับ”
ช่อเอื้องเขินก่อนจะกินแล้วยิ้มให้กับกรณ์ กรณ์มองช่อเอื้องด้วยความรัก
“ไม่ต้องกังวลนะครับ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดี ผมว่าละครเรื่องนี้จะนำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่โรงละครของคุณแม่อย่างแน่นอน ผมสังหรณ์ใจว่ามันจะเป็นอย่างนั้น”
กรณ์ขับรถมาจอดหน้าคอนโด
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
กรณ์โน้มตัวมากอดช่อเอื้อง
“ฝันดีนะครับคนดีของผม”
ช่อเอื้องเขินจึงค่อยๆ ดันตัวออกมา
“ช่อไปก่อนนะคะ”
ช่อเอื้องยิ้มแล้วเปิดประตูลงจากรถไป
“ถึงบ้านแล้วส่งข้อความบอกช่อด้วยนะคะ ช่อเป็นห่วง”
“ครับ”
กรณ์ยิ้มให้อย่างรักใคร่ก่อนออกรถไป
ช่อเอื้องเดินเข้าคอนโดแต่รู้สึกเหมือนมีใครเดินตามมาจากด้านนอก
ช่อเอื้องหันกลับไปมองแต่ไม่เห็นใคร ช่อเอื้องหมุนตัวจะเดินเข้าไปด้านใน ทันใดนั้นร่างของคนคนหนึ่งก็พรวดออกมาขวางหน้าไว้
ช่อเอื้องสะดุ้งเฮือก
ชายคนนั้นก้าวเข้ามาในแสงไฟทำให้ช่อเอื้องรู้ว่าเป็นไท
“ไท...” ช่อเอื้องถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ตกใจหมด อย่าทำแบบนี้อีกนะ”
“ใครกันแน่ที่ควรพูดคำนี้”
ช่อเอื้องชักใจไม่ดีเพราะไม่แน่ใจว่าไทจะมาไม้ไหน
“เธอมาที่นี่ทำไม”
“ถ้าไม่มาแล้วจะเห็นเรื่องบัดซบแบบนี้เหรอ”
“พูดเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่เธอกับไอ้หมอนั่นกำลังแอบทำอยู่ยังไงล่ะ อย่าคิดนะว่าฉันไม่เห็น”
ช่อเอื้องอึ้งไปเพราะไม่รู้จะแก้ตัวว่ายังไง
“เพราะอย่างนี้ใช่ไหม ถึงไม่สนใจฉัน ไม่ว่าฉันจะดีกับเธอยังไง ห่วงใยเธอมากแค่ไหน เธอก็ไม่เคยเห็นหัว เพราะมันใช่ไหม เธอรักมันใช่ไหมช่อ!”
“ฉันว่าเราอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันดีกว่า ดึกมากแล้ว ฉันขอตัว”
ช่อเอื้องจะเดินเข้าไปด้านใน แต่ไทกระชากแขนของเธอไว้
“ถูกจับได้แล้วคิดจะหนีงั้นเหรอ!”
“ฉันไม่ได้หนี แล้วฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ใช่สิ ที่เธอทำมันถูกแล้ว เป็นคนรักของมัน มิน่าล่ะละครๆ กี่เรื่องๆ แพรวมันถึงไม่เคยได้เป็นตัวเอก มีแต่เธอคนเดียวที่ได้!”
ช่อเอื้องตบหน้าไทดังฉาด ไทคาดไม่ถึง
ช่อเอื้องทำสีหน้าจริงจัง “อย่าพูดแบบนี้อีกนะ ถ้าไม่อยากให้ฉันเกลียด!!”
ช่อเอื้องวิ่งหนีเข้าไปด้านในแล้วกดลิฟท์ ลิฟท์เปิดออกช่อเอื้องรีบเดินเข้าไป ไทวิ่งตามไปที่ประตูลิฟท์ขณะที่กำลังปิด ด้วยความอึดอัดและเสียใจเขาเลยโพล่งออกมา
“ชั้นรักเธอนะช่อ ชั้นรักเธอ”
ประตูลิฟท์เปิดออกเห็นช่อเอื้องยืนอยู่ ไทยิ้มรับที่เห็นช่อเอื้องเปิดประตูลิฟท์ออกมา
“ไท ชั้นไม่ได้อยากทำให้เธอเสียใจไปมากกว่านี้นะ เลิกตามชั้น แล้วอย่าทำแบบนี้อีก ชั้นคิดกับเธอแค่เพื่อน ชั้นไม่ได้รักเธอ”
ช่อเอื้องพูดแล้วกดปิดประตูลิฟท์จากไป ไทได้ยินที่ช่อเอื้องพูดก็ถึงกับทรุดเสียใจและแค้นมาก
“ฉันจะทำให้เธอรักฉันให้ได้ช่อ ไม่ว่าจะต้องทำยังไง ฉันก็จะทำ!”
ไทนั่งดื่มอยู่คนเดียวที่เคาท์เตอร์บาร์ด้วยสีหน้าเคียดแค้น แพรวมาถึงก็เดินตรงมาที่ไท
“มีอะไร ถึงกับต้องให้ฉันออกมากลางดึกขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ โดนแน่” แพรวว่า
“ช่อคบกับไอ้กรณ์” ไทบอก
แทนที่แพรวจะตกใจ เธอกลับเบะปากทำหน้าเฉยๆ
“เพิ่งจะรู้เหรอ”
“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง เธอรู้เรื่องนี้แล้วเหรอ แล้วทำไมไม่บอกฉัน”
“ชั้นบอกไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าจะทำไรก็รีบทำ มัวแต่ เฝ้าพักดี รอคอย ทำเป็นตัวเป็นสุภาพบุรุษ ต้องบอกรักก่อน แล้วเป็นไง บอกไปแล้วเค้ารักแกไหมล่ะ ฮะ เฮ้อ!!!! ไม่รู้จะเรียกว่าโง่ หรือ เซ่อดี”
ไทอึ้งไปครู่หนึ่ง “มันเกิดขึ้นนานรึยัง”
“สักพักใหญ่ๆ แล้วล่ะ”
“เธอรู้มาตลอดงั้นเหรอ แล้วทำไมถึงรู้”
“ก็ชั้นไม่ได้เซ่อ อย่างแกนี่”
ไทเริ่มรู้สึกบางอย่าง
“อย่าบอกนะว่าเธอเองก็คิดอะไรกับไอ้กรณ์นั่น”
“ไม่ใช่แค่คิด แต่ฉันต้องทำให้เขาเป็นของฉันให้ได้!! ฉันไม่ใช่คนขี้แพ้ที่เอาแต่ตีโพยตีพายเหมือนนายหรอก”
“อย่าทำให้อะไรมันเลวร้ายลงไปกว่านี้ได้ไหม”
“ก็รึไม่จริง นายจะมานั่งกินเหล้าโวยวายอยู่ทำไม ทำไมไม่เอาเวลาไปคิดว่าต้องทำยังไงถึงจะแย่งตัวช่อมาจากคุณกรณ์ได้”
ไทอึ้งไป
“ถ้านายทำไม่ได้ นายมันก็แค่ไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งเท่านั้นแหละ”
แพรวพูดจบก็ลุกออกจากบาร์ไป ไทมองตามไปด้วยสีหน้าเครียดเพราะครุ่นคิดกับคำพูดของแพรว
“แย่งงั้นเหรอ....”
อ่านต่อหน้า 2
สาปสาง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ช่อเอื้องกระอักออกมาเป็นเลือด
“กูจะขอสาปขอแช่ง! อย่าให้พวกมึงได้สมรัก! อย่าให้มึงได้สมสู่! อย่าให้มึงได้ครองคู่! ขอฟ้าขอดินพรากมึงจากกัน! ตราบชั่วฟ้า ชั่วนิรันดร์!”
เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง แสงฟ้าแลบทำให้เห็นว่ามีเลือดออกทุกทวารทั้งตา จมูก ปาก หูของช่อเอื้อง
ช่อเอื้องสะดุ้งตื่น เธอมีสีหน้าตระหนกใจก่อนจะรวบรวมสติได้และพบว่าเป็นความฝัน
“ฝันไปหรอกเหรอ…ทำไมเหมือนจริงขนาดนี้” ช่อเอื้องใจคอไม่ดี
อาภาภิรมย์ช่วยช่อเอื้องวอร์มร่างกายให้ผ่อนคลายและอธิบายให้ช่อเอื้องฟัง
“การที่เอาอารมณ์ของตัวละครติดตัวไปด้วยไม่ใช่เรื่องที่ดี เคยมีหลายๆคนที่ อินจนเป็นตัวละครตัวนั้น และ เอานิสัยของตัวละครตัวนั้นติดตัวไปใช้ในชีวิตประจำวันจนกลายเป็นบุคลิกส่วนตัวไป เช่น ถ้าเราสวมบทบาทตัวละครที่มีบุคลิกที่เกรี้ยว โกรธ ฉุนเฉียว เราก็จะ เกรี้ยวโกรธฉุนเฉียวมีความแค้นรุนแรง ตามไปด้วย จนเกิดความเครียด กับตัวเอง และมีผลกระทบ ต่อคนรอบข้างอีกด้วย แบบเรียกว่าแยกไม่ออกและไม่เข้าใจเรื่องการแสดง ทุกครั้งที่เราแสดง เราก็ควรอินและสวมบทบาทของตัว ละครตัวนั้นให้ดีที่สุด แต่พอเลิกแสดง เราก็ต้องผ่อนคลาย สลัดบทบาทนั้นออก และกลับเป็นตัวเราคนเดิมให้ได้”
“แล้วทำไมตอนแสดงเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา ไม่เคยเป็นล่ะคะ
“เธอเริ่มเชื่อ และเป็นในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวละครตัวนี้มากกว่าเรื่องอื่น พอการแสดงจบก็ไม่รู้จักผ่อนคลาย”
ช่อเอื้องอึ้งไป อาภาภิรมย์สังเกตเห็นจึงพูดขึ้น
“ช่ออย่าไปกังวลและเครียดกับการแสดงมากเกินไป ไปเที่ยว หรือ ไปทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ให้จิตใจสบายก็จะดีขึ้น”
ช่อเอื้องกับกรณ์ก้มลงกราบพระประธานพร้อมๆ กัน กรณ์หันมาถามช่อเอื้อง
“สบายใจขึ้นไหมครับช่อ”
“ค่ะ รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก”
ช่อเอื้องยิ้มพยายามซ่อนสีหน้ากังวลที่ยังมีอยู่
ช่อเอื้องเดินผ่านกระจก เธอเห็นตัวเองในกระจกที่แต่งเป็นหน้าผี ชุดที่แสดงละครมีเลือดออกที่ตา จมูก เธอก็ตกใจแต่พอรู้สึกตัวก็กลับเป็นช่อเอื้องตามปกติ กรณ์สังเกตช่อเอื้องมีอาการแปลกๆ
“เป็นอะไรไปน่ะช่อ”
ทันใดนั้นร่างของคนคนหนึ่งในสภาพซกมกสกปรกหนวดเครารุงรังก็พุ่งเข้ามาชี้หน้าช่อ
“ตาย! มึงกำลังจะตาย”
ช่อเอื้องกับกรณ์ผงะด้วยความตกใจ
“ลุง พูดอะไรนะ” กรณ์ถาม
กรณ์รีบกันชายคนนั้นออกจากช่อเอื้องและพาช่อเอื้องเดินหนี
“คนบ้านะ”
ชายคนนั้นยังเดินตามมาตะโกนใส่ช่อเอื้อง
“ตาย!! มึงกำลังจะตาย”
กรณ์เริ่มโมโหจึงเข้าไปดึงชายคนนั้นออกไป
“นี่ลุง ออกไปนะ”
“ตาย!!! มึงกำลังจะตาย !”
หลวงพ่อรูปหนึ่งผ่านมาเห็นเข้า
“อ้าว ไอ้เครา เมามาอีกแล้วสิเนี่ย ออกไป อย่ามายุ่งตรงนี้”
ชายคนนั้นฟังหลวงพ่อแล้ววิ่งหนีไป กรณ์เข้าไปประคองช่อเอื้อง หลวงพ่อหันมาพูดกับช่อเอื้องและกรณ์
“ไม่ต้องตกใจ มันคนบ้าน่ะ ชอบเข้ามาป่วนในวัดอยู่เรื่อย”
“หลวงพ่อคะ ลุงคนนั้นเขาบอกว่าหนู......”
หลวงพ่อพูดเหมือนเห็นอะไรบางอย่างเช่นกัน
“อย่าไปเอาอะไรกับคำพูดของคนอื่นเลย จงมีสติ และทำใจให้สงบ เป็นปัจจุบันจะได้ไม่เครียด ไม่คิดมาก”
“ขอบคุณครับหลวงพ่อ”
ทั้งสองไหว้ลาหลวงพ่อ
กรณ์พาตัวช่อเอื้องกลับมาที่รถ ช่อเอื้องยังคงมีสีหน้าตื่นตระหนกอยู่
“นี่คุณไม่เชื่อ เหรอคะ เค้าอาจไม่ได้เป็นบ้าก็ได้”
“โธ่ ช่อ ถ้าไม่บ้า แล้วคนปกติที่ไหน จะมาตะโกนพูดใส่คนอื่นแบบนั้นล่ะ” กรณ์ว่า
“ลุงคนนั้นคงเห็นอะไรบางอย่าง ที่เราไม่รู้” ช่อเอื้องบอก
กรณ์รีบตัดบท
“ถ้าช่อยังคิดมากกับคำพูด ของลุงนั่น ช่อก็จะเครียดอยู่แบบนี้ หลวงพ่อยังบอกเลย ให้มีสติ ให้อยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันที่ตอนนี้ท้องผมร้อง และเราควรจะขึ้นรถ ไปหาร้านอร่อยกินกัน ผมหิวจนตอนนี้หน้าผมหงิกกว่าช่อแล้วเห็นไหม”
กรณ์ทำหน้าหงิกขณะเปิดประตูรถให้ช่อเอื้อง ช่อเอื้องยิ้มน้อยๆให้กรณ์ ช่อเอื้องเดินเข้าไปในรถโดยยังแอบกังวล กรณ์วิ่งไปขึ้นรถแล้วขับออกไป
แพรวกำลังมวยผมอยู่หน้ากระจก ไทเดินเข้ามา
“แพรว .....ช่วยอะไรฉันหน่อยสิ”
“จะให้ช่วยอะไร” แพรวถาม
“ก็เรื่องช่อน่ะ วันนี้เธอช่วยกันไอ้หมอนั่นออกไปหน่อยได้มั๊ย ฉันจะคุยกับช่อเอง”
“ไม่มีปัญหา แต่นายแน่ใจนะว่าคำพูดของนายจะซื้อใจช่อได้ ไม่ใช่แค่พูดพล่อยๆ พูดให้ตายก็ไม่รัก”
“เอาเถอะน่า เธอทำหน้าที่ของเธอ เรื่องช่อ ฉันจัดการเอง”
ไททำหน้ามุ่งมั่นจริงจัง
แพรวกับช่อเอื้องกำลังซ้อมกันอยู่บนเวที
“เจ้ากับข้าเป็นดังเพื่อนแก้วเพื่อนขวัญ หากเจ้ามีรัก ไฉนข้าจะไม่ยินดี มีแต่จะปราบปลื้มหากได้เห็นเจ้ามีความสุข”
อาภาภิรมย์นั่งมองการซ้อมอย่างตั้งใจ แพรวเดินเข้ามากอดช่อเอื้อง
“เจ้าคือเพื่อนรักแห่งข้า”
สีหน้าของแพรวขณะโอบกอดช่อเอื้องซ่อนแววตาร้าย ในใจเต็มไปด้วยความชิงชัง เสียงในหัวแพรวดังขึ้น
“ฉันเกลียดแก นังช่อเอื้อง ฉันเกลียดแก!”
แพรวเดินผ่านมาด้วยใบหน้าหงิก จนมาเจอไทที่วอร์มร่างกายอยู่ตรงนั้นพอดี
“อารมณ์เสีย แค่เสแสร้งแกล้งรักมันฉันก็อยากจะอ้วกอยู่แล้ว”
“ไม่ต้องห่วง ตามบทแล้ว เดี๋ยวเธอก็ทรยศ หักหลังช่อ หนำซ้ำยังวางแผนฆ่าอีกต่างหาก คราวนี้ คงเล่นได้ทะลุบทบาทเลยล่ะ”
“ปากเสีย!”
“ก็เรื่องจริง”
“เชอะ มันก็เรื่องจริงเหมือนกันที่ช่อมันรักเขา ไม่ได้รักนายล่ะ”
“ฉันก็กำลังจะแย่งช่อคืนมาอยู่นี่ไง .....ช่อต้องเป็นของฉัน ไม่ใช่ของมัน!”
แพรวกับช่อเอื้องซ้อมกันอยู่บนเวที
“เหตุใดเจ้าจึงทรยศต่อข้า เหตุใดเจ้าจึงผิดคำสาบาน”
“สาบานอะไร ข้าไม่เคยกล่าว!!”
“ใจเจ้ามัวเมากับความรัก จนหลงลืมทุกสิ่งสิ้นเสียแล้ว”
“อย่าปากกล้ามากล่าวหาข้า” แพรวตบหน้าช่อเอื้องฉาด
อาภาภิรมย์สะดุ้ง
แพรวจิกผมช่อเอื้องขึ้นมา “สาบานเดียวที่ข้าเคยกล่าวคือชิงรักของเจ้ามาสู่ข้า มิมีสิ่งอื่น!” แพรวผลักหน้าช่อเอื้องจนเธอล้มลงไป
อาภาภิรมย์ชักไม่ชอบใจ
แพรวเงื้อมือจะตบช่อเอื้อง “ข้าชิงชังเจ้านัก ชิงชังจนคลั่งแค้น!” แพรวจะตบ
“หยุดก่อน!” อาภาภิรมย์เสียงดัง
แพรวได้สติรีบชักมือกลับ
“นี่มันอะไรกัน มีลงไม้ลงมือกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉากนี้เป็นแค่การปะทะทางบทพูด สีหน้าและอารมณ์ ไม่มีการใช้กำลัง ทำไมถึงเพิ่มลงไปล่ะแพรว”
“เอ่อ..คือ หนูคิดว่ามันจะช่วยทำให้สมบทบาทขึ้นน่ะค่ะ”
“ด้วยการตบตีเพื่อนเนี่ยนะ ลงไม้ลงมือจริงเสียด้วย”
ไทเข้าไปประคองช่อเอื้อง
“เจ็บไหมช่อเอื้อง”
“.....เอ่อ...ไม่เป็นไร”
“จะไม่เป็นไรได้ยังไง หน้าแดงไปหมดแล้ว” อาภาภิรมย์ว่า “เจ็บตัวแล้วยังคิดจะช่วยเพื่อนอีก ไม่เอาๆ” อาภาภิรมย์พูดกับแพรว “ไม่ต้องลงไม้ลงมือ ทำตามแบบเดิมที่ซ้อมไว้ แล้วต่อไปนี้ ถ้าจะเปลี่ยนอะไรให้มาปรึกษาครูก่อน ไม่ใช่ลงมือทำตามใจตัวเอง เข้าใจไหม”
“ค่ะครู” แพรวรับคำ
“พักก่อน”
แพรวซ่อนสีหน้าสะใจ
อ่านต่อหน้า 3
สาปสาง ตอนที่ 2 (ต่อ)
กรณ์ขับรถเข้ามา แพรวเห็นก็ดีใจ
กรณ์ลงจากรถมองเห็นช่อเอื้องกำลังซ้อม ทั้งสองยิ้มให้กัน ไทมองอย่างไม่ชอบกรณ์ แพรวเห็นช่อเอื้องก็แค้น
อาภาภิรมย์แต่งชุดที่สวมหุ่นอยู่จนเสร็จ กรณ์เดินเข้ามาถึง
“ซ้อมกันเสร็จแล้วเหรอครับคุณแม่”
“พักน่ะ เดี๋ยวจะซ้อมต่อ แล้วนี่หายไปไหนมาทั้งวัน”
“คือ.... ผมมีเรื่องอยากจะเรียนให้คุณแม่ ทราบน่ะครับ”
“มีอะไร ทำไมพูดซะเป็นงานเป็นการ”
“ก็มันเป็นเรื่องสำคัญนี่ครับ”
“มีเรื่องอะไรก็ว่ามาสิ”
“เรื่องผมกับช่อน่ะครับ”
“อ๋อ คิดว่าเรื่องอะไร” อาภาภิรมย์อมยิ้มอย่างรู้ทัน
“นี่คุณแม่ทราบเหรอครับว่าผมกับช่อ…”
อาภาภิรมย์แทรกขึ้น “โรงละครนี่เป็นของแม่ ไม่มีอะไรที่นี่ที่จะลอดสายตาแม่ไปได้หรอก แล้วอีกอย่าง เราก็ออกนอกหน้าซะขนาดนั้น คงไม่ใช่มีแต่แม่หรอกที่รู้ คนอื่นๆ ก็คงดูออกกันหมดน่ะแหละ ว่าแต่มีเรื่องอะไร จะเลิกกันรึไง”
“เปล่าครับ ไม่เลิกครับ .... คือว่า อีกไม่นานผมก็ต้องไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว คงไม่ได้เจอช่ออีกหลายปีผมเลยอยากขออนุญาตคุณแม่ ขอหมั้นช่อไว้ก่อนน่ะครับ ที่ต้องขอกับคุณแม่ก็เพราะคุณพ่อคุณแม่ของช่อเสียไปแล้วน่ะครับ ช่อเองก็ตัวคนเดียวไม่มีใคร”
อาภาภิรมย์ “ก็เอาสิ ช่อเอื้องเองก็เป็นเด็กดี นี่ถ้าไม่ใช่ช่อเอื้อง แม่ไม่ยอมง่ายๆ แบบนี้หรอกนะ”
“ขอบพระคุณครับคุณแม่”
“แล้วจะหมั้นสาวน่ะ มีแหวนแล้วรึยัง”
“ยังครับ”
อาภาภิรมย์เดินออกไป กรณ์มองตาม สักพักอาภาภิรมย์ก็เดินออกมาพร้อมกล่องใส่แหวน อาภาภิรมย์เปิดกล่องออกมาก็เห็นเป็นแหวนเพชรเก่างดงาม
“แหวนวงนี้เป็นแหวนมรดกของย่าที่ให้พ่อสวมให้แม่ในงานหมั้น แม่เก็บไว้ให้กรณ์ น่าจะพอดีกับช่อนะ”
“สวยจังเลยครับ ขอบคุณครับแม่”
“แล้วเรื่องพิธีการล่ะ จะเอายังไง”
“รอให้ละครคุณแม่จบลงก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่านะครับ ช่วงนี้กำลังยุ่งๆ ผมไม่อยากรบกวนทั้งคุณแม่ ทั้งช่อ”
“ก็ดี ละครจบแล้วค่อยว่ากัน”
แพรวมาแอบยืนฟังอยู่ก็โกรธแค้นจนน้ำตาไหลจึงวิ่งกลับเข้าไปด้านใน
แพรววิ่งเข้ามาชนกับไทจนเสียหลักจะล้มแต่ไทดึงตัวไว้ได้ทัน แพรวสะบัดตัวออกจากไทแล้วจ้องหน้าไทด้วยความโกรธ
“อะไรกันน่ะแพรว ทำไมมองยังกับจะฆ่าฉันอย่างนั้นแหละ”
“ถ้าฆ่าได้ฉันฆ่าไปแล้ว ไอ้โง่!” แพรวด่า
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมต้องมาด่ากันด้วย มีอะไรก็พูดกันดีๆ สิ”
“ไม่มีเวลามาพูดกันอีกแล้ว คุณกรณ์เขาจะขอช่อแต่งงาน”
แพรวเห็นไทอึ้งก็พูดต่อ “แกมันมัวแต่ชักช้า หมดเวลางี่เง่าของแกแล้ว ทำอะไรสักอย่าง ถ้าไม่อยากเสียนังช่อไป เพราะถึงยังไงนังนั่นมันไม่มีทางปฏิเสธคุณกรณ์แน่”
ไทเครียดและโกรธ “โธ่เว้ย! ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ด้วยวะ!”
แพรวเดินตามมา
“โวยวายไปแล้วมันได้อะไรขึ้นมา คิดสิว่าจะทำยังไงกับมัน”
“เธอก็คิดบ้างสิ เพราะถ้าช่อยอมแต่งงานกับไอ้นั่น เธอเองก็เสียมันไปเหมือนกันนั่นแหละ”
แพรวอึ้งไปพร้อมกับมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดขึ้น
“ถ้าฉันบอก แกจะกล้าทำไม”
“อะไร?”
“นังช่อมันจะมีหน้าไปแต่งงานกับใครได้ ถ้ามันเป็นเมียแก !”
แพรวถามย้ำ “กล้าไหมล่ะ”
ไทอึ้งไปแต่ยังไม่ตอบอะไร
“มันเป็นวิธีเดียวที่แกจะได้ครอบครองช่อ แต่ถ้าแกไม่กล้า ก็ช่วยไม่ได้!!”
ไทครุ่นคิดอย่างหนัก
ช่อเอื้องซ้อมร่ายรำ แพรวเข้ามาแอบมองช่อเอื้องอยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าเครียดแค้น
“นังช่อ ฉันไม่มีวันยอมให้แกชนะฉันได้หรอก ไม่มีทาง!!”
อาภาภิรมย์บอกกับทุกคน
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ พรุ่งนี้เป็นวันแสดงจริงแล้วนะ เตรียมตัวกันมาให้พร้อมล่ะ”
แพรว ช่อเอื้อง และไทรับคำ “ค่ะ/ครับ”
“รีบกลับไปเตรียมตัวกันเถอะไป”
ทุกคนแยกย้ายไป ไทจับตามองกรณ์ตลอดเวลาแล้วแอบส่งสัญญาณกับแพรวให้ตามกรณ์ไว้ อาภาภิรมย์จะลุกขึ้นแต่แล้วก็หน้ามืดทรุดลงไป
“คุณแม่!”
“ครูคะ”
กรณ์กับช่อรีบเข้ามาประครองตัวอาภาภิรมย์ไว้
“อยู่ๆ ก็หน้ามืด ใจมันหวิวๆ ชอบกล”
“คุณแม่คงเครียดน่ะครับ ก็เลยเป็นลม ไปหาหมอกันเถอะครับ”
“ไม่ต้องหรอก โรคคนแก่ ไม่ต้องหาหมอก็ได้”
“ไปเถอะค่ะครู ให้คุณกรณ์พาไปนะคะ”ช่อเอื้องบอก
ไทที่ยืนดูอยู่หูผึ่งเมื่อได้ยินว่ากรณ์จะไป
“ไปครับคุณแม่ ผมไม่ยอมให้คุณแม่ดื้ออีกแล้ว” กรณ์บอก
กรณ์ประคองอาภาภิรมย์ให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินออกไป ไทสบตากับแพรวแล้วยิ้มให้กันอย่างสาสมใจ ทันใดนั้นเสียงช่อเอื้องก็ดังขึ้น
“ให้ช่อไปด้วยไหมคะ”
ไทที่กำลังกระหยิ่มยิ้มย่องเปลี่ยนสีหน้าโดนฉับพลันก่อนจะจ้องไปที่ช่อเอื้อง
“อย่าดีกว่าครับ คุณต้องเตรียมตัวซ้อมใหญ่พรุ่งนี้ ผมพาไปคนเดียวได้ แต่ก็ขอบคุณนะครับ” กรณ์บอก
ไทถอนใจด้วยความโล่งอก กรณ์พาอาภาภิรมย์เดินออกไป ช่อเอื้องมองตามไปด้วยความเป็นห่วง ไทกับแพรวที่อยู่ด้านหลังสบตากัน
ไทพูดเบาๆ “มันไปแล้ว วันนี้ฉันคงไม่ต้องให้เธอช่วยหรอก”
“งั้นฉันกลับล่ะ ... ฉันต้องการคนช่วย!”
แพรวลงเสียงหนักๆ และมีท่าทางแปลกๆ ก่อนเดินออกไป
แพรวสะพายกระเป๋าเดินออกจากโรงละครไปด้วยสีหน้าแววตามีแผนร้าย
ช่อเอื้องกำลังเก็บของเตรียมตัวกลับ ไทเดินเข้ามา
“ช่อ จะกลับแล้วเหรอ”
“ใช่ ฉันจะรีบกลับไปซ้อมน่ะ”
“ซ้อมด้วยกันที่นี่ก็ได้นี่”
“เอ่อ...คือ ฉันอยากซ้อมเองมากกว่า แต่ก็ขอบใจนะที่จะช่วย”
ช่อเอื้องจะเดินออกจากห้อง ไทคว้าแขนไว้
“เดี๋ยวสิช่อ อย่าเพิ่งไป”
“มีอะไรเหรอ”
“เรามีเรื่องจะคุยกับช่อ เรื่องสำคัญมากด้วย”
“เอาไว้หลังซ้อมใหญ่ได้ไหม ตอนนี้เราอยากรีบกลับไปซ้อม”
“ไม่ได้ ยังไงก็ต้องคุยกันวันนี้ให้รู้เรื่อง หรือว่าช่อจะหนีเรา”
ทันใดนั้นเสียงระเบิดด้านนอกก็ดังขึ้นเบาๆ ไฟในโรงละครก็ดับวูบลงทันที
“สงสัยหม้อแปลงระเบิด” ไทพูด
ไทแหงนมองไปรอบๆ ช่อเอื้องฉวยโอกาสตอนไฟดับนั้นหลบออกมาจากไทโดยลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้
ไทหันกลับมาไม่เห็นช่อเอื้องก็โมโหทันที
“ช่อ ช่อคิดจะหนีเราจริงๆ งั้นเหรอ”
ด้วยความโกรธทำให้ไทรีบตามออกไปทันที
อ่านต่อหน้า 4
สาปสาง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ในความมืดของโรงละคร ช่อเอื้องพยายามหนี
ในขณะที่ไทพยายามไล่ตาม ไทตามมาเกือบทัน ช่อเอื้องรีบหลบหลังตู้ ไทผ่านเลยไปไม่เห็นช่อเอื้อง พอไทไปช่อเอื้องก็รีบหลบไปอีกทาง ช่อเอื้องหลบมาเจอไทแต่รีบซ่อนตัวได้ทัน ไทอยู่ใกล้แค่เอื้อม หันหลังให้ช่อ เกือบจะชนช่ออยู่แล้วแต่แล้วก็ตัดสินใจเดินไปอีกทาง
ช่อเอื้องพยายามหลบออกมาในความมืด ไทมาเห็นเข้าพอดี
“ช่อ!!”
ช่อเอื้องสะดุ้งเฮือกแล้วรีบวิ่งไปที่ประตู
“คิดว่าจะหนีฉันพ้นงั้นเหรอ”
ไทที่ตามมาชนเข้ากับขอบเวทีอย่างแรงจนล้มลงไป
“โอ๊ย!!”
ช่อเอื้องเปิดประตูแล้ววิ่งออกไปทันที
“ช่อ!”
ไทจะลุกตามแต่ก็เจ็บขาจนลุกไม่ไหว
“บ้าเอ้ย ทำไมต้องเป็นยังงี้ด้วยวะ”
ไทยกเท้าถีบเวทีปังๆ ด้วยความโมโห
ช่อเอื้องวิ่งหนีออกมาหน้าตาตื่น เธอหันกลับไปมองแต่ไม่เห็นไทตามออกมา ช่อเอื้องรีบเดินออกไป
แพรวกลับเข้ามาถึงบ้านก็ตรงไปยังประตูหน้าที่มียันต์กันภัยขนาดใหญ่วาดติดบานประตูไว้ แพรวกระชากประตูออกแล้วเข้าไปข้างใน
ภายในบ้านที่ดูอับและทึบมีแสงสลัว อนงค์ แม่ของแพรวกำลังเย็บจักรอยู่ในบ้านหลังนั้น
“แม่”
อนงค์เงยหน้าขึ้น “อ้าว ทำไมวันนี้กลับมาเร็วนักล่ะ”
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลย แม่พาฉันไปหน่อยสิ”
“แกจะไปไหน?” อนงค์ถาม
“ไปหาคนที่จะช่วยฉันได้น่ะสิ”
อนงค์ขับรถคันเก่าๆมากับแพรวแล้วจอดที่หน้าคฤหาสน์ แพรวรีบลงจากรถ อนงค์รีบตามมาคว้าตัวไว้
“เดี๋ยวก่อน ตกลงแกจะไม่บอกแม่จริงๆ เหรอว่าแกจะที่นี่ทำไม”
“เดี๋ยวก็รู้ จะถามทำไม เสียเวลา”
แพรวบ่นกระปอดกระแปดแล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน
แพรวกับอนงค์ก้าวเข้าไปในตัวบ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์หรูแต่ดูไม่เข้ากัน โดยที่ไม่มีใครอยู่ในบ้าน
“ว้าย!!” อนงค์ร้องขึ้นด้วยความตกใจแต่แพรวเพียงแค่สะดุ้ง
ชายคนหนึ่งก้าวออกมาในชุดหรูเนี๊ยบ เขาจิปไวน์อย่างมีสไตล์ พร้อมทั้งจับจ้องมาที่แพรวด้วยท่าทางที่ดูมีอำนาจและน่ากลัว ก่อนชี้หน้า
“มึงมันร้อนไปทั้งตัว! ร้อนไปทั้งใจ! ไฟริษยากำลังเผาไหม้มึง!”
“พ่อปู่!!”
“เข้าไปรอกูในห้อง”
แพรวสะดุ้งเฮือกเมื่อพ่อปู่รู้ทัน ในขณะที่อนงค์สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
แพรวกับอนงค์เดินเข้าไปในห้องพิธี โดยในห้องมีของศักดิ์สิทธิ์ทางไสยดำเต็มห้อง และอีกาตัวใหญ่ที่อยู่ในกรงที่แขวนไว้ บรรยากาศ เปลวเทียน และควันธูปดูน่ากลัว พ่อปู่เข้ามาในห้องโดยที่เปลี่ยนชุดแล้วเพื่อทำพิธี แพรวนั่งอยู่เบื้องหน้าพ่อปู่
พ่อปู่กำลังกำเทียนไขแท่งสีดำที่ลุกไหม้ ให้น้ำตาเทียนหยดลงสู่ขัน
“มึงไม่ต้องเล่า ไม่ต้องบอกกู มึงเป็นหลานแท้ๆ ของกู กูสื่อถึงจิตใจมึงได้”
“เอ่อ... พ่อปู่คะ แล้วไอ้ที่ว่าสื่อกันได้ มันเรื่องอะไรกันล่ะคะ ถามเจ้าตัวเขาก็ไม่ยอมบอกยอมเล่า”
“มึงไม่ต้องมาเสือก!”
“อุ้ย!” อนงค์สะดุ้ง
“มึงเป็นแค่สื่อนำตัวมันมาหากูแค่นั้น อย่างอื่นมึงไม่ต้องยุ่ง”
“แต่ว่านี่ลูกสาวฉันนะคะ จะไม่ให้ฉันห่วงได้ยังไงล่ะคะ”
แพรวหันไปต่อว่าแม่
“แม่ไม่ต้องยุ่งหรอกน่า พ่อปู่ก็บอกแล้วว่าแม่ไม่เกี่ยว”
พ่อปู่หันไปบอกอนงค์
“ลูกมึงมันกำลังร้อน ไฟกำลังแผดเผามัน กูจะดับไฟให้เอง”
พ่อปู่พูดแล้วก็พรมน้ำมนต์ใส่แพรว แพรวสะดุ้งไปทั้งร่างด้วยความตกใจก่อนจะพยายามตั้งสติ
“แค่นี้เหรอะคะพ่อปู่ ที่ว่าจะช่วย ช่วยแค่นี้เองเหรอคะ” แพรวถาม
“กูไม่ต้องช่วยมึงยังได้”
“นี่มันยังไงกันแน่คะพ่อปู่ ..หนูไม่เข้าใจ”
“จิตมืดของมึงจะออกโรงช่วยมึงให้สมหวังเอง”
แพรวพึมพำกับตัวเอง “จิตมืด....”
“น้ำมนต์นั่นมันเป็นแค่น้ำรดใจมึงให้หายรุ่มร้อน ไม่ต้องกลัว แล้วมึงจะสมหวังเอง”
แพรวมองพ่อปู่ด้วยสีหน้าไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“มึงมันเกิดในฤกษ์ดาวดับ ไม่มีแสงสว่าง มีแต่ความมืดปกคลุม จิตมืดของมึงมันถึงได้มีอำนาจแรงกล้ายังไงล่ะ”
อนงค์ใจคอไม่ดีจึงรีบถามขึ้น
“แล้วจะเป็นอันตรายมั๊ยค่ะพ่อปู่”
“ไม่อันตรายต่อตัวเองหรอก แต่อันตรายต่อผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นศัตรู”
แพรวเริ่มมีสีหน้ามั่นใจ
ช่อเอื้องเพิ่งกลับมาถึงด้วยท่าทางที่ดูลุกลี้ลุกลนเพราะกลัวว่าไทจะตามมา ช่อเอื้องกำลังเดินเข้าไปกดลิพท์ กรณ์เดินเข้ามา ช่อเอื้องตกใจร้องเสียงดัง
“กรี๊ด!!”
“ผมเอง”
ช่อเอื้องมองเห็นว่าเป็นกรณ์ก็สงบลง
“ผมขอโทษ ที่ทำให้ตกใจ”
“ผมมารอช่อสักพักแล้วนึกว่าช่ออยู่ห้อง โทรหาก็ไม่รับ” กรณ์ว่า
“พอดี มีเหตุนิดหน่อยนะค่ะ”
“เรื่องอะไรบอกผมได้ไหม”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เรื่องเล็กน้อยช่อจัดการได้ อาการครูเป็นไงบ้างค่ะ”
“ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วครับ หมอบอกว่าพักผ่อนไม่พอ จะให้พักที่โรงพยาบาลสักสองสามวัน แกก็ไม่ยอม เพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันแสดง หมอเลยให้ยาบำรุง และให้รีบกลับไปพัก ผมไปส่งคุณแม่เสร็จ ก็มารอช่อ อยู่นี่”
“ทำไมไม่กลับไปพักบ้างล่ะค่ะ”
“ผมอยากจะมาให้กำลังใจช่อก่อนที่จะแสดงวันพรุ่งนี้ ผมเห็นช่อตั้งใจและแสดงดีมาก”
“ขอบคุณนะค่ะ”
“ที่จริงผมมีอีกเรื่องจะบอก แต่พอคิดไปแล้ว ผมรอให้เสร็จงานแสดงพรุ่งนี้ก่อนดีกว่า ช่อจะได้มีสมาธิอยู่กับการแสดง”
“ค่ะ ไว้ บอกพรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ”
“ผมรักคุณนะ”
“ช่อก็รักคุณค่ะ”
ทั้งสองกอดกันราวกับไม่อยากจะจากกัน
“รีบไปพักผ่อนเถอะ”
กรณ์กดลิฟท์ให้
“ขอบคุณนะค่ะ”
ช่อเอื้องเดินเข้าลิฟท์ไป กรณ์หยิบแหวนออกมาดูแล้วพูดกับตัวเอง
“พรุ่งนี้”
ไทที่ตามมาแอบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็รู้สึกอิจฉา
แพรวกลับเข้ามาในห้องนอน เธอปิดประตูแล้วยิ้มอย่างสมใจก่อนจะเดินไปที่โต๊ะ เธอดึงรูปถ่ายของช่อเอื้องออกมา
“แกเสร็จฉันแน่ นังช่อ”
แพรวฉีกรูปทิ้งแล้วกระทืบๆ
“แกไม่มีวันเอาชนะฉันได้หรอก”
แพรวเริ่มร่ายรำในบทช่อเอื้องจนดูน่ากลัว
“กูจะขอสาปขอแช่ง! อย่าให้พวกมึงได้สมรัก!
อย่าให้มึงได้สมสู่! อย่าให้มึงได้ครองคู่!
ขอฟ้าขอดินพรากมึงจากกัน! ตราบชั่วฟ้า ชั่วนิรันดร์!!
ฉันนี่แหละ จะเป็นคนสาปส่งแกเอง!”
อ่านต่อตอนที่ 3