หางเครื่อง ตอนที่ 2
ฟากป้อมกับขำกำลังสั่งส้มตำกับเด็กในร้านอาหาร เดือนเดินเข้ามาร่วมวงหน้าตาซึมเศร้า
“ทำไมละ หน้าซึมมาเชียว”
“วันนี้โดนเรื่องอะไรมาอีกล่ะเดือน ดีนะที่พี่ไม่เกิดมาสวยแบบหนู ไม่งั้นพี่ต้องแขวนคอตัวเองวันละหลายรอบแน่ๆ”
“พี่ป้อมอ่ะ หนูยิ่งกำลังเซ็งๆ ไม่งั้นไม่เรียกมาเจอแต่วันอย่างนี้หรอก”
“อ้าว โอ๋ โอ๋ พี่ขอโทษน๊า ก็ว่าอยู่คืนนี้ต้องเต้นด้วยกันอยู่แล้ว นี่เล่นโทรมาเรียกตั้งแต่บ่าย”
“เออ แล้วแกไม่ชวนรวิมากินด้วยล่ะ”
เดือนได้ยินชื่อรวิยิ่งเซ็งหนัก
“รายนั้นน่ะเขามีคนส่งข้าว ส่งน้ำอยู่แล้วทุกวัน ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก”
“ทะเลาะกันเหรอ”
“เปล่านะพี่ ไม่ได้ทะเลาะแต่...” เดือนน้ำตารื้น “พี่รู้ไหม ทำไมหนูถึงต้องเป็นนักร้องให้ได้ ถ้าหนูเป็นนักร้องใครๆ เขาก็ว่าหนู ดูถูกหนูไม่ได้ พี่รวิน่ะเขามีโรงลิเกเป็นของตัวเอง ศิริพรก็เป็นถึงนางเอกงิ้ว แต่หนูน่ะไม่มีอะไรสู้เขาได้เลย วันๆ หนึ่งเป็นได้แค่แม่ค้านั่งขายปลาอยู่ที่ตลาด”
“นี่แกคิดมากไปเองหรือเปล่าวะ ฉันก็เห็นรวิเขาออกจะเป็นห่วงเป็นใยแกดีจะตาย ใครเห็นก็รู้ว่าเขาน่ะชอบแก”
“นั่นสิเดือน บางทีรักกันดูที่การปฏิบัติต่อกันก็น่าจะพอนะ ไม่ต้องพูด ไม่ต้องตกลงกันว่าเป็นแฟน แต่ใครมองเธอสองคน เขาก็ดูออกว่ารักกัน”
“พี่รวิทำกับหนูก็ไม่ต่างกับทำกับศิริพร หนูมองเขาสองคน หนูก็ว่าเขาสองคน รักกัน ศิริพรน่ะช่วยเหลือพี่รวิทุกอย่าง แต่หนูน่ะหาแต่เรื่องมาให้”
“จะน้อยเนื้อต่ำใจไปทำไมกันวะเดือน อย่าคิดมากน่ะ แกอาจจะเพิ่งผ่านเรื่องตกใจๆ มา”
“เออ หรือไม่ก็ ใกล้วันนั้นของเดือน กินดีกว่าเลิกคิด เชื่อพี่เถอะเดือน อ่ะของชอบหนูไม่ใช่เหรอ กินเข้าไปเพื่อลืมเธอ”
ป้อมตักอาหารใส่จานเดือน เดือนได้แต่เขี่ยอาหารในจานไปมาอย่างเซื่องซึม
ศิริพรนั่งดูดน้ำแดงจากแก้วพลาสติกอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องตรวจ ที่ข้อพับแขนมีผ้าพันแผลแปะอยู่ลักษณะคล้ายเพิ่งเจาะเลือดมา พิมุกเดินออกมาจากห้องตรวจ มีสำลีอุดปลายนิ้วอยู่เหมือนเพิ่งตรวจกรุ๊ปเลือดมา
“อ้าว นางเอกงิ้ว มาตรวจท้องเหรอ”
พิมุกทัก ศิริพรส่ายหน้าเอือมระอา
“ตรวจประจำปี ไม่ได้มาตรวจเอดส์เหมือนเธอหรอก”
พิมุกหน้าตาเลิ่กลั่ก
“เธอไปได้ยินอะไรมาเหรอ”
“นี่มาตรวจเอดส์จริงๆ ล่ะสิถ้า” พิมุกอึกอัก
“มาฟังผลตรวจร่างกาย ทำไม คนเขารักสุขภาพ ผิดด้วยเหรอ” ศิริพรยิ้มอย่างรู้ทัน
“สำส่อน”
“อย่าพลาดมาทางนี้ละกัน จะจัดให้เรียกพี่จ๋า พี่จ๋ายันเช้า”
“คงไม่มีวันหรอก”
“ระวังเหอะ”
พยาบาลเดินถือบัตรตรวจเลือดออกมาส่งให้ศิริพร
“คุณศิริพร ทำบัตรตกไว้ค่ะ” พยาบาลดูบัตร “เลือดกรุ๊ปโอเนกกาทิฟด้วย หายากนะคะเนี่ย”
พิมุกประหลาดใจ
“เลือดกรุ๊ปเดียวกันซะด้วย”
“อย่าเป็นอะไรนะคะ เราไม่มีเลือดกรุ๊ปนี้สำรอง ตำบลนี้ที่เจอก็เห็นมีอยู่แค่สองคนเนี่ยเท่านั้นแหละค่ะ” พยาบาลพูดกับพิมุกแล้วยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
“ชอบบู๊ไม่ใช่เหรอ เราน่ะ ทำดีๆ กะฉันเอาไว้หน่อยนะเผื่อต้องการเลือดฉุกเฉิน ชั้นอาจจะมีเมตตาบริจาคให้บ้าง”
ศิริพรพูดแล้วเดินจากไป พิมุกมองตามแบบเห็นด้วยกับคำพูดศิริพรอยู่เหมือนกัน
ช่วงค่ำ หลังเวทีเพลงปิดวิก เดือนนั่งมองตัวเองเซ็งๆ อยู่หน้ากระจก นภากาศเติมแต่งหน้าให้ตัวเองอยู่ไม่ไกลนัก มีช่างเซทผมให้
“อีกห้านาทีต้องออกแล้วนะ ครั้งที่สองแล้ว ไม่ต้องเกร็งเต้นตามๆ ไป คอยดูพี่ไว้ก็ได้”
“แล้วอย่าทำเป็นเล่นตัวอีกล่ะคราวนี้ มีอะไรพลาดอีกฉันบอกโรจน์เอาเธอออกแน่ๆ ขาหายรึยังเนี่ย” ลิ้นจี่ถามเดือน นภากาศชำเลืองมองดู
“โอเคแล้วค่ะ”
“แกนี่ก็ขู่เด็กมันอยู่ได้ นึกย้อนกลับไปซิตอนแกออกเต้นครั้งที่สองน่ะเป็นยังไง ชิส์ ดูไม่ได้”
ป้อมต่อว่า ลิ้นจี่ตาเขียวปั๊ด เสียงแหลมใส่ป้อมกลับทันที นภากาศลุกจะเดินออกไป
“เอาอีกแล้วนะนังป้อม แกเป็นแม่มันหรือไง ออกโรงแทนมันทุกที”
นภากาศหลบหางเครื่องคนอื่นไปเหยียบเอาเท้าเดือนอย่างจัง ซ้ำแผลเก่า เป็นธรรมชาติมากไม่มีใครรู้ว่าเธอตั้งใจรึเปล่า
“โอ๊ยยย”
“ขอโทษ” นกากาศบอกเสียงนิ่งๆ เหมือนรู้สึกผิดจริงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ” เดือนฝืนเจ็บ โรจน์เดินเข้ามา
“เร็วๆๆ เสร็จยังจวนได้เวลาเเล้ว”
ป้อมจะอ้าปากพูดเรื่องเท้าเดือน เดือนจับแขนป้อมไว้
“พี่ป้อม พี่ลิ้นจี่ ฉันว่าเขาเรียกแล้วนะ ไปกันเถอะจ้ะ”
ลิ้นจี่สะบัดหน้าพรึบเดินออกไป
“มองๆ พี่ไว้นะอย่าลืม ไม่ต้องเครียด มันไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้นน้องเอ๊ย ปะ ไปกันได้ละ” ป้อมบอกเดือนแล้ว
มองตามนภากาศที่ชายตามา อย่างหาจุดไม่ได้เหมือนกันว่าแกล้งรึบังเอิญ
บนเวทีเดือนเป็นหางเครื่องที่สวยสะดุดตากว่าคนอื่น เดือนเต้นตามคนอื่นได้เป็นอย่างดี บรรดาผู้ชายต่างออกไปขอบเวทีกวักมือเรียกเดือนมารับพวงมาลัย
“แม่ เห็นไหมนั่นน่ะ นังเดือนมันได้พวงมาลัยติดแบงก์ไปตั้งหลายใบแน่ะ” แก้วบอกแม่
“ฉันไม่ได้ตาบอดนี่ยะ หมดนั่นคงนับได้หลายอยู่”
“แล้วแม่ว่า ถ้าเป็นฉันน่ะ จะได้เยอะแบบนังเดือนไหม”
กิมหันขวับมองหน้าลูกสาว
“แกก็ไม่ได้ขี้เหร่ไปกว่ามัน ขี้คร้านจะได้เยอะกว่ามันซะด้วยสิ”
แก้วยิ้มพอใจแววตาเป็นประกาย
เมื่อดนตรีเลิก หลังเวทีเหลือคนอยู่ไม่กี่คน เดือนกำลังนั่งเช็ดเครื่องสำอางออกจากหน้า
“เสร็จหรือยังเดือน เห็นไหมผ่านไปได้อีกวันแล้ว แหม...วันนี้ท่าทางได้หลายร้อยอยู่นะเนี่ย” ป้อมแซว
“จะกลับแล้วเหรอพี่ป้อม อยากแวะกินอะไรกันอีกรอบไหม”
“ไม่ล่ะ ยังอิ่มอยู่เลย วันนี้พี่ง่วงๆ ด้วย เดือนจะเสร็จหรือยังพี่จะได้รอ”
นภากาศเดินผ่านกำลังจะกลับ
“ไปทาน...” เดือนจะชวนนภากาศ แต่นภากาศชิงปฏิเสธก่อน
“ไม่”
นภากาศเดินออกกไป ป้อมมองเดือนเสียฟอร์ม เดินกะเพลกๆ เก็บของ
“ช่วยมั้ย”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ฉันไม่รีบน่ะ ค่อยๆ เช็ด ค่อยๆ เก็บของ พี่ง่วงก็กลับไปก่อนเลย ไม่ต้องห่วง”
“นภา เขาแกล้งเหยียบเท้าเธอ”
“ไม่หรอกพี่ เขาไม่ได้แกล้ง เขาไม่มีพิรุธอะไรเลยนี่ ไม่มีแบบท่าทางในละครเลย”
“มันร้ายไง ที่พี่บอกว่ามันจงใจก็เพราะ...”
“ไม่หรอก เขาหลบหางเครื่อง พี่ก็เห็น”
“ก็นั่นไง ปกตินังนั่นมันเคยหลบทางให้ใครเหรอ” เดือนอึ้งไป ป้อมเห็นใจ “งั้น พี่ไปก่อนนะ ง่วงมากๆ วันนี้”
“จ้า กลับดีๆ นะพี่”
ทุกคนกลับไปหมดแล้วเมื่อเดือนเก็บของเสร็จจึงไม่เหลือใครสักคน เดือนสะพายกระเป๋ากำลังจะกลับเหลือบมองไปที่เวทีแล้วอดไม่ได้ เดือนมองรอบๆ ไม่มีใครอยู่จึงตัดสินใจเดินออกไปยืนอยู่กลางเวทีแล้วร้องเพลง เหงาๆ ตามลำพัง
“ตอนทำนา ข้าชื่อดาวเรือง พอเข้าในเมือง ชื่อก็เฟื่อง เลื่องลือ”
ในเงามืด นภากาศโผล่ออกมาดูเงียบๆ
อีกมุมหนึ่งไม่ไกลนัก โรจน์กับประทีปเดินเข้ามาแล้วชะงัก
“เฮ้ย ไอ้ทีปแกได้ยินรึเปล่าวะ”
“อืม เหมือนใครกำลังร้องเพลง แปลก นี่ก็มืดละ หวังว่าคงไม่ใช่...”
“แกนี่มันช่างไร้สาระจริงๆ นู่นดูนู่น”
โรจน์ชี้ขึ้นไปที่เวที ประทีปมองตามจึงเห็นเดือนกำลังทำท่าเป็นนักร้อง ร้องเพลงอยู่บนเวที
“โห นี่ขนาดไม่ใช้ไมค์ ไม่มีไฟส่อง แม่คุณยังผ่อง เอ๊ย ยังเสียงดีได้ขนาดนี้”
“ใช่ ฉันนะเสียดายจริงๆ ถ้าปั้นขึ้นมาเป็นนักร้องวงนี่ มีหวังจะได้รวยกัน”
“หรือแกจะไปขอไอ้พิมุกมัน แต่ท่าจะยาก ดูมันจริงจังซะขนาดนั้น”
“ใช่แค่พิมุกคนเดียวที่ไหน”
โรจน์พยักหน้าให้ประทีปมองไปยังนภากาศที่ยืนนิ่งฟังอยู่ โรจน์กอดอกส่ายหัว สายตายังจับจ้องไปที่เดือนบนเวทีอย่างเสียดาย
ที่โรงงิ้ว ศิริพรนั่งแต่งหน้าเป็นงิ้วอยู่ เสียงกลองงิ้วตีดังเเว่วมา ศิริพรวาดหน้าตัวเองงดงาม พิมุกเดินเข้ามาเงียบๆ โอบหลังศิริพร ศิริพรตกใจลุกขึ้นทันที
“อย่าทำลุ่มล่ามกับฉันนะพิมุก”
พิมุกผงะเล็กน้อยหัวเราะลั่น
“เธอคงไม่คิดว่าฉันจะ ทำอะไรเธอหรอกนะ”
“มันก็ไม่แน่หรอก กับคนอย่างเธอน่ะ”
“ทีกะพระเอกลิเกเห็นระริกระรี้”
“อย่ายุ่งกับรวิ ชั้นขอ” พิมุกทำไก๋ไม่รู้ไม่ชี้ “เธอรู้อยู่แล้วฉันพูดเรื่องอะไร”
“ช่วยไม่ได้มันบุกมาถึงถ้ำฉัน ปล่อยมันออกไปง่ายๆ คราวหน้ามันก็ได้ใจสิ แต่ก็...นะ ไอ้พระเอกลิเกของเธอนี่ไม่ธรรมดาเลย เล่นเอาพวกลูกน้องฉันที่เป็นมวยง่อยไปหลายคน”
“แล้วไอ้ที่เธอไปพังวิกลิเกเขาล่ะ”
“นั่นก็ช่วยไม่ได้อีก ดันจะมาทำตัวเป็นพระเอกนอกวิก นึกแล้วโมโหถ้ามันไม่โผล่มาป่านนี้นังเดือนเสร็จฉันไปละ” ศิริพรตาโต
“เธอนี่ท่าจะบ้าไปแล้ว ทำไมไปทำเดือนอย่างงั้น มันเกินไป” ศิริพรทำเหมือนเป็นคนดี
“ปากกะใจให้มันตรงกันหน่อย”
“อย่าคิดว่าใครเขาจะเลวกันไปหมด”
“ไม่แน่นะ นังนั่นมันอาจจะติดใจแทนเลยก็ได้ ฮะ ฮะ ฮ่า” ศิริพรมองหน้าพิมุกอย่างรังเกียจ “อย่ามองฉันอย่างนั้นเลย ฉันว่าจริงๆ แล้วเธอก็ไม่น่าจะต่างกับฉันเท่าไหร่นะ เคยได้ยินมะ ผีน่ะมันมักเห็นผีด้วยกัน”
“เรื่องรวิ ยังไงก็เบาๆ หน่อยละกัน เห็นแก่ที่เรารู้จักกันมานานนะ ฉันไม่ค่อยชอบเห็นเขามีแผลบ่อยๆ”
พิมุกหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่าจะเป็นเอามาก โอเคๆ อยากรู้จริงเว้ย ไอ้ลิเกนั่นมันมีอะไรดี กลับไปคิดเอาละกัน จะร่วมมือกันเมื่อไหร่ก็ พร้อมเสมอ”
ศิริพรเล่นงิ้วอยู่บนเวทีอย่างดุดัน พิมุกยืนมองกระหยิ่ม บ่างกับเตี้ยอยู่ด้วย
“ลูกพี่ ถามอะไรอย่างสิ ทำไมลูกพี่ถึงดูเหมือนจะยอมๆ นางเอกงิ้วนี่”
พิมุกชะเลืองมองลูกน้อง
“อะไรทำให้เอ็งคิดว่าข้ายอม”
“ก็พอเห็นกะคนอื่น พี่ไม่ค่อยใช้สมอง ใช้แต่กำลัง” พิมุกมองเตี้ยเเบบดุๆ เตี้ยรู้สึกตัว คอย่น “คือ ชั้นหมายความว่า แต่พอกะนังนี่ ลูกพี่ยอมคุยด้วย”
“เลือดมันกรุ๊ปเดียวกะข้า หายาก เผื่อเหลือเผื่อขาด อาจต้องพึ่งพา กันไว้ดีกว่าแก้”
“มีการซื้อประกันชีวิตเอาไว้ล่วงหน้าด้วยแฮะ”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ตะกี้มันเล่นงิ้วเรื่องอะไร”
“ซูสีไทเฮา”
“ยายนี่ มันร้ายพอๆ กะซูสีไทเฮาแหละ”
“จริงเหรอ มันก็ดูเป็นคนดีออกนะ”
“คอยดูไปเหอะ เชื่อสิ ข้าดูคนไม่ผิดหรอก”
ศิริพรยังคงร่ายรำคิวบู๊ส่งท้ายอยู่บนเวที
ส่วนเดือนเมื่อกลับถึงบ้านก็เห็นรวิยืนอยู่หน้าบ้าน
“พี่รวิ มารอฉันเหรอ”
รวิเห็นเดือนก็ดีใจ
“ใช่ มีโชว์คืนนี้เหรอ เสียดายจังไม่ได้ไปดู”
“ไม่เป็นไรหรอก เขาคงยังไม่ไล่ฉันออกในเร็ววันนี้ ไปดูวันอื่นก็ได้ ถ้าว่างพอ”
“โกรธเหรอ ถึงไม่ชวนไปกินข้าวด้วยวันนี้”
“ก็แค่กินข้าวนะ ไม่ได้ชวนเห็นว่าพี่มีคนคอยกินเป็นเพื่อนอยู่แล้ว”
“พี่ว่าแล้วเดือนต้องเข้าใจผิด” เดือนมองหน้ารวิอย่างไม่เข้าใจ “พี่กับศิริพรเป็นเพื่อนกัน เดือนก็รู้ว่าโรงงิ้วเขากับวิกฉันน่ะอยู่ใกล้กัน ก็เท่านั้นเอง”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนิ ว่าแต่วิกพังยับแบบนั้น พี่รวิก็เล่นลิเกไม่ได้อีกหลายคืนสิ”
“อืม คงจะสัก 3-4 วันน่ะ ไม่เป็นไรหรอก แฟนๆ คงเข้าใจ”
“แล้วแผลล่ะ เป็นไง ยังเจ็บอยู่ไหม ไหนดูหน่อยสิ”
รวิเอียงหน้าให้เดือนดู เดือนเอื้อมมือไปแตะที่แผลเบาๆ รวิกุมมือนั้นแนบอยู่ที่แก้มนิ่งๆ แต่นาน
หลังจากรวิกลับไปแล้วเดือนเดินเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดีตะโกนร้องเพลงไปด้วย ช้อยเปิดประตูออกมาจากห้อง
“อารมณ์ดีเชียววันนี้ ไปกินยาอะไรมา”
เดือนอมยิ้มไม่ตอบอะไรก้มลงควักแบงก์ที่ได้มาออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ช้อย
“อ่ะแม่ ฉันให้” ช้อยรับเงินมาแบบงงๆ “ไม่ต้องทำหน้างงขนาดนั้นหรอกแม่ ฉันไม่ได้ไปโกงใครเขามา คนดูเขาชอบใจฉันเขาก็เอามาให้”
“นี่เงินที่เอ็งไปเป็นหางเครื่องมาน่ะเหรอ”
“ใช่ แล้วแม่ลองคิดดูสิ แค่หางเครื่องฉันยังได้มาขนาดนี้ แล้วถ้าฉันได้เป็นนักร้องล่ะมันจะมากกว่านี้อีกกี่เท่า ฉันไปอาบน้ำนะแม่”
เดือนพูดจบก็เดินร้องเพลงออกไป
ช้อยมองตามไปด้วยแววตาเป็นกังวล
ลิ้นจี่กึ่งนั่งกึ่งนอนรอโรจน์อยู่บนเตียง โรจน์เปิดประตูห้องเข้ามา
“นี่ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย”
“อะไรอีก”
“นังเด็กหางเครื่องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาน่ะ”
“อ๋อ เดือน มีอะไรเหรอ”
“มันจะเอาปัญหามาให้รึเปล่าเหอะ”
โรจน์หัวเราะในคอ
“หรือเพราะเด็กมันเด็กกว่า สวยกว่า สดกว่า เลยไม่ชอบ”
ลิ้นจี่แทบจะกรี๊ดใส่โรจน์ผุดลุกออกจากเตียงกระโดดไปชี้หน้าใส่โรจน์ทันที
“นี่อย่าบอกนะว่าแกกำลังไปหลงเสน่ห์มันอยู่”
“ไร้สาระน่า จะไปหลงอะไรได้ยังไงพิมุกมันได้เล่นงานฉันตาย”
“ก็แล้วถ้าไม่มีพิมุกรอเล่นงาน แกก็คงขย้ำไปแล้วใช่ไหม”
“โอ๊ย อย่ามาทำตัวน่ารำคาญ บอกว่าไม่ก็ไม่ ไปนอนได้แล้วไปเนื้อมันจะได้ไม่เหี่ยวไปกว่านี้”
โรจน์พูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไป ขระที่ลิ้นจี่ยังยืนโกรธตัวสั่น
วันต่อมาแก้วมาหาเดือนที่บ้านแต่เช้า
“ฉันมีเรื่องจะกวนน่ะ อยากให้เดือนช่วยอะไรหน่อย”
“อุตส่าห์มาถึงบ้านแต่เช้า สงสัยคงต้องช่วยจริงๆ นะเนี่ย”
“เดือน เธอว่าฉันพอจะเป็นหางเครื่องแบบเธอได้ไหมน่ะ”
เดือนตกใจมองหน้าแก้วอย่างประหลาดใจ
“ก่อนหน้านี้ฉันชวนเธอไปสมัครนักร้องกันที่วงดนตรี เธอว่ามันเป็นลูกทุ่ง ไม่โก้ เธอไม่ชอบไม่ใช่เหรอ แล้วไหงจะมาอยากเป็นหางเครื่องละเนี่ย”
“ก็...แหม มันก็ดีกว่าขายของที่ตลาดไม่ใช่เหรอ เธอคงเข้าใจฉันใช่ไหม”
“แล้วจะให้ฉันช่วยอะไรล่ะ”
“พาฉันเข้าไปสมัครหน่อยสิ นะเดือนนะ ฉันอยากเป็นหางเครื่อง เผื่อจะได้ตังค์แบบเธอเมื่อคืนด้วย”
แก้วดึงมือเดือนไปเขย่า
เดือนได้แต่พยักหน้ารับๆ ไป
เดือนพาแก้วเข้ามาสมัครเป็นหางเครื่องที่วงกับโรจน์ โรจน์เดินเข้าประชิดตัวไล่สายตาสำรวจรูปร่างของแก้ว แล้วยิ้มอย่างพอใจ
“ผิวสวย รูปร่างดี”
แก้วยิ้มดีใจ
“ตกลงรับแก้วเข้ามาอยู่ในวงฯ ใช่ไหมคะ”
“รับสิ มีหางเครื่องสวยๆ เพิ่มมาอีกสักคนวงดนตรีเราจะได้มีสีสัน” แก้วดีใจรีบยกมือไหว้ขอบคุณโรจน์ “งั้น วันนี้กลับไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะมีโชว์อีกวันไหนจะให้คนติดต่อไปตามเบอร์ที่ให้มา ส่วนเดือนเดี๋ยวขอคุยด้วยหน่อยสิ”
เดือนหน้าตาเหรอหราเริ่มรู้สึกกังวล แก้วมองหน้าโรจน์ทีเดือนที
“งั้นเดี๋ยวฉันกลับก่อนละกัน ขอบใจมากนะเดือน”
แก้วเดินออกไป โรจน์ผลักประตูให้ปิดสนิทแล้วเดินไปประชิดตัวเดือน
“ได้ข่าวว่าเธออยากจะเป็นนักร้องมากใช่ไหม”
เดือนเมื่อได้ยินคำว่า “นักร้อง” ก็หูผึ่ง
“ค่ะ ใช่ค่ะ อยากเป็นนักร้องค่ะ”
โรจน์เข้าไปใกล้เดือนจนแทบจะกระซิบ
“งั้นฉันมีงานพิเศษให้เธอทำ เผื่อว่าถ้าเธอทำได้ เธอก็อาจจะได้เป็นนักร้องสมใจ เธอจะทำไหมล่ะ”
เดือนอึ้งไปใช้ความคิดอย่างหนัก
ศิริพรกำลังซ้อมร่ายรำอยู่บนเวทียิ้มแย้มมีความสุข เธอปามีดแบบคนจีนไปปักที่เสาได้อย่างคล่องแคล่ว
เสียงดังปั่ก ปั่ก ปั่ก ศิริพรยิ้มพอใจ เธอเดินไปหยิบมีดอันเล็กๆ ที่เธอปาไปปักบนเสา จึงเห็นว่าเป้าขอศิริพรนั้นเป็นรูปเดือนที่ถูกมีดปักอยู่จนเป็นรูพรุน ศิริพรยิ้มใสซื่อ
พิมุกวิ่งออกกำลังกายอยู่ในชุดวอร์ม โดยมีเตี้ยกับบ่างขี่จักรยานตาม พิมุกเห็นรวิกำลังตักบาตรพระอยู่ พิมุกวิ่งซอยเท้าอยู่กับที่ รอจนพระเดินจากไป
“ไง ศิลปิน”
“อย่าเอาวัฒนธรรมมาล้อเล่น”
“เจ้าอารมณ์นะเนี่ย เราน่ะ คิดว่าไอ้อาชีพที่ตัวเองทำอยู่นี่ มันจรรโลงวัฒนธรรมนักเหรอ”
รวิไม่อยากมีเรื่องด้วย จะเดินเลี่ยงไป เตี้ยกับบ่างมากันไว้
“เออ ถ้าเป็นแม่ไม้ แม่มวยมันก็ว่าไปอย่าง ถึงจะสร้างชาติได้”
“เราต่างคนต่างทำหน้าที่กันไปดีกว่า”
“จะไม่ช่วยกันรักษา แม่ไม้มวยไทยหน่อยเหรอ”
พิมุกผลักอกรวิ รวิพยายามกลั้นอารมณ์เต็มที่ เตี้ยกับบ่าง ทำเสียงระนาดกลองลิเก เพลงธรณีกรรแสง
“เตร่ง เตร่ง เตร๊ง เตร๊ง เตร่ง เตร่ง เตรง”
พิมุกสาวหมัดแย๊บๆ ไปเบาๆ สองที โดนรวิทีนึง รวิเกือบจะเอาเรื่องอยู่แล้ว พอดีเดือนเดินมา
“พี่รวิ”
พิมุกมองเดือน แล้วหันไปพูดกับรวิ
“อดเล่นเลย แม่เรียกเข้าบ้านเเล้วมั้ง”
“เดือน”
เดือนพยักหน้า เข้ามาขวางกลาง พิมุกกับรวิจ้องหน้ากัน พิมุกยิ้ม หันไปพูดกับลูกน้อง
“ไอ้เสือ ถอย แล้วเจอกัน”
พิมุกเดินจากไป เดือนเป็นห่วงรวิ
“เขามาหาเรื่องทำไม”
รวิยิ้ม อ่อนใจ ส่ายหน้า
“ให้ทาย”
“เอาเหอะ มือเรามีไว้รำ ไม่ได้เอาไว้กำหมัดชกกะเขา”
“แล้วออกมาเดินนี่ ใครเฝ้าแผง”
“ให้ทาย” เดือนยิ้ม
ช้อยกำลังนั่งเฝ้าแผงปลาอยู่ รวิเดินมาส่งเดือน ช้อยหมั่นไส้ลูกสาว ยิ้มอยู่นั่นแหละ
“เอ้า นังนี่ ให้มาช่วยขายของ มาเดินนวยนาดเป็นนางงามเก็บคะแนนอยู่นั่น”
“แม่ เดี๋ยวดังแล้วหนูก็ไม่เลี้ยงแม่ซะเลยนี่”
รวิยิ้มเอ็นดูเดือน
“เออ เออเหอะ ให้ดังนะ”
ช้อยมองรวิแบบหวงลูกสาวนิดๆ รวิยิ้มอยู่กับเดือนหันมาเห็นช้อยเขาก็ยกมือไหว้ ลาจากไป เดือนยิ้มมองตามรวิ ที่หันมายิ้มให้เธอเช่นกัน
พิมุกกับลูกน้องวิ่งซอยเท้ายืนมองอยู่อย่างขุ่นเคือง
อ่านต่อหน้า 2
หางเครื่อง ตอนที่ 2 (ต่อ)
โรจน์กำลังนั่งดูสมุดตารางคิวอยู่ ขณะที่ขำกำลังเช็ดถูพื้นอยู่ไม่ไกลนัก
“ชั้นไปเที่ยวต่างจังหวัดสองสามวันนะ” นภากาศบอกโรจน์
“เอ้า จะต้องไปต่างจังหวัดไหน นี่เราก็อยู่ต่างจังหวัดกันแล้วไง”
“อยู่นี่ ชั้นเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ที่นี่ มันไม่ใช่ต่างจังหวัดสำหรับชั้นหรอก”
โรจน์หงุดหงิด นภากาศเดินจากไป โรจน์มองดูสมุดคิวงานต่อ
“งานจ้างไม่เคยมี งานฟรีตลอด”
โรจน์บ่น เสียงโทรศัพท์ออฟฟิศดังขึ้น ขำที่อยู่ใกล้โทรศัพท์ยกหูขึ้นรับ
“ฮัลโหล ติดต่องาน ขอดูก่อนนะว่าว่างหรือเปล่า” โรจน์ชำเลืองมองขำอย่างหมั่นไส้ ขำดูปฎิทิน “วันที่หนึ่ง กับสองยังได้อยู่ สามสี่ก็พอไหว ห้าหกเจ็ดแปดว่าง เก้าถึงสิบห้าไม่ได้ทำอะไร สิบหกถึงยี่สิบเอ็ดไม่เท่าไหร่ ยี่สิบสองถึงยี่สิบแปดยังเบียดไหว ยี่สิบเก้า สามสิบ สามสิบเอ็ด นี่เหลือๆ”
โรจน์ดึงโทรศัพท์มา
“เอามานี่ ฮัลโหล อ้อ สวัสดีครับ คุณพิมุกมีงานเหรอครับ ได้ครับ ได้ ว่างครับ สมุดคิว ยังก๊ะสมุดฉีกขาวจั๊วะครับ ครับ” โรจน์วางหูลง “งานเข้า”
“เล่นที่ไหนครับ”
โรจน์มองหน้าขำ ยังไม่ตอบอะไร
พิมุกจัดงานเลี้ยงที่ค่ายมวย เวทีตั้งอยู่กลางค่ายมวยพิมุก ขำในฐานะโฆษกอยู่บนเวทีอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก
“ก่อนที่เราจะได้พบกับความบันเทิงจากวงดนตรีของเราชาว ฟ้างาม ครามฝัน บัดนี้ขอเรียนเชิญเจ้าภาพของคืนนี้ขึ้นมากล่าวอะไรบนเวทีสักหน่อยครับ ขอเสียงปรบมือให้คุณพิมุกด้วยครับ”
พิมุกขยับเสื้อให้ค่อยทรงเดินขึ้นเวทีมาดนักเลง บรรดานักมวยคนที่มาร่วมงานตบมือเชียร์กันกราว
“ก็ คงไม่มีอะไรมาก ถือเป็นการเลี้ยงอัดฉีดแล้วก็ขอบใจพวกลื๊อทุกคน สำหรับชัยชนะเวทีที่ผ่านๆ มา ขอให้รักษาผลงานระดับนี้เอาไว้ แล้วอั๊วจะได้จัดงานเลี้ยงให้ใหม่ เต็มที่เลยทุกคน”
“และ ณ บัดนี้ขอเชิญทุกท่านพบกับความบันเทิงที่ทุกท่านรอคอยแดนเซอร์ที่ขนมาให้ความบันเทิงแบบเต็มพิกัด เตรียมตัวลุกขึ้นมาโยกได้เลยครับพี่น้อง เอ้า แดนเซอร์พร้อมไหม ดนตรีพร้อมไหม จัดไป”
เสียงดนตรีกระหึ่มขึ้น เหล่าหางเครื่องทยอยกันเดินออกมา และในนั้นก็มีเดือนรวมอยู่ด้วย ชูเกียรตินั่งรวมอยู่ในกลุ่มคนดูด้วย
เดือนกำลังเดินลงมาจากเวที โรจน์พุ่งเข้ามาหาแล้วโน้มตัวกระซิบกับเดือน
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อได้แล้ว คุณพิมุกรออยู่ในห้อง ทำตัวสบายๆ คนจะดังก็ต้องผ่านอะไรแบบนี้ทั้งนั้น”
เดือนมีสีหน้าไม่สบายใจแต่ก็พยักหน้า ป้อมกับขำอยู่ไม่ไกลสะกิดกันให้มองโรจน์กับเดือน ทันทีที่โรจน์ผละไปป้อมกับขำก็ส่งสัญญาณให้เดือนเดินตามออกมาเจอด้านนอก
เดือนพยักหน้าตอบแบบรู้กัน
ต่อมาเดือนเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกมาเจอป้อมกับขำที่รออยู่
“แปลกๆ นะเดือน มีอะไรจะเล่าไหม”
“อีตาคุณโรจน์มันเล่นงานอะไรแกหรือเปล่า”
เดือนส่ายหน้าอย่างไม่สบายใจ
“เขาจะให้ฉันเข้าไปบริการ พี่พิมุกน่ะ”
ป้อมกับขำทำหน้าตกใจ
“แล้วแกยอม...”
“จะให้ฉันทำยังไงล่ะ เขาบอกว่าพี่พิมุกแค่อยากคุยกับฉันส่วนตัว ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
“พี่ว่ามันยังไงๆ อยู่นะ อันตราย เปลืองตัวไปไหม”
“พี่ป้อม ขำ ฉันว่ามันคงไม่มีอะไร เขาอาจจะอยากคุยอะไรจริงๆ คุณโรจน์บอกฉันว่าพี่พิมุกน่ะเส้นสายในวงการเพลงเยอะ ฉันควรจะอ่อนๆ กับเขาบ้าง”
“อ่อนยังไงวะ ที่บอกให้อ่อนน่ะ ฉันว่าแกกลับเหอะ ไม่คุ้มหรอก”
“แต่ ฉันรับปากคุณโรจน์เขาแล้วนี่ ถ้าฉันยอมทำตามเขาจะให้ฉันเลื่อนขึ้นเป็นนักร้อง”
ป้อมทำตาโต
“อะไรมันจะง่ายปานนั้น ฉันว่ามันแปลกๆ ผิดนิสัยคุณโรจน์”
“เอาเถอะพี่ ฉันต้องไปแล้ว พี่กับขำไม่ต้องห่วงนะ ฉันเชื่อว่าฉันปลอดภัยออกมาแน่”
เพื่อนร่วมวงคนหนึ่งเดินเข้ามา
“มาอยู่นี่เอง คุณโรจน์ให้มาตามน่ะ”
“จ้ะ ฉันกำลังจะไป” เดือนหันหลังกลับไปทางป้อมกับขำ “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ไม่เสียอะไรฟรีๆ แน่”
ป้อมกับขำพยักหน้ามองตามเดือนด้วยความเป็นห่วง
เดือนรีบเดินกลับเข้าไปในค่าย ชูเกียรติโผล่ออกมาจากมุมหนึ่งชนกับเดือน เดือนตกใจละล่ำละลัก
“ขอโทษค่ะ ฉันกำลังรีบเลยไม่ทันระวัง ขอโทษนะคะ”
ชูเกียรติชะงักเขม้นมองที่หน้าเดือน
“เอ่อ ขอโทษค่ะ ฉันกำลังรีบ”
ชูเกียรติขยับตัวขวางเดือนไว้แล้วควักนามบัตรออกมาจากกระเป๋า
“เธอเป็นหางเครื่องเมื่อกี้ใช่ไหม นี่นามบัตรฉันนะ ฉันเปิดโมเดลลิ่งอยู่รู้จักไหมโมเดลลิ่งที่ปั้นคนเป็นดารา เป็นนักร้องน่ะ” เดือนได้ยินคำว่า “นักร้อง” ก็ตาโตรับนามบัตรมาแล้วก้มดูอย่างตื่นเต้น ชูเกียรติเห็นท่าทางเดือนก็หัวเราะชอบใจ “เบื่อจะเต้นเมื่อไหร่ติดต่อมาที่ฉันละกันนะ”
ชูเกียรติเดินจากไป เดือนยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง เก็บนามบัตรลงกระเป๋าแล้วเดินไป
เดือนผลักประตูห้องเข้าไป โรจน์รีบเดินเข้ามารับ
“ทำไมเพิ่งมาล่ะ ฉันบอกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วให้ตรงมาเลย”
“ขอโทษค่ะ พอดี”
“คุณพิมุกครับ ลงโทษกันเองนะครับ ผมขอตัวดีกว่า” โรจน์หันกลับมากำชับเดือน “เดือนเป็นเด็กดีนะ พูดง่ายๆ จะได้ดัง เข้าใจใช่ไหม”
เดือนพยักหน้า โรจน์เปิดประตูออกไป เดือนยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม พิมุกลุกจากเก้าอี้เดินเข้าประชิดเดือน
“ไง วันนี้ไม่กลัวพี่แล้วเหรอ”
“ฉันรู้พี่จะไม่ทำอะไรฉัน”
พิมุกระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฉลาดพูดจริงๆ น้องเดือนของพี่ วันนี้ยังไม่ทำอะไรหรอกจ้ะ แค่อยากมาทำการตกลงอะไรบางอย่างกับน้องเดือน” เดือนมองพิมุกอย่างสงสัย “พี่น่ะเป็นถึงเจ้าของค่ายมวย พี่เป็นลูกผู้ชายพอ ถ้าน้องเดือนไม่ยอม พี่ก็ไม่ยุ่ง แต่พี่มีข้อเสนออะไรดีๆ มาให้น้องเดือนบางอย่าง เผื่อน้องเดือนจะเอากลับไปคิด”
พิมุกมองหยั่งเชิงเดือนยิ้มกริ่มอย่างมีแผน
วันต่อมาเดือนเดินเข้าไปหารวิที่กำลังซ่อมโรงลิเกอยู่กับลูกน้องในคณะ
“ขยันแต่เช้าเลยนะ พี่”
รวิได้ยินเสียงเดือนก็หันขวับทันที
“เดือนก็มาแต่เช้าเหมือนกันนะ ต้องเร่งมือหน่อยน่ะไม่ได้เล่นมาหลายวันแล้ว”
“กลัวแฟนๆ คิดถึงหรือไง”
“ก็ด้วยนะ ว่าแต่มาหาแต่เช้านี่กะจะมาช่วยซ่อมเวทีเหรอ ตัวแค่นี้จะไหวไหมเนี่ย”
“ตัวแค่นี้แต่แรงเยอะนะจะบอกให้ มาหาเพราะอยากมาน่ะ แต่จะให้ช่วยก็ทำได้นะ”
เดือนพูดไปก็เอื้อมมือไปดึงฆ้อนที่อยู่ในมือรวิ รวิหัวเราะแล้วดึงกลับ
“ไม่ต้อง มาหาก็ดีแล้วไม่ต้องช่วยหรอก”
“แหม ปัญหามันเกิดก็เพราะฉัน ใจคอจะไม่ให้ช่วยอะไรบ้างเลยเหรอ หรือจะรอให้ใครมาช่วยแทน”
เดือนพูดงอนๆ นึกไปถึงศิริพร
“ไม่ได้รอใครหรอก แล้วใครที่ว่านี่ใครเหรอ”
“ก็ศิริพรไง ศิริพรช่วยพี่รวิได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว ทั้งสวย ทั้งเก่ง ไม่เคยหาปัญหา หาเรื่องมาให้พี่รวิเลย ไม่เหมือนฉัน”
“เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนไง แล้วก็เลิกคิดได้แล้วเรื่องหาปัญหามา คิดมากอยู่ได้”
“ก็มันจริงนี่ ฉันน่ะไม่เอาไหน ไม่มีอะไรสู้ศิริพรได้เลย”
“เดือนเป็นอย่างนี้แหละดีแล้ว คนละคนกันอย่าเทียบกันรู้ไหม ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย คืนนี้เดือนต้องไปโชว์ที่งานวัดเกาะหรือเปล่า” เดือนพยักหน้า “งั้นดีเลย เดี๋ยวคืนนี้ฉันไปรอ ช่วงนี้ว่างไม่ต้องเล่นลิเก หาเรื่องไปเที่ยวเล่นดีกว่า จะไปเดินด้วยกันไหมล่ะ”
เดือนยิ้มออก พยักหน้าดีใจ
“เอาสิ งั้นฉันเต้นเสร็จ เราไปเจอกันนะ”
เดือนซื้อของกินอยู่ข้างทาง เสียงรถบีบแตรดังขึ้นด้านหลัง
“เดือน เดือน”
ประทีปชะลอรถกระบะกดกระจกลงทัก
“อ้าว ไปไหนมาคะ”
“กำลังจะไปซ้อมหรือเปล่า”
“ค่ะ ซื้อของเสร็จก็จะเข้าไปแล้ว นัดพี่ป้อมไว้ก่อนน่ะค่ะ”
“ไปด้วยกันไหม”
“จะดีเหรอคะคุณประทีป”
ประทีปเอื้อมมือเปิดประตูรถจากด้านในให้เดือน
“อ่ะ ขึ้นมาก็ละกัน”
เดือนลังเลอยู่ครู่นึงก่อนจะเดินขึ้นรถประทีปไป
ประทีปเห็นเดือนนั่งนิ่งตัวเกร็งก็ขำ
“กลัวอะไรฉันขนาดนั้นเหรอ”
เดือนละล่ำละลักรีบปฏิเสธ
“เปล่านะคะ คือคุณโรจน์กับคุณประทีปก็เหมือนเจ้านาย เดือนแค่ทำตัวไม่ถูกน่ะค่ะ”
“แล้วนี่เริ่มปรับตัวได้หรือยังเนี่ย”
“ก็ ยังผิดอยู่บ่อยๆ ค่ะ แต่ยังดีมีพี่ป้อมคอยช่วย”
“ขึ้นเวทีบ่อยเข้าก็ชินเองล่ะ อยากเป็นนักร้องไม่ใช่เหรอ ถือว่าฝึกไปก่อนละกัน”
“ค่ะ”
“ทำตัวเชื่อฟัง ว่าง่ายๆ วันหนึ่งนักร้องขาด คุณโรจน์เขาอาจให้เธอขึ้นแทนก็ได้นะ”
เดือนนั่งก้มหน้านิ่ง ประทีปชำเลืองมองแล้วเลยไปเห็นต้นขาขาวของเดือนเข้าถึงกับกลืนน้ำลาย รีบหันกลับไปมองถนนอย่างเก่า
ที่ห้องทำงานโรจน์ โรจน์กับลิ้นจี่อยู่ในห้อง บรรยากาศตึงเครียดสุดๆ
“ฉันต้องการเปลี่ยนตำแหน่งยืนให้เดือน”
โรจน์บอก ลิ้นจี่ตาลุกวาวลุกขึ้นยืนถามโรจน์กลับเสียงสั่น
“เปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนไปตรงไหน ตรงกลางเลยมะ”
“ใช่ ตรงกลาง”
ลิ้นจี่ตัวสั่นแทบกรี๊ดออกมา
“ได้ยังไง เพิ่งเข้ามาไม่เท่าไหร่ แกก็รู้ฉันหึงน่ะ”
“ก็เรื่องของเธอ ตอนนี้เด็กนั่นมาแรง เธอเห็นพวงมาลัยแต่ละคืนไหม เผลอๆ มากกว่านักร้องอีกนะ”
“แต่ฉันไม่ยอม! แอบชอบมันป่ะเนี่ย”
โรจน์หันจ้องหน้าลิ้นจี่
“อย่ามีปัญหาน่ะลิ้นจี่ ฉันสั่งอะไรเธอก็ต้องทำตาม นี่ฉันยังเห็นแก่ เฮ้อ...ถ้าตามอายุแล้ว เป็นคนอื่นเธอคงโดนปลดไปแล้ว”
ลิ้นจี่กรี๊ดออกมาลั่น
“แกบอกฉันมานะ แกกับเด็กนั่นกินกันไปแล้วใช่ไหม”
โรจน์หันกลับบีบไหล่ลิ้นจี่แน่น
“จะบ้าเหรอ อย่ามาอาละวาดแถวนี้นะ ไว้หน้าฉันบ้างจะกินหรือไม่กินก็เรื่องของฉัน ก็ไม่แน่นะ ถ้าไม่มีไอ้พิมุกจ้องอยู่ ฉันอาจจะกินจริงๆ ก็ได้ จะได้มีเหตุให้เขี่ยแกออกไปจากชีวิตฉันซะทีไง”
แก้วเดินเรื่อย ๆ ผ่านห้องทำงานโรจน์ได้ยินเสียงลิ้นจี่ลอดออกมา
“แกเห็นนังเด็กเดือนนั่นดีกว่าฉัน”
แก้วหูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อเดือน แก้วขยับตัวตั้งใจฟัง
ภายในห้อง โรจน์ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
“เธอจะเข้าใจยังไงก็ได้นะ แต่เอาเป็นว่าคืนนี้ฉันจะต้องเห็นเด็กนั่นอยู่ตรงกลาง เข้าใจใช่ไหมคำว่า “อยู่ตรงกลาง” ออกไปได้แล้วไป”
“นี่ ไล่ฉัน”
โรจน์ทนไม่ไหวตะคอกออกมาเสียงดัง
“เออ ออกไปได้แล้ว ก่อนที่ จะทนไม่ไหว”
ลิ้นจี่สะดุ้งมองโรจน์อย่างเคืองๆ แล้วหันหลังกลับ
แก้วผละออกจากประตูทันที ลิ้นจี่ผลักประตูออกมาแล้วชะงักเมื่อเห็นแก้ว แก้วทำไม่รู้ไม่ชี้ยกมือไหว้ลิ้นจี่
“สวัสดีค่ะพี่ หนูจะมาซ้อมเต้นงานคืนนี้ค่ะ”
ลิ้นจี่ยกมือเช็ดน้ำตาไม่แยแสแก้ว เชิ่ดหน้าสะบัดพรืดไป
แก้วมองตามหลังลิ้นจี่ไปแล้วชะเง้อมองเข้าไปในห้องอย่างเดาเหตุการณ์ออก
อ่านต่อหน้า 3
หางเครื่อง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ขณะที่ลิ้นจี่ก้มตัวล้างหน้าอยู่หน้าห้องน้ำ แก้ววิ่งตามมาด้านหลังเห็นลิ้นจี่ล้างหน้าอยู่ก็ทำเป็นชะงัก ลิ้นจี่เงยหน้าขึ้นมองแก้วจากทางกระจก
“เพื่อนนังเดือน”
แก้วฉีกยิ้มใส่ทำใสซื่อไร้เดียงสา
“พี่ลิ้นจี่หัวหน้าหางเครื่องใช่ไหมคะ หนูเอาผลไม้มาฝากด้วยค่ะ” ลิ้นจี่หันมาจ้องหน้าแก้วตรงๆ อย่างไม่ไว้ใจ แก้วยัดถุงพลาสติกใส่มือลิ้นจี่ “รับไปเถอะค่ะพี่ หนูตั้งใจเอามาให้ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะอย่าคิดว่าหนูเป็นเพื่อนเดือนเลยค่ะ”
แก้วย้ำตรงคำว่า “อย่าคิดว่าหนูเป็นเพื่อน” อย่างชัดเจนแล้วขยับตัวทำท่าจะเดินออกไป ลิ้นจี่มองถุงผลไม้ในมือแว่บหนึ่งแล้วตะโกนเรียกแก้ว
“เดี๋ยว เมื่อกี้แกใช่ไหมที่อยู่หน้าห้องโรจน์น่ะ”
แก้วยิ้มมุมปากอย่างสมใจแล้วหันกลับไปหาลิ้นจี่
“ใช่ค่ะพี่ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูไม่เอาไปเล่าให้ใครฟังหรอกว่าเขาว่าอะไรพี่บ้าง หนูเข้าใจพี่ค่ะ เดือนน่ะเขาเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขามีความสวยเป็นอาวุธ ผู้ชายที่ไหนก็ยอมเขาหมด”
“นี่แปลว่าโรจน์ก็คง...”
“เฮ้อ หนูเองก็ลำบากใจนะคะ เป็นเพื่อนกันแต่บางทีก็ต้องเอาหูไปนาบ้างน่ะค่ะ”
ลิ้นจี่กัดฟันแน่น
“มิน่าพิมุกถึงได้หลงมันขนาดนี้ ไอ้โรจน์ก็อีกคน”
แก้วได้ยินชื่อพิมุกก็หูผึ่งเก็บข้อมูลแล้วขอตัวเดินไปก่อน
“หนูไปรอที่ห้องซ้อมนะคะพี่ มันคงไม่ดีถ้าคนเห็นหนูเดินเข้าไปกับหัวหน้าแบบพี่ เดี๋ยวเขาจะว่าได้ว่าหนูมาประจบพี่”
ลิ้นจี่เดินมาเกือบถึงห้องซ้อมก็ชะงักเมื่อเห็นเดือนเดินคู่กันมากับประทีป
“นังเดือน กระทั่งประทีปก็ด้วยเหรอนี่ นังแพศยา”
ประทีปมองมาเห็นลิ้นจี่ก็ทักทาย
“แหม วันนี้มากันเร็วจริงแฮะ”
ลิ้นจี่ไม่ตอบอะไรประทีปแต่จ้องเดือนตาเขียวปั๊ด เดือนตกใจหลบตา
“ขอบคุณมากค่ะคุณประทีป เดือนเข้าไปก่อนนะคะ”
ลิ้นจี่ย้ายมาจ้องประทีปแล้วจงใจกระแทกไหล่ประทีปอย่างแรง
“พวกผู้ชายมันก็อย่างนี้ทุกคน”
ประทีปเซไปมองลิ้นจี่อย่างไม่เข้าใจ
“อะไรวะ สงสัยเจ๊จะใกล้วัยทอง”
ลิ้นจี่เข้าห้องซ้อมมาหน้าตาบึ้งตึงตวัดสายตาไปทางเดือนอย่างน่ากลัว
“อ่ะ หัวหน้ามาละ ซ้อมกันได้แล้วมั้ง ตั้งแถวๆ”
“เดี๋ยว วันนี้ต้องจัดตำแหน่งใหม่นิดหน่อย นังเดือนมานี่ วันนี้แกต้องอยู่ตรงกลาง” เดือนหน้าตางงงวยเหรอหรา ลิ้นจี่เห็นเดือนยังยืนนิ่งก็ตวาดใส่ “ไม่ได้ยินฉันพูดหรือไงฮ๊า ฉันบอกให้แกมายืนตรงกลาง” เดือนสะดุ้งโหยงหน้าเสียแต่ก็ขยับตัวไปยืนตามที่ลิ้นจี่สั่ง ลิ้นจี่ชี้ไปที่แก้ว “ส่วนแก นังเด็กใหม่ไปยืนมุมซ้ายนั่น แทนที่นังเดือน นอกนั้นก็...ตามเดิม”
ทุกคนเริ่มขยับตัวทำตามที่ลิ้นจี่ออกคำสั่ง
เดือนกำลังยืดตัววอร์มร่างกายอยู่ โรจน์เดินเข้ามา ถือไมค์ลอยมาด้วย
“เดือน วันนี้ ขึ้นร้องเพลงแทนนภาหน่อยนะ”
เดือนขาสั่น ดีใจ
“พูดจริงป่ะเนี่ย”
“นภารู้มันเอาตาย” ลิ้นจี่บอกอย่างไม่พอใจ
“แล้วไปอยู่ไหนล่ะ นภาของแกน่ะ” โรจน์บอกแล้วหันมาพูดกับเดือน “จำเนื้อได้ใช่มั้ย”
เดือนพยักหน้าหงึกหงัก แล้ววอร์มเสียงรอ โรจน์เดินไปอีกทาง ลิ้นจี่ตามไป
“แล้วถ้านภากลับมาทัน”
“ทันบ้าอะไร” โรจน์มองเดือน ที่อยากร้องเต็มที่ ยิ้มแย้มระริกระรี้ ซ้อม ควงไมค์
“ถ้ามาทัน” ลิ้นจี่ถามย้ำ
“ก็ดับไมค์เดือน ปล่อยเสียงจากไมค์นภา”
โรจน์บอกแล้วเดินจากไป
บนเวทีขณะที่อินโทรดนตรีขึ้นเพลง หางเครื่องออกไปเต้น เดือนรอคิวร้องอยู่ แล้วพอถึงท่อนร้อง เธอจรดปากร้อง เสียงที่ออกมากลับเป็นเสียงนภากาศ เดือนงงๆ หุบปากมองไมค์ เสียงร้องยังดังอยู่ เดือนมองไปด้านหลังเวทีอีกด้าน นภากาศร้องอีกท่อนที่ด้านหลัง ก่อนเดินออกไป คนกรี๊ดกร๊าดเเว่วมา เดือนวางไมค์ลงแล้วเดินเต้นออกไป
เดือนพยายามยิ้ม เดินไปที่อยู่ตรงกลางดูโดดเด่นที่สุด คนดูด้านล่างต่างกวักมือเรียกเดือนมาคล้องพวงมาลัยติดแบงก์
ลิ้นจี่เต้นไปมองเดือนไปอย่างหมั่นไส้ แก้วมองเดือนอย่างอิจฉา แม้แต่นภากาศที่ปากร้องเพลงอยู่ ยังอดหวั่นใจไม่ได้
หลังจากวงดนตรีเลิก เดือนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า
“มันจงใจให้เธอเก้อ เสียเซลฟ์” ป้อมบอก
“ไม่หรอก บังเอิญเขากลับมาทัน”
“บังเอิญเเต่งเต็มมาด้วยป่ะล่ะ ลงรถทัวร์ชุดนั้นได้เหรอ”
เดือนถอนใจ พยายามไม่คิดอะไร แก้วเดินเข้ามาด้านหลัง
“เดือนเธอทำได้ยังไงน่ะ ฉันเห็นคนมาคล้องแบงค์ให้เธอมากกว่านักร้องอีกแหน่ะ” แก้วถาม
“ฉันก็เต้นตามที่ซ้อมแหละ ยังผิดๆ ถูกๆ อยู่เลย”
“ไม่นะ ยิ่งตอนอยู่กลางเวทีไฟสาดมาที โห สวยเด้งอย่างกะนางงามแน่ะ” เดือนยิ้มขำๆ
“เคยนับไหม แต่ละวันไอ้ที่คล้องอยู่ที่คอน่ะ มันเท่าไหร่กัน”
“ไม่เคยน่ะ ได้มาฉันก็ให้แม่หมดแหละ”
“แล้วแกจะรู้ไปทำไมฮ๊ะ นังแก้ว”
ป้อมเดินเข้ามาขัดจังหวะ แก้วเห็นป้อมก็ทำหน้าเอือมระอา
“ฉันก็แค่อยากรู้ พี่ป้อมไม่เห็นต้องทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์นางเอกขนาดนี้เลย”
“แล้วแกจะรู้ไปทำไม อิจฉาเดือนมันว่างั้น เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วใช่ไหมเดือน พี่เห็นรวิมาชะเง้อชะแง้อยู่ด้านล่างโน่นแล้วน่ะ”
เดือนตาโตชะเง้อมองดีใจออกนอกหน้า
“มาแล้วเหรอ เร็วจัง ฉันไปนะพี่ ไปละแก้ว”
แก้วชะเง้อมองตามอย่างสอดรู้
“ยังไงๆ ก็เห็นกันมาแต่เด็ก จะอิจฉา จะอะไร ก็เก็บไว้ในใจ อย่าได้คิดแผนชั่วๆ ออกมาเป็นเด็ดขาดเพราะไอ้ที่เข้าวงมาได้เนี่ยก็เพราะนังเดือน จำใส่หัวไว้บ้างก็ดีนะ”
แก้วหันขวับจ้องป้อมอย่างมีปัญหา
“พี่ว่าใคร”
“ใครก็ได้ที่มันมีแผนชั่วๆ ในหัวน่ะ”
ป้อมพูดเสร็จก็เดินจากไป
แก้วมองตามไม่พอใจแล้วก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ หยิบโทรศัพท์กดโทร.ออก
เดือนเห็นรวิยืนรออยู่ด้านล่างเวที เดือนกระโดดไปเกาะไหล่รวิอย่างร่าเริง
“มาเร็วดีจัง”
“ไม่ได้สิ นานๆ จะได้มีโอกาสพาดาวประจำวงดนตรีออกมาเที่ยว”
“ดาวอะไรที่ไหนกัน นัดคนอื่นไว้เหรอ”
“ก็เดือนไง เมื่อกี้ฉันเห็นคนออกจะแย่งกันคล้องพวงมาลัยให้”
“แต่แหม ยังไงก็แค่หางเครื่องนะ ไว้เดี๋ยวรอวันเป็นนักร้องก่อนเถอะค่อยมาแซว”
“อ่ะ จะเดินเล่นก่อนหรือจะหาอะไรกินก่อนดี” เดือนทำท่าคิดหนัก “คิดนานอย่างนี้ท่าทางไม่หิว ไปหาอะไรเล่นกันดีกว่า”
เดือนพยักหน้าเดินเคียงข้างรวิออกไปอย่างมีความสุข
อีกด้านหนึ่งของงานวัดที่เวทีมวยมีคู่ต่อยอยู่บนเวที ด้านล่างส่งเสียงเชียร์กันอื้ออึง พิมุกอยู่ด้านหน้าเวทีกดวางสายโทรศัพท์แล้วหันซ้ายหันขวาสั่งลูกน้องข้างตัว
“เฮ้ย ไปหาคนมาให้อั๊วสัก 3-4 คนดิ๊ เอามาตอนนี้เลยนะ”
ลูกน้องรับคำรีบเดินออกไป
เดือนกับรวิอยู่ในงานวัดกำลังเพลิดเพลินเล่นนู่นนี่จนเหนื่อย พิมุกเดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหน้า เดือนเห็นหน้าพิมุกก็หน้าถอดสีจับมือรวิแน่น
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะจ๊ะน้องเดือน เห็นพี่แทนที่จะดีใจ”
“ฉันเห็นอยู่ว่ามีเวทีมวยพี่อยู่ฝั่งนู้น แต่ไม่ได้นึกว่าพี่จะมาด้วย”
“มวยต่อยไม่ต่อยไม่เกี่ยวหรอกจ้ะ แต่น้องเดือนอยู่ที่ไหนพี่ก็ต้องไปอยู่ที่นั่นต่างหาก ใช่ไหมวะไอ้รวิ” รวิมองหน้าพิมุกเริ่มไม่พอใจ “จ้องหน้าทำไมวะ โรงลิเกซ่อมเสร็จแล้วเหรอ แล้วไมไม่ไปรำลิเกล่ะ มานั่งป้อสาวอยู่แถวนี้จะมีกินเหรอวะ”
รวิทนไม่ไหวทำท่าจะมีปัญหา ลูกน้องพิมุกเข้ามากัน เดือนเบี่ยงตัวมาขวางไว้แล้วหันพูดกับรวิ
“กลับกันเถอะพี่รวิ”
“พี่ว่าเดือนน่าจะกลับกับพี่นะ ถ้าไม่อยากมีปัญหา” พิมุกบอก รวิคว้าแขนเดือน
“ไปเดือนกลับกันเถอะ”
เดือนเดินตามรวิออกไป ลูกน้องพิมุกกระชากรวิมาต่อย เดือนตกใจร้องวี๊ด ผู้คนรอบๆ เริ่มแตกฮือ
“กล้าเกินไปแล้วไอ้รวิ”
“อย่ามีปัญหากันเลยพี่ ฉันขอ”
รวิตั้งตัวได้ตั้งท่าจะอัดพิมุก ลูกน้องพิมุกเข้ามารับแทน รวิโดนรุม รวิพอเป็นมวยรับมือได้บ้าง แต่พ่ายแพ้ต่อจำนวนรุม
“หยุดนะ พี่พิมุกสั่งลูกน้องพี่ให้หยุดเดี๋ยวนี้”
“เอาเลยพวกเอ็ง อย่าให้ถึงตายละกัน”
พิมุกสั่ง พวกลูกน้องจะเข้ามาอัดรวิอีก แต่แล้วพวกลูกน้องก็ถูกลูกดอกที่เป็นเข็มเล็กๆ มีพู่ห้อยอยู่
ลอยมาปักเข้าที่ร่างกายมั่ง ต้นคอ ต้นแขนมั่ง ทุกคนที่โดนต่างเจ็บๆ และคันคะเยอเมื่อดึงเข็มที่ถูกเป่าติดพู่ออก
“พิมุก”
ศิริพรโผล่มาพร้อมลูกน้องทีมงิ้ว เข้ามายืนประจันหน้ากับฝ่ายนักมวย เดือน รวิ ยืนอยู่ตรงกลางระหว่าง ศิริพรกับพิมุก
ทั้งสองฝ่ายยังคงยืนคุมเชิงกันอยู่ ศิริพรเข้าไปช่วยรวิ เดือน ถอยออกมา น้อยใจ
“โอ้โห พ่อพระเอกหน้าหยกมีทั้งนางเอกงิ้ว ทั้งดาวหางเครื่อง ทำไมมันเสน่ห์แรงอย่างนี้วะ” ลูกน้องนั่งเกาคันคะเยอ“เป็นอะไรกัน”
ลูกน้องชูเข็มห้อยพู่ให้ดู พิมุกหันมองเห็นศิริพรถือไม้ซางเป่าลูกดอกอยู่
“เข็มชุบหมามุ่ย เอาสักดอกมั้ย”
“อย่าเอาการแสดงมาปนกับชีวิตจริงได้มั้ย”
ศิริพรเอาไม้ซางอมไว้ พิมุกอ้ำๆ อึ้งๆ
“เอาไงดีพี่” เตี้ยคันมาก ศิริพรเป่าใส่เตี้ยอีกดอก “โอ้ย”
“พอเถอะ แยกย้ายกันไปได้ละ”
พิมุกพยักหน้ากับลูกน้อง ที่ลากคันคะเยอกันออกไป ศิริพรลงไปประคองรวิที่น่วมไปทั้งตัว เดือนถอยห่างรวิออกมาน้ำตาคลอ พิมุกเห็นหน้าเดือนแล้วเข้าที
“ต้องให้พี่เตือนความจำเธอหน่อยไหม น้องเดือนจ๋าเราตกลงอะไรกันไว้”
รวิได้ยินคำพิมุกก็หันมองหน้าเดือนอย่างไม่เข้าใจ เดือนนึกถึงสิ่งที่เคยตกลงไว้กับพิมุก
ภาพเหตุการรืวันนั้นหวนกลับมา เดือนมีสีหน้าลังเลใจพิมุกเดินเข้ามาประชิดตัว เดือนเบี่ยงตัวหลบ
“เธอน่าจะเดาออกว่าพี่ต้องการอะไร” พิมุกใช้สายตามองเดือนไล่ไปทีละส่วน “แต่พี่ก็ไม่ฝืนถ้าน้องเดือนไม่ยอม เอาเป็นว่าพี่รอได้ ตอนนี้พี่ไม่ขออะไรน้องเดือนมากไปกว่า เมื่อไหร่ที่พี่เรียกหา น้องเดือนก็อย่าได้มีปัญหา”
เดือนอ้ำอึ้ง
“จะให้ฉันเอาตัวเข้าแลก”
“มันก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น เพียงแค่ว่าง่ายๆ อย่าดื้อ แล้วเดี๋ยวจะดังเอง รับรองนางเอกงิ้วหรือใครก็สู้เธอไม่ได้”
เดือนนิ่งไปเมื่อพิมุกเอ่ยถึง “นางเอกงิ้ว”
กลับมาปัจจุบัน เดือนมองไปที่รวิที่มีศิริพรประคองอยู่ข้างๆ
“พี่พิมุก พาเดือนไปส่งบ้านที”
พิมุกยิ้มออกมาอย่างสมใจ รวิสีหน้าผิดหวังในตัวเดือนอย่างแรง ศิริพรประคองรวิลุกขึ้น
“ไป งั้นก็แยกย้าย ไม่ต้องห่วงนะเดือน ฉันจะดูแลรวิให้เอง”
พิมุกเดินไปโอบไหล่เดือน เดือนน้ำตาคลอจำใจเดินไปพร้อมกับพิมุก
รวิมองตามอย่างไม่เข้าใจ
เดือนนั่งหันหน้าออกไปทางหน้าต่างรถ พิมุกชำเลืองแล้วคว้ามือเดือนมากุม
“เดือนน่ารักมากนะวันนี้” เดือนค่อยๆ ชักมือกลับแล้วหันไปทางหน้าต่างตามเดิม พิมุกทำหน้าไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ “เป็นห่วงไอ้รวินั่นอยู่เหรอ ศิริพรคงไม่ปล่อยให้หน้ามันเสียโฉมหรอกน่า”
เดือนรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อถูกพิมุกดึงมือเข้าไปจับอีก พิมุกแฉลบรถเข้าข้างทาง เดือนมองหน้าพิมุกเลิ่กลั่ก
“พี่จอดรถทำไม” พิมุกยื่นหน้าเข้าไปใกล้เดือน เดือนเบือนหน้าหนี “พี่สัญญากับฉันแล้ว ว่าจะไม่ใช้วิธีนี้”
พิมุกชะงักหัวเราะใส่
“ก็พี่บอกแล้วว่าพี่ลูกผู้ชายพอ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ละขอมัดจำไว้ก่อนสักทีนะ เผื่อเดือนดังแล้วพี่จะไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ขนาดนี้”
พิมุกขยับตัวเข้าไปหอมแก้มเดือนฟอดหนึ่ง เดือนตกใจชักมือกลับผลักพิมุกออกแล้วหันไปจะเปิดประตูรถ
“ฉันกลับเองได้”
พิมุกหันไปกดล็อกประตู
“ก็บอกแล้วว่าขอแค่มัดจำ ทำตกใจไปได้ พี่ไม่ทำอะไรน้องเดือนบนรถหรอกน่า”
พิมุกพูดจบก็สตาร์ทรถขับออกไป เดือนยังคงมองพิมุกอย่างไม่ไว้ใจ
ช้อยยืนรีดผ้าอยู่ในบ้าน เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน ช้อยวางเตารีดแล้วเขม้นตามองไปทางหน้าบ้านเห็นเดือนเดินลงมาจากรถ ช้อยมองอย่างไม่สบายใจ
เช้าวันต่อมาช้อยนั่งอ่านหนังสือพระอยู่ที่แผงตามปกติ กิมชำเลืองมองช้อยจากแผงผลไม้ตรงข้าม
“นี่นังจันทร์ แกได้ไปงานวัดเกาะเมื่อคืนไหมวะ”
จันทร์แม่ค้าขายดอกไม้แผงถัดไปตะโกนตอบกิม
“กลางวันเหนื่อยจะตาย กลางคืนจะเอาแรงที่ไหนไปเที่ยวงานวัดวะ ถามอะไรไม่คิด”
“อ้าว งั้นก็ไม่รู้สิเมื่อคืนที่งานวัดเกาะมีคนตีกัน” จันทร์ตาโตอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที กิมแกล้งพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “ตีกันแย่งผู้หญิงเสียด้วยสิแก อุตลุดวุ่นวายกันเลย แกนี่เชยจริงๆ เขาพูดกันทั้งตลาด”
“เหรอๆ ใครกับใคร แย่งใครกันล่ะ”
กิมชำเลืองมองช้อยอีกแว่บหนึ่ง ช้อยนั่งอ่านหนังสือพระนิ่งราวกับไม่ได้ยินอะไร
“ก็ ผู้หญิงที่เป็นดาวหางเครื่องที่กำลังดังๆ อยู่ตอนนี้ไงล่ะ”
ช้อยได้ยินคำว่า “หางเครื่อง” ก็ละสายตาขึ้นมาจากหนังสือ
“นังกิม แกว่าอะไรนะ ผู้ชายตีกันแย่งผู้หญิงที่เป็น หางเครื่อง”
กิมทำหน้าเจื่อน
“อ้าว เอ้อ เอ่อ ฉันก็ฟังๆ มา แต่เอ๊ะ แม่จันทร์นี่ฉันเอ่ยชื่อใครออกไปหรือเปล่าเนี่ย ไม่ได้เลยนา เรื่องมันไม่ได้น่าภูมิใจ”
ช้อยนิ่งไปเพราะได้ยินแล้วนึกถึงเดือน
ที่ออฟฟิศวงดนตรี โรจน์ ประทีป และลิ้นจี่อยู่ในห้องเหมือนกำลังประชุมกัน
“อาทิตย์หน้าที่อำเภอฯ จะจัดงานใหญ่นะ เขาสั่งมาให้เราจัดให้เต็มที่ เสียดายจริงงานนี้เขาอยากได้นักร้องใหม่ๆ สดๆ หลังๆ เราก็ไม่มีเสียด้วย”
“ชั้นสดไม่พองั้นเหรอ” นภากาศถามอย่างไม่พอใจ โรจน์หน้าเสีย
“พอน่ะ พออยู่ ก็แค่จะได้คุยราคากะลูกค้าได้”
“แล้วใครไม่มีราคา”
“มีราคาหมดแหละ ใจเย็นๆ นะ” ลิ้นจี่บอก นภากาศมองค้อนเบาๆ แล้วเดินจากไป
“เราก็ปั้นขึ้นมาสักคนสิ ไม่เห็นยาก กลัวอะไร” ประทีปกระซิบบอก
“ไอ้ที่กระซิบอยู่นี่ ไม่ใช่กลัวเหรอ”
ประทีปพอฟังไปก็นึกถึงเดือนขึ้นมาทันที
“คราวก่อนที่แกกับฉันไปได้ยิน เด็กเดือนนี่เสียงดีไม่เบานะ”
ลิ้นจี่ได้ยินชื่อเดือนก็หงุดหงิดขึ้นมา
“ได้ยังไง ไปติดใจอะไรมันเข้าล่ะประทีป หลังๆ ถึงได้เชียร์ออกนอกหน้าขนาดนี้เนี่ย”
ประทีปมองลิ้นจี่ไม่พอใจ
“แกก็พูดไปเรื่อย ติดใจอะไร ฉันก็ว่าไปตามจริงว่าเด็กมันเสียงดี”
“เฮ้ย ไอ้พิมุกมันคงยอมหรอก มันย้ำนักย้ำหนาให้เป็นได้แค่หางเครื่อง”
“มันก็น่าเสียดายนะ ถ้าปั้นขึ้นมาจริงๆ คงทำเงินให้เราได้เยอะน่าดู”
ลิ้นจี่ตวัดสายตามองประทีปแบบหมั่นไส้
“ฉันก็เสียดายอยู่เหมือนกัน หลังๆ คนมาดูก็เริ่มจะกลายเป็นตามมาดูหางเครื่องซะแน่ะ คืนๆ หนึ่งพวงมาลัยได้ไปหลายร้อย”
“แกจำไม่ได้หรือไง สมัยก่อนที่แกมาติดฉัน ฉันได้มากกว่านังเดือนเป็นเท่าตัว” ลิ้นจี่บอก โรจน์มองลิ้นจี่ขำๆ
“เรื่องมันนานมาแล้ว เธอยังจำได้อีกเหรอ เออๆ เอาเป็นว่าอาทิตย์หน้างานที่อำเภอ เธอต้องทำยังไงก็ได้ให้เดือนเด่นที่สุด ขายนักร้องไม่ได้ ขายหางเครื่องนี่แหละวะ”
ลิ้นจี่สะบัดหน้าใส่โรจน์อย่างไม่พอใจ
ลิ้นจี่ผลักประตูห้องโรจน์ออกมาอย่างอารมณ์เสียแล้วชะงักเมื่อเห็นแก้วนั่งอยู่หน้าห้อง
“วันนี้ไม่ได้มีซ้อม แกเข้ามาทำไม”
แก้วแอ๊บหน้าตาเหรอหรา ใสซื่อ
“อ๋อ คุณโรจน์เรียกให้เข้ามาค่ะ”
ลิ้นจี่ขมวดคิ้วมองเข้าไปในห้องโรจน์แล้วหันกลับมาจ้องแก้วจะกินเลือด
“เรียกมาเรื่องอะไร ทำไมฉันไม่รู้”
“แก้วก็ไม่ทราบค่ะ เดี๋ยวถ้าแก้วรู้จะบอกพี่ลิ้นจี่นะคะ”
ลิ้นจี่จ้องแก้วอย่างระแวงแต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้
“เออ แกเป็นเพื่อนกับนังเดือนนี่ ฉันฝากไปบอกอะไรทีได้ไหม”
แก้วหูผึ่ง ตาโต รีบรับคำ
“ได้สิพี่ จะให้หนูไปบอกอะไร”
“อาทิตย์หน้าที่อำเภอฯ จะจัดเลี้ยงใหญ่ เขาจ้างให้เราไปโชว์ มีแต่เจ้านายคนกระเป๋าหนักๆ ทั้งน้าน เมื่อกี้คุยกันกับโรจน์เห็นว่าจะเน้นขายนังเดือน ไปบอกให้หน่อยละกัน ถ้าอยากได้พวงมาลัยหนักๆ ก็ดูแลตัวเองดีๆ เตรียมตัวให้พร้อม งานนี้ได้เกิดแน่ๆ”
แก้วฟังแล้วตาโต
“แล้วหนูได้ไปด้วยไหมพี่”
“ได้สิ แกก็เป็นเด็กใหม่ เออ จะดูไปก็สวยไม่ได้ด้อยไปกว่านังเดือน จริงๆ แล้วฉันว่า ถ้างานนี้นังเดือนไม่ได้ขึ้น แกมีสิทธิ์ได้ “เกิด” เต็มตัวเลยนะ”
“ก็ คุณโรจน์เขาบอกจะเน้นขายเดือนไม่ใช่เหรอพี่ ยังไงๆ เดือนคงไม่พลาด”
“คิดเอาสิ เออ ถ้านังเดือนมันเกิดพลาด แล้วไม่ได้ขึ้นน่ะ เออ จะเพราะอะไรดีน๊า”
ลิ้นจี่พูดทิ้งท้ายแล้วเดินไป แก้วมองตามลิ้นจี่คิดตามไปด้วย
ที่โรงลิเก รวิกับเด็กคณะลิเกช่วยกันซ่อมโรงลิเก ศิริพรเดินถือถาดใส่น้ำมาให้
“น้ำเย็นๆ มาแล้วจ้ะ เหนื่อยกันแย่เลย”
รวิยกแขนขึ้นปาดเหงื่อตัวเองแล้วเดินมารับน้ำ ศิริพรดึงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาเอื้อมมือจะเช็ดหน้าให้รวิ
รวิชะงักเปลี่ยนเป็นรับผ้าจากมือศิริพรแทน ศิริพรหน้าเจื่อน
“เห็นมือเลอะ เลยนึกว่าจะเช็ดให้”
รวิยิ้มให้แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าคืน
“เด็กๆ เห็นเอาไปพูด เธอจะเสียหายนะ อ่ะ ขอบใจมาก”
“ท่าทางคืนพรุ่งนี้น่าจะเล่นได้แล้วนะเนี่ย”
“ก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน”
“เดือนก็น่าจะคุมแฟนตัวเองให้อยู่หน่อย ปล่อยมาระรานให้คนอื่นเขาเดือดร้อนอยู่ได้”
รวิชะงักจ้องหน้าศิริพร
“แฟน? พิมุกกับเดือน”
ศิริพรรู้สึกผิด เหมือนหลุดปากไป
“ฉัน ก็แค่ได้ยินชาวบ้านเขาพูดกันมาอาจจะไม่จริงก็ได้”
รวินิ่งไปครู่หนึ่งแล้วขอตัวไปทำงานต่อ
“ก็ดีนะ เดือนก็จะได้มีคนดูแล ฉันไปทำงานต่อดีกว่าจะได้เสร็จเร็วๆ”
ศิริพรมองตามหลังรวิ หน้าเธอเห็นใจเขาแบบนางเอกมาก
แก้วนั่งลงที่โซฟาห้องทำงานโรจน์
“เป็นยังไงบ้าง พอปรับตัวได้หรือยัง”
“ค่ะ ได้แล้วค่ะ พี่ลิ้นจี่ก็ชม ว่าแก้วเรียนรู้เร็ว”
โรจน์ยิ้มอย่างพอใจแล้วหันไปทางประทีป
“คิดว่าไงล่ะแก”
ประทีปมองแก้วอย่างสำรวจ
“ลุกขึ้นยืนให้ฉันดูหน่อยสิ”
แก้วรีบลุกขึ้นตามคำสั่งแล้วหมุนตัวแถมให้ โรจน์กับประทีปสบตากันยิ้มๆ แก้วเองก็รู้อยู่ว่าหุ่นตัวเองไม่ธรรมดา
อีกด้านหนึ่งที่ตลาดสดแผงช้อย ช้อยนั่งจับๆ เรียงๆ แผงไปปากก็บ่นไปด้วย
“ปลาก็หาไม่ค่อยได้ ตลาดก็เงียบแบบนี้จะหาเงินที่ไหนไปจ่ายหนี้เขากันล่ะเนี่ย ทั้งต้นทั้งดอกทบกันฉันจะผูกคอตายอยู่แล้ว”
เดือนได้ยินช้อยพูดก็หน้าเศร้า
“ฉันเป็นลูกน่าจะช่วยแม่ได้มากกว่านี้”
“ก็ฉันถามแกแล้วว่าเช่าเขาอีกแผงขายไหม แกก็บอกว่าไม่เอา”
“แม่อ่ะ เรื่องเดิมอีกแล้ว ถ้าฉันได้เป็นนักร้องจริงๆ เราจะได้ตังค์เยอะกว่าขายผลไม้กับปลารวมกันอีกนะ”
ช้อยเงยหน้ามองเดือนแล้วส่ายหน้าถอนหายใจ
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ”
เดือนอึ้งไปก้มหน้าเรียงผลไม้ต่อ
“ไม่นานหรอกแม่ ฉันจะไม่ยอมให้มันนาน”
ประทีปวางถุงพลาสติกเสบียงทั้งหลายไว้ที่มุมห้องซ้อม ป้อมเห็นก็ตาโต
“สงสัยงานจะใหญ่จริง กะไม่ให้ออกไปไหนกันเลยเหรอเนี่ย”
“ก็ใหญ่จริงน่ะสิ งานเลี้ยงของอำเภอเชียวนะ ใครจะเกิดก็เกิดงานนี้แหละ เต็มที่นะทุกคน ไอ้ของที่ซื้อมาเนี่ย รับรองไม่อ้วนแน่ๆ”
“ทำเป็นใจดี ตั้งใจจะซื้อมาให้ใครหรือเปล่า แต่ไหนแต่ไรไม่เห็นจะเคยซื้อมาแจก”
ลิ้นจี่พูดจบก็ชำเลืองไปที่เดือน
“จะตั้งใจซื้อให้ใครก็ช่าง ไหนดูสิมีอะไรบ้าง”
ป้อมกวักมือเรียกสาวๆ ไปรุมล้อมถุงเสบียงที่ประทีปซื้อมา ลิ้นจี่นั่งนิ่งปรายตามองด้วยความหมั่นไส้
“พี่ลิ้นจี่ไม่เอาเหรอคะ เดี๋ยวหนูหยิบไปให้ไหม” แก้วถาม
“ไม่ต้องหรอกย่ะ ฉันซื้อกินเองได้ อ่ะแล้วนี่จะยังไง จะซ้อมกันได้หรือยัง เสียเวล่ำเวลา”
“เออ ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ให้ฉันดูสักเพลงสิ เเล้วนภาไม่ซ้อมเหรอ”
“เขาเก่งแล้ว ไม่ต้องซ้อม”
ป้อมหัวเราะหยามหยันเสียงออกจมูก ทุกคนละจากกองขนมแล้วไปตั้งแถวเริ่มต้นซ้อมต่อ
“ดีนะ แก้ว เธอนี่ใช้ได้เลยนะ อีกหน่อยคงได้ดังแน่ๆ อ่อ อีกนิดสิ ฉันอยากให้แก้วขยับขึ้นมาข้างหน้าหน่อย”
ประทีปเดินไปจับตัวแก้วขยับขึ้นมาตรงจุดที่เด่นที่สุด “โอเค เอาล่ะ ตั้งใจซ้อมกันนะ นี่ใกล้วันละ ถ้าทำกันได้ดีพวกเรา
จะได้งานใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฉันไปละ”
แก้วและลิ้นจี่สบตากันโดยบังเอิญ
ศิริพรกับรวิอยู่ในร้านขายเครื่องมือก่อสร้าง รวิกำลังเลือกซื้อของใช้ในการซ่อมโรงลิเก เสียงประกาศจากรถกระบะดังเข้าไปในร้าน
“ขอเชิญพี่น้องผองเพื่อนมาจับจ่ายซื้อสินค้าราคาถูก ทั้งโอทอปและไม่ทอป พร้อมความบันเทิงหลากหลาย เช่น ตลกชื่อดังคณะ “เชิญมายิ้ม” นักร้องดาวรุ่งยอดนิยม “น้ำฝน เมืองบาดาล” พร้อมวงดนตรีชื่อดังประจำบ้านเรา “ฟ้างาม ครามฝัน” งานนี้ขนแดนเซอร์สวยๆ มาแบบจัดเต็ม หกโมงเย็นเป็นต้นไปเจอกันได้ที่ลานที่ว่าการอำเภอฯ”
รวิได้ยินชื่อวง ฟ้างาม ครามฝันก็ชะงัก ศิริพรหันไปจับสังเกตรวิ
“วงที่เดือนไปเต้นอยู่นี่ พรุ่งนี้ฉันว่าง เราไปกันไหมรวิ”
รวินิ่งไปครู่หนึ่ง
“ไม่ล่ะ ฉันว่าจะรีบซ่อมวิกให้เสร็จน่ะ มะรืนจะได้เล่นสักที”
ศิริพรได้ยินก็ยิ้มปลอบใจเขาแบบเเสนห่วงใยความรู้สึก
อ่านต่อหน้า 4
หางเครื่อง ตอนที่ 2 (ต่อ)
เมื่อแยกจากรวิ ศิริพรจงใจไปหาช้อยที่ตลาด
“แม่ช้อย เป็นไงบ้าง เงียบไปเลยนะจ๊ะ เอาส้มให้โลนึงสิ”
ช้อยชะโงกหน้าจากแผงยิ้มทักศิริพร
“อ้าว คุณศิริพรจะรับส้มเหรอจ๊ะ มา มา เดี๋ยวเลือกให้หวานๆ เลย”
“พรุ่งนี้ลูกสาวคนสวยแม่ช้อยจะได้ขึ้นเวทีใหญ่นี่นา”
“อ้อ งานประจำปีที่อำเภอฯ เฮ้อ อย่าไปพูดถึงมันเลยคุณศิริพร เหนื่อยใจเปล่าๆ”
“ทำไมล่ะ แม่ช้อยน่าจะภูมิใจนะ ลูกสาวกำลังดังเลย ใคร ๆ ก็พูดว่าหางเครื่องของ “ฟ้างาม ครามฝัน” น่ะ สวย”
“ตอนนี้มันก็ดีอยู่หรอกจ้ะ แต่อดห่วงไม่ได้ว่าจะได้อีกนานแค่ไหน แล้วยิ่งดังก็ยิ่งเป็นขี้ปากชาวบ้าน อยู่แบบเงียบๆ แล้วปลอดภัยมันจะดีกว่าไหมล่ะ”
“เดือนเขาคงชอบที่จะดังมั้ง แต่นี่ก็เห็นว่าได้พวงมาลัยแต่ละคืนเยอะอยู่นี่นา”
ช้อยยิ่งถอนหายใจหนักกว่าเดิม
“เยอะก็จริงจ้ะ แต่ก็ยังไม่พอที่จะจ่ายคุณพิมุกหรอก ทั้งต้นทั้งดอก นี่ก็ใกล้เวลาจะต้องจ่ายอีกแล้ว เฮ้อ”
ช้อยยื่นถุงส้มให้ศิริพร ศิริพรยื่นสตางค์ให้
“ไม่ต้องกลุ้มหรอกแม่ช้อย ถ้าไม่พอล่ะก็ มาหาฉันได้ ฉันก็ไม่ได้ว่ามีเยอะ แต่ก็...นะ...พอมีช่วยเหลือกันน่ะจ้ะ”
“แม่คู้ณ จิตใจช่างดีเหลือเกิน ขอให้เจริญๆ นะจ๊ะ”
ศิริพรยิ้มให้ช้อยราวกับตัวเองเป็นนางฟ้า
ที่บ้านแก้ว แก้วนั่งพอกหน้าตัวเองอยู่หน้ากระจก กิมเดินเข้ามาดูลูกอยู่ด้านหลังด้วยความชื่นชม
“แหม แกนี่มันได้เชื้อฉันไปเต็มๆ เลยทีเดียวนะนังแก้ว”
“จ้า ฉันก็ได้ยินแม่ชมฉันแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ฉันจำได้เข้าหัวแล้วล่ะว่าที่ฉันสวยเนี่ย มันเพราะแม่”
“ฉันว่านะ ที่คนเขาชมๆ กันว่านังเดือนสวยอย่างนั้น อย่างนี้ มองกันยังไง คุณพิมุกอีกคนคลั่งไคล้มันอย่างกะอะไรดี เห็นชาวบ้านเขาลือกันว่าตอนนี้นังเดือนกำลังขึ้นหม้อเลย”
พูดชื่อพิมุกขึ้นมาแก้วก็หน้าตูม
“แหมแม่ เขารู้กันทั้งวงน่ะว่าเดือนมันมารยาจัดแค่ไหน”
“นั่นน่ะสิ แต่ของอย่างนี้นะ ถ้าเอาตัวเข้าแลก ไม่นานเขาก็เบื่อ เออ แกรีบเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้จะได้สวยๆ เด้งๆ จะได้มาลัยเยอะๆ ว่าแล้วก็หมั่นไส้นังเดือน ไม่มีมันสักคน แกคงเป็นดาวประจำวง”
กิมพูดจบก็ลุกเดินออกจากห้องไป แก้วเชิ่ดหน้าขึ้น ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว
“ใช่ ถ้าไม่มีมันสักคน”
เช้าวันต่อมาช้อยกำลังเตรียมตัวจะออกไปตลาด เสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากหน้าบ้าน
“เฮ้ย ตื่นกันหรือยังวะ”
เดือนได้ยินเสียงก็เดินลงมาชะเง้อไปทางหน้าบ้านเขม้นตามองเห็นช้อยกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปที่ประตู ช้อยคุยกับผู้ชายหน้าประตูบ้านสักพักก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้านหน้าจ๋อยๆ
“ใครน่ะแม่” ช้อยไม่ตอบได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินเข้าบ้านไป เดือนเดินตามช้อยเข้าบ้านอย่างไม่สบายใจ
“แม่ แม่เป็นอะไร มีอะไรทำไมไม่บอกฉัน”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันจัดการทุกอย่างได้ เลี้ยงแกมาคนเดียวจนโตยังทำได้เลย มาช่วยฉันเตรียมของไปขายดีกว่า แกจะได้รีบไป วันนี้งานใหญ่ไม่ใช่เหรอ”
เดือนพยักหน้า กุลีกุจอช่วยช้อย
ค่ายมวยของพิมุก พิมุกกำลังต่อยกระสอบทรายอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ได้เหงื่อแต่วันเชียวนะ”
ชูเกียรติเดินเข้ามาทัก พิมุกหันไปเห็นชูเกียรติก็หยุดต่อย คว้าผ้าขนหนูมาซับเหงื่อ
“ว่างเหรอวันนี้”
“ก็ไม่เชิง จัดเด็กมางานที่อำเภอฯ คืนนี้น่ะ”
“เออ ได้ข่าวว่าคืนนี้อำเภอฯ มีงานใหญ่”
“ไปด้วยกันไหมล่ะ ที่วันนี้จัดมาให้ท่านๆ นี่ก็แจ่มๆ ทั้งนั้นนะ จะได้เผื่อให้คนนึง”
พิมุกไม่ตอบแต่มองหน้าชูเกียรติแบบรู้กัน
“เผื่อตัวเองไปบ้างแล้วกี่คนล่ะเนี่ย”
ชูเกียรติยักไหล่
“ไม่ล่ะ แต่เออ งานที่นี่คืนก่อน เจอคนนึง ไม่เบาว่ะ พอบอกฉันทำโมเดลลิ่งตางี้เป็นประกายขึ้นมา ท่าทางไม่ยาก อีกไม่นานคงได้ชิมของใหม่”
พิมุกหัวเราะพอใจ โอบไหล่ชูเกียรติเดินเข้าห้องทำงานด้วยกัน
“มันต้องอย่างนี้สิวะ ลูกผู้ชายเต็มตัว ไป เข้าไปนั่งเย็นๆ ข้างในกันดีกว่า”
เดือนเดินหน้าเหี่ยวเข้ามาในห้องซ้อม ป้อมกับขำสะกิดกันให้ดูเดือน
“ไหงหน้ามันเหี่ยวมาได้ขนาดนั้นล่ะ”
“นั่นสิ พี่ว่าคืนนี้คนมารอดูหนูเยอะกว่านักร้องอีกนะ แทนที่จะทำหน้าให้มันสวยๆ สมกับเป็นดาวของวงดนตรี ฟ้างาม ครามฝัน”
“ยิ้มไม่ออกหรอกพี่ ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มาที่บ้านแต่เช้าเห็นแม่เดินออกไปคุย หน้างี้เครียดเชียว มีเรื่องอะไรก็ไม่บอกกัน ฉันเหมือนเป็นลูกอกตัญญูยังไงก็ไม่รู้”
“ไอ้หน้าเครียดเนี่ยเดาได้ไม่ยาก ป้าช้อยแกก็เรื่องเดิมๆ เป็นห่วงที่เห็นแกมาเต้นแร้งเต้นกากลางค่ำกลางคืนแบบนี้”
“อ้อ แล้วก็ไอ้ข่าวลือที่เขาไปลือกันทั่วตลาดเรื่องหนูกับพิมุกไง”
เดือนทำหน้าย่นเมื่อได้ยินชื่อพิมุก
“พอเหอะพี่ อย่าพูดชื่อนี้ให้ฉันได้ยินเลย เบื่อหนักกว่าเดิม”
ขำยื่นหน้ามาถามด้วยความสอดรู้สอดเห็น
“แล้วมัน เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าล่ะ”
เดือนอึ้งไปนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรถกับพิมุก
“ไม่ล่ะ ถ้ามันจะจริงก็ต้องเป็นพี่รวิคนเดียวเท่านั้น”
“แล้วไอ้ผู้ชายที่มาคุยกับป้าช้อยนี่ล่ะ”
“หรือจะเป็นกิ๊กใหม่ป้าแก”
เดือนกับป้อมพร้อมใจกันหันมองขำตาเขียวปั้ด
“นั่นสิพี่ ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ ถามแม่ก็ไม่บอก”
ป้อมมองออกไปด้านนอกเห็นลิ้นจี่กำลังเดินตรงมา
“ไว้ค่อยมาคิดกันทีหลังแล้วกัน นู่น เจ้าแม่มานู่นละ เดี๋ยวเห็นพวกเราจับกลุ่มกันจะมีปัญหาอีก เอ๊ะ ว่าแต่นั่นมัน นังแก้วไม่ใช่เหรอ”
ลิ้นจี่กำลังเดินตรงไปที่ห้องซ้อม
“พี่ลิ้นจี่ พี่ลิ้นจี่” ลิ้นจี่ชะงักหันไปมองตามเสียงเห็นแก้ววิ่งกระหืดกระหอบตามหลังมา ลิ้นจี่หันหลังกลับทันที ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “รอด้วยสิพี่ ฉันวิ่งตามพี่มาตั้งไกลแล้วนะ”
“แล้วใครใช้ให้แกตามฉันมา มาเองมาไม่ถูกหรือยังไง”
“ก็แหม ฉันนับพี่เป็นขวัญใจของฉันเลยนะ หุ่นก็ดี เต้นก็พลิ้ว อยู่กับพี่ไว้หนูจะได้เก่งๆ เหมือนพี่บ้างไง”
ลิ้นจี่ได้ยินแก้วสอพลอก็วางฟอร์มทันที
“งั้นก็ตามใจ ขาก็ขาแก อยากตามก็ตามมา”
แก้วแอบอมยิ้มที่ลิ้นจี่หลงกล
เดือน ป้อม ขำสะกิดกันดูแก้วประจบลิ้นจี่เพลิน
“ถ้าฉันจำไม่ผิด ฉันว่าเดือนเป็นคนพามันเข้าวงมานะ”
“แหมพี่ เดือนพาเข้ามาแต่เดือนทำให้โด่ง ให้เด้ง ให้ดังไม่ได้นี่”
“แล้วนังลิ้นจี่เนี่ยนะทำได้”
“เอ๊า เขาก็อาจจะฝากฝังผัวเขาให้ไง”
“ฉันว่าเขาอาจจะถูกชะตากันก็ได้นะพี่”
ป้อมและขำหันมองหน้าเดือนพร้อมกัน
“พอเหอะ เลิกทำตัวเป็นนางเอกบ้านนาได้ละ ดูแค่นี้ไม่รู้หรือไง โอ๊ย น่าเบื่อ”
“แกสิพอ หุบปากแล้วแตกตัวกันได้แล้ว เดินมาถึงนี่ละ”
ขำอดไม่ได้ที่จะสะกิดป้อมให้ดูหน้าลิ้นจี่กับแก้ว
“พี่ๆ ดูสิ คิดเหมือนฉันไหม สองคนนั้นหน้าตาอย่างกับมีแผนร้ายอะไรอยู่ในหัวน่ะ”
“ไป ไป เดี๋ยวค่อยว่ากันหลังซ้อม”
พวกหางเครื่องกำลังซ้อมเต้นกันโรจน์กับประทีปผลักประตูเข้าไป ดนตรีจบ โรจน์กับประทีปปรบมือพร้อมกัน
“เยี่ยมมาก ถ้าตอนแสดงจริงทำได้เหมือนตอนซ้อมผู้ใหญ่คงตบรางวัลให้อย่างงาม”
“ฉันว่าคืนนี้เธอต้องได้หลายสตางค์แน่ๆ เดือน”
เดือนตกใจที่ประทีปพุ่งมาที่ตัวเองได้แต่อ้ำอึ้งทำหน้าไม่ถูก
“เอ้อ ค่ะ”
“แล้วคุณโรจน์กับคุณประทีปจะมีรางวัลพิเศษให้พวกเราด้วยไหมล่ะคะ” ป้อมถาม
“ว่าไงคุณโรจน์” ประทีปถามโรจน์
“ก็เอาสิ ถ้าฉันได้เพิ่ม ทุกคนก็ต้องได้”
หางเครื่องทุกคนตบมือดีใจ
“แล้ว โฆษกก็ได้ด้วยช่วยไหมครับ”
“ก็บอกแล้วว่าทุกคน เอ้า ไปเตรียมแต่งตัวกันได้ละ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เจอกันที่อำเภอเลยนะ”
โรจน์กับประทีปเดินออกไปโดยที่ไม่ได้แยแสลิ้นจี่เลยสักนิด ลิ้นจี่ได้แต่ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“นังเดือน”
ที่โรงลิเก รวิกำลังเป่าเเซ็กโซโฟน นัดแนะซ้อมอยู่กับระนาดที่ตีอยู่ด้านข้างเวที
“เดี๋ยวพอชั้นเป่าถึงท่อนนี้นะ” รวิเป่าเเซ็ก เพลงลูกทุ่งมันๆ สักสองประโยค “แล้วระนาดก็รับ ไปอีกทางนึง เอาให้มันดูสนุก คนดูเขาจะได้รู้สึกว่ามีอะไรใหม่”
เดือนแต่งหน้าจัดมาก เดินเข้ามามองรวิที่เป่าเเซ็กอยู่ อย่างมีลีลาในการเป่าที่ไม่เลว รวิหันมาเห็นเดือนเข้า เขาก็ทำเป็นเมินไปทางอื่น
รวิกำลังเดินอยู่ตามทาง เขาถือแซ็กโซโฟนมาด้วย เดือนเดินรี่เข้ามาข้างๆ
“เราไม่ได้กำลังทะเลาะอะไรกันอยู่ใช่มั้ย”
“หึ...เปล่านี่”
“แต่ พี่รวิดูเปลี่ยนไปนะ”
“เหรอ” รวิเดินผ่านร้านที่มีกระจกส่องหน้าพอดี เขาให้เดือนหยุดมองตัวเองในกระจก “เดือนว่าตัวเองเปลี่ยนไปรึเปล่า”
เดือนมองหน้าที่แต่งจัดมากของตัวเอง
“ก็วันนี้ต้องขึ้นเวที ไปเจอไฟ” รวิพยักหน้า
“พี่แค่ยังไม่ชิน”
“เล่นของใหม่เหรอ” เดือนมองมองแซ็กโซโฟน
“เก่าแล้ว แต่ไม่อยากตกยุค ก็ต้องหาอะไรใหม่ๆ มาให้คนเขาดู”
“อยากดูนะ” รวิพยักหน้า “แล้ว วันนี้จะไปดูเดือน ที่หน้าอำเภอป่ะ”
“ยังไม่แน่นะ มีหลายอย่างให้ทำ”
“ก็ ถ้าว่างก็ไปนะ” รวิพยักหน้า “นัดกันหน้าอำเภอนะ” เดือนยิ้ม
“ถ้าว่างจะไป ไม่ต้องรอนะ เกรงใจ”
เดือนพยักหน้ารับจ๋อยๆ มองรวิ ที่เดินสะพายแซ็กโซโฟนห่างออกไป
ค่ำวันนั้น บนเวที หางเครื่องบนเวทีเต้นกันกระจายเต็มที่ คนดูโห่ร้องเป่าปาก มีความสุข ด้านหน้าเวทีมีคนดู เต้นกัน มันมาก นภากาศร้องอยู่บนเวที
หางเครื่องชุดแรกวิ่งเข้ามาหลังเวลทีเหงื่อโทรมยิ้มแย้มเร่งรีบ เดือนนั่งแต่งหน้า ทำผมตัวเองอยู่หน้ากระจก เสียงโทรศัพท์มือถือราคาถูกของเดือนดังขึ้น เธอกดรับ
“ฮัลโหล จ๋าแม่ จ่ะ จ่ะ”
เดือนกดโทรศัพท์ปิดเอาวางลง แก้วแอบมองตามโทรศัพท์มือถือเดือน
“แม่โทรมาว่า...” ป้อมถาม
“แกบอกให้เต้นดีๆ ระวังตัว แกเขม่นตาติ๊กๆ อะไรก็ไม่รู้”
ป้อมกำลังช่วยเดือนติดขนตาปลอม
“โบราณ เสร็จแล้ว ลืมตาซิ สวยเหมือนเคยจริงๆ น้องฉัน”
เดือนหันหน้ามองตัวเองในกระจก แก้วเฉไฉเดินเข้าไปใกล้ๆ ทำเป็นหยิบโน่นจับนี่
“ขอบใจมากพี่ป้อม”
“ยืมลิปติกหน่อยนะ” แก้วบอก
“ก็มันสวยอย่างนี้สิน้อ คนมันถึงได้ขยันอิจฉากันน่ะ”
ป้อมพูดพร้อมกับปรายตาไปทางแก้วกับลิ้นจี่
“ทำไมหันมาทางนี้ล่ะพี่ ฉันว่าถึงฉันจะไม่สวยเท่าเดือน แต่ยังไงฉันก็สดก็เด็กกว่าพี่นะพี่ป้อม” แก้วบอกพร้อมกับแอบหยิบเอาโทรศัพท์มือถือเดือนไปโดยไม่มีใครเห็น ป้อมคว้าแปรงหวีผมข้าง ๆ ยกแขนจะเขวี้ยงใส่แก้ว แก้วยกมือห้าม “อย่านะพี่ พี่รู้ไหมถ้าฉันขว้างพี่กลับน่ะ สายตาฉันทั้งดีกว่า ทั้งเขวี้ยงไปได้แรงกว่า พี่จะเจ็บตัวเปล่าๆ นะ”
“เอ้า เลิกกัดกันเป็นหมาได้แล้ว ต่างคนต่างแต่งไปสิวะ อีพวกนี้”
“ก็ใครมาหาเรื่องฉันก่อนล่ะ ไปฉี่ให้หายโมโหสักหน่อยดีกว่า”
แก้วล้างมือเสร็จกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำ มองโทรศัพท์เดือนที่หยิบมา แก้วเอาทิ้งใส่โถส้วมราดน้ำตาม
“หมั่นไส้”
แล้วแก้วก็เดินออกไป แก้วเห็นเดือนกำลังเดินตรงมา เดือนเหมือนล้วงหาโทรศัพท์ตามช่องในกระเป๋าสะพาย
แก้วผลุบตัวกลับเข้าห้องน้ำทันทีแล้วหันมองรอบๆ แก้วมองที่ประตูใหญ่ของห้องน้ำมีกลอนอยู่ด้านนอก แก้วทำทีเป็นวิ่งกลับไปเปิดน้ำล้างมือที่อ่าง เดือนเดินเข้ามาที่ห้องน้ำเห็นแก้วก็ยิ้มให้ แก้วยิ้มตอบแล้วปิดน้ำ
“เข้าห้องน้ำเหรอ ฉันไปก่อนนะ”
“จ้ะ เอ่อ แก้วเห็นโทรศัพท์มือถือมั่งมั้ยง่ะ”
“หึ จะไปเห็นได้ไงล่ะ”
แก้วเดินออกจากห้องน้ำ เดือนเข้าห้องน้ำ แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องส้วมอีกที
ที่หน้าห้องน้ำ แก้วเดินย้อนกลับมาที่ห้องน้ำ แก้วเหลียวซ้ายมองขวาแล้วดึงประตูใหญ่ห้องน้ำมาปิดไว้แล้วลงกลอน แก้วดึงกระดาษออกมาจากหน้าอกแล้วแปะทับที่หน้าประตูด้านนอกห้องน้ำ แก้วยืนมองอยู่ครู่หนึ่งอย่างพอใจในผลงานตัวเองแล้วเดินกลับออกไปเงียบๆ
กระดาษที่แก้วแปะอยู่หน้าห้องน้ำเขียนว่า "ขออภัย ห้องน้ำชำรุด" แก้วเดินจากไป นภากาศเดินเข้ามาเห็นแก้วไวๆ เธอหยิบป้ายขึ้นมาดู นภากาศส่ายหน้าตามหลังแก้วแล้วจะถือป้ายเดินจากไป แต่ได้ยินเสียงสองสาวพี่น้องเดินคุยกันมา
“โอ่ย พี่แก่แล้ว ชั้นสดกว่าพี่ตั้งเยอะ”
“อีนี่ ปาก วันนึงไม่แก่มั่งก็แล้วไป”
สองพี่น้องเดินจากกันไปแล้ว นภากาศมองป้ายห้องน้ำชำรุดในมืออย่างชั่งใจ
เดือนเสร็จธุระในห้องน้ำก็เดินไปที่ประตู เดือนผลักประตูออกไปตามปกติแต่ประตูไม่เปิด
“เอ๊ะ เมื่อกี้มันไม่ได้ปิดนี่นา” เดือนเริ่มหน้าถอดสี ใจไม่ดี ออกแรงผลักประตูออกไปอีกรอบแต่ไม่ได้ผล “อะไรเนี่ย ทำไมเปิดไม่ออกล่ะ” เดือนทุบประตู ตะโกนร้องให้คนด้านนอกช่วย “ช่วยด้วย ใครก็ได้เปิดประตูให้ฉันที มีคนติดอยู่ในนี้ค่า ช่วยด้วย”
ด้านนอกมีป้ายห้องน้ำชำรุดมาแขวนไว้อยู่แล้ว อย่างเดิม
ห้องแต่งตัวหลังเวที ป้อมโผล่หน้าออกมาจากหลังเวทีชะเง้อมองหาเดือน
“อะไรของพี่น่ะ ดูวอกแวกยังไงพิกล”
“ทำไมเดือนมันไปห้องน้ำนานจังวะ”
“ก็ อาจจะอึ๊มั้ง เดือนมันโตแล้วคงไม่ต้องรอป้าไปล้างก้นให้หรอก”
ป้อมหันมาตบหัวขำดังผลั๊วะ
“นี่แน่ะ แล้วแกล่ะโตหรือยัง ต้องโดนตบสั่งสอนแบบนี้น่ะ”
“ก็มันใช่เรื่องไหมล่ะ คนไปเข้าห้องน้ำจะไปหาเรื่องเร่งเขาได้ไงล่ะ ไปดีกว่า อีกไม่กี่นาทีก็เริ่มละ เดี๋ยวเดือนมาจะฟ้องว่าพี่ตบหัวฉัน”
ป้อมหันหลังเดินกลับเข้าห้องแต่งตัวแต่รู้สึกใจไม่ดี อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปดูอีกรอบ แก้วที่อยู่ไม่ไกลก็มองตามอย่างจับตาดูเหตุการณ์
เดือนทุบประตูห้องน้ำจนหมดแรงหอบตัวโยน
“ใครอยู่ข้างนอก ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ” เดือนเริ่มน้ำตาไหลคิดถึงรวิ “ใครก็ได้ ช่วยด้วย พี่รวิช่วยเดือนด้วย พี่รวิอยู่ไหน”
เสียงเดือนหายไปกับเสียงวงดนตรีลูกทุ่งที่เล่นกันเมามันส์ เครื่องเป่า ตะเบ็งเป่ากันกลบเสียงเดือน ภาพหน้าเวที ทุกคนหัวเราะ ยิ้มแย้มีความสุขร่าเริง
รวิเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเป่าเเซ็กโซโฟนไม่พูดกับใคร ศิริพรนั่งดูอยู่ไม่ไกลนัก รวิถลกแขนเสื้อดูนาฬิกา ศิริพรขมวดคิ้วแล้วเดินเข้ามาหา
"ฉันว่า ถ้ารวิอยากไปก็น่าจะไปนะ จะฝืนตัวเองทำไม"
รวิตอบศิริพรแบบไม่ได้มองหน้า
"ฉันไม่ได้อยากไปไหน ซ้อมเป่าอยู่นี่ไง พรุ่งนี้จะได้แสดงซะที"
ศิริพรลุกไปยืนข้างหน้ารวิ
ไถ้าเธอไม่ได้อยากไปแล้วเธอจะมองนาฬิกาทำไมบ่อยๆ ถ้าอยากไปก็ไปซะตอนนี้ ยังทัน"
รวิเงยหน้ามองศิริพรอย่างลังเล “ไม่”
ป้อมเริ่มนั่งไม่ติดเดินวนไปวนมา นภากาศเองก็นั่งนิ่งๆ เหมือนแอบรู้สึกผิดอยู่ในใจเล็กๆ
“ขอน้ำกินหน่อยสิ”
นภากาศพูดกับแม่บ้าน ขำเดินเข้ามาที่ห้องแต่งตัว แม่บ้านเดินเอาน้ำเย็นมาให้ นภากาศจิบแล้วเขวี้ยงทิ้ง ทุกคนตกใจ
“จะให้หลอดเสียงพังรึไง น้ำอุ่น ไป”
ขำมองหาไปเจอป้อม ป้อมแทบจะพุ่งเข้ามาหา
“ยังไม่โผล่เลย ไหนแกว่าเดือนมันโตแล้วไง”
“อะไรกัน หรือมันจะรอให้พี่ไปล้างก้นให้อยู่จริงๆ”
“โทรเข้ามือถือมันซิ”
ขำเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด
“ไม่มีสัญญาณเลย”
“ไม่มีได้ไง แม่มันโทรเข้ามายังได้อยู่เลยตะเกี๊ยะ”
แก้วลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้ นภากาศเองก็จิบน้ำมือสั่นไม่ต่างกัน
“หรือมันจะหนีกลับบ้าน”
ป้อมอยู่ในชุดหางเครื่องรุ่มร่ามมาก
“เป็นไปไม่ได้ งานนี้งานใหญ่ ถ้ามันจะกลับบ้านไม่อยากเต้น มันต้องบอกฉันอยู่แล้ว นี่ไม่เห็นมีทีท่าอะไรเลย แกไปหาดูอีกสักรอบได้ไหม แหมนี่ถ้าฉันไม่ได้แต่งชุดนี้นะ ฉันไปเองแล้วเนี่ย”
“ใจเย็นๆ พี่ เดี๋ยวฉันจะลองไปดูตรงอื่นๆ ด้วย พี่อยู่นี่แหละ ยังไงวะเนี่ย อีกไม่ถึงชั่วโมงถึงคิววงเราต้องขึ้นโชว์แล้วด้วยนะ”
ป้อมดันหลังขำให้รีบไปเร็วๆ
“ไป ไปได้แล้ว อย่าเสียเวลา”
รวิขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็ว ขี่ไปยกมือดูนาฬิกาไป
พิมุกกับชูเกียรติขับรถมาตามถนนกำลังจะไปที่อำเภอฯ พิมุกเห็นมอเตอร์ไซค์รวิขี่ผ่านไป พิมุกเขม้นตามอง“ไอ้รวิ” พิมุกหันไปทางชูเกียรติ “ฉันขอเสียเวลาสักแป๊บเคลียร์อะไรหน่อยนะ แกอยู่เฉยๆ ไว้”
ชูเกียรติมองพิมุกงงๆ
“เรื่องไม่เป็นเรื่องน่า แค่ขับรถปาดหน้ากัน”
“มันเป็นเรื่องศักดิ์ศรี ใครปาดไม่ว่า ยกเว้น มัน”
พิมุกเร่งความเร็วจนทันแล้วปาดหน้ามอเตอร์ไซค์รวิ รวิเสียหลักเซเข้าข้างทาง รถพิมุกก็จอดแฉลบเข้าข้างทาง
พิมุกเปิดประตูเดินลงมา รวิพยายามยกมอเตอร์ไซค์ขึ้นมา เงยหน้าเห็นเป็นพิมุกก็ชี้หน้าจะเอาเรื่อง
“แกอีกแล้ว ไอ้พิมุก”
“เออ สิวะ ใครใช้ให้แกมาขี่ขวางทางคนเขาแถวนี้” รวินึกขึ้นมาได้ว่ารีบจึงทำไม่สนใจยกมอเตอร์ไซค์ขึ้นมา
“ไง จะรีบไปดูน้องเดือนที่อำเภอฯ ล่ะสิ”
รวิชะงักไปนึกถึงภาพที่เดือนกลับไปกับพิมุก เดือนหันหน้าไปพูดกับพิมุก
“พี่พิมุก พาเดือนไปส่งบ้านที”
พิมุกเดินไปโอบไหล่เดือน เดือนเดินไปพร้อมกับพิมุก
รวิจ้องหน้าพิมุกอย่างโกรธจัด
“แกถามเขาบ้างหรือเปล่าว่าเขาอยากเจอแกไหม ไอ้ลิเกไม่เจียมตัว วันนั้นแกก็เห็นอยู่ว่าน้องเดือนเขาเลือกใคร ยังจะมีหน้าไปเจอเขาอีก” รวิทำเป็นไม่สนใจกะเพลกยกมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาได้ก็ขึ้นไปสตาร์ทรถ “ไอ้กระจอกเอ๊ย รู้ๆ อยู่ว่าฉันกับเขาคบกัน อย่าให้รู้นะว่าแกไปยุ่งกับน้องเขาอีก ไม่งั้นคราวนี้โรงลิเกแกไม่เหลือซากแน่”
รวิเจ็บช้ำ นิ่งมองหน้าพิมุก แล้วเขาบิดรถมอเตอร์ไซค์พุ่งออกไป พิมุกยิ้มที่รวิไม่กล้ามีเรื่องกับตน
“ขี้ขลาด”
ขำพุ่งเข้ามาหาป้อมที่หลังเวที ป้อมแทบจะกระโดดใส่ขำเช่นกัน
“ไง เจอไหม”
ขำส่ายหัวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“เอาไงดีพี่ จะไม่มีเวลาเเล้วนะ เดือนมันจะเป็นตายยังไงแล้วเนี่ย”
“มันอาจไม่ถึงตายก็ได้ คิดในแง่ดีไว้”
ลิ้นจี่เดินตรงเข้ามาที่ป้อมกับขำพร้อมตาเขียวปั๊ด
“อ้าว ทำไมรอบนี้เกาะกันอยู่ 2 ตัวล่ะ ฉันไม่เห็นนังเดือนนานแล้วนะ อีกไม่กี่นาทีต้องขึ้นแล้ว จะเสด็จเอาป่านไหนล่ะ”
แก้วเดินเข้ามาสำทับ
“นั่นสิพี่ ฉันสวนกับเดือนเขาตั้งแต่ตอนไปห้องน้ำนะ แล้วก็ไม่เห็นอีกเลย หรือว่าจะหนีกลับบ้าน”
“อย่ามาพูดมั่วๆ นะ ถ้าเดือนมันจะหนีกลับล่ะก็คงมีแค่เหตุผลเดียวน่ะ คือฆ่าไอ้คนเนรคุณตายคาที่ว่าการอำเภอ”
แก้วเห็นหน้าป้อมกับขำแล้วทำเป็นหัวหดไปหลบหลังลิ้นจี่
“สองคนนี้น่ากลัวจังค่ะพี่ลิ้นจี่ แล้วนี่ถ้าเดือนเขาหายไปจริงๆ ล่ะคะจะทำยังไง”
นภากาศจะอ้าปากบอกว่าเดือนอยู่ไหน แต่โรจน์ตะโกนเข้ามาซะก่อน
“เธอก็ขึ้นไปอยู่ตรงตำแหน่งเดือนเขาแทนสิ” ทุกคนหันไปตามเสียงโรจน์ที่เพิ่งเดินเข้ามา “รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ สูสีเดือนเขาอยู่แล้ว เวลาเต้นจริตจก้านเผลอๆ จะเยอะกว่าเดือนด้วยซ้ำ ถ้าเดือนไม่โผล่มา เธอก็ไปเต้นแทน
ตำแหน่งเขาเลย”
แววตาแก้วเป็นประกายดีใจ สมใจ ป้อมกับขำหันมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล ลิ้นจี่มองแก้วอย่างใช้ความคิด
พิมุกกับชูเกียรติเดินอาดๆ เข้ามาถึงส่วนของเวทีการแสดง
“ไหนวะเด็กแก นัดไว้หรือยังไง”
พิมุกส่ายหน้า
“เปล๊า เดี๋ยวอีกแป๊บก็ได้เห็น”
“แล้วนี่ยังไง ตกลงแกกะไอ้มอเตอร์ไซค์คันเมื่อกี้แย่งผู้หญิงคนเดียวกันอยู่”
“เฮ้ย อย่าพูดว่าแย่งเลยว่ะ คนละระดับกัน”
ชูเกียรติมองพิมุกขำๆ
ร้านยาดองริมถนน แก้วยาดองถูกกระแทกเข้ามาวางลงบนโต๊ะ บนโต๊ะนั้น มีแก้วเปล่าวางอยู่หลายดริ๊งค์มาก
รวินิ่งนั่งโงนเงน มองมอเตอร์ไซค์ที่จอดล้มอยู่หน้าร้าน มีชาวบ้านหลายคนเดินผ่านหน้าร้านไป
“ไปเหอะ ไป๊ เขาว่า วงเล่นกัน มันกระจายเลย”
รวิลุกขึ้นโงนเงน เอาตังค์วางลงบนโต๊ะ เขาเซเเซ่ดๆ ยกมอเตอร์ไซค์ขึ้นสตาร์ท
เดือนยังคงเขย่าประตูห้องน้ำ ตะเบ็งเสียงแหบโหย
“พี่รวิ ช่วยด้วย”
ไม่มีใครผ่านมาเปิดประตูให้เธอเลย
อ่านต่อตอนที่ 3