xs
xsm
sm
md
lg

หางเครื่อง ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หางเครื่อง ตอนที่ 3

รวิเดินไปทุบประตูบ้านศิริพรในอาการเมามาย

“ศิริพร เปิดประตู อยู่ไหมเนี่ย เปิดประตูซิ”
ศิริพรแง้มประตูดูเห็นเป็นรวิก็ตกใจ
“อ้าว เป็นอะไร ก่อนจะออกไปยังดีอยู่นี่นา แล้วนี่ทำไมถึงกลับมาสภาพนี้ล่ะ”
รวิส่ายหน้า ไม่อยากพูดถึง
“ขอเข้าไปหน่อย”
ศิริพรมองรวิงงๆ
“เป็นอะไรเนี่ย”
“ไม่อยากกลับบ้าน”
ศิริพรเปิดประตูให้รวิ รวิเซเเซ่ดๆ เข้าไป ศิริพรเบี่ยงตัวหลบทัน มองตามรวิเข้าไปอย่างเดาไม่ออก

ส่วนที่เวทีดนตรี แก้วนั่งเติมหน้าตัวเองอยู่หน้าจกอย่างมีความหวัง
“พี่ป้อม พี่ว่าหน้าฉันเข้มไปไหม”
ป้อมเบะปากใช้หางตามองแก้วทางกระจก
“คนเราน่ะนะนังแก้ว หน้าตาต่อให้สวยเลอเลิศเหนือใครๆ เขาแค่ไหนน่ะนะ ถ้าใจมันไม่สวยมันก็จบแล้ว”
แก้วชะงักกระแทกแป้งบนโต๊ะแล้วหันไปหาป้อม
“พี่ป้อมหมายความว่ายังไง พี่กำลังว่าฉันอยู่เหรอ”
“ฉันไม่ได้ว่าใคร แค่พูดลอยๆ แกจะรับ แกก็รับไป”
ป้อมพูดเสร็จก็ลุกขึ้นเดินออกไป แก้วมองตามอย่างโมโห

ในห้องน้ำ เดือนทรุดตัวนั่งลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยและหมดหวัง
“คืนนี้ฉันต้องอยู่ในนี้จริงๆ เหรอเนี่ย”
เดือนได้ยินเสียงแว่วจากด้านนอกเหมือนมีคนเดินเข้ามา เดือนเอาหูชิดประตูฟังอย่างตื่นเต้นแล้วลุกขึ้นอย่างมีหวัง
ประทีปหยุดยืนอยู่หน้าห้องน้ำสีหน้าผิดหวัง
“ทำไมมันต้องมาชำรุดเอาวันที่มีงานด้วยวะเนี่ย”
ประทีปเกาหัวหันหน้าซ้ายขวาเห็นปลอดคนจึงหันหน้าเข้ามุมมืดยกมือไหว้หนึ่งทีทำท่าจะปลดซิปกางเกง
“เจ้าที่ เจ้าทาง ลูกช้างขออนุญาตเถอะ สาธุ” เสียงทุบประตูดังขึ้นมาจากด้านหลัง ประทีปสะดุ้งโหยง “เฮ้ย ตกใจหมด กำลังจะรูดซิปเกือบไปแล้วเรา”
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ ใครอยู่ข้างนอก”
ประทีปได้ยินเสียงดังมาจากทางประตูห้องน้ำจึงหันหลังไปที่ประตู
“อย่าบอกนะว่ามีคนติดอยู่ข้างใน”
ประตูสั่นด้วยแรงเขย่าจากด้านใน ประทีปสะดุ้ง
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยเปิดประตูให้ด้วย”
ประทีปมือสั่นรีบปลดล็อคกลอนประตู
“เดี๋ยวนะ เดี๋ยว กำลังเปิดให้อยู่”
ประตูเปิดออก เดือนเหงื่อโซกน้ำตาไหลด้วยความดีใจ
“คุณประทีป ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยเดือน” ประทีปยืนงง
“เธอมาติดอยู่ในนี้ได้ยังไงน่ะ”
เดือนกุมมือประทีปแน่นละล่ำละลัก
“เต้นไปหรือยังคะคุณประทีป เดือนยังไปทันอยู่ไหม”
ประทีปได้สติรีบจูงมือเดือนออกไป
“ทัน ยังทัน ปะรีบไปเร็ว”
เดือนวิ่งออกไป ประทีปจะตามออกไปแต่สายตาของเขามองไปเห็นโทรศัพท์ของเดือน คาอยู่ตรงคอห่านของส้วมอีกห้องนึง

ห้องแต่งตัวหลังเวที ป้อมยืนจับมือกับขำกระวนกระวาย
“เดือนมันหายไปไหนได้เนี่ยพี่ ฉันหาจนทั่วแล้วนะ”
“นั่นสิ แกถามฉัน ฉันจะไปถามใคร ถ้าฉันรู้ฉันจะยืนสั่นอยู่อย่างนี้เรอะ”
ลิ้นจี่เดินเข้ามาข้างหลัง
“มันคงคิดว่าใครๆ ก็ต้องรอดูมัน ฉันว่าแล้วฉันดูคนไม่ผิด ห่วยแตกจริงๆ”
“แต่แหม ปกติเดือนไม่ใช่คนแบบนี้นะคะพี่ลิ้นจี่ เขาออกจะกระตือรือร้นรับผิดชอบจะตาย” แก้วบอก
นภากาศชำเลืองมองแก้ว เธอนิ่งส่ายหน้าเบาๆ แบบระอา ลิ้นจี่ตวัดสายตาเขียวปั้ดไปที่แก้วทันที
“ทีงี้มาทำออกรับแทนนะนังแก้ว จะเต้นไหม ไป ไป ตั้งแถวเตรียมตัวได้แล้ว อีนี่อย่าให้ฉันแฉนะ เดี๋ยวเหอะ”
หางเครื่องทุกคนขยับตัว แก้วทำคอย่นหัวหด “ได้ยืนหน้าสมใจละ อย่าทำอะไรพลาดแล้วกันนะแก ไม่งั้นล่ะก็...”
ขำแอบกระซิบกันกับป้อม
“ฉันล่ะหมั่นไส้นังแก้วจริงๆ เอาไงดีล่ะพี่ ตกลงเดือนมันยังไม่โผล่น่ะ”
“ก็ตามน้ำไปก่อน เดี๋ยวโชว์เสร็จไปตามหามันกันอีกที หวังว่ามันคงไม่เป็นอะไรนะ”
“พี่ป้อม พี่ลิ้นจี่”
เดือนวิ่งกระหืดกระหอบเหงื่อโซกมา ขณะที่ประทีปยืนอยู่ด้านหลังเดือน แก้วเซ็งสุดขีดที่เห็นเดือน นภากาศมองเห็นเดือนเข้ามา สีหน้าเรียบเฉยบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเธอดีใจหรือผิดหวังกันแน่ที่เดือนกลับมา ป้อมกับขำจับมือกันดีใจแทบกระโดด
“ไปไหนมาเดือน โทรมได้ขนาดนี้”
“โชว์เสร็จค่อยถามกันได้ไหม ไปเช็ดเหงื่อแล้วเติมหน้าเดี๋ยวนี้เลย แล้วไปบอกต่อกันด้วยนะ พรุ่งนี้ฉันมีเรื่องจะคุยกับทุกคน” ประทีปบอก ป้อมรีบดึงมือเดือนออกไป
“ไป ไป พี่เติมหน้าให้มาเร็ว”
แก้วหน้าซีด เหงื่อเริ่มผุดเป็นเม็ด

ขำกำลังทำหน้าที่โฆษกอยู่บนเวที
“ขอเสียงปรบมือเรียกน้องแดนเซอร์สาวสวยของ “ฟ้างาม ครามฝัน”ด้วยครับ” คณะแดนเซอร์ทยอยกันเดินออกมา “และนักร้องหนึ่งเดียวของบ้านเรา ฟ้าจะงามได้ไง หากขาก นภากาศศศศ”
นภากาศเดินยิ้มออกมาผู้คนกรี๊ดกร๊าด เดือนประจำอยู่ตำแหน่งตรงกลางที่เดิม แก้วชำเลืองมองอย่างขัดใจ

ด้านล่างเวที พิมุกกับชูเกียรติตาเป็นประกายทั้งคู่
“เออ เว้ย หางเครื่องวงนี้ ไม่ธรรมดาว่ะ จะเด่นกว่านักร้องนำเอานะ”
พิมุกหัวเราะในลำคอ
“นักร้องแก่แล้ว ไม่งั้นจะมายืนดูให้เมื่อยเหรอ”
ชูเกียรติมองไปที่เดือนกำลังก้มรับพวงมาลัย แล้วพึมพำในลำคอ
“เด็กคนนั้น”
พิมุกมองไปที่เดือนแล้วเลยไปยังแก้ว

“ยังสอยนังเดือนไม่ได้ เอานังขาวนี่ก่อนก็ได้วะ”

การแสดงบนเวทียังดำเนินต่อไป นภากาศมีพวงมาลัยเต็มคอ เดือนกับแก้วถูกเรียกคล้องพวงมาลัยสลับกันจนกระทั่งดนตรีจบ หางเครื่องเดินกลับเข้าหลังเวที นภากาศแอบมองพวงมาลัยเดือนที่สูสีเฉียดๆ มากับเธอ

พอเข้ามาหลังเวที เดือนโดนป้อมกับขำรุม
“บอกพี่มาซิ เธอหายไปไหนมา พี่ให้ขำมันไปตามหาซะทั่ว”
“ฉันนะแทบจะขุดใต้ดินตามหาแกอยู่แล้ว แกไปซ่อนตัวที่ไหนมาฮ๊า บอกไปเข้าห้องน้ำแล้วก็ชิ่งไปเลย”
เดือนมองป้อมและขำเหนื่อยๆ
“ฉันก็อยู่ในห้องน้ำน่ะแหล่ะ เปิดออกมาไม่ได้ ดีที่คุณประทีปเขาผ่านไปเปิดให้ออกมา”
“ห้องน้ำไหนกัน ฉันไปหามาทุกห้องน้ำแล้วนะ เว้นแต่ไอ้อันที่มันชำรุดน่ะ”
เดือนทำหน้างงๆ
“ก็แปลกนะ ตอนฉันเข้าไปไม่เห็นมีป้ายอะไรแปะไว้ หรือเขาจะมาแปะตอนฉันเข้าไปแล้วก็ไม่รู้”
“ไม่ใช่ละ ต้องมีคนไม่หวังดีกับหนูไปแปะตอนหนูเข้าไปเนี่ยแหละ”
ประทีปบอกแล้วชำเลืองมองหน้าทุกคน แก้วเชิ่ดหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้
“อย่าให้รู้นะ เป็นใครมาทำกะเดือนแบบเนี๊ยะ จะตบให้”
ป้อมมองแก้วแล้วทำเสียงประชด
“เหรอออออ”
“แล้วโทรเข้ามือถือก็ไม่รับ”
“หายไปไหนก็ไม่รู้อ่ะดิ”
“ใช่อันนี้รึเปล่า”
ประทีปวางมือถือที่อยู่ในถุงพลาสติค มันเปียกน้ำอยู่ด้านใน แก้วตาโตตกใจ แต่เก็บอาการ
“ต๊าย ใครมันเอาโทรศัพท์เธอไปทิ้งส้วมเนี่ยเลวจริงๆ เปียกหมดเลย”
“นั่นสิ”
“โทรศัพท์เดือนจริงๆ ด้วย ไปหล่นอยู่ที่ในส้วมได้ไง”
“มีใครแอบอิจฉา แกซะล่ะมั้ง”
เดือนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วทำท่าปลดเครื่องประดับออก ป้อมกับเดือนมองไปทางนภากาศ นภากาศเรียบเฉย ไม่แก้ตัวอะไร
“ฉันไม่ได้มีศัตรูที่ไหนนะพี่ มันไปหล่นในห้องน้ำตอนไหน เปลี่ยนเสื้อผ้ากันเหอะ จะได้รีบกลับ” เดือนบอก
แก้วหลบมุมยืนอยู่แถวนั้นถึงกับเหงื่อแตก

เดือน ป้อมและขำเดินคุยกันออกมาจากห้องแต่งตัว
“เดือนเอ๊ย หน้าแกแย่มาก กลับบ้านไปรีบนอนเลยนะ เดี๋ยวโทรมหนักกว่านี้แกจะโดนนังแก้วมันแย่งพวงมาลัยไปหมดแน่ๆ ฉันเห็นคืนนี้มันก็ได้เยอะอยู่นะ”
“ใช่ ดีนะที่หนูมาทัน ไม่งั้นละก็ เอ...”
ป้อมชะงักเหมือนนึกอะไรออกกำลังจะอ้าปากพูด แต่นภากาศเดินออกมาพอดี
“วงการนี้ ถ้าไม่แกร่งพอก็อยู่ยาก” นภากาศบอกเสียงเรียบ
“เด็กมันใหม่ วันนึงข้างหน้าไม่แน่ คุณก็เคยใหม่”
“เคย เหรอ” นภากาศแอบเศร้า แล้วมองเดือนหัวจรดเท้า แล้วสะท้อนมองเลยเห็นตัวเองในกระจกที่ตั้งอยู่
“แก้วรู้ได้ไง ว่าคุณประทีปเก็บโทรศัพท์มาจากคอห่านในห้องน้ำ” นภากาศถาม
“ก็หยิบออกมาสภาพเปียกมะล่อก...”
ขำนิ่งคิด แล้วชะงัก ป้อมนึกตามที่นภากาศถามแล้วนึกได้
“คนเก็บได้ เขายังไม่ได้พูดออกมาเลยว่าเก็บมาจากไหน”
“คงไม่หรอกมั้ง” เดือนเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง
“อย่ามานางเอกเลย อยากอยู่รอดก็แกร่งหน่อย” นภากาศบอกแล้วเดินจากไป
“ระวังตัวให้มาก นังแก้วนะ นังแก้ว หน้าหวานสันดานโจร”
ชูเกียรติโผล่มาดักข้างหน้าทั้งสามคน
“เธอนั่นเอง จำฉันได้ไหม”
ป้อมและขำงงได้แต่มองหน้ากันส่ายหัว
“คุณที่เป็น แมวมอง”
“ใช่ คราวที่แล้วก็รู้สึกจะเจอกันบังเอิญแบบนี้นะ”
ป้อมและขำแอบสะกิดถามกัน
“พี่ป้อม ใครน่ะ ฉันไม่เคยเห็น”
“แกกับฉันก็ตัวแทบจะติดกันตลอดอยู่แล้ว แกไม่เคยเห็นแล้วฉันจะเคยเหรอวะ เดี๋ยวก็ถามเดือนมันเองสิ”
ขำแกล้งทำเป็นกระแอมเสียงดัง
“อะฮึ่ม ฮึ่ม”
เดือนมองที่ป้อมและขำพอเข้าใจได้จึงขอตัว
“ดึกแล้ว ฉันกลับก่อนดีกว่าค่ะ เพื่อนๆ รอ”
“ยังเก็บนามบัตรฉันอยู่ใช่ไหม อย่าลืมนะถ้าสนใจก็ติดต่อมาแล้วกันฉันไปล่ะ” ชูเกียรติบอกแล้วเดินออกไปป้อมกับขำมองตาม
“นักปั้น แมวมองอะไรวะเดือน”
“นักปั้นดารา นักร้องน่ะ เขาให้นามบัตรฉันคราวก่อน”
“เรื่องแบบนี้ไม่เล่าได้ยังไงเนี่ย แล้วแกปล่อยเขาเดินไปอย่างนี้เนี่ยนะ เป็นฉันกระโดดเกาะขอเขาเป็นนางเอกละครไปแล้ว”
“แต่พี่ว่าเขาดูยังไงๆ อยู่นะ น่ากลัวพิลึก รวิรู้หรือเปล่าเนี่ย”
เดือนหน้าเศร้าเมื่อได้ยินชื่อรวิ
“เออฉันก็สงสัยอยู่ วันนี้รวิพลาดได้ยังไง ปกติต้องมาคุม โห พระเอกไม่มาช่วยนางเอกเลย ปล่อยให้อีตาประทีปแย่งคิวพระเอกไปซะนี่”
“เขาคงเบื่อจะช่วยฉันแล้วมั้ง หาแต่เรื่องให้ ใครจะไปดีเท่า...”
ป้อมเห็นหน้าเดือนแล้วรีบตัดบท
“ไป ไป พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่ ป่านนี้แม่ช้อยเป็นห่วงแย่แล้วเนี่ย”

ชูเกียรติเดินกลับมาหาพิมุกที่รถ
“โทษทีว่ะ พอดีเจอสาว เลยนานหน่อย”
พิมุกยืนพิงรถหน้าตูม
“อ๋อ ที่แท้ก็...ปั๊ดโธ่ เสียแรงรอ นึกว่าจะพาไปอวดสักหน่อยว่าเด็กฉันน่ะ แจ่มแค่ไหน ป่านนี้คงกลับไปละ”
“ไม่เป็นไร ไอ้ที่เมื่อกี้ฉันไปเจอมาก็...พอได้อยู่”
“อ้าว แล้วไหนไม่สอยกลับมาด้วยซะเลยล่ะ”
ชูเกียรติหัวเราะออกมา
“แกไม่รู้ซะแล้ว เร็วไปไก่มันจะตื่นเว้ย”
พิมุกหัวเราะออกมาอย่างชอบใจแล้วโอบไหล่ชูเกียรติเดินขึ้นรถ

เช้าวันรุ่งขึ้น รวิรู้สึกตัวโงหัวตื่นขึ้นมา มึนงง เห็นศิริพรเเต่งตัวเรียบร้อย แต่งหน้าอยู่
“นี่”
“ไหวมั้ย เดี๋ยวจะไปต้มอะไรมาให้กินนะ”
“นี่” รวิมองไปรอบๆ พยายามนึกทบทวน
“เธอเมามาก กลับบ้านไม่ไหว เเล้วก็...”
“เรา เรา เอ่อ คือ”
“บ้า สิ คิดมาก” ศิริพรหัวเราะร่วน รวิโล่งอก
“เหลวไหลจริงๆ เลย”
“รวิ ความจริงแล้ว เมื่อคืน เธอ เธอ” สีหน้าศิริพรเปลี่ยนเป็นซีเรียส รวิถึงกับตาโต
“จริงเหรอ พูดจริงเปล่า”
“โดนอำแล้ว ตกใจจริงอ่ะ” ศิริพรหัวเราะ
“อย่าเล่นแบบนี้สิ”
“ทำเป็นผู้หญิงไปได้ ฉันนี่สิ ต้องเป็นฝ่ายกังวล ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นจริง”
“คือ ถ้ามันเกิดขึ้น ก็อยากมีสติไง” รวิบอกเสียงจริงจัง ศิริพรนิ่งมอง
“พูดจริงป่ะเนี่ย” รวิเป็นฝ่ายหัวเราะออกมามั่ง
“เป็นไง โดนมั่ง”
“บ้าจริงๆ”
รวิโงนเงนลุกขึ้นจะไปห้องน้ำ เขาเสียหลัก ศิริพรประคองไว้ สองคนหน้านิ่งมองกันใกล้ๆ รวิอึกอักขอโทษ เดินจากไปเข้าห้องน้ำ ศิริพรมองตามอย่างแสนรัก
“ขอบคุณนะ ที่ไม่ไล่ออกไปนอนตากน้ำค้างน่ะ”
รวิตะโกนออกมาขณะล้างหน้า
“อือ”

ศิริพรพยักหน้าคนเดียว

รวิเดินลงมาจากบ้านศิริพร สตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ ศิริพรเดินมาส่ง ชาวบ้านเดินผ่านมาเห็นก็ทักแซว

“มีแขกแต่เช้าเชียวนะ”
รวิมองศิริพร แบบกลัวชาวบ้านเข้าใจผิด
“เขาแวะมาหาเมื่อเช้ามืดนี่เอง”
“ขอบคุณนะ” รวิสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์แต่ไม่ติด
“เมื่อเช้าหรือเมื่อคืน เครื่องมอไซค์เย็นจนสตาร์ทไม่ติดเนี่ย” ชาวบ้านพูดเเซวยิ้มๆ ศิริพรได้แต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร ชาวบ้านยิ้มหัวเราะสนิทสนมเดินจากไป รวิสตาร์ทมอเตอร์ไซค์จนติด ศิริพรมองตาม

ศิริพรนั่งอยู่ในบ้านเดือน ช้อยเดินเอาน้ำมาให้
“มาแต่เช้าเลยคุณศิริพร”
ศิริพรรับน้ำจากช้อย
“ฉันได้ข่าวว่าลูกน้องพิมุกมาที่นี่”
“ค่ะ เพราะคราวที่แล้วขอเขาเลื่อนมา คราวนี้เลยตามมาถึงบ้าน”
“มันไปกันใหญ่แล้ว แม่ช้อยก็รู้พวกนี้น่ะเอาเรื่องจะตาย” ช้อยหน้าเศร้า
“จะให้ทำยังไงล่ะคะ”
“ฉันว่า ลูกสาวแม่ช้อยน่าจะช่วยได้นะ”
ช้อยหน้าเศร้าหนักกว่าเดิม
“จะช่วยยังไงได้ล่ะ ฉันน่ะเป็นคนไม่อยากให้มันไปเต้นกินรำกิน ฉันจะไปเอาเงินจากมันมาได้ยังไง”
ศิริพรจับมือช้อยมาบีบเห็นใจ อย่างจริงใจมาก
“นั่นสินะ แต่เดือนเขาอาจจะช่วยพูดให้ได้นะแม่ช้อย ช่วงนี้เขาออกจะหวานใส่กัน พิมุกกับเดือนน่ะ”
ช้อยตาโตหน้าตาเป็นกังวล
“นังเดือนกับคุณพิมุก ที่เขาว่าคนตีกันแย่ง หางเครื่องที่งานวัดคืนนั้น”
“ใครตีกับใคร รวิกับพิมุกน่ะเหรอ คงเข้าใจผิดกันน่ะ ก็เห็นๆ อยู่คืนนั้นเดือนกลับกับพิมุก แล้วรวิก็กลับกับฉัน”
ศิริพรทำเป็นหัวเราะใส่แล้วยัดซองเงินที่พกมาใส่มือช้อย “ช่างเถอะแม่ช้อย เอาเป็นว่าฉันรู้ดีว่ารวิไม่ได้ไปแย่งลูกสาวแม่ช้อยกับใคร แต่เรื่องพิมุกน่ะ แม่ช้อยคงต้องไปถามลูกสาวเอาเอง แล้วนี่เก็บไว้นะ มีเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืน ฉันไม่คิดดอกไม่คิดอะไรทั้งนั้น”
“แม่ คุยกับใครอยู่น่ะ”
เดือนเดินลงมาจากบันได
“ฉันไปนะแม่ช้อย ออกมานานเดี๋ยวรวิจะถามหา”
“ใครมาน่ะแม่” ช้อยยืนอ้ำอึ้งมองตามหลังศิริพรไป เดือนเห็นช้อยถือซองเงินอยู่ในมือ เดือนมองตามสายตาช้อยไปเห็นหลังศิริพรไวๆ “ศิริพรเหรอแม่ มาทำไม แล้วแม่ถือซองอะไรน่ะ” ช้อยยังคงอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก เดือนคว้าจากมือช้อยไปเปิดดู “เงินนี่แม่ แม่รับเงินจากศิริพรเหรอ แล้วแม่เอาไปทำอะไร”

เดือนเดินไปถึงหน้าวิกลิเกก็เกิดอาการลังเล เปลี่ยนใจหันหลังกลับ รวิเดินออกมาเห็นเดือนพอดี
“เดือน”
เดือนชะงัก หันกลับมายื่นซองเงินให้ที่หน้ารวิ
“ฝากคืนให้แฟนพี่ด้วย”
รวิรับซองเงินมาแบบงงๆ
“ใครแฟนพี่”
“ก็ ศิริพรไง ฝากให้ศิริพรด้วยแล้วกัน ขอบใจนะฉันไปละ”
เดือนหันหลังก้าวเท้าฉับออกไป
“ศิริพรไม่ใช่แฟนฉัน แล้วที่เธอรีบกลับเนี่ยกลัวแฟนเธอจะว่าเหรอ”
เดือนหมุนตัวกลับทันที หน้าตาพร้อมน้อยใจรวิ
“แล้วใครกันแฟนฉันน่ะ”
“ก็พิมุกไง ฉันเห็นเธอกลับกับเขาคืนนั้น”
“พี่ก็กลับไปกับศิริพร”
เดือนพูดจบก็หันหลังตั้งท่าจะเดินกลับ รวิคว้าแขนเดือนไว้
“คุยกันหน่อยสิเดือน”

เทพยืนดื่มน้ำจากแก้วพลาสติกอยู่ข้างรถคนอื่นที่จอดอยู่ริมถนนหน้าร้านตึกแถว มีชาวบ้านเดินผ่านมาถามเวลาเทพ
“โทษครับ กี่โมงเเล้ว”
เทพคว่ำมือที่ถือแก้วอยู่เพื่อดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง น้ำอัดลมหกใส่ด้านข้างรถที่จอดอยู่
“อุ่ย คือ จะเที่ยงแล้ว”
ชาวบ้านพยักหน้า มองเทพที่ยิ้มเก้อๆ แล้วเดินจากไป เทพยังคงถือแก้วพลาสติกเปล่าๆ อยู่ เพราะน้ำหกเลอะด้านข้างรถที่จอดอยู่หมดแล้ว เทพล้วงเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้รถคันที่เขาทำน้ำหกใส่ ส่วนอีกมือก็ยังไม่ได้ทิ้งแก้วพลาสติก โรจน์เดินผ่านมา มองเทพ
“โรจน์”
เทพทักโรจน์ โรจน์มองเทพอย่างมองถากถาง
“เดี๋ยวนี้เอาดีทางนี้แล้วเหรอ”
เทพมองดูกิริยาที่ตัวเองทำอยู่ เช็ดรถด้วยผ้าข้างนึง อีกข้างถือแก้วพลาสติกเหมือนรอขอเงิน
“มันไม่ใช่อย่างที่เห็นนะ”
เจ้าของรถเดินมา เอาเงินหยอดให้ แล้วขับรถออกไป เทพยิ้มเงอะงะกับโรจน์ อย่างไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี
“วงดนตรีที่ทำอยู่คงไม่ค่อยรุ่งสินะ”
“ก็มีงานทุกคืนนะ ถ้าไม่ถูกใครบางคนแย่งนักร้องไป”
“ของแบบนี้ ใครมีเงินให้เขาก็ไปอยู่กะคนนั้น”
“เรียกอีกอย่างว่าแทงข้างหลังได้ป่ะ”
โรจน์ส่ายหน้าเอือมระอา
“โน่น รถมาอีกคันแล้ว ไปเช็ดรถไป๊”
โรจน์เดินเยาะเย้ยจากไป เทพเสียฟอร์มตะโกนตาม
“มันไม่ใช่อย่างที่เห็นนะเว๊ย รวยนะ นี่ ใส่ทองด้วย”
เทพดึงสร้อยคอออกมาอวดไล่หลัง คนเดินผ่านไปมา มองเทพเเบบหัวจรดเท้า เทพยิ้มเก้ๆ กังๆ มีเขาเสียงดังอยู่คนเดียว
“ไปเช็ดรถให้พี่หน่อยไป๊”
เทพอยากร้องไห้ พยายามอธิบาย
“ไม่ได้จน เป็นผู้จัดการวงดนตรีเว๊ย”

เทพมองแก้วพลาสติกกับผ้าเช็ดในมืออย่างท้อใจ

พิมุกนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงาน

“เฮ้ย ไอ้ที่เคยคุยกันล่ะว่ายังไง ก่อนจะส่งไปให้ใคร จัดมาทางนี้ก่อน อย่าลืม”
พิมุกกดวางสายโทรศัพท์หน้าตากระหยิ่ม

ที่วิกลิเก เดือนจ้องหน้ารวิ
“จะคุยอะไร อย่าเลย นี่ใกล้เวลาศิริพรจะมาส่งข้าวพี่แล้ว” รวิปล่อยแขนเดือน
“ฉันกับศิริพรเป็นเพื่อนกัน ฉันจะพูดครั้งนี้ครั้งสุดท้ายและจะไม่พูดอีกเธอจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ”
“ฉันกับพิมุกก็ไม่ได้มีอะไรกันแบบที่ชาวบ้านหรือพี่เข้าใจเหมือนกัน”
รวิกับเดือนหันหน้ามายิ้มให้กัน
“วิกซ่อมเสร็จแล้ว คืนนี้จะเล่นคืนแรก ฉันอยากให้เดือนมาดู”
“เรื่องคืนนั้น ที่ฉันกลับกับพิมุกน่ะ”
“ช่างมันเถอะ เราไปกินมื้อเที่ยงกันข้างนอกไหม หิวแล้ว ข้าวเช้าพี่ยังไม่ได้กินเลย” เดือนพยักหน้าแทนคำตอบ
“พยักหน้านี่คืออะไร จะมาดูหรือจะไปกิน” เดือนยิ้มกว้าง
“ก็ ทั้งสองอย่างสิ”
ชาวบ้านที่ผ่านไปเจอรวิอยู่กับศิริพรที่บ้านเดินผ่านมาแถวนั้นอีก
“บ๊ะ เป็นพระเอกยี่เกนี่มันดีจริง เช้าคน สายคน”
รวิยิ้ม เก้ๆ กังๆ กับเดือน
“ค้างไหนล่ะคืนนี้”
รวิยิ้มโบกมือไล่ชาวบ้านไป
“เอ่อ เดือน ยังไม่เปลี่ยนใจนะ”
เดือนฝืนยิ้ม ส่ายหน้า
“อยากรู้เรื่องต่อมากกว่า”
รวิได้แต่ยิ้มแหยๆ

ศิริพรถือถุงกับข้าวพะรุงพะรังมาเหมือนเคย มองไปรอบๆ วิกลิเกชักเอะใจเมื่อไม่เห็นมีใครอยู่ เด็กในคณะเดินออกมาจากด้านใน
“อ้าว พี่”
ศิริพรยิ้มทักทาย ยื่นถุงกับข้าวให้เด็ก
“ทำไมวันนี้เงียบจัง มากินข้าวกันเร็ว”
เด็กรับถุงกับข้าวไปแล้วก้มดู
“ขอบคุณมากพี่ โห เยอะเหมือนเคย เออ พี่รวิไม่อยู่นะพี่ ออกไปกินข้างนอกน่ะ” ศิริพรหน้าเสีย
“ไปซื้อของเหรอ”
“รู้สึกจะออกไปกับ พี่เดือนนะ เดี๋ยว ผมเอาเข้าไปใส่จานให้”
ศิริพรอึ้งไป ยืนนิ่งอยู่กับที่

เทพเดินเลาะมาตามฟุตบาทริมถนน ข้างหน้าเขามีคนแก่ถือไม้ห้อยขายพวงมาลัยอยู่ริมถนน มอเตอร์ไซค์แล่นผ่านมาเฉี่ยวคนแก่ล้ม พวงมาลัยหล่นกระจาย มอเตอร์ไซค์ไม่เหลียวมองขับผ่านไป
“เฮ้ยๆๆ แหม น้ำใจงามจริงๆ พ่อคุณ” เทพประชดไล่หลังมอเตอร์ไซค์ แล้วประคองคนขายมาลัย “เป็นไงมั่ง”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” คนขายจะเก็บพวงมาลัยงกๆ เงิ่นๆ
“เดี๋ยวเก็บให้ ยายไปนั่งหลบร่มก่อนไป”
คนขายพวงมาลัยเดินไปนั่งในเงาร่มไม่ไกลนัก เทพเก็บมาลัยใส่ไม้สิบกว่าพวง เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นเหงื่อตก
ซับเหงืออยู่ริมถนน นภากาศเดินผ่านมา
“พี่เทพ”
“นภา”
นภากาศพิจารณาสภาพเทพอย่างน่าสงสาร
“เป็นเพราะหนูใช่มั้ย”
เทพงงกับคำพูดนภากาศ แล้วเขาก็มองสภาพตัวเอง นึกได้ มองมาลัยในมือ
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ นภาย้ายวงได้ ไม่แปลก ไม่แปลก อย่าคิดมาก”
“แต่ถ้ายังอยู่กะพี่ พี่ก็คงไม่...”
“ไม่ใช่ พี่รวย พี่ยังมีตังค์อยู่” นภากาศพยักหน้า สมเพช เข้าใจว่าเทพอายเลยแก้ตัว “ไม่นะ ไม่จริงๆ มีตังค์ เดี๋ยวเอาสร้อยให้ดูเลย” เทพจะแกะกระดุมเสื้อ
“ไม่ต้องหรอกพี่ เดี๋ยวอะไรอะไร มันก็ดีขึ้นนะ ชีวิต”
“เฮ้ย คือ...”
“ขอตัวก่อนนะ”
“แต่...พี่ทำงานอยู่จริงๆ”
เทพพยายามจะอธิบายแต่มีรถบีบแตรเรียกเทพ
“น้องๆ มาลัยพวง”
“ครับพี่ เฮ้ย ไม่ใช่ คือ”
“พี่ไปทำงานของพี่เหอะ”
นภากาศเดินจากไปแล้ว เจ้าของมาลัยเพิ่งเดินมา
“ตั้งนานไม่ลุกเดินมา อยากจะบ้า”
“มันยอก ลุกไม่ไหว”

เทพได้แต่พยักหน้า

อ่านต่อหน้า 2

หางเครื่อง ตอนที่ 3 (ต่อ)

เดือนกับรวิมานั่งกินข้าวที่ร้านอาหาร รวิควักสตางค์จ่ายค่าข้าว

“อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบด้วย” เดือนบอก รวิหันไปยิ้มให้เดือน
“เรื่องเมื่อคืนมันเป็นอย่างที่เล่าให้ฟังจริงๆ นะ”
เดือนนิ่งมองชั่งใจ แล้วก็พยักหน้า
“อันที่จริง ไม่ต้องเล่าให้ฟังก็ได้”
“จะได้สบายใจไง”
“รึไม่ก็ จะได้ไม่มีพิรุธ” รวิอึ้ง เดือนยิ้ม “ ล้อเล่น”
รวิโล่งอก
“แล้วเดี๋ยวจะเข้าไปที่วงเลยเหรอ” เดือนพยักหน้า
“คุณโรจน์เรียกประชุมน่ะ ไม่รู้จะพูดเรื่องเมื่อคืนหรือเปล่า”
“เมื่อคืน ทำไมเหรอ”
“ไม่มีอะไรมากหรอก แต่เมื่อคืนฉันแอบนึกถึงพี่รวิด้วยนะ ตอนที่เจ้าตัวเขาแอบไปเมาอยู่บ้านผู้หญิงอื่นน่ะ”
รวิกับเดือนยิ้มให้กัน
“แล้วบอกเคลียร์ คืนนี้อย่าลืมนะเดือน มาให้ได้ล่ะ ขากลับพี่ไปส่งเอง”
“แน่นอน เจอกันคืนนี้นะ”
รวิกับเดือนเดินแยกย้ายคนละทาง ต่างคนต่างยิ้มให้กัน แบบมีเรื่องค้างคาอยู่ในใจ

แก้วผลักประตูออฟฟิศวงดนตรีเข้ามาหน้าตาไม่ดี ลิ้นจี่เดินออกมาจากห้องหนึ่งดักหน้าแก้ว
“มาซะเร็วเลยนะ กลัวโดนด่าเหรอ”
แก้วฝืนยิ้มทักนภากาศที่อยู่ในห้องด้วย
“สวัสดีจ๊ะ น้า” นภากาศชำเลืองมอง
“เอากองไว้ตรงนั้นแหละ”
ขำเดินมาประชิดตัวแก้วแล้วพูดข้างหู
“ฉันรู้นะ ว่าเป็นแกน่ะ”
แก้วผงะถอยหลังห่างลิ้นจี่โบกไม้โบกมืออย่างร้อนตัว
“หนูอะไรพี่ หนูเปล่านะ ไม่ได้ไปทำอะไรมาเลย”
ขำกอดอกมองแก้วอย่างรู้ทัน
“เขาพูดกันให้แซ่ด ว่าแกเป็นคนเอาโทรศัพท์เดือนไปทิ้งส้วม” ขำมองไปทางนภากาศ แก้วตาโต ดื้อตาใส
“บ้า”
“ฉันตกข่าว”
“ฉันไม่ได้จะว่าอะไรแกหรอก แกคิดเหรอว่าคนอย่างฉันดูแกไม่ออกน่ะ” ขำเดินจากไป แก้วพูดกับลิ้นจี่
“ฉันถูกใส่ร้าย เดือนทำไมเป็นคนแบบเนี๊ยะ”

ลิ้นจี่ หัวเราะใส่หน้าแก้ว
“แกนี่มันครึ่งๆ กลางๆ นะจะโง่ก็ไม่โง่ แต่ก็ไม่รอบคอบ คราวหลังคิดจะทำอะไรมาปรึกษาฉันได้นะ ถ้าเมื่อคืนมีฉันร่วมด้วย รับรองแกเกิดแน่”
ลิ้นจี่พูดจบก็เดินไป แก้วกรอกตาไปมาแล้ววิ่งตามลิ้นจี่ไป
“พี่ลิ้นจี่ เดี๋ยวสิพี่ รอฉันด้วย พี่จะช่วยฉันเหรอ”
“ให้ทาย”

ทุกคนนั่งอยู่ในห้องพร้อมหน้า โรจน์กับประทีปหน้าเครียด
“เห็นประทีปบอกเมื่อคืนมีเรื่อง”
ทุกคนก้มหน้านิ่ง ลิ้นจี่มองไปรอบๆ แล้วหยุดอยู่ที่เดือน
“อยากรู้เรื่องอะไรก็ถามแม่ดาวประจำวงคุณดูสิ”
เดือนหน้าซีด ก้มหน้าตอบโรจน์ปากคอสั่น
“เดือนขอโทษค่ะที่ทำให้ทุกคนวุ่นวาย”
“เชอะ ทำท่าสำนึกผิดมาแล้วกี่เรื่อง ฉันก็เห็นมีเรื่องใหม่มาได้ทุกวัน”
ประทีปอดไม่ได้แทรกขึ้น
“จะไปโทษเดือนซะทีเดียวก็ไม่ถูก ตอนฉันไปเจอประตูห้องน้ำมันถูกล็อคจากด้านนอก”
แก้วแอบสะดุ้งก้มหน้าไม่สบตาใคร
“แล้วใครใช้ให้โง่ไปเข้าห้องน้ำที่มันเสียล่ะ”
ประทีปขมวดคิ้วหันไปทางลิ้นจี่
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าห้องน้ำที่ฉันไปเจอมันติดว่าเสียล่ะ”
ลิ้นจี่หน้าถอดสี นึกอะไรไม่ทันเลยโบ้ยไปที่แก้ว
“แก้วไง นังแก้วมันก็ไปเข้าตรงนั้น มันกลับมาเล่า”
แก้วสะดุ้งเฮือก หน้าซีดเหงื่อแตก
“อ้าวพี่ ไหงโยนมาหนูล่ะ หนูเป็นผู้ถูกกระทำนะ หนูถูกใส่ร้าย”
“ใครใส่ร้ายอะไรแก”
“ก็ เดือน หาว่าหนูเป็นคนเอาโทรศัพท์เขาไปทิ้งส้วม”
เดือนอ้าปากค้าง
“ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย”
“อ้าว ก็ขำบอกคนพูดกันให้แซ่ด” ขำหัวเราะ
“ร้อนตัว ไม่มีใครเขาพูดอะไรเลย แกพูดออกมาเอง”
“เเล้วเราทำรึเปล่า” โรจน์ถาม แก้วร้องไห้น่าหมั่นไส้
“เอาเหอะ อยากคิดยังไงก็คิดกันไป คิดเลยสิ คิดเลย ว่าหนูเป็นคนเอาโทรศัพท์ไปทิ้ง คิดเลยสิ ว่าหนูเป็นคน
ขังเดือนไว้ในห้องน้ำ คิดเข้าไปสิ ว่าหนูเป็นคนเอาป้ายไปแปะไม่ให้คนเข้าไป หนูคงทำเรื่องราวเหล่านั้น แล้วก็เอามาโพทะนาบอกคนอื่นแบบนี้หรอกนะ”
โรจน์รำคาญโบกมือให้หยุดทั้งหมด
“แก้วพูดก็มีเหตุผล ใครจะบ้าเอาเรื่องที่ตัวเองทำมาโพทะนาเป็นฉากๆ แบบนี้” เดือนบอก
“แหม มันเขี้ยว ไม่รู้จะตบใครดี อีนี่ก็ซื่อซะ อีนั่นก็ฉลาดเป็นกรด” ป้อมบอกอย่างหมั่นไส้
“พอ พอ จะใครทำก็แล้วแต่ พวกแกอย่าคิดว่าฉันโง่ ถ้าจะแกล้งกันไปหาวิธีอย่างอื่น ที่ไม่ทำให้งานฉันเดือดร้อน”
“แล้วคุณโรจน์จะไม่หาตัวคนที่คิดทำอะไรชั่วๆ แบบนี้เหรอคะ”
“ฉันบอกแล้วไง ใครจะฆ่ากันตายก็ช่างอย่าให้งานฉันเดือดร้อนเป็นพอ” ลิ้นจี่กับแก้วสบตากันโดยบังเอิญ ประทีปแอบส่ายหน้าเล็กน้อยมองไปที่เดือนอย่างเห็นใจ โรจน์ทำท่าจะเดินออกไปแต่แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“ที่เรียกมาจะย้ำแค่นี้แหละ อ้อ...แก้ว เดี๋ยวก่อนกลับแวะหาฉันที่ห้องด้วย”
ลิ้นจี่หันขวับจ้องโรจน์เขม็งนึกสงสัยว่าเรียกแก้วเรื่องอะไร เดือนนั่งกัดปากก้มหน้านิ่ง

ป้อมกับขำเดินออกมานอกห้องหน้าตาหงุดหงิด
“ฉันไม่เข้าใจเลย มันหาความยุติธรรมไม่ได้ที่นี่จริงๆ”
“แกจะบ่นทำไมวะ ยังไงก็ต้องทำงานอยู่กับเขาต่อไป”
เดือนยังคงนิ่งเงียบ ป้อมหันมองเดือนอย่างเห็นใจ
“ระวังตัวหน่อยแล้วกัน พี่ว่ามีครั้งแรกต้องมีครั้งต่อไป”
“หนูยังงงอยู่เลยพี่ ว่าหนูไปทำอะไรให้ใครเขาเมื่อไหร่”
“นังนางเอกละครเอ๊ย ก็ไอ้คนที่มันอยากเด่น อยากดัง อยากได้ตังค์แทนแกไงเล่า”
เดือนขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
“นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะเป็นใครไปได้ พี่ลิ้นจี่ก็ไม่น่าใช่ แก้วก็เพื่อนเห็นกันมาแต่เด็ก กลุ้มใจจัง ฉันไม่อยากมีเรื่องบ่อยๆ ถ้าคุณโรจน์ไม่พอใจฉันก็อดจะขึ้นเป็นนักร้องสิพี่”
ป้อมกับขำมองหน้ากันเองอย่างหงุดหงิด

“รึว่า อาจจะเป็นนภา อิจฉาเดือน เลยจูงจมูกทุกคน”

เดือนได้ฟังก็นิ่งคิด ถอนใจอย่างกลัวๆ

“เออๆ เอาเถอะ ไม่รู้ก็ไม่รู้ ไม่ต้องคิดแล้ว ใสซื่อจริงๆ เลย”
“พี่ว่าใคร แก้วหรือนภา”
ป้อมคิดไม่ออกเหมือนกัน
“ไม่รู้ แล้วนี่จะกลับบ้านเลยหรือจะไปไหนเนี่ย”
เดือนฝืนยิ้มออกมา
“ตอนนี้ว่างน่ะพี่ อีกทีเลยก็คืนนี้จะไปดูพี่รวิเล่นลิเก ไปด้วยกันไหม”
“ไปสิ ฉันไม่ติดอะไรนะ พี่ล่ะ”
“ไปก็ไปกันหมดสิ ไม่ได้ไปดูด้วยกันมาตั้งนานแล้ว พวกพี่คงไม่ได้ไปเป็นก้างหนูนะ” เดือนยิ้มอายๆ
“ไม่หรอกพี่ ฉันกับพี่รวิไม่ได้เป็นอะไรกันนี่ อ้าว แก้วกำลังจะไปหาคุณโรจน์เหรอ”
แก้วเดินเข้ามาหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้
“ใช่ คุยอะไรกันอยู่เหรอ”
“คุยหาวิธีวางยาฆ่าไอ้หมาลอบกัดเดือนเมื่อคืนน่ะสิ”
แก้วชะงักหน้าเจื่อนไป
“ขำเขาล้อเล่นน่ะ คุยกันว่าคืนนี้จะไปดูรวิที่พี่วิกน่ะ สนใจไหม”
ป้อมทนไม่ไหวพูดแทรกขึ้นมา
“เดือน พี่ปวดห้องน้ำน่ะ ไม่รู้เป็นอะไรอยากอึ้ ขึ้นมาซะงั้น ไปเป็นเพื่อนกันหน่อยสิ พี่กลัวผีน่ะ ผีเดี๋ยวนี้โผล่ได้ตลอดเวลา”
ขำกึ่งกระชากกึ่งดึงแขนเดือนตามป้อมออกไปทันที แก้วมองตามอย่างโมโห

โรจน์กับประทีปนั่งอยู่ในห้องแต่คนละมุม
“ตอนแรกฉันนึกว่าจะจัดนังเดือน แต่เห็นความแรงเมื่อคืนแล้ว ท่าทางจะคุยไม่ยาก”
ประทีปแอบถอนหายใจ
“แล้วคุณพิมุกจะไม่โกรธเอาเหรอ”
“ไอ้พิมุกน่ะเหรอ รอบนี้มีใบสั่งมาเลยแหละ บอกอยากจะลองของก่อนส่งต่อให้คนอื่น ก็ดีเหมือนกันเก็บนังเดือนไว้ก่อน ไว้ให้มันอยากเป็นนักร้องจัดๆ เวลาเรียกใช้งานพิเศษจะได้ว่าง่ายๆ หน่อย ไม่เล่นตัวเยอะ” แก้วผลักประตูเข้ามา โรจน์กับประทีปหันไปพร้อมกัน “มาพอดี นั่งนี่เลยจำได้ไหมที่ฉันเคยคุยกับเธอคราวก่อนเรื่องงานพิเศษน่ะ”

เทพเดินหวั่นๆ มาตามทางมองซ้ายมองขวาแบบเกรงๆ เขาเห็นผู้หญิง รองเท้าติดร่องตะแกรงท่อ ดึงไม่ออก
“คุณ คุณ ช่วยหน่อยได้มั้ยคะ”
เทพทำหน้าอยากร้องไห้
“อย่าเลยครับ เดี๋ยวมีใครมาเห็นอีก”
“คนไม่มีน้ำใจ”
เทพเลี้ยวมุมตึกเดินมาได้อีกสองก้าวก็มีผู้ชายเดินโซเซเหงื่อแตกพลั่กโผเข้ามากอดเขา เพื่อไม่ให้ตัวเองล้ม
“ผม ผมโดนตัวอะไรต่อยมาไม่รู้ ผมแพ้ ช่วยดูดพิษออกให้หน่อย”
ผู้ชายเลิกเสื้อขึ้นใต้ราวนม
“ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ ครับ หาหมอเหอะ”
เทพจับผู้ชายยืนตรงแล้วกลั้นใจเดินจากไปพยายามไม่มอง
“ขอให้โดนต่อเสือต่อยมั่ง”
“ไม่ ไม่ ใจเเข็งไว้ เทพ”
เทพเดินต่อไปได้อีกสี่ห้าก้าว เด็กผู้ชายเดินร้องไห้ผ่านมา
“แงๆ หนูหลงกะ แม่ พาหาแม่ที”
เทพอึดอัดใจ พยายามต่อสู้กับตัวเอง
“ไม่ ไม่”
“แม่ แม่ ฮือ ฮือ แม่”
เทพเดินผ่านมาแล้ว แต่เด็กยังร้องอยู่
“อย่า เทพ อย่า”
“แม่ อ่ะ แม่”
เทพอดไม่ได้ เดินเลี้ยวกับไปอุ้มเด็กทันที
“อย่าร้องนะลูก อย่าร้อง”
รวิเดินผ่านมาพอดี
“พี่เทพ”
“นั่นไง”
“มาทำอะไรแถวนี้”
“ตามหาแม่ ฮือ ฮือ ฮือ” เด็กอยู่ในอ้อมแขนเทพที่อุ้มอยู่ร้องหาแม่
“เมียทิ้งเหรอพี่”
“ยังไม่ได้แต่งงาน”
“แม่เขาทิ้งหนู ฮือ ฮือ” เด็กบอก
“ไม่ได้จดทะเบียนสมรสใช่มั้ย คนทำกันเยอะพี่”
“ไม่ใช่ คือ”
“ฮือ ฮือ แม่เขาทิ้งเราไปแล้วอ่ะ พ่อ”
“ใครพ่อเอ็ง”
“เมียมีชู้เหรอพี่ ลูกชู้ด้วย” รวิเห็นใจ สงสาร ตบบ่าเทพ
“ฮือ ฮือ โฮ” เด็กยังร้องไห้
“ไม่ใช๊” เทพพยายามปฏิเสธ แต่เด็กยังร้องไห้ไม่หยุด
“โฮโฮ โฮ”
“ขยี้ใหญ่เลย ไอ้นี่ก็”
หญิงคนที่รองเท้าติดตะแกรงเมื่อกี๊วิ่งมา
“แม่อยู่นี่ลูก”
“แม่ โฮ” เด็กโผกอดแม่
“ไอ้คนไม่มีน้ำใจ แล้วยังจะขโมยเด็กอีก”
“เรื่องอะไรกันพี่เทพ พี่ไม่ใช่คนแบบนี้เนี่ย”
“เอาเหอะ” เทพปลง
“พ่อไปไหนอ่ะแม่”
“พ่อเอ็งโดนต่อเสือต่อย” ผู้ชายโผเผเข้ามา
“ลูกพ่อ”
“นั่นไง”
ครอบครัวกอดกันเดินจากไป รวิหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา
“ผมก็ไม่มีมากนักหรอกนะ”
“พี่มีตังค์ รวยด้วย ไม่เดือดร้อน”
“แล้วทำไมพี่ถึงจะขโมยเด็ก”
“อย่าให้พี่อธิบายเลย นี่เรายังทำลิเกอยู่เปล่าเนี่ย”
“ทำครับ”
“หน่วยก้านดีนะ ถ้าอยากเป็นนักร้องลูกทุ่งเมื่อไหร่ คิดถึงพี่คนแรกนะ” เทพยืนนามบัตรให้
“จับไมค์ร้องเพลงคนอื่นมันไม่ถนัด เอาว่า ถ้าเล่นดนตรียังพอไหว”
“เอาสิ เล่นอะไรได้อ่ะเรา”
“แซ๊กครับ แต่ยังไม่เอาหรอก ไว้ถ้าลิเกมันไม่ไหวจริงๆ แล้วจะคิดถึงพี่นะ”
เทพพยักหน้า ร่ำลากัน รวิเดินจากไป
“จะมีอะไรอีกมั้ยเนี่ย กู”

เทพส่ายหน้าเดินไปอย่างระวังตัวแจ

เดือน ป้อม และขำเดินดูของในตลาดนัดอย่างเพลิดเพลิน ขำหยิบเสื้อขึ้นมาตัวหนึ่งแซวเดือน

“ซื้อเปลี่ยนเลยไหม คืนนี้จะได้สวยๆ ไง”
“จะบ้าเหรอ ไม่ต้องถึงขนาดนั้น”
เสียงโทรศัพท์ขำดังขึ้น ขำหยิบออกมาจากกระเป๋ากดรับสาย
“อ้าว ว่าไง เอ้อ เออ เดี๋ยวนะ”
ขำยกมือป้องปากคุยโทรศัพท์แล้วเดินเบี่ยงออกไปอีกทาง ป้อมกับเดือนมองตามไปขำๆ ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งขำเดินกลับมา
“พี่ป้อม เดือน พอดีฉันมีธุระด่วนต้องทำน่ะ เดี๋ยวคืนนี้เจอกันที่วิกรวิเลยก็ได้นะ ไปละ ด่วนน่ะ”
“อ้าว ไปดื้อๆ อย่างนี้เลยเหรอ แล้วเราสองคนล่ะจะเอาไงกันต่อ”
“แยกย้ายกันก่อนไหม พี่จะได้เข้าบ้านอาบน้ำ แล้วเดี๋ยวคืนนี้ค่อยไปเจอพร้อมขำมันที่วิกเลย”
“เอางั้นเหรอ ตามใจพี่ละกัน งั้นฉันไปหาพี่รวิเลยดีกว่า”
ป้อมทำหน้าแซวเดือนยิ้มๆ
“เอาเลย ไปเลย อยากทำอะไรทำเลยน้อง”
เดือนยิ้มอายๆ

แก้วนั่งก้มหน้าอยู่ที่โซฟาในห้องๆ หนึ่ง มีมือหนึ่งมาจับหน้าแก้วเงยขึ้นเจ้าของมือนั้นก็คือพิมุก
“หน้าตาก็ใช้ได้ รูปร่างก็ดี” แก้วประหม่าหลบตาพิมุก พิมุกหันไปลากเก้าอี้มานั่งข้างหน้าแก้ว แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ก่อนมานี่ โรจน์มันบอกอะไรมาบ้างล่ะ”
“บอกว่าให้มาหาคุณพิมุก มีงานพิเศษให้ทำ เอ้อ...ถ้าคุณพิมุกพอใจก็อาจจะได้รางวัลพิเศษด้วย”
พิมุกหัวเราะเสียงดังอย่างพอใจ
“แล้วเธอรู้ไหมว่าจะทำยังไงให้ฉันพอใจ”
แก้วหันหน้ามาจ้องตากับพิมุกแล้วก้มลงกระซิบที่ข้างหู
“แก้วไม่แน่ใจค่ะ คุณพิมุกจะให้แก้วลองไหมล่ะคะ”
พิมุกถึงขั้นกลืนน้ำลาย ยกมือขึ้นลูบแขนแก้ว
“อยากจะลองเลยตอนนี้ไหมล่ะ”
แก้วโน้มตัวพิมุกเข้าหาตัวเอง

บนเวทีลิเก รวิยืนหันหลังตรวจดูความเรียบร้อยของฉากอยู่ เดือนแกล้งโผล่หน้าเข้าไปด้านหลังรวิกะให้ตกใจ
“พี่รวิ”
“มาเร็วดีจริง”
รวิตอบโดยไม่หันมามอง เดือนทำหน้าผิดหวัง
“ว้า ไม่ตกใจเลยเหรอ”
รวิหันมายิ้มให้เดือน
“ไม่นะ หรืออยากให้ตกใจต้องแอบย่องมาใหม่ จะตกใจให้” เดือนทำหน้างอนๆ
“ลืมไปว่าพี่รวิเป็นคนจิตแข็ง ไม่น่าเล่นด้วยเลย”
“ไม่เล่นแล้ว ตรงนี้ก็เรียบร้อยละ ไปแต่งตัวดีกว่า ไปไหม”
เดือนพยักหน้าเหมือนเด็กๆ ห่างไปไม่ไกลศิริพรยืนดูรวิกับเดือนหยอกล้อกัน

ที่พิมุกท่อนบนเปลือยเปล่ากำลังรูดซิปกางเกงตัวเอง พิมุกก้มลงหยิบชุดเสื้อผ้าของแก้วที่พื้นส่งให้ แก้วรับชุดตัวเองมาคลุมตัวเองไว้เฉยๆ
“คุณพิมุกจะให้แก้วกลับเลยเหรอคะ”
พิมุกกำลังติดกระดุมเสื้อชะงักเดินกลับเข้าไปนั่งข้างๆ แก้ว
“ทำไม ติดใจฉันเหรอ”
แก้วกอดแขนพิมุกไว้แล้วเอาหน้าคลอเคลีย
“แล้วคุณพิมุกล่ะคะ จะเรียกแก้วมาอีกรึเปล่า”
พิมุกปรายตามองแก้ว
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะเป็นเด็กดีแค่ไหนน่ะสิ ถ้าไม่อะไรมากคราวหน้าก็มาอีกได้ แต่งตัวได้แล้ว”
พิมุกลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย แก้วทำหน้าเหวี่ยงๆ หยิบชุดตัวเองมาใส่
“จะรีบไปดูลิเกกับเดือนคืนนี้เหรอคะ”
พิมุกชะงักหันกลับหาแก้วทันที
“เธอว่าอะไรนะ ลิเกไอ้รวิน่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิคะ วิกเขาน่ะซ่อมเสร็จแล้วเขาจะเล่นคืนนี้ เดือนยังชวนแก้วไปด้วยอยู่เลย”
“เดือนมันกลับไปคุยกับรวิแล้วเหรอ”
“คงงั้นมั้งคะ ท่าทางจะสวีทหวานกันกว่าเดิมด้วย”
พิมุกหงุดหงิดขึ้นมาทันที หันไปตวาดแก้ว
“แต่งตัวจะเสร็จหรือยังเนี่ย ฉันมีธุระต้องรีบไปละ” พิมุกล้วงเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงปึ๊งนึงแล้วโยนให้แก้วที่โซฟา “ฉันไม่รอละ อ่ะค่าตอบแทน แล้วไม่ต้องเที่ยวไปพูดกับใครล่ะว่านอนกับฉัน”
พิมุกพูดจบก็ผลุนผลันออกจากห้องไป แก้วหยิบเงินขึ้นมาแล้วมองตามพิมุกไปแบบโกรธๆ

ที่ตลาด กิมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ
“เชื่อเหอะ สุดท้ายเดี๋ยวมันก็ต้องเอาตัวเข้าแลก โถๆๆ น่าสงสาร”
ช้อยเก็บของอยู่ รู้ว่ากิมแขวะตน
“แกว่าใคร”
“ก็ว่าลูกสาวใครล่ะ ที่ทำตัวแบบนั้น นี่ข้าไม่ได้ว่านะ ไม่ได้เจาะจงใครด้วย”
“แกจะว่าอะไรข้าก็ว่าไปนะ แต่อย่ามาว่าลูกสาวข้า”
“ไม่ได้ว่า แต่ว่าเชื้อมันจะทิ้งแถวเหรอ ผัวแกก็ไปกะวงดนตรี เดี๋ยวลูกแกก็อีกคน”
“เออ ข้าไม่ยอมให้ลูกเป็นอย่างข้าหรอก”
แก้วเดินหน้าง้ำเข้ามาอย่างอารมณ์ไม่ดี
“เป็นไงมั่ง ลูกแม่ แม่เด็กดี แม่ศรีเรือน” กิมชำเลืองมองช้อย “นี่แว่วว่า ทำเนียบกำลังสั่งทำโล่เยาวชนดีเด่นให้ลูกอยู่นะเนี่ย”
แก้วนั่งแต่งหน้า เติมหน้าเติมตาอยู่ ไม่ช่วยกิมเก็บข้าวเก็บของแต่อย่างไร

“นังเดือนนะนังเดือน ทำตัวให้คนอื่นเขามาว่าแม่อยู่ได้”
 

รวิกำลังนั่งแต่งหน้าอยู่หลังเวที เดือนนั่งจ้องตาแป๋ว

“เบื่อรึเปล่า ไปเดินไหนก่อนไหม ค่อยกลับมาตอนพี่ป้อมกับขำมาแล้วก็ได้”
“ไม่เห็นเบื่อเลย ไม่ได้เห็นมาตั้งหลายวันแล้วนี่”
“อะแฮ่ม” ศิริพรเดินมาด้านหลัง เดือนกับรวิแทบจะหันไปพร้อมกัน “ดูสวีทหวานกันจังเลยนะ ดีกันแล้วเหรอ”
รวิเริ่มกังวลหน้าไม่ดี
“อ้าว ศิริพร ได้เจอพอดีเลย พี่รวิเงินที่ฉันฝากคืนให้ศิริพรน่ะอยู่ไหน”
รวิหันไปหยิบซองเงินออกมาจากกระเป๋ายื่นให้ศิริพร
“เมื่อเช้าเดือนฝากมาให้น่ะ นึกว่าเที่ยงจะเจอกัน”
ศิริพรรับซองเงินไว้แล้วฝืนยิ้มแปร่ง ๆ
“ฉันก็เข้ามาเหมือนเดิมแหละ รวิน่ะที่ไม่อยู่”
“อ๋อใช่ เมื่อกลางวันชวนเดือนเขาออกไปกินข้างนอก”
“ขอบใจมากนะที่เอาเงินไปให้แม่ฉันน่ะ แต่ฉันก็พอมีอยู่บ้าง คงไม่ต้องรบกวน”
ศิริพรหน้าเจื่อนไป
“แหม ฉันก็นับถือป้าช้อยเป็นผู้ใหญ่คนนึง เห็นแกเดือดร้อน”
“ฉันเป็นลูก มันเป็นหน้าที่ของฉัน ยังไงก็ต้องขอบใจเธอ อ้อ เธอสองคนมีอะไรจะคุยกันหรือเปล่า ฉันออกไปข้างนอกได้นะ”
เดือนทำท่าจะลุก รวิคว้าแขนดึงไว้
“ไม่ต้องหรอกเดือน อยู่นี่แหละพี่ป้อมก็ยังไม่มาไม่ใช่เหรอ อีกเดี๋ยวฉันก็เล่นละ”
รวิหยิบสร้อยจะมาใส่ ศิริพรรีบขยับเสนอตัว
“มาเดี๋ยวฉันใส่ให้”
เดือนอยู่ใกล้กว่าคว้าสร้อยจากมือรวิมาทันที
“ไม่เป็นไร เดือนอยู่ใกล้กว่า พี่รวิหันหลังมาสิ”
รวิหันหลังให้เดือนสวมสร้อยให้ ศิริพรหน้าเก้อไป
“เอ้อ ฉันว่าเดี๋ยวฉันลงไปหาที่นั่งข้างล่างดีกว่า ไปก่อนนะ”
เดือนกับรวิหันไปยิ้มให้ศิริพรพร้อมกัน ศิริพรเดินออกไปแบบหน้าชา

พิมุกเดินนำหน้าลูกน้องพุ่งมาที่วิกลิเกของรวิ
“คราวก่อนด่าว่าลอบกัด คราวนี้เล่นมันซึ่งๆ หน้าอย่างนี้แหละ ไปเว้ย จัดการ”
ลูกน้องพิมุกเดินอาดๆ ไปทางเวที
ศิริพรยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างเวทีคิดว่าจะเอายังไงดี พอเธอเห็นเดือนเดินมา ศิริพรทำเป็นหันหลังหยิบโทรศัพท์มาพูดคนเดียว
“รวิเขามาค้างที่บ้านเฉยๆ.ไม่ได้มีอะไรกัน จะให้ทำยังไง คนเขาลำบากมา ไม่มีที่ไป ทำไงได้ รวิก็คนรู้จักกัน เขามาค้าง ก็ต้องให้เขาค้าง ในห้องนอน” ศิริพรหันมาเจอเดือนที่จำเป็นต้องยืนฟังอยู่เพราะศิริพรตั้งใจเดินวนขวางไปมาแกล้งไม่เห็น “อุ๊ย...เดือน”
เดือนยิ้ม พยักหน้า
“ขอทางหน่อยสิ”
“คือ เอ่อ...เรื่องเมื่อคืน รวิ เขา”
ศิริพรมองโทรศัพท์ตัวเอง แบบไม่ได้ตั้งใจพูดให้เดือนได้ยิน
“พี่รวิเข้าเล่าให้ฟังเเล้ว ศิริพรเป็นคนดีจังเลย”
“เดือนรู้เรื่องอยู่แล้ว”
“อือ เรื่องส่วนตัวเขา ไม่ยุ่งหรอก”
“เราเข้าใจกันนะ”
“เข้าใจสิ”
เดือนยิ้มแล้วเดินจากไป ศิริพรมองตาม รู้สึกว่ายกนี้ เธอตกเป็นรอง

เดือนที่เดินยิ้มเข้ามาแล้วสีหน้าเครียดขึ้น เมื่ออยู่ลับหลังศิริพร เธอเองก็เก็บอาการอยู่เหมือนกัน เดือนเดินมานั่งติดกับป้อมและขำส่งเสียเชียร์ตบมือกันเสียงดัง บนเวทีเห็นรวิกำลังรำออกมา พ่อยกแม่ยกส่งเสียเชียร์กระหน่ำ
เวลาผ่านไปมีเด็กวิ่งมาสะกิดขำที่ด้านหลัง ขำพยักหน้าแล้วลุกเดินออกไปทันที ป้อมกับเดือนมองหน้ากันอย่างสงสัยว่าขำออกไปไหน

ที่แผงขายหนังสือมือสองแบกะดิน อยู่ไม่ไกลจากวิกลิเกนัก โรจน์หยิบหนังสือปกนักร้องลูกทุ่งเล่มเดียวกับเทพอย่างไม่เจตนา ทั้งคู่มองหน้ากัน เพิ่งเห็นกัน
“รู้สึกเหมือนเราจะแย่งนักร้องกันอีกแล้วนะ”
“เล่มนี้เห็นก่อน”
“ชั้นหยิบก่อน”
“อย่าหน้าไม่อาย”
“ใครกันหน้าไม่อาย” เทพยิ้มสุภาพ
“ปล่อย” โรจน์บอกแต่มือยังดึงหนังสือกันอยู่
“ถ้าไม่ปล่อยล่ะ”
ทั้งคู่ออกเเรงจับหนังสือลูกทุ่งเสียงทองเล่มเดียวกันอยู่ สบตากันอย่างไม่ยอม
“อยากมีเรื่อง”
“รักษาสิทธิ์มากกว่า”
คนขายมีสีหน้าหวั่นๆ ว่ามันจะลงเอยยังไง ไอ้คู่นี้คงตีกันรึเปล่า

โรจน์กะเทพจ้องตากันไม่กระพริบ

อ่านต่อหน้า 3

หางเครื่อง ตอนที่ 3 (ต่อ)

เทพกับโรจน์ยีงจ้องหน้ากัน โรจน์ดุๆ แต่เทพยิ้มละไมยักคิ้วให้ ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเดินผ่านทั้งสอง

“สงสัยวันนี้มีตีกันแน่ๆ”
“นั่นดิ กลับดีกว่า พวกนักมวยมาทำไมกันที่วิกยี่เก”
“ไม่อยากโดนลูกหลงว่ะ”
ชาวบ้านเดินผ่านไป โรจน์พึมพัม
“พวกนักมวย พิมุก” โรจน์พึมพำ
“เอาไงดี จะตีกันแข่งกะเขามั้ย”
โรจน์มองหนังสือปกลูกทุ่งในมือของเขากับเทพ แล้วโรจน์ก็ปล่อยมือ
“เราต้องได้เจอกันอีกแน่”
“เอ้า...แหงสิ โลกมันกลม ไม่รู้เหรอ ท่าทางเรียนน้อยนะเราเนี่ย” โรจน์มอหน้าเทพอย่างเคืองๆ แล้วก็เดินจากไป เทพยิ้มพูดคนเดียว “ทางโน้นจะมีตีกัน เรามันคนจริง ชิ่งไปทางนี้ดีกว่า”
เทพเดินเผ่นแน่บจากไปอีกทางนึง

พิมุกเดินนำหน้าลูกน้อง 4-5 คนเข้ามาที่วิกลิเก ขำและกลุ่มกระเทยร่างใหญ่ 5-6 คนรีบวิ่งออกมาดัก
พิมุกและพวกชะงัก
“อ้าว คุณพิมุก แหมจะขนกันมาดูก็ไม่บอก จะได้เตรียมที่นั่งไว้ให้สบายๆ”
“หลบไป อย่ามาเกะกะ”
ขำรีบเบี่ยงตัวมาบังพิมุก
“คุณพิมุกอุตส่าห์มาทั้งที รวิมันไม่ว่างมาต้อนรับคิดซะว่าส่งเพื่อนมาดูแลแทนก็แล้วกันนะคร้าบ”
พิมุกรำคาญเอามือปัดขำออกไปอย่างแรง
“ไป ฉันไม่ชอบยุ่งกับพวกแก”
กลุ่มกะเทยร่างใหญ่ออกมายืนข้างขำ
“พวกกะเทย หางเครื่องบางเสร่”
“ยินดีที่ได้รู้จักฮ่ะ”
“เมียแกคนไหน” บ่างกระซิบกับเตี้ย เตี้ยมองหน้าเรียงตัวกะเทยเหี้ยมมาก
“เอาเหอะ ขอตัวว่ะ”
“จะหลบไม่หลบ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวหลบไปเดี๋ยวนี้เลย”
“ถ้าหลบให้ คุณพิมุกจะเข้าไปนั่งดูแบบคนดูคนอื่นๆ ไหมล่ะครับ”
พิมุกจ้องหน้าขำแบบพร้อมมีเรื่อง
“แล้วถ้าไม่ล่ะ จะมีปัญหาอะไรไหม”
พิมุกพูดจบลูกน้องก็เดินเข้ามาขนาบข้าง กลุ่มกระเทยขยับตัวขึ้นมาข้างขำ
“อะไรกัน ทำไมทำท่าทางดูน่ากลัวกันขนาดนี้”
พิมุกกำหมัดทำท่าจะเหวี่ยงกำปั้นไปที่ขำ กลุ่มกระเทยออกมารับแทน ลูกน้องพิมุกกับพวกกลุ่มขำฟัดกันนัวเนียหน้าวิกลิเก

ป้อมกับเดือนนั่งดูลิเกกันอย่างเพลิดเพลิน เดือนมองไปที่นั่งขำว่างเปล่าก็เอะใจ
“พี่ป้อม ฉันว่าขำหายไปนานเกินละนะ”
“ไม่ต้องห่วงมันหรอก ฉันส่งลูกน้องไปดูแลมันแล้ว” เดือนชะเง้อมอง “อย่างขำมันคงไม่โดนใครล็อกขังไว้ในห้องน้ำหรอกน่ะ”
หน้าตาเดือนไม่สบายใจ
“ตรงทางเข้าด้านข้างมีคนต่อยกันอยู่น่ะ ฉันเลยรีบวิ่งมาหวิดโดนลูกหลงซะแล้ว”
เสียงดังมาจากคนดูด้านหลังป้อมและเดือน ป้อมกับเดือนหันมองหน้ากันแล้วลุกโดยไม่ได้นัดหมาย

ด้านหลังวิกลิเก กลุ่มพิมุกกับขำกำลังฟัดกันนัวเนีย ป้อมกับเดือนวิ่งมาถึงก็ช่วยกันตะโกนเสียงดัง ป้อมควักนกหวีดจากกระเป๋ากางเกงออกมาเป่า
“ตำรวจจ๋า ตำรวจ ทางนี้เลยจ้า ทางนี้จ้า”
พวกพิมุกชะงักทันที หันมองหน้ากัน
“เฮ้ย ตำรวจมา” พิมุกมองไปรอบๆ ไม่เห็นตำรวจมา นอกจากเดือนที่ตะโกนอยู่ “โกหก” ลูกน้องที่มาด้วยกันมองหน้ากันเองว่าจะเอาไงดี “ไม่ต้องกลัว เอามัน” แล้วก็ตีกันต่อ

บนเวทีลิเก รวิกำลังร่ายรำลิเกอยู่ เพชรวิบวับ แล้วก็มีลูกน้องเดินมากระซิบ รวิตาโตตกใจ แล้วก็ร่ายรำหลบไปด้านข้างเวที
รวิในชุดลิเกวิ่งมาด้านหลังพยายามให้เลิกตีกัน
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
“พี่รวิ ลงมางี้ เเล้วใครจะเล่น”
รวิทำอะไรไม่ถูก
“พิมุก มีอะไรไว้ให้เล่นเสร็จก่อนได้มั้ย คนดูเขาไม่รู้อะไรด้วย”
“ที่มานี่ ก็เพราะต้องการแบบเนี๊ยะแหละ”
“เอางี้ พี่อยู่ทางนี้ บนเวที เดือนเอง”
เดือนวิ่งขึ้นเวทีลิเกไปจากทางด้านหลัง

คนดูที่นั่งอยู่ เริ่มบ่นพึมพัมเมื่อเห็นบนเวทีว่างเปล่า มีเพียงเสียงระนาดเสียงกลอง ที่ตีพึมพัม เป็นจังหวะแผ่วลง เดือนวิ่งออกมาด้านหน้าเวที ลากเก้าอี้มาปีน คว้าไมค์ลิเกที่ห้อยลงมาจากขื่อ
“ใจเย็นๆ นะคะ อย่าเพิ่งกลับ วันนี้ เพื่อเป็นเกียรติเเด่คนดูทุกท่าน” เดือนเช็ดเหงื่อพยายามยิ้ม “ทางเรามีบทเพลงมาฝากเป็นของขวัญกันค่ะ” เดือนหันไปพยักหน้ากับระนาดกลอง ที่อยู่ด้านข้าง เดือนเริ่มร้องเพลง “สิ่งที่ฉันคิด สิ่งที่ฉันหวัง สิ่งที่ฉันเฝ้ารอ หรือสิ่งที่ฉันพอใจจะต้องเป็นจริงได้ แต่ไฉน ใครๆ เห็น เป็นภาพลวงตา” ระนาด กลอง ฉิ่งฉาบรับตามอย่างเข้าคีย์สนุกสนาน “ดนตรี นั้นคือชีวิต จังหวะคอยลิขิตให้ชีวิตก้าวไป แสงสี ที่สวยสดใส น้อมนำจิตใจ”
คนดูที่ทำท่าเหมือนจะลุกเดินออกไป เปลี่ยนใจ นั่งฟัง นั่งดูเดือนทั้งร้องทั้งเต้น หวังดึงคนดูให้อยู่เต็มที่ แล้วเธอก็ทำสำเร็จ คนดู เริ่มทยอยกันเข้ามานั่งมากขึ้นกว่าเดิม
“...ให้ชีวิตก้าวไป”

ด้านหลังวิกลิเกยังซัดกันนัว เมื่อตำรวจมาถึง ตำรวจเป่านกหวีดปรี๊ดๆ พอพิมุกที่ฟัดกะรวิอยู่เห็นตำรวจ จึงวิ่งเพ่นหนีไปทันที
“ลูกพี่ไปแล้วจะอยู่รอตำรวจทำไมวะ ไปเร็ว”
ขำและเพื่อนกระเทยมองตามเหนื่อยหอบ ป้อมรีบวิ่งเข้ามา
“ขำ ไปมีเรื่องกับเขาทำไมวะ”
“เรื่องมันยาวน่ะพี่ ก็ถ้าฉันไม่ดักทางนี้โรงลิเกรวิมันก็คงโดนถอนอีกแน่ ๆ”
“เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าขำ”
ขำก้มลงดูที่ข้อศอกตัวเองเห็นเลือดออกแล้วร้องโอดครวญเข่าอ่อน
“โอย เลือด เลือด เลือดออกที่ข้อศอก โอย จะเป็นลม”
“เออ เฮ้ย ช่วยพยุงมันหน่อย มันกลัวเลือด”
เพื่อนกระเทยขำเข้าช่วยพยุงขำเดินออกไป
“อย่าล่วงเกินของสงวนกันนะ”

รวิเเว่วเสียงเดือนที่ร้องใกล้จะจบเพลงแล้ว เขารีบกลับขึ้นไปทางด้านหน้าทันที

เดือนร้องเพลงใกล้จบ เต้นกระจาย คนดูปรบมือชอบใจ รวิยืนมองอยู่ด้านข้างตรงฉากลิเก เดือนสบตารวิ แอบยิ้มให้ เดือนร้องจนจบเพลง ระนาดกลางรัวเมามัน คนดูปรบมือชอบใจ

พิมุกกลับมาถึงก็กระแทกตัวลงที่เก้าอี้อย่างโมโห
“โธ่เอ๊ยเป็นอย่างนี้ไปได้ไงวะ ไอ้ขำนะไอ้ขำไม่ปล่อยแกไว้แน่” พิมุกรู้สึกเหมือนมีเงาวูบวาบผ่านไป คล้ายนินจา “ใคร” ศิริพรปรากฏตัวเดินเข้ามา พิมุกเหลือบไปมองแล้วทำหน้าไม่สบอารมณ์ “เข้ามาได้ไง”
“คนกันเอง พูดจากันดีๆ ก็ได้”
“จะมาเอาเรื่องฉันที่เข้าไปวิกไอ้รวิอ่ะสิ ขอเตือนนะเวลานี้ไม่เหมาะ ฉันยังไม่อยากทำร้ายผู้หญิง”
“แล้วถ้าฉันจะมาเรื่องที่เคยคุยค้างกันเอาไว้ล่ะ จะว่ายังไง”
พิมุกมองศิริพรแล้วขมวดคิ้วนึก...
ภาพเหตุการณ์ในอดีต ศิริพรมองหน้าพิมุกอย่างรังเกียจ
“อย่ามองฉันอย่างนั้นเลย ฉันว่าจริง ๆ แล้วเธอก็ไม่น่าจะต่างกับฉันเท่าไหร่นะ เคยได้ยินมะ ผีน่ะมันมักเห็นผีด้วยกัน”
“ฉันแค่จะมาขอเธอ เรื่องรวิ ยังไงก็เบาๆ หน่อยละกัน เห็นแก่ที่เรารู้จักกันมานาน ฉันไม่ค่อยชอบเห็นเขามีแผลบ่อยๆ”
พิมุกหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ท่าจะเป็นเอามาก โอเคๆ อยากรู้จริงเว้ย ไอ้ลิเกนั่นมันมีอะไรดี กลับไปคิดเอาละกัน จะร่วมมือกันเมื่อไหร่ก็ พร้อมเสมอ”
พิมุกเริ่มยิ้มออกเมื่อจำได้
“ฉันรู้มานานละว่าหน้าตาอย่างเธอน่ะ ไม่โง่”
ศิริพรกอดอกมองพิมุกด้วยหางตา

ลิเกเลิกแล้ว ขำเอามือกุมแผลที่ปากตัวเอง
“โอ๊ย พี่ป้อมเบาๆ สิ เจ็บนะ”
ป้อมกระแทกสำลีทิ้งลงถังขยะ
“ถ้าฉันมือแรง แกก็ส่องกระจกทาเองไปละกัน”
เดือนเดินเข้ามาหยิบสำลีชุบยา
“พี่ป้อม เดี๋ยวฉันทำให้เอง ขำอุตส่าห์เจ็บตัวเพื่อพี่”
“นั่นสิ ขอบใจมากนะขำ เลยต้องเจ็บตัวเพราะฉัน”
“เออ ก็ว่าสงสัยตั้งแต่แรกละ รู้ได้ยังไงว่าพวกพิมุกมันจะมาน่ะ”
ขำกับรวิมองหน้ากัน
“อย่างไอ้พิมุกน่ะมันไม่ปล่อยให้ฉันได้หากินแบบสบายๆ หรอก ฉันเลยไปไหว้วานให้ป้อมพาสมัครพรรคพวกมาช่วยกันๆ ไว้น่ะ แล้วมันก็มาจริงๆ เสียด้วย”
“แล้วจะยังไงล่ะ ต่อไปต้องมานั่งคอยระแวดระวังกันก็แย่นะ” รวิหน้าม่อยลง
“คงไม่ต้องระวังกันนานเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะรวิ”
“ฉันกำลังคิดอะไรบางอย่างน่ะ พักหลังคนดูลิเกก็น้อยลงแล้วด้วย”
เดือนตกใจตาโต
“พี่คิดจะยุบวิกเหรอ”
“ยังไม่รู้หรอกเดือน ป่ะ ค่ำแล้วกลับเถอะเดี๋ยวฉันขี่รถไปส่งนะ” เดือนพยักหน้า
“ไปกันพี่ป้อม เดี๋ยวน้องไปส่งเอง”
ป้อมกับขำควงแขนกันเดินออกไปล้อเลียนรวิกับเดือน รวิกับเดือนมองตามขำ ๆ

เดือนกับรวิเดินมาด้วยกัน มือทั้งสองคนชนกันเบาๆ เดือนสะดุ้งเล็กน้อยมองหน้ารวิเขินๆ แล้วหดมือกลับ
รวิกับเดือนเดินมาถึงมอเตอร์ไซค์ เดือนขึ้นไปนั่งซ้อน รวิจับมือเดือนไปโอบเอวแล้วกุมไว้ เดือนทำหน้าเขินๆ
“จับไม่ได้เหรอ”
“ปกติพี่ ทำแบบนี้กับศิริพรด้วยรึเปล่า”
รวิหันมามองหน้าเดือน
“ฉันบอกไปแล้วนะว่าฉันกับศิริพรเป็นเพื่อนกัน”
“แล้ว ฉันกับพี่ล่ะ เป็นอะไรกัน”
“ก็...”
เสียงหมาสองตัวเห่าใส่กันดังอยู่ข้างหน้า รวิกับเดือนมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา
“ไปเถอะพี่ ค่ำแล้ว”
รวิยิ้มสตาร์ทรถขี่ออกไปอย่างมีความสุข

“ปัญหามากมายพาใจเหนื่อยล้า...”
ภาพในฝัน เดือนในชุดนักร้องสวยงามนั่งอยู่หน้ากระจกมีช่างผม ช่างแต่งหน้ารายล้อม เด็กในวงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“นี่ๆ คุณเดือนจะเสร็จหรือยังเนี่ย แฟนๆ มารอกันเต็มลานแล้ว”
“จะเสร็จแล้ว แหม...จะเจอนักร้องดังก็ต้องอดทนกันบ้างสิ พวกนี้”
เดือนหันไปยิ้มหวานให้เด็ก แต่แฟนเพลงบุกเข้ามาที่ห้องแต่งตัว บอดี้การ์ดรีบวิ่งไปคุ้มกัน เดือนลุกขึ้นโบกมือยิ้มให้แฟนๆ แฟนเพลงส่งเสียงกรี๊ดดังสนั่นยื่นกระดาษให้เดือนเซ็น เดือนรับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ศิริพรแหวกฝูงชนเข้ามาแล้วชี้หน้าด่าเดือน
“นังเดือนเลิกฝันได้แล้ว ความจริงแกมันก็แค่หางเครื่องตกกระป๋อง แกแย่งรวิไปจากฉัน เอา...รวิ...ของ...ฉัน...คืน....มา”
เดือนทำหน้าตกใจสุดชีวิต
“เปล่านะ ฉันไม่ได้เป็นหางเครื่องตกกระป๋อง ฉันคือ “เดือน งามพร้อม” นักร้องชื่อดัง ฉันไม่ได้แย่งพี่รวิ”
“ตื่นซะทีเถอะนังเดือน แกมันแค่ลูกแม่ค้าจะไต่ยังไงก็ได้แค่นั้น”
แฟนเพลงรอบตัวเดือนรุมชี้หน้าเดือนตามศิริพร

“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ฝัน ไม่ใช่ฝัน”

เดือนขยี้ขมับตัวเอง แกะยาแก้ปวดหัวออกมากินเม็ดหนึ่งแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะ

“ปวดหัวจังแม่”
ช้อยวางจานข้าวที่โต๊ะ
“อ้าว แล้วไม่กินข้าว กินปลาก่อนค่อยกินยาล่ะ”
“ไม่ทันแล้วแม่ กลืนลงคอไปละ เดี๋ยวหายไม่ทันน่ะ คุณโรจน์เขาเรียกฉันเข้าไปที่วงวันนี้สายๆ น่ะ”
ช้อยชะงักหันมองเดือนแบบไม่สบายใจ
“ฉันไม่อยากจะพูดแล้วนะ แกแน่ใจเหรอว่าเขาจะให้แกเป็นนักร้องจริงๆ น่ะ”
“ที่นี่ไม่ให้เป็น ก็ไปที่อื่น ยังไงฉันก็จะต้องทำให้ชีวิตแม่กับฉันดีกว่านี้”
ช้อยเดินเข้ามาใกล้เดือน
“ถ้ามันจะดีขึ้นแต่แกต้องเสี่ยง ฉันก็ไม่อยากดีนะ”
เดือนโอบเอวช้อย
“ฉันรู้ว่าแม่เป็นห่วง แม่เชื่อฉันนะ เดือนคนนี้ทำได้แน่นอน”

ช่วงสายที่วิกลิเกของรวิ ศิริพรเดินเข้าไปหารวิ รวิเห็นศิริพรก็ชะงัก
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”
“มาแต่วันเลยนะ”
“ก็มาตามปกติ แค่เร็วกว่าเดิม”
รวิหันซ้ายขวามองรอบๆ ศิริพรมองตาม
“ทำไมล่ะ หรือว่ากลัวใครมาเห็นแล้วจะเข้าใจผิด”
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ได้ข่าวว่าวันนั้นได้เปิดวิกอีกรอบแล้วนี่ เสียดายจังไม่ได้มาดู เป็นยังไงบ้างล่ะ”
“งั้นๆ น่ะ แต่คนไม่เยอะเท่าแต่ก่อน ท่าทางต่อไปคงเหนื่อยหน่อย”
“ของฉันก็เงียบพอกัน แต่พรุ่งนี้ที่ศาลเจ้าจะมีงาน 3 คืนติดกัน รวิว่างหรือเปล่า ชวนเดือนไปดูสิ” รวิพยักหน้า ศิริพรลุกขึ้น “ฉันว่า วันนี้ฉันกลับก่อนดีกว่า”
“อ้าว ทำไมกลับเร็วล่ะ”
ศิริพรยิ้มมุมปาก
“ฉันไม่อยากให้รวิลำบากใจ ไปนะ”
ศิริพรหันหลังนิ่งคิดชวนให้ดูน่าสงสัย ว่าเธอคิดอะไรอยู่

เดือนผลักประตูห้องทำงานโรจน์เข้าไปแล้วยกมือไหว้โรจน์ โรจน์นั่งรอที่โต๊ะทำงานอยู่ก่อนแล้ว
“นั่งก่อนสิ เดี๋ยวรอประทีปแป๊บนึง ฉันมีงานจะให้ทำนิดนึงนะ”
เดือนเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาตามที่โรจน์บอก ประทีปเดินเข้ามายื่นซองน้ำตาลให้เดือน
“ฝากเอาซองนี้ไปให้พิมุกที”
เดือนงงรับซองจากประทีปแล้วก้มลงมองในซอง
“เงิน แล้วทำไมต้องให้เดือนเอาไปให้”
“คุณพิมุกเขาบอกว่าต้องเป็นเดือนที่เป็นคนเอาไปน่ะ”
“อย่างที่เราเคยคุยกันเอาไว้ไง มันไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายกับเธอตรงไหน เด็กฉันก็มีตั้งเยอะดันมาถูกใจเธอ มันน่าดีใจเสียอีก”
เดือนลุกขึ้นยืนเริ่มไม่พอใจ
“ชาวบ้านเขาเริ่มพูดกันนะคะ แล้วนี่ตกลงคุณโรจน์จะให้เดือนร้องเพลงได้เมื่อไหร่ เดือนมาสมัครเป็นนักร้องไม่ใช่หางเครื่อง”
โรจน์ลุกขึ้นยืนตาม
“ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหม ว่าให้ว่าง่ายๆ แล้วเธอก็จะได้ในสิ่งที่เธอต้องการ”
“เดือนก็ทำตามที่คุณโรจน์บอกทุกอย่าง คุณโรจน์บอกเดือนสิคะว่าเมื่อไหร่”
โรจน์เริ่มโมโหลุกมาที่เดือน ประทีปเห็นท่าไม่ดีเดินไปจับแขนโรจน์ไว้
“นอกจากที่เธอต้องทำตามที่ฉันบอกแล้ว เธอก็ไม่ควรมาทำเสียงแข็งใส่ฉันแบบนี้ด้วย”
“เดือน เอาเงินไปให้พิมุกเถอะ เรื่องร้องเพลงน่ะ ไว้ค่อยคุยกัน”
เดือนมองซองเงินในมือแล้วหันหลังเดินไปที่ประตูอย่างฝืนใจ แก้วผลักประตูเข้ามาพอดี
“เดือน คุณโรจน์ก็เรียกแกเข้ามาเหมือนกันเหรอ”
เดือนถอนหายใจพยักหน้าแล้วเดินออกไป
“ใช่ แต่กำลังจะไปเนี่ย”
แก้วมองเดือนงงๆ แต่ไม่ใส่ใจ โรจน์เห็นแก้วมาก็กวักมือเรียก
“เออ มาได้เวลาพอดี”
แก้วยิ้มร่าเดินเข้าไปนั่งในห้อง
 

ขณะที่เดือนกำลังจะก้าวออกจากออฟฟิศ ประทีปวิ่งตามหลังออกมาเรียกไว้
“เดือน”
เดือนหันกลับมาหน้าตาเศร้าสร้อย
“คุณประทีปมีอะไรจะใช้เดือนเพิ่มไหมคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันจะบอกว่า ฉันเห็นใจเธอนะ เอาไว้โรจน์อารมณ์ดีๆ ฉันจะหาโอกาสคุยให้ แต่ฉันขอเลยนะไปเสียงแข็งใส่โรจน์น่ะไม่ใช่วิธีที่ถูก”
เดือนน้ำตาคลอ
“เดือนว่าเดือนอาจจะลองไปสมัครที่วงอื่นดูนะคะคุณประทีป แดนเซอร์มันไม่ใช่สิ่งที่เดือนอยากทำมาตั้งแต่ต้นแล้ว”
ประทีปถอนหายใจออกมา
“ให้ฉันลองคุยดูก่อนละกัน เดือนก็อย่าเพิ่งใจร้อน แล้วเดี๋ยวไปเจอพิมุกก็ระวังตัวหน่อยนะ อย่าเผลอไปขึ้นเสียงใส่เขา เราไปคนเดียวมันอันตรายอยู่”
“ค่ะ เดือนไปนะคะ”

เดือนหันหลังเดินไป ประทีปมองตามห่วงๆ หวงๆ

ประทีปเดินกลับเข้ามานั่งในห้อง

“จริงๆ ถ้าจะให้เดือนลองขึ้นร้องดูสักครั้งก็ไม่น่าเป็นอะไร”
ประทีปบอก โรจน์ถลึงตาใส่ประทีป
“แกจะบ้าเหรอ ไอ้พิมุกมันได้เล่นงานพวกเราตาย มันย้ำนักย้ำหนาเรื่องนี้ทำตามที่มันบอกเป็นพอน่ะ บอกให้ส่งไปให้ ก็ส่ง”
แก้วหูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อพิมุก
“อะไรนะคะ คุณโรจน์อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้นี่คือ นังเดือนมันกำลังไปหาคุณพิมุก”
โรจน์และประทีปหันขวับไปที่แก้ว
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“ก็วันนี้เธอต้องไปที่อื่นไง ประทีปพาไปซะทีไป เสียเวลา”
“แต่แก้วไปหาคุณพิมุกได้นี่คะ ไม่เห็นต้องให้เดือนไปเลย”
โรจน์เริ่มประสาทเสีย
“พอ พอ เขาไม่ได้เรียกหาเธอ เข้าใจไหม โอ๊ย ปวดประสาท คนนึงอาละวาดไม่อยากไป อีกคนดันร้องจะไป ให้มันได้อย่างนี้สิวะ ไปได้แล้วไป”
ประทีปเดินนำแก้วไปที่ประตู แก้วกระฟัดกระเฟียดแต่จำใจต้องทำตาม

เทพนั่งกินกาแฟอยู่ที่ร้านกาแฟข้างทาง เขาดูดจนหมด แล้วก็วางเงินเอาไว้ เดินออกมาจากร้าน ชนกับเดือนที่เดินเซ็งๆ มา
“อุ้ย ขอโทษที”
“ค่ะ ไม่เป็นไร”
เทพก้มเก็บซองที่เขาชนทำหล่นจกมือเดือน เทพเห็นที่หน้าซอง เขียนว่า ค่ายมวยพิมุก
“น้องเป็นนักมวยเหรอ” เดือนยิ้มขำ
“พี่เอาอะไรคิด หุ่นหนูเนี่ยนะ เป็นนักมวย” เดือนรับซองคืนมา
“ก็เห็นหน้าซอง”
“ผู้จัดการเขาให้เอาไปให้คุณพิมุก หนูเป็นนักร้อง”
“พูดเป็นเล่น”
“ทำไม หุ่นหนูน่าเป็นนักมวยรึไง”
“เปล่าๆ นี่ ถ้าอยากเป็นนักร้อง วันหลัง ลองไปเทสท์ที่วงพี่ดูดิ” เทพให้นามบัตร
“ไม่เอา ไม่เอา มุกจีบหญิงป่ะเนี่ย”
“พี่ทำวงจริงๆ”
“ร้องเพลงอะไร ทำไมหนูไม่เคยเห็น”
“พี่เป็นผู้ตัดการวง ไม่ใช่นักร้อง”
“มาฟอร์มรุ่นใหญ่ เอาเหอะ เอาเหอะ แล้วจะเชื่อ” หน้าตาเดือนไม่เชื่ออย่างที่พูด
“คือ พี่ มีฐานะจริงนะ”
“ฐานะยากจน”
เทพอ่อนใจที่จะอธิบาน แต่ก็ถูกชะตาเดือน
“ถ้าเราเป็นตัวจริง คงได้ทำงานด้วยกันสักวัน”
เดือนยิ้ม ส่ายหน้า
“หนูต่างหาก ที่ต้องพูดว่า ถ้าพี่เป็นตัวจริงเราคงได้ทำงานด้วยกันสักวัน”
“คม” เดือนยักคิ้ว จะเดินจากไป “น้องจะไปค่ายมวยพิมุกจริงเหรอ” เดือนพยักหน้า “ระวังตัวด้วยนะ โลกของเสียงเพลง มันสวยงาม แต่ก็มีอันตราย”
“ขอบคุณค่ะ”
เดือนเดินจากไป เทพมองตาม เขาหยิบกระจกมาส่องหน้าตาตัวเอง

“ไม่มีราศีเลยเหรอเนี่ย เรา”

อ่านต่อหน้า 4

หางเครื่อง ตอนที่ 3 (ต่อ)

พิมุกคุมลูกน้องในค่ายอยู่ด้านนอก เดือนเดินเข้ามาก็ยื่นซองน้ำตาลให้พิมุก

“อ่ะ คุณโรจน์ให้เอามาให้” พิมุกมองหน้าเดือนยียวนรับซองไปแบบจับมือเดือนไปด้วย เดือนชักมือกลับทันที”หน้าที่ฉันเสร็จสมบูรณ์แล้วนะ ฉันกลับล่ะ”
พิมุกคว้าแขนเดือนแล้วดึงเข้าหาตัว เดือนโผตามแรงดึงพิมุก
“คิดว่าพี่จะให้น้องเดือนกลับง่ายๆ เหรอจ๊ะ”
เดือนสะบัดตัวออกมาอย่างแรง
“อย่าทำอย่างนี้เลยพี่ วันก่อนพี่เพิ่งส่งลูกน้องไปอาละวาดแม่ฉันที่บ้าน ไม่เห็นต้องทำกันขนาดนี้”
“โถ โกรธพี่เรื่องนั้นนั่นเอง พี่ไม่ได้สั่งนะจ๊ะ ไหนๆ ลูกน้องพี่คนไหน มันไปของมันเองโดยพลการ ให้พี่เรียกมาลงโทษให้น้องเดือนดูเลยไหม ไอ้บ่าง ไอ้เตี้ย เอ็งสองคนรึเปล่า”
บ่าง เตี้ย มองหน้ากันสองคน อยากเอาใจนาย
“ใช่จ่ะ ฉันเองก็ได้”
“ใครใช้ เตี้ยสั่งสอน”
เตี้ยต่อยบ่างทันที
“พี่เขาไม่ได้ใช้ เสือกไม่เข้าท่า”
“เป็นไง เดือน พอใจมั้ย”
“เอ่อ คือ ไอ้เตี้ยมันก็ไปด้วยครับนาย”
“อ้าว”
บ่างยิ้ม กำหมัด กะว่าได้สั่งสอนเพื่อนคืนเเน่ๆ
“งั้นเหรอ ไม่ได้สั่งแล้วไปทำไม”
“คือ”
บ่างยิ้ม ง้างหมัดรอ
“ใช่ครับนาย”
“เเล้วเอ็งเป็นเพื่อน ทำไมไม่เตือนมัน เตี้ย สั่งสอน”
บ่างหน้าเหวอ เตี้ยได้ต่อยหน้าเพื่อนฟรีๆ อีกที
“พอมั้ยจ๊ะ เดือน”
เดือนระอาในความโง่ของพิมุก
“พอค่ะ ไม่ต้องแล้ว ฉันจะกลับละ”
“แหม เดี๋ยวนี้ดุจังนะจ๊ะ เข้าไปนั่งในห้องเย็นๆ ก่อนดีกว่า เผื่อจะได้ใจเย็นขึ้น” พิมุกทำท่าจะคว้าแขนเดือนอีกรอบ เดือนเบี่ยงตัวหลบทัน พิมุกเริ่มหน้าเปลี่ยนสีไม่พอใจ “เล่นตัวนักนะ เห็นฉันยอมเลยเอาใหญ่ ตกลงจำไม่ได้แล้วใช่ไหมว่าใครจะทำให้เธอเป็นนักร้องได้สมใจ”
เดือนมองหน้าพิมุกนิ่งๆ แล้วหันหลังเดินกลับออกไป พิมุกโกรธหันไประบายอารมณ์กับกระสอบทรายด้านหลัง เตี้ยกับบ่าง ได้แต่เงียบ กลัวโดนลูกหลง
“เอ็งสองคนรู้ใช่มั้ย ว่าต้องทำยังไง”

ที่ตลาด บ่างกับเตี้ยเดินเบ่งเก็บเงินทีละแผงตามเคย ช้อยชะโงกหน้าเห็นก็ก้มลงควักเงินออกมาเตรียมไว้ให้
ลูกน้องพิมุกเดินถึงแผงช้อย
“ไงแม่ช้อย งวดนี้ต้องให้ถึงขั้นพังแผงอีกไหมเนี่ย”
ช้อยรีบเอาเงินส่งให้
“นี่จ้ะ ไม่ต้องแล้วจ้ะพ่อคู้ณดุกันเหลือเกิน เอาไปเลยจ้ะเตรียมไว้ให้แล้ว”
ลูกน้องพิมุกรับไปนับดู
“เยี่ยมมากแม่ช้อย น่าให้ชาวบ้านเอาเป็นเยี่ยงอย่างจริงๆ งวดหน้าให้มันได้อย่างนี้นะ”
ลูกน้องพิมุกเดินออกไป ช้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ กิมส่งเสียงแขวะมาจากแผงตรงข้าม
“เออ เว้ย ท่าทางช่วงนี้ลูกสาวจะรุ่งขึ้นหม้อ สงสัยไอ้ข่าวลือทั้งหลายแหล่ท่าจะจริง”
ช้อยชักทนไม่ไหวตะโกนกลับไปบ้าง
“หุบปากไปเลยนังกิม ฉันชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ”
“ทนอะไรไม่ไหววะ ข้าเอ่ยชื่อใครหรือยัง”
“ไม่ต้องเอ่ยชื่อข้าก็รู้เอ็งหมายถึงนังเดือน ไอ้เรื่องลูกข้าน่ะเอ็งไม่ต้องห่วงหรอก ไปห่วงเอาลูกตัวเองเถอะ เห็นเดินตามลูกข้าต้อยๆ ไปสมัครเต้น อย่างน้อยนังเดือนมันก็เป็นดาวของวง ลูกเอ็งล่ะเป็นอะไรวะ ทำมาเป็นอิจฉา ถุย”
กิมถลกผ้าถุงยืนชี้หน้าช้อยจากแผงตัวเอง
“นังช้อย เอ็งด่าลูกข้าใช่ไหม”
“ใช่ แล้วยังไงวะ แน่จริงข้ามมานี่สิ เดี๋ยวนี้นังเดือนมันดังพรรคพวกมันเยอะแยะ ข้าจะไหว้วานใครมาช่วยกันรุมคนให้สมใจ คงมีคนอาสาบ้างล่ะวะ”
กิมโกรธจัดได้แต่เต้นเหยงๆ อยู่บนแผงตัวเอง

“นังช้อย คอยดูนะรอนังแก้วก่อนเถอะ ฮึ่ม”

เดือนนั่งซึมกุมหัวแบบคิดไม่ตกอยู่คนเดียวร้านกาแฟข้างทาง ศิริพรเดินผ่านเห็นเดือนนั่งอยู่คนเดียวก็ได้เดินตรงเข้าไปหา

“อ้าวเดือน บังเอิญจังเลยทำไมมานั่งอยู่คนเดียวล่ะ” เดือนเห็นศิริพรเดินเข้ามาก็ทำท่าจะลุกหนี “จะไปไหนล่ะเดือน นั่งคุยกันก่อนสิ”
“ฉันไม่รู้จะคุยอะไรน่ะ”
“เดือนคงยังไม่หายเคืองฉันเรื่องแม่ช้อยน่ะ ฉันหวังดีจริงๆ นะ ส่วนเรื่อง...”
“ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรแล้วล่ะ เรื่องแม่น่ะฉันกลับต้องขอบใจซะอีกที่เธอหวังดี”
เดือนลุกขึ้นควักสตางค์ทำท่าจะกลับ
“อ้าวจะไปแล้วเหรอ นึกว่าจะนั่งกินเป็นเพื่อนกันซะอีก”
“โทษทีนะ พอดีนัดพวกพี่ป้อมกับพี่รวิไว้น่ะ ไว้คราวหน้าละกัน”
เดือนเดินไป ศิริพรมองตามหลังเดือนแล้วแอบยิ้มคนเดียว

รวิกำลังเดินตรวจสภาพชุดลิเก เดือนเดินเข้ามาหน้าหมองๆ ซึมๆ รวิหันไปมองยิ้มๆ
“เป็นอะไรไปอีก ซึมมาทุกวัน”
“จะไม่ซึมได้ยังไงล่ะ ถูกใช้ให้ไปหาไอ้พิมุกมันแต่หัววันน่ะ”
ขำกับป้อมเดินตามหลังเดือนเข้ามาติด ๆ
“นี่มาด้วยกันหรือยังไงเนี่ย”
“สะกดรอยตามมาน่ะ เจ้าตัวเขามัวแต่เหม่อตั้งแต่อยู่กะแม่ศิริพรที่ร้านเจ๊ปอละ”
“นี่ตามกันมาตั้งแต่ร้านนั้นเลยเหรอเนี่ย”
“เจ๊เขาเห็นแกนั่งกินกาแฟร่วมโต๊ะกับยัยศิริพร ฉันก็ดักตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รุมทัน ฮ่า ฮ่า”
“นี่เดือนนั่งกินกาแฟกับศิริพรเหรอ”
เดือนหน้าง่อยๆ ตอบแบบไม่มองหน้าใคร
“ฮื่อ แป้บเดียวเอง แล้วเขาก็ไม่ได้มามีเรื่องด้วยน่ะ ก็คุยกันดีๆ ตามปกติเหมือนพี่คุยกับเขา”
“ไหงโยงมาทางนี้ล่ะ เอาเรื่องตัวเองเถอะไปหาไอ้พิมุกมาแต่เช้าน่ะ ยังไง”
“นั่นสิ ดีนะที่ไปแต่วันน่ะ ถ้ากลางคืนล่ะก็ น่าห่วงกว่านี้อีก”
เดือนถอนหายใจ
“ก็คุณโรจน์ใช้ให้ไปนี่ เออ แต่ฉันคุยมาละนะเรื่องร้องเพลงน่ะ ฉันว่าถ้าเขายังไม่ให้ฉันร้อง ฉันจะไปสมัครวงอื่นดู หรือไม่ก็...” เดือนทำท่าเหมือนคิดอะไรออกแล้วหยิบนามบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสตางค์ “นี่ไง คุณชูเกียรติ”
ป้อมตาโต
“พอเลย พี่ว่าอีตานี่ก็ไม่ใช่คนดี ตาพี่มองคนไม่พลาดหรอก กลัวจะหนีเสือปะจระเข้โหยน่ะสิ”
“ใครเหรอพี่”
“นักปั้นดารามือทอง เจอเดือนโดยบังเอิญน่ะ แต่พวกเราเห็นแล้วว่าน่ากลัว”
“แต่เขาเป็นนักปั้นนะ เขาต้องช่วยปั้นฉันได้สิ”
“ฉันว่าค่อยๆ คิดค่อยๆ ดูไปดีกว่า ระวังตัวเองไว้ด้วย อีกอย่างวันนี้เดือนเพิ่งคุยกับเขาไป ดูท่าทีสักพักว่าเขาจะเอายังไง”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
“นี่เดี๋ยวกินข้าวเย็นกันแล้วจะไปดูงิ้วนังศิริพรมันจริงๆ เหรอเนี่ย”
“ก็เขาชวนมาน่ะ เห็นว่างานใหญ่ของศาลเจ้า ช่วงนี้งิ้วกับลิเกมันเงียบๆ ไป ใครเล่นก็ผลัดกันไปดูหน่อย แต่ถ้าฉันไปเอง เดือนคงไม่พอใจก็เลย ชวนไปด้วยกันให้หมดเนี่ย”
เดือนแอบยิ้มแต่ก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

ศิริพรอยู่นชุดงิ้วเเล้ว เธอกำลังซ้อมเพลงอยู่กับเครื่องดนตรีงิ้ว ได้ยินเสียงลูกวงงิ้วคุยกันตอนจัดของ
“วันก่อน เขาว่าลิเกเอานักร้องลูกทุ่งที่ไหนมาร้องไม่รู้ คนกรี๊ดกันตรึม”
“ชื่อ เดือน โอ่ย เครื่องดนตรีระนาดนะ แต่ร้องซะแบบ กระจายอ่ะ”
“นี่จะทำงานหรือจะคุย” ลูกวงขนของต่อไป ศิริพรหันมาทางเครื่องดนตรีงิ้ว “ไอ้เพลง อะไรนะ ของตั๊กลีลาน่ะ เล่นได้มั้ย”
“เพลงไหน”
“ที่เขาร้องว่าอะไรนะ” ศิริพรฮัมทำนองเพลง
“อ๋อ ได้”
“ไหน ขึ้นมาซิ” นักดนตรี ขึ้นเพลงอินโทรมา แล้วศิริพรก็ร้องได้อย่างไพเราะ “ธุรกิจ เธอดีเพียงได ต่างกันแค่ไหนธุรกิจเรา จะเป็นงานเบๆ จ๊อบเล็กจ๊อบใหญ่ ถ้าใหญ่ ใหญ่ขนาดไหน คนดำเนินงาน ประธานเป็นใคร ดียังไง ถึงหายเงียบฉี่ งานใหญ่สิ...”

อีกด้านหนึ่ง ประทีปนั่งคุยกับโรจน์หน้าตาจริงจัง
“ฉันว่าต้องทำอะไรกับเด็กเดือนสักอย่างแล้วนะ ถ้าเรายังอยากเก็บไว้อยู่”
“ก็รู้ๆ อยู่ว่าไอ้พิมุกมันไม่ยอมน่ะ”
“นี่ถ้าเราไม่ให้เขาขึ้นร้องเพลงสักครั้ง เขาคงไปสมัครกับวงอื่นแล้วล่ะ”
“เฮ้ย ไม่ได้เชียวนะ อย่างนังเดือนนี่ลองปล่อยออกไป วงอื่นตะครุบแน่ นี่แค่ให้เป็นแดนเซอร์ยังขึ้นหม้อขนาดนี้”
“ฉันว่าความสามารถ หน้าตาแบบเดือนน่ะ ถ้าเราปั้นจริงๆ จังๆ ดีไม่ดีจะทำเงินให้เราใช้หนี้ไอ้พิมุกได้หมดเลยนะ ไม่ต้องมาคอยเป็นทาสมันแบบนี้ด้วย”

โรจน์นั่งกุมหัวใช้ความคิดอย่างหนัก

งานศาลเจ้า ศิริพรกำลังแต่งหน้าแต่งตัวอยู่หลังเวที กลุ่มของรวิเดินเข้ามา ศิริพรยิ้มดีใจรีบลุกเข้าไปหา

“รวิ ดีใจจังที่มา”
“อะแฮ่ม”
ศิริพรได้ยินเสียงกระแอมก็เริ่มมองไปทางขำ ป้อมและเดือน
“อ้อ มากันครบเลย ดีจัง” ศิริพรรี่เข้าไปจับมือเดือน “ฉันดีใจนะที่เดือนมาด้วย หลังๆ งิ้วไม่ค่อยมีงานให้เล่นแล้ว พอมีทีก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ดีที่อย่างน้อยก็มีพวกเธอมา”
ป้อมกับขำเห็นอาการศิริพรแล้วแอบเบ้ปากหมั่นไส้กัน
“เจ๊ เจ๊ว่านังนี่มันจะพ่นพิษใส่ทีหลังไหมเนี่ย ฉันว่าทำไมยิ้มของมันดูสยองๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“จะพ่นไม่พ่นฉันก็ไม่รู้ว่ะ รู้แต่ท่าทางนางเอกบ้านนาของพวกเรามันจะเชื่อเอาด้วยน่ะสิ”
ป้อมกับขำส่ายหน้ากันอย่างอ่อนใจ

งิ้วกำลังร่ายรำอยู่บนเวที ศิริพรกำลังเล่นอยู่แต่แล้วจู่ๆ ศิริพรก็ชะงักก้มลงกุมท้องตัวเอง คนดูด้านล่างเริ่มสังเกตเห็นต่างชี้กันให้ดูนางเอกงิ้ว เดือนสะกิดรวิ
“พี่รวิ ฉันว่ามันมีอะไรแปลกๆ นะ”
“นั่นสิ”
ป้อมกับขำเริ่มกระซิบกันเอง
“เฮ้ย นังศิริพรมันเป็นอะไรของมันเนี่ย”
“ฉันว่าแล้วว่ามันจะต้องมีพิษแอบแฝง มันต้องกำลังคายพิษแน่ๆ เลยเจ๊”
“พาเดือนกลับกันไหม ใจคอฉันไม่ดีเลยว่ะ เดี๋ยวต้องมีเรื่องแน่ๆ”
“แต่ฉันว่ารอดูกันดีกว่า ว่ามันจะมาไม้ไหน”

เสียงร้องของศิริพรเริ่มติดๆ ขัดๆ ตัวแสดงบนเวทีเริ่มมองหน้ากันเองล่อกแล่ก ศิริพรวิ่งหลบเข้าไปหลังม่านทันที รวิบีบมือเดือน
“เดือนขอฉันเข้าไปดูศิริพรหน่อยสิ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร”
เดือนพยักหน้าให้รวิไป รวิลุกขึ้นต้องผ่านที่นั่งขำกับป้อม ขำยื่นขาออกมากั้นไว้ไม่ให้รวิออก
“ขำ เห็นอยู่ศิริพรดูแปลกๆ ให้รวิเขาออกไปดูหน่อยเหอะ เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ช่วยกัน”
ป้อมยื่นหน้าออกมา
“เออ ก็ดีนะ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกัน งั้นก็ไปกันหมดนี่แหละ ไป ไอ้ขำลุก”
เดือนมองหน้ารวิแบบช่วยอะไรไม่ได้ เดือน รวิ ป้อมและขำลุกเดินกันออกไปที่หลังเวที

ศิริพรกำลังอาเจียนใส่ถุงพลาสติกอย่างแรง รวิและพวกเดินเข้าไป
“เป็นอะไรน่ะศิริพร”
ศิริพรทำเป็นซบรวิอย่างหมดแรง
“ไม่รู้เหมือนกันนะ อยู่ๆ ก็ปวดท้องมวนๆ แล้วก็คลื่นไส้น่ะ”
เด็กในคณะวิ่งมาหาศิริพร
“แล้วฉากต่อไปพี่จะเล่นไหวเหรอ เอาไงดี”
“ก็...มีคนแสดงแทนได้อยู่แล้วนี่ แทนไปเลย ไม่ไหวแล้วฉันไปห้องน้ำก่อนนะ”
เวลาผ่านไป ศิริพรเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างอ่อนแรง ขำแอบกระซิบป้อมกับเดือน
“เจ๊ ฉันว่ามันประหลาดนะ ปกติพวกงิ้วนี่เขามีตัวแสดงแทนกันอยู่แล้วเหรอ”
“นั่นสิ แล้วมันรู้ได้ยังไงว่าวันนี้มันจะป่วยน่ะ”
“แหมพี่ เขาออกจะอ้วกขนาดนี้ ซีดขนาดนี้ ถ้าแกล้งทำก็สมจริงมากน่ะ”
“ก็แล้วที่มันสโลว์ซบรวิอยู่เนี่ย มันแกล้งหรือมันจริงล่ะ”
เดือนหันไปมองตามขำเห็นศิริพรทำท่าอ่อนระโหยโรยแรงอยู่ในอ้อมกอดของรวิ เดือนหน้าเสียไป

ป้อม ขำ และเดือนยืนรอรวิกลับบ้านอยู่หน้ามอเตอร์ไซค์ รวิเดินประคองศิริพรลงมา
“สงสัยวันนี้ต้องฝากเดือนกลับกับพี่ป้อมกับขำนะ” รวิบอก เดือนหน้าเสียมองป้อมกับขำ
“เอ้า เรื่องอะไรล่ะมาด้วยกันก็กลับด้วยกันสิจะให้ซ้อนสามกลับได้ยังไงล่ะ แน่นตาย”
“แล้วนี่หล่อนไปโดนยาอะไรมาเนี่ย ถึงได้ออกทั้งบนทั้งล่างเนี่ย”
ศิริพรหน้าซีดมองหน้าเดือนทีรวิที
“ถามไม่ตอบมองหน้าคนนั้นที คนนี้ที”
“ก็ วันนี้ทั้งวันฉันไม่ได้กินอะไรเลยนะ นอกจากที่ไปเจอเดือนแล้วนั่งกินกับเดือนน่ะ”
เดือนหน้าเสียกว่าเดิม ขำตวาดศิริพรกลับ

“อะไรของแกนังงูพิษ แกพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”

ศิริพรทำเป็นตกใจหน้ามืดขึ้นมาเกาะรวิแน่น

“ฉันไม่ได้หมายความว่ายังไงนะ ก็เธอถาม ฉันก็ตอบตามนั้น ฉันไม่ได้กินอะไรมาเลยนอกจากตอนที่กินกับเดือนน่ะ” รวิมองหน้าเดือน
“แต่ตอนนั้นเราเจอกันแป๊บเดียวเองนะ เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรเธองั้นเหรอ”
“เปล่านะเดือน ฉันไม่ได้คิดอะไรเลย ถึงเธอจะโกรธจะเคืองฉันทั้งเรื่องที่ฉันไปหวังดีกับแม่เธอเกินไป ทั้งเรื่องรวิ แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะแอบทำร้ายฉัน”
เดือนยืนอึ้งพูดไม่ออก ป้อมเริ่มเท้าสะเอว
“อีนี่วอนละ จัดเลยไหมขำ เอาให้หนักกว่าเดิมเลยเนี่ย ฉันว่าแล้วมันต้องมีเรื่อง”
“พอเถอะ แยกๆ กันไปดีกว่านะพี่ ค่อยคุยกันวันหลัง” รวิรีบห้าม
“แล้วแกจะเอายังไง ส่งนังงูพิษหรือจะกลับกับพวกเรา”
ศิริพรทำเป็นร้องปวดท้องอีก
“โอ๊ย ปวดท้องจะเข้าอีกแล้วเนี่ย รวิเอาไงก็เอาเถอะ ฉันกลับเองได้ไม่เป็นไร เดี๋ยวเดือนจะเข้าใจผิดอีก”
ศิริพรทำเป็นผละจากรวิแล้วทำท่าหน้ามืดจะเป็นลม รวิคว้าศิริพรไว้ทัน
“ฉันว่า...”
“ว่ายังไงก็ไม่รู้ รู้แต่...ไปเหอะเจ๊ปล่อยพวกเขาจัดการกันไป”
ขำกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วสตาร์ทรถ ป้อมรีบกระโดดซ้อน ขำขี่ออกไปทันที ศิริพร รวิ เดือน มองหน้ากันเองอย่างทำอะไรไม่ถูก
“เดือน ยังไงก็คงต้องไปส่ง” รวิบอกเดือน มองศิริพรที่อาการย่ำแย่
“ไม่ต้องหรอก กลับไปเหอะ ฉันไหว” ศิริพรเซแซ่ดๆ เมื่อพยายามเดินเอง เดือนมองตามรวิที่ไปประคอง เธอแอบน้อยใจ
“เดือน”
พิมุกขับรถมอเตอร์ไซค์แล่นเข้ามา
“มีอะไรให้ช่วยมั้ย”
เดือนมองรวิ
“รู้ใช่มั้ยว่าคืนนี้ มันจะจบลงยังไง” เดือนขึ้นไปซ้อนท้ายรถพิมุกทันที รวิยังคงประคองศิริพรอยู่ จะปล่อย เธอก็ล้ม “ไปกันเหอะค่ะ”
พิมุกยิ้ม แล้วก็ขับรถออกไป รวิร้อนรนแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะศิริพรแทบจะหมดสติอยู่ในอ้อมแขนเขา

พิมุกขับรถมอเตอร์ไซค์อย่างกระหยิ่ม เดือนซ้อนท้ายอย่างน้อยใจรวิ พิมุกแกล้งเบรกกระฉึกกระฉัก เดือนจำเป็นต้องกอดเอวพิมุกเอาไว้แน่น พิมุกยิ่งยิ้มมีความหวังเข้าไปอีก
รวินั่งอยู่บนรถสองแถวกับศิริพร ที่สลึมสลือแทบจะหมดสติ รวิเองรู้สึกเป็นห่วงเดือน เขาคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี
พิมุกขับรถเซแซ่ดๆ แล้วเครื่องก็เหมือนกระตุกจะดับ ทำให้พิมุกต้องเลี้ยวเข้าข้างทาง
“รถเป็นอะไรน่ะ”
“นั่นน่ะสิ มันเป็นอะไรของมันนะ”
“ถามจริงๆ”
“จริง จะบ้าเหรอ ใครจะมาจอดทำอะไรมืดๆ แบบนี้”
เดือนลงมายืนห่อตัวด้วยความหนาว มองไปรอบด้านไม่มีคนเลย พิมุกทำเป็นซ่อมๆ ดูๆ รถไป
“สงสัยจะไปต่อไม่ไหว”
“คืออะไร”
“คงไปไหนไม่ได้แล้วน่ะสิ นอกจาก...”
พิมุกลุกขึ้นยืน ตัวเขาใหญ่จนแทบบังเดือนมิด
“จะทำอะไรน่ะ” เดือนตกใจสุดขีด

พิมุกยิ้มร้าย

อ่านต่อตอนที่ 4
หางเครื่อง ตอนที่ 2
หางเครื่อง ตอนที่ 2
ฟากป้อมกับขำกำลังสั่งส้มตำกับเด็กในร้านอาหาร เดือนเดินเข้ามาร่วมวงหน้าตาซึมเศร้า “ทำไมละ หน้าซึมมาเชียว” “วันนี้โดนเรื่องอะไรมาอีกล่ะเดือน ดีนะที่พี่ไม่เกิดมาสวยแบบหนู ไม่งั้นพี่ต้องแขวนคอตัวเองวันละหลายรอบแน่ๆ” “พี่ป้อมอ่ะ หนูยิ่งกำลังเซ็งๆ ไม่งั้นไม่เรียกมาเจอแต่วันอย่างนี้หรอก” “อ้าว โอ๋ โอ๋ พี่ขอโทษน๊า ก็ว่าอยู่คืนนี้ต้องเต้นด้วยกันอยู่แล้ว นี่เล่นโทรมาเรียกตั้งแต่บ่าย” “เออ แล้วแกไม่ชวนรวิมากินด้วยล่ะ” เดือนได้ยินชื่อรวิยิ่งเซ็งหนัก “รายนั้นน่ะเขามีคนส่งข้าว ส่งน้ำอยู่แล้วทุกวัน ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก” “ทะเลาะกันเหรอ”
กำลังโหลดความคิดเห็น