หางเครื่อง ตอนที่ 1
เวทีแสดงดนตรีขนาดใหญ่ แลเห็นแสงไฟสาดส่องวิบวับน่าตื่นตา ตั้งอยู่กลางงานเลี้ยงงานหนึ่ง เสียงดนตรีเพลงลูกทุ่งจังหวะคึกคักเร้าใจดังกระหึ่มขึ้น แดนเซอร์ที่ตั้งแถวรออยู่สองข้างทยอยกันเดินออกมาที่หน้าเวทีตามสเต็ปท์ นักร้องนำเดินตามออกมาเต้นอย่างเมามันส์ตรงกลางของเวที
นักร้องนำเต้นมันส์กว่าแดนเซอร์อีก จนแดนเซอร์ค่อยๆ หยุดเต้นมองนักร้อง เสียงผู้ชมด้านล่างส่งเสียงกรี๊ดเชียร์ บ้างก็วิ่งออกมาคล้องพวงมาลัยติดแบงก์หลายสีให้ที่คอนักร้อง นักร้องนำที่กำลังเต้นลืมตายอยู่เป็น เดือน งามพร้อม นั่นเอง เดือนร้องเพลงไปได้ท่อนหนึ่ง โฆษกประจำวงเดินออกมาจากด้านข้างเวที
“และนี่คือนักร้องขวัญใจชาวไร่ “เดือน งามพร้อม” ครับ”
เดือนยิ้มหวานโค้งคำนับขอบคุณผู้ชม เสียงหนึ่งดังโดดออกมาจากกลุ่มคนดู
“นังเดือน! นังเดือน!” เดือนสะดุ้งตกใจ เห็นช้อย ผู้เป็นมารดาเดินขึ้นเวทีมา “นังนี่ งานการไม่ทำ นังเดือน”
เดือนเหมือนสะดุ้งตื่นขึ้นพบว่าตัวเองอยู่ที่แผงขายปลากลางตลาดสด ในมือถือปลาตายตัวใหญ่ต่างไมโครโฟนอยู่
“นังเดือน” ช้อยคว้าถุงปลาจากมือเดือนยื่นให้ลูกค้าแล้วรับเงินมาจ่อที่หน้าเดือน “จะถือไว้ทำไมฮ้า ให้ ๆ เขาไปแล้วก็เอาตังค์มา แค่เนี้ยะ”
เดือนทำหน้าเหย คอย่น
“แม่อ่ะ ขัดจังหวะอย่างนี้ทุกทีเลย คนกำลังเพลิน”
ช้อยเท้าสะเอวส่ายหัวมองหน้าเดือนอย่างระอา
“อยู่ในโลกของความเป็นจริงซะบ้าง วัน ๆ เอ็งจะเอาแต่ฝันไปถึงไหนกัน” ช้อยบ่นไปชำเลืองมองหน้าเดือนไป เดือนทำไม่รู้ไม่ชี้ทยอยเก็บปลาลงจากแผง “เออนี่ เจ๊จงที่ขายผักอยู่แผงฝั่งโน้น เขาจะเลิกขายละ ข้าว่าจะไปเช่าต่อให้เอ็งไปขายสนมะไม่ต้องทำเองหรอก ไปรับที่เขามาก็ได้แล้วมาวางต่อ”
เดือนทำหน้าเบื่อเล็กน้อยแล้วส่ายหัว
“ไม่อ่ะแม่ ฉันรู้ตัวฉันดีว่าฉันอยากทำอะไร อย่าหาอาชีพใหม่มาให้ฉันเลย”
ช้อยหันไปค้อนขวับแล้วสวนกลับ
“เออ เต้นกินรำกิน ฉันจะคอยดูละกันว่ามันจะทำให้แกมีกินสมใจ อยากนักไอ้ลูกคนนี้”
สองคนแม่ลูกก้มหน้าก้มตาเก็บแผงปลากันต่อไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก
ช่วงค่ำที่วิกลิเก รวิที่แต่งหน้าจัดแบบตัวพระเอกลิเก กำลังส่องกระจกสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องสำอาง เสียงระนาดกลองรำมะนาจากด้านหน้าเวทีดังเข้ามาด้านหลังด้วย ลิเกแต่งตัวแพรวพราวกำลังซ้อมเอาดาบฟันกัน
สะเก็ดไฟแปลบปลาบดูสมจริงรุนแรง รวิดูสองคนที่ฟันกันแบบหนักใจ ขำติดหนวดดูครึ้มรุงรัง เอาผ้าคลุมตัวแบบเตรียมออกเเขก เดินเข้ามาหารวิ
“มันซ้อมกันจริงจังไปป่ะ” รวิพูดกับขำแล้วมองสองคนที่ฟันกันอยู่ด้านหลังเวที
“มันเคืองๆ กันอยู่ เรื่องแม่ยก”
รวิถอนหายใจ หยิบดาบคู่เดินออกไปด้านหลังวิกลิเก สองคนที่ฟันกันอยู่ จู่ๆ รวิก็เข้าไปแทรกกลาง แล้วก็ฟาดฟันกันแบบสามคน วิชาดาบดูจริงจังเกินกว่าแสดงลิเก คล้ายอาจารย์สำนักดาบพุธไธสวรรย์กำลังสั่งสอนกันมากกว่า
รวิลุยด้วยดาบคู่ทั้งสองคนจนดาบหลุดมือ แล้วรวิก็ปักดาบลงกับพื้นกระดานด้ามดาบสั่นระริก
“กินข้าวหม้อเดียวกันแท้ๆ” สองคนหอบ มองหน้ากันอย่างรู้สึกผิด “ดีกันซะ แล้วเก็บเเรงเอาไว้ออกไปแสดงให้คนดู”
สองคนมองหน้ากัน แล้วก็ยกมือไหว้กัน รวิเดินกลับเข้ามาหาขำ
“ได้เวลาแล้ว” ขำดูนาฬิกาข้อมือ
“คนดูเป็นไง”
“เรื่อยๆ คงพอได้ค่าข้าวมื้อเช้าพรุ่งนี้ล่ะน่า”
รวิพยักหน้า ให้ขำเดินออกไปด้านนอกเวที
ระนาดรัว กลองรำมะนาตีจังหวะสนุกสนาน ที่ลิเกเปิดวิก คนบางตา แต่ก็ยังพอมีดูอยู่บ้างเกือบยี่สิบคน
ในจำนวนคนดูนั้นมีเดือนนั่งอยู่ด้วย เดือนหัวเราะชอบใจเมือเห็นลิเกเริ่มออกแขก โดยขำแต่งเป็นแขก
“เฮ่...สะลามมะนาละลาล่ะหล่า ละลา ล่ะหล่า ละล๊าละรา เฮ่...เฮ เอ เฮ๊ เฮ่เฮ เฮ่เฮ”
ระหว่างที่บนเวทีลิเกออกเเขก พิมุกก็เดินผ่านมากับบ่างและเตี้ย ลูกน้องคนสนิท คนที่นั่งดูอยู่ พอเห็นพิมุกเดินผ่านมาก็หลบๆ ก้มหน้าเกรงใจ บ่างกับเตี้ย หยิบข้าวโพดต้มทีวางขายกินฟรี พ่อค้าไม่กล้าว่าอะไร พิมุกชำเลืองมองเดือนที่นั่งตาแป๋วมองเวทีอยู่ พิมุกจะเดินเข้าไปหาเดือน เตี้ยแตะแขนลูกพี่ มองรอบด้าน
“ลูกพี่จะไปไหน”
พิมุกพยักหน้าไปทางเดือน เตี้ยทำหน้าเครียดให้พิมุกรอก่อน ส่วนตัวเอง เอานิ้วแนบหูฟังที่สวมหูอยู่เพียงข้างเดียวแบบพวกการ์ดดูแลประธานาธิบดี
“อีเก้ง จะล่าเหยื่อ ย้ำอีเก้งกำลังจะล่าเหยื่อ ดูแลไฟป่าด้วย ดูแลไฟป่าด้วย”
พิมุกถอนหายใจเอือมๆ
“เอ็งดูบิ๊กซีนีม่า มากไปป่ะ”
เตี้ยยกมือหน้าเครียดให้พิมุกเงียบ พิมุกอ่อนใจ นิ่งมองดูซิว่าลูกน้องจะเอาไงต่อ บ่างเดินเข้ามาข้างๆ เตี้ย ยกปกเสื้อขึ้นพูด บังปากตัวเองเอาไว้
“ป่าชื้น ไม่ติดไฟ ย้ำ ป่าชื้น ป่าชื้น”
บ่างกับเตี้ยมองไปรอบด้าน เตี้ยหันไปพยักหน้ากับพิมุก แล้วเอานิ้วแตะหูฟัง
“อีเก้งกำลังถึงฤดูติดสัตว์ ย้ำอีเก้งกำลังจะติดสัตว์”
พิมุกดึงหูฟังออกจากหูเตี้ย ปลายสายอีกด้าน มันไม่ได้เสียบติดกะอะไรเอาไว้เลย
“อะไรของพวกเอ็ง”
พิมุกรำคาญ จะเดินเข้าไปหาเดือน แต่เห็นเดือนมองรวิอยู่อย่างยิ้มแย้มก็เคือง
รวิร้องลิเกอยู่บนเวทีมองลงไปที่คนดูด้านล่าง พอถึงท่อนบู๊ขำเล่นเป็นตัวโกงเขียนหนวดเคราเฟิ้มออกมา
รวิกับขำโต้เถียงกันอยู่บนเวทีตามบท โจรป่ากับพระเอก
รวิเห็นเดือนนั่งดูอยู่ เดือนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเหมือนเด็กน้อยๆ คนนึง ขำร้องลิเกแบบตลก รวิร้องลิเกตอบโต้ เฮฮาคนดูชอบใจ บ่างเดินเข้ามากระซิบพิมุก
“ลูกพี่ สงสัยจะอดนะ”
พิมุกมองรวิบนเวทีหมั่นไส้
“ให้มันรู้ไป”
“เอาไงดีพี่ มันไม่ลงมาแลกกะเราหรอก”
“มันไม่ลงมาแลก เราก็ขึ้นไปหามันสิ”
“มันต้องงี้ลูกพี่”
บ่างหยิบแว่นสามมิติออกมาจากกระเป๋าเสื้อสามอัน พิมุกยิ้ม รับแว่นเข้ามาสวม
“มันต้องงี้ จะได้รู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง”
บนเวทีรวิกับขำรบกันอยู่ตามคิว พิมุก บ่างเตี้ย สวมแว่นสามมิติ ขึ้นไปป่วนหน้าเวที รวิมองหน้าขำ เอายังไงดี
“โอ้โฮ เหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงเลยนะเนี่ย” พิมุกผลักอกระวิ เดือนกับชาวบ้านมองเริ่มรู้แล้วว่าเหมือนจะมีเรื่อง
“มีอะไรไว้คุยกันหลังเวทีมั้ย เราทำงานอยู่” รวิบอก
“เฮ้ย...ระบบเสียงเขาก็สมจริงว่ะ” พิมุกพูดกับบ่าง
“นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ เลยนี่”
“ไหน ลองดูซิว่า ลิเกโรงนี้ มันจะสามมิติจริงมั้ย”
พิมุกพูดยังไม่ทันขาดคำก็ซัดรวิที่ยืนเผลอเข้าเต็มหมัด บนเวทีลิเก พวกลิเกถือดาบกรูกันออกมา ระนาดรัว กลองรัวแบบออกรบ เตี้ยกับบ่างดึงปืนออกมาคุมเชิง
“ใครไม่เกี่ยวอย่ายุ่ง เรื่องของผู้ใหญ่”
คนดูวี๊ดว้ายกลัวโดนลูกหลง
“ไม่ต้องตกใจ นี่มันคิวบู๊แบบสมจริง เหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงเท่านั้นเอง”
พิมุกยังคงสวมแว่นสามมิติอยู่ บ่างถอดเเว่นของตัวเองให้รวิ รวิชั่งใจ รับไปสวม แล้วทั้งพิมุกกับระวิ ก็ตั้งการ์ด ต่อยมวยเดี่ยวๆ ตัวๆ เข้าใส่กัน โดยมีลิเกคนอื่นถือดาบคุมเชิงอยู่
“หรือว่า นี่เขาทำการแสดงกันอยู่”
ชาวบ้านคุยกัน เดือนที่ยืนเป็นกังวลอยู่ด้านล่าง รู้ดีว่านี่ไม่ใช่การแสดง ทั้งพิมุกกับรวิ ต่างต่อยกัน โดยที่รวิตกเป็นรองแล้วสุดท้ายรวิก็พลาดท่าโดนต่อยร่วงไป ทางหน้าเวที รวิจะขึ้นไปแก้มืออีก แต่เดือนเข้ามารั้งไว้
“อย่าเลย พี่สู้เขาไม่ได้หรอก เขามันนักมวยอาชีพ”
พิมุกมองอย่างหยามหยัน
“นี่แค่ทักทายนะ วันหลังเราต้องเจอกันอีก”
ระนาดที่เงียบไปนานก็รัวขึ้น พิมุกเดินลงจากเวทีลิเกไป เตี้ย บ่างรำควงปืนลงไปจากเวทีอย่างน่าหมั่นไส้
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาห้าทุ่ม ช้อยนั่งชะเง้อมองออกไปนอกบ้านอย่างเป็นห่วงลูก ช้อยมองดูรูปผัวที่อยู่ในชุดนักร้อง มีพวงมาลัยคล้องคอ มีไมโครโฟนโบราณอยู่ในรูป
“แก ช่วยดูแลลูกมันมั่งนะ ทิ้งให้ชั้นเลี้ยงอยู่ได้คนเดียว” รูปผัวมีคำว่าชาตะ มรณะบอกให้รู้ว่าเขาตายไปแล้ว “อย่าให้ลูกต้องมาเจริญลงคลองตามรอยแกเลยนะ ขอเหอะ”
ช้อยมองรูปผัวแล้วก็ถอนใจ มองนาฬิกาติดผนังเป็นห่วงลูก
เวลาผ่านไปโรงลิเกไม่เหลือคนดูแล้ว เดือนนั่งทำแผลให้รวิอยู่ ขำเอาผ้าคลุมระนาดกลองอยู่ไม่ไกล
“ไหงวันนี้มานั่งดูคนเดียว ไม่เบื่อเหรอ” รวิถาม เดือนส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องพูดเลย สู้เขาได้มั้ยเนี่ย”
“เดือนก็เห็น มันมาหาเรื่อง” เดือนพยักหน้า รวิเจ็บที่เดือนจิ้มแผลเเรง เขาจับมือเธอนุ่มนวล เดือนยิ้มอายๆ รวิค่อยๆ ปล่อยมือ “มันคงหึงที่เดือนมาดูพี่”
“บ้า เขาไม่อะไรกะฉันหรอก”
“คนมันจะหาเรื่อง ลิเก สามมิติ คิดได้ไง”
“พรุ่งนี้คงได้เจอลิเกไฮเดฟฟิเนชั่นนะเนี่ย” ขำประชด
“บ้า” เดือนต่อว่า ขำแบมือขอตังค์รวิ
“ค่าตัว” รวิเอาตังค์ใส่มือให้ห้าสิบบาท
“อดทนนะ ตั้งใจเล่นให้ดี จะพาไปเล่นที่ไอแม๊กซ์เมเจอร์รัชโยธิน” เดือนหัวเราะ
“เขาฉายแต่หนังไม่ใช่รึ”
“หลอกกันไปวันๆ แจ้งตำรวจดีมั้ย เรื่องที่มันมาหาเรื่องเราน่ะ” ขำถามรวิ รวิส่ายหน้า
“ก็พวกมันทั้งโรงพัก ช่างเหอะเอาน่าทำตัวดีๆ จะพาไปออกเรื่องจริงผ่านจอ”
“จริงนะ”
“ไปไหนก็ไป ไป๊”
“เดินจากไป” ขำพูดแล้วเดินจากไป
“กินอะไรหรือยัง หิวจังเดี๋ยวล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแว้บนึงแล้วไปหาบะหมี่กินกันเหอะ” รวิพูกับเดือน
“ไปสิ ก็รอมาให้เลี้ยงนี่แหละ รออยู่แถวนี้นะ”
รวิเดินแยกออกไปหลังเวที
“เอาของแป๊บนะ”
เดือนมองไปรอบๆ เห็นไฟหน้าเวทียังไม่ปิดจึงเดินออกไป เดือนหยุดยืนอยู่กลางเวทีมองออกไปที่นั่งคนดูที่ว่างเปล่านิ่งแต่แววตาฉายแววมุ่งมั่น เดือนเดินขึ้นไปบนเวที ทำประหนึ่งว่ากำลังยิ้มโบกมือกับคนดู เธอยกมือไหว้คนดูทำเป็นยื่นมือจับกับคนดูที่ยื่นมือมาให้เธอ
“ว้าย อย่าดึงค่ะ อย่างดึง ขอบคุณค่ะ” เดือนลุกขึ้นไปตั้งหลัก ทำท่าจะร้องเพลงพูดขอบคุณคนดูอยู่คนเดียว “บัตรพันห้าขอเสียงหน่อยค่ะ บัตรพันนึง ขอเสียงหน่อย”
เดือนป้องหูรอฟังเสียงมีเพียงเสียงจักจั่น เดือนร้องเพลงโดยไม่มีดนตรี
“หัวใจติดดิน สวมกางเกงยืนส์เก่าๆ ใส่เสื้อตัวร้อยเก้าๆ แบกกระเป๋าใบเดียวติดกาย กราบลาแม่พ่อ หลังจากเรียนจบมอปลาย ลืมทุ่งดอกคูนไสว มาอาศัย ชายคาป่าปูน”
รวิเดินออกมาแอบยืนมองอยู่เงียบๆ ด้านหลัง รู้สึกสงสารเดือนอยู่ในใจ
เดือนกับรวินั่งกินบะหมี่กันเงียบๆ เสียงเพลงดอกหญ้าป่าปูนท่อนสองที่เป็นเสียงต่าย อรทัยร้อง ดังเเว่วออกมาจากวิทยุของแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว
“เอาแรงเป็นทุน สู้งานเงินเดือนต่ำๆ เก็บเงินเข้าเรียนภาคค่ำ ฝากความหวัง บนทางเปื้อนฝุ่น”
รวิมองหน้าเดือนแล้วเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“ไง อุตส่าห์นั่งสองแถวมาหาถึงนี่คงไม่ได้แค่อยากจะมาดูลิเกใช่ไหม”
“มาดูพระเอกลิเกนี่ไง”
“เบื่ออะไรมาล่ะ”
“เดิมๆ น่ะแม่พูดอีกละเรื่องจะให้ไปขายผัก”
“ก็ดีนะ แม่เขาก็หวังดีแหล่ะ เป็นนักร้องน่ากลัวจะตาย”
“แม่เขาคงกลัวว่าฉันจะเดินสายหายไปเหมือนพ่อน่ะสิ รู้ข่าวอีกที พ่อก็โดนลูกหลงวัยรุ่นยิงกันงานวัดตายคาเวที”
“ไม่หรอกแม่เขาก็คงจะกลัว เหมือนที่พี่กลัวน่ะ เดือนจะตามเล่ห์เหลี่ยมคนเขาทันเหรอ”
เดือนชะงักจ้องหน้ารวิงอนๆ
“อ้าว ไหงพูดงี้ กะว่าจะมาหากำลังใจเอาแถวนี้ นี่กลับมาซ้ำซะอีก”
“เปล่าซะหน่อย เตือนเฉยๆ พี่แค่ได้ยินมาว่าคนวงการเพลงน่ะ น่ากลัว”
“แต่มันเป็นทางเดียวนะที่...ที่จะทำให้ฉันมีหน้ามีตากะใครเขาได้”
“เอาเถอะ ไม่ว่าเดือนจะทำอะไรจะขายหมึกไข่หรือไปเป็นนักร้อง พี่ก็เอาใจช่วย”
เดือนยิ้มออกก้มหน้ากินบะหมี่ต่ออย่างสมใจ
ศิริพรยืนสั่งข้าวมันไก่อยู่ไม่ไกลเห็นรวิเดินไปตักน้ำก็ดีใจทำท่าจะพุ่งไปหาแต่ก็ชะงัก ก่อนเห็นโต๊ะที่รวิเดินเอาน้ำไปวางมีเดือนนั่งอยู่
“เดือน”
ก่อนที่ศิริพรจะคิดทำอะไรต่อไป เสียงชาวบ้านก็ครางฮือ มีคนวิ่งผ่านหน้าศิริพร ผ่านเดือนกับรวิไป
“ไปเร็ว เขาว่า นภากาศ มาเดินตลาดนะวันเนี๊ยะ”
ศิริพร เดือน ชะเง้อมองผ่านคน เห็นนภาเดินเยื้องกรายท่ามกลางผู้คน เธอดูเด่นระยิบ แม้ว่าวัยจะเฉียดสี่สิบแล้วก็ตาม ผู้คนยังฮือฮา ขอถ่ายรูปขอเดินตาม แต่ไม่เข้าไปวอแวมาก เพราะมีลิ้นจี่คอยช่วยกัน ช่วยดูแลอยู่อย่างเป็นนางสนมกำนัล
“นภากาศ นักร้องนำวงฟ้างาม ครามฝัน”
เดือนบอก รวิพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ค่อยอะไรด้วยเท่าไหร่ นภากาศเดินผ่านตรงที่เดือนนั่งอยู่ เดือนลุกขึ้นยืนยิ้ม เหมือนรับเสด็จ นภากาศชายตามองแล้วเดินจากไป
“ยืนทำไม” รวิถาม เดือนอ้อมแอ้มตอบ
“ไม่รู้ เนี่ย ดูสิ ถอนสายบัวให้เขาด้วย”
เดือนมองตาม ทำความเคารพไล่หลัง ศิริพรมองนภากาศแบบรู้สึกว่าตัวเองก็ทาบไม่ติดเหมือนกัน
วันต่อมาขณะที่เดือนนั่งกินข้าวอยู่ในบ้าน ป้อมกับขำโผล่มาตะโกนเรียกที่หน้าบ้าน
“เดือน เดือน อยู่หรือเปล่า”
เดือนชะเง้อหน้ามองไปทางหน้าบ้าน ขำเดินเข้ามาหาวางโปสเตอร์แผ่นใหญ่ลงบนโต๊ะอาหาร
“อ่ะ เจอไอ้นี่พี่ป้อมบอกให้แกะมาฝาก”
เดือนหยิบมาดูแล้วตาโต
“ห้างโรซี่สโตร์จัด ประกวดร้องเพลง”
“ดูสิรางวัลของคนชนะจะได้เท่าไหร่”
“หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน” เดือนนับรวมจุดทศนิยมไปด้วย “ห้าล้าน โห ห้าล้านแน่ะพี่” ขำอ่อนใจ
“จุดทศนิยมเขาไม่นับ ห้าหมื่น” เดือนนับนิ้วตาม
“เออ เยอะอยู่ดี ตั้งห้าหมื่น”
“ก็นั่นไง เจ๊แกถึงได้ลงทุนลอกกาวออกจากผนังมาให้แกนี่ล่ะ”
เดือนตื่นเต้นก้มหน้าดูโปสเตอร์แววตาเป็นประกาย
โปสเตอร์เหมือนกับของเดือน แต่แผ่นนี้มันติดอยู่ที่กำแพงสังกะสีในตลาด แก้วยืนมองอยู่เช่นกัน แก้วเอียงคอสะกดอ่านไปมา สะกดทีละคำแบบคนอ่านหนังสือไม่แตกฉาน แต่แต่งตัวสวยมาก
“ร...หันอากาศ บอใบไม้ รับ รับ สมัคร นอ หันอากาศ กอ นักร้อง รับสมัครนักร้อง”
ศิริพรเดินเข้ามายืนข้างๆ
“รับสมัครนักร้อง ใกล้ปิดรับสมัครแล้วนะ มัวแต่ยืนสะกดอยู่จะไม่ทันเขารึเปล่า”
แก้วกลัวคนอื่นรู้ว่าโง่
“ไม่ได้ยืนสะกด ดูรูปก็รู้แล้ว ฉลาดนะ” แก้วชี้สมองตัวเอง
“แล้วจะไปสู้เดือนเขาได้เหรอ เราน่ะ”
“เดือนจะไปสมัครเหรอ”
“ไม่น่าพลาดนะ” แก้วยืนคิดเซ็งๆ หน้ายู่ “เดือนมันเก่งนะ หน้าตาก็ดี”
“อันนี้ไม่ใช่แล้ว หน้าตาดีนี่ ไม่ใช่แล้ว”
ศิริพรพลิกหน้าแก้วดูไปมา
“อันที่จริง แก้วก็สวยนะ”
“ถูก แล้วหนูก็มีบางสิ่งที่เดือนเขาไม่มีด้วย”
“อะไรเหรอ”
“หนูมีบางอย่างที่เหมือนราชินีลูกทุ่งในอดีต” แก้วมีมท่าทางภูมิใจ ศิริพรนิ่งรอฟัง “หนูอ่านหนังสือไม่คล่องเหมือนกัน”
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ” ศิริพรบอก แก้วไม่ค่อยไว้ใจ
“ทำไมถึงจะมาช่วยหนู ไปช่วยเดือนเหอะ หนูเก่งกว่ามันเยอะ”
“ชั้นเห็นเรา แล้วเหมือนเห็นตัวเองในอดีต เราคล้ายกันมาก”
“อ่านหนังสือไม่ออกเหมือนกันเหรอ” ศิริพรส่ายหน้า “แล้วคล้ายกันยังไง”
“ฉันเป็นคนมั่นใจในตัวเอง”
แก้วยิ้มเสียงโทรศัพท์มือถือราคาถูกดังขึ้น เธอกดรับ
“ขอตัวก่อนนะ” แก้วเดินจากไป “โหล...” ศิริพรมองตาม
“ส่วนเธอน่ะ รู้เท่าไม่ถึงการณ์”
ศิริพรมองตามแก้วแบบมองเหยื่อชิ้นหนึ่ง
พิมุกและลูกน้องเดินอาดๆ เข้าไปเก็บดอกเบี้ยเงินกู้ตามแผงขายของในตลาดท่าปลา
“ใครรู้ตัวว่าต้องจ่ายอะไรเท่าไหร่ก็เตรียมควักกันออกมานะ ลูกพี่ฉันมีเวลาไม่มาก”
แม่ค้า พ่อค้าทยอยกันควักตังค์ออกมาจ่ายให้พิมุก
“แหม รู้หน้าที่กันดีอย่างนี้มันช่างน่าชื่นใจ ใครสนใจจะกู้เพิ่มก็บอกได้นะดอกร้อยละห้าถูกๆ กันเองเหมือนเดิม”
“ต่อเดือน?”
“ต่อวัน”
บ่างกับเตี้ยเล่นมุกกันเอง แล้วก็หัวเราะชอบใจ พ่อค้า เเม่ค้ากระเดือกน้ำลายเอื๊อก หนักใจ พิมุกเดินเรื่อยจนถึงแผงปลาของช้อย
“ไงจ๊ะแม่ยาย ลูกสาวคนสวยไม่อยู่รอจ่ายดอกเองเหรอ”
“ไม่อยู่หรอกจ้ะ ว่าแต่ว่างวดนี้ช้าหน่อยได้ไหมจ๊ะ ช่วงนี้ขายไม่ค่อยดีเลย”
“อ้าว ไหงงั้นล่ะ งวดนี้ลูกพี่ฉันอุตส่าห์มาด้วยตัวเอง”
“ช้านี่จะช้ากี่นานล่ะ หรือมีอะไรจะไว้จ่ายแทนไหม” พิมุกถาม ช้อยเริ่มหน้าเสีย
“มะไม่มีหรอกจ้ะ ก็...คงไม่ช้าเท่าไหร่ เห็นใจกันเถอะนะจ๊ะ”
“อ่ะ เห็นว่ามีลูกสาวสวยนะ วันนี้ทำโทษสักนิดหนึ่งละกัน ไม่งั้นคนอื่นจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”
พิมุกยิ้มมุมปากยกมือส่งสัญญาณให้ลูกน้องทั้งสอง แล้วเดินต่อไป
“อย่าว่ากันเลยนะ ลูกพี่เขาให้สั่งสอน”
“ช่าย”
บ่างหันไปต่อยปากเตี้ยจนหน้าหงาย
“นี่ จำเอาไว้ ทีหลังจ่ายช้าจะโดนเเบบนี้” บ่างพูดกะช้อย
“เข็ดมั้ยล่ะ” เตี้ยเลือดกบปาก แต่หันไปสมน้ำหน้าช้อย “ถ้ากลัวก็อย่าช้าอีก”
“ดูท่าจะไม่กลัวกันเลยใช่มั้ยเนี่ย” บ่างเงื้อมือจะต่อยเตี้ยอีก เตี้ยยกมือห้าม
“อย่าโดนหน้า เดี๋ยวไม่หล่อ”
“ได้” บ่างต่อยพุงเตี้ยแทน “เป็นไง ป้า จุกเลยสิ” เตี้ยจุกแอ่ด
“ดูไว้ ดูไว้ นี่ขนาดพวกกันยังจัดเต็มขนาดนี้” พิมุกอ่อนใจ เดินกลับมา กระซิบบ่างกะเตี้ย “อ้าวเหรอ แล้วก็ไม่บอก”
พิมุกส่ายหน้าถอนใจในความโง่ของลูกน้อง แล้วก็เดินจากไป ช้อยหน้าเสียยกมือไหว้
“ขอบใจมากจ้ะ พ่อคู้ณ ใจดีเหลือเกิน”
บ่างกับเตี้ยตรงเข้ารื้อแผงปลาของช้อย หยิบซากปลาเขวี้ยง ปาลงพื้น แก้วเดินยิ้มคุยโทรศัพท์มือถือเข้ามา พอเธอเห็นร้านช้อยโดนรื้ออยู่ เธอผงะนิ่งคิด ยิ้ม แล้วก็วิ่งออกไปทันที ช้อยร้องเสียงหลงตกใจกระโดดลงจากแผง
“อย่าเลย ฉันขอล่ะ แค่นี้ฉันก็ไม่มีเงินจ่ายแล้ว โธ่แล้วฉันจะเอาของที่ไหนขายเอาสตางค์มาให้กันละนี่ โธ่”
ที่บ้านเดือน เดือนกำลังหันหลังปิดประตูบ้าน ขำกางโปสเตอร์ประกวดร้องเพลงออก
“นี่ใจร้อนนะเนี่ย ทำไมต้องรีบอะไรขนาดนี้ เท่าที่ดูเขายังไม่ได้ประกวดวันนี้ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ได้หรอกเห็นหรือเปล่าเขารับสมัครมาตั้งนาน จนนี่จะวันประกวดอยู่แล้ว”
แก้ววิ่งยิ้มกระหืดกระหอบมาถึงหน้าบ้านเดือน พอเห็นเดือน เธอก็ปรับสีหน้าแววตาเป็นตื่นตระหนก
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“อะไรของแกวะนังแก้ว วิ่งมาหูตูบเชียว” ป้อมถาม
“ที่ตลาดเกิดเรื่องใหญ่แล้ว แม่ช้อยโดนพวกพิมุกเล่นงานอยู่”
“ไม่รู้จักหางเครื่องบางเสร่รุ่นแรกซะเเล้ว” ป้อมบอกขณะที่เดือนยืนนิ่ง ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
“ไปเร็วสิ เดี๋ยวก็ไม่ทันโดนลูกหลงหรอก” แก้วเร่งเดือน
“หือม์” เดือนเหมือนได้ยินไม่ถนัด
“คือ เร็วเหอะ ไปเร็ว วุ่นกันใหญ่แล้ว”
เดือนตกใจวิ่งนำหน้าแก้วพุ่งไปที่ตลาดทันที แก้วยิ้มมองตาม
อ่านต่อหน้า 2 nbsp;
หางเครื่อง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ที่ตลาดสด คอเสื้อลูกน้องของพิมุกถูกกระชากจากด้านหลัง เซไป รวิเสยหมัดเข้าที่คางบ่าง พิมุกที่เดินผ่านไปแล้วได้ยินเสียงหันกลับมาชี้หน้ารวิ
“ไอ้ลิเกกระจอก นี่เมื่อคืนยังไม่เข็ดใช่มั้ยเนี่ย”
รวิจัดการลูกน้อง 2 คนของพิมุกเสียศูนย์ไป บ่างกับเตี้ยพยายามสู้ แต่คิวบู๊ทำให้ทั้งคู่ต่อยกันเองบ่อยๆ
“รังแกคนแก่ไม่มีทางสู้นี่มันใส่กระโปรงแทนกางเกงมวยได้แล้วมั้ง”
พิมุกย่างสามขุมตรงไปที่รวิกำหมัดกะอัดหน้ารวิเต็มที่ แล้วทั้งพิมุกกับรวิก็ลงไม้ลงมือกัน หลายคนประหลาดใจที่รวิเองก็เป็นมวยเหมือนกัน แต่ยังเป็นรองพิมุกนักมวยอาชีพอยู่
“คิวบู๊ลิเก มันช่วยอะไรเอ็งไม่ได้มากหรอก”
ทั้งสองคนทำท่าเหมือนจะเข้าหากันอีก
“หยุด แม่ นี่อะไรกันเนี่ย”
เสียงเดือนดังขึ้น แก้วที่วิ่งตามหลังเดือนมา ทำเป็นหยุดไม่อยู่ ชนเดือนล้มหน้าทิ่มไป
“อุ๊ย ขอโทษ”
“ระวังหน่อยสิ” ขำดุแก้ว”
เดือนเจ็บเข่าที่กระแทก เซเข้ามาก้มลงประคองช้อยไว้ พิมุกกับรวิเห็นเดือนเดินเข้ามาก็ชะงัก
“อ้าว น้องเดือนคนสวย ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ลูกน้องพี่มันแค่ซุ่มซ่ามไม่มีหูไม่มีตาเดินเตะแผงของแม่ช้อยเข้า ก็เท่านั้นเอง อ่ะ” พิมุกหันไปดุลูกน้อง “ยังเซ่อกันอยู่ได้ช่วยแม่ช้อยเก็บของขึ้นที่แผงสิ”
เดือนมองที่รวิทีแล้วจ้องหน้าพิมุกอย่างไม่เชื่อ
“เอาเหอะ ไม่ต้องช่วยหรอกเดี๋ยวฉันเก็บเอง จะไปไหนก็ไปกันเถอะ”
“แหมน้องเดือน แทนที่เจอพี่จะดีใจกลับไล่ซะงั้น นี่พี่ทำดีไม่เห็นความดีเลยเหรอจ๊ะ อุตส่าห์ละเว้นไม่เก็บดอกแม่ช้อย แทนที่น้องเดือนจะชม”
“ยังจะมาพูดอีก ใครๆ เขาก็เห็นกันทั้งนั้นว่าเอ็งทำอะไร”
“ไหน ใคร ใครหน้าไหนที่เห็น”
“พวกแกน่ะแหละ ทำร้ายแม่เดือนเขา เดือนอย่าไปยอมมัน” แก้วจับมือเดือนทีื่ยืนอยู่ข้างตน ตบหน้าบ่าง
“อ่ะ นังนี่”
“ทำไม นึกว่าเดือนจะกลัวเหรอ” แก้วอยู่ด้านหลังเดือน จับมือเดือนตะลุยตบบ่างกับเตี้ย จนสองคนต้องปัดป้อง ผลักเดือนล้ม “พวกแก ทำเดือนทำไม”
พิมุกหันไปจ้องหน้าแก้ว
“นังนี่” พิมุกเข้าไปตบบ่างกับเตี้ย “ใครบอกให้เอ็งทำเดือน”
“มันตบชั้นเอาตบเอา”
“อย่าไปมีเรื่องกะมันเดือน เอาพิมเสนไปแลกเกลือไม่คุ้มหรอก” แก้วบอกแล้วถอดรองเท้าเดือนใส่มือเดือน “ตบมันด้วยอีแตะนี่เลย”
เดือนมองแก้วแบบ นี่มึงหวังดีหรือร้ายกันแน่เนี่ย
“พวกแกมีอะไร มามีกะฉันดีกว่า” รวิบอกแล้ว รวิกับพิมุกกฌเดินเข้าหากัน
“เอาเหอะพี่” เดือนเข้ามาขวางกลาง “ฉันขอบใจพี่มากเรื่องแม่ อย่ามีเรื่องกันเลย เรื่องเงินให้เวลาหน่อย ฉันกำลังจะไปประกวดร้องเพลง ถ้าโชคดีได้รางวัล ฉันจะจ่ายให้หมดทบต้นทบดอกเลย”
แก้วฟัง ตาลุกโพลง
“ประกวดร้องเพลง เออๆ ก็ขอให้ชนะแล้วกันนะน้องเดือนของพี่ พี่จะรอนับสตางค์ที่บ้าน ว่าแต่น้องเดือนต้องเป็นคนเอามาจ่ายเองนะจ๊ะ ฮ่าๆๆ พี่จะเปิดห้องนอนรอ” รวิทนฟังไม่ได้จะพุ่งใส่พิมุกอีกรอบ ลูกน้องพิมุกรีบเข้ามากันนาย ขำกับป้อมก็เข้ามาตั้งการ์ดเหมือนจะช่วยรวิ สองฝ่ายเผชิญหน้ากัน “เฮ้ย ไม่เป็นไร กลับ วันนี้สนุกพอละ ยังไม่อยากออกแรง ไปเว้ย”
พิมุกพาพวกหันกลับแต่ยังไม่วายหันไปชี้หน้ารวิแบบฝากไว้ก่อน เดือนประคองช้อยลุกขึ้นนั่งบนแผงสบตากับรวิถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ดีแล้วล่ะเดือน อย่าไปมีเรื่องอะไรกะพวกมันเลย” แก้วบอกแล้วเอารองเท้าแตะของเดือนเขวี้ยงใส่หลังบ่าง “จะรีบไปไหนล่ะ”
“พอเหอะ แก้ว” รวิบอกอย่างเหนื่อยใจ
พิมุกกลับมาถึงค่ายมวยของตัวเองก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกระแทกตัวลงนั่งเก้าอี้อย่างไม่สบอารมณ์
“ไอ้ลิเกขี้ครอก กล้ามากนะมึง คิดจะเล่นบทพระเอกนอกวิก”
“ลูกพี่น่าจะให้ พวกเราสั่งสอนมัน”
พิมุกชำเลืองมองลูกน้อง
“ไม่จบป.4อย่างพวกเอ็ง จะไปสั่งสอนใครได้”
“พี่พูดถูก”
บ่างกับพิมุกมองเตี้ย แบบ มึงประจบอะไรของมึงเนี่ย พิมุกขบเขี้ยวเคี้ยวฟันต่อ
“เดือนก็อีกคน ประกวดร้องเพลง”
พิมุกเหมือนนึกอะไรขึ้นได้หยิบโทรศัพท์กดโทรออก
รวิมาเดินมาส่งเดือนที่หน้าบ้าน
“วันนี้รีบนอนนะ ดูแลแม่หน่อยแกคงตกใจ”
“ขอบคุณมากนะสำหรับวันนี้”
เดือนกับรวิสบตากัน เดือนเขินๆ ยืนบิดหักนิ้วดังกร๊อบ
“นั่นนิ้วพี่”
“อุ๊ย” เดือนได้สติ อายๆ เดินหันหลังจะเปิดประตูบ้าน
“เดือน เรื่องประกวดร้องเพลง”
“ฉันต้องชนะให้ได้ เอาใจช่วยฉันด้วยนะพี่”
รวิอึ้งไป แต่ฝืนยิ้มพยักหน้ากลับให้เดือน
ระหว่างทางที่รวิกำลังเดินกลับบ้านในตลาด ศิริพรมาดักรอเจอ
“ได้ข่าวว่าวันนี้ไปเป็นพระเอกนอกวิกมาเหรอรวิ”
“ดึกแล้ว ยังไม่เข้าบ้านอีก”
“ก็มารอเธอนั่นแหละ มีบางอย่างอยากจะฝากไปบอกเดือนเขา” รวิหูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อเดือน “เรื่องประกวดร้องเพลงน่ะ ฉันรู้มาว่าพิมุกเขารู้จักกับเจ้าของห้างฯ มันจะเสียแรงเปล่าเพราะฉันเห็นว่า เพิ่งมีเรื่องกันมาวันนี้น่ะ”
“แล้ว...”
“แล้ว เขาคงจะให้เดือนชนะง่ายๆ หรอก”
“พิมุกคงไม่เล่นสกปรก”
“ไม่รู้นะ ฉันก็แค่หวังดี อยากฝากไปเตือน”
“ขอบใจมาก ว่าแต่ถ้าฉันเป็นพระเอกวันนี้ สิ่งที่เธอทำอยู่นี่เธอเองก็เป็นนางเอกนอกโรงเหมือนกันนะ”
ศิริพรยิ้มอาย ๆ
แก้วนั่งอยู่ที่โต๊ะรับสมัครนักร้องภายในห้างต่างจังหวัด เธอกำลังพยายามกรอกใบสมัครอยู่ โดยลอกตัวอักษรชื่อตัวเอง ตามบัตรประชาชน ที่เธอเอาขึ้นมาแนบดูทีละตัว
“นาง สาว น อา งอ สอ อา ว”อ
คนที่รอรับสมัครอยู่ ดูนาฬิกาข้อมือ หาวๆ อยู่อย่างรำคาญ
“น้องคะ จะหมดเวลารับสมัครแล้วค่ะ”
“แป๊บนึงค่ะ วอ วอ อา รอ รอ นอ พอ”
“พี่มีนัดต่อ หมดเวลางานแล้ว”
“แป๊บเดียว หนูสวยนะพี่” แก้วก้มหน้ากรอกใบสมัคร ไม่เงยหน้ามอง คนที่รอรับสมัครลุกขึ้นหยิบแฟ้มเดินจากไป ไม่มีใครอยู่ที่โต๊ะแล้ว แก้วยังนั่งก้มหน้ากรอกอยู่ “พี่คะ ช่องนี้ อ่านว่าอะไร” แก้วเงยหน้าขึ้นถาม ไม่เห็นใครแล้ว “อ้าว เฮ่ย อะไรอ่ะ”
แก้วมองโปสเตอร์รับสมัครการประกวดอย่างขุ่นเคือง นภากาศเดินผ่านมา ลิ้นจี่ช่วยถือถุงช้อปปิ้งให้ตามหลังมา
“อุ๊ยๆๆ คุณอานภาใช่มั้ยคะ คุณอานภา”
“พี่ก็พอมั้ง” นภากาศบอกอย่างเหินห่าง
“ค่ะ เอ่อ พี่ หนูตามดูทุกวิกเลยนะ ปิดวิกที่ไหนตามดูตลอด” นภากาศพยักหน้า “นี่หนูก็จะมาสมัครนักร้องประกวด”
“อย่าลำบากเลยนะ” นภากาศมองแก้วอย่างเหินห่าง
“คะ คือ ลำบากยังไง”
“กาก็เป็นกา จะมาเป็นหงส์ มันไม่ใช่ กามันไม่มีแสงสว่างในตัวเอง”
แก้วยังยืนงงคำพูดนภากาศอยู่ นภากาศพยักหน้าให้ลิ้นจี่เดินตามจากไป
“พูดอะไรของนาง กาๆ หงส์ๆ คนนะ ไม่ใช่หิ่งห้อย จะได้มีแสงสว่างในตัวเอง”
วันประกวดร้องเพลงที่ห้างโรซี่สโตร์มาถึง ด้านหลังเวทีเดือนอยู่ในชุดพร้อมประกวดโดยมีป้อมเป็นพี่เลี้ยงทั้งแต่งหน้า แต่งตัวให้
“เป๊ะมากน้องฉัน เรื่องความสวยเดือนของพี่ไม่เคยเป็นรองใครจริงๆ”
“อย่าล้อสิ นี่กินยาลดมาแล้วนะเนี่ย”
“ยาลดความสวยหรือยาลดความฉลาด”
“ชั้นเหมือนควายใช่มั้ยพี่”
“เดือนไม่แข็งแรงขนาดนั้น” เดือนยิ้มขำ
“ควายร้องเพลงสู้ชั้นไม่ได้ละกัน”
“หนูก็ไปจัดเต็มให้พี่เห็นซะสิจ๊ะ ไม่ต้องกลัวนะท่องไว้ “ห้าหมื่น” เวทีไหนๆ เราก็ชนะมาแล้ว วันนี้กำลังใจสำคัญมาอีกต่างหาก คว้ารางวัลชนะเลิศมาให้ได้ล่ะเผื่อวันนึงพี่จะได้ไปเต้นเป็นหางเครื่องให้หนู “เดือน งามพร้อม”
เดือนอมยิ้มเมื่อป้อมเอ่ยถึงกำลังใจสำคัญของเธอขึ้นมา
“จ้ะ พี่ป้อม ขอบคุณมาก”
บนเวทีประกวด โฆษกออกมาประกาศชื่อเดือนเป็นนักร้องคนต่อไป
“และแล้วก็มาถึงผู้เข้าประกวดนักร้องขวัญใจโรซี่คนสุดท้ายของค่ำคืนนี้ ขอเสียงปรบมือดังๆ ให้กับ เดือน งามพร้อม”
ดนตรีขึ้น เดือนเดินออกมาที่กลางเวที นภากาศเดินผ่านหน้าเวที เหมือนมีแสงแล่บแปล๊บๆ ทางหางตา เธอหันมองตามเเสง จึงเห็นเป็นเดือนนั่นเอง เดือนเต้นอยู่บนเวทีอย่างเป็นธรรมชาติ วูบนึง นภากาศมองอย่างเสียอาการ แล้วเธอก็เก็บอาการ พยายามเดินจากไปแต่ก็อดมองย้อนกลับมาไม่ได้ จุดที่เดือนเต้น คล้ายเดือนมีแสงสว่างในตัวเองเปล่งประกาย
ที่กองเชียร์เดือน รวิ ป้อม ขำ เฮกันลั่น เดือนร้องเพลงออกมาได้ดีคนดูชื่นชอบ เดือนร้องมาจนถึงกลางเพลงระบบไฟเกิดช็อตดับวูบลง นภากาศถอนใจ เดินจากไป บนเวที เดือนหน้าเสีย รวินึกถึงสิ่งที่ที่ศิริพรเตือน
“ต้องเป็นพิมุกแน่ๆ”
รวิพึมพำ บรรยากาศดูวุ่นวาย อลหม่าน
ที่ห้องพักกรรมการ กรรมการกำลังรวมรายชื่อกับคะแนนกันอยู่
“ก็ตัดสินเฉพาะพวกที่ประกวดเสร็จไปแล้ว เลยละกัน”
“มา เอาคะแนนมารวมกันดูซิ”
เดือนผลักประตูเข้ามา
“เดี๋ยวค่ะ หนูยังไม่ได้ร้องเลย”
กรรมการมองหน้ากัน
“ก็ไฟมันดับไป หนูก็เห็น”
รวิ ป้อม ขำ ตามมาดึงให้เดือนออกไป
“ไปเหอะเดือน ไป นะ”
“ไม่ ให้หนูร้องก่อนสิ รอไฟมา ซ่อมเสร็จ หนูก็ร้องได้แล้ว”
“ใครจะอยู่รอ นี่มันงานตามห้าง เสียดายอะไร”
“มันคือโอกาสของหนู เข้าใจมั้ย”
กรรมการส่ายหน้าเอือมๆ
“เรียกรปภ.ซิ”
“ไม่ต้องครับ ไปเดือน ไปเหอะ”
“ไม่เอา ไม่ไป คนใจร้าย มันไม่ใช่ว่าร้องที่ไหนนะ มันเป็นโอกาสเข้าใจมั้ย เข้าใจมั้ย”
“คุยกันไม่รู้เรื่องล่ะมั้ง”
“เดือน ไปเหอะ ไป๊”
“หนูร้องตรงนี้ก็ได้ ฟังหนูหน่อยนะ หัวใจติดดิน สวมกางเกงยีนส์เก่าๆ” เดือนพยายามร้องทั้งที่ไม่มีใครฟัง กรรมการเดินหนี เดือนเดินตามหลังร้องทั้งน้ำตาอย่างน่าสมเพช “ใส่เสื้อตัวร้อยเก้าๆ แบกกระเป๋าใบเดียวติดกาย”
รวิมองตามเดือน เขาสงสารจับใจ
“พอเหอะเดือน” รวิบอกแต่เดือนไม่สนใจยังร้องเพลงต่อ
“กราบลาแม่พ่อ หลังจากเรียนจบมอปลาย ลาทุ่งดอกคูณไสว มาอาศัยชายคาป่าปูน”
“เดือน ฟังพี่สิ” รวิจับบ่าเดือน เดือนหมดแรง แต่ยังคงร้องเพลงอยู่ในอ้อมกอดรวิ
“เอาแรงเป็นทุน สู้งานเงินเดือนต่ำๆ เก็บเงินเข้าเรียนภาคค่ำ แบกความหวัง บนทางเปื้อนฝุ่น”
ทุกคนได้แต่มองเดือน เสียงร้องของเธอก้องไปทั่วห้อง รปภ.เดินเข้ามา ลากเดือนกับพวกออกไป เดือนก้มหน้าเดินออกไปแต่ยังไม่หยุดร้องเพลง
“...ท่ามกลางเมืองใหญ่ ขาดแคลนน้ำใจเจือจุน ใช้ความอดทนเป็นทุน สู้ทน...”
เดือนนั่งซึมอยู่ในชุดนักร้อง น้ำตานอง เลอะเครื่องแต่งหน้า
“เถอะน่า คิดซะว่ายังไม่ใช่คราวของเรา” ป้อมพูดปลอบใจ
“ใช่ เวทีนี้ไม่ได้ เราก็ไปเวทีอื่น”
“ทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะพี่ป้อม ขำ เสียดายค่าชุดอุตส่าห์ไปเช่ามาก็ตั้งแพง”
“นั่นสิ มันก็น่าแปลกอยู่นะ คนร้องมาตั้งเป็นสิบๆ คน จำเพาะต้องมาช็อตเอาตอนที่แกขึ้นไป”
“ไอ้ห้างนี่ก็แสนจะไม่ยุติธรรม มีอย่างรึตัดเราออกไปเลยซะงั้น ความผิดไม่ใช่”
“เอาเถอะ เรื่องผ่านมาแล้วทำอะไรไม่ได้แล้ว เรื่องค่าเช่าชุดพี่จัดการให้เอง ถือว่าเป็นการปลอบใจ” รวิบอกแต่เดือนยังคงแน่นิ่ง รวิจับแขนเดือนให้ลุกขึ้น “ป่ะ เปลี่ยนชุดซะ แล้วไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า มื้อนี้พี่เป็นเจ้าภาพเอง ซึมไปก็เท่านั้น”
วันต่อมา รวิ ขำ พร้อมกับลูกน้องที่เล่นลิเกเป็นตัวโกงร่างใหญ่ 2-3 คนเดินเข้ามาที่ค่ายมวยของพิมุก
“เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าวะ ที่นี่มันค่ายมวยนะ ไม่ใช่วิกลิเกขี้ครอก” พิมุกถามอย่างดูถูก
“เรื่องประกวดร้องเพลงเดือนวันนั้นฝีมือแกใช่ไหม”
“เฮ้ย ถ้าอยากมีเรื่องแล้วมาหาที่นี่ คิดผิดนะเว้ย ข้าบอกแล้วที่นี่มันค่ายมวย”
“ก็แค่จะบอกไว้ ลอบกัดผู้หญิงแบบนั้นมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
“ข้าก็มีเรื่องจะบอกเอ็งเหมือนกัน เรื่องน้องเดือนของข้า หน้าอย่างเอ็งอย่ามาสะเออะไปตีสนิทด้วย ไอ้วิกลิเกกระจอกๆ ของเอ็งน่ะ ลูกน้องข้าไม่กี่คนก็พังราบละ ไสหัวกลับไปซะ วันนี้ถือว่าข้าอารมณ์ดี ถ้าไม่งั้นล่ะก็...”
พิมุกพูดจบก็เรียกลูกน้องหันหลังกลับ
“เดี๋ยว”
ทุกคนหันไปตามเสียงขำ ที่ขึ้นไปยืนบนเวทีผ้าใบตั้งเเต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ขำกดเครื่องเล่นเทปที่ตนถือติดมือไปด้วย เป็นเพลงรำมวยไทย ขำร่ายรำ ดูตลกมากกว่าน่าเกรงขาม ขำทำท่า ยิงธนู ทำท่าข่มขวัญแม่ไม้มวยไทย รวิก้มหน้าอายๆ พวกพิมุก
“อะไร”
“มา ส่งใครก็ได้ขึ้นมาคนนึง จะสอนให้รู้จักแม่ไม้มวยไทยไชยา” ขำบอกเมื่อรำเสร็จ
พิมุกพยักหน้าให้ลูกน้องนักมวยขึ้นไปหนึ่งคน
“ระวังตัวด้วย ดูท่ามันจะเป็นมวย”
รวิมองตามอย่างเป็นกังวล
ขำยิ้มมุมปากมองนักมวยร่างยักษ์ที่เดินขึ้นเวทีมา ง้างหมัดเข้าไปหาทันที
หน้าขำยับเยิน รวิอ่อนใจ ขำทรุดตัวลงนั่งที่แผงปลาของเดือน เดือน ป้อม หายาทาให้
“เนี่ยนะมวยไชยา ไข่เค็มไชยาน่ะสิ”
“พี่รวิก็ไม่ดูกันเลย”
“ก็นึกว่ามันซ่อนรูป”
“เพิ่งดูถ่ายทอดไทยไฟท์มา มันเลยคึกไปหน่อย”
“ทีหลังไม่มีเรื่องกันแล้วนะ มันอะไรกัน”
“ก็ไอ้พิมุก...”
รวิส่ายหน้าไม่ให้ขำพูด
“ตามใจ ไม่อยากเล่า ก็ไม่อยากฟัง”
“เออ คืนนี้ที่ศาลเจ้ามีงิ้วนะ ว่าจะเอาขนมไปขาย” ช้อยบอก
“โหแม่จะไหวเหรอ กลางวันขายปลา กลางคืนจะขายขนมอีก กว่างิ้วจะเลิกก็เที่ยงคืน”
“ก็แล้วแกจะไปช่วยไหมล่ะ”
“ไปสิแม่ ยังไงก็ต้องไปช่วยอยู่แล้ว” ป้อมเดินเข้ามายื่นใบปลิวแผ่นเล็กในมือให้เดือน เดือนรับมาอ่านอย่างงง ๆ “รับสมัครนักร้องประจำวงดนตรี ฟ้างาม ครามฝัน”
เดือนอ่านออกมาแล้วเบิกตาโพลงอย่างตื่นเต้น ช้อยดึงใบปลิวไปเขม้นตาอ่านบ้าง
“อีกละ เอาอีกแล้วนังเดือน คราวที่แล้วเรื่องประกวดไปที ยังไม่เข็ด”
“แหม แม่จ๋าคราวที่แล้วน่ะประกวด คราวนี้เขารับสมัครเลยจ้ะ เขาไม่ได้เรียกเก็บสตางค์สักหน่อย ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เนอะพี่ป้อมเนอะ”
ป้อมพยักพเยิดกันกับเดือน
“นั่นสิป้าช้อย ไม่มีอะไรเสียนี่นา เดือนมันก็เสียงดีไม่แพ้ใคร หน้าตารึก็สวยถอดแบบป้ามา จับพลัดจับผลูฉันจะได้ไปเป็นหางเครื่องประจำให้ไงล่ะ”
“จากโคโยตี้ฟรีแล้นซ์ จะไปเป็นแด๊นเซอร์โปรเฟสชั่นแนล ว่างั้น”
ป้อมยักคิ้วมั่นใจ ช้อยส่ายหัวแบบไม่เล่นด้วย
“เออ เชิญพวกแกสองคนตื่นเต้นกันไปเหอะ อาชีพอื่นมีเยอะแยะไม่เลือกอยากจะไปเต้นกินรำกินเอาตัวเองไปเสี่ยงกับสิงห์ เสือ กระทิง แรด ก็เชิญ”
เย็นวันนั้นขณะที่เดือนกินข้าวอยู่กับช้อยเงียบๆ รูปพ่ออยู่บนผนังหล่นลงมาแตก สองคนสะดุ้ง
“เดี๋ยวชั้นเก็บเอง”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวจะเอาไปทิ้ง”
“รูปพ่อนะ”
“ที่มันทิ้งข้า ทำไมเอ็งไม่เตือนมัน”
“ชั้นยังเด็กจะรู้เรื่องมั้ยนั่นน่ะ”
“เอ็งเป็นนักร้องแล้วไง ถ้าได้เป็นก็ต้องออกเดินสาย เป็นตายร้ายดีไงก็ไม่รู้”
“แม่ สิ่งที่เกิดกะพ่อ มันไม่เกิดกะชั้นหรอก”
“ถ้าอยากเต้นกินรำกิน ข้าจะไปฝากเอ็งเล่นงิ้ว”
“ชั้นไม่ได้อยากเล่นงิ้ว ชั้นอยากเป็นนักร้อง” ช้อยนิ่งลุกขึ้นไปกวาดรูปพ่อ เดือนมองรูปพ่อ ที่ถูกไม้กวาดลูบหน้าอยู่ “แม่ไม่เข้าใจความฝันหรอก”
ช้อยหยุดกวาด
“เอ็งนึกว่าข้าไม่มีความฝันเหรอ นึกว่าข้าอยากถูกผัวทิ้งต้องเป็นแม่ค้าหาเลี้ยงลูกง่อยๆ แบบเนี๊ยะเหรอ”
“แม่ก็ยอมให้ฉันฝันแทนแม่สิ”
“เท่าที่ผ่านมา ข้าให้เอ็งฝันมากเกินไปแล้ว”
เดือนส่ายหน้า เจ็บช้ำ ไม่เห็นด้วย
“แม่ให้ฉันฝัน เท่าที่แม่อยากให้ฉันเป็นต่างหาก”
เดือนบอกแล้วก้มหน้ากินข้าวไปเงียบๆ
คืนนั้น ช้อยเดินเข้ามาที่หลังเวทีโรงงิ้ว กวาดสายตามองหาศิริพร จนเห็นศิริพรกำลังนั่งแต่งตัวเป็นงิ้วอยู่จึงรีบเดินเข้าไปหา
“หนูศิริพรจ๊ะ ป้าขอเวลาคุยด้วยสักนิดได้ไหม”
ศิริพรชะงักวางกระจกลง
“อ้าว ป้าช้อยมีอะไรเหรอ”
“คืออย่างนี้จ้ะ ป้าจะไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลาหนูนะ ป้าจะอยากจะขอฝากนังเดือนเข้ามาอยู่ในคณะด้วยคนน่ะ”
ศิริพรทำหน้าสงสัย
“แล้วป้าถามเขาแล้วเหรอจ๊ะ ว่าเขาอยากเล่นงิ้วหรือเปล่า”
“เปล่าหรอก แต่ป้าเห็นว่ามันก็ร้องๆ แล้วก็อยู่บนเวทีเหมือนกันน่ะ เห็นมันอยากจะเป็นนักไอ้นักร้องเนี่ย”
“มันไม่เหมือนกันหรอกนะป้า เล่นงิ้วกับจะเป็นนักร้องน่ะ ฉันว่าถ้าเขาไม่อยากเองน่าจะยาก” ช้อยหน้าม่อยลง
“อ้าว งั้นหรอกเหรอ ป้าก็นึกว่าให้มาเล่นงิ้วเสียยังใกล้หูใกล้ตา น่าจะดีกว่าไปสมัครไอ้นักร้องลูกทุ่งอะไรนั่น”
“สมัคร นักร้องลูกทุ่ง เดือนเขาจะไปสมัครเหรอจ๊ะ”
“ใช่ ป้าถึงได้ห่วงอยู่นี่ไง ยิ่งไม่ค่อยทันคนเขาเท่าไหร่ กลัวมันจะไปโดนคนเขาหลอกเอา”
ศิริพรทำหน้าทำตาใช้ความคิด
เดือนขายขนมหน้ามู่อยู่หน้าโรงงิ้วคนเดียว แก้วกับขำเดินเข้ามาทัก
“ท่าทางขนมจะขายดีนะ แม่ค้านั่งหน้าม่อยเชียว”
“คนดูไม่ค่อยเยอะเนอะ คงไม่ต้องนั่งถึงเลิกโรงมั๊ง”
“เออแก้ว ที่วงดนตรีของ ฟ้างาม ครามฝันน่ะ เขารับสมัครนักร้องนะ แก้วสนใจหรือเปล่า จะได้ไปด้วยกัน”
“อึ๋ย ฟ้างาม ครามฝัน เขาต้องรับแต่ลูกทุ่งสิ ไม่อ่ะ ลูกทุ่งน่ะเชยไปสำหรับฉัน ของฉันน่ะมันต้องวงสตริง สตริงเท่านั้น”
“แล้วไอ้ที่ไปกรอกใบสมัครไม่ทัน เพราะมัวสะกดคำอยู่น่ะ ไม่ใช่ลูกทุ่งเหรอ” ขำถาม แก้วอีหลักอิเหลื่อ
“ใครบอก”
“เห็นล่ะกัน”
เดือนมองขำแล้วหัวเราะ
“ไปสมัครมากะเขาด้วยน่ะสิ” ขำพยักหน้า
“ใช่ วันนั้นฉันก็ไปสมัคร แต่เขาไม่รับ”
“อะไร ทำไม แกไปสมัครนักร้องด้วย ใช่แนวแกเหรอ”
“ไม่ใช่ อย่างฉันจะไปร้องเพลงอะไรเล่า โฆษกต่างหาก แกว่าเขาจะรับไหมโฆษกหน้าใหม่ๆ หล่อๆ แบบฉันน่ะ”
เดือนกับแก้วขำก๊าก
“ไอ้หล่อๆ ใหม่ๆ น่ะอาจรับ แต่โฆษกหน้าแปลกๆ แบบแกน่ะ “ไม่แน่” ฮ่าๆ”
วันต่อมา ช้อยกลุ้มใจเรื่องเดือนขณะจัดเรียงของไปปากก็บ่นไป
“ข้าล่ะกลุ้ม มีลูกกับเขาคนหนึ่งห้ามอะไรมันก็ไม่ฟัง อยากให้เป็นแม่ค้าขายปลาก็ไม่เอา อยากไปยืนบนเวที”
“แหม นังช้อย จริงๆ ฉันว่ามันก็ไม่ได้ผิดอะไรนะ นังเดือนมันทั้งสวยทั้งเสียงดี มันก็ต้องอยากใช้ประโยชน์บ้างล่ะนะ”
“ฉันว่าก็ดีนะ เอาความสาวความสวยมาใช้ประโยชน์น่ะ นังเดือนนี่ฉลาดไม่เบา คงหวังหาเสี่ยรวยๆ จากงานนี้”
กิมยังพูดไม่ทันจบก็มีปลาจากแผงของช้อยปลิวข้ามฝั่งไปกระแทกหัวกิม
“นี่แน่ะ ปากดีนัก ดีแต่วิจารณ์ลูกชาวบ้าน ลูกสาวตัวเองน่ะระวังไว้เหอะ”
กิมหยิบของจากแผงตัวเองปากลับไปหาช้อย
“นึกว่าปาได้คนเดียวเรอะนังช้อย นี่แน่ะ ลูกสาวข้าน่ะไม่ต้องห่วงหรอก ลูกทุ่งกระจอกๆ น่ะน้อยไป อย่างลูกข้ามันต้องวงสตริง โก้กว่าเยอะ”
ศิริพรไปที่ค่ายมวยของพิมุก พิมุกต่อยมวยอยู่กับลูกน้องอย่างเก่งทีเดียว พิมุกเห็นศิริพรอยู่ด้านล่างเวที เขาซัดลูกน้องตัวเองจนปากแตกเลือดท่วม ลูกน้องโยนผ้าแล้วพิมุกก็ยังไม่หยุดต่อย จนหนำใจพิมุกถึงหันมายักคิ้วกับศิริพร พิมุกเดินไปคุยกับศิริพร ทั้งคู่คุยกันน่าสงสัย
กิมกลับมาถึงบ้านก็กระแทกตัวนั่งลงที่เก้าอี้
“เชอะ อยากจะอวดมีลูกสาวสวย เสียงดี ฉันจะรอดู น้ำหน้าอย่างนังเดือนมันจะไปได้สักแค่ไหนเชียว”
“อะไรกันแม่ หงุดหงิดกลับมาเนี่ย” แก้วถามอย่างแปลกใจ
“หมั่นไส้นังช้อยมัน มาทำเป็นบ่นลูกสาวจะไปสมัครเป็นนักร้องลูกทุ่ง บ่นไปงั้นแหละ อยากให้คนชมลูกสาวมันสวย”
“เออ แม่ ว่าแต่ถ้าฉันจะไปสมัครบ้างล่ะ แม่จะว่ายังไง”
ที่ออฟฟิศวงดนตรี ฟ้างาม ครามฝัน นภากาศนั่งแต่งหน้าเขียนคิ้วอยู่อย่างไว้ตัวที่มุมนึงภายในออฟฟิศ ประทีปกับโรจน์ ให้ความเกรงใจอยู่ ที่เล็บเท้าเธอ ลิ้นจี่ตะไบเล็บให้อยู่
“เงินเดือนฉันเดือนนี้ ยังไม่ได้โอนเข้าบัญชีมาเลยนะ”
“ใจเย็นๆ น่า แล้วจะโอนให้นะ นภา”
นภากาศชำเลืองตามอง โรจน์กับประทีปแบบห่างเหิน
“อย่าบีบให้ฉันต้องไปหาที่อยู่ใหม่เลยนะ” ประทีปอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่กล้าวอแวอะไรด้วย “วงฟ้างาม ครามฝัน ฟ้างาม ที่ขาดนภากาศ มันคงงามไปไม่ได้หรอกนะ”
นภากาศเดินเยื้องย่างออกจากห้องนั้นไป ลิ้นจี่เดินถือกาละมังแช่เท้าตาม ลิ้นจี่กระซิบกับโรจน์ กลัวนภากาศได้ยิน
“รีบเลยนะ อย่าให้นางโกรธ”
“เออๆ ยุ่งน่า”
“นภาเขาก็พูดถูกนะ วงฟ้างาม ถ้าไม่มีเขาก็จบ” ประทีปบอกอย่างหนักใจ โรจน์พยักหน้า ขุ่นเคือง
“อย่าให้มีทางเลือกมั่งก็แล้วกัน”
ลูกน้องพิมุกผลักประตูออฟฟิศวงดนตรีฟ้างาม ครามฝัน เข้าไป พิมุกยืนจังก้าอยู่กลางออฟฟิศ โรจน์กับประทีปเดินออกมารับแบบประจบ
“โอ้โห คุณพิมุกงวดนี้มาเองเลยเหรอครับ เชิญครับ เชิญ เชิญ”
“ถ้ารู้ว่าคุณพิมุกจะมาด้วยตัวเองจะได้ทำความสะอาดรอก่อน เชิญครับ นั่งก่อนๆ”
“ที่เหลือจะจ่ายเมื่อไหร่”
โรจน์กับประทีปเหงื่อตกมองหน้ากันอย่างกดดัน
“ก็ เร็วๆ นี้ล่ะครับ”
“เศรษฐกิจช่วงนี้มันไม่ค่อยดี เขาจ้างไปโชว์ เงินก็ช้าบ้างไม่ได้บ้างน่ะครับ”
พิมุกกวาดตามองบนโต๊ะทำงานของโรจน์ สะดุดตาแฟ้มหนึ่งแล้วหยิบขึ้นมาเปิดๆ ดู
“รับสมัครนักร้องใหม่อยู่เหรอ” พิมุกดึงกระดาษออกมาแผ่นหนึ่งจากแฟ้มแล้วยื่นให้ทั้งโรจน์กับประทีปดู “คนนี้ เด็กฉัน จะให้ทำอะไรก็ทำไป ยกเว้น นักร้อง เพราะฉัน หวง ตกลงไหม”
โรจน์กับประทีปแทบจะดึงกระดาษจากมือพิมุกไปพร้อมกัน
“เดือน งามพร้อม อ๋อ คนนี้เอง หน้าก็สวย เสียงก็ดี แหมคุณพิมุกช่างตาถึง”
“อาทิตย์หน้าจะให้ลูกน้องเข้ามาใหม่ คราวนี้อย่าช้าล่ะ”
พิมุกพูดจบก็ลุกขึ้นจะกลับแต่แล้วก็ชะงักหันหลังเดินกลับไปกระซิบบางอย่างกับโรจน์และประทีป
ทั้งสองมองหน้ารู้กันเองแล้วหัวเราะลั่นออกมา
อ่านต่อหน้า 3
หางเครื่อง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ฟากเดือนอยู่ที่บ้าน ถือโทรศัพท์ลุกขึ้นด้วยความดีใจ
“จ้ะ จ้ะ พรุ่งนี้ 10 โมงนะจ๊ะ ได้จ้ะพี่ขอบคุณมากนะจ๊ะ”
เดือนวางสายโทรศัพท์แววตาฉายแววแห่งความหวัง ตะโกนร้องเพลงเสียงดัง
เช้าวันรุ่งขึ้น เดือนไปถึงที่ออฟฟิศวงดนตรีก่อนเวลานัด เธอนั่งรอชะเง้ออยู่ในออฟฟิศ เดือนดูนาฬิกาข้อมือ
เดินวนไปมาจะเอาไงดี แล้วก็เห็นโรจน์กับประทีปเดินออกมายิ้มแย้ม เดือนยกมือไหว้
“หนูเดือนนภาใช่ไหมเนี่ย มาแต่เช้าเลย อืม...สวย รูปร่างดี อย่างนี้นี่เอง อ้อ ลืมแนะนำนี่ครูประทีป เป็นครูฝึกเต้นของที่นี่”
เดือนยกมือไหว้ ประทีปมองเดือนแบบสำรวจแล้วยิ้มพอใจ
“ลิ้นจี่เขาเตรียมชุดไว้ให้ลองละ ว่าแต่ว่าเรื่องเต้นนี่เคยมีพื้นฐานอะไรมาบ้างหรือเปล่า”
“ไม่มากค่ะ แค่พอโยกๆ ตามได้”
“ไหนลองซิ” ประทีปเปิดเพลงลูกทุ่งสามช่า เดือนเต้นอย่างเมามันส์ แต่ดูตลกมากกว่างดงาม “อืมไม่เป็นไร แค่เรื่องเต้น ไม่ยากหรอกเดี๋ยวสอนกันได้ มาๆ ทางนี้ ไปลองชุดกัน”
เดือนฟังแล้วทะแม่งๆ แต่ก็ไม่ได้ถามเดินตามไปเฉยๆ
ประทีปพาเดือนเดินมาถึงห้องแต่งตัวเห็นป้อมคุยอยู่กับลิ้นจี่
“ใคร”
ประทีปถามอย่างแปลกใจ ลิ้นจี่มองป้อมแบบเหินห่าง ไว้ตัว
“เพื่อนร่วมรุ่น แดนเซอร์ บางเสร่ ก๊กแรกเริ่ม”
“สวัสดีค่ะ ลองงานค่ะ” ป้อมยิ้มกับเดือน ประทีปพยักหน้าไม่ใส่ใจ
“ดูไปพลางๆ นะ เดี๋ยวคนที่เขาจะมาช่วยดูให้คงใกล้มาละ ฉันออกไปข้างนอกก่อน ฝากด้วย ลิ้นจี่” ประทีปดันเดือนให้ลิ้นจี่
“ลองดูซิ ชุดไหนพอใส่ได้บ้าง เดี๋ยวมา ปวดฉี่”
ลิ้นจี่พูดกับเดือนแล้วเดินออกไป เดือนตื่นตากับเสื้อผ้าทั้งหลายหยิบนู่นนี่ขึ้นมาจับ ทาบชุดเล่นกับตัวอย่างสนุกสนาน เดือนหยิบชุดไปลองที่หน้ากระจกแล้วสมมุติตัวเองเป็นนักร้องร้องเพลงออกมา
“อายุสิบห้า ต้องมาเป็นสาวรำวง มาใส่กระโปรงวับๆ แวมๆ ไฟสลัวมัวเหมือนคืนเดือนแรมอร้า อแร่ม อยู่บนฟลอร์เต้นรำ เราเกิดมา เป็นคนต้อยต่ำ กระด่างกระดำดังเม็ดดินเม็ด”
ลิ้นจี่เดินเข้ามา
“เพลงเก่าได้อีก เสียงดีนะเรา เสียงดีอย่างนี้น่าจะเป็นนักร้อง” เดือนชะงักยกมือไหว้ลิ้นจี่ ลิ้นจี่มองเดือนอย่างสำรวจรูปร่างหัวจรดเท้า “รูปร่างอย่างนี้ สบายเลย ใส่อะไรก็สวยไม่น่ามีปัญหา เคยเต้นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า”
เดือนส่ายหน้างงๆ ป้อมแอบมองอยู่ นึกเป็นห่วงเดือน
“เดือน” ป้อมเดินเข้ามาแต่ก็สะดุดกับลิ้นจี่ก่อน “ฉันช่วยดูให้ก็ได้”
“อ้อ สนิทกันหรอกเหรอ ก็ดี งั้นฉันไปล่ะ แล้วอย่าลืมสอนกฎ กติกามารยาทในการทำงานด้วยนะ จะได้อยู่อย่างมีความสุข”
ลิ้นจี่ทิ้งท้ายไว้แล้วเดินออกไป
“กฎอะไรเหรอพี่ป้อม”
“อย่าไปสนใจเลย ยัยนั่นน่ะเป็นหัวหน้าแดนเซอร์ที่นี่ชื่อลิ้นจี่ แต่อีกตำแหน่งที่พ่วงน่ะเป็นคือเมียของหัวหน้าวงด้วย ไอ้กฎที่บอกก็คงมีอยู่อย่างเดียว อย่าไปยุ่งกับผัวแก” เดือนพยักหน้าขำๆ “ว่าแต่ว่า รู้หรือยังล่ะว่าคืนนี้ต้องขึ้นด้วยน่ะ”
ป้อมบอกอย่างหนักใจ เดือนจับมือป้อมขึ้นมาเขย่าอย่างดีใจ
“อะไรนะพี่ คืนนี้ฉันจะได้ร้องแล้วเหรอ ไม่เห็นมีใครบอกเลย แล้วฉันจะเตรียมตัวทันเหรอนี่”
ป้อมส่ายหัวมองหน้าเดือนอย่างเห็นใจ
“นี่ยังไม่มีใครบอกแกอีกเหรอ เขาไม่ได้รับแกเข้ามาเป็นนักร้อง”
ที่ตลาด ช้อยวางตะกร้าลงสีหน้าตกใจ
“หางเครื่อง”
“เขาเรียกแดนเซอร์แม่ เบาๆ ก็ได้”
เดือนไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน แก้วที่อยู่แผงข้างๆ ไม่ไกลกันนักหูผึ่งแอบรี่ๆ เฉไฉหยิบโน่นหยิบนี่เข้ามาฟังใกล้ๆ
“นี่ไอ้ที่แม่พูดไม่ให้เอ็งไปป้วนเปี้ยนกะพวกวงดนตรีนี่ มันไม่มีความหมายเลยใช่มั้ย”
“เอ้า...ก็แม่บอกไม่ให้ชั้นไปเป็นนักร้อง ฉันก็ไปเป็นแดนเซอร์แล้วนี่ไงล่ะ”
“เอ็งอย่ามาเล่นแง่ ถ้าเขาให้เอ็งเป็นนักร้อง เอ็งก็คงขัดคำข้าไปแล้ว”
“แม่จะมาดุอะไรกะความผิดที่ชั้นยังไม่ได้ก่อเนี่ย”
“ยังไม่ได้ก่ออะไร ก็จะไปเป็นหางเครื่องอยู่เนี่ย”
“แม่ไม่เคยห้ามเรื่องเต้น เพราะฉะนั้น อย่า”
“ทำไมข้าจะไม่ห้าม”
“แม่นี่พูดจาเลอะเลือน”
เดือนเฉไฉเดินจากไป แก้วปรี่เข้ามา เอายาดมให้ช้อย ที่เหมือนโกรธจะเป็นลม
“นี่จ๊ะ”
“ขอบใจ”
“เดือนนี่ก็ไม่น่าทำให้ป้าเสียใจเลยน้า”
ช้อยชำเลืองมองแก้ว แบบไม่ร่วมนินทาลูกตัวเองด้วย
“ช่างเหอะ”
“วงอะไรนะ ที่เดือนเขาจะไปเป็นแดนเซอร์น่ะ”
“ฟ้างาม ครามฝันวันนรกแตกอะไรก็ช่างมันเหอะ”
ช้อยเดินไปจัดเรียงแผงของตน ทิ้งให้แก้วคิดอะไร แบบตาใสแป๋วไร้เดียงสาตามลำพัง
เดือนนั่งหน้าเศร้าอยู่ที่วิกลิเกของรวิ รวิเดินเข้ามานั่งข้างๆ
“ได้ข่าวว่าได้งาน ยังมานั่งหน้าเศร้าอยู่อีก”
“งานอะไรล่ะพี่รวิ เขาไม่ได้ให้ฉันเป็นนักร้องนะ”
“เหรอ ก็เห็นขำมันบอกว่าเดือนได้เข้าไปอยู่ในวงดนตรีแล้ว”
“เขาให้ฉันเป็นแค่หางเครื่องน่ะ เขาบอกให้เป็นไปก่อน คงเหมือนฝึกงานละมั้ง”
“จะดีเหรอเดือนฉันไม่ค่อยจะได้เห็นคนเป็นหางเครื่องขยับขึ้นมาร้องเพลงเลยนะ”
“นั่นสิ แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ หางเครื่องทั่วไปอาจร้องเพลงไม่ได้แบบฉันก็ได้”
“รวิ อยู่ไหนน่ะ ฉันซื้ออาหารกลางวันมาให้ ทำไมวันนี้วิกนี้เงียบจัง” ศิริพรเดินเข้ามาหอบหิ้วอาหารเต็มสองมือ
“อ้าว เดือนก็อยู่ แหมถ้ารู้งี้จะได้ซื้อมาเยอะกว่านี้ รวิก็ไม่เห็นบอกเลยว่าเดือนจะมา” เดือนงงมองหน้ารวิทีศิริพรที “แหมหน้างงเชียว รวิกะฉันเราทานข้าวกลางวันด้วยกันบ่อยๆ”
เดือนเหมือนจะหน้างอหันมองรวิ รวิยิ้มเกรงใจ
“อืม ก็โรงงิ้วกะโรงลิเกก็ไม่ไกลกันเท่าไหร่ เหอะๆ ลมพัดทีก็หอบเสียงมาตีกันอยู่บ่อยๆ เหอะๆๆ” รวิฝืนหัวเราะกับเดือน “จะเที่ยงละเดือน ไม่รีบไปไหนอยู่กินมื้อเที่ยงด้วยกันก่อนนะ”
“เอาสิ 3 คนพอได้อยู่ ต้องบอกรวิวันนี้ห้ามกินเยอะ เดี๋ยวฉันไปเอาอุปกรณ์มาก่อนนะ”
เดือนลุกขึ้นทันทีไม่สบอารมณ์ หัวไปชนของที่แขวนอยู่ดังโป๊ก เดือนเสียฟอร์มแต่ยังงอนต่อ
“ไม่ต้องหรอก กินกันไปเหอะ ฉันไม่ว่างน่ะ เดี๋ยวต้องไปซ้อมละ”
“ซ้อม...อ๋อ โคโยตี้น่ะเหรอ”
“แดนเซอร์ ไม่ใช่โคโยตี้”
“มันก็เหมือนๆ กันรึเปล่า” ศิริพรแกล้งถามรวิ
“เราเรียกว่า หางเครื่องกันดีกว่ามั้ย กลางๆ ดี เหอะๆ”
เดือนหน้าง้ำกะรวิ
“เรียกอะไรก็เหอะ งั้นที่ได้ยินมาก็จริงน่ะสิ อ้าวเดือนไหนใครๆ ก็รู้ว่า เธออยากเป็นนักร้อง ทำไมจะไปเต้นซะแล้วล่ะ”
“พี่รวิ ฉันไปก่อนนะ กินให้อร่อยละกันมื้อนี้”
เดือนพูดจบก็เดินออกไป รวิมองตามงงๆ
แก้วขี่จักรยานมาตามริมถนนที่มีรถเก๋งจอดอยู่ข้างทาง แล้วโซ่จักรยานก็ดันหลุด แก้วหงุดหงิดจอดรถจักรยานหมุนที่ถีบเพื่อจะใส่โซ่ แล้วแก้วก็เห็นเดือนเดินอยู่อีกฟากหนึ่งของถนน แก้วเบ้ปากหมั่นไส้
“หุ่นอย่างงี้จะเต้นไหวเร๊อะ”
แก้วใส่โซ่จักรยานเสร็จแล้ว เดือนล้วงกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ มีเหรียญสิบบาทติดผ้าเช็ดหน้าออกมาด้วยมันกลิ้งเข้าไปใต้ท้องรถที่จอดอยู่ริมถนน เดือนก้มมอง พยายามเดินวนสองด้านรถล้วงก็ไม่ถึง แก้วมองอยู่ เธอเหลียวมองสองฟากถนนไม่เห็นมีใคร แก้วขึ้นคร่อมจักรยานช้าๆ เดือนนั่งคุกเข่ากับพื้นถนน เอาหน้าแนบรถ พยายามล้วงมือหยิบเหรียญสิบที่อยู่ใต้ท้องรถ
“อึ๊บ...อึ่บ”
หน้าเดือนแนบรถแล้วมือก็ยังล้วงไม่ถึงเหรียญ ปลายนิ้วเขี่ยๆ ได้แค่เเตะที่เหรียญ ที่ด้านหลังเดือน แก้วขี่จักรยานใกล้เข้ามา แก้วมองรอบด้าน ไม่มีใครมองเธอแต่แก้วไม่ทันเห็นนภากาศที่ขับรถเก๋งผ่านมาจอดเช็คโทรศัพท์มือถือในรถ นภากาศรู้สึกเหมือนใครสะท้อนกระจกให้แสงเข้าตาเธออยู่แปล๊บๆ นภากาศมองไปจึงเห็นเป็นเดือนนั่นเอง มุมที่เดือนพยายามล้วงหยิบเหรียญอยู่ มีโลหะสะท้อนแดด มันสะท้อนแสงเข้าตานภากาศ จนนภากาศต้องกดกระจกลงมาดูว่าเดือนทำอะไรอยู่
เดือนก้มแทบจะเอาหนาแนบกะพื้นถนน ล้วงยื่นเเขนเข้าไปจะหยิบเหรียญ ขาเดือนเหยียดยาวไปบนถนนข้างนึง แก้วแววตาอิจฉา มองซ้ายมองขวา ไม่เห็นใคร แก้วทำเป็นโยกแฮนด์จักรยานเสียหลัก นภากาศมองเห็นแก้ว เหมือนนภากาศจะออกเสียงตะโกนเตือนเดือน แต่แล้วนภากาศก็เปลี่ยนใจ หน้านิ่งมองเหตุการณ์
“ว้ายๆๆ ระวัง ระวัง”
เดือนได้ยินแต่เสียง จะหันกลับมามอง แต่ไม่ทันแล้ว จักรยานแก้วทับไปบนข้อเท้าเธอทางด้านหลัง
เอ็นร้อยหวาย เดือนเจ็บจนร้องออกมา
“โอ๊ย”
เดือนนั่งพิงรถอยู่ข้างถนน แก้วลงจากจักรยานเข็นจักรยานกลับมาอย่างเร็ว
“เดือน เป็นไงมั่ง”
แก้วปล่อยจักรยานวิ่งตรงเข้าไปหาเดือน เดือนยกมือป้องลำตัว จักรยานล้มลงข้างเธอ นภากาศเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เธอไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา นภากาศกดกระจกหน้าต่างรถขึ้นเเล้วขับจากไป
“เดือน ขอโทษที ไม่ทันเห็น เธอก้มทำอะไรอยู่”
“เก็บตังค์น่ะ เสียดาย ชั้นผิดเองเเหละ”
“อือ ใช่”
เดือนกำหลังส้นเท้าตัวเอง
“โอ๊ย”
“เป็นไงมั่ง”
“คง ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“เสียดายจัง” เดือนมอง “คือ เสียดาย ไม่น่าเกิดขึ้นเลย” เดือนพยักหน้า พยายามลุกขึ้น เอามือเกาะรถ “มา ชั้นช่วย”
เดือนให้แก้วพยุง แก้วกัดฟันแล้วก็ทำเป็นเสียหลัก เข่ากดลงไปที่หลังส้นเท้าตรงเอ็นร้อยหวายที่เดิม
“โอ๊ยๆๆ” เดือนร้องลั่น
“เดือนๆๆ ชั้นขอโทษ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรรึเปล่า”
แก้วยังคงกดเข่าทับอยู่ที่เดิม เดือนได้แต่หลับตา เจ็บแปล๊บจนน้ำตาไหลออกมา
“ลุกๆ”
แก้วขยี้ส่งท้าย ลุกขึ้น เสียงดังกรึ่บ
“เจ็บมากมั้ยเดือน”
เดือนทรุดตัวลงนั่ง พยักหน้า แก้วตาใสแบ๋วแบบไม่ได้เจตนาจริงๆ เดือนมองหน้าแก้วแบบค้นหาว่า มึงแกล้งกูรึเปล่าเนี่ย แล้วเดือนก็ยังไม่เห็นพิรุธในแววตาแก้วเลย
ค่ำเดียวกันนั้น เดือนกับช้อยนั่งกินข้าวกันอยู่เงียบๆ ไม่มีใครพูดกับใคร เดือนจะตักกับข้าวใส่จานช้อย ช้อยเลือนจานหนี
“ชั้นตำเองนะ น้ำพริกเนี่ย”
“อิ่มแล้ว วันนี้ข้าไม่อยาก”
“ก็เห็นเคยชอบ”
ช้อยมองลูกเต็มตา
“เอ็งก็เคยเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายมาก่อน”
“แล้วเดี๋ยวนี้ชั้นว่านอนสอนยากตรงไหน”
“เรื่องวงดนตรี”
“เออ ก็ได้ ชั้นเป็นลูกทรพี” เดือนรินน้ำที่อยู่ไม่ไกลใส่แก้วให้ช้อย “นี่ ยาความดันกินข้าวเสร็จแล้วกินซะด้วย เดี๋ยวจะไม่มีแรงด่าลูก” เดือนเอาห่อยาแกะส่งให้ “นี่ยาหยอดตา ต้อเนื้อ หยอดเองได้มั้ย เดี๋ยวบอดขึ้นมาจะไม่ทันเห็นชั้นตกนรก มาจะหยอดให้”
ช้อยดึงขวดยาหยดตามา
“ไม่ต้อง ข้าทำเองได้” เดือนมองช้อยที่พยายามเงยหน้าหยอดตาเอง มันไม่เข้าตาเลย น้ำหยดถากไปมา ช้อยวางขวดยาลง “เดี๋ยวค่อยหยอด ไม่ชอบมีคนมอง”
“มา อย่าดื้อ จะหยอดให้” เดือนหยิบขวดยา แล้วก็ลุกเดินกะเพลกอ้อมโต๊ะกินข้าวมา ช้อยมองตาม มองขาเดือน “เด็กมันดื้อกะแม่ก็เป็นแบบนี้แหละ กรรมตามสนองมัน” ช้อยค้อนเมินมองไปทางอื่น “เงยหน้าขึ้น ลืมตากว้างๆ”
ช้อยจำใจหันหน้ามาตามทางที่เดือนเชยคางนางขึ้น เดือนตั้งใจหยอดตาให้แม่ “แม่นี่ตาสวยนะ สีสนิมซะด้วย”
ช้อยเงยหน้าค้างอยู่
“ไม่ต้องมาชม”
“แม่เอ๊ย บนโลกใบเนี๊ยะ ถามคำซิ มีใครจะรู้ว่าแม่ตาสีอะไร นอกจากชั้น” เดือนพูดไปกะเพลกเดินกลับไปนั่งที่เดิม ไม่คิดอะไร ช้อยมองตามขาลูก “แม่ซะอีก ตาชั้นสีอะไร แม่เคยสนใจมั่งมั้ย”
“จะเริ่มเมื่อไหร่เนี่ย ไอ้แดนเซอร์แด๊นโง่อะไรของเอ็งเนี่ย”
“แม่ไม่ให้ไป ชั้นไม่ไปก็ได้ ชั้นก็ไม่ได้อยากเป็นอยู่แล้ว ชั้นอยากเป็นนักร้อง”
เดือนตักข้าวกินเคี้ยวตุ้ยๆๆ
เดือนเดินกะเผลกอยู่ภายในห้องนอน มุดตัวล้มตัวลงนอนในมุ้ง เธอคลำข้อเท้าตัวเองอย่างเจ็บปวด ช้อยมุดตามเข้ามาในมุ้ง เดือนหันหลังให้แม่ แล้วลืมตาขึ้นก้มมองเท้าตัวเองเห็นช้อยนวดข้อเท้าให้ตนเองอยู่ บีบครีมใส่มือนวดต่อ
“แม่ ทำอะไร”
“จะเต้นจะอะไร ก็ค่อยๆ แล้วกัน รอให้เอ็นมันดีขึ้นหน่อย ไม่ไหวจริงๆ ก็ไปหายาคลายกล้ามเนื้อมากินซะ หรือจะไปสาธารณะสุขก็บอก”
“แม่”
“อยากทำอะไรก็ทำ เรื่องของเอ็ง ไอ้ที่อยากเป็นถ้ามันไม่ได้ ก็ค่อยๆ เบียดเข้าไปใกล้ๆ สิ่งที่อยากก่อนก็ได้” ช้อยล้มตัวลงนอน หันหลังให้ลูก เดือนนิ่งถอนใจ แล้วก็หันหลังกลับมาทางแม่ “ตาเอ็งน่ะ สีน้ำตาล เหมือนน้ำตาลปึกเคี่ยวข้นๆ ข้าเช็ดน้ำตามาให้เอ็งกี่ทีแล้ว ตั้งก๊ะเด็กทำไมข้าจะไม่รู้” ช้อยบอกทั้งที่ยังนอนหันหลัง เดือนนิ่ง แล้วก็กอดแม่จากทางด้านหลัง “ไปนอนไกลๆ ไป๊ ร้อน รำคาญ”
ช้อยนอนต่อ เดือนยิ้มคนเดียวในความมืด
วันต่อมา ประทีปวางโทรศัพท์ลงใบหน้ายิ้มกริ่ม นั่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นกดโทรออกอีกที
“ทุกอย่างพร้อมมาก”
ประทีปยิ้มอย่างไม่น่าไว้วางใจ นภากาศเดินลองเครื่องประดับผ่านมา
“อะไรเหรอ” นภากาศเห็นประทีปมีรูปเดือนวางอยู่ด้วย “ใคร ทำอะไร”
“หางเครื่องใหม่ ไม่มีอะไรหรอก” นภากาศถอนใจ นิ่งมองไม่สบายใจนัก “ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครมายืนแทนที่หรอก”
นภากาศชายตามอง
“ลองดูก็ได้นะ”
นภากาศบอกแล้วเดินจากไป ประทีปวิ่งตามถือรูปเดือนไปอธิบาย
“ไม่มีอะไรจริงๆ นี่ก็จะส่งไปตรวจภายในอยู่เนี่ย”
“ใครจะเป็นคนตรวจล่ะ เที่ยวเนี๊ยะ”
ประทีปยิ้มยังไม่พูดอะไร
เดือนเดินกระเพลกมีผ้าพันส้นเท้าเปิดประตูห้องซ้อมเข้ามาแบบงงๆ เพราะไม่เห็นมีใครมา
เวลาผ่านไป เดือนยังคงนั่งรออยู่ในห้องคนเดียว เสียงประตูโดนผลัก เดือนหันขวับไปจึงเห็นพิมุกเปิดประตูเข้ามา เดือนแทบจะเด้งตัวเองลุกขึ้นมาทันที เพราะไม่เห็นใครนอกจากพิมุก
“พี่พิมุก มาทำอะไรที่นี่น่ะ”
“พี่ได้ยินมาว่าวันนี้พวกเธอจะมีซ้อมกัน เลยอยากมาดู ไหนล่ะไม่เห็นมีใครเลย”
เดือนเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยของตัวเอง
“นั่นสิ ฉันมารอนานแล้วด้วย ไม่มีใครมา ฉันว่าฉันกลับดีกว่า” เดือนเดินกะเพลกๆ
“อะไรกันเดือน เราไม่ได้เจอไม่ได้คุยกันนานแล้วนะ ฟ้าอาจเป็นใจให้ทุกคนมาสาย พี่จะได้มีโอกาสคุยกับเธอไงล่ะ”
“เอาไว้ฉันไปหาที่ค่ายมวยพี่ละกันนะ โอ๊ย”
เดือนเจ็บเอ็นที่เท้า เดือนหยิบกระเป๋าแล้วเดินเบี่ยงพิมุกไปที่ประตู แต่เธอเสียหลัก พิมุกคว้าแขนเดือนไว้แล้วเอาตัวไปขวางประตู
“แต่พี่จะคุยกับเธอที่นี่ ตอนนี้”
“ไม่ต้องจับกันแรงอย่างนี้ก็ได้ มีเรื่องอะไรก็คุยมา อย่าทำแบบนี้”
“ก็เธอเล่นตัวนัก เอาแต่ไปยุ่งอยู่กับพระเอกลิเก เธอรู้ไหมที่ไอ้วงดนตรีเล็กๆ กระจอก นี่รับเธอเข้ามาเพราะใคร วันนี้เป็นได้แค่แดนเซอร์ มันก็ไม่แน่นะถ้าเธอทำดีๆ กับฉัน เธออาจจะได้เป็นนักร้องตามที่เธอฝันก็ได้”
“อย่าเลย พี่กำลังจะบอกให้ฉันเอาตัวเข้าแลก”
“มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เธอก็รู้ว่าพี่ชอบเธอมาตั้งนานแล้ว”
พิมุกดึงแขนเดือนเข้ามาแล้วใช้อีกมือเหนี่ยวตัวเดือนเข้ามาใกล้ เดือนเริ่มขืนตัว
อีกด้านหนึ่งที่ลานในสนาม ป้อมยกมือดูนาฬิการู้สึกสังหรณ์ใจประหลาด ลิ้นจี่ลุกขึ้นยืนอย่างหงุดหงิด
“ไม่ไหวนะ เพิ่งทำงานวันแรกก็ช้าละ รู้ไหมเนี่ยว่าคนต้องมารอกันตั้งหลายคน”
“แต่ฉันว่ามันน่าประหลาดนะ หรือว่าเดือนมันจะไปผิดที่ มันเป็นเด็กใหม่จะรู้ได้ไงว่าเราไม่ได้ซ้อมกันที่วงน่ะ”
ป้อมหยิบโทรศัพท์กดโทร.ออก
ที่ห้องซ้อมเต้น พิมุกผลักเดือนเข้ากำแพง เสียงโทรศัพท์สำนักงานดังขึ้น พิมุกไม่สนใจ
“อย่าทำอย่างนี้พี่พิมุก พี่กับฉันรู้จักกันนานแล้ว”
“ก็ใช่ไง พี่ชอบเธอมาตั้งนาน แต่เธอเอาแต่สนใจไอ้พระเอกลิเกนั่น จะบอกให้นะฝันของเธอจะเป็นจริงมันต้องอาศัยพี่ ไม่ใช่พระเอกลิเกกระจอกๆ”
“พี่ชอบฉันพี่ก็ไม่ควรทำกับฉันแบบนี้”
“ทำไมจะไม่ควร หลังจากนี้เธอจะได้ว่าง่ายๆ หน่อยไง”
พิมุกกำลังจะจัดการกับเดือน เดือนไม่รู้จะทำไงจึงออกอุบายออเซาะ
“เดี๋ยวนะ เดี๋ยว ชั้นเจ็บข้อเท้าอยู่”
“ไม่เจ็บหรอกนะ สัญญา”
“บีบ บีบให้หน่อยก่อนสิ เผื่อจะดีขึ้น” พิมุกนิ่งมองเดือน เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ใจคอจะสนุกอยู่คนเดียวเลยเหรอ”
“ได้ เดี๋ยวเอายาคลายกล้ามเนื้อนวดให้” พิมุกวิ่งจู๊ด เปิดลิ้นชักโน่นนี่ แล้วก็เห็นตู้ยาประจำบ้าน เขาหยิบหลอดยามาอยากเริงรื่น “มา จะได้ผ่อนคลายนะ” เดือนมองหาทางออก เธอจำใจทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ พิมุกนั่งอยู่กับพื้น เขานวดคลึงบริเวณส้นเท้าเดือน “เดือนนี่ ส้นเท้าเนียน ไม่เหมือนพวกบ้านเราเลยนะ”
“เนียนจริงเหรอ”
พิมุกก้มหน้าเขาไปมองใกล้ๆ หลังเท้า
“เนียนจริงๆ”
“จริงด้วย เนียนกว่าหน้าพี่อีก”
เดือนถีบหน้าพิมุกเต็มฝ่าเท้า พิมุกหงายท้องไปหัวกระเเทกพื้น เดือนเจ็บจี๊ดเดินกะเพลกหนีไปทางประตู พิมุกลุกขึ้นสะบัดหน้ามึนงง
“เดือนตบหน้าพี่ทำไม”
เดือนพยายามเปิดประตู
“ถีบ”
พิมุกนึกได้ ตาโต
“นี่โดนผู้หญิงถีบหน้าเหรอเนี่ย”
พิมุกลุกขึ้นมาหาเดือน เขาปล้ำเดือน เดือนคลานหนี พิมุกจับเท้าเดือนบิดนอนหงาย เดือนเจ็บเท้าข้างที่ซ้น
รวิกับขำกำลังจอดมมอเตอร์ไซค์เติมน้ำมันอยู่ โทรศัพท์มือถือขำดังขึ้น ขำรับสาย
“ฮัลโหล” ขำนิ่งฟัง “ไม่อยู่ เดือนจะมาอยู่อะไรกะข้า”
“ใครโทรมา”
“ป้อม มันโทรมาถามว่าเดือนอยู่กะเรารึเปล่า สงสัยจะเกิดเหตุ”
“ก็เห็นเดือนบอกว่าวันนี้มีซ้อมเต้น”
ขำกับรวิมองหน้ากัน
“หรือว่า...”
ที่ห้องซ้อมเต้น พิมุกบิดข้อเท้าเดือน เดือนร้องโอ๊ยหมดแรง
“จะดีดดิ้นไปทำไม”
“อย่าทำชั้นเลย ปล่อยชั้นไปเหอะ”
“เอาดีๆ จะยอมดีๆ หรือว่า ยอมทั้งน้ำตา”
“เราก็คนเห็นหน้ากันอยู่ในตลาดนะ”
“ก็เพราะเห็นน่ะสิ นานเท่าไหร่แล้ว ที่รอจนกว่าเราจะโตเป็นสาวน่ะ”
พิมุกเหวี่ยงเดือนไปที่เก้าอี้ เดือนกะเสือกกระสนจะหนีไปทางประตู พิมุกยิ้ม ยืนจังก้ากางขาดักหน้าเดือน รวิกับขำผลักประตูเข้ามา พิมุกชะงัก เดือนได้จังหวะถีบพิมุกออกอย่างแรง รวิพุ่งมาต่อยหน้าพิมุก โรจน์กับประทีปผลักประตูเข้ามาชี้หน้ารวิกับขำ
“อะไรของพวกแกเนี่ย”
“ประทีป โรจน์ จัดการกับพวกมันเดี๋ยวนี้ พวกแกเป็นเจ้าของที่นี่นะ ปล่อยมันเข้ามาได้ยังไง”
เดือน รวิ ขำ ได้แต่มองหน้ากัน จะเอาไงต่อไปดี
“ช่วยด้วย”
เดือนพูดกับรวิ รวิจ้องหน้าพิมุก พิมุกโมโห ตะโกนสั่ง โรจน์กับประทีป
“ยืนนิ่งกันอยู่ทำไมล่ะ” โรจน์กับประทีปมองหน้ากัน เอาไงดียังไม่อยากมีเรื่อง พิมุกหงุดหงิด จะเข้าไปเล่นงานรวิ แต่เสียงโทรศัพท์มือถือเขาดังขึ้นซะก่อน “รอแป๊บนะ” พิมุกรับโทรศัพท์เสียงดุดัน “ฮัลโหล ไม่ใช่ ไม่ใช่แสงดาวผ้าม่าน ผ้าม่ง ผ้าม่านอะไรต่อผิดแล้ว” พิมุกกดโทรศัพท์ปิด รวิเตรียมตัวตั้งการ์ดรับ พร้อมจะซัดกับพิมุก พิมุกจะเดินเข้าไปหา โทรศัพท์ดังขึ้นอีก เขาชี้ให้รวิรอเดี๋ยว “ฮัลโหล เหล็กดัด? ไม่ใช่ ไม่ใช่แสงดาวผ้าม่าน แล้วก็ไม่ได้ทำเหล็กดัดด้วย” พิมุกกดโทรศัพท์ปิด “มา จะได้รู้” รวิเครียด เขากลืนน้ำลาย เสียงโทรศัพท์พิมุกดังขัดจังหวะขึ้นอีก พิมุกหงุดหงิดรับโทรศัพท์ “ประตูอัลลอยด์ เฮ้ย ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ทั้งผ้าม่าน เหล็กดัด ประตูอัลลอยด์ ฮัลโหล...ฮัลโหล อ้าว...วางไปซะแล้ว”
“อย่ามีเรื่องกันที่นี่เลยนะ ขอเหอะ นะ” โรจน์บอกแล้วมองพิมุก สลับกับรวิ
“ถ้ามีเรื่องกันที่นี่เพราะเดือน” ประทีปหันมองเดือน “เธอต้องรับผิดชอบ ลืมไปได้เลย เรื่องที่จะได้ขึ้นเวทีวงดนตรีน่ะ”
รวิมองหน้าเดือน
“เอาไง”
เดือนชั่งใจ มองหน้าพิมุก
“เพื่ออนาคตของชั้น ชั้นจะลืมเรื่องนี้ไปซะ เลิกแล้วต่อกัน”
พิมุกตาขวางมองรวิกับเดือนอย่างอาฆาต
“ได้ ขอไปเคลียร์เรื่องเบอร์โทรศัพท์ก่อน หงุดหงิดจริง โทรมาผิดตลอด”
พิมุกหันมาตาเขียวกับโรจน์และประทีป ก่อนจะเดินฉุนเฉียวจากไป เดือนหันไปพูดกับรวิ
“กลับไปก่อนเหอะนะ คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
รวิมองหน้าโรจน์กับประทีป แล้วเขาก็พยักหน้า ตัดใจเดินจากไป
โรจน์กับประทีปมองหน้ากันอย่างโล่งอก
อ่านต่อหน้า 4
หางเครื่อง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ขำจูงเดือนเดินหน้าม่อยออกมาจากห้องซ้อม ป้อมกับพวกหางเครื่องเดินจ้ำพรวดๆ มา เห็นเดือนเดินกะเผลกๆ
“เป็นไงบ้างเดือน เกิดอะไรขึ้น เจ็บตรงไหนรึเปล่าเนี่ย”
“ตอนนี้น่ะยังไม่เจ็บ แต่ถ้าฉันกะรวิโผล่ไปช้ากว่านี้ โห นึกไม่ออกเลยจะเจ็บแค่ไหน”
ขำบอก ป้อมตาโตอุทานออกมา
“คุณพระ! อีตาพิมุกเนี่ยนะ ทำไม เขาจะทำอะไรเดือน”
“พี่ป้อม ช่างมันเถอะ” เดือนปรามป้อมแล้วหันไปยกมือไหว้ลิ้นจี่ “ฉันขอโทษนะพี่ แล้วก็ทุกๆ คนด้วยที่ทำให้ต้องเสียเวลา” ขำกำลังอ้าปากจะอธิบาย แต่เดือนพูดแทรกขึ้น ยกมือไหว้ลิ้นจี่ “พี่ลิ้นจี่ ฉันขอโทษจริงๆ นี่วันแรกที่ฉันทำผิด ฉันสัญญานะพี่ ต่อไปจะไม่ให้เป็นอย่างนี้อีก”
ลิ้นจี่สีหน้าไม่พอใจ จะอ้าปากด่าแต่ป้อมขัดขึ้น
“อ่ะ ขอโทษแล้วก็จบๆ ไปสิ จะซ้อมกันได้หรือยังนี่ยังเสียเวลากันไม่พออีกเหรอ”
ลิ้นจี่มองหน้าป้อมไม่พอใจแต่ก็ตบมือเรียกบรรดาเด็กๆ หางเครื่องมารวมตัว
“เอ้า ฤกษ์งามยามพร้อมแล้ว ลุกกันได้แล้วแม่คู้ณ จะเย็นอยู่แล้วยังไม่ได้ทำอะไรเลย มัวแต่ไร้สาระกันอยู่นี่”
เดือนก้มหน้านิ่งจำใจยอมรับ ป้อมเดินเข้ามาบีบมือให้กำลังใจ
เย็นวันนั้นที่หน้าบ้านเดือน รวิกำลังเอาผ้าพันรอบข้อเท้าเดือนอยู่อย่างทะนุถนอม
“ถ้าไม่ไหว คืนนี้ก็อย่าเพิ่งขึ้นเต้นเลยมั้ยเดือน”
“พี่จะให้เดือนยอมแพ้ตั้งแต่ก้าวแรกเลยเหรอ ไม่เอาหรอก มันเป็นลางไม่ดี”
“แต่ดูท่าเดือนเจ็บมากเลยนะ ช้ำบวมด้วย”
“เล็กน้อย ทายาแล้ว เต้นเสร็จพรุ่งนี้ค่อยพัก”
“ต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ เดือน” รวิถามอย่างเป็นห่วง เดือนนิ่งคิด
“พี่ไม่รู้ใช่มั้ย ว่าพ่อเดือนตายคาเวทีดนตรีด้วยซ้ำ มันคงเป็นเหตุผลที่แม่ไม่อยากให้เดือนไปเดินสายกะวงลูกทุ่งนี่แหละ”
“พ่อเดือนเป็นอะไรตาย”
“วัยรุ่นตีกัน ยิงปืนลมขึ้นมาบนเวที พ่อตกจากเวทีลงไป พวกนั้นตะลุมบอนกันทั้งมีดสะปาต้าร์ฟันมาโดนพ่อ ไม้หน้าสามตีเข้าทัดดอกไม้ เหล็กขูชาร์ฟแทงเข้าใต้ราวนม”
“พ่อเดือนอดทนมากนะ” เดือนส่ายหน้า
“หมอบอก พ่อตายตั้งก๊ะปืนลมแล้ว” เดือนยิ้มเศร้าๆ รวิทำหน้าไม่ถูก เก้ๆ กังๆ “พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ชั้นทำเพื่ออนาคตตัวเอง อะไรที่เป็นโอกาสถึงมันจะเลือนลาง ชั้นก็ขอคว้าเอาไว้ก่อนนะ พี่ให้ชั้นขึ้นเต้นเหอะ”
รวิพยักหน้า ยอมจำนน เดือนลุกขึ้น แต่แล้วก็เจ็บแปล๊บ ล้มลงในอ้อมกอดรวิ รวินิ่งมองหน้าเดือนใกล้แสนใกล้ สองคนยิ้มให้กำลังใจกันเบาๆ
เวทีเพลงลูกทุ่งติดไฟอลังการกลางลานโล่ง เสียงดนตรีกระหึ่มขึ้น ขำเดินออกมาหยุดอยู่กลางเวทีในชุดโฆษกเต็มยศ
“สวัสดีครับทุกท่าน นับต่อจากเวลานี้ไปขอเชิญสายตาทุกคู่มาหยุดอยู่ที่หน้าเวทีวงดนตรีคณะ “ฟ้างามครามฝัน” กลับมาให้ความบันเทิงกับทุกท่านแล้วครับ และบัดนี้ ขอเสียงปรบมือดังๆ ให้กับน้อง ๆ แดนเซอร์ของเราด้วยคร้าบบ”
ดนตรีด้านหลังโหมขึ้นมาอีกครั้ง ขำเดินหลบไปอยู่ทางมุมด้านข้างของเวที เหล่าหางเครื่องทยอยเดินเป็นแถวขึ้นมาบนเวที นำทีมโดยลิ้นจี่ ตามมาด้วยป้อม เดือนอยู่เกือบท้ายแถวในชุดหางเครื่องเต็มยศมีอาการประหม่า เดือนยังกะเพลก นภากาศเดินเฉิดฉายแต่งเต็ม ผ่านหน้าเดือนไปโดยไม่มองใคร นภากาศยืนโดดเด่นอยู่กลางเวที ผู้คนกรี๊ดกร๊าดโห่ร้อง นภากาศร้องเพลง เดือนชะเง้อมองนภากาศแบบศรัทธามากๆ ป้อมพยายามสบตาเดือนเรียกขวัญอยู่เนืองๆ
“นี่ยังเต้นไหวอีกเหรอเนี่ย นังนี่”
แก้วบ่นออกมาขณะดูด่านหล่างหน้าเวที ด้านล่างเวทีคนดูเริ่มชี้กันให้ดูหางเครื่องคนใหม่รูปร่างหน้าตาสวยสะดุดตา รวิชำเลืองมอง เงี่ยหูฟังอย่างไม่สบายใจนัก นภากาศที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีก็รู้สึกไม่พอใจเหมือนกัน ที่คนละสายตาจากเธอไปมองทางเดือน คนดูผู้ชายสะกิดมือกันออกไปหน้าเวทีโบกมือเรียกเดือนออกมารับเงิน เดือนละล้าละลัง ป้อมเต้นเข้ามาใกล้สะกิดมือให้เดินออกไป เดือนก้มลงยื่นมือรับเงินแต่ถูกลูบแขนแล้วกุมมือเดือนทั้งมือ เดือนตกใจชักมือกลับ รวิลุกจากที่นั่งทันที ป้อมเห็นท่าไม่ดีเต้นไปใกล้แล้วค่อยๆ ดึงเดือนกลับมา ลิ้นจี่เต้นไปชำเลืองมองเก็บข้อมูลอย่างไม่สบอารมณ์
ออฟฟิศลูกทุ่งที่ห้องทำงานส่วนตัว พิมุกตบโต๊ะดัง ปัง โรจน์กับประทีปสะดุ้งโหยง พิมุกหันหลังชี้หน้าด่ากราดเกรี้ยว
“พวกแกมันไอ้หน้าโง่ กระจอกที่สุดเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ ไปเตรียมหาเงินมาคืนฉันภายในคืนนี้เลย ไม่งั้นพรุ่งนี้วงดนตรีแกเหลือแต่ชื่อแน่”
โรจน์กับประทีปสะดุ้ง ลนลาน มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“โอย ใจเย็นๆ ครับ คุณพิมุก เอ่อ. ประทีปไปหาน้ำเย็นๆ มาให้คุณพิมุกสักแก้วสิ”
โรจน์หลิ่วตาส่งสัญญาณให้ประทีป ประทีปพยักหน้าอย่างรู้กันแล้วผลุนผลันผลักประตูออกไป
เดือนกะเพลกเดินกลับเข้าหลังเวที นภากาศกำลังจะเดินจากไป เดือนฝืนยิ้มให้
“ถอย”
เดือนรู้สึกตัวว่ายืนขวางทางนภากาศอยู่ เธอหลบให้ นภากาศเดินจากไป ลิ้นจี่พุ่งเข้ามาแหวใส่เดือนทันที
“ไปเล่นตัวอย่างนั้นกับคนดูได้ยังไง”
“นี่คนมันเจ็บข้อเท้า เต้นตายได้ขนาดนั้นก็บุญแล้ว อย่าดุกันนัก”
ป้อมกับขำเดินตามเข้ามาติดๆ
“เด็กมันยังใหม่ มันก็ไม่ชินสิ อย่าลืมนะแกคืนนี้เพิ่งเป็นคืนแรก”
“เอะอะก็ว่าใหม่ ทุกคนมันก็ต้องมีคืนแรกทั้งนั้น แค่เขาโดนตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็ทำสะบัดสะบิ้ง แล้วนี่จะสะเออะไปเป็นนักร้อง จะไหวเหรอ”
“แกก็พูดเกินไป แต่เอ...หรือไอ้ที่โมโหเนี่ยมันจะเพราะตัวเองไม่ได้บ้างล่ะ ฮ๊า”
ลิ้นจี่ทำท่าจะกระโดดกัดป้อม ขำรีบกระโดดขวางป้อม
“อ้าวเฮ้ย เจ๊ทั้งสองพอเหอะ ตรงนี้มันแคบไปจะให้ดีออกไปนู่นเลยหน้าเวที ไม่ก็ด้านล่างจะดีกว่านะ โล่ง โปร่ง สบาย”
“ขำ พี่ป้อม พี่ลิ้นจี่ ฉันไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ อยากกลับละ”
“ข้อเท้าเป็นไงมั่ง” ป้อมถามอย่างเป็นห่วง เดือนทำมือโอเค
“ไปกินอะไรมา อึดจริงๆ เลย น้องเอ๋ย” ขำบอกอย่างเห็นใจ เดือนยิ้ม ลุกขึ้นกะเพลก ฝืนเจ็บเดินจากไป ป้อมมองตาม
“ยังกะเป็นคนละคนกะที่เต้นอยู่บนเวทีเมื่อเกี๊ยะ”
เดือนยกมือให้โดยไม่หันหลังกลับไปมองป้อมกับขำเลย เพราะว่าหน้าเธอเจ็บจนต้องกัดฟันไม่อยากให้ใครเห็น
พิมุกยังคงนั่งไม่ติดหัวเสียอย่างต่อเนื่อง โรจน์ก้มหน้านิ่งไม่กล้าอ้าปากพูดอะไร ประทีปผลักประตูเข้ามาอย่างร้อนรน
ด้านหลังของประทีปมีหญิงสาวในชุดเกาะอกเซ็กซี่เดินถือแก้วน้ำเย็นตามประทีปเข้ามาติดๆ พิมุกตาโตแต่ยังทำไว้ฟอร์ม โรจน์เห็นอาการพิมุกแล้วไม่รอช้า
“น้องมินนี่จ๊ะ เสิร์ฟน้ำเย็นๆ ให้พี่พิมุกเขาหน่อยสิ พี่เขารอนานแล้วน๊า”
สาวมินนี่ยิ้มหวานอย่างรู้หน้าที่จัดแจงให้พิมุกนั่งลงแล้วเสิร์ฟน้ำ
“วันนี้พี่เขาเครียดมา ยังไงหนูก็ช่วยดูแลให้พี่เขาผ่อนคลายหน่อยละกันนะ”
“ว่าแต่ คุณพิมุกครับ เรื่องเงิน....”
พิมุกกำลังคลอเคลียกับสาวแทบไม่ชายตามองโรจน์กับประทีป โบกมือไล่ทั้งสองออกไป
“เออๆ ไว้ก่อน ตอนนี้ฉันมีธุระอื่นต้องทำนอกจากนับเงิน ไปได้แล้วพวกแกน่ะ ฉันยืมใช้ห้องพักผ่อนหน่อยแล้วกัน”
โรจน์กับประทีปมองหน้ากันอย่างโล่งอกแล้วรีบสาวเท้าผลักประตูออกไป
รวิเดินมาข้างเดือนไปเรื่อยๆ อย่างเงียบ ๆ รวิเห็นเดือนท่าไม่ดี จึงเอาเดือนขึ้นหลัง
“พี่ จะทำไร”
“เอาเหอะน่า” รวิรั้งเอาจนเดือนขึ้นขี่หลังจนได้ เดือนยิ้มเขินๆ
“ฉันนี่มันแย่จริงๆ เนอะ นอกจากตัวเองจะทำอะไรไม่ได้ดีแล้ว ยังทำให้คนอื่นเขามามีเรื่อง มีปัญหากันอีก”
“คิดอะไรมากมาย เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
“แล้วก็เรื่องพี่พิมุกเมื่อกลางวันอีก พี่รวิเกือบมีปัญหาเพราะฉัน โอ๊ย นี่มันวันอะไรกันเนี่ย”
รวิหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเดือนพูดถึงเรื่องพิมุก
“พูดแล้วมันน่าโมโห ไม่ใช่ความผิดเดือนสักหน่อย ไอ้พิมุกนั่นต่างหาก พี่อยากเตือนไว้นะ พี่ว่าโรจน์กับประทีปก็ไม่น่าไว้ใจ ระวังๆ ไว้บ้างก็ดี”
เดือนเริ่มน้ำตาไหล
“จะให้ฉันทำยังไงพี่รวิ ไม่ใช่ฉันไม่กลัว ไอ้ตอนบนเวทีนั่นก็ด้วย แต่นี่มันเพิ่งก้าวแรกของฉัน ถ้าไม่อดทน ความฝันของฉันคงไม่มีทางเป็นจริง”
เดือนมองหน้ารวิทั้งน้ำตา ด้วยความอึดอัดที่อยากพูดบางสิ่งบางอย่างออกไปแต่พูดไม่ได้
อีด้านหนึ่งที่โรงงิ้ว ศิริพรยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่หลังโรงงิ้ว นักแสดงงิ้วเดินผ่านหลังศิริพรไปแล้วเดินกลับมา
“พี่นี่สวยจังนะคะ ผิวก็ดี๊ดี มิน่าล่ะพระเอกลิเกวิกโน้นถึงได้....”
ศิริพรหันหลังขวับ
“ถึงได้อะไร”
“อ้าว ใครๆ เขาก็พูดกันทั้งตลาดว่านางเอกงิ้วท้ายซอยเป็นแฟนกับพระเอกลิเกหัวซอย”
ศิริพรยิ้มมุมปาก ทำเขินเล็กน้อยเผลอเอาผ้าแพรผืนเล็กที่ใช้เล่นงิ้วมาปิดหน้าเอียงอาย
“ไม่ใช่ซะหน่อย พูดไปเรื่อย ก็แค่คนที่รู้สึกดีต่อกันแค่นั้นเอง”
“แค่รู้สึกดี เลยต้องกินข้าวกลางวันด้วยกันทุกวันใช่ไหมพี่”
“ไป ไป พี่ยังแต่งหน้าไม่เสร็จ เดี๋ยวไม่ทันพอดี” นักแสดงงิ้วหัวเราะศิริพรที่ดูเขินออกนอกหน้าแล้วเดินไป ศิริพรนั่งมองตัวเองในกระจกแล้วยิ้มอยู่คนเดียว “นางเอกงิ้วกับพระเอกลิเก ก็ดีไม่ใช่เหรอ”
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านเดือน ช้อยปักธูป 3 ดอกที่กระถางบนหิ้งพระ
“ไหว้พระบ้างหรือเปล่าเนี่ยนังเดือน ช่วงนี้สีหน้าไม่ดีเลย”
เดือนเดินกะเพลกแต่สีหน้าดีขึ้น เข้ามายกมือไหว้พระหน้าตายังเซ็งชีวิต
“เห็นแม่ไหว้บ่อยๆ ยังไงก็ขอพระเผื่อฉันด้วยแล้วกัน”
“อ้าว เอ็งนี่มันยังไง ขอพระเอาไว้ให้ท่านคุ้มครองเราให้ห่างจากคนไม่ดี สิ่งไม่ดี พระท่านจะได้ช่วยให้เราแคล้วคลาด”
“แคล้วคลาด”
ภาพเหตุการณ์ที่ห้องซ้อมเต้นผุดขึ้น
“ถ้าพี่ชอบฉันจริง พี่ก็ไม่ควรทำกับฉันแบบนี้” เดือนพูดกับพิมุก
“ทำไมจะไม่ควร หลังจากนี้เธอจะได้ว่าง่ายๆ หน่อยไง”
พิมุกกำลังจะจัดการกับเดือน
“ไอ้พิมุก เดือน”
รวิกับขำผลักประตูเข้ามา พิมุกชะงัก เดือนได้จังหวะผลักพิมุกออกอย่างแรง
กลับมาปัจจุบัน เดือนใจสั่นนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วกลัวไม่หายบวกกับภาพรวิที่เข้ามาช่วย
“พระคงส่งมาช่วย”
ช้อยเดินเข้ามาลูบไหล่เดือน
“ข้าน่ะมันความรู้น้อย สอนอะไรเอ็งก็ไม่ได้ ที่ทำได้ในฐานะแม่คนหนึ่งก็แค่ความห่วงใย ข้าไม่อยากให้เอ็งต้องเอาตัว เอาชีวิตไปเสี่ยงกับความฝัน ไม่รู้ว่ามันจะคุ้มกันไหม”
เดือนพูดไม่ออกได้แต่มองหน้าช้อยอย่างซึ้งใจ
อีกด้านหนึ่ง รวิยังนอนหลับอยู่บนเตียง เสียงโทรศัพท์มือถือดังจากโต๊ะ รวิสะลึมสะลือลุกขึ้นมากดรับสาย
“ว่าไง...”
รวิตาโพลงกดวางสายทิ้งแล้วถลาออกไปทันที
รวิขี่มอเตอร์ไซค์พุ่งเข้ามาจอดที่โรงลิเก รวิกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์วิ่งตรงไปที่หน้าโรงลิเก ภาพที่เห็นคือโรงลิเกโดนพังเละ
“อะไรกันเนี่ย”
ลูกน้องเดินเข้ามาหารวิ
“ผมถามคนแถวนี้เขาว่าได้ยินเสียงคนมาเอะอะๆ กันตอนราวๆ ตี 3 ตี 4 น่ะพี่ เขาก็ยังสงสัยว่าคณะเราจะยุบ”
รวิเดินตัวชาเข้าไปที่เวที
“ต้องเป็นไอ้พิมุก”
“แล้วเราจะเอาไงดีพี่ คืนนี้จะเล่นได้เหรอ”
“ไปบอกพวกเราด้วย คืนนี้คงต้องงด แต่ฉันมีงานอื่นให้ทำ”
ส่วนที่ค่ายมวยพิมุก พิมุกเดินตรวจดูความเรียบร้อยในค่าย
“ไอ้พิมุก ไอ้หมาลอบกัด”
รวิพร้อมกับลูกน้องในคณะลิเกบุกเข้ามาที่ค่ายมวยพิมุก
“ไอ้ลิเกกระจั๊วะ มาถึงนี่เลยเหรอวะ”
“เออ ก็ไม่ได้เป็นพวกหมาลอบกัดเหมือนพวกแกไง”
“ทำไม อะไร ยังไง ก็แค่วิกละเกเน่าๆ เก่งนัก ก็ไปสร้างใหม่สิวะ”
“แกจริงๆ ด้วยไอ้หน้าตัวเมีย”
รวิปล่อยหมัดซัดเข้าไปที่หน้าพิมุก ทั้งลูกน้องรวิและพิมุกรุมซัดกันนัวเนีย ตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาสองนาย ทั้งหมดเห็นตำรวจก็หยุดตีกัน
“มีเรื่องอะไรกันเหรอ”
รวิมองหน้าพิมุก พิมุกกัดฟันมองรวิ ตำรวจคนนึงแยกไปเซ็นชื่อที่ตู้แดง
“รึว่าต้องเชิญไปโรงพักทั้งหมด”
“ไม่มีอะไรหรอก มีอะไรรึเปล่า” พิมุกหันไปถามรวิ
“ไม่มีอะไรครับ ไม่มีใครไปรื้อโรงลิเกผมหรอก” รวิจ้องหน้าพิมุก
“แล้วก็ไม่มีใครยกพวกมาบุกรุกที่นี่เหมือนกัน” พิมุกจ้องหน้ารวิ
“ไม่มีอะไรก็ดีเเล้ว จะได้ไม่ต้องไปโรงพักให้เสียเวลา”
แล้วตำรวจก็ขี่มอเตอร์ไซค์จากไป ทั้งสองฝ่ายนั่งหอบแฮกกัน
“ต่างคนต่างอยู่สิวะ ทำไมต้องเที่ยวระรานชาวบ้าน” รวิบอก
“ฝันไปเถอะไอ้รวิ ตราบใดที่แกยังยุ่งเกี่ยวกับน้องเดือนด้วย ฉันไม่มีทางปล่อยแกให้อยู่ดีแน่”
“ยิ่งแกทำตัวเลวเป็นอันธพาลแบบนี้ เดือนคงมาสนใจแกหรอก”
“ก็คอยดูไปเองละกันไอ้ลิเกหน้าโง่ ไสหัวพวกแกออกไปจากค่ายมวย ฉันได้ละ ฉันยังขี้เกียจหาที่ฝังศพพวกลิเกกระเทยควายอย่างพวกแก”
ที่ตลาดสด เดือนนั่งขายปลาไปก็หยิบกระดาษที่จดเนื้อเพลงมานั่งซ้อมร้องไปด้วย พิมุกกับพรรคพวกเดินเข้ามาในตลาด พิมุกเห็นเดือนนั่งก้มหน้าก้มตาร้องเพลงก็จะสาวเท้าเข้าไปหา แก้วมองตามพิมุกที่เดินไปหาเดือน แก้วรู้สึกอิจฉาจึงลุกขึ้น กิมมองตามแก้ว แล้วกิมก็เห็นลูกสาวทำท่าเซเหมือนถูกใครผลักพุ่งเข้าไปหาพิมุก
“ว้าย”
พิมุกสะดุ้งแต่ก็คว้าแขนแก้วไว้ได้ แก้วหน้าเสียทรุดตัวลงด้วยความกลัว
“พี่พิมุก ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันขอโทษนะ มีคนผลักฉันล้ม”
กิมอ่อนใจ ส่ายหน้ากับตัวเอง พิมุกประคองแก้วขึ้นมาจ้องแก้วแววตาราวกับเสือเห็นเหยื่อตัวใหม่
“ลูกแม่กิมนี่ ไม่เจอตั้งนานสวยขึ้นนะเรา”
“แก้ว นังแก้ว ทำไมถึงซุ่มซ่ามอย่างนี้ฮ๊า ลุกขึ้นเร็วๆ สิ คุณพิมุกเขาจะได้รีบไปทำอะไรของเขาต่อ นังนี่นี่”
กิมดุลูกสาว แก้วลุกลี้ลุกลนลุกขึ้น
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้จะรีบไปไหน ผ่านมาเลยแวะหาของกินที่ตลาดแล้วจะกลับไปนอนละ เมื่อเช้าจู่ๆ ก็มีไอ้กุ๊ยกระจอกพาพวกไปหาเรื่องที่ค่าย เลยได้เหงื่อแต่เช้า” พิมุกจงใจพูดเสียงดังให้เดือนได้ยิน เดือนชักเอะใจแต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ พิมุกหันไปทางแก้วกับกิม “ชื่อแก้วใช่ไหม ขาวดีนะ เอาไว้ว่างๆ แวะไปคุยกันที่ค่ายมวยสิ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”
“ขอบคุณพี่เขาสินังแก้ว คุณพิมุกอุตส่าห์ชวน ถ้ามันไม่เข้าไปฉันจะพามันเข้าไปเองค่ะ”
พิมุกยิ้มพอใจ ปรายตาชำเลืองเดือนแว่บหนึ่งก่อนหันหลังกลับ เดือนชะเง้อไปเห็นพิมุกออกไปแล้วก็ขยับตัวลุก
“ป้าจันทร์จ๋าหนูฝากแผงเดี๋ยวนึงนะจ๊ะ เดี๋ยวมา”
เดือนเดินกะเผลกออกไป
รวินั่งซึมมองวิกลิเกที่พังราบ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะรวิ” ศิริพรวางถุงกับข้าวลงกับพื้นแล้วสาวเท้าไปข้างๆ รวิ “ฝีมือใครน่ะ”
“พิมุก”
“แล้วเธอไปมีเรื่องอะไรกับเขา หรือเรื่องเดือน”
“ไม่เกี่ยวกับเดือนหรอก มันคงหมั่นไส้ฉันมานานแล้วด้วยล่ะ รวมๆ กันหลายๆ เรื่องเลยลอบกัดซะทีเดียว”
ศิริพรเห็นแผลฟกช้ำที่หน้ารวิ
“แล้วหน้าเธอไปโดนอะไรมา นี่อย่าบอกนะว่าเธอไปชกกะเขามาด้วย” รวิพยักหน้าแทนคำตอบ “ตาย ตาย แล้วนี่มันจะจบไหมเนี่ย ใครๆ ก็รู้ว่าพิมุกน่ะ...ไหนขอฉันดูแผลหน่อยสิ”
ศิริพรจับหน้ารวิหันมาดูแผล
“พี่รวิ ฉันได้ข่าวมา...เอ้อ”
เดือนชะงักเมื่อเห็นภาพรวิเอียงหน้าให้ศิริพรดูแผลให้
“อ้าวเดือน มาก็ดีแล้ว ดูนี่สิฝีมือพิมุก 1ในแฟนคลับเธอเนี่ย พิมุกคงเข้าใจผิด คิดว่ารวิกับเธอ...”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก พูดอย่างนี้เดี๋ยวเดือนก็เก็บไปคิดมากอีก” รวิขัดขึ้นมา
“โรงลิเกพังขนาดนี้เลยเหรอ แล้วพี่รวิจะเล่นยังไงล่ะ”
“คงต้องช่วยๆ กันซ่อมน่ะ 3-4 วันก็คงเสร็จ”
“เดือนอยู่คุยกับรวิก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปหาพวกยามาทำแผลให้”
ศิริพรลุกเดินออกไป แต่ก็แอบชำเลืองกลับมามอง
“เดือนอย่าคิดมากนะ มันไม่ได้เกี่ยวกับเดือนหรอก”
“นั่นสิ พี่รวิกับฉันไม่ได้เป็นอะไรกัน”
รวิมองหน้าเดือนนิ่ง ต่างคนต่างมีใจกันอยู่
“รู้”
ศิริพรยิ้มมองรวิแบบนางเอกมาก แล้วก็เดินจากไป ทั้งสองยังคงนั่งนิ่ง
“ฉัน แค่สังหรณ์ใจว่าพี่จะมีเรื่อง แล้วก็จริง แต่พี่มีคนดูแลแล้ว ฉันกลับไปที่แผงก่อนดีกว่า อีกเดี๋ยวพี่ศิริพรก็คงมา หายเร็วๆ นะ”
เดือนลุกจะเดินออกไป รวิมองตามตาละห้อย
“เท้าเป็นไงมั่ง”
“จะหายแล้วล่ะ เจ็บที่อื่นมากกว่า”
เดือนมองหน้ารวิ แล้วก็เดินจากไป มุมหนึ่งไม่ไกล ศิริพรแอบดูอยู่นิ่งๆ คล้ายเป็นคนดีที่ห่วงใย
กิมกับแก้วนั่งกระหยิ่มยิ้มย่องกันที่แผง
“หนูรู้นะแม่คิดอะไรอยู่”
“เอ็งน่ะแหละคิดอะไรอยู่ ข้าเห็นนะ กะพิมุกก็เห็นเขามาตั้งนาน ทำไมเพิ่งจะระริกระรี้”
“ก็ เขาไประริกระรี้กะนังเดือนก่อนนี่ ชั้นจะเเย่ง”
“นั่นไง ฉันเป็นแม่แก ฉันก็ต้องคิดไว้ละว่าอะไรดีไม่ดีสำหรับแก จะให้นังเดือนมันเด่น มันดัง อยู่คนเดียวเหรอ ในเมื่อลูกสาวฉันก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร”
“เขาจะชอบหนูเหรอแม่ เขาออกจะคลั่งนังเดือน”
“ฉันไม่ได้จะให้เขามาชอบแก แกต้องหัดฉลาดใช้ความขาว ความสวยแกให้เป็นประโยชน์ ใครใช้ให้แกไปเปลืองตัวอย่างนังเดือนกันล่ะ คุณพิมุกน่ะเส้นสายเขาเยอะ”
แก้วฟังแม่ไปภาพพิมุกตอนก้มลงไปประคองก็ผุดขึ้น
พิมุกประคองแก้วขึ้นมาจ้องแก้วแววตาราวกับเสือเห็นเหยื่อตัวใหม่
“ลูกแม่กิมนี่ ไม่เจอตั้งนานสวยขึ้นนะเรา” พิมุกหันไปทางแก้วกับกิม “ชื่อแก้วใช่ไหม ขาวดีนะ เอาไว้ว่างๆ แวะไปคุยกันที่ค่ายมวยสิ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”
แก้วทำหน้าเคลิ้ม
“แล้วถ้า ถ้าฉันอยากรู้จักมากกว่าจะใช้แค่เส้นสายเขาล่ะแม่”
กิมเอียงหน้าขยับเข้าไปใกล้แก้ว
“อะไรของเอ็งนะ ข้าแก่แล้วหูไม่ดีเว้ย”
“ช่างเหอะแม่ ฉันก็พูดคนเดียวของฉันไปเรื่อยแหละ”
สีหน้าแก้วพร้อมจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เธอต้องการ
นภากาศเดินเงียบๆ อยู่ภายในห้องแต่งตัว เธอมองชุดต่างๆ แล้วก็เห็นรูปเดือนเเต่งสวยเหน็บอยู่ตรงกระจกแต่งตัว
นภากาศมองด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก เอารูปเดือนเหน็บไว้ที่เดิมแต่คว่ำหน้ารูปนั้นลง
ติดตามอ่าน "หางเครื่อง" ตอนที่ 2