xs
xsm
sm
md
lg

"สาปสาง" ตอนที่ 1-27 (อวสาน)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ละครออนแอร์ “สาปสาง”

บทประพันธ์ : วาทินีย์ โอฬาร์กร
บทโทรทัศน์ : วาทินีย์ โอฬาร์กร
กำกับการแสดง : กรัณย์ คุ้มอนุวงศ์
แนวละคร : ดราม่า ตื่นเต้น สยองขวัญ
ผลิต : สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ในเครือ อาร์เอส โดยผู้จัด : บุณฑณิก บูลย์สิน
วันเวลา ออกอากาศ : จันทร์-พุธ เวลา 08.00 / 11.45 / 15.50 และ 20.00 น. ทาง สถานีโทรทัศน์ช่อง 8
ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มตอนแรก วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 -
จำนวนตอนออกอากาศ : 25 /+/-

ตอนที่ 1 วันจันทร์ ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557
“ดาราลัย” โรงละครเก่าแก่ของครูอาภากำลังประสบปัญหาตามกระแสของสังคมยุคใหม่ ทำให้เกิดการเสพละครในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งต่างไปจากการแสดงของอาภา แม้เธอจะพยายามฝืนสู้แต่ก็ไม่อาจต้านทานกระแสสังคมได้ และในอีกไม่ช้าดาราลัยคงต้องปิดตัวลง นอกจากนั้นแล้วปัญหาใหญ่อีกอย่างของดาราลัยก็คือ การถูกรุกรานด้วยเหล่าคนที่ต้องการที่ดินผืนนี้ ดาราลัยไม่ได้เผชิญแต่ปัญหาภายนอก ช่อเอื้อง ไท และแพรว คือสามตัวละครเอกของคณะละคร แม้ภายนอกจะดูเหมือนเป็นกลุ่มเพื่อนที่รักกัน แต่ลึกๆ แล้วซ่อนไว้ด้วยความชิงชังและริษยา เพราะความรักที่ไม่สมหวัง แพรวชิงชังและอิจฉาช่อเอื้อง ทั้งเรื่องละครและเรื่องส่วนตัว เพราะแพรวหลงรักกรณ์ ลูกชายของครูอาภา ในขณะที่กรณ์ก็รักและชอบพอกับช่อเอื้อง ส่วนไทที่แอบหลงรักช่อเอื้องอย่างเงียบๆ เฝ้าเจ็บแค้นใจที่เขาไม่มีอะไรสู้กรณ์ได้เลย ทั้งฐานะและหน้าตา ความแค้นต่างๆ บ่มอยู่ในใจไทมาตลอด และสักวันเขาจะต้องเอาชนะกรณ์และเป็นเจ้าของช่อเอื้องให้จงได้ ความรักของกรณ์และช่อเอื้องเริ่มต้นตั้งแต่แรกเจอ ช่อเอื้องรักกรณ์ แต่เพราะความถ่อมตนของช่อเอื้อง ทำให้เธอไม่กล้าอาจเอื้อมรักลูกชายคนเดียวของครูอาภา ในขณะที่กรณ์เปิดเผยความรักที่เขามีต่อช่อเอื้องอย่างชัดเจน เขามีความตั้งใจที่จะทำให้ช่อเอื้องยอมเปิดใจรักเขาให้ได้ เหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาริษยาของแพรวและไท ขณะที่คณะละครกำลังจะเปิดแสดงอีกครั้ง ช่อเอื้องถูกครูอาภาคัดเลือกให้ได้รับบทนางเอก ผลการคัดเลือกสร้างความไม่พอใจให้กับแพรวเป็นอย่างมาก
กลางดึกคืนหนึ่ง ที่บ้านครูอาภา ครูอาภากำลังวางพวงมาลัยไหว้ครูละครที่หิ้งบูชาซึ่งมีหัวครอบครูละครหลายหัวตั้งอยู่ ทันใดนั้นไฟก็ลุกท่วมหิ้งบูชา ครูอาภาตกใจที่อยู่ๆ ไฟก็ไหม้ควันโขมง ครูอาภาวิ่งออกจากห้อง เห็นไฟไหม้ไปทั่วบ้าน ช่อเอื้องวิ่งออกมาเห็นครูอาภายืนตกใจอยู่
กลางดึก ที่ห้องนอนช่อเอื้อง ช่อเอื้องตกใจตื่นจากฝัน “ครู!”
ที่ห้องนอนครูอาภา ภายในบ้านครูอาภา ครูอาภาสะดุ้งตื่นมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อตั้งสติได้ว่าเป็นเพียงความฝันก็โล่งใจ “ฝันหรอกเหรอ…..ทำไมถึงฝันร้ายแบบนี้…มันต้องเป็นลางไม่ดีแน่ๆ”
ครูอาภาเริ่มเป็นกังวล
วันใหม่ ที่โรงละคร ทุกคนกำลังดำเนินการซ้อมละครอยู่ โดยมีครูอาภากับกรณ์นั่งดูอยู่ด้านหน้า
กรณ์จับจ้องดูช่อเอื้องอย่างตั้งอกตั้งใจ ไทกับช่อเอื้องอยู่กลางเวที นั่งลงคุกเข่า ยกมือพนม “แม่ฟ้า แม่พสุธา โปรดเป็นสักขีพยาน หากวันใดลูกคิดทรยศหมดรักในตัวแม่นาง ขอให้ฟ้า ขอให้ดิน จงเอาชีวิตของลูกไปเสีย” ช่อเอื้องหันมาคว้ามือไทไว้ “อย่าสาบานเช่นนั้นเลยพี่จ๋า ข้าไม่อยากเห็นพี่ต้องมีภัย” “พี่ต้องมีภัยก็สมควรแล้ว แก้วตาอย่าได้คิดห้ามเลย” “พี่จ๋า” ช่อเอื้องร้องไห้ ไทดึงร่างช่อเอื้องมากอด แล้วฉากละครถัดๆ มาก็เริ่มแสดง “เจ้าสิ้นรักข้าแล้วไซร้ ใยจึงผิดคำสาบาน” ช่อเอื้องท่องตามบท “สาบานใดที่เจ้าเอ่ย ข้ามิเคยรู้” ไทกล่าวตอบ “ความลุ่มหลงบดบังตาเจ้า ใจเจ้า เจ้าถึงได้ลืมสิ้นแม้แต่คำสาบาน” แพรวเอ่ยขึ้น “เจ้าอย่ามัวอ้างสาบานอยู่เลย ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่อาจทนนิ่งเฉยฟังวาจากล่าวอ้างของเจ้าได้อีกต่อไป” “เจ้าจะทำอะไรข้า” แพรวดึงกริชออกมาจากเหน็บเอว “ข้าจะเอาเลือดเจ้ามาล้างสาบานให้สิ้นซาก”
ฉากใหม่ ช่อเอื้องอยู่คนเดียวกลางเวที มือกุมท้องที่ถูกแทงด้วยกริช “หากกูไม่สมในรัก ด้วยเลือดทุกหยด ด้วยกายทั้งกาย ด้วยใจทั้งใจ กูจะขอสาปขอแช่ง อย่าให้พวกมึงได้สมรัก อย่าให้มึงได้สมสู่ อย่าให้มึงได้ครองคู่ ขอฟ้าขอดินพรากมึงจากกัน ตราบชั่วฟ้า ชั่วนิรันดร์!” ขาดคำ ช่อเอื้องก็ฟุบลงไปกับพื้นเวที กรณ์ลุกขึ้นปรบมือให้ช่อเอื้องอย่างออกนอกหน้า จนครูอาภาต้องเหลือบตามองแล้วอมยิ้มอย่างรู้ทันก่อนปรบมือตาม “รู้สึกว่าจะถูกใจเสียเหลือเกินนะตากรณ์” กรณ์ว่า “ก็….เขาแสดงเก่งนี่ครับ” “แน่ใจเหรอว่าแค่เรื่องการแสดง ปรบมือซะขนาดนี้ แม่กลัวว่าจะมีเรื่องอื่นด้วยน่ะสิ” กรณ์ยิ้มเขิน ไม่กล้าสบตาแม่ หันไปมองช่อเอื้องบนเวที ช่อเอื้องมองมาสบตากันพอดี เอียงอาย หลบตาไปแต่ก็แอบอมยิ้ม แพรวเหลือบตามองช่อเอื้องสลับกับมองกรณ์อย่างรู้ทัน รีบกระซิบบอกไท “จะทำอะไรก็รีบทำซะ ไม่อย่างนั้นนายหมดหวังแน่!” แพรวเดินไป ไทมองตามแพรวไปด้วยสีหน้างงๆ
ขณะที่ช่อเอื้องก็รู้สึกไม่สบายใจเรื่องความฝันที่เธอฝันถึง กรณ์จึงพาช่อเอื้องไปทำบุญที่วัด ช่อเอื้องพบชายแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาทักว่าเธอกำลังจะตาย ช่อเอื้องตกใจมาก แต่พอดีกับที่หลวงพ่อเข้ามาเตือนสติ ทั้งๆ ที่หลวงพ่อก็เหมือนจะเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างของช่อเอื้อง “อย่าไปเอาอะไรกับคำพูดของคนอื่นเลย จงมีสติและทำใจให้สงบเป็นปัจจุบัน จะได้ไม่เครียด ไม่คิดมาก” กรณ์กับช่อเอื้องกล่าวขอบคุณ แล้วทั้งสองก็ไหว้ลาหลวงพ่อ
วันใหม่ ครูอาภานำพระพิฆเนศมาให้กรณ์ โดยบอกว่าเธอรักและบูชาพระพิฆเนศมาก อยากให้กรณ์เก็บรักษาไว้ให้ดี กรณ์จะปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็รับไว้เพราะคำพูดของแม่ “สร้อยพระพิฆเนศเส้นนี้ ครูของแม่ให้มาตั้งแต่แม่ฝากตัวเป็นศิษย์ละครของท่าน แม่ใส่ติดตัวมาตั้งแต่สาวๆ ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่แม่จะส่งต่อให้คนที่จะสืบทอดงานของแม่ แม่ทำงานด้านศิลปะ นอกจากบูชาครู แม่ก็บูชาท่าน ตอนนี้กรณ์อาจจะบอกว่าตัวเองทำไม่ได้ แต่แม่เชื่อว่าเชื้อจะไม่ทิ้งแถว” กรณ์มองสร้อยพระพิฆเนศ เขายิ้ม ยังไม่รู้อนาคตว่าจะสืบทอดได้หรือไม่ “ไม่รู้สิฮะ แต่ที่ผมรู้ตอนนี้คือ สิ่งใดที่แม่ให้มา ผมจะรักษาให้ดีที่สุดครับแม่” ครูอาภายิ้ม ดึงกรณ์เข้ามากอด กรณ์กอดแม่ มองสร้อยพระพิฆเนศที่อยู่ในมือ กรณ์ตัดสินใจบอกครูอาภาเรื่องช่อเอื้อง “คือ....ผมมีเรื่องอยากจะเรียนให้คุณแม่ทราบน่ะครับ” “มีอะไร ทำไมพูดซะเป็นงานเป็นการ” “ก็มันเป็นเรื่องสำคัญนี่ครับ” ครูอาภาว่า“มีเรื่องอะไรก็ว่ามาสิ” กรณ์สูดลมหายใจเข้าก่อนจะพูด “เอ่อ..เรื่องผมกับช่อน่ะครับ” ครูอาภายิ้ม“อ๋อ คิดว่าเรื่องอะไร” กรณ์อึ้ง“นี่คุณแม่ทราบเหรอครับว่าผมกับช่อ……” ครูอาภาแทรกขึ้น “โรงละครนี่เป็นของแม่ ไม่มีอะไรที่นี่ที่จะลอดสายตาแม่ไปได้หรอก แล้วอีกอย่าง เราก็ออกนอกหน้าซะขนาดนั้น คงไม่ใช่มีแต่แม่หรอกที่รู้ คนอื่นๆ ก็คงดูออกกันหมดน่ะแหละ ว่าแต่มีเรื่องอะไร จะเลิกกันรึไง” กรณ์ส่ายหน้า“เปล่าครับ ไม่เลิกครับ....คือว่า อีกไม่นานผมก็ต้องไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว คงไม่ได้เจอช่ออีกหลายปีผมเลยอยากขออนุญาตคุณแม่ ขอหมั้นช่อไว้ก่อนน่ะครับ ที่ต้องขอกับคุณแม่ก็เพราะคุณพ่อคุณแม่ของช่อเสียไปแล้วน่ะครับ ช่อเองก็ตัวคนเดียวไม่มีใคร” ครูอาภาบอก“ก็เอาสิ ช่อเองก็เป็นเด็กดี นี่ถ้าไม่ใช่ช่อเอื้อง แม่ไม่ยอมง่ายๆ แบบนี้หรอกนะ” กรณ์ยกมือไหว้“ขอบพระคุณครับคุณแม่” ครูอาภาถาม “แล้วจะหมั้นสาวน่ะ มีแหวนแล้วรึยัง” กรณ์ยิ้ม ไม่ตอบ ครูอาภาเดินออกไป กรณ์มองตามงงๆ สักพักครูอาภาก็ออกมาพร้อมกล่องใส่แหวน ครูอาภาเปิดกล่องออกมา แหวนเพชรเก่างดงามประกายแสง “แหวนวงนี้เป็นแหวนมรดกของย่าที่ให้พ่อสวมให้แม่ในงานหมั้น แม่เก็บไว้ให้กรณ์ น่าจะพอดีกับช่อนะ” กรณ์ก้มมองแหวน “สวยจังเลยครับ ขอบคุณครับแม่” “แล้วเรื่องพิธีการล่ะ จะเอายังไง” กรณ์บอก “รอให้ละครคุณแม่จบลงก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่านะครับ ช่วงนี้กำลังยุ่งๆ ผมไม่อยากรบกวนทั้งคุณแม่ทั้งช่อ” ครูอาภาพยักหน้า “ก็ดี ละครจบแล้วค่อยว่ากัน”
ที่มุมหนึ่ง แพรวมาแอบยืนฟังอยู่ สีหน้าโกรธแค้นจนน้ำตาไหล วิ่งหนีออกไป แพรวเล่าเรื่องราวให้ไทฟัง ไทที่กลัวจะเสียช่อเอื้องไปก็คิดหาทางขัดขวาง เขากับแพรวจึงร่วมมือกันขัดขวางไม่ให้ช่อเอื้องกับกรณ์ได้แต่งงานกัน แพรวเองก็ไม่อยากเสียกรณ์ไป ทั้งแพรวและไทจึงลอบวางแผนกันอยู่เงียบๆ โดยมีจุดประสงค์เดียวกันคือ การแย่งชิงของรักของตนเองคืนมา แพรวไปขอร้องอนงค์ แม่ของเธอให้พาไปหาพ่อปู่ ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของแพรว โดยที่พ่อปู่รู้จุดประสงค์ของแพรวดี ขณะที่อนงค์นั้นไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยพ่อปู่รู้ว่าแพรวมีเรื่องร้อนทั้งตัวร้อนทั้งใจ เพราะไฟริษยากำลังเผาไหม้ พ่อปู่บอกแพรวว่า จิตมืดของแพรวจะเป็นตัวช่วยแพรวเอง ให้แพรวสบายใจได้ ทำให้แพรวมั่นใจมากขึ้นที่จะจัดการช่อเอื้อง
กลางคืน ที่ห้องนอนแพรว แพรวยิ้มอย่างสมใจ เดินไปที่โต๊ะ ดึงรูปถ่ายของช่อเอื้องออกมา
“แกเสร็จฉันแน่ นังช่อ” แพรวฉีกรูปทิ้งแล้วกระทืบๆ “แกไม่มีวันเอาชนะฉันได้หรอก” แพรวเริ่มร่ายรำในบทช่อเอื้องดูน่ากลัว “กูจะขอสาปขอแช่ง! อย่าให้พวกมึงได้สมรัก! อย่าให้มึงได้สมสู่! อย่าให้มึงได้ครองคู่! ขอฟ้าขอดินพรากมึงจากกัน! ตราบชั่วฟ้า ชั่วนิรันดร์! ฉันนี่แหละ จะเป็นคนสาปส่งแกเอง!”

ตอนที่ 2 วันอังคาร ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557
วันใหม่ หลังจากการแสดงจบลง ไทกับแพรวก็เริ่มแผนการ ไทหลอกช่อเอื้องไม่ให้ไปพบกับกรณ์ส่วนแพรวก็ไปโกหกกรณ์ว่าช่อเอื้องรู้เรื่องที่กรณ์จะขอเธอแต่งงาน ช่อเอื้องจึงตัดสินใจหนีกลับบ้านทางเหนือ เพราะเธอไม่ได้รักกรณ์ แต่กรณ์ไม่เชื่อ ขณะที่ไทก็คิดจะปล้ำช่อเอื้องให้ตกเป็นของเขา โดยหลอกช่อเอื้องเข้าไปรออยู่ในบ้านพักของไท
ในบ้านพักของไทที่ไม่ห่างจากโรงละครมากนัก ไทกำลังอ่านข้อความที่กรณ์ส่งมาให้ช่อเอื้อง แต่ไม่ได้ตอบกลับไป ช่อเอื้องตกใจ เริ่มเอะใจ ไท ทำไมทำแบบนี้ ไทบอก ”ก็เพราะเรารักช่อ เราไม่อยากให้ช่อเป็นของคนอื่น” ช่อเอื้องอึ้ง “ไท…ปล่อยเราไปเถอะ” ไทส่ายหน้า “ไม่ เรารักช่อ ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ใจเราไม่เคยหยุดรักช่อเลย” ช่อเอื้องพยายามพูด “ไท เราเป็นเพื่อนกันนะ” “แต่เราไม่อยากเป็นแค่เพื่อน”
“ไท คือเรา…” ไทเริ่มไม่พอใจ “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เรารู้ว่าใจช่อรักใคร ช่อไม่เคยมองเห็นความรักของเราเลย ใจช่อทั้งใจกลับไปยกให้มัน ทำไมล่ะช่อ เราไม่ดีตรงไหน ทำไมถึงรักเราไม่ได้!” “ไท เราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลยนะ เรามีธุระต้องรีบไป” ไทเข้ามาจับตัวช่อเอื้อง “จะไปหามันใช่ไหม รักมันมากนักใช่ไหม” ช่อเอื้องตกใจ “จะทำอะไรน่ะ” ไทยิ้มเหี้ยม “ทำให้ช่อเป็นของเรายังไงล่ะ แล้วพรุ่งนี้ เราสองคนจะไปอยู่ด้วยกัน แต่งงานกัน” ไทลงมือปลุกปล้ำ ช่อเอื้องพยายามต่อสู้ขัดขืน “ไท อย่านะ อย่าทำกับเราแบบนี้ หยุดนะ” ช่อเอื้องพยายามขัดขืนแต่ก็สู้ไทไม่ได้ “หยุดนะไท ปล่อยเรานะ” ไทไม่ฟัง พยายามปลุกปล้ำหนักมือขึ้น “ช่อต้องเป็นของเรา ของเราคนเดียว”
กรณ์ออกตามไปหาช่อเอื้องที่คอนโดช่อเอื้อง กรณ์รีบร้อนเข้าไปในคอนโด แต่ก็พบว่าประตูล็อก กรณ์ลงมาถามพนักงาน “ห้อง 707 ยังไม่กลับเหรอครับ” พนักงานบอก “อ๋อ ห้องนั้นย้ายไปแล้วครับ ไปสักพักแล้ว” กรณ์งง “ไปไหนครับ ไปกับใคร” “มีผู้ชายมารับ ไปไหนผมไม่ทราบครับ”กรณ์แทบทรุด เดินหน้าเสียออกไป “ช่อ”
พนักงานยกหูโทรศัพท์ ต่อสายถึงแพรว “ผมบอกผู้ชายคนนั้นอย่างที่คุณพูดแล้วนะครับ”
แพรวเอ่ยถาม “แล้วเขาอยู่ไหน” พนักงานบอก “ก็เดินเศร้าๆ ออกไปแล้วครับ” แพรวยิ้ม “ดีมาก เดี๋ยวฉันจะโอนเงินที่เหลืออีกครึ่งนึงให้ เลยนะ”
ในห้องพักไท ไทยังคงพยายามขืนใจช่อเอื้อง ช่อเอื้องร้องเรียกหากรณ์ “คุณกรณ์ช่วยช่อด้วย คุณกรณ์” ไทตวาด “เรียกหามันอยู่ได้ รักมันมากนักใช่ไหม!” ด้วยความโกรธถึงสุดขีด ไทคว้าผ้าสไบที่คล้องคอช่อเอื้องอยู่รัดคอช่อเอื้อง “ทำไมไม่รักฉัน ทำไมถึงไม่รักฉัน!” ไทยิ่งรัดคอช่อแน่นขึ้นไปอีกด้วยความเจ็บใจ “ฉันไม่ดีตรงไหน ทำไมถึงรักไม่ได้ ฮะ ทำไม!” ช่อเอื้องเริ่มหายใจไม่ออก พยายามดึงมือไทออกจากคอแต่ก็ไม่สำเร็จ มือของช่อเอื้องที่ป่ายไปมา ตกลงกับพื้น ไม่นานนักก็หยุดดิ้นหยุดร้อง...ไทเห็นช่อเอื้องนิ่งไปก็ชะงัก หันมองก็เห็นว่าช่อเอื้องตาค้าง หมดลมหายใจไปแล้ว ไทตกใจหน้าตื่น “ไม่ ไม่จริง ไม่จริง ช่อ ช่อฟื้นสิ ช่อ” ไทเขย่าร่างช่อแต่ช่อก็ไม่ฟื้นขึ้นมา “ช่อ ช่อ เราขอโทษ ช่อ” ไทร้องไห้โฮ
ที่กลางถนน กรณ์ขับรถไปร้องไห้ไป มองไปตามทางอย่างคนที่สิ้นหวัง ไม่นานนักแพรวก็ตามมาที่บ้านพักของไท แล้วเธอก็พบว่าช่อเอื้องตายเสียแล้ว แพรวตกใจมาก แต่ก็คิดๆ แล้วตั้งสติ เธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากร่วมมือกับไทช่วยกันทำลายศพช่อเอื้องเพื่อไม่ให้ใครพบเห็น แพรวรู้ว่าช่อเอื้องเป็นเด็กที่เติบโตมาในสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ไหนอีก ฉะนั้นการหายตัวไปของช่อเอื้องจึงอาจไม่มีใครสนใจ
ขณะที่กรณ์ก็กลับไปตามหาช่อเอื้องที่โรงละคร อีกครั้งด้วยอาการเศร้าหมอง “ผมรักคุณนะช่อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะ รักคุณไปตลอด ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” วิญญาณของช่อเอื้องยืนมองกรณ์ด้วยความรัก และอาลัย ยื่นมือไปสัมผัสแต่ก็ทะลุผ่าน วิญญาณ ช่อเอื้องเศร้ายิ่งนัก ร้องไห้หนักขึ้นไปอีก “ผมจะกลับมารอคุณที่นี่ทุกวัน จนกว่าคุณจะ กลับมา”
กรณ์ลุกขึ้นเดินกลับไปที่รถ วิญญาณช่อเอื้อง เข้าสวมกอดกรณ์จากด้านหลัง ซบหน้าลงบนหลัง ของกรณ์ กรณ์ขับรถออกไป วิญญาณรักของช่อเอื้อง เริ่มเปลี่ยนเป็นวิญญาณแค้น “ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องพรากเราจากกัน!”
ขณะที่แพรวกับไทก็ช่วยกันเอาศพช่อเอื้องไป ฝังไว้ที่ป่าด้านหลังของโรงละคร ไทที่ยังกลัวความผิด ก็คิดที่จะเผาโรงละครซะ แต่ยังไม่ทันได้เผา ไทก็เจอผีช่อเอื้องหลอก ซะก่อน จึงวิ่งหนีไป เมื่อตำรวจมาตรวจสอบหลักฐาน ก็พบว่ามีคนร้ายเข้ามากำลังจะลอบวางเพลิง แต่ โชคดีที่ยังไม่ทันทำอะไรก็หนีไปซะก่อน ครูอาภาตกใจมาก “ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย โรงละครที่แม่สร้างมากับมือ มันตั้งใจจะเผาโรงละคร ของแม่” ครูอาภาทำท่าจะเป็นลม แล้วทันใดนั้นก็ หมดสติไป กรณ์ตกใจมาก เป็นห่วงแม่ แพรวกับไท เข้ามาเห็นเข้าพอดี “ครูครับ / ครูคะ!” ไทได้โอกาส รีบบอกกับกรณ์ “พาครูไปหาหมอ ก่อนเถอะครับ ทางนี้ผมจัดการเอง” กรณ์กล่าวขอบคุณแล้วประคองครูอาภา ออกไป แพรวมองโรงละคร “ใครกันนะที่ลอบเข้ามาวางเพลิง” ไทตอบเสียงอ่อยๆ “มันจำเป็นน่ะ”แพรวสะกิดใจ ไทจึงเล่าให้ฟัง แพรวตกใจ “อะไรนะ! แกเป็นคนที่เข้ามาจะเผางั้นหรอ?” ไทพยักหน้า “มันจำเป็น ฉันอยากให้ที่นี่มันปิดๆ ไป จะได้ ไม่มีใครมาเจอศพช่อ แต่ฉันยังไม่ทันทำอะไร ก็เห็นช่อ ซะก่อน” แพรวว่า “แกตาฝาดน่ะสิ แต่ก็ดีแล้วที่โรงละครไม่ถูกเผาไม่
อย่างนั้นแกต้องซวยแน่ๆ ถ้าแกทำอะไรรู้จักคิดซะบ้าง ช่อมันคงไม่ต้องตายหรอก” ไทหน้าเจื่อน “ไหนบอกว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกไง” “ก็มันอดไม่ได้นี่ แล้วนี่ถ้าตำรวจเขาตรวจได้ว่า เป็นแก แกจะทำยังไง” ไทบอก“ก็โยนความผิดให้ไอ้พวกที่มันอยากเผาไล่ที่ ไปสิ เขาคงสาวมาไม่ถึงฉันหรอก” แพรวถอนใจ “สรุปว่าฉันต้องเก็บความลับให้แกเพิ่มอีกเรื่อง แล้วใช่ไหม” ไทว่า “แกสาบานแล้วนะ” แพรวมองหน้าไทเซ็งๆ ไทหน้าเครียดแอบรู้สึกกังวล
ที่โรงพยาบาล ภายในห้องฉุกเฉิน ครูอาภานอนหมดสติอยู่บนเตียงคนไข้ สะลึมสะลือเห็นทุกอย่าง รางเลือนไปหมด ในความรางเลือนนั้นเห็นช่อเอื้อง เดินเข้ามาหา สีหน้าเศร้าหมองน้ำตานองหน้า ครูอาภาเอ่ยถาม “ช่อ เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไม เกิดอะไรขึ้น” ช่อเอื้องก้มหน้าร้องไห้ไม่พูดไม่จา ครูอาภา ถามย้ำ “ช่อ เกิดอะไรขึ้น บอกครูสิลูก ร้องไห้ทำไม” ช่อเอื้องเงยหน้าขึ้น เห็นน้ำตาเป็นสายเลือด ครูอาภาตกใจ “ช่อ!” ครูอาภาสะดุ้งเฮือก ฟื้นขึ้น เสียงกราฟหัวใจ ทำงานปกติ
เช้าวันใหม่ แพรวไปหาพ่อปู่ที่ตำหนักพ่อปู่ แพรวก้มลงกราบพ่อปู่ พ่อปู่ว่า “มึงรับสื่อจากกูได้ มึงมันมีเลือดดำเหมือนกูจริงๆ” แพรวถาม “พ่อปู่เรียกหนูมาทำไมเหรอคะ” “มึงทำอะไรไว้ มึงก็รู้ตัวดี” แพรวตกใจ “พ่อปู่รู้!?” “มีอะไรบ้างที่กูไม่รู้ ยิ่งเรื่องชั่วช้ากูยิ่งรู้” “แต่หนูไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่ามันนะคะ” “แต่มันก็ตายสมใจมึงไม่ใช่รึ” แพรวนิ่งไป ไม่ยอมตอบ พ่อปู่พูดต่อ “มึงเข้าใจคิดที่ซ่อนศพมันไว้ แต่มึงทำไปอย่าง ไม่รู้การ” “ยังไงเหรอคะ” พ่อปู่บอก “มึงลืมสะกดวิญญาณมัน มันถึงได้ออกมา ตามล่ามึงได้ ดีนะที่ยันต์กูยันมันไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้น ป่านนี้มึงเหลือแต่กระดูกแล้ว” แพรวหน้าตื่น “แต่ว่า...แม่ให้หนูใส่พระไว้นะคะ ผีมันจะ ทำอะไรหนูได้” “พระท่านคุ้มครองคนดี ไม่ใช่คนชั่วเลือดดำอย่างมึง!” แพรวรีบถาม “แล้วหนูต้องทำยังไง” “ถอดพระออกซะ แล้วเอาตะกรุดของกูไป ใส่แทน” พ่อปู่ยื่นห่อผ้าดำให้แพรวรับไป แพรวแกะออก เห็นมีตะกรุดสีดำ“กูปลุกเสกด้วยเลือดผีเจ็ดป่าช้า แต่มันมีฤทธิ์ คุ้มครองมึงแค่กลางคืน ส่วนกลางวันกูจะเป่า มนตร์มารคุ้มครองให้” พ่อปู่ว่าแล้วก็หลับตาพึมพำคาถามนตร์ดำแล้วเป่าพรวดใส่กระหม่อมแพรว ควันดำพุ่งใส่ หัวแพรว แพรวร้อนวาบไปทั้งตัว “เอาล่ะ กูลงมนตร์ให้มึงแล้ว จะไม่มีผีตัวไหน กล้ายุ่งกับมึงอีกเป็นอันขาด!” “ขอบคุณค่ะพ่อปู่” แพรวก้มลงกราบ มองตะกรุดแล้วยิ้มด้วยความสมใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ถามพ่อปู่ “หนูขอไปฝากเพื่อนอีกอันได้ไหมคะ” “ไม่ต้อง เพื่อนมึงคนนั้นมันดวงแข็ง ไม่มีผีหน้าไหนทำอะไรมันได้ง่ายๆ หรอก นอกจาก หลอกๆ หลอนๆ ห่วงแต่ตัวมึงเองเถอะ” แพรวรับคำแล้วก้มลงมองตะกรุดในมืออีกครั้ง

ตอนที่ 3 วันพุธ ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557
วันใหม่ ครูอาภากลับจากโรงพยาบาลมาถึงบ้าน กรณ์พยุงแม่ไปนั่งที่เก้าอี้ ก่อนจะพูดขึ้น “ต่อไปนี้คุณแม่ห้ามเครียดห้ามคิดมากเชียวนะครับ เรื่องโรงละครให้ทางตำรวจเขาจัดการไป ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ต้องคิด ผมอยากให้คุณแม่อยู่กับผม นานๆ นะครับ” ครูอาภาสงสัยหันไปถาม “ช่อเขาเป็นอะไรไป กรณ์รู้ เรื่องช่อรึเปล่า” กรณ์หน้าเจื่อน ชะงักไปก่อนจะปรับสีหน้าแล้วพูด “เอ่อ ทำไมเหรอครับคุณแม่” ครูอาภาว่า “แม่ฝันถึงเขา เขาร้องไห้ใหญ่เลย ไม่รู้เป็นอะไร รึเปล่า” กรณ์อึ้งๆ ไป ครูอาภาบอก “กรณ์ต้องไปหาหนูช่อนะลูก แม่ว่าเขาต้องมีปัญหาอะไรอยู่แน่ๆ” กรณ์พยักหน้าจำใจรับปากไปเพื่อให้แม่สบายใจ ครูอาภาพูดย้ำ “แล้วบอกหนูช่อให้มาหาแม่ด้วยนะ แม่อยากให้หนูช่อสืบทอดละครของแม่แทนแม่ ไม่อยากให้มันจบลงไพร้อมๆ กับแม่” กรณ์ตอบหน้าเศร้าๆ “ครับคุณแม่ แล้วผมจะบอกให้”
ที่หลุมศพช่อเอื้อง ใบไม้ปลิวไสวเหนือหลุมศพช่อเอื้อง วิญญาณช่อเอื้องยืนร้องไห้ “ทำไมต้องทำกันแบบนี้.....ทำไมต้องทำกับฉัน แบบนี้”
ที่ห้อง ไทเก็บเสื้อผ้าเพื่อที่จะเตรียมตัวกลับชุมพร แต่จู่ๆ ไฟก็เกิดดับขึ้น ไทหาไฟฉายแล้วกดสวิตช์เปิด ฉายออกไปเห็นช่อเอื้องยืนก้มหน้าอยู่กลางห้อง เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่ามีเลือดออกทั้งทาง ตา จมูก ปาก เลือดอาบหน้าไปหมด “แกฆ่าฉันทำไม!” ไทตกใจ ผงะหงายหลังล้มลงไป เงยหน้ามองอีกทีช่อเอื้องก็หายไปแล้ว ไทสะบัดหัวไล่ความมึน “สงสัยจะตาฝาด....” ไทสาดไฟไปอีกทางเห็นช่อเอื้องอีกครั้ง“เฮ้ยยย!!” ไทตกใจ ไฟฉายดับลง ไทร้องโวยวายเสียงดัง “เฮ้ย อย่าดับสิ ติดๆ” ไทกระแทกๆ ไฟฉาย ไฟดับๆ ติดๆ เห็นช่อเอื้องไปมาหลายครั้ง “เฮ้ย อย่านะ เราไม่ได้ตั้งใจช่อ เราขอโทษ อย่าทำอะไรเรานะ เราขอโทษ” ไทหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ในห้อง ไฟฉายก็ดับๆ ติดๆ ไม่รู้ว่าช่อเอื้องอยู่ตรงไหน “อย่าเข้ามานะช่อ เราขอโทษ ยกโทษให้เรา เถอะนะ” ขาดคำ หน้าช่อเอื้องก็ผ่างเข้ามาตรงหน้าใกล้ๆ ไทหลับตาร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจ ลืมตาขึ้นดูอีกครั้งก็พบว่าช่อเอื้องหายไปแล้ว ไทหายใจหอบด้วยความกลัว รีบออกจากห้อง ไปหาแพรวที่บ้านทันที
ที่ห้องรับแขกบ้านแพรว แพรวฟังเรื่องที่ไทเล่าแล้วไม่ค่อยอยากเชื่อ “อะไรนะ ช่อมาหาแกงั้นเหรอ??....ตาฝาดรึเปล่า” ไทบอกเสียงสั่น “ไม่ได้ตาฝาด ฉันไม่ได้เห็นแค่ครั้งเดียว แต่เห็น ตลอด จนอยู่ไม่ติดต้องเผ่นมานี่ไง” แพรวว่า “ก็ไม่แปลกหรอก แกเป็นคนลงมือ ช่อมันต้องตายก็เพราะแก มันก็ต้องมาแก้แค้นแกอยู่แล้ว แต่ไม่ต้องกลัวหรอก แกมันดวงแข็ง ช่อมาทำได้ก็แค่มาให้เห็น แต่มันทำอะไรแกไม่ได้หรอก เชื่อฉัน” ไทงง “นี่แกไม่กลัวบ้างเลยเหรอ” แพรวบอก “คนอย่างฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะคนหรือผี แล้วที่สำคัญ ไม่มีผีหน้าไหนทำอะไรฉันได้หรอก ถ้ามันกล้าเข้ามา มันได้ตายอีกรอบแน่” แพรวกำตะกรุดดำที่คล้องคอไว้อย่างมั่นใจ
ที่หน้ารั้วบ้านแพรว วิญญาณช่อเอื้องปรากฏขึ้น “พวกแกฆ่าฉัน อย่าคิดว่าจะหนีความผิดพ้น! ไอ้ฆาตกร ไอ้เพื่อนทรยศ!”
ที่บ้านแพรว แพรวคุยอยู่กับไทเรื่องผีช่อเอื้อง “ผีนังช่อมันตามล้างแค้นเรา ต่อให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลขอโทษกันยังไงมันก็คงไม่ยกโทษให้เราแน่” ไทถามว่าแล้วจะเอายังไง แพรวตอบ “ท่าจะปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้แล้ว เราคงต้องทำอะไรสักอย่าง” ไทว่า “อะไรสักอย่างน่ะ มันอะไรล่ะ” แพรวครุ่นคิด
วันใหม่ ที่ตำหนักพ่อปู่ แพรวกับไทนั่งอยู่ตรงหน้าพ่อปู่ พ่อปู่บอก “มันตามล่าตามจองเวรพวกมึงก็ไม่เห็นแปลก ในเมื่อมึงฆ่ามัน ส่วนมึงก็ช่วยมัน” แพรวว่า “แล้วพ่อปู่จะปล่อยให้มันตามฆ่าพวกเรา อย่างนี้เหรอคะ จะไม่ช่วยอะไรเราเลยเหรอคะ” ไทถาม “ช่วยทำให้ช่อยกโทษให้พวกเราได้ไหมครับ” “ยกโทษ เฮอะ! นี่มึงยังคิดจะขอโทษมันอีก งั้นเรอะ ไอ้สารเลว!” ไทสะดุ้ง พ่อปู่ชี้หน้าไท “มึงฆ่ามันตายแล้ว คิดเหรอว่ามันจะยกโทษให้ ถ้าลองมีใครมาฆ่ามึงบ้าง มึงจะยกโทษให้ไหม ไอ้หน้าโง่!” ไทอึ้งไปเมื่อโดนด่าจี้ใจดำ แพรวถามบ้าง “แล้วเรา จะทำยังไงล่ะคะพ่อปู่” พ่อปู่บอก “มีทางเดียวที่จะทำให้มันไม่มายุ่งกับพวกมึงอีก ต้องสะกดวิญญาณมันไว้ ให้มันตายตกอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ไปผุดไปเกิด! ให้มันไม่ได้ตามจองเวรพวกมึง ทุกชาติไป!” แพรวสายตามีความหวัง “สะกดวิญญาณ…แล้วจะลงมือเมื่อไหร่ดีล่ะคะพ่อปู่” “คืนนี้จันทร์ดับ อำนาจมืดจะส่งพลังได้แรงที่สุด กูจะสะกดวิญญาณมันคืนนี้!”
ขณะที่กรณ์ก็เฝ้ารอว่าสักวันจะได้พบช่อเอื้อง อีกสักครั้ง กรณ์นั่งมองแหวนที่เตรียมให้ช่อเอื้องด้วย อาการโศกเศร้าเสียใจ “ที่ผ่านมาคุณไม่ได้รักผมบ้างเลยหรือช่อเอื้อง” กรณ์คิดถึงความผูกพันระหว่างตนกับช่อเอื้อง ในอดีตที่ประทับใจ กรณ์มองแหวนหมั้นอย่างเจ็บปวด ทรมานใจเป็นที่สุดที่ต้องห่างจากช่อเอื้อง
“ถึงจะทรมานที่เราต้องจากกัน” กรณ์ปิดกล่องแหวน หย่อนลงเก็บในลิ้นชักตู้ “ผมก็จะพยายามตัดใจจากคุณ...ช่อเอื้อง” กรณ์เจ็บปวด แต่ก็พยายามกัดฟันเดินต่อไปข้างหน้าที่จะไม่มีช่อเอื้องอยู่แล้ว
กลางดึกคืนหนึ่ง บริเวณด้านหน้าโรงละคร บรรยากาศวังเวง เสียงหมาหอนดังขึ้น อีกาดำบินมาเกาะที่ประตูรั้วโรงละคร พ่อปู่ แพรว และไทมาถึง แพรวบอก “ที่นี่แหละพ่อปู่ ที่ที่เราฝังมันไว้” พ่อปู่กวาดสายตาไปรอบๆ “เจ้าที่มันแรง มันไม่ให้กูเข้า!” ไทถาม “แล้วจะทำยังไงล่ะครับ” พ่อปู่ว่า “มันก็แค่ผีเฝ้าที่ กล้าดียังไงมาลองฤทธิ์กับกู! พวกมึงถอยไป กูจะว่าคาถาเปิดทาง” แพรวกับไทรีบถอยออกไป พ่อปู่หลับตาพนมมือ ว่าคาถางึมงำ หมอกดำก่อตัวขึ้นตรงหน้า ค่อยๆขยายตัวออกจนทั่วไปหมด ไทกระซิบ “ดูนั่นสิ พ่อปู่นี่ขลังจริงๆ” แพรวยิ้มสะใจ “แกเสร็จแน่นังช่อ!” หมอกดำพุ่งพรวดเข้าไปด้านใน แผ่ตัวกว้างออกไปทั่วๆ พ่อปู่ลืมตา “ทางเปิดแล้ว พวกมึงตามกูมา” พ่อปู่เดินเข้าไปด้านในโดยมีหมอกดำลอยนำทางไป แพรวกับไทรีบตามเข้าไป
บริเวณหลุมศพช่อเอื้อง ช่อเอื้องลืมตาผาง! หมอกดำลอยเข้าปกคลุมเหนือหลุมศพ พ่อปู่ แพรว และไทเข้ามาถึง “ตรงนี้ล่ะค่ะพ่อปู่ หลุมศพของมัน” แพรวชี้มือไปที่หลุมศพ วิญญาณของช่อลอยขึ้นมาจากหลุม “พวกแกจะทำอะไรฉันอีก ฆ่าฉันจนตายแล้วยังไม่พออีกเหรอ” พ่อปู่ตวาด “หุบปากนังผีชั่ว ถ้ามึงตายแล้วรู้จักตาย พวกกูคงไม่ต้องมาถึงนี่หรอกเว้ย!” “พวกแกจะทำอะไรฉัน” “ในเมื่อมึงตามอาฆาตจองเวรพวกมันนัก กูจะสะกดวิญญาณมึงไว้ที่หลุม ไม่ให้มึงได้ไปผุดไปเกิด ไปตามล่าจองเวรใครอีก!” ช่อเอื้องโกรธ “ชั่วช้านัก! ทำไมถึงได้เข้าข้างคนผิด!” พ่อปู่ว่า “ความชั่วคือพลังแห่งกู กูจะใช้มนตร์ชั่วสะกดมึง!” ร่างของช่อเอื้องจะหนี แต่พ่อปู่ลงมนตร์ขีดวงกลมหมอกสีดำรอบหลุมศพช่อเอื้องไว้ ช่อเอื้องวิ่งไปชนมนตร์ทุกทิศทาง วงกลมค่อยๆ หนาขึ้นสูงขึ้น ช่อเอื้องร้อง “ปล่อยฉันนะ อย่าทำอะไรฉัน” “มึงคิดว่าจะหนีกูพ้นงั้นเหรอ!”
พ่อปู่เริ่มว่าคาถา แพรวลุ้นอย่างสะใจ ในขณะที่ลึกๆ แล้วไทแอบเป็นห่วงช่อเอื้อง “มันจะแรงไปไหมแพรว”
แพรวว่า “ก็ไม่แรงเท่าถูกแกฆ่าตายหรอก! หรือแกอยากจะตายตามมันไปอีกคน” ไทได้แต่ถอนใจเงียบๆ พ่อปู่เร่งคาถาขึ้นไปอีก วิญญาณช่อพยายามวิ่งหนีแต่วงล้อมกั้นไว้สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ให้ช่อออกมา “ฤทธิ์เยอะนักนะมึง!” พ่อปู่ล้วงย่ามหยิบขวดใส่น้ำสีเลือดออกมา “เลือดเป็นจงล้างเลือดตาย!” พ่อปู่เทเลือดลงบนพื้นดินเหนือหลุมศพช่อเอื้อง ช่อเอื้องกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน “เลือดกูจะสิงสู่เลือดมึง ดึงมึงกลับลงหลุมชั่วกัปชั่วกัลป์!” พ่อปู่สาดเลือดที่เหลือใส่ร่างของช่อเอื้อง วิญญาณช่อเอื้องกรีดร้องทรมาน อ่อนแรงลงทันทีค่อยๆ ทรุดลงที่พื้นดิน.....ช่อเอื้องจ้องมาที่แพรวกับไทก่อนจะพูดขึ้น “หากกูไม่สมในรัก ด้วยเลือดทุกหยด! ด้วยกายทั้งกาย! ด้วยใจทั้งใจ! กูจะขอสาปขอแช่ง! วันใดพวกมึงมีรัก อย่าให้พวกมึงได้สมรัก! อย่าให้มึงได้สมสู่! อย่าให้มึงได้ครองคู่! ขอฟ้าขอดินพรากมึงจากกัน! ตราบชั่วฟ้า ชั่วนิรันดร์!”
จบคำสาป วิญญาณช่อเอื้องก็แน่นิ่งไป พ่อปู่ว่าพึมพำคาถาสะกด อีกาดำบินมาเกาะเหนือหลุม พ่อปู่เอ่ยบอกกับอีกา “มึงจงเฝ้ามันเอาไว้ ไอ้นกปีศาจ! อย่าให้มันหลุดมาได้เป็นอันขาด หากวันใดมีเภทภัย มีใครปล่อยมันออกมา มึงจงรีบไปบอกกู กูจะกลับมาจับวิญญาณมันลงนรก!”

ตอนที่ 4 วันจันทร์ ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2557
คืนหนึ่ง ที่ห้องพระภายในบ้านกรณ์ ครูอาภาก้มลงกราบพระ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพบว่าไฟลุกไหม้หัวครูละครทั้งหิ้ง ครูอาภาตกใจกุมหัวใจแน่นก่อนล้มลงไป
ที่ห้องนอนกรณ์ กรณ์ได้ยินเสียงโครมครามก็ตกใจ รีบออกไปดู
ที่ห้องพระ กรณ์เข้ามาก็เห็นว่าครูอาภาล้มพับอยู่ที่พื้น กรณ์ตกใจมาก “คุณแม่!” กรณ์รีบเข้าไปหา ประคองตัวให้ลุกนั่ง “คุณแม่ครับ คุณแม่!” ครูอาภาที่ยังมีสติอยู่บ้าง พยายามบอกอย่างแผ่วเบา “กรณ์.....แย่แล้วลูก....แย่แล้ว....” “เกิดอะไรขึ้นครับคุณแม่” ครูอาภาพยายามจะบอก แต่ไม่ทันแล้ว ค่อยๆหมดลมหายใจ กรณ์หน้าตื่น ร้องร้องเรียก “คุณแม่ครับ คุณแม่ คุณแม่!”
วันใหม่ ที่ศาลาวัด ภาพครูอาภาในงานศพประดับด้วยดอกไม้และพวงหรีดวางอยู่ แพรวกับไทจุดธูปไหว้ศพ ก่อนจะถอยออกมา คนอื่นๆ เข้าไปไหว้ศพตาม
กรณ์ในชุดพระรามเดินเข้ามาบอกกับศพครูอาภา “คุณแม่ครับ คุณแม่เคยอยากให้ผมรำละครเป็นตัวพระ นี่คงเป็นครั้งแรกและคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะทำให้คุณแม่ได้” กรณ์เริ่มรำพร้อมกับลูกศิษย์ครูอาภาคนอื่นๆ
อีกมุมหนึ่ง แพรวกับไทนั่งชมอยู่ในกลุ่มแขกอื่นๆ ไทถามขึ้นอย่างสงสัย “คุณกรณ์รำหน้าไฟให้ครูอาภา.....แพรว ทำไมเธอไม่ร่วมรำกับคุณกรณ์ล่ะ” แพรวชักสีหน้าทันที เจ็บใจ “ฉันเสนอตัวจะหัดรำให้คุณกรณ์แล้ว แต่เขาปฏิเสธ หึ คุณกรณ์ยังนึกถึงแต่อีช่อ แต่ก่อนครูอาภาอยากจะให้คุณกรณ์กับอีช่อเข้าคู่กันเป็นตัวพระตัวนาง” ไทยิ้มเย้ย“ถึงช่อไม่อยู่ คุณกรณ์เขาก็ยังไม่ยอมเข้าพระเข้านางกับแก” แพรวค้อน“ยังกะแกได้” แพรวตอกหน้าไทจ๋อย แพรวมองกรณ์ ยิ่งขุ่นแค้นเรื่องช่อเอื้อง
หลังจากเสร็จงานศพครูอาภาแล้ว กรณ์ก็ขอคุยกับแพรวและไท กรณ์เอ่ยบอกว่า “คุณแม่อยากให้ช่อสืบทอดละครของท่านต่อ ไม่ทราบว่าพวกคุณจะช่วยบอกเรื่องนี้ให้ช่อรู้ได้ไหมครับ” แพรวว่า “เรื่องนั้นคงไม่ต้องบอกแล้วล่ะค่ะ” กรณ์งง “หมายความว่ายังไงครับ” แพรวว่า “ยังไงช่อก็ไม่กลับมาอยู่แล้ว ขนาดงานศพครูทั้งทีเขายังไม่มา เรื่องอื่นอย่าไปหวังเลยค่ะ ช่อเขาตัดเป็นตัดตายกับเรื่องละครแล้วก็เรื่องคุณแล้ว” กรณ์อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วพวกคุณสนใจจะสืบทอดละครไหมครับ” ไทบอก “ผมคงไม่เหมาะหรอกครับ” แพรวว่า “ฉันก็คงไม่กล้าหรอกค่ะ ฉันรู้ตัวดีว่าไม่เก่งเหมือนช่อ ไม่ใช่คนที่ครูอยากให้สืบทอดหรอกค่ะ” กรณ์หน้าเครียด “ถ้าพวกคุณไม่ต้องการ โรงละครก็คงเหลือทางเลือกเดียว”
วันใหม่ ที่หน้าโรงละคร มีป้ายประกาศขายติดอยู่ แพรวกับไทยืนอยู่ข้างรถที่จอดไว้หน้าโรงละคร คุยกันเรื่องปิดโรงละคร “ฉันไม่น่าโง่เลย น่าจะรับสืบทอดไป” ไทงง “อ้าว ทำไมถึงเปลี่ยนใจซะล่ะ” แพรวบอก “เพราะมันเป็นทางเดียวที่ติดต่อกับคุณกรณ์ ได้น่ะสิ” ไทส่ายหัว “หึ คิดว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องผู้ชาย ไหนว่า อีกที่เขาเรียกตัวเธอไปแล้วไม่ใช่เหรอ” แพรวว่า “ก็ทำมันทั้งสองอย่างก็ได้นี่” ไทเตือน “อย่าหาเรื่องดีกว่าน่า ปล่อยให้ทุกอย่างมัน เป็นอดีตไปอย่างนี้นั่นแหละดีแล้ว อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย” แพรวเหลือบตามองไท สายตาและสีหน้า ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร
แพรวตัดสินใจไปหากรณ์ที่บ้าน ขณะที่กรณ์ กำลังเก็บของอยู่ แพรวเอ่ยถาม “เอ่อ...เรื่องโรงละครน่ะค่ะ คุณคิดจะปิดจริงๆ เหรอคะ” กรณ์บอก “ถึงจะไม่อยากปิดแต่ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น น่ะครับ เพราะผมก็จะไม่อยู่แล้ว เปิดไว้ก็จะไม่มีใคร ดูแล” แพรวรีบถาม“คุณจะไปไหนเหรอคะ” กรณ์บอก “เรียนต่อที่อังกฤษครับ คงไม่ได้กลับจนกว่า จะเรียนจบ หรือถ้าเรียนจบแล้วได้งานดีๆ ที่นั่น ก็คง อยู่ต่อเลย” แพรวอึกอักไปด้วยความผิดแผน กรณ์สังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของแพรวแล้วถามขึ้น “มีอะไรรึเปล่าครับ” “เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คือว่าจริงๆ แล้ววันนี้ ก็แค่จะแวะมาเยี่ยมคุณน่ะค่ะ ครูเพิ่งเสีย กลัวคุณจะเศร้าแล้วไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน” กรณ์ยิ้ม “ขอบคุณนะครับ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการก่อนจะบิน” แพรวเสแสร้งยิ้มๆ ตอบ แต่ในใจแอบเซ็ง
ตอนกลางคืนที่บ้านแพรว แพรวกลับบ้าน เดินเข้าไปในห้องนอนแล้วเหวี่ยงกระเป๋าเซ็งๆ ก่อนจะนั่งลงคิดแค้นช่อเอื้อง “ทำไมคุณกรณ์ต้องไปต่างประเทศด้วยนะ นังช่อเป็นเพราะแกคนเดียว ถ้าแกไม่ให้ท่าคุณกรณ์ ไม่ใช้มารยาหลอกล่อ คุณกรณ์คงรักฉันไปแล้ว” แพรวนั่งนึกย้อนอดีต ครั้งแรกที่ได้พบกรณ์ แพรวหลงรักกรณ์ทันที
ที่บริเวณลานน้ำพุเทวี เหนือหลุมศพช่อเอื้อง อีกาดำบินมาเกาะ ช่อเอื้องพยายามจะหาทางออก แต่ก็ไปไม่ได้ ติดวงกลมหมอกสีดำ “ทำไมต้องทำแบบนี้..ทำไมทำกับฉันแบบนี้...” ช่อเอื้องทรุดลงนั่ง ฟุบหน้าร้องไห้ด้วยความ เศร้าโศกเสียใจ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแค้น “หากกูไม่สมในรัก ด้วยเลือดทุกหยด! ด้วยกาย ทั้งกาย! ด้วยใจทั้งใจ! กูจะขอสาปขอแช่ง! วันใด พวกมึงมีรัก อย่าให้พวกมึงได้สมรัก! อย่าให้มึงได้ สมสู่! อย่าให้มึงได้ครองคู่! ขอฟ้าขอดินพรากมึง จากกัน! ตราบชั่วฟ้า ชั่วนิรันดร์!”
1 ปีต่อมา โรงละครดาราลัยที่ถูกไฟไหม้และปิดตายมาร่วม 1 ปีก็กำลังจะถูกปรับปรุงให้เป็น โรงแรมแห่งใหม่ภายใต้เครือโรงแรมของณรา
ณราเพิ่งเรียนจบและต้องสืบทอดธุรกิจโรงแรมของครอบครัว เขาได้พบและถูกใจกับซากสถาปัตยกรรมของโรงละครดาราลัย จึงเอาเรื่องโรงละครไปบอกวดี ผู้เป็นแม่ วดีก็เห็นชอบ แต่พอถามถึงประวัติก็เริ่มกังวลใจ จึงบอกให้ณราไปถามซินแสเฟยก่อน ให้ซินแสเฟยมาช่วยดูฮวงจุ้ยให้ก่อน
ณราติดต่อกับซินแสเฟย โดยไม่รู้ว่าซินแสเฟยหน้าตาเป็นยังไง พริ้วลูกสาวของซินแสเฟยที่เห็นว่า พ่อไม่ค่อยสบายจึงสวมรอยเป็นซินแสไปดูที่ให้กับณรา โดยไม่ได้บอกพ่อ
เมื่อพริ้วไปถึงโรงละครและเข้าไปเดินสำรวจ จนถึงบริเวณลานน้ำพุเทวี ก็เหมือนมีพลังมืดบางอย่างพุ่งเข้ามาปะทะพริ้วอย่างแรง จนพริ้วหน้ามืดเป็นลม แต่ณราเข้ามาช่วยพยุงไว้ได้ทัน และพาส่งโรงพยาบาล
ขณะที่พ่อปู่ของแพรวรับรู้ได้ถึงพลังบางอย่างของพริ้ว แต่ไม่รู้ว่าพริ้วเป็นใคร พ่อปู่จึงเรียกแพรว เข้าพบ แพรวถาม “พ่อปู่ตามหนูมาทำไมคะ” “มีคนเข้าไปในเขตอาคมกู” แพรวว่า “ขโมยรึเปล่า” พ่อปู่ตวาด“ไม่ใช่! แต่กูยังไม่เห็นว่ามันเป็นใคร แต่กูสัมผัส ได้ถึงพลังของมัน” “พลัง? พลังอะไร?” พ่อปู่ว่า “พลังที่ต้านพลังกูได้” แพรวอึ้ง “หมายความว่ายังไงพ่อปู่ มันจะเกิดอะไรขึ้น งั้นเหรอ” “กูยังไม่เห็น แต่ที่แน่ๆ ไอ้คนที่มีพลังนั้นมันจะ ล้างอาคมกูได้ แล้วถ้าสิ้นอาคม อะไรที่มึงซ่อนไว้ มันจะถูกเปิดเผย!” แพรวหน้าตื่น “แล้ว....แล้วเราต้องทำยังไงล่ะพ่อปู่” พ่อปู่บอก “ก็หาให้เจอว่ามันเป็นใคร แล้วพามันมาหากู! เพราะมันคือตัวอันตราย!!”
ที่โรงพยาบาล เมื่อพริ้วฟื้นขึ้นก็ได้พบกับณรา ณราแนะนำตัวว่าเขาเป็นเจ้าของคนใหม่ของโรงละคร พริ้วว่า “อ่อ คุณนั่นเอง แล้วมันเกิดอะไรขึ้น กับฉัน” ณราตอบ “คุณคงจะเป็นลมน่ะครับ” พลิ้วพยายามนึก “ไม่ใช่ ฉันไม่ได้เป็นลมนะ อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือน ถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าใส่” ณรางง“อะไรบางอย่าง? อะไรเหรอครับ” พลิ้วว่า “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากแรงกระแทก”
ณรายิ้ม “ผมว่าคุณอย่ากังวลไปเลยนะครับ หมอบอกว่า คุณแค่เป็นลม ไม่ได้เป็นอะไรมาก” พริ้วมองณราอย่างไม่เชื่อและยังคงติดใจสงสัยกับสิ่งที่เจอมา
ณราขับรถเพื่อมาส่งพริ้ว ภายในรถ ทั้งสองนั่งเถียงกันมาตลอดทาง “ถ้าคุณไม่เชื่อ เราก็ไม่ต้องมาพูดกัน” “จะให้ผมเชื่อได้ยังไง ในเมื่อตัวคุณเองยังไม่รู้ ด้วยซ้ำว่าเจออะไร” แพรวสีหน้าเริ่มไม่พอใจ “ก็ฉันบอกแล้วไงว่ามันเป็นพลังชนิดหนึ่ง” ณราบอก “ผมว่าคุณเป็นลมมากกว่า คุณคงไม่ได้ ทานข้าวหรือว่าอดนอน ร่างกายเลยอ่อนแอ” “ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ แล้วคุณจ้างฉันมา ทำไม” ณราตัดบท “ก็มันเป็นความต้องการของคุณแม่ผม”
ที่หน้าบ้านพริ้ว ณราเลี้ยวรถเข้ามาถึงหน้ารั้ว พริ้วบอกเสียงแข็ง “จอดตรงนี้แหละค่ะ” ณราจอดรถ พริ้วว่า “งั้นคุณบอกแม่ของคุณ ด้วยนะว่าที่ผืนนั้นไม่เหมาะที่จะสร้างโรงแรมหรืออะไรทั้งนั้น ถ้าพวกคุณไม่อยากเดือดร้อน ก็เลิกยุ่งกับที่ผืนนั้นซะ” พริ้วพูดจบก็ลงจากรถไป ก่อนจะหันมาบอกทิ้งท้าย “ส่วนคุณ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องโทรมาอีก เสียเวลา” พริ้วเดินเข้าไปในบ้านทันที ณรามองตามงงๆ “ซินแส อะไรวะ ทั้งวีนทั้งเหวี่ยง”
เมื่อพริ้วเดินเข้าไปในบ้าน ซินแสเฟยก็เอ่ยบอกกับลูกสาวว่า บริษัทที่พริ้วไปสมัครงานไว้โทรมาบอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปสัมภาษณ์ พริ้วดีใจมากที่จะได้งานทำสักที พริ้วตื่นเต้นกับการไปสัมภาษณ์งาน รีบเข้าห้อง ไปเอาชุดต่างๆที่มีอยู่มาทาบกับตัวชุดแล้วชุดเล่าก็ยังไม่ถูกใจ พริ้วไปค้นในตู้เสื้อผ้าอีกรอบ ซินแสเฟยเดินผ่านเห็นพริ้วกำลังวุ่นวายกับการเลือกเสื้อผ้าก็ยิ้ม ผลักประตูเข้าไป “ลื้อไม่ต้องเลือกมากหรอกอาพริ้ว ใส่ชุดไหน เขาก็รับลื้อเข้าทำงาน เชื่ออั๊ว” พลิ้วถาม “ทำไมป๊าถึงมั่นใจนักล่ะว่าเขาจะรับฉัน” ซินแสเฟยบอก “ก็อั๊วดูดวงชะตาของลื้อ คนที่ลื้อจะเจอพรุ่งนี้ ดวงเป็นมิตรกับลื้อ” พลิ้วดีใจ “ฮะ? จริงเหรอป๊า” ซินแสเฟยว่า “อั๊วจะโกหกทำไม แล้วไม่ใช่แค่เป็นมิตรนะ ดวงคนนั้นเขาเป็นได้ถึงคู่ลื้อเชียวนะ” พลิ้วตกใจ “ป๊าอย่าบอกนะว่าฉันจะเจอเนื้อคู่!” ซินแสเฟยยิ้ม “ลื้อไม่ให้บอก อั๊วก็จะไม่บอก ปล่อยให้ลื้อไป เจอเองก็แล้วกัน” ซินแสเฟยหัวเราะชอบใจก่อนจะเดินออกไป พริ้วใจเต้นแรง “เนื้อคู่งั้นเหรอ...ฮึ่ย ไม่จริงหรอก ป๊าอำกันแน่ๆ เลย คงอยากให้เราแต่งตัวสวยๆ แน่” พริ้วหันกลับไปทาบชุดลงบนตัวแล้วมองตัวเอง ในกระจก

ตอนที่ 5 วันอังคาร ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557
แพรวโทรศัพท์หาไทนัดให้เข้ามาพบพ่อปู่ด้วยกัน พ่อปู่สั่งให้ทั้งสองไปขุดศพช่อเอื้องขึ้นมา แล้วพ่อปู่จะเข้าไปทำพิธีเอาวิญญาณช่อเอื้องไปปล่อยที่ป่าช้าให้เป็นวิญญาณผีตายโหง ไทซึ่งเป็นคนขี้ขลาดก็หวาดกลัว แต่แพรวซึ่งเกลียดชังช่อเอื้องเข้าไส้ยินดีที่จะทำ
วันใหม่ พริ้วไปสัมภาษณ์งานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เมื่อพริ้วเข้าไปพบกับเจ้าของโรงแรม เธอก็ต้องตกใจ เมื่อเจ้าของโรงแรมคือณรา “นี่มันหมายความว่ายังไง....” ณรายิ้ม “ก็หมายความว่าคุณอยากเป็นเลขาฯ ผมยังไงล่ะ” พลิ้วรีบบอก “ฉันเปล่านะ” ณราว่า “อย่ามาปฏิเสธ ในเมื่อคุณเป็นคนเขียนสมัคร เข้ามาเองไม่ใช่เหรอ” พลิ้วอึกอัก “แต่ว่า...” “ถ้าอยากเป็นเลขาฯ ผมก็เชิญนั่ง ผมมีหน้าที่ ต้องสัมภาษณ์คุณ” พริ้วคิดๆ ว่าจะเอายังไงดี ณราว่า “หรือว่าคุณเปลี่ยนใจ ไม่อยากทำงานนี้แล้ว งั้นก็เชิญ ประตูอยู่ทางโน้น”
พริ้วมองหน้าณราลังเลก่อนจะจำใจนั่งลง “บอกไว้ก่อนนะ ถ้าฉันรู้ว่า ต้องมีเจ้านายเป็นคุณ ฉันคงไม่สมัครหรอก” ณราแอบยิ้ม “แล้วนึกยังไงถึงอยากเป็นเลขาฯ เป็นซินแส ไม่ดีเหรอ” “...เอ่อ คือ...” ณรานึกได้ “หรือว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ใช่ซินแส” พลิ้วรีบบอก “พูดอะไรบ้าๆ นี่ฉันไม่ได้หลอกคุณนะ อย่ามาหาเรื่อง” ณราว่า“ผมยังไม่พูดสักคำว่าคุณหลอกผม อย่าร้อนตัวสิ” พริ้วอยากจะลุกหนีไปแต่ก็จำเป็นต้องมีงานทำเลยต้องอดทน ไม่มองหน้าณรา “จะสัมภาษณ์อะไรก็เชิญ” “คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ” พลิ้วงง “หมายความว่ายังไง จะไม่รับฉันงั้นเหรอ รู้ไหมว่าคุณสมบัติฉันพร้อมแค่ไหน ฉันจบปริญญาตรีด้านบริหารจัดการโดยตรง พูดได้ทั้งจีน ทั้งอังกฤษ รู้ระบบ จัดการของโรงแรมทั้งหมดเพราะเคยฝึกงานกับ โรงแรมเจ็ดดาวมาแล้วตั้งหกเดือน ฉันพร้อมขนาดนี้ คุณยังจะบอกว่าไม่จำเป็นอีกเหรอ” ณราว่า “ก็เพราะคุณพร้อมซะขนาดนั้นน่ะสิ ผมถึง ไม่จำเป็นต้องสัมภาษณ์” “นี่คุณ....” “คุณพร้อมจะเริ่มงานเมื่อไหร่ ผมอยากจะรู้นัก ว่าคุณเก่งแต่ปากรึเปล่า”
พลิ้วอึ้ง “นี่...หมายความว่า คุณรับฉันงั้นเหรอ” ณรายิ้ม “แน่นอน ต่อไปนี้ คุณต้องเป็นเลขาฯ ผม เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม และผมก็จะเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิตคุณ และผมอยากให้คุณเริ่มงานวันนี้” พลิ้วตกใจ “วันนี้?” “หรือคุณมีปัญหา” “ไม่มีๆ ได้ อยากให้ฉันเริ่มวันนี้ ฉันก็จะเริ่ม ให้ดู จะได้รู้ว่าฉันน่ะไม่ได้เก่งแต่ปากแน่นอน!”
ที่วัดแห่งหนึ่ง ไทที่รู้สึกไม่สบายใจมากราบไหว้พระที่วัด “ขออำนาจคุณพระช่วยคุ้มครองดวงวิญญาณ ของช่อเอื้องด้วยเถิด อย่าให้ต้องทุกข์ อย่าให้ทรมาน ขอให้อโหสิต่อกันและไปสู่ภพภูมิใหม่ด้วยเถิด” ไทกราบพระสามที เงยหน้าขึ้น หันกลับมาเจอ พลวงพ่อยืนมองอยู่ “มีเรื่องทุกข์ใจอะไรเหรอโยม”
ไทนั่งคุยกับหลวงพ่อ หลวงพ่อบอก “กรรมมันลบล้างกันไม่ได้หรอกโยม กรรมใดที่ก่อไว้แล้ว หากเป็นกรรมดีก็จะส่งอานิสงส์ผลบุญให้ ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า แต่หากเป็นกรรมชั่วก็จะ เหมือนตราบาปที่ติดตัวไปทุกชาติทุกภพ หากเป็นกรรมที่ก่อไว้กับผู้ใด แล้วเขาโกรธ เขาอาฆาต ก็จะ เกิดการจองเวรจองกรรมกันทุกภพทุกชาติไปจนกว่า จะอโหสิกรรมต่อกันได้” ไทถอนหายใจหนักๆ หลวงพ่อพูดต่อ “หากมีสิ่งใดที่โยมเคยทำไว้แล้วก่อให้เกิดทุกข์ละก็ อาตมาขอให้โยมทำบุญให้มากๆ ผลบุญไม่ช่วย ลบล้างผลกรรมก็จริง แต่ก็ช่วยให้ห่างจากกัน เหมือนที่เขาว่าทำบุญหนีกรรมนั่นแหละโยม” ไทเริ่มมีความหวัง
ตอนกลางวัน ที่ห้องทำงานภายในโรงแรมณรา ณรานั่งดูภาพโรงละครจากไอแพด เสียงเคาะประตู ดังขึ้น พริ้วเปิดประตูเข้ามา “มีอะไรด่วนเหรอคะ” ณราบอก “ส่งช่อดอกไม้แล้วก็ของขวัญสำหรับเด็กแรกเกิด ไปให้เลขาฯ เก่าผมด้วย” พลิ้วพยักหน้า “ได้ค่ะ” พริ้วจะหมุนตัวออกไป ณราเรียกไว้ก่อน “เดี๋ยวก่อนครับ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ผมอยากให้คุณไปกับผม” พริ้วงงและตกใจ “ไปไหนคะ” “ไม่ต้องตกใจหรอกครับ ผมไม่ชวนคุณไปที่ลับๆ หรอก แค่จะชวนคุณไปดูที่ที่โรงละครอีกครั้ง เพราะครั้งก่อนคุณเป็นลมไปซะก่อน เลยไม่ทันได้ดู” พริ้วว่า “ฉันว่าที่ตรงนั้นมันแปลกๆ นะคะ…. ฉันสัมผัสได้ แต่พูดไปแล้วคุณจะเชื่อฉันเหรอ” ณราว่า “ผมถึงอยากให้คุณกลับไปดูให้อีกครั้งไงครับ จะได้รู้กันไปเลยว่าไอ้ที่ว่าแปลกๆ น่ะ มันคืออะไร”
“ฉันว่าพลังพวกนี้ น่าจะเป็นดวงวิญญาณที่อยู่ในที่นั้น ถ้าคุณซื้อที่ผืนนั้นไว้แล้วทำบุญให้พวกเขา มันอาจจะเป็นการสร้างกุศลครั้งใหญ่ก็ได้นะคะ” “ผมทำธุรกิจหวังกำไร ไม่ได้ทำการกุศล” “แต่ว่า…” ณราตัดบท “ไม่มีแต่ เลิกงานแล้ว คุณต้องไปกับผม”
ตอนกลางคืน ที่ตรอกมืดๆหน้าโรงละคร ไทรอแพรวอยู่ก่อนด้วยสีหน้ากังวล เครียด ไม่อยากทำ
“เอาไงดีวะ….ไม่อยากทำเลยจริงๆ….หรือว่า… หรือว่ากลับเลยดีกว่า” ไทหันหลัง เจอเข้ากับแพรวที่เข้ามาถึงพอดี “คิดจะหนีงั้นเหรอ ต่อให้นายหนีฉันได้ นายก็หนีความผิดที่ฆ่าคนตายไม่ได้หรอก ซากนังช่อจะฟ้อง ว่าแกเป็นฆาตกร! ถ้ายังมัวแต่รู้สึกผิด เห็นอกเห็นใจ อีผีนี่ล่ะก็ ตามใจแก! ฉันจะเข้าไปคนเดียว” แพรวเดินไปยังทางเข้า ไทคิดหนัก “เดี๋ยวก่อนสิแพรว” ไทหันไปมองจอบและหีบหวายยาวขนาดเท่า ร่างคนที่วางไว้ในมุมลับตาในตรอกนั้น ก่อนจะมอง ตามแพรวไป
ขณะเดียวกันนั้นเอง ณรากับพริ้วก็กำลังเดินทางมาที่โรงละครเช่นกัน พริ้วเองยังมั่นใจว่าที่โรงละครแห่งนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ
ด้านพ่อปู่ที่นั่งหลับตาภาวนามนตร์อยู่ก็ยิ้มร้าย “เวลาของมึงมาถึงแล้ว อีเลือดชั่ว!”
ที่บริเวณหลุมศพช่อเอื้อง แพรวเดินนำหน้าไทเข้ามาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เห็นว่าฟ้ามืดสนิท ไม่มีพระจันทร์ ซึ่งเป็นไปตามคำบอกของพ่อปู่ที่จะต้องขุดศพช่อเอื้องขึ้นมาขณะที่จันทร์ดับ แพรวเอ่ยขึ้น “ลงมือสิ รออะไรอยู่ล่ะ” ไทรวบรวมสติ ก่อนพูดกับหลุมศพของช่อเอื้อง “ขอโทษนะช่อ ยกโทษให้ฉันเถอะนะ”แพรวดุ “มัวแต่พร่ำเพ้ออยู่ได้ ฉันบอกให้รีบลงมือ” ไทเงื้อจอบจะขุด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา แพรวว่า “มีคนมา!” ไทตื่นกลัว แพรวจึงบอกให้ไทขุดต่อไป เธอจะไปดูว่ามีใครมา
ที่หน้าโรงละคร รถณราแล่นเข้ามาจอด ณราหันไปพูดกับพริ้ว “เดี๋ยวเราจะได้รู้กันว่ามันคืออะไรแน่ ไม่แน่นะ ที่นี่อาจจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ก็ได้”
ที่ตำหนักพ่อปู่ พ่อปู่ที่นั่งภาวนาอยู่ ทันใดนั้นก็ลืมตาโพลง! “มึงโผล่ออกมาแล้วรึ ดี! กูจะลองฤทธิ์กับมึงดูซะหน่อย จะได้รู้ว่ามึงอันตรายกับกูได้แค่ไหน” พ่อปู่ว่าแล้วจุดเทียนดำแล้วหลับตาภาวนามนตร์ เห็นควันที่ลอยจากเปลวเทียนเป็นสีดำค่อยๆ ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนปกคลุมไปทั่วห้อง
ที่ด้านหน้าโรงละคร พริ้วกับณราหยุดอยู่ที่ทางเข้า ณราขอตัวกลับไปเอาไฟฉาย ทิ้งพริ้วไว้ลำพัง พริ้วมองเข้าไปด้านใน รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง “มันต้องมีอะไรแน่นอน ฉันต้องรู้ให้ได้ ว่ามันคืออะไร”
พริ้วก้าวเข้าไป ทันใดนั้นหมอกดำก็พรวดออกมากระแทกร่างพริ้วอย่างแรง พริ้วถึงกับผงะล้มลงไปหมดสติ ณราที่ถือไฟฉายกลับมาเห็นเข้าก็ตกใจ รีบเข้าไปช้อนร่างพริ้วขึ้นมา พยายามเขย่าร่างพริ้วที่แน่นิ่งไป แพรวที่เดินออกมาดูเห็นณรากำลังอุ้มพริ้วกลับไปที่รถ แพรวยิ้มอย่างสาสมใจ ขณะที่พ่อปู่เองก็ยิ้มย่อง สาแก่ใจ
“กูคิดว่ามึงจะแน่ โดนเดรัจฉานวิชาเข้าหน่อยก็สิ้นฤทธิ์ อย่าได้คิดมาลองดีกับกู!”
บริเวณหลุมศพช่อเอื้อง ไทยังคงลงมือขุดอยู่ แพรวกลับเข้ามาบอกไท “พ่อปู่ไม่ปล่อยให้มันเข้ามาง่ายๆ หรอก มันไปกันแล้ว ขุดต่อไปสิ ยังไงคืนนี้ก็ต้องเอาซากนังช่อขึ้นมาให้ได้!”
ภายในรถณรา พริ้วค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ณราที่ขับรถอยู่เหลือบตามอง “ฟื้นแล้วเหรอ” พริ้วพยายามตั้งสติ “คุณจะไปไหน” ณราบอก “ก็พาคุณไปหาหมอไง แล้วก็พาคุณไปส่งที่บ้าน” “แต่ว่า…เรายังไม่ได้…”
“พอเถอะครับ ยอมรับเถอะว่าคุณไม่สบายถึงได้หน้ามืดหมดสติไป เหมือนคราวที่แล้วไม่มีผิด” พริ้วเถียง“ฉันไม่ได้เป็นอะไร แต่ว่า...” “ให้หมอเป็นคนพูดดีกว่าครับ ผมถึงจะเชื่อ”
ที่สี่แยกไฟแดง ณราจอดรถ พริ้วคิดๆ แล้วก็ตัดสินใจเปิดประตูรถแล้วรีบลงไป “คุณจะทำอะไรน่ะ พริ้ว! กลับมานะ พริ้ว!” พริ้ววิ่งกลับไปทางเดิม ณราจะลงตามไปแต่ไฟเปลี่ยนเป็นเขียวซะก่อน รถคันหลังบีบแตรไล่ ณราจำต้องออกรถไป ขณะที่พริ้ววิ่งหนีกลับไปที่โรงละคร “ยังไงฉันก็ต้องรู้ให้ได้ ว่ามันคืออะไรกันแน่”
ด้านไทก็ยังคงขุดต่อไป แพรวเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ เห็นว่าเมฆดำเริ่มเคลื่อนออกจากพระจันทร์เล็กน้อย ก็กลัวว่าจะไม่สำเร็จ เร่งให้ไทขุดเร็วๆ แต่จู่ๆ ไทก็หยุดขุด แล้วบอกว่าเขาไม่กล้าเจอช่อเอื้อง แพรวเซ็ง ตัดสินใจลงมือทำเอง แต่ไทก็ห้ามไว้ “หยุดนะแพรว! มันต้องมีวิธีอื่นสิ แพรว ฉันบอกให้หยุด!” “ไอ้หน้าโง่ ตะรางรออยู่ตรงหน้าแล้ว ยังจะมาทำปากดีอีก!” “ ใช่!! ถ้ามันเกิดอะไร ฉันอาจจะต้องติดคุก แต่เธอล่ะ? ถ้าฉันไม่พูด เธอก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แล้วทำไมเธอถึงอยากจะทำร้ายช่อนัก ฮะ ทำไม!”
แพรวชะงักไป เถียงไม่ออก ไทว่า “ช่อเขากลับมาแย่งไอ้กรณ์ของเธอไม่ได้แล้ว ทำไมเธอไม่หยุด!” แพรวผุดรอยยิ้มร้าย “นี่แกพูดอะไรออกมา แกรู้ตัวบ้างรึเปล่า” “ฉันก็พูดให้สติแกไง” “ฉันต่างหากที่ต้องให้สติแก เราเป็นเพื่อนกันนะไท แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เป็นเพื่อนคนเดียวของฉัน ที่ฉันต้องทำก็เพราะไม่อยากให้แกต้องเดือดร้อน แค่นี้ทำไมแกไม่เข้าใจ” ไทฟังแล้วถึงกับอึ้งไป หลงเชื่อคำแพรว แพรวลอบยิ้มสาสมใจ
“ขอบใจแกมากนะที่คิดจะช่วยฉัน แต่….” “ไม่มีแต่ ฉันไม่ปล่อยให้แกเดือดร้อนแน่ ถึงแกจะไม่เห็นด้วยก็เถอะ” แพรวลงมือขุด ไทจะห้ามแต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนเปิดรั้วพังๆ เข้ามา “มีคนมา!” แพรวรีบเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ เห็นว่าเมฆดำเคลื่อนผ่านไปมากแล้ว “เร็วเข้า แกรีบลงมือ ฉันจะไปจัดการเอง” แพรวรีบออกไป
ทางเข้าโรงละคร พริ้วพยายามตั้งสติให้มั่น ก่อนจะก้าวเข้าไป หมอกดำก่อตัวรอที่จะจู่โจม

ตอนที่ 6 วันพุธ ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557
ขณะที่ซินแสเฟยรับรู้ได้ว่าลูกสาวกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงนั่งเขียนยันต์เพื่อช่วยให้พริ้วปลอดภัย ซึ่งใกล้จะเสร็จพอดี
ที่หน้าทางเข้าโรงละคร พริ้วค่อยๆ ก้าวเข้าไป หมอกดำพุ่งเข้าจู่โจมพริ้ว แต่ทันใดนั้นแสงสว่างวาบก็ปรากฏขึ้นรอบกายพริ้ว แสงวาบนั้นสะกัดกั้นหมอกดำให้สลายตัว พริ้วมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง “นี่มันอะไรกัน…มันคืออะไรกันแน่...”
ขณะนั้นเอง แพรวที่เข้ามาถึงก็เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แพรวตกใจ รีบหลบมุมซุ่มดู “นั่นมันอะไรกันน่ะ เกิดอะไรขึ้น…” แสงวาบสว่างขึ้นอย่างรุนแรงวาบเดียว หมอกดำสลายตัวไป พริ้วยืนหน้าตื่นอยู่
ที่มุมของแพรว แพรวครุ่นคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดี ด้านพริ้วก็จะเข้าไปต่อ แต่ทันใดนั้นก็ถูกณราที่มาถึงพอดีคว้าตัวไว้ “พริ้ว! อย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะ!” พลิ้วพยายามสะบัดตัวออกจามือของณรา “ปล่อยฉัน! ฉันกำลังจะรู้ความจริงแล้ว” ณราไม่ยอมปล่อย และให้แรงที่มีมากกว่ากระชากพลิ้วให้เดินตามออกมา “ไม่ปล่อย คุณต้องไปกับผม” พลิ้วร้องโวยวาย “ปล่อยสิ ฉันบอกให้ปล่อย” ณราลากตัวพริ้วออกไปแล้ว แพรวออกมาจาก ที่ซ่อนโล่งอก เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เห็นว่าใกล้จะเต็มดวงแล้วก็ตกใจ “แย่แล้ว!” แพรวรีบวิ่งกลับเข้าไปข้างในทันที
บริเวณหลุมศพช่อเอื้อง แพรววิ่งเข้ามาบอกไท “ไท เร็วเข้า เราต้องรีบไปจากที่นี่ พระจันทร์กำลังจะเต็มดวง มนตร์ดำอำพรางกำลังจะเสื่อม! เราต้องรีบไป ก่อนที่ผีเจ้าที่มันจะออกมาเล่นงานเรา ไปเร็ว” ไทรีบเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ แพรวจ้องไปที่หลุมศพช่อเอื้องอย่างเคียดแค้น “ครั้งนี้แกรอดไปได้ แต่ครั้งหน้าแกไม่รอดแน่ นังช่อ!”
คืนนั้นเอง แพรวกลับบ้านไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่ทำงานไม่สำเร็จ อนงค์เห็นแพรวหน้าตาไม่สบายใจก็เป็นห่วง เอ่ยถามแต่แพรวก็ไม่บอก แถมยังตวาดแม่กลับไปอีก อนงค์จึงแอบไปถามพ่อปู่ว่าแพรวเป็นอะไร แต่อนงค์ก็โดนพ่อปู่ไล่ตะเพิดออกมาทุกครั้ง แถมยังไม่รู้อีกด้วยว่าลูกสาวของเธอกำลังทำสิ่งชั่วร้ายอยู่
ด้านพริ้วเมื่อกลับไปถึงบ้าน ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผ้ายันต์ที่พ่อของเธอเขียนแปะอยู่เต็มบ้าน ทำให้พริ้ว ได้รู้ความจริงว่าที่เธอปลอดภัยก็เพราะยันต์ที่พ่อเขียน “หมายความว่ายันต์พวกนี้จะช่วยปกป้อง คุ้มครองฉันได้เหรอป๊า” ซินแสเฟยบอก “ก็ใช่น่ะสิ ไม่อย่างนั้นอั๊วจะนั่งเขียนให้ลื้อ จนดึกดื่นทำไม” พริ้วมองยันต์แล้วนิ่งคิด ตอนที่จะเดินเข้าไปใน บริเวณที่ดินโรงละคร สัมผัสได้ถึงแรงทำลายและแรงต้าน พริ้วพึมพำกับตัวเอง “อย่างนี้นี่เอง….”
วันใหม่ ภายในตำหนักมุมทำพิธี บรรยากาศด้านในตึงเครียด ไทคุยอยู่กับพ่อปู่ ไทเอ่ยขึ้น “ที่เราไม่ลงมือเพราะกลัวคนจะเห็น ไม่ใช่เพราะเราเปลี่ยนใจหรือว่าขี้ขลาดนะครับ” พ่อปู่ว่า “ดีแล้วที่มึงไม่ลงมือ”
ไทงง “พ่อปู่ไม่ตำหนิพวกเราเหรอครับ” พ่อปู่บอก “คนที่เข้ามา มันคือคนเดียวกับที่กูเคยสื่อถึงได้” “คนไหนครับ ผู้หญิงหรือผู้ชาย” พ่อปู่สีหน้าเครียด “ผู้หญิง อีชั่วนั่นมันมีญาณ! หากพวกมึงขุดศพอีผีชั่วขึ้นมา มันจะได้กลิ่นวิญญาณ และรู้จนได้ว่ามีคนตาย” ไทอึ้ง “แล้วผู้หญิงคนนั้นเขาเป็นใครกันล่ะครับ” พ่อปู่ว่า “กูตรวจดูดวงชะตาพวกมึงแล้ว อีชั่วนั่นจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตพวกมึงนับแต่นี้เป็นต้นไป” “ยุ่งเกี่ยว??…หมายถึงเรื่องอะไรครับ” พ่อปู่ตวาด “ก็เรื่องชั่วๆ ที่มึงทำเอาไว้ยังไงล่ะวะ มึงลืมตัว รึไงว่าเคยฆ่าคน!”
ไทหน้าเจื่อน “ผมคงไม่กล้าลืมหรอกครับ” “มึงรักมันมากนักใช่ไหม” “พ่อปู่รู้?” พ่อปู่หัวเราะ “ฮึๆ กูรู้ทุกเรื่องชั่วของมึง มึงรักมัน แต่ดวงมึงไม่ใช่คู่มัน! ยังไงก็ไม่มีวันได้สมสู่กัน! ดวงชะตาพวกมึง ผูกพันกันมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ จองเวรจองกรรมกันมา จนถึงชาตินี้” ไทหน้าตื่น “แล้วผู้หญิงคนนั้นเขาจะทำให้ความลับของเรา เปิดเผยรึเปล่าครับ” “กูยังมองเห็นไม่ชัด แต่ที่แน่ๆ อีนี่มันไม่ใช่ คนธรรมดา มันมีดี ซ่อนอยู่เพียงแต่มันยังไม่ รู้ตั วพวกมึ งต้องระวังมันไว้ให้ดี มันจะนำพาความฉิบหายมาสู่มึง!” ไทอึ้งไป แพรวพอรู้เรื่องจากไทก็เริ่มเครียด “มีญาณวิเศษ….เหมือนสัมผัสพิเศษ คนเห็นผี งั้นเหรอ?” “คงทำนองนั้น พ่อปู่บอกว่าผู้หญิงคนนั้น จะเป็นคนทำให้ความลับของเราเปิดเผย” แพรวรีบถามต่อ “แล้วบอกรึเปล่าว่าเราต้องทำยังไง” ไทว่า “ท่านกำลังนั่งทางในตรวจดูให้อยู่ นับว่ายังโชคดีนะที่เมื่อคืนเรายังไม่ได้ลงมือ ไม่อย่างนั้นป่านนี้เรื่อง มันอาจจะบานปลายไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ได้” แพรวสีหน้ามุ่งมั่น “ฉันว่าเราต้องหาตัวผู้หญิงคนนั้นให้พบ ใครเป็นภัยต่อเรา เราก็ต้องจัดการ” ไทตกใจ “นี่แกจะบ้าเหรอ จะให้ฉันฆ่าคนอีกรึไง” “ฉันไม่ได้บ้า แต่ถ้ามันจำเป็น ไม่มีทางเลือก มันก็ต้องทำ” ไทไม่ค่อยเห็นด้วย “ฉันว่าเราไปปรึกษาพ่อปู่ก่อนดีกว่า อย่าเพิ่ง ด่วนคิดอะไรไปเองเลย เดี๋ยวจะซวยไปกันใหญ่” แพรวนิ่งเงียบ ไม่ตอบรับ แววตาร้ายกาจ
วันใหม่ ณราสั่งให้พริ้วติดต่อกับซินแสเฟยเพื่อให้มาดูฮวงจุ้ยที่โรงละครอีกครั้ง พริ้วกลุ้มใจไม่รู้จะ ทำยังไง จึงตัดสินใจบอกความจริงให้ซินแสเฟยทราบ
ที่โรงแรมณรา มุมลับตาคน ซินแสเฟยฟังเรื่องที่พริ้วเล่าแล้วตกใจมาก “อะไรนะ ลื้อไปโกหกเขาว่าเป็นซินแสงั้นเหรอ! ทำไมลื้อทำอย่างนี้อาพริ้ว” พลิ้วทำหน้าเศร้า “โธ่ ป๊า ก็ตอนนั้นฉันตกงานอยู่ เงินก็ไม่มี ฉันก็เลยทำไปเพราะอยากได้เงินน่ะ ป๊าอย่าโกรธฉัน เลยนะ นะ นะ ป๊านะ” ซินแสเฟยถอนใจ “จะไม่ให้โกรธได้ยังไง ของแบบนี้มันมีศิษย์มีครู ไม่ใช่ของที่จะมาทำเล่นๆ หลอกชาวบ้านเขาไปมั่วๆ” พริ้วว่า “ฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไรหรอกจ้ะป๊า พอไปถึงที่ดิน ตรงนั้นทีไร ฉันก็รู้สึกแปลกๆ แล้วก็หมดสติทุกที” ซินแสเฟยตกใจ“หมดสติ?” พลิ้วพยักหน้า “ใช่จ้ะป๊า มันเหมือนมีพลังงานบางอย่างกระแทกเข้ากลางหน้าอก ฉันทนไม่ไหวก็เลยหมดสติ ไปทุกครั้ง” ซินแสเฟยนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “ท่าจะไม่ดีแล้ว มันที่ไหนกัน” พลิ้วบอก “ที่ตรงนั้นเคยเป็นโรงละครเก่า โดนไฟไหม้ จนเหลือแต่ซากน่ะจ้ะป๊า” “โรงละคร….” “มีอะไรเหรอจ๊ะป๊า” ซินแสเฟยหันมาสั่งเสียงเข้ม “ต่อไปนี้ห้ามลื้อเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ตรงนั้นอีก เป็นอันขาด เข้าใจไหม” พลิ้วไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะจ๊ะป๊า” ซินแสเฟยตัดบท “ไม่ต้องถาม สิ่งที่ตาไม่เห็น ใช่มันจะไม่มีอยู่ จริงๆ แล้วถ้าสิ่งนั้นมันทำร้ายลื้อ ลื้อก็ไม่ควรเข้าไป ยุ่งเกี่ยวอีก เข้าใจไหม” พลิ้วจำใจพยักหน้า “จ้ะป๊า แต่ป๊าห้ามบอกเจ้านายฉันนะว่าฉันเป็น ลูกป๊า แล้วก็เป็นซินแสตัวปลอม อย่าบอกเขาเชียว นะป๊า” “ทำไม? ทำไมลื้อต้องปิดบังเขาด้วย” พลิ้วอึกอัก “ก็ฉันไม่อยากให้เขาโกรธฉันน่ะ ดีไม่ดี เขาจะ ไล่ฉันออกจากงาน ฉันยังไม่อยากตกงานนะป๊า” ซินแสเฟยว่า“โอเคๆ ไม่บอกก็ไม่บอก แต่ห้ามลื้อทำแบบนี้อีก เข้าใจไหม” พริ้วรีบรับคำแล้วพาซินแสเฟยไปพบณรา แล้วทั้งสามก็พากันไปที่โรงละคร
ที่ตำหนักพ่อปู่ พ่อปู่ที่นั่งสมาธิอยู่ลืมตาขึ้น สายตาเกรี้ยวกราด “มึงอย่าคิดจะได้เข้ามาเหยียบในเขตมนตร์กู!”
ภายในรถณรา ณราขับรถ พริ้วนั่งข้างๆ ซินแสเฟยนั่งอยู่ด้านหลัง พริ้วต่อว่าณรา “ทำไมต้องให้ฉันมาด้วย ในเมื่อท่านซินแสเฟยก็มาแล้ว” ณราบอก “คุณเป็นเลขาฯ ผม ถ้าเป็นเรื่องงาน ผมไปไหน คุณก็มีหน้าที่ต้องไปด้วย” พลิ้วทำท่าจะเถียง “แต่ว่า…” ณราแทรกขึ้น “ไม่มีแต่ ผมเป็นเจ้านายคุณนะ ผมสั่งคำไหน ก็ต้องเป็นคำนั้น” พริ้วถอนหายใจ พูดขึ้นเบาๆ “คนบ้าอำนาจ” ณราได้ยินถามขึ้น “คุณว่าใคร” พลิ้วเบือนหน้าหนี “ฉันจะกล้าไปว่าอะไรคุณได้ ฉันมันเป็นแค่ เลขาฯ เป็นลูกจ้างของคุณ” ณราแอบยิ้ม “หรือคุณอยากเป็นมากกว่านั้น” พลิ้วหน้าตึงทันที “นี่คุณพูดอะไร พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง” ซินแสเฟยที่นั่งเบาะหลังท่าทางกังวลที่เห็น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตรงหน้า ทันใดนั้น หมอกควัน สีดำก็พุ่งเข้าปกคลุมรถไว้ทั้งคัน รถที่แล่นมาอีกด้าน หักเลี้ยว คนขับมองไม่เห็นรถของณราเพราะ หมอกดำอำพราง แต่ณราเห็น ซินแสเฟยตะโกน “ระวัง!” ณราร้องลั่น “เฮ้ย!” ณราหักรถอย่างแรง รถพุ่งเข้าชนกับรถอีกคัน เสียงดังโครม!
ที่ตำหนักพ่อปู่ พ่อปู่สีหน้าสะใจ “หึ…จบสิ้นกันทีไอ้พวกสู่รู้!”

ตอนที่ 7 วันจันทร์ ที่ 3 มีนาคม 2557
ภายในรถณรา พริ้วกับณราฟื้นขึ้น เห็นซินแสเฟยหมดสติอยู่ด้านหลังก็รีบพาส่งโรงพยาบาล ด้วย ความเป็นห่วงพ่อ พริ้วเผลอเรียกซินแสเฟยว่าป๊า
ที่โรงพยาบาล ซินแสเฟยพ้นขีดอันตราย พริ้วโล่งใจมาก ซินแสเฟยบอกพริ้วว่าที่บ้านมีหยกคุ้มกัน เขาตั้งใจจะเก็บไว้ให้พริ้วในวันเกิดปีนี้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ พริ้วจำเป็นต้องใช้มันแล้ว ซินแสเฟยจึงบอก ให้พริ้วไปเอามาพกติดตัวไว้ “หยกนี้ไม่ใช่หยกธรรมดา หยกมีสีเขียวก็จริง แต่หากมีอันตรายเข้ามาใกล้ หยกจะเปลี่ยนเป็นสีแดง มันถึงได้ชื่อว่าหยกคุ้มกันยังไงล่ะ เมื่อหยกเปลี่ยนสี ลื้อจะได้เตรียมระวังภัย จะได้ไม่มีอันตรายอะไรเข้าถึง ตัวลื้อได้” พริ้วนิ่วหน้าไปอย่างสงสัย “ทำไมป๊าถึงคิดว่าฉันจะมีอันตรายล่ะ แล้วไอ้อันตรายที่ว่าเนี่ย มันคือ อะไร ป๊ารู้รึเปล่า” ซินแสเฟยบอก “อั๊วตรวจดูดวงชะตาลื้อ ชะตาชีวิตลื้อกำลังจะ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการอาฆาตพยาบาทจองเวรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อั๊วถึงต้องให้ลื้อสวมหยกคุ้มกันนี่ไว้ ยังไงล่ะ ใส่ไว้แล้วอย่าได้ถอดเป็นอันขาด จำคำอั๊วไว้ อย่าถอดเป็นอันขาด!” พริ้วรับคำทั้งๆ ที่ยังงงๆ
ขณะที่พ่อปู่ก็ตัดสินใจว่าคืนนี้จะเข้าไปจัดการซากช่อเอื้องด้วยตนเอง โดยจะให้ไทกับแพรวไปช่วย ดูต้นทางให้ แพรวกับไทมองหน้ากันด้วยความโล่งอก
คืนนั้นเอง ที่หลุมศพช่อเอื้อง พ่อปู่ก้าวเข้ามาหยุดยืน มองไปยังผืนดินตรงหน้า “กูสะกดวิญญาณมึงได้แล้ว ถึงเวลาที่กูจะ จัดการกับซากของมึง! จะไม่มีใครหน้าไหนมาเห็นซากมึงได้ กูจะอำพรางมึงไว้ตลอดไป!” พ่อปู่ว่าคาถา หมอกดำค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ขยายตัวไปยังหลุมศพ เข้าปกคลุมหลุมศพเอาไว้มิด
“มนตร์ดำอำพรางจะซ่อนมึงไว้ชั่วกัปชั่วกัลป์!”
กลางวันวันใหม่ พริ้วมาทำงานที่โรงแรมณรา ณราเดินออกมาเจอเข้าพอดี “มาทำไม ทำไมไม่อยู่กับคุณพ่อคุณที่โรงพยาบาล” พลิ้วบอก “คุณพ่อแข็งแรงขึ้นแล้วค่ะ ฉันเลยมาทำงาน เผื่อว่าคุณต้องการให้ฉันทำอะไร” “เรื่องอุบัติเหตุเมื่อคืน ผมขอโทษนะ” “ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ อุบัติเหตุก็คืออุบัติเหตุ ไม่มีใครตั้งใจให้เกิดหรอกค่ะ” ณราสงสัย “แต่มันก็แปลกนะ ที่รถคันนั้นขับออกมา เหมือนมองไม่เห็นรถเราอย่างนั้นแหละ” พริ้วว่า “คนขับอาจจะเมามั้งคะ” “ถ้าไม่เมาก็คงตาบอดแล้วล่ะ ถึงได้มองไม่เห็น ขนาดนั้น” “ฉันว่าเราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลยค่ะ นึกถึงแล้ว หวาดเสียวชอบกล” ณรากล่าวขอโทษ พริ้วขัดขึ้น “ฉันต่างหาก ล่ะคะที่ต้องขอโทษคุณ” “คุณจะขอโทษผมเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องที่ คุณเป็นลูกท่านซินแสแล้วปิดบังไม่ยอมบอกผม ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ แค่บอกเหตุผลมาก็พอ ว่าทำไมคุณถึงต้องทำแบบนั้น” พลิ้วอึกอัก “เอ่อ…คือ…คือว่า…ฉันตกงานน่ะค่ะ เงินก็แทบ ไม่เหลือ ฉันก็เลยต้องรับสมอ้างเป็นซินแส คุณอย่า โกรธพ่อฉันนะคะ ท่านไม่รู้เรื่องนี้” “ที่แท้ก็ซินแสตัวปลอม ฮึ ถึงว่าสิ ถึงเวลา ทำหน้าที่ทีไร คุณเป็นลมใส่ผมทุกที”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ฉันไมได้แกล้งนะ” “ผมก็ไม่ได้ว่าคุณแกล้งนี่ครับ อย่าร้อนตัวสิ” ณรายิ้มขำพริ้วก่อนจะเดินไป “คนบ้า ยังจะมีหน้ามาหัวเราะเยาะฉันอีก”
ขณะเดียวกัน กรณ์ก็เดินทางกลับเมืองไทยเพื่อมาทำวิทยานิพนธ์ แพรวรู้ข่าวก็รีบไปรับกรณ์ ที่สนามบินทันที แล้วก็พากรณ์ไปทานข้าวที่โรงแรมของณรา
ที่ห้องอาหารของโรงแรมณรา กรณ์กับแพรวทานอาหารด้วยกัน ขณะที่ณราก็ชวนพริ้วมาทานอาหารที่ห้องอาหารเช่นเดียวกัน เมื่อแพรวเห็นหน้าพริ้วก็จำได้ แพรวแสดงอาการไม่พอใจใส่พริ้วจนพริ้วงงๆ แพรวขอตัวไปเข้าห้องน้ำ กรณ์จึงนั่งอยู่คนเดียว ณรากับพริ้วคุยกันถึงเรื่องโรงละคร กรณ์ได้ยินก็สงสัยจึงเข้าไปถาม “เอ่อ ขอโทษนะครับ ที่ดินโรงละครที่คุณพูดถึง ใช่โรงละครชื่อดาราลัยรึเปล่าครับ” สักพัก แพรวเดินกลับเข้ามา เห็นว่ากรณ์ไปนั่งร่วมโต๊ะกับณราแล้วก็ชะงัก กรณ์เอ่ยเรียกแพรว แพรวจำต้องปั้นหน้าปกติ ข่มความรู้สึกไว้แล้ว เดินเข้าไปหายิ้มๆ กรณ์แนะนำ “นี่คุณณรา เป็นเจ้าของโรงแรมนี้ แล้วนี่ก็คุณพริ้ว เป็นเลขาฯ คุณกรณ์” “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” กรณ์แนะนำแพรว “นี่แพรวเพื่อนผม เคยเป็นนักแสดงที่ดาราลัยน่ะครับ” ณราเอ่ย “ถ้าไม่รังเกียจ เชิญนั่งสิครับคุณแพรว จะได้คุยกัน” แพรวรับคำ นั่งลงข้างๆ พลิ้ว แพรวหันไปเสแสร้งยิ้มให้พริ้ว พริ้วยิ้มตอบอย่างไม่ค่อยแน่ใจ กรณ์บอกกับแพรว “คุณณราเป็นคนที่สนใจจะซื้อที่ดินของโรงละคร ไปทำโรงแรมน่ะ” พริ้วถามขึ้น “คุณแพรวคะ ไม่ทราบว่าเมื่อก่อนนี้ เคยมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นที่นั่นบ้างไหมคะ” แพรวสะดุ้งแต่ก็เก็บอาการ “เรื่องแปลกๆ หมายถึงอะไรกันคะ” พลิ้วว่า “ก็ทำนองเรื่องอาถรรพ์ หรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ที่ดินผืนนั้นน่ะค่ะ” แพรวส่ายหน้ารีบบอก “ไม่มีหรอกค่ะ ไม่เคยมีเรื่องพรรณ์นั้นที่นั่น เด็ดขาด ฉันรับรองได้” ณราหันมาบอกพริ้ว “ผมบอกแล้วว่าคุณ คิดมาก” พลิ้วหน้างอ “จะไม่ให้คิดได้ยังไงล่ะคะ ในเมื่อเจอเข้าเต็มๆ” แพรวสงสัย “เจออะไรเหรอคะ” “คือ เอ่อ….คุณกลัวผีรึเปล่าคะ” แพรวยิ้ม หัวเราะ “อย่าบอกนะคะว่าคุณคิดว่าที่ดินโรงละครนั่นมีผี ตลกจัง” พริ้วไม่ค่อยพอใจ “ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรค่ะ” แพรวยิ้ม“จะให้เชื่อได้ยังไงล่ะคะ ในเมื่อที่นั่นน่ะเคยมีแต่ ความสุขความบันเทิง มีแต่เสียงหัวเราะ ไม่มีเรื่องร้ายๆ อะไรเกิดขึ้นหรอกค่ะ” พริ้วนิ่งไป ณราบอกกับพริ้ว “อย่าคิดมากน่า คุณ คุณแพรวเขาบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร” พริ้วฝืนยิ้ม แพรวยกน้ำขึ้นจิบแต่เพื่อกลบเกลื่อน สีหน้าเสียๆของตน
หลังจากนั้น แพรวก็รีบกลับไปเล่าให้พ่อปู่ฟังทันที แต่พ่อปู่กลับนิ่งเฉยแล้วบอกว่า “ก็ช่างหัวมันสิ”
แพรวว่า “วางใจได้เหรอจ๊ะพ่อปู่” พ่อปู่บอก “มนตร์ดำอำพรางกูบังตาพวกมันไว้ มึงจะไปกลัวอะไร หรือเดี๋ยวนี้มึงไม่เชื่อฤทธิ์คาถากูแล้ว” แพรวพยักหน้า “เชื่อสิจ๊ะ ฉันยังเชื่อพ่อปู่เหมือนเดิม ห่วงก็แค่ว่าอีนังผู้หญิงนั่นน่ะ พ่อปู่เคยบอกว่ามันมีญาณ มีสัมผัสพิเศษเห็นผี ฉันก็เลยคิดว่าเราน่าจะ ทำอะไรเพิ่มเพื่อป้องกันไว้ก่อนน่ะจ้ะ” พ่อปู่ตวาด “เอ๊ะอีนี่! มึงพูดอย่างนี้เท่ากับไม่เชื่อถือกู ไสหัวออกไปเลยนะ ถ้ามึงไม่ฟังกู ก็ไสหัวออกไปให้พ้นตำหนักกู แล้วอย่ากลับเข้ามาให้กูเห็นหน้าอีก ไป!” แพรวพยายามพูด “เดี๋ยวสิจ๊ะพ่อปู่” พ่อปู่ไม่ฟังตวาดซ้ำ “กูบอกให้ไป!” แพรวเห็นท่าไม่ดี ตัดสินใจถอยก่อน พ่อปู่มองตามไปด้วยความโมโห
“กล้าดียังไงมาลบหลู่ฤทธิ์กู อีสารเลว!” แพรววิ่งหน้าตื่นออกมา หันกลับไปมองทางตำหนัก “โธ่เอ้ย! แล้วจะทำยังไงล่ะเนี่ย...ยังไงฉันก็ต้อง หาทางกำจัดแกให้ได้ นังพริ้ว!”
ที่บ้านกรณ์ กรณ์กำลังจัดเสื้อผ้าจากกระเป๋ามาแขวนในตู้ ระหว่างที่รื้อกระเป๋าอยู่นั้น เจอแหวนที่เตรียมไว้จะหมั้นช่อเอื้อง เขาคิดถึงช่อเอื้องขึ้นมาทันที แล้วก็ได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความเศร้า ที่ยังหลงเหลืออยู่ เก็บแหวนไว้ที่เดิม “เมื่อไหร่จะลืมได้เสียที....เมื่อไหร่กัน....”
ที่บริเวณหลุมศพช่อเอื้อง ช่อเอื้องยังคงร้องไห้ คร่ำครวญหากรณ์ “ช่วยช่อด้วย คุณกรณ์....ช่วยช่อด้วย” ช่อเอื้อง ร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด “ปล่อยช่อออกไปที ช่อคิดถึงคุณเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน”
วันใหม่ ณรานัดพบกับกรณ์เรื่องโอนเงิน ค่าที่ดินให้ เมื่อโอนเสร็จ ณราก็เอ่ยบอกกรณ์ “ผมอยากจะชวนคุณมาร่วมงานด้วย” กรณ์แปลกใจ “จะให้ผมทำงานด้วยงั้นเหรอครับ นี่ผมฟังอะไรผิดไปรึเปล่า” ณราว่า “ไม่ผิดหรอกครับ ผมชวนคุณมาร่วมงานด้วย จริงๆ” กรณ์สงสัย “แล้วทำไมถึงเลือกผมล่ะครับ” ณรายิ้ม“เราจะสร้างโรงแรมใหม่ในที่ดินของคุณ ส่วนคุณก็เรียนจบด้านบริหารจัดการมา ผมเห็นว่าเหมาะมากที่จะชวนคุณมาร่วมทำงานในโครงการนี้” “จะให้ผมทำอะไรล่ะครับ” ณราบอก “ตอนนี้ที่นั่นยังเป็นเพียงที่ดินร้าง ผมอยากให้คุณรับผิดชอบดูแลทุกขั้นตอนของการก่อสร้างโรงแรม จนถึงเวลาเปิดบริการ และถ้าคุณอยากช่วยผมดูแลบริหารโรงแรมต่อ ผมก็ยินดี” กรณ์นิ่งคิดครู่หนึ่ง ณราพูดต่อ “คุณผูกพันกับที่ดินผืนนั้น ไม่มีใครเหมาะสมเท่าคุณอีกแล้ว ตกลงคุณจะให้เกียรติรับงานนี้ไหมครับ” กรณ์ยิ้มตอบแล้วพยักหน้า “ด้วยความยินดีครับ” สองคนจับมือกัน ยินดีที่ได้ร่วมงาน
ด้านแพรวที่รู้ว่ากรณ์จะกลับมาช่วยงานณรา โดยให้กรณ์ดูแลโครงการโรงแรมใหม่ที่จะสร้างขึ้น ที่โรงละคร แพรวจึงพยายามขัดขวางกรณ์ไม่ให้เข้าไปที่โรงละคร แล้วเสนอให้หาที่ใหม่แทน
ด้านพริ้วเองก็พยายามขัดขวางณรา เรื่องที่เขา จะก่อสร้างโรงแรมใหม่บนที่ดินโรงละคร “ถึงมันจะเกินหน้าที่เลขาฯ ไปหน่อย แต่ยังไงฉันก็ขอยืนยันว่าไม่เห็นด้วยที่คุณจะซื้อที่ดินผืนนั้น” ณราบอก “คนอย่างผมจับอะไรไม่เคยพลาด เดี๋ยวคุณ ก็จะเห็นเอง” พลิ้วอ่อนใจ “เอาเถอะ ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งก็ตามใจเดือดร้อนแล้วอย่ามาร้องให้ช่วยก็แล้วกัน” “ถ้าจะห่วงผม คุณก็ต้องห่วงคุณกรณ์ด้วยนะ” “ทำไมฉันต้องห่วงเขาด้วยล่ะ” ณราว่า “ก็ผมชวนเขามาทำงานด้วยน่ะสิ ให้ดูแลโปรเจ็กต์นี้ แล้วเขาก็รับปากแล้วด้วย”
พลิ้วถอนใจ “นี่คุณหาเรื่องเดือดร้อนคนเดียวไม่พอ ยังไปลากคุณกรณ์เข้ามาเกี่ยวอีก คุณนี่จริงๆ เลย”
“ถ้าคุณไม่อยากให้พวกเราเดือดร้อนก็ให้ ซินแสเฟยมาดูที่ให้ผมสิ ท่านออกจากโรงพยาบาล รึยัง” “ออกวันนี้ค่ะ” “ถ้าท่านแข็งแรงแล้ว ก็ให้ท่านไปดูที่เลย งานนี้ผมมอบหมายให้คุณกรณ์เป็นคนจัดการ” “มีแต่คนเขาดูก่อนซื้อไม่ใช่ซื้อแล้วถึงดู” “ฮวงจุ้ยมันปรับแก้ให้ดีได้ ดูก่อนหรือหลัง ก็เหมือนกันนั่นแหละ รีบไปจัดการให้เรียบร้อย” “ค่ะ คุณเจ้านาย!” พริ้วเซ็งๆ
วันใหม่ แพรวเชิญกรณ์มาที่บ้าน อนงค์เห็นกรณ์ก็สงสัย แอบเอ่ยถามแพรว “พาใครมาน่ะ เพื่อนกันรึไง” แพรวบอก “เขาชื่อกรณ์ เป็นลูกชายครูอาภา เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก” อนงค์สงสัย “แล้วแกไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย ถึงกับต้องพาเข้ามาในบ้านแบบนี้” แพรวชักรำคาญตัดบท “หยุดถามซะทีเถอะแม่ ยังไงแม่ก็ต้องเจอเขา อีกแน่” “ทำไม เขาจะมาบ้านเราอีกรึไง” แพรวไม่ตอบ ยิ้มร้าย อนงค์ว่า “ทำหน้าอย่างนี้หมายความว่ายังไง อย่าบอกนะว่าพ่อหนุ่มนั่นเป็นแฟนแก” “ตอนนี้ยังไม่ใช่ แต่อีกไม่นานต้องใช่แน่ๆ”
แพรวออกไป อนงค์มองตามไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ “หมายความว่าพ่อหนุ่มนั่นเป็นว่าที่ลูกเขยเรา งั้นเหรอ”
เช้าวันใหม่ พริ้วนัดกับกรณ์ว่าจะไปดูที่ที่โรงละครคืนนี้ พร้อมกับนัดซินแสเฟยให้เรียบร้อยแล้ว

ตอนที่ 8 วันอังคาร ที่ 4 มีนาคม 2557
ด้านไทก็กลับมาช่วยสืบทอดกิจการธุรกิจค้าของโบราณของครอบครัว จนลืมเรื่องช่อเอื้องไป แพรวจึงต้องโทรตามให้มาพบ แพรวเอ่ยบอกไท “พ่อปู่เรียกฉันไปพบ” ไทตกใจ “อย่าบอกนะว่าวิญญาณของช่อหลุด ออกมาได้” แพรวดุ “ปากเสีย! พ่อปู่สะกดวิญญาณอีช่อไว้ ได้แล้ว มันไม่มีทางหลุดออกมาหรอกน่า นอกจาก นังญาณทิพย์นั่นจะมาทำฉิบหาย” ไทว่า“จะทำได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ” “พ่อปู่บอกว่าอีนังนี่มันจะทำลายทุกอย่างที่เรา ฝังดิน” ไทถามต่อ “แล้วพ่อปู่บอกรึเปล่าว่าต้องทำยังไงต่อ” แพรวบอก “เอาเลือดมันมาให้ได้ พ่อปู่จะฆ่ามันด้วยเลือด!” ไทหน้าเสีย “แล้วจะทำได้ยังไง อยู่ๆ จะไปเอาเลือดมันมา ได้ยังไงกัน”
แพรวยิ้มร้าย “แกฆ่านังช่อได้ แค่เอาเลือดจากผู้หญิงอีกคน ทำไมจะทำไม่ได้ ต่อไปนี้แกต้องคอยติดตามมัน
สบโอกาสเมื่อไหร่ก็ลงมือได้เลย ยิ่งเร็วยิ่งดี” ไทฟังแล้วเริ่มคิดหนัก
วันใหม่ ไทกับแพรวไปดักรอพริ้วที่หน้าโรงแรม พอเห็นพริ้วเดินออกมาจากโรงแรม ทั้งสองก็จะตามพริ้ว แต่เผอิญกรณ์เดินตามออกมาด้วย ไทเห็นท่าไม่ดีก็ไม่อยากตาม แต่แพรวยืนยันว่าต้องลงมือให้เร็วที่สุด ไทจึงยอมทำตาม ขณะที่พริ้วกับกรณ์กำลังเดินทางไปโรงละคร เพราะนัดซินแสเฟยไว้
ตอนเย็น ที่ดินรกร้างเดิมเป็นโรงละคร ซินแสเฟยก้าวเท้าเข้ามา แล้วหยุดกวาดตามอง ลมแรงปะทะเข้าหน้าซินแส ซินแสรู้สึกได้ “พลังมนตร์ดำ...มันต้องเคยมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ที่นี่แน่” ซินแสหรี่ตาเหมือนใช้พลังทางใน เพ่งพินิจ มองไปที่เสาตอตะโกซากโรงละคร ขณะเดียวกัน พ่อปู่ก็รับรู้ว่ามีคนบุกรุกพื้นที่ ที่ลงอาคมไว้ พ่อปู่ลืมตาโพลง “ไอ้จัญไร!” ขันน้ำทองแดงตรงหน้าพ่อปู่สั่นสะเทือน น้ำใน อ่างทองแดงหมุนวน เห็นภาพซินแสเฟยในน้ำวอบแวบ พร่าเลือน “มึงคิดว่าพลังของมึงจะสู้มนตร์มารของกู ได้เหรอ ไอ้ชาติชั่ว” พ่อปู่ถ่มน้ำลายใส่อ่างทองแดง ภาพซินแสเฟยหายไป “อยากจะลองดีกับกูก็เอา” พ่อปู่เริ่มบริกรรมมนตร์ดำ น้ำในอ่างทองแดงหมุนวน มีควันดำลอยขึ้นจากน้ำ
ที่ดินที่โรงละคร จู่ๆ ก็มีลมพัดกรู เถ้าถ่าน ม้วนตัวลอยขึ้น กลุ่มควันดำจากท้องฟ้าพวยพุ่ง ตรงลงมา กลายเป็นงวงดำครึ้มก่อตัวขึ้น ซินแสเฟยว่า “อุโมงค์ดำ...นี่มันศาสตร์ชั้นต่ำ” งวงควันดำเริ่มหมุนตัวเคลื่อนมาหาซินแสเฟย ราวกับพายุ ใบไม้ เศษหิน เศษดิน ซากปรักหักพัง ปลิวขึ้นฟ้า ม้วนตัวขึ้นไปตามงวงควันดำ
ที่ตำหนัก พ่อปู่ตัวสั่นเร่งเร้าบริกรรมคาถา ริมฝีปากขมุบขิบ “อันใดจงพินาศ ให้คน...วิปลาส ให้มันหมกไหม้ ให้มันแพ้พ่าย” เสียงคาถาพ่อปูตวาดดังขึ้น
ที่พื้นดิน ซินแสเฟยยันเท้าแทบไม่อยู่ ผงะเซ “ขอให้พลังมารจงพ่ายแพ้แก่ความดี ขอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอองค์เจ้าที่ปกป้องบริบาร” ลมแรง งวงแห่งพลังมารสีดำกลุ้มรุมมากขึ้น
ที่ตำหนัก พ่อปู่เข่นเขี้ยว “ให้มันตายโหง ให้มัน ตายห่า!”
ที่ดินหน้าโรงละคร ซินแสเฟยก้าวขายืนหยัด อย่างยากเย็น ลมแรงปะทะใบหน้า ควันใกล้ล้อมตัว มากขึ้น “ไม่มีทาง ข้าจะไม่พ่ายแพ้แก่มนตร์มารร้าย ไม่....ไม่”
บนท้องฟ้า หมอกดำเป็นงวงก่อตัวเป็นหอก พุ่งหาซินแส ซินแสเฟยผงะ ตาเบิกโพลง มองหมอกควัน ขณะเดียวกันกรณ์กับพริ้วก็เดินทางมาใกล้ถึง พริ้วสังเกตเห็นกลุ่มหมอกควันลอยเหนือที่ดินก็รู้สึก อะไรบางอย่าง ก้มลงมองหยกที่ห้อยคอ พริ้วจับหยก “หยกร้อน! เกิดอะไรขึ้นกับป๊าหรือเปล่า” กรณ์รีบถาม “คุณพริ้วว่าอะไรนะครับ” พลิ้วสีหน้าไม่ดีบอก “เอ่อ พริ้วเป็นห่วงป๊า ป๊าอยู่ตรงนั้นคนเดียว คุณกรณ์รีบขับไปเร็วๆ ได้ไหมคะ” กรณ์เร่งเครื่องขึ้น เปิดไฟหน้ารถเพราะเห็นว่า มืดครึ้มขึ้นทุกที
ที่ดินโรงละคร ซินแสเฟยยันตัวไม่อยู่ เหมือนมีพลังแรงบางอย่างผลักให้ซินแสเฟยถอยหลัง เท้าซินแสเฟยครูดไปตามพื้น “ข้าต้องปกป้องพลังแห่งความดี” ขณะที่พ่อปู่ก็ร่ายคาถา พลางแสยะยิ้ม “มนตร์ดำ จัณฑาล อันธพาล ชาติชั่ว!”
บริเวณที่ดินโรงละคร จู่ๆ ก็เกิดหอกดำพุ่งใส่ซินแสเฟย ทันใดนั้น แสงไฟหน้าของรถกรณ์ก็สาดส่องจับร่างซินแสไว้พอดี หยกที่คอพริ้วมีแสง วาบแวบ พริ้วจับหยก เป็นห่วงพ่อ สักพักลมที่พัดแรงก็นิ่งไปในบัดดล ซินแสเฟยหอบหายใจเหนื่อย พริ้วรีบลงจากรถกรณ์เข้ามาหา “ป๊าเป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” กรณ์ตามมาสมทบ “ซินแสเฟยเป็นอะไรหรือเปล่าครับ เมื่อกี้เหมือนมีลมอะไรบางอย่าง” ซินแสเฟยมองหน้ากรณ์ ญาณรู้ทันทีว่ากรณ์ ต้องผูกพันกับที่แห่งนี้ “คุณเคยเป็นคนของที่นี่ คนของที่นี่ผูกพันกับคุณ”
กรณ์งง “ซินแสหมายความว่ายังไงครับ” ซินแสเฟยบอก “ที่แห่งนี้มีพลังอะไรบางอย่าง มันไม่ใช่ที่ธรรมดา”
กรณ์งุนงง พริ้วรู้สึกแปลกๆ ขณะที่ไทกับแพรวที่แอบขับรถตามพริ้วกับกรณ์มาก็มาถึงที่ดินหน้าโรงละคร
แพรวว่า “เราต้องหาทางแยกอีพริ้วออกจาก ซินแสบ้านั่นกับคุณกรณ์ให้ได้” แพรวครุ่นคิดหาทาง ขณะที่ไทก็หนักใจ ไม่อยากทำชั่วแต่ต้องทำ
ภายในโรงละคร พริ้วจะเดินนำเข้าไป “มันจะมีอะไรนักหนา ก็แค่ที่ดินธรรมดา มาเร็วป๊า คุณกรณ์ ไหนๆ ก็มาแล้ว รีบเข้าไปดูกัน” ซินแสเฟยห้ามพริ้ว พริ้วงง “อะไรล่ะป๊า ก็เห็นอยู่ว่าเป็นที่ดินรกๆ มีแต่หญ้ากับซาก ไม่มีอะไร หรอกน่า” ซินแสเฟยบอก “ป๊าไม่อยากให้ลื้อเข้าไปในนั้น” แพรวว่า “ป๊าจ๋า..อย่าลืมสิจ๊ะ พริ้วเองก็มีหยกคุ้มครอง แถมยังมีคุณกรณ์อีกทั้งคน ไม่มีอะไรหรอกน่า เข้าไปดู กันเถอะ” พริ้วดูมุ่งมั่น ทำท่าจะประคองซินแสเฟย
ขณะที่ทั้งสามจะเข้าไปด้านใน แพรวที่แอบตามมาก็แกล้งปาหินใส่รถกรณ์ จนสัญญาณกันขโมย ร้องดังลั่น กรณ์จึงปลีกตัวไปดู แต่พริ้วไม่อยากให้เสียเวลา จึงบอกให้กรณ์เข้าไปกับซินแสเฟย เธอจะ ออกไปดูเอง กรณ์จึงประคองซินแสเฟยเข้าไป พริ้วหมุนตัวกลับจะเดินไปที่ที่รถจอดอยู่
พริ้วเดินมาถึงรถกรณ์ก็พบว่ากระจกรถโดนทุบ เธอจึงวุ่ นวายก้มดูกระจกจนไม่ทันระวังตัว ไทโผล่ เข้ามาต่อยท้องพริ้วก่อนที่พริ้วจะเงยหน้าขึ้น ทำให้พริ้วเห็นหน้าไม่ชัด เสียงแพรวสั่ง “แรงๆ ต่อยมันอีก ให้มันสลบ” พริ้วได้ยินเสียง ไทต่อยท้องพริ้วอีกครั้ง พริ้วตัวงอยิ่งกว่าเดิม นิ่ง สลบไป แพรวเดินเข้ามา สีหน้า สะใจ พริ้วซึ่งหมดสติถูกไทพาดบ่าแบกออกไป แล้วแพรวก็จัดการนำเข็มฉีดยามาดูดเลือดของพริ้วออกไป ขณะที่พริ้วปรือตาแต่ยังไม่ได้สติดี ไทกระสับกระส่ายด้วยความกลัว พอได้เลือดพริ้วตามต้องการแล้ว ไทก็บอกให้รีบหนี แพรวสะใจ ส่วนไทหนักใจ ไทช่วยเอาตัวพริ้วขึ้นรถ แล้วนำไปทิ้งไว้ข้างทาง
กรณ์เห็นว่าพริ้วยังไม่ตามเข้าไป จึงขอซินแสเฟยออกไปดูพริ้ว ซินแสเฟยจึงเดินเข้าไป บริเวณน้ำพุเทวีเพียงคนเดียว
ที่น้ำพุเทวี เศษซากน้ำพุเก่ามีคราบน้ำหินปูน เกาะเหมือนคราบน้ำตา ซินแสเฟยเดินเข้ามาหยุดที่ หน้าน้ำพุเทวี “มีอะไรบางอย่างอยู่ใต้ดินผืนนี้” ซินแสเฟยกระแทกไม้เท้าลงบนพื้นหน้าน้ำพุเทวี
ที่ตำหนักพ่อปู่ พ่อปู่ลืมตาผ่าง! “ไอ้แก่ระยำ มึงกล้ากับกูรึ!” พ่อปู่กำมือเสกมนตร์ดำแล้วสะบัดแขนออกไป มนตร์ดำกลายเป็นควันดำพวยพุ่งออกไป
ที่ดินบริเวณน้ำพุเทวี ซินแสเฟยถูกพลังมืดกระแทกใส่ร่างอย่างแรง “ตรงนี้...มีพลังมืด” ซินแสเฟยพูดเสียงขาดๆ หายๆ ร่างเอนหงายลง ตากระตุก
กรณ์เดินไปดูพริ้วแต่ไม่พบ พบโทรศัพท์มือถือของพริ้วที่ตกอยู่ กรณ์จึงเดินกลับมาหาซินแสเฟย ก็ทันเห็นซินแสเฟยกำลังจะล้ม เลยรีบวิ่งเข้าไปรับร่างได้ทันเวลา กรณ์ประคองร่างซินแสเฟยแล้วพยายามเขย่าตัวเรียกซินแสเฟยให้ฟื้น “ซินแสเฟย ฟื้นสิครับ ซินแส..ซินแส!”
ในความมืด ช่อเอื้องนั่งกอดเข่า เงยหน้าขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงกรณ์ “เสียงคุณกรณ์..คุณกรณ์ คุณมาหาช่อหรือคะ” ช่อเอื้องพยายามลุก แต่อ่อนแรง ยันตัวลำบาก ได้แต่เหลียวมองเบื้องบนหาทางออก “คุณกรณ์ ได้ยินช่อไหมคะ ช่ออยู่ตรงนี้..คุณกรณ์ช่วยช่อออกไปที” ช่อเอื้องเดินไปก็เจอแต่ความมืด มีพลังบางอย่างปะทะร่างให้กระเด็นกลับมาอยู่ที่เดิม “คุณกรณ์ ช่ออยากออกไปจากที่นี่ ปล่อยช่อที ช่วยช่อด้วย”
ช่อเอื้องหาทางออกไม่ได้
กรณ์เรียกซินแสเฟยให้ฟื้น แต่ก็ยังไม่ฟื้น “โธ่ ซินแสก็หมดสติ คุณพริ้วก็หายไปไหนไม่รู้ ไม่ต้องดูแล้วที่ดิน” กรณ์แบกร่างซินแสเฟยขึ้น “ซินแส อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะครับ ผมจะรีบพาซินแสไปหาหมอ”
กรณ์อุ้มร่างซินแสออกไปจากหน้าลานน้ำพุเทวี ช่อเอื้องพอรู้ว่ากรณ์กำลังไปก็พยายามร้องเรียก “คุณกรณ์ อย่าไปจากช่อ อย่าไป ช่ออยู่ตรงนี้” ช่อเอื้องแทบหมดแรง ทรุดตัวลง ก้มหน้าร้องไห้สะอื้น แล้วพลันเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นกลายเป็นเสียงเกรี้ยวกราด “อ้ายอีตัวไหนทำลายกู” ช่อเอื้องแววตาดุกร้าวแดงฉาน หน้าขาวซีด “พวกมึงจงจำความแค้นกู ยามใดที่กูเป็นอิสระ ยามใดที่กูหลุดพ้นพันธนาการมนตร์มารของมึง กูจะฆ่าให้สิ้นซาก กูจะฆ่าพวกมึง ไอ้พวกชั่ว มึงพรากคนรักของกู มึงพรากชีวิตกู” เสียงย้ำแค้นของช่อเอื้องดังก้องในความมืดดำ ไม่แพ้จิตใจของช่อเอื้องที่ความดำมืดเข้าครอบงำ
ที่ตำหนักพ่อปู่ ฝูงกาสีดำกลับมาเกาะตามหลังคาตำหนัก รถไทแล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้าตำหนัก ในตำหนัก พ่อปู่รออยู่ เมื่อแพรวและไทเข้ามา พ่อปู่หัวเราะสาแก่ใจ “ชั่วมาก นังกาลี กูชมที่มึงเก่ง
ใช้ความเลวของมึงได้เป็นประโยชน์” แพรวบอกพร้อมส่งเลือดให้ “นี่เลือดนังพริ้วค่ะ” พ่อปู่รับไปยิ้มแสยะ
พ่อปู่ว่า “อีก 2 คืน จันทร์ดับ กูจะเริ่มพิธีกรีดเลือดหลั่งวิญญาณ” พ่อปู่บีบเลือดพริ้วลงในขันสีทองแดง ยิ้มเหี้ยม

ตอนที่ 9 วันพุธ ที่ 5 มีนาคม 2557
ด้านณราก็รู้สึกเป็นห่วงพริ้ว จึงโทรศัพท์หา แต่ว่าพริ้วปิดเครื่อง ณราหงุดหงิดแกมหึง เพราะพริ้วไปกับกรณ์ด้วย
บริเวณถนนเปลี่ยวนอกเมือง พริ้วค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้น แต่ยังรู้สึกจุกท้องและเจ็บหน้า พริ้วพยุงตัวขึ้นขึ้นพยายามลุกเดินออกมาโผล่ที่ข้างทาง แล้วโบกรถขอความช่วยเหลืออยู่ที่ริมถนน
ตอนกลางคืนที่บ้านพริ้ว กรณ์ชงยาหอมให้ซินแสเฟยที่เพิ่งฟื้น “อั๊วไม่เป็นอะไรมากหรอก อั๊วเป็นห่วงอาพริ้ว” ซินแสเฟยหน้าเครียด รู้ว่าที่ดินรกร้างมีพลังลึกลับบางอย่าง กรณ์เอ่ยถาม “มีอะไรหรือเปล่าครับซินแส”
ที่ประตู พริ้วโผเข้ามาพอดี ซินแสจึงไม่ได้ตอบคำถามกรณ์ “อาพริ้ว..ลื้อไปไหนมา แล้วทำไมสภาพเป็นอย่างนี้ ใครทำอะไรลื้อ” ซินแสเฟยจะลุกขึ้นไปหาพริ้ว แต่ก็ทรุดลงอีก พริ้วรีบเข้ามาประคองซินแสเฟย
“อาป๊า..อาป๊าเป็นอะไร ทำไมหน้าซีดอย่างนี้ล่ะ” กรณ์ตอบ “ซินแสเป็นลมน่ะ ไปเจอเศษฝุ่นขี้เถ้า สูดเข้าไปคงหายใจไม่สะดวก เลยหน้ามืด” ซินแสเฟยส่ายหัว “หึๆ หน้ามืด...เพราะพลังมืดน่ะสิ” พริ้วตกใจ “อะไรนะป๊า” ซินแสเฟยว่า “อย่าเพิ่งห่วงป๊า ลื้อต่างหาก หายไปไหนมา เกิดอะไรขึ้น” พลิ้วบอก “มีคนทำร้ายพริ้วน่ะป๊า มันคงกะปล้น เพราะกระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์หายไป” กรณ์ล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ยื่นส่งให้ “โทรศัพท์คุณผมเก็บได้ในพงหญ้าตอนพยายามโทรหาคุณ แต่ตอนนี้แบตมันหมด” พริ้วรับโทรศัพท์มา“ขอบคุณนะคะ เอ่อ รถคุณกรณ์ก็โดนมันทุบ มีทรัพย์สินหายไปบ้างหรือเปล่าคะ” กรณ์ส่ายหน้า “ไม่มีครับ ผมไม่เคยเก็บของมีค่าไว้ในรถ คุณพริ้วล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง” ซินแสหันไปพยายามลูบหัวเปิดผมดูแขน ดูร่องรอยแดงๆ เขียวๆ ตามเนื้อตัวพริ้ว “มันทำลื้อตรงไหน เจ็บตรงไหนอาพริ้ว” พลิ้วบอก “มันคงซ้อมอ่ะป๊า เจ็บไปหมดเลย แถมยังเอาตัวฉันไปทิ้งที่เปลี่ยวๆ ด้วย” ซินแสเฟยรีบถาม “หยกคุ้มครองยังอยู่กับตัวลื้อใช่ไหม” พริ้วกุมหยกอุ่นใจ ยิ้มออก “ยังอยู่จ้ะ คงจะหยกนี่แหละที่คุ้มครองให้ฉันรอดมาได้” กรณ์มองซินแสเฟยที่ห่วงใยพริ้ว พริ้วบีบนวดดูแลซินแสเฟย กรณ์ยิ้ม “ตอนนี้ทั้งคู่ปลอดภัยก็จริง แต่ผมว่าน่าจะไปให้หมอตรวจดูหน่อยนะครับ ทั้งคุณพริ้วทั้งซินแส” แต่สองพ่อลูกรีบปฏิเสธพร้อมกัน กรณ์หัวเราะ “พ่อลูก เหมือนกันเปี๊ยบ” “แค่ฟกช้ำน่ะค่ะ ฉันมียาสมุนไพรสูตรก๋งของอาป๊า ทาถูสองทีก็หายแล้ว ว่าแต่ป๊าแค่เป็นลมเฉยๆ เหรอ ถ้าโรคเก่ากำเริบล่ะ หาหมอไหมป๊า” ซินแสเฟยค้อน “เอ๊...ถ้าลื้อไม่ไปหาหมอ อั๊วก็ไม่ไปเหมือนกัน อาพริ้ว!” พริ้วส่ายหน้ากับความดื้อของซินแสเฟย ขณะที่ซินแสเฟยก็ส่ายหน้ากับความดื้อของพริ้วเช่นกัน
เช้าวันใหม่ ที่ห้องนอนซินแสเฟย ที่กระจกเงามีกลุ่มฝ้าสีดำ ซินแสเฟยยันตัวลุกขึ้นนั่ง ไอออกมาแรงๆ มีอาการเจ็บอก ช้ำใน “มารรังควานสินะ” ซินแสเฟยหันมองกระจก กลุ่มฝ้าสีดำยังเกาะเป็นกลุ่ม คล้ายรูปร่างดวงตาของสัตว์ร้ายจ้องมา “อั๊วไม่กลัวลื้อ” ซินแสเฟยรวบรวมสมาธิ สงบใจ เพ่งลมปราณ
กลุ่มฝ้าที่หน้ากระจกเงาเข้มขึ้นเหมือนจะสู้ แต่แล้วก็จางลงๆ ยันต์สีแดงที่แปะอยู่มุมเสาห้องสะบัด
ขณะที่พ่อปู่ก็บริกรรมคาถา “มนตร์ดำ ความมืด จงปกคลุมแผ่วิญญาณมาร” แดดยามเช้าสาดส่องเข้ามา พ่อปู่เหงื่อแตก เหนื่อย ลืมตาโพลง “ไอ้ซินแส! กูกำราบมึงไม่ได้เพราะแสงแห่งตะวัน เมื่อใดเดือนดับ กูจะวาดอิทธิฤทธิ์สั่งสอนมึงอีกครั้ง” พ่อปู่สะบัดหน้าไปจ้องหน้าต่าง มือยกบังแสงไม่ให้แยงตา สู้แสงไม่ได้
ที่บ้านพริ้ว พริ้วยกข้าวต้มมาให้ซินแสเฟย ซินแสเฟยเอ่ยขึ้น “ที่ที่ดินผืนนั้น มีพลังมืดบางอย่างเล่นงานอั๊ว” “พลังมืด?” พริ้วตกใจ ซินแสเฟยบอก “ใช่ พลังมืด เป็นฝีมือพวกคลั่งไสยดำ มันสร้าง มนตร์มารบนที่ดินผืนนั้น” พลิ้วไม่ค่อยอยากเชื่อ “เป็นไปได้ยังไง ที่ดินนั้นจะมีไสยดำสิงอยู่ เหรอป๊า” “อั๊วก็ไม่รู้ว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้น แต่ที่นั่น มีความลับดำมืดซ่อนอยู่” พลิ้วถาม “มันจะเกี่ยวกับที่พริ้วเป็นลมทุกครั้งที่ไปที่นั่น หรือเปล่าป๊า” ซินแสเฟยครุ่นคิด “มันก็เป็นไปได้...อาพริ้ว เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทีหลังอย่าไปที่นั่นอีก อั๊วไม่ไว้ใจ ไสยดำพวกนี้ของแรงกว่าที่อั๊วคิดไว้มาก ลื้อห้ามไปที่นั่นเด็ดขาด รับปากกับอั๊วนะ อาพริ้ว” พริ้วตอบเลี่ยงๆ “เอาน่าป๊า รู้ว่ามันไม่ดี ก็ไม่ต้องสนใจ ป๊ากิน ข้าวต้มดีกว่า เดี๋ยวจะหายร้อน” พริ้วยังไม่ค่อยเชื่อ แถมไม่รับปากซินแสจริงจัง เพราะใจจริงๆอยากรู้มาก
เช้าวันใหม่ ณรารอพบพริ้วที่มาทำงานสาย พอพริ้วมาก็ต่อว่าและเข้าใจผิดคิดว่าพริ้วกับกรณมีอะไรกันเกินเลย จนทำให้พริ้วโกรธมากหนีกลับบ้านไปเลย
ณราไม่รู้จะทำยังไง เลยตัดสินใจเข้าไปคุยกับกรณ์ กรณ์เล่าเรื่องราวให้ฟัง ณราจึงเข้าใจ รู้สึกผิดที่ไปต่อว่าพริ้วแบบนั้น และนึกเป็นห่วงพริ้วมาก
พริ้วกลับบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัวนั่งลงที่โต๊ะต้องข้ามซินแสเฟย ก่อนจะหันไปเห็นรูปแผนที่ที่ดินก็เอ่ยถามพ่อ “ที่ดินโรงละครที่จะสร้างโรงแรมนี่นา ตกลง ฮวงจุ้ยโอเคไหมป๊า” ซินแสเฟยส่ายหน้า “ฮวงจุ้ยเป็นถุงทรัพย์ แต่ชี่ไม่ดี มีอะไรบางอย่างปิดกั้นพลังงานดีไม่ให้ ไหลเข้าไป” พลิ้วสนใจทันที “แล้วแก้ไขได้หรือเปล่าป๊า คุณ...เอ้อ เจ้าของที่เขา อยากทำโรงแรมมากน่ะ” ซินแสเฟยว่า “ตอนนี้ที่ดินโรงละครเก่านั้นมีพลังมืดบางอย่างสิงอยู่ เหมือนมีหลุมดำพลังมืดอยู่ ต้องหาจุดบอดนั้นให้เจอ” พลิ้วรีบถามต่อ “แล้วถ้าเจอจุดพลังมืดนั่น ก็แก้ไขได้ใช่ไหมป๊า” “ก็พอมีทาง แต่ต้องหาให้เจอว่าพลังมืดสถิตย์ อยู่ตรงไหน ก็แก้ตรงนั้น เมื่อขจัดหลุมดำสกัดกั้นชี่ได้ ลมแห่งความสุขและโชคลาภจะไหลมา” พลิ้วสีหน้ามีความหวัง “งั้นแบบนี้ก็มีโอกาสสร้างโรงแรมได้น่ะสิ” ซินแสเฟยว่า “แต่ลื้อต้องย้ำกับคุณณราให้ดี ถ้าไม่แก้ไข กำจัดพลังมืด ก็อย่าทำอะไรกับที่ดินต้องคำสาป ตรงนั้นเด็ดขาด” พลิ้วหน้าเสีย “โอ๊ย ทำไมต้องเป็นฉันด้วยละป๊า” ซินแสเฟยยิ้มๆแล้วตอบ “ก็ลื้อเป็นเลขาฯ เขา ลื้อก็ต้องรายงาน หรือลื้อจะมาเป็นซินแสแล้วให้อั๊วไปเป็นเลขาฯ หา!”
พริ้วหงุดหงิด นึกถึงณราแล้วยังรมณ์เสีย ซินแสเฟยเริ่มสังเกตอาการลูกสาว
ที่คอฟฟี่ช็อปโรงแรมณรา แพรวมาหากรณ์ ทำทีเป็นคุยเรื่องโรงละคร “แพรวยังจำไม่เคยลืมนะคะว่าคุณกรณ์เคย ชวนแพรวกับเพื่อนๆ ให้มาช่วยกันทำโรงละคร” กรณ์ว่า “นั่นมันก็นานมาแล้วนะครับ”
แพรวบอก “นานก็จริง แต่มันอยู่ในใจแพรวเสมอ แพรวจำสีหน้าครูอาภาได้ ตอนนั้นท่านยิ้มอย่างมีความหวัง ท่านอยากให้ลูกศิษย์ของท่านสืบสานเจตนารมย์ การทำละครตามแนวทางของท่านต่อไป”
กรณ์นึกถึงแม่ หัวใจอ่อนลง แพรวสังเกตเห็น ยิ้มมุมปาก สบช่องเข้าทางตนเอง รีบหว่านล้อมต่อ
“สีหน้านั้น ผมก็เคยเห็น ยังเก็บไปฝันถึงท่าน อยู่บ่อยๆ” “ท่านคงมาเตือนคุณกรณ์แล้วล่ะค่ะ ว่าให้ช่วย สร้างโรงละครแห่งใหม่” “แล้วคุณแพรวจะว่างหรือครับ ผมได้ข่าวว่า ตอนนี้คุณแพรวเป็นนักแสดงอยู่ในสังกัดโรงละครอื่น แล้วนี่ครับ” แพรวหลบสายตากลบเกลื่อนที่กำลังโกหก เพราะถูกไล่ออกมาแล้ว
“จริงๆ แพรวลาออกแล้วค่ะ แพรวรับไม่ได้ค่ะ ละครสมัยใหม่เล่นกันไม่สมบทบาท นักแสดงรุ่นใหม่ ก็ไม่สนใจซ้อม สู้ละครเวทีแบบครูอาภาไม่ได้ นักแสดงทุกคนมีหัวใจรักการแสดง เพราะครูอาภาสอนมา แบบนั้น” กรณ์ยิ้ม“แม่ผมได้ยินคงปลื้มน่าดูที่มีลูกศิษย์ดีๆ อย่างคุณแพรว” แพรวยิ้มตอบ “แพรวว่า ถึงท่านจะไม่อยู่ เราก็แสดงความกตัญญูต่อท่านได้นี่คะ เราหาที่ดินสักแปลงสร้างโรงละครแห่งใหม่” แพรวแตะหลังมือกรณ์เบาๆ กรณ์รู้สึกได้ ไม่ได้ปัดออกเหมือนเมื่อก่อน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องดีที่จะทำให้แม่ตนเอง “แต่ผมยังติดสัญญางานกับทางคุณณราเรื่อง ที่จะสร้างโรงแรม” แพรวได้ทีรีบพูด “ก็ไม่ต้องทำสิคะ งานอะไรจะสำคัญเท่าสืบสาน เจตนารมย์ของครูอาภา” กรณ์นิ่งคิด “ไม่ได้หรอกครับ หน้าที่ก็เป็นหน้าที่ ความรับผิด
ชอบก็ต้องมี” แพรวพยายามหว่านล้อม “หรือคุณกรณ์ไม่อยากทำโรงละครแล้วคะ” กรณ์ว่า “อยากทำสิครับ เอาอย่างนี้ ระหว่างนี้คุณแพรวจัดการเรื่องหาที่สร้างโรงละครแห่งใหม่ไป ส่วนผมต้องสานต่องานโรงแรมในเครือเดอะวารีให้เรียบร้อย หลังจากนั้นผมกับคุณจะช่วยกันทำโรงละครให้เสร็จ ดีไหมครับ” “สัญญานะคะคุณกรณ์” แพรวยื่นมือให้จับ กรณ์จับเป็นเชิงสัญญา แพรวยิ้มหวาน ชื่นบาน
คืนนั้นเอง ณราหิ้วของฝากมาให้พริ้วกับซินแสเฟยเพื่อขอโทษพริ้วที่เขาเข้าใจผิด แต่พริ้วที่ยังโกรธอยู่ก็ไม่ยอมให้ณราเข้าบ้าน ณราจำต้องกลับ โดยเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของซินแสเฟย
ที่ห้องโถงบ้านพริ้ว พริ้วสีหน้าตกใจปนหน้าแดง เมื่อได้ฟังคำจากซินแสเฟย “ว่าไงนะป๊า เนื้อคู่ฉันคือคุณณราอย่างนั้นเหรอ” ซินแสเฟยบอก “ใช่ ตามดวงแล้ว เนื้อคู่ของลื้อเป็นชายลักษณะดี ผิวพรรณดีมีชาติตระกูล เกิดมาเพื่อต่อกรกับลื้อโดยเฉพาะ” พริ้วหน้าตึง “ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้” ซินแสเฟยยิ้ม “ก็พื้นดวงมาอย่างนั้น ลื้อจะเจอเนื้อคู่จากที่ทำงานแห่งแรก ตอนแรกเป็นเจ้านายลูกน้องแล้วพัฒนามาเป็นความรัก” “ไม่มีทาง ให้มะพร้าวออกลูกเป็นมะละกอเลย ป๊าทำนายมั่วซั่วแล้ว” “อั้ยย่ะ อาพริ้ว ลื้ออย่าดูถูกวิชาอั๊ว ดวงมันมาอย่างนั้น เรากำหนดไม่ได้” พลิ้วค้อน “เฮอะ ฉันนี่แหละจะกำหนดเนื้อคู่ของฉันเอง คอยดูเหอะป๊า” ซินแสเฟยส่ายหัวกับความรั้นของลูกสาว “เออ ลื้อก็เตรียมตั้งรับไว้ให้ดี ผู้ชายคนนี้จะนำพาความรักและความตายมาสู่ลื้อ” พลิ้วตกใจ “พาความตายมา! ความตายอะไรกันป๊า!” ซินแสเฟยโบกมือทำนองว่าบอกได้แค่นั้น พลิ้วอึ้งทำอะไรไม่ถูก “ความตายอะไรกัน?”
ตอนเย็น พริ้วแอบไปหากรณ์เพราะมีเรื่องจะปรึกษาโดยที่พริ้วไม่ได้ยอมบอกณรา กรณ์ตกใจเมื่อพริ้วบอก “คุณพริ้วว่าที่ดินที่เคย เป็นโรงละครดาราลัยมีพลังมืดแฝงอยู่ คุณต้องล้อผมเล่นแน่เลย” พริ้วยืนยันหนักแน่น “เรื่องนี้ฉันไม่กล้าล้อเล่นหรอกค่ะ ฉันเองก็สัมผัสได้ ทุกครั้งที่ฉันไปที่นั่นเหมือนจะมีพลังอะไร บางอย่างพุ่งมาทำร้ายฉัน อาป๊าฉันก็โดนเหมือนกัน” กรณ์ว่า “คุณจะให้ผมเชื่อหรือครับ ที่ผมเคยอยู่ตั้งแต่เด็กๆ วิ่งเล่นแถวนั้น ที่ดินนั้นไม่เคยมีเรื่องอะไรเลย” “แต่ฉันสังหรณ์ใจ ฉันรู้สึกว่าที่นั่นอาจจะมีวิญญาณของใครผูกติดไว้กับที่ดิน” กรณ์บอก “เรื่องร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นบนที่ดินผืนนั้นก็คือถูกเผาไล่ที่ แต่ไม่มีใครเป็นอะไร” พลิ้วพยายามพูด “แต่พริ้วรู้สึกจริงๆ นะคะ วันนั้นคุณกรณ์ก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับป๊าของฉัน” กรณ์ถอนใจ “เรื่องฮวงจุ้ยเป็นศาสตร์ที่ผมไม่ค่อยรู้จัก แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่นะครับ” “นั่นแหละค่ะ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เราต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ที่ดินผืนนั้น จะได้หาทางแก้ถูก ไม่งั้นมันก็จะเป็นพลังอัปมงคล ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ คุณก็อาจจะสร้างโรงแรมนี้ไม่สำเร็จได้” กรณ์บอก “ผมว่า มีคนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับโรงละครและที่ดินผืนนั้นดีกว่าผมนะครับ” พริ้วสงสัย “ใครคะ?” กรณ์นึกถึงใครคนหนึ่ง

ตอนที่ 10 วันจันทร์ ที่ 10 มีนาคม 2557
ตอนเย็น ที่หน้าบ้านหลังใหญ่ที่ติดประกาศขาย แพรวเลื่อนแว่นตาดำขึ้น มองไปที่บ้านหลังใหญ่อย่างพึงใจ “หลังแค่นี้จะสมฐานะของเรากับคุณกรณ์ไหมน้า” นายหน้าขายบ้านเปิดบ้านออกมา “สวัสดีค่ะคุณแพรว ดิฉันเป็นตัวแทนบริษัทจัดหาบ้านที่คุณแพรวติดต่อไว้” นายหน้าเดินนำแพรวไปดูมุมต่างๆ ของบ้าน พร้อมทั้งบอกรายละเอียด แพรวมองอย่างพอใจ นายหน้าบอก “ทางโน้นมีห้องขนาดใหญ่ค่ะ เจ้าของเดิมสร้างไว้เป็นสตูดิโอถ่ายภาพ”
ที่ห้องสตูดิโอ แพรวมองห้องกว้างโล่ง สีหน้าพอใจ “ไม่ทราบว่าหลังนี้ถูกใจคุณแพรวไหมคะ”
แพรวว่า “แหม ยังตอบไม่ได้ค่ะ ต้องรอให้อีกคนมาช่วยตัดสินใจ” นายหน้ายิ้มทันที “พูดแบบนี้ แปลว่ามีวัตถุประสงค์อื่นด้วย” แพรวทำเป็นเขิน ฝันเฟื่องไปไกลถึงการได้อยู่กับกรณ์ “ก็ไม่แน่ค่ะ อาจจะเป็นโรงละคร หรือเป็นเรือนหอก็ได้” แพรวยิ้มพึงใจมาก
วันใหม่ ที่ล็อบบี้โรงแรม แพรวนั่งรอกรณ์อารมณ์ดีจนต้องโทรศัพท์บอกไท “ไท...แกเตรียมตัวฉลองความสำเร็จของฉันได้แล้วนะ เผลอๆ แกอาจจะต้องเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ฉันกับคุณกรณ์ด้วย เพราะฉันหาที่เหมาะจะสร้างโรงละครใหม่ได้แล้ว ไทดีใจ “หมายความว่า แผนการที่เธอดึงกรณ์ให้เลิกยุ่งกับที่ดินที่ฝังศพช่อใกล้จะสำเร็จแล้วใช่ไหม...เฮ้อ ทุกอย่างจะได้จบเสียที” ไทวางสายโทรศัพท์ โล่งใจ แต่รู้สึกผิดอยู่บ้าง “ช่อเอื้อง...” ไทเปิดลิ้นชักหยิบรูปที่อยู่ก้นลิ้นชักออกมา เป็นรูปช่อเอื้อง “ขอโทษนะช่อเอื้อง ถึงฉันจะไม่ได้ตัวเธอ แต่เธอก็ไม่ได้คุณกรณ์เหมือนกัน...ชาติหน้าฉันจะรักเธอ ถนอมเธอให้มากกว่านี้นะช่อเอื้อง” ไทเก็บรูปช่อเอื้องไว้ที่ลึกสุดลิ้นชักเหมือนเดิม
บริเวณหลุมศพช่อเอื้อง ช่อเอื้องกรีดร้องด้วยสีหน้าเจ็บแค้น “ไอ้คนทรยศ ไอ้คนชั่วชาติ มึงพรากชีวิตกู มึงพรากกูจากคนรัก กูจะจองเวร!” ช่อเอื้องหาทางออกจากมนตร์มืดไม่ได้ “ปล่อยกูออกไป ปล่อยกู กูจะให้พวกมึงชดใช้”
วันใหม่ แพรวไปดักรอพบกรณ์อีก เพื่อที่จะบอกเรื่องที่ที่จะทำโรงละคร แต่กรณ์บอกว่าวันนี้เขาไม่ว่าง “เห็นจะไม่ได้หรอกครับ ช่วงนี้ผมไม่มีเวลาว่างเลย งานดูแลโครงการโรงแรมมีปัญหานิดหน่อย” แพรวแอบดีใจที่โครงการบนที่ดินจะไม่สำเร็จ แกล้งหลอกถามกรณ์ “โรงแรมที่จะสร้างบนที่ดินโรงละครดาราลัยเก่าหรือคะ โธ่ หมายความว่าจะสร้างโรงแรมไม่ได้แล้วใช่ไหมคะ” กรณ์ว่า “ก็ไม่เชิงครับ ซินแสที่ไปดูฮวงจุ้ยให้ แกบอกว่าที่ดินมีพลังมืดฝังอยู่ ทำให้ที่มีจุดบอด ถ้าไม่แก้ไขก็จะทำอะไรต่อไม่ได้เลย” แพรวตกใจแต่รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “มีเรื่องแบบนี้จริงๆ เหรอคะ แพรวเพิ่งเคยได้ยินนะคะเนี่ย” กรณ์สีหน้ากังวล “ผมก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันครับ แต่ตอนที่ไปดูที่ ทั้งคุณพริ้วเลขาฯ คุณณราก็ถูกโจรปล้นแล้วก็ทำร้าย ซินแสเฟยก็เจอเหตุการณ์แปลกๆ เล่นงาน” แพรวแกล้งทำท่าตกใจ “น่ากลัวจังเลยค่ะคุณกรณ์ขา แพรวเป็นห่วงคุณกรณ์จัง ไม่อยากให้เจอเรื่องแบบนี้อีก” กรณ์ว่า “ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นความโชคร้ายหรืออะไรกันแน่ รู้แต่ว่ามันแปลกๆ ยังไงพิกล” แพรวพูดขึ้น “คุณกรณ์อยากทราบไหมคะ ว่ามันคืออะไร” “คุณแพรวเคยเจอเรื่องแบบนี้หรือครับ” “แพรวตอบเองไม่ได้หรอกค่ะ แต่มีคนรู้คำตอบดีกว่าแพรว” “ใครครับ?” กรณ์สนใจ อยากรู้ว่าจะมีคนอธิบายได้จริงหรือ แพรวลอบยิ้ม เข้าทาง
ที่ตำหนักพ่อปู่ อีการ้องเสียงระงม เสียงหัวเราะพ่อปู่ดังกังวานร่วม แล้วก็ลืมตาขึ้น “อีเลือดชั่ว มึงนี่มันร้ายกาจจริงๆ” พ่อปู่ยิ้ม รู้ทันแพรว
แพรวพากรณ์ไปหาพ่อปู่ แล้วก็อ้างว่าช่อเอื้องชอบมาปรึกษาพ่อปู่เวลาที่ช่อเอื้องมีเรื่องไม่สบายใจ กรณ์ฟังแล้วก็หลงเชื่อ
ภายในตำหนักพ่อปู่ แพรวนำกรณ์เข้าไปข้างใน ด้านในมืดทึบกรณ์รู้สึกได้ถึงความน่ากลัว พ่อปู่เอ่ยขึ้น “มึงสงสัยว่ากูเป็นใคร มึงไม่รู้จักกู แต่กูรู้จักมึง มึง! ลูกหลานคนละคร แต่มึงทิ้งละคร ทิ้งครู!” กรณ์ตะลึง หันมองแพรว แพรวตีหน้างง พ่อปู่พูดต่อ “มึงมาด้วยเรื่องนี้ ใจมึงร้อนรุ่มอยากรู้ว่ามีอะไรบนที่ดินอาถรรพ์”
กรณ์ถาม “แล้วคุณรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น” พ่อปู่ตวาด “บังอาจ! ไอ้คนหัวสมัย มึงดูถูกกู...กูรู้ กูเห็น กูสัมผัสได้” พ่อปู่หลับตาลง ขมุบขมิบปากว่าคาถา ร่างสั่นเทิ้มขึ้น “ที่ดินอาถรรพ์ ทำให้มึงพบแต่ความวิบัติ ที่ดินต้องคำสาป ที่ดินเคยมีครู แต่มึงทิ้งครู” กรณ์งง “ครู? หมายถึงใคร” แพรวกระซิบ “ครูละครหรือเปล่าคะ ก็ที่นั่นเคยเป็นโรงละคร” พ่อปู่พูดต่อ “กูเห็นไฟบรรลัย กูเห็นไฟแค้น มึงปล่อยให้ครูถูกเผา ผีครูจึงไม่คุ้มครองมึงอีก ผีครูมันแค้น มันสาปแช่งให้ที่ต้องอาถรรพ์ ทำอะไรก็ไม่ขึ้น” กรณ์งง “จะเป็นไปได้ยังไง ไฟไหม้ครั้งนั้นน่าจะเป็นเพราะมีคนวางเพลิงไล่ที่ ส่วนที่ทำอะไรไม่ได้เพราะยังไม่มีคนไปทำหรือเปล่า”
พ่อปู่ลืมตาโพลง ตวาดเสียงดัง “มึงไม่เชื่อก็ช่างหัวมึง!” แพรวรีบพูด “คุณกรณ์คะ พ่อปู่ท่านจะโกหกคุณไปทำไมคะ” พ่อปู่ว่า “มึงเคยมีรักที่นั่น แต่เป็นรักหลอก อีผู้หญิงจอมปลอมคนนั้นมันหลอกมึง แล้วมันก็หนีไป!” กรณ์ตกตะลึง แพรวแกล้งทำสีหน้าตกใจมาก แอบยิ้มสะใจ “กูบอกแล้ว ที่ดินต้องอาถรรพ์ ถ้าไม่อยากมีเรื่องฉิบหาย อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ผืนนั้น” แพรวแสร้งถาม “ไม่มีทางแก้หรือคะ” พ่อปู่บอก “ไม่มี กูบอกได้คำเดียว ถ้ายุ่งกับที่ผืนนั้น จะมีแต่คำว่าพินาศ!” พ่อปู่กำชับเสียงดัง กรณ์อึ้งไป “พ่อปู่ครับ ผมอยากรู้เรื่องช่อเอื้อง”พ่อปู่หลับตานิ่งไปก่อนจะพูดขึ้น “ผู้หญิงมากราคะ มึงยังจะให้ความสำคัญกับมันอีกรึ” กรณ์ไม่เชื่อ “พ่อปู่! ช่อเอื้องไม่ใช่คนแบบนั้น” พ่อปู่ยิ้มเยาะ “หึ มันไม่มีใจให้มึงแล้ว มึงจะถามหามันทำไม” กรณ์อึกอัก “เอ่อ ผมอยากรู้ว่าช่อเอื้องเป็นยังไงบ้าง ช่อเอื้องไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยผมก็จะช่วยเหลือได้บ้าง ในฐานะ...เพื่อนเก่า” พ่อปู่ว่า “มึงกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำบุญมาด้วยกัน พยายามให้ตายมึงก็ไม่สมหวัง เพราะมึงไม่ได้เกิดมาเป็นเนื้อคู่ เนื้อคู่มึงเป็นคนอื่น ไม่ใช่ผู้หญิงชื่อช่อเอื้อง!” กรณ์หน้าเศร้าทันที แพรวลอบมองสบตาพ่อปู่ สะใจ
วันใหม่ ณราเอ่ยบอกกรณ์ว่า เขาอยากรีบดำเนินการเรื่องก่อสร้างโรงแรมบนที่ดินโรงละคร โดยที่ไม่ต้องรอซินแสเฟย พอพริ้วรู้เรื่องก็ตกใจ รีบกลับไปบอกซินแสเฟยทันที “อะไรนะอาพริ้ว ลื้อว่าคุณณราจะสร้างโรงแรมแล้วเหรอ ไอ้หยา ไม่ได้นะ ไม่ได้” พริ้วว่า “ไม่ได้อะไรล่ะป๊า คุณณราเขาตัดสินใจแล้ว” “ลื้อต้องไปห้ามเขา อย่าให้สร้าง” พลิ้วถอนใจ “ฉันเป็นแค่เลขาฯ จะไปห้ามเจ้านายได้ยังไงล่ะ” ซินแสเฟยว่า “ถ้าไม่ยับยั้งไว้ แล้วดึงดันสร้าง คราวนี้ได้ฉิบหายกันหมด!” พริ้วตกใจเริ่มเป็นห่วงณรา “จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณณราหรือเปล่าป๊า” ซินแสเฟยหน้าเครียดก่อนจะถอนหายใจด้วยความหนักใจ
คืนนั้นเอง ที่ตำหนักพ่อปู่ แพรวนั่งคุยอยู่กับพ่อปู่ แพรวว่า “เรื่องช่อเอื้องถึงจะไม่ได้เตี๊ยมกันไว้ แต่พ่อปู่ก็เล่นซะสมบทบาทเชียวนะจ๊ะ” พ่อปู่ยิ้ม “อีเลือดชั่ว กูไม่ได้เล่น กูรู้ ใจมึงมันคิดคด หักหลังเพื่อน” แพรวหน้าตึง “ฉันไม่นับอีช่อเป็นเพื่อน ดีแล้วที่มันไม่ได้เป็นคู่กับคุณกรณ์” พ่อปู่ว่า “ผู้ชายคนนั้นเป็นคู่กับอีผีนั่น ไม่ใช่มึง” แพรวไม่พอใจ “ไม่จริง ถึงจริง อีช่อก็ตายไปแล้ว มันไม่ได้ครอบครองคุณกรณ์ แต่ฉันต้องได้”
พ่อปู่บอก “ลำพังมารยามึงคนเดียวทำให้ผู้ชายคนนั้นมาเป็นคู่กับมึงไม่ได้หรอก แต่ถ้าเพิ่มพลังจากกูล่ะก็....” แพรวสนใจทันที “พ่อปู่ช่วยได้เหรอจ๊ะ” พ่อปู่ยิ้ม “ไม่มีอะไรที่กูทำไม่ได้” แพรวตาลุกวาว คิดแต่จะครอบครองกรณ์ “พ่อปู่จะช่วยให้ฉันสมรักกับคุณกรณ์ได้ยังไง” “กูมีวิธีก็แล้วกัน ฮ่ะๆ” พ่อปู่หัวเราะสะใจ เห็นความริษยาอยากได้ในแววตาของแพรวแล้วสมใจที่แพรวจะถูกวางตัวเป็นผู้รับวิชาดำต่อไป
คืนนั้นเอง พริ้วนอนไม่หลับ กังวลเรื่องที่ณราจะสร้างโรงแรมตรงที่ดินโรงละคร พริ้วตัดสินใจโทรศัพท์นัดณราออกมาเพื่อที่เธอต้องรู้ให้ได้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่บนที่ดินผืนนั้น ณราพยายามคัดค้าน แต่ไม่เป็นผล
กลางดึก พริ้วแอบย่องออกจากบ้าน โดยไม่ให้ซินแสเฟยรู้ “ป๊า ฉันขอโทษที่ไม่เชื่อป๊า แต่ฉันต้องรู้ให้ได้ว่ามีพลังลึกลับอะไรที่นั่น อย่างน้อยก็มีหยกคุ้มกันที่ป๊าให้มา...ฉันไม่เป็นไรหรอกน่าป๊า ไม่ต้องห่วงนะ”
พริ้วยิ้มกับประตูห้องซินแสแล้วออกไป
ขณะที่พ่อปู่ก็เห็นว่าคืนนี้เป็นคืนจันทร์ดับ จึงคิดทำพิธีกำจัดพริ้ว “ได้เวลาแล้วอีพริ้ว เลือดแดงฉาดฉานบริสุทธิ์ด้วยความดีของมึง จะต้องโดนมนตร์มารสกัดพลัง กูจะล้างเลือดแดงด้วยเลือดดำ กูจะล้างเลือดดีด้วยเลือดชั่ว!” พ่อปู่เริ่มท่องมนตร์ เป่าลงไปในเลือดของพริ้วในขันทองแดง
ที่ดินร้าง ณรามาถึงก่อนพริ้ว จึงคิดจะเข้าไปดูคนเดียวก่อน เขาเดินดูรอบๆ อย่างพึงพอใจมาก พริ้วตามมาถึง เห็นรถณราจอดอยู่ ก็รู้ว่าณราคงเข้าไปเดินสำรวจ พริ้วทำท่าจะเดินเข้าไป แต่แล้วพ่อปู่ที่ทำพิธีอยู่ก็ส่งวิญญาณมารให้เข้าสิงสู่ในเลือดของพริ้ว
ที่ดินร้าง พริ้วกำลังจะก้าวขาเข้าไป ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบที่หยกคุ้มกัน พริ้วตกใจ หยกที่ห้อยที่คอพริ้วเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเลือด พริ้วรู้สึกร้อนที่หยก จะจับหยกก็ร้อน หยกที่แนบอยู่กับผิวหนังก็ร้อนขึ้น
“ทำไมหยกร้อนอย่างนี้...โอ๊ย” ใบหน้าพริ้วบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด พ่อปู่กำมือแน่น เค้นให้เลือดข้นเหนียวสีดำ หยดลงไปในเลือดสีแดง “ให้มารสะกด ให้มนตร์สะกัด ให้วินาศจัญไร ให้แพ้ให้พ่าย ข้าขอบูชาพญามาร...ให้เลือดชั่วล้างเลือดดี” เลือดหยดลงในควันขาวที่มีหน้าพริ้ว ราวกับว่าหน้าพริ้วอาบด้วยเลือดสีดำพริ้วสุดแรงต้านทานมนตร์ดำ ทรงตัวไม่อยู่ ทรุดลง “หยกคุ้มกันเตือนเราไม่ให้เข้าไปที่ที่ดินนั่น!” พริ้วจะจับหยก แต่ก็จับไม่ได้ ร้อนผ่าว ที่หยกราวกับแทรกด้วยรอยเลือด ตามเส้นรอยเลือดมีแสงขาววาบส่องเป็นระยะๆ“หยกร้อน! โอ๊ย...ไม่ไหวแล้ว....ไม่นะ หยกแค่เตือนภัยเรา หยกคุ้มกันไม่มีทางทำร้ายเรา” พริ้วกัดฟัน กุมหยก มีแสงสว่างแวบลอดมาตามรอยร่องนิ้ว “หยกคุ้มกัน ช่วยคุ้มครองฉันให้มีแรงเข้มแข็งด้วยเทอญ”

ตอนที่ 11 วันอังคาร ที่ 11 มีนาคม 2557
ที่ลานน้ำพุเทวี ณราเดินมาหยุดที่ลาน ที่ๆเหลือแต่ซากความเก่าแต่ยังคงหลงเหลือความสวยงามให้เห็นอยู่ “สวยดีแฮะ สวยเศร้าๆ แต่ก็ดูขลังดี” ณรามองไปรอบๆ เดินไปรอบน้ำพุเทวี แล้วไปหยุดยืนอยู่เหนือที่ที่ช่อเอื้องถูกฝังอยู่
ในความมืด ช่อเอื้องไขว่คว้าหาทางออก “ปล่อยฉันออกไปนะ ปล่อยฉันออกไป นานเหลือเกิน ทรมานเหลือเกิน ปล่อยฉันออกไป”
สักพักพริ้วก็เดินเข้ามาสีหน้าซีด แต่แข็งใจ “บอสคะ ฉันมาแล้ว” ณรากวาดตามองเพลิน หันมา แอบดีใจ “ผมนึกว่าคุณจะเบี้ยว เอ๊ะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดๆ” พริ้วบอก “ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ” ณรามองอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “คุณโอเคแน่นะ” พลิ้วถอนใจ “จะว่าโอเคก็โอเค จะว่าไม่ก็ไม่ ฉันสบายดี แต่ที่ไม่โอเค เพราะที่ดินผืนนี้มีเรื่องแปลกๆ ฉันถึงต้องนัดคุณมาเพื่อให้เห็นกับตาว่ามันมีอะไร” ณราว่า “ผมก็เดินดูจนทั่วแล้ว ไม่เห็นมีอะไร” พริ้วพยายามพูด “แต่ป๊าฉันเตือนไว้ ที่ดินนี้มีความลับฝังอยู่ เราต้องแก้ไข ไม่อย่างนั้นใครก็ตามที่มายุ่งกับที่นี่อาจได้รับอันตราย” “ผมน่ะเหรอจะได้รับอันตราย” “ฉันไม่อยากให้เกิดเหตุไม่ดีขึ้น” ณรายิ้ม “ขอบคุณที่เป็นห่วงผม” พริ้วรู้สึกตัวเริ่มเขิน รีบพูดแก้ “ฉันก็เป็นห่วงทุกคนที่เกี่ยวข้องกับที่ดินผืนนี้นั่นแหละ” ณราจ้องหน้าพริ้ว “นั่นไง คุณยอมรับแล้วว่าคุณเป็นห่วง” พริ้วหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก เลยเสียงแข็งแกล้งตวาดออกไป “ฉันห่วงงานเท่านั้น ชัดนะ” ณราไม่เชื่อ พูดต่อ“ห่วงงาน แล้วทำไมต้องหน้าแดงด้วย เขินล่ะสิ เอ นี่คุณตกหลุมรักผมรึเปล่าเนี่ย” พลิ้วสะบัดหน้าหนี “เพ้อเจ้อ จะบ้าหรือเปล่า ใครจะไปรักคนอย่างคุณ ไม่ใช่ฉันแล้วกัน นี่มาทำงานนะ ทำไปสิ” พริ้วกราดไฟฉายไปรอบบริเวณ เมินไปดูทางอื่นเปลี่ยนเรื่องเพื่อหลบตาของณรา
ที่ตำหนักพ่อปู่ ที่ข้อมือพ่อปู่มีเลือดสีดำหยดมา อีกหนึ่งหยด เลือดหยดลงกลางอากาศช้าๆ มี หมอกควันสีดำวนรอบหยดเลือด พ่อปู่ร่ายมนตร์มาร “ให้มารสะกด ให้มนตร์สะกัด ให้วินาศจัญไร ให้แพ้ให้พ่าย ข้าขอบูชาพญามาร...ให้เลือดชั่วล้าง เลือดดี เลือดดำของกูจงสิงสู่เลือดอีสาระแน!” เลือดหยดลงในเลือดสีแดง เลือดสีแดงของพริ้ว เดือดปุดๆ
ที่ลานน้ำพุเทวี พริ้วจะเดินไป แต่แล้วหยกที่คอก็ร้อนวาบอีก มีแสงเปล่งออกมา “อ๊าก.....!!!” พริ้วล้มลง ณรารีบพุ่งตัวเข้ามา ประคอง “คุณพริ้ว เป็นอะไรครับ เกิดอะไรขึ้น” พริ้วก้มมองหยกสีหน้าตกใจ“หยกค่ะ หยกร้อนขึ้น หยกคุ้มกันกำลัง เตือนภัยฉัน...แต่มันร้อน...โอ๊ย” ณราบอก “ร้อนก็ถอดออกสิครับ” พลิ้วรีบบอก “ไม่ได้ หยกคุ้มกันกำลังเตือนว่าที่ตรงนี้มี อันตราย” ณราว่า “ถ้างั้นผมจะพาคุณออกไปจากที่นี่” ณราประคองพริ้วจะพาออกไป พริ้วขัดขืน “ไม่ค่ะ หยกคุ้มกันบอกแล้ว แสดงว่ามันมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ที่นี่ เราต้องหาให้เจอ.. โอ๊ย ฉันร้อน โอ๊ย....” พริ้วร้อนจนไม่ไหว จะทรุดลง ณราประคอง จะดึงออกไป แต่พริ้วไม่ยอมไป ยื้อตัวไว้
ที่ตำหนักพ่อปู่ ในขันทองแดงที่ใส่เลือดพริ้ว บัดนี้เลือดสีแดงมีเลือดสีดำเข้ามาผสม เลือดสองสีหมุนเป็น เกลียว พ่อปู่ยังคงท่องคาถา “วินาศกุมราศี กาลีกุมชะตา เลือดดำล้าง เลือดดี วิบัติ ณ ฉับพลัน!”
พ่อปู่เฉือนมีดอีกครั้งที่ข้อมือ เลือดสีดำของพ่อปู่หยดลงจนแทบจะกลบเลือดสีแดงของพริ้ว
พลิ้วดิ้นทรมาน หยกที่สวมอยู่ในคอร้อนจัดจนผิวหนังรอบคอของพริ้วแดงเป็นวง พริ้วร้องเสียงดัง“หยกคุ้มครอง ช่วยด้วย โอ๊ย ร้อน ช่วยด้วย” ณราตกใจ เป็นห่วงพริ้วมาก ทนเห็นพริ้ว ทรมานไม่ไหว “คุณพริ้ว ผมทนเห็นคุณเจ็บปวดไม่ได้” ณรากระชากหยกออกจากร่างพริ้ว หยกขาดตกลงพื้นแล้วเกิดแสงสว่างวาบฉายออกมาจากหยกเป็น ลำแสงเงินยวง ส่องสว่างฉายไปทุกทิศทุกทาง ณรามองตะลึง“อะไรกันเนี่ย”
พริ้วบอก “ปาฏิหาริย์หยกคุ้มครอง”
ขณะที่ช่อเอื้องเองก็เห็นแสงสว่างวาบที่ด้านบน ช่อเอื้องตอนแรกแสบตา ยกมือขึ้นป้อง แต่แล้วรู้สึก ได้ว่าเป็นแสงนวล ให้ความรู้สึกเย็น แสงสว่างค่อยๆ สาดส่องเป็นลำฉายลงมา ช่อเอื้องรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่อ่อนโยนของแสงทอง
ที่ตำหนักพ่อปู่ พ่อปู่ลืมตาโพลง โกรธจัด “อีฉิบหาย มึงมาสู่รู้อะไรกู...กูจะให้โหงพราย จัดการมึง!”
พ่อปู่ตวัดสายตาไปหยุดที่ดินปั้นสีดำ รูปทรง บิดเบี้ยว มีทองคำเปลวแปะ ดินปั้นสีดำเคลื่อนย้าย ตัวเองวูบ ไหลมาอยู่บนแท่นตรงหน้าพ่อปู่ พ่อปู่ ร่ายคาถาเรียกโหงพราย “กะกุกากา ห่าโหงจงมา กะกากุกู” หมอกดำปรากฏขึ้นเหนือก้อนดินปั้น
ที่ลานน้ำพุเทวี ณราอุ้มพริ้วลุกขึ้น พริ้วไม่ยอม “ไม่ ฉันไม่ไป หยกคุ้มครองอยู่นั่น หยกคุ้มครอง เราได้” ณราสีหน้าไม่พอใจ “ตอนนี้คุณหน้าซีดแค่ไหนรู้ตัวหรือเปล่าพริ้ว ไม่ได้ ผมจะไม่ยอมให้คุณเป็นอะไร เราต้องรีบออกไป จากที่นี่” ณราอุ้มพริ้วออกมา หยกคุ้มกันยังคงเรืองแสง สว่างวาบอยู่บนลานน้ำพุเทวี
ที่ทางออกจากลาน ณราอุ้มพริ้วมาเจอกับ หมอกดำพุ่งเข้ามาหา ณราซวนเซถอยหลังล้มลง พริ้วทับอยู่บนร่างณรา ไม่มีแรง “นี่มันอะไรกัน” พิ้วจ้องมองหมอกดำหน้าตื่น “ไสยดำ...ป๊าเคยบอกไว้ ที่นี่มีคนปล่อยคุณไสย ด้านมืดไว้” พริ้วพยายามยันตัวลุกขึ้น ณราเข้าไปประคองกอดไว้ “ไสยดำ...ไม่ใช่ของล้อเล่น ผมจะไม่ปล่อยให้ คุณเจอเรื่องแบบนี้” พลิ้วมองหน้าณรา “แล้วเราจะทำยังไงกันคะ” “หนี!” ณราประคองพริ้วให้ออกวิ่ง วิ่งไปทางซ้าย หมอกควันดำเป็นร่างคนพุ่งเข้ามาสกัด ณราหงายหลังไป พริ้วหันไปจ้องหมอกดำโหงพราย หมอกดำพุ่งขึ้นด้านบน ณรายันตัวลุกขึ้น “ไม่ต้องห่วงผม คุณเป็นอะไรหรือเปล่า คุณพริ้ว” พลิ้วส่ายหน้า “ไม่ค่ะ...ว้าย คุณณรา ระวัง” หมอกดำพุ่งลงมาแล้วเลี้ยวพุ่งเข้าใส่ณรา ณราร้องลั่น พริ้วมอง เห็นณราถูกหมอกดำเป็นร่างคนนั่งคร่อม ร่างหมอกดำประสานเป็นหอก จะพุ่ง ปักใส่กลางอกณรา พริ้วตกใจสุดขีดร้องเรียก “คุณณรา!” ณรารวบรวมแรงหมุนตัวหนี หมอกดำรูปคน พุ่งหายวับ ณรารีบบอกพริ้วให้หนี แล้วณราก็ประคองพลิ้วลุกขึ้นวิ่งออกไป
ที่หน้าประตู หมอกดำมวลใหญ่พุ่งเข้ามา พริ้วเห็นก็บอกให้ณราระวัง แล้วพริ้วก็เอาตัวเข้าบังร่างณรา พริ้วโดนหมอกดำอัดปะทะจนหงายหลัง ดวงตาของพริ้วเบิกโพลง พลันร่างพริ้วร่วงลงแน่นิ่งกับพื้น หมอกดำก่อมวลเหนือร่างพริ้วแล้ว ซึมเข้าสู่ร่างพริ้วทั้งร่าง พริ้วกระตุก เมื่อหมอกดำอยู่ในตัวทั้งหมด พริ้วเกร็งชักแล้วนิ่งไป ณราตกใจมาก ร้องเรียกพริ้ว พร้อมกับเขย่าตัว แต่พริ้วไม่ได้สติ ไม่ฟื้น ณรารีบอุ้มพริ้วออกไป
ขณะที่ช่อเอื้องก็ได้สัมผัสแสงสว่างอาบหน้า มีแสงแวบพรายลอยเป็นละออง ช่อเอื้องค่อยๆ ลืมตา
“ปลดปล่อย...มีคนมาปลดปล่อยเราแล้ว” ช่อเอื้องมองแสงสว่างเป็นลำจากด้านบน ช่อเอื้องเดินไปที่แสงสว่างลำแรก แสงสว่างลำที่สอง สาดมา ช่อเอื้องก้าวเข้าไป
ที่อุโมงค์ปลายทาง ช่อเอื้องยืนอยู่ที่ปากทางอุโมงค์ รอบกายมีแสงสว่างจ้า เงาของช่อเอื้อง ทอดยาวน่าขนลุก ช่อเอื้องยกแขนขึ้นสองข้าง ด้วยความดีใจและเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น ดีใจ และสะใจ
“เราเป็นอิสระแล้ว!”
ที่ตำหนักพ่อปู่ พ่อปู่เคร่งเครียด ลืมตาพรึ่บ! “อีผีชั่ว!”
ที่ห้องนอนแพรว แพรวหลับอยู่ เหงื่อกาฬไหล แพรวสะดุ้งตื่น กระเด้งตัวขึ้นมา ลืมตาโพลง “อีช่อ!”
ที่ร้านขายของเก่า ไทเดินผ่านกระจกเงา บานเก่า จู่ๆ กระจกก็เกิดรอยร้าว ไทหันขวับ ตกใจ “ช่อเอื้อง!”
ในกระจกร้าว เห็นเงาช่อเอื้องจ้องตาเขม็ง ทันใดนั้น กระจกก็ร่วงกราวลงพื้น แตกเพล้ง! ไทตกใจ ถอยหลังกรูด หลังชนฝา
ที่ลานน้ำพุเทวี กรณ์อยู่ที่ลานน้ำพุเทวี มองสภาพที่รกร้างแล้วดึงหญ้าดึงเถาวัลย์ออกจากน้ำพุ
“ผมจะสร้างโรงแรมที่นี่...ผมอยากให้คุณ มาเห็นนะช่อ” เสียงช่อเอื้องดังขึ้น “ช่อกลับมาแล้วค่ะ” กรณ์หันไปมอง ช่อเอื้องเดินเข้ามา “คุณกรณ์คะ ช่อคิดถึงคุณ” “ผมก็คิดถึงคุณ ช่อเอื้อง!” กรณ์เอื้อมมือออกไปจะจับมือช่อเอื้อง พลันคว้าได้เงาดำวูบ กรณ์ตกใจ
ที่ห้องนอนกรณ์ กรณ์ตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมา “ช่อเอื้อง!”
ที่ลานน้ำพุเทวี ช่อเอื้องในชุดนางละครยืนอยู่บนลานดินข้างน้ำพุเทวี ลมพัดกรู ใบไม้ปลิวมา ดอกไม้ปลิวมาตามลม ดารดาษบนพื้นเกลื่อนกลาดหน้าช่อเอื้อง “อ้ายอีตัวไหนที่บังอาจพรากร่างกู พรากรักจากกูมันต้องชดใช้ ชดใช้อย่างสาสม!” ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาที่เหนือหัวช่อเอื้อง ในแสงสว่างวาบของสายฟ้า เห็นใบหน้าช่อเอื้องนางละครขาวซีด ดวงตาสีแดงฉาดฉานคั่งแค้น

ตอนที่ 12 วันพุธ ที่ 12 มีนาคม 2557
แพรวร้อนใจที่ฝันเห็นช่อเอื้อง ก็รีบโทรหาพ่อปู่ ปรากฏว่าพ่อปู่มาปรากฏกายให้เห็นแล้วบอกว่าวิญญาณช่อเอื้องออกมาได้แล้ว อยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัยให้ไปที่ตำหนัก โดยพ่อปู่ได้ส่งบริวารดำมาคุ้มครองเพื่อพาแพรวไปที่ตำหนัก
แพรวหน้าตื่นโทรบอกไทเรื่องวิญญาณผีช่อเอื้อง บอกไทให้รีบมาที่ตำหนักพ่อปู่ถึงจะปลอดภัย แต่ไทกลับปฏิเสธแพรวบอกตนเองมีพระศักดิ์สิทธิ์องค์ใหญ่อยู่ใกล้ๆ แพรวไม่ต้องเป็นห่วง
กรณ์หลังจากฝันถึงช่อเอื้องก็นอนไม่หลับ ได้แต่คิดถึงช่อเอื้อง กรณ์บ่นแปลกใจที่ทำไมช่อเอื้องมาหาแต่ในความฝัน ด้านช่อเอื้องก็พยายามเรียกเสียงดังให้กรณ์ได้ยิน แต่กรณ์ไม่สามารถได้ยินและรับรู้ได้ “ช่ออยู่ตรงนี้ คุณได้ยินช่อไหมคะ ช่อกลับมาหาคุณแล้ว ช่อมาหาคุณแล้ว” “ผมคิดถึงคุณเหลือเกินช่อเอื้อง ผมอยากอยู่เคียงข้างคุณ” “คุณกรณ์” ช่อเอื้องโผกอดกรณ์จากด้านหลัง ซบหน้ากับหลังกรณ์ “คุณกรณ์ขา...ช่ออยู่ตรงนี้ คุณรู้สึกไหมคะ คุณสัมผัสความรักของช่อได้ไหม” กรณ์ไม่รู้สึกอะไรนอกจากเริ่มหนาวขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด กรณ์ขยับตัวกอดอก ไม่รู้สึกว่าช่อเอื้องมาหา ช่อเอื้องกอดกรณ์ไว้อย่างเจ็บปวด น้ำตาไหลพราก แต่กรณ์ก็ยังคงไม่รับรู้ ช่อเอื้องเสียใจมากจนกลายเป็นโกรธแค้น “คุณกรณ์ไม่เห็นช่อ คุณกรณ์ไม่รู้ว่าช่ออยู่ตรงนี้ ..ต้องเป็นเพราะอ้ายอีพวกนั้น อีแพรว ไอ้ไท...พวกมึงฆ่ากู...พวกมึงพรากกูจากคนรัก กูจะแก้แค้น” ช่อเอื้องซบหลังกรณ์ สายตาคั่งแค้น กรณ์กอดอกแน่นด้วยความหนาว
ที่ร้านขายของเก่า ไทวางดอกบัวที่หน้าฐานพระ ไหว้พระให้ช่วยคุ้มครอง พอจุดเทียนก็ดับพรึ่บ ลองอีกก็ดับอีก ไทตกใจและเริ่มได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของช่อเอื้อง ไทพยายามขออโหสิกรรมแต่ช่อเอื้องไม่สนใจ เธอต้องการชีวิตของไทเท่านั้น ไทพยายามจะเข้าหาพระ แต่ก็ถูกช่อเอื้องดึงออกมา หวังจะฆ่าหลายครั้งกว่าไทจะฮึดสู้เข้าใกล้พระแล้วพยายามจุดธูปจนติด ไทเริ่มหมดแรง มือคลาย ธูปที่จุดติดทั้ง 3 ดอกจะหล่นจากมือ ไทล้มลง แทบคลาน “ขอ...คุณ...พระ” ไทพยายามคลานไป ช่อเอื้องนั่งคร่อมอยู่บนหลัง บีบคอไท “ไอ้ไท มึงต้องตาย” ไทพยายามฝืนคลานทั้งที่ร่างกายมีช่อเอื้องคร่อมอยู่ ไทหน้าเขียวใกล้หมดลมหายใจ พยายามจะไปปักธูป “หลวงพ่อ” พระพุทธรูปแผ่รัศมีพุทธานุภาพสว่างจ้า ช่อเอื้องโดนลำแสงพุทธานุภาพ กระเด็นออกไปชนผนัง แสงสว่างจากรัศมีพระพุทธรูปแผ่ฉายมา ช่อเอื้องโดนพลัง เนื้อตัวเริ่มมีควันขึ้นเหมือนจะไหม้ ช่อเอื้องกรีดร้องอย่างเจ็บปวด “โอ๊ย ร้อน ร้อนเหลือเกิน” ไทได้ยินก็ตกใจ เป็นห่วงช่อเอื้อง “ช่อเอื้อง!” ช่อเอื้องหลบลำแสงไม่พ้น ร่างกายเริ่มไหม้เป็นแห่งๆ ช่อเอื้องหวีดร้องย้ำแค้น “กูจะฆ่ามึง!”
ช่อเอื้องจ้องไทด้วยสายตาแดงก่ำ เบิกโพลงเพราะความอาฆาตแค้น แล้วก็หายตัวไป ไทกอดฐานพระพุทธรูปแน่น ทั้งตกใจทั้งโล่งที่ไม่ตาย ทั้งกลัว ทั้งเป็นห่วงช่อเอื้อง
ไทรีบโทรเล่าให้แพรวฟัง แพรวบอกให้มาที่ตำหนัก แต่ไทกลัว แพรวเลยไปขอให้พ่อปู่ช่วย พ่อปู่หันไปพยักหน้าสั่งให้โหงพรายไปนำทางพาไทมาที่ตำหนัก
ระหว่างทางที่ไทจะเดินทางไปที่ตำหนักพ่อของปู่ ช่อเอื้องก็เข้าแอบมาดักเล่นงานไท แต่ช่อเอื้องถูกโหงพรายเข้าขวางแล้วโหงพรายยังหันมาเล่นงานช่อเอื้องอีก ไทมองช่อเอื้องอย่างเป็นห่วง ร้องบอกให้ช่อเอื้องหนีไป เพราะในใจไทยังคงรักช่อเอื้อง เขาไม่อยากเห็นเธอเจ็บมากไปกว่านี้ แต่ช่อเอื้องไม่สนใจบอกว่าว่าเธอเจ็บมามากแล้ว ไทอาศัยจังหวะที่โหงพรายเล่นงานช่อเอื้องวิ่งหนีออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ผ่านสัมภเวสี ไทวิ่งทะลุร่างสัมภเวสีซึ่งกรีดร้องไล่หลัง “ไอ้ฆาตกร...มึงหนีกูไม่พ้นหรอก” ไทผวา เหลียวมอง “ช่อเอื้อง!” ช่อเอื้องปรากฏตัวด้านหลังไท ไทรีบลนลานรีบวิ่งเข้าเขตตำหนักพ่อปู่ไป ช่อเอื้องจะตามเข้าไป พลันกำแพงหมอกดำก่อตัวขึ้น ผลักร่างช่อเอื้องกระเด็นออกจากเขตตำหนัก ช่อเอื้องเจ็บได้แต่กรีดร้อง
เสียงหัวเราะของพ่อปู่ดังขึ้น “ฮ่ะๆ มึงเข้ามาในเขตมนตร์ดำของกูไม่ได้หรอก อีผีชั่ว” พ่อปู่และแพรวเดินออกมาจากในตำหนัก มองไทที่เนื้อตัวเขียวช้ำ“พ่อปู่ แพรว...ขอบคุณที่ช่วยฉัน” แพรวมองหน้าไท “ไอ้ไท แกโดนอีช่อมันฟัดเอาขนาดนี้เชียวเหรอ ฮ่ะๆ เพิ่งนึกพิศวาสไอ้ไทหรือไงอีช่อ” ช่อเอื้องฟังแล้วสุดจะแค้น “สารเลว! อีเพื่อนทรยศ” ไทปรามแพรว “พอเถอะแพรว ฉันรอดมาได้ก็บุญแล้ว” ขณะที่ช่อเอื้องทั้งแค้นทั้งโกรธ ไม่ยอมหยุด “กูจะพรากชีวิตพวกมึงทั้งคู่” พ่อปู่ตวาด “อีผีชั่ว มึงอยากจะลองก็เข้ามา กูจะได้ขึงพืดวิญญาณมึงไว้ที่นี่” ช่อเอื้องตาแดงก่ำพุ่งร่างจะเข้าไป พ่อปู่หลับตาแล้วเสกคาถาเป่าพรวดทันที เกิดหมอกดำพุ่งเป็นสายจากปากพ่อปู่หลายสายพุ่งไปมัดตัวช่อเอื้องไว้ ช่อเอื้องเหมือนถูกจับกางแขนตรึงอยู่กับหลักที่มองไม่เห็น ข้อมือสองข้างถูกแส้หมอกดำมัดแน่น พ่อปู่กำมือแล้วเสกมนตร์ แบมือออก ในฝ่ามือมีตะปูดำตัวเขื่อง 1 ตัว ไทร้องห้าม “พ่อปู่ อย่าทำอะไรช่อเลย” แพรวหันด่า “ไอ้โง่ แกอยากตายรึไง หุบปาก!” พ่อปู่ไม่สนใจเขวี้ยงตะปูใส่ ช่อเอื้องกรีดร้องเสียงดังลั่น “กรี๊ดดดด”
ที่หน้าอกของช่อเอื้องถูกตะปูพุ่งเข้าใส่ เลือดช่อเอื้องสีดำไหลออกมา ช่องเอื้องจ้องหน้าทุกคนด้วยดวงตาเครียดแค้น “กูจะฆ่ามึง จำแค้นกูไว้ให้ดี กูจะกลับมาฆ่ามึง” ช่อเอื้องรีบสลายร่างหายไป พ่อปู่หัวเราะเยาะ แพรวแค้นใจที่พ่อปู่ไม่จัดการช่อเอื้องให้เด็ดขาด ไทหน้าเศร้าสงสารช่อเอื้องแต่ในใจแอบหวาดกลัวกับคำขู่ของช่อเอื้อง
ในห้องนอนกรณ์ กรณ์นอนหลับสนิท ร่างสะบักสะบอมของช่อเอื้องมากองที่พื้นข้างเตียง ช่อเอื้องเอื้อมมือไปจะจับกรณ์ แต่คว้าไม่ได้ วูบผ่านตัวของกรณ์ไป “คุณกรณ์ขา...ช่วยช่อด้วย ช่อเจ็บเหลือเกิน” ช่อเอื้องกุมอกที่มีตะปูตอกจนเลือดดำไหลเป็นทาง “พวกมันทำร้ายช่ออีกแล้ว คุณกรณ์...ช่วยช่อด้วย” กรณ์หลับสนิท ไม่รับรู้สิ่งที่ช่อเอื้องพูด ช่อเอื้องร้องไห้ซบข้างที่นอน กรณ์ยังคงหลับอยู่
ขณะที่พริ้วนอนอยู่บนโซฟา ณราเฝ้าอยู่ข้างๆ ดูท่าทางเป็นห่วงมาก ซินแสสังเกตณรา “ถ้าคุณพริ้วเป็นอะไรไป ผมจะทำยังไง” พริ้วเริ่มปรือตา ขยับตัวแล้วพูดขึ้น “ป๊า...หยกคุ้มครอง” ณราดีใจรีบเข้าไปใกล้ “คุณพริ้วฟื้นแล้ว” ซินแสเฟยถามอย่างเป็นห่วง “อาพริ้ว ลื้อเป็นยังไงบ้าง” “หยกคุ้มครอง!” พริ้วลูบบริเวณคอ ไม่มีหยกคุ้มครองแล้ว พริ้วมองซินแสอย่างรู้สึกผิด “ป๊า ฉันขอโทษ หยกคุ้มครองที่ป๊าให้ฉันไม่อยู่แล้ว...เพราะคุณณรา” ณรารีบช่วยพูด “เป็นความผิดของผมเองครับซินแส” พริ้วชำเลืองมองณราเป็นเชิงกล่าวโทษ ซินแสเฟยโบกมือ “อย่าโทษคุณณราเลยอาพริ้ว” พริ้วไม่ยอม “ก็เขาเป็นคนดึงหยกคุ้มครองออกจากตัวพริ้ว” ซินแสเฟยบอก “หยกร้อนขนาดนั้น แสดงว่ามีภัยใหญ่หลวง...คุณณราทำถูกแล้วที่ดึงออก ไม่งั้นลื้ออาจตายได้ เพราะฉะนั้นคุณณราก็ไม่ต้องรู้สึกผิด” ณราว่า “แต่พอไม่มีหยกคุ้มครอง คุณพริ้วก็เหมือนโดนพลังอะไรบางอย่างทำร้ายเหมือนกัน” ซินแสเฟยบอกเสียงเข้ม “อั๊วถึงห้ามไม่ให้อาพริ้วไปที่นั่นอีก” ณราพยักหน้า “งั้นต่อไปนี้ผมก็จะห้ามเหมือนกันครับ” พริ้วไม่พอใจ “นี่ คุณก็ห้ามไปที่นั้นเหมือนกันแหละ” ณราสงสัย “อ้าว ก็ผมไม่เป็นอะไร ทำไมต้องห้ามผมด้วย” ซินแสเฟยถอนใจก่อนจะพูดขึ้น “อั๊วขอเตือนนะคุณณรา อย่าสร้างโรงแรมที่นั่น ที่ดินผืนนั้นเป็นที่ต้องคำสาป อัปมงคล” ณราอึ้งไป พริ้วมองณรา รู้ว่าณรายังดื้ออยากจะสร้างโรงแรมแน่นอน
ณรากลับมาที่รถ สีหน้ากังวล พริ้วเดินตามมาเรียก เธอเป็นห่วงแต่พยายามจะไม่แสดงออก ณราหันไปเห็นพริ้วก็ดุ “คุณยังไม่หายดี ออกมาตากน้ำค้างทำไม เดี๋ยวก็ไม่สบายเข้าไปอีก” พลิ้วทำท่าทางแข็งแรงโชว์ “ฉันแข็งแรงน่า น้ำค้างแค่นี้จิ๊บๆ” “คุณพริ้ว คุณไม่รู้หรือว่าผมเป็นห่วง” ณราถามตรงๆ จริงใจ พริ้วหน้าแดง แต่เสไปเรื่องอื่น “คุณณราคะ...คุณควรจะเชื่อป๊า อย่าสร้างโรงแรมที่นั่น ที่ดินผืนนั้นมีพลังมืด ใครไปยุ่งอาจมีอันเป็นไป...ป๊า..เป็นห่วงคุณนะ” ณราอมยิ้มทันที “ป๊าหรือคุณกันแน่ ที่เป็นห่วงผม” พริ้วตอบเขินๆ “ไม่รู้ล่ะ เอาเป็นว่าคิดให้ดี อย่าสร้างเลย เดี๋ยวคุณเป็นอะไรขึ้นมา ฉันแบกคุณไปส่งบ้านไม่ไหวนะ” ณราจับมือพลิ้ว “ขอบคุณนะครับคุณพริ้ว”
พลิ้วหน้าแดง ค่อยๆดึงมือตัวเองออกมาเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโบกมือไล่ให้ณรารีบกลับไป “ป๊าสั่งให้ฉันมากำชับคุณหรอกน่ะ คุณกลับบ้านได้แล้ว...ขับรถดีๆ ล่ะ” พริ้วหันหลังรีบเดินกลับเข้าไปในบ้านทันที ณรามองตามยิ้มๆ รู้ว่าพริ้วปากแข็ง
ซินแสเฟยต้องการให้พริ้วลาออก แต่เธอจะไม่ยอมอ้างว่างานหายาก ซินแสส่ายหัว ถอนหายใจ
“ไม่มีอะไรฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้จริงๆ” พลิ้วงง “ป๊าหมายความว่ายังไง” ซินแสเฟยบอก “จำที่อั๊วเตือนลื้อได้ไหม ผู้ชายคนนี้จะนำทั้งความรักและความตายมาถึงลื้อ” พริ้วย้อนความจำ ก่อนจะจำได้แล้วนิ่งอึ้งไป ซินแสเฟยพูดต่อ “เวลานั้นมาถึงแล้ว ชะตาฟ้าขีดมาแล้ว” พลิ้วส่ายหัวพยายามสลัดความคิดตัวเองออก “เป็นไปไม่ได้หรอกป๊า ทั้งเรื่องรักเรื่องตาย ไม่มีทาง...ชีวิตคนเราพลิกผันกันได้น่ะป๊า” พริ้วไม่อยากเชื่อเพราะยังอยากทำงานใกล้ชิดกับณรา ซินแสเฟยมองลูกสาวแล้วได้แต่ถอนหายใจ
หน้าตำหนักพ่อปู่ หมอกดำลอยอวลเป็นกำแพงสูงล้อมรอบตำหนักพ่อปู่ วิญญาณเร่ร่อนจะผ่านเข้าไป โดนหมอกดำตัวไหม้ กรีดร้องหนีไป บางตัวถูกหมอกดำไหม้จนวิญญาณสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
ที่ในตำหนัก ไทเหลียวหน้าเหลียวหลังนึกเสียว เพราะได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน พ่อปู่บอก “หมอกดำของกูสกัดกั้นได้ทุกอย่าง ถ้าวิญญาณตัวไหนเหิมเกริมบุกรุก สมุนข้าจะฉีกทึ้งวิญญาณมันจนสลาย ไม่ได้ผุดได้เกิด” แพรวว่า “ถ้าผีอีช่อกลับมาอีก มีหวังตายคำรบสอง” ไทพยายามกล่อม “เอาแค่ป้องกันก็พอมั้งแพรว อย่าถึงกับทำร้ายช่อเลย” แพรวจ้องหน้าไทไม่พอใจ “จะถูกมันฆ่าตายอยู่แล้วยังจะมาห่วงอะไรอีช่อมันอีก หา ไอ้โง่” ไทหน้าเสีย “ฉันไม่ได้อยากจองเวรกับช่อ” แพรวตวาด “แล้วอีช่อมันเลิกราหรือเปล่าล่ะ มันจ้องแต่จะฆ่าเรา ฉันไม่ยอมให้มันฆ่าฉันง่ายๆ หรอก” พ่อปู่ทนไม่ไหวขัด “อีเลือดชั่ว ไอ้หน้าโง่! พวกมึงเถียงกันให้ตาย อีช่อก็ยังจะฆ่ามึงให้ได้” แพรวได้สติรีบถาม “แล้วพ่อปู่มีของป้องกันตัวให้ฉันไหมล่ะ เอาให้อีช่อสิ้นฤทธิ์ให้ได้นะ” “แพรว!” ไทอึ้ง พ่อปู่ดุ “หยุด! กูจะเป่ามนตร์เกราะกำบังให้พวกมึง จะได้ป้องกันพวกมึงจากอีผีชั่ว” แพรวว่า “แค่ป้องกันตัวเหรอพ่อปู่ แล้วจะทำยังไงกับผีอีช่อ จะปล่อยให้มันอาละวาดอย่างนี้น่ะเหรอ” พ่อปู่ตวาด “นั่นเรื่องของกู กูจัดการเอง ให้ถึงคืนเดือนดับ อิทธิฤทธิ์พลังกูแก่กล้า กูจะฆ่าวิญญาณอีผีชั่วไม่ให้ผุดให้เกิดอีก” ไทรีบพูด “อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยครับพ่อปู่” แพรวกระทุ้งศอกใส่ไท ตวัดสายตาด่า แพรวหันพูดกับพ่อปู่ต่อ “กว่าจะถึงคืนเดือนดับอีกหลายวัน แล้วระหว่างนั้นล่ะพ่อปู่” “อีเลือดชั่ว กูบอกอยู่หยกๆ ว่าจะให้มนตร์คุ้มกะลาหัวพวกมึงไปก่อน หรือจะไม่เอา” แพรวกับไทเงียบลงได้ ไทพยักหน้ารับจะเข้าพิธีเป่ามนตร์ แพรวยังดูกังวล ไม่ค่อยมั่นใจ
อีกมุมหนึ่ง ไทดึงตัวแพรวมาคุย บอกให้ทำพิธีขอขมา ช่อเอื้องจะได้หายโกรธ แล้วทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ แต่แพรวกลับบอกว่า “ฉันเกลียดมัน ฉันเกลียดอีช่อ ฉันไม่มีกุศลผลบุญจะยกให้มัน” ไทพยายามพูด “แต่ยังไงเราก็ควรขอโทษช่อนะแพรว” แพรวไม่พอใจ “ไอ้โง่ ตอนฆ่าอีช่อทำไมไม่ขอโทษมันก่อนล่ะ หา...ถ้าแกอยากขอขมามัน เชิญทำไปคนเดียว ฉันไม่ทำ” “การขอขมาช่ออาจจะเป็นวิธีที่ทำให้ช่อไปอย่างสงบ แล้วเราก็จะได้อยู่อย่างสงบนะแพรว” “วิธีเดียวที่จะทำให้ฉันอยู่อย่างสงบ คือกำจัดวิญญาณอีช่อให้สิ้นซาก” แพรวย้ำเสียงเข้ม เด็ดขาด ไทมองแพรวแล้วรู้สึกกังวล

ตอนที่ 13 วันจันทร์ ที่ 17 มีนาคม 2557
พ่อปู่ท่องคาถาแล้วเป่าเกราะจำบังมาร ป้องกันผีให้แพรวกับไท แล้วไล่ทั้งสองกลับไป แพรวจะขึ้นรถ ไทดึงแขนไว้ด้วยความกังวลให้แพรวสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายช่อเอื้อง แพรวเหลืออด ตบหน้าไทฉาด! “เพื่อนกันไม่ฆ่ากันหรอก! แกฆ่าอีช่อ จำไม่ได้เหรอไอ้ไท” ไทสวนกลับ “แต่แกก็ช่วยฉันอำพรางศพช่อ แล้วตอนนี้ยังคิดร้ายกับช่ออีก ทั้งๆ ที่ช่อก็ตายไปแล้ว” แพรวตบหน้าไทอีกครั้ง ไทตะลึง สีหน้าแพรวดูน่ากลัวมาก เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น “อีช่อมันขวางทางรักของฉัน ฉันไม่เคยเป็นเพื่อนมัน...ตายเป็นผีมันก็ยังตามฆ่าเรา...ถ้าแกยังจะคิดเมตตาผีอีช่อ อีนังผีชั่วที่คิดจะฆ่าแกก็ช่างหัวแก เราตัดเพื่อนกันไปเลย เพราะฉันเกลียดมัน เข้าใจไหม!” แพรวตวาดลั่นก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที ไทได้แต่มองตามอึ้ง
ระหว่างทางกลับ ช่อเอื้องพยายามจะเข้าถึงตัวไท แต่ช่อเอื้องก็ทำอะไรไทไม่ได้เพราะไทมีเกราะบังมารที่พ่อปู่ให้มาคุ้มกันอยู่ แถมไทก็ยังมองไม่เห็นเธอด้วย แต่ไทเหมือนจะรับรู้ว่าช่อเอื้องอยู่ใกล้ๆ ก็พยายามพูด ขออโหสิกรรม ช่อเอื้องไม่ฟังได้จ้องไทอย่างอาฆาตแค้น
เช้าวันใหม่ ที่หน้าโรงแรมเดอะวารี ณราลงจากรถกำลังจะเดินเข้าไปในโรงแรม แต่แล้วเห็นซินแสเฟยยืนอยู่มุมหนึ่ง ซินแสเฟยเดินเข้ามาหาแล้วยืนผ้ายันต์มงคลคุ้มครองชีวิตส่งให้ เพราะซินแสเฟยรู้ว่าทั้งณราและพริ้วดื้อพอกัน
ณรานำผ้ายันต์ไปให้พริ้วดู พลางพูดแซวว่า ซินแสเฟยบอกว่าพริ้วดื้อมาก บอกให้เลิกยุ่งกับเขา ก็ไม่เชื่อ ณราพูดต่อว่าเพราะพริ้วอยากใกล้ชิดเขา ใช่ไหม ณราอมยิ้ม พริ้วหน้าแดง เมินหน้า หลบตาก่อนจะเถียงกลับ “อะไร ไม่ใช่ซะหน่อย ป๊าบอกว่าถ้าฉันยังยุ่งกับ คุณ...เอ๊ย ยุ่งกับที่ดินนั่น อาจจะทำให้ชีวิตฉันได้รับ อันตราย” ณราจ้องหน้าพลิ้ว “แต่คุณไม่เชื่อ เพราะคุณห่วงผม” พลิ้วเฉไฉ “ฉันห่วงงานต่างหาก ขอบอก” ณราพยักหน้ายิ้ม “ก็ได้ คุณห่วงงาน..แต่ งานนี้ก็มีผมอยู่ด้ วยล่ะน่า” พลิ้วว่า “แต่คุณก็ไม่เชื่อที่ป๊า
บอกเหมือนกัน คุณยังดื้อจะทำโรงแรมให้ได้ใช่ไหม” ณราพูดขึ้น “บอกตรงๆ นะ เรื่องอาถรรพ์ เรื่องวิญญาณ ที่สิงสถิตอยู่อะไรนั่น ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่การที่ ผมรับยันต์คุ้มครองจากพ่อคุณ ก็เพราะอยากให้ พ่อคุณสบายใจ” พริ้วค้อน “งั้นก็ตามใจ” ณราได้ที กระเซ้านิดๆ “ตามใจว่าที่พ่อตา...โอเคไหม”
พลิ้วกระทุ้งศอกใส่ ณราเบี่ยงตัวหลบออกไป ทำเป็นห่างไปที่เครื่องถ่ายเอกสาร พริ้วหน้าแดง ณรามองตาม อมยิ้ม ณราก้มมองยันต์ที่รับมา แล้วก็ไม่ได้เชื่ออะไร เขาพับๆ แล้วเหน็บใส่กระเป๋าเสื้อ เหมือนเป็นผ้าธรรมดาผืนหนึ่ง
กรณ์นัดเจอแพรว เล่าถึงที่เขาฝันถึงช่อเอื้อง ซึ่งวิญญาณของช่อเอื้องก็อยู่แถวนั้นด้วย แต่เข้าไปใกล้ไม่ได้เพราะแพรวมีเกราะคุ้ม แพรวแสร้งทำดีว่าจะติดต่อช่อเอื้องให้ แต่เธอคงมีลูกสามีไปแล้ว ช่อเอื้องได้ยินแพรวพูดก็ยิ่งแค้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ไทไปพบปู่มั่นที่วัด เล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าทำให้หญิงคนรักเสียใจ พอเธอตายไปกลัวเขาผูกใจเจ็บ
ปู่มั่นแนะนำว่าให้ไทบวชอุทิศให้เธอ ไทฟังแล้วอึ้ง เริ่มคิดหนักเรื่องบวช
แพรวขอตัวจากกรณ์ไปโทรหาไท ขณะที่กรณ์นั่งอยู่คนเดียว ช่อเอื้องพยายามพูดกับเขาให้ช่วยเธอด้วย แต่กรณ์ไม่รับรู้ พริ้วเข้ามาเห็นก็ทักว่ากรณ์นั่งอยู่กับใคร ช่อเอื้องรีบแสดงตัวให้พลิ้วเห็น เธอพุ่งเข้าใส่ ทำให้พริ้วเป็นลมหมดสติ กรณ์รีบพาพริ้วส่งโรงพยาบาลและโทรตามณราให้มา
แพรวโทรคุยกับไท ซึ่งไทเล่าเรื่องที่พระแนะนำให้บวช แพรวบอกว่าแล้วแต่เขา แต่ตัวเธอต้องการ กำจัดช่อเอื้อง
ที่โรงพยาบาล ในห้องพักคนไข้ กรณ์กอดอกมองณราที่เฝ้าพริ้วอยู่ข้างเตียงคนไข้ ณราลูบหัวพริ้ว อย่างเป็นห่วง กรณ์แอบยิ้ม “คุณพริ้ว ฟื้นเสียที คุณอย่าเป็นอะไรไปนะ” พริ้วค่อยๆลืมตา ฟื้นขึ้น งง ๆ“โรงพยาบาล? ฉันมาทำอะไรที่นี่...คุณณรา คุณกรณ์” ณราถาม “ฟื้นแล้วคุณปลอดภัยแล้วค่อยยังชั่วแล้วใช่ไหมครับคุณพริ้ว” พลิ้วยิ่งงง “ค่อยยังชั่ว? ปลอดภัย? ฉันไม่ได้เป็นอะไร ทำไมฉันต้องมานอนที่นี่ ไม่เอาอ่ะ ฉันจะกลับบ้าน” กรณ์รีบบอก “ใจเย็นๆ ครับคุณพริ้ว คุณอาจจะไม่สบายมาก เดินมาทักผมไม่กี่คำแล้วก็วูบไปเลย ผมว่านอนให้หมอตรวจดีกว่า” พลิ้วว่า “แต่ฉันไม่ได้ป่วยนะคะ ฉันสบายดี” ณราไม่เชื่อ “สบาย? แล้ววูบสลบน่ะเหรอ” พลิ้วบอกย้ำ “จริงๆ นะคะ ฉันสบายดี แต่ตอนนั้น มันแปลกๆ เหมือนมีพลังงานบางอย่างกระแทก เข้าใส่” กรณ์นึก “พลังงาน? แต่ตอนนั้นคุณบอกผมว่าช่วยด้วย คุณจะให้ผมช่วยอะไรครับ” พลิ้วส่ายหน้า “เปล่านะคะ ฉันไม่ได้พูด ฉันทักคุณว่า มาดื่มกาแฟกับใคร แค่นั้นเอง”
กรณ์มองณรา รู้สึกว่าพริ้วแปลกๆ ณรางง พริ้วก็งง ณรากับกรณ์เดินออกมานอกห้อง ณรามองผ่าน กระจกด้านใน เห็นพริ้วหลับไปแล้ว “ผมคงต้องขอให้หมอตรวจคุณพริ้วให้ละเอียด พักหลังมานี่คุณพริ้วเป็นลมบ่อยมาก” กรณ์ว่า “แต่เธอก็ดูแข็งแรงนะครับ” “ภายนอกน่ะครับ แต่คุณพริ้วอาจจะป่วย หนักกว่าที่เราคิดก็ได้” กรณ์ยังมีสีหน้าครุ่นคิด สงสัย ณราสังเกตเห็น “คุณกรณ์ติดใจอะไรหรือครับ” “ก็ตอนที่คุณพริ้วคุยกับผม เธอพูดเสียงเศร้าว่า ช่วยด้วย...เธออาจจะมีเรื่องอะไรให้ผมช่วยจริงๆ” ณรายิ้มขัน “คุณพริ้วคงจะบอกว่า ให้ช่วยเพราะจะเป็นลมแล้ว...แบบนี้มั้งครับ ไม่น่ามีอะไร มากกว่านั้น” ณราไม่ติดใจสงสัย คิดแต่ว่าพริ้วป่วย ผิดกลับกรณ์ที่ยังคงติดใจว่าอาจจะมีอะไร แต่ก็พยักหน้ารับๆให้ณราสบายใจไป
แพรวไปฟ้องพ่อปู่ว่าไทจะบวช พ่อปู่บอกว่ารู้แล้ว แถมบอกกลับว่าไทคงไม่ได้บวช แพรวรีบถาม “พ่อปู่จะทำอะไร หรือจะฆ่ามัน” พ่อปู่ตวาด “อีเลือดชั่ว คนอย่างเพื่อนมึง กูไม่ฆ่าให้เสียมือหรอก แค่ป่วนพิธีบวชให้ฉิบหายก็พอแล้ว” แพรวถามต่อ “แล้วผีอีช่อล่ะพ่อปู่ พ่อปู่ต้องหาทางกำจัดมัน ให้สิ้นซากเสียทีนะ” พ่อปู่ว่า “กูรู้ ไม่ต้องมาสั่งกู ถ้าผีอีช่อไม่ได้รับบุญ มันก็ไม่มีฤทธิ์มาสู้กูได้” แพรวยิ้มย่อง พ่อปู่ตวาดตากำราบความลำพอง ของแพรว “มึงก็อย่าลำพองใจไป ระหว่างนี้อย่าให้อีช่อมันได้บุญ ไม่ว่าจากใครก็ตามที่จะอุทิศให้มัน เพราะถ้า ผีอีช่อได้รับบุญจากผู้มีใจกุศลที่จะส่งให้มัน อีผีนรกตัวนั้นมันจะยิ่งมีฤทธิ์แรงกว่าเดิม” แพรวพยักหน้ารับ อย่างหมายมาด
บ่ายวันนั้น พริ้วตื่นขึ้นอีกครั้งก็ขอกลับบ้าน บอกว่าเธอสบายดี ณรามาส่งพลางบ่นว่าเธอยัง ไม่หายดี พริ้วว่า “เอ๊ะ ก็ฉันบอกว่าฉันสบายดี แต่อาการพวกนั้น มันแปลกๆ” ณรายิ้ม “คุณเริ่มเถียงแล้ว นี่มันอาการข้างเคียง หลังจากเป็นลมหรือเปล่าเนี่ย” พริ้วฉุน “นี่คุณ พูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ ฉันบอกว่า ฉันปกติดี แต่ที่มีอาการแปลกๆ เพราะมีอะไร บางอย่างมาโดนฉัน...ถ้าคุณไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ ฉันไม่สนคุณแล้ว”
พริ้วเปิดประตูลงจากรถไป แล้วปิดโครม เดินฉับๆ เข้าบ้านด้วยความโมโห ณรารีบตาม แต่พริ้วเดินย้อนกลับมาล็อกกลอนประตูไม่ให้ณราเข้าไปในบ้าน ณราเข้าบ้านพริ้วไม่ได้ ต้องเดินกลับไปขึ้นรถอย่างเซ็งๆ
ซินแสเฟยเงยหน้ามองพริ้วและมองนาฬิกาเห็นว่ากลับบ้านผิดเวลา แถมพริ้วหน้าหงิกก็เอ่ยถาม พลิ้วเล่าให้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองให้พ่อฟัง ซินแสเฟยตกใจวาบ! เคร่งเครียด คิดไม่ตก พริ้วงง “อะไรกันป๊า ป๊ารู้เหรอว่าพลังที่พุ่งเข้าใส่ฉัน มันคืออะไร” ซินแสเฟยว่า “อั๊วก็พอจะรู้ แต่ถ้าจะให้แน่ ต้องรอให้มืด คืนนี้เวลาที่เดือนเคลื่อนตรงหัว” พริ้วหน้าตื่น “กลางคืน? หมายความฉันเจอกับ...บื๊ออออ” ซินแสเฟยบอก“แล้วลื้อคิดว่าลื้อเจอกับอะไรอยู่ หา! คืนนี้ อั๊วจะทำพิธีเรียกพลังลึกลับนั่นมาให้เห็นจะๆ รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” พริ้วพยักหน้าตกลง“ไม่รบหรอกป๊า แค่รู้ว่าพลังนั่นเป็นอะไร แล้วเราต้องทำยังไงต่อไปก็โอเค” ซินแสเฟยถอนหายใจด้วยความหนักใจ
โรงแรมเดอะวารี ที่ห้องทำงานกรณ์ ณราเดินเข้ามาคุยเรื่องงานว่าอยากสรุปแบบให้สถาปนิก จะได้เริ่มสร้างโรงแรม ช่อเอื้องพยายามจะคุยกับกรณ์ให้ได้ว่าเธออยู่ที่นี่ แต่ณรามียันต์มงคลสูตร ทำให้ช่อเอื้องไม่สามารถเข้าใกล้ตัวกรณ์ได้ ช่อเอื้องร้องไห้เสียใจ พลันนึกไปนึกมาถึงพริ้วที่เป็นสื่อให้เธอได้ ช่อเอื้องรีบหายร่างวับไปทันที
ที่หน้าบ้านพริ้ว ช่อเอื้องปรากฏร่าง มองไปในบ้านพริ้ว ภายในมีแสงนวลสว่างตาสาดส่องออกมา ช่อเอื้องก้าวเท้าเข้าไปจะผ่านประตูบ้าน พลันแสงแปลบปลาบสีเงินยวงสว่างปรากฏขึ้นรอบประตูบ้าน ช่อเอื้องถอยหลังออกมา “ยันต์กรอบมงคล! ขอฉันเข้าไปเถิด” ช่อเอื้องกัดฟันรวมพลัง จะผ่านประตู พลันแสงเงินยวงสว่างวาบขึ้นอีก “โอ๊ย!”
พริ้วนั่งอ่านหนังสืออยู่ ได้ยินเสียงช่อเอื้อง รีบลุกไปที่หน้าต่าง มองออกไป พริ้วตกใจที่เห็นช่อเอื้องแวบหนึ่ง พริ้ววิ่งไปบอกซินแสเฟย ซินแสพยักหน้า หันไปเตรียมอุปกรณ์ กระจกแปดทิศ กระดิ่งทองเหลือง
ที่ตำหนักพ่อปู่ พ่อปู่ลืมตาขึ้น เกรี้ยวกราด คิดว่าซินแสเฟยลองดีกับเขา
ซินแสเฟยและพริ้วมาถึงที่ดิน พริ้วจะเดินเข้าไป ซินแสเฟยห้ามไว้ ก่อนจะจุดธูปแล้วปักที่หน้าที่ดิน
“ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ธรรมเนียมเขามีไว้ ไปมาลาไหว้ให้รู้กาละ” พริ้วผงกหัวเล็กน้อย ไม่รู้ให้ใครแต่ก็ผงกตามซินแสเฟยก่อนจะเดินเข้าไปในที่ดิน แสงขาวเปิดช่องเป็นทางให้ซินแสเฟยกับพริ้วเดินเข้าไป มุมหนึ่งเหมือนมีร่างขาวๆ ของผีเจ้าที่มองอยู่
ซินแสเฟยกับพริ้วยืนอยู่กลางที่ดิน ใกล้ลานน้ำพุเทวี ซินแสเฟยตั้งพิธี โรยผงสีขาวเป็นรูปหยินหยาง พริ้วจุดเทียนปักรอบ ซินแสเฟยและพริ้วอยู่คนละฝั่ง “พร้อมนะอาพริ้ว” พลิ้วพยักหน้ารับ “จ้ะ เริ่มเชิญวิญญาณได้เลยป๊า” ซินแสเฟยสั่นกระดิ่งทองเหลือง
ด้านพ่อปู่ที่ตำหนัก ก็พึมพำคาถา หมอกดำที่ล้อมตัวพ่อปู่เริ่มทวีพลังหนาขึ้น “จง นะ สิ เก...หมอกดำกาลี จงชี้ชะตาพวกมัน” หมอกดำพุ่งหมุนวนแล้วพุ่งออกจากตำหนัก
ท่ามกลางความมืด ช่อเอื้องได้ยินเสียงกระดิ่งทองเหลือง “กระดิ่งเชิญวิญญาณ...ใครเรียกฉัน ใคร!” ช่อเอื้องเสียงเข้มด้วยความไม่ไว้ใจ เก๊ง! กระดิ่งดังอีกครั้ง มีสายสีขาวเป็นเส้นเลื้อยอ้อยสร้อยออกมาจากหลายมุม ช่อเอื้องเห็น พยายามจะวิ่งหลบ วิ่งไปทางหนึ่งก็พบสายหมอกสีขาว หนีไปอีกทางก็เจอสายหมอกสีขาว “อย่าทำร้ายฉัน ฉันไม่ไป...แกเป็นใคร แกจะทำร้ายฉันใช่ไหม ฉันไม่ไป” ช่อเอื้องหนีไม่พ้น เสียงกระดิ่งดังระรัว สายหมอกสีขาวรัดร่างช่อเอื้องราวกับเป็นเชือกล่าม ช่อเอื้องพยายามดิ้นรนขัดขืน
ซินแสเฟยสั่นกระดิ่งรัวๆ พลางร้องบอก “มาเถิด อั๊วมาดี อั๊วไม่ได้มาทำร้าย อั๊วขอเชิญวิญญาณท่านมาสนทนาให้คลายความร้อนใจ เชิญ”
ช่อเอื้องนิ่งลง เส้นหมอกขาวคลี่คลายออกแล้วกลายเป็นเส้นสองเส้นราวกับเส้นทางเดินให้ช่อเอื้อง เธอตัดสินใจ
พริ้วเห็นเส้นหมอกขาวค่อยๆ คืบคลานมา ช่อเอื้องปรากฏตัวขึ้น พริ้วตะลึง สะกิดซินแสเฟยบอกว่ามาแล้ว เส้นหมอกขาวทอดมาใกล้วงหยินหยาง ช่อเอื้องจะเดินก้าวมาอีกก้าว
ที่กลางอากาศ หมอกดำม้วนตัวพุ่งเข้ามา แล้วแปลงร่างเป็นธนูไฟพุ่งเข้าใส่ช่อเอื้อง พริ้วและซินแสเฟยตกใจ ช่อเอื้องมีธนูไฟปักอก ใบหน้าขาวซีด ตาแดงกำ ช่อเอื้องจับธนูไฟกระชากออก “พวกมึงทำร้ายกู!” พริ้วมองเห็นก็ตกใจ “ป๊า...เกิดอะไรขึ้น” ช่อเอื้องขว้างธนูไฟทิ้ง ที่อกช่อเอื้องมีหมอกดำพุ่งออกมา แล้วพุ่งปักเข้าตัวช่อเอื้องอีก ช่อเอี้องกรีดร้อง ซินแสเฟยว่า “หมอกดำ...นี่มันมนตร์มารชัดๆ” พลิ้วร้องถามด้วยความเป็นห่วง “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” ช่อเอื้องสะบัดหน้าจ้องพริ้ว ตาแดงก่ำ พลันหายตัวไป
ช่อเอื้องพุ่งใส่ร่างพริ้ว พริ้วกระตุก ตาแดงก่ำ จ้องหน้าซินแสเฟย พริ้วพูดเป็นเสียงช่อเอื้อง “มึงหลอกกู มึงทำร้ายกู” ซินแสเฟยบอก “อาพริ้ว! ตั้งสติให้ได้ ได้ยินเสียงป๊าไหม อาพริ้ว อย่าจิตหลุด” ซินแสเขย่าตัวพริ้ว ช่อเอื้องในร่างพริ้วบีบคอซินแสเฟย “กูจะฆ่ามึง!” ซินแสเฟยดิ้น “อ๊ากกก! อั๊วไม่ได้ทำร้ายลื้อ ปล่อยมือ แล้วคุยกันดีๆ อ๊ากก” ทันใดนั้น หมอกดำม้วนตัวลงมาเป็นก้อนมหึมา แล้วแยกออกเป็นเสี่ยงๆ พุ่งใส่ร่างพริ้ว ช่อเอื้องร้องลั่น “มึงทำร้ายกู มึงทำร้ายกู กรี๊ดดดดด” ร่างพริ้วสั่นพั่บๆ มือลดลงจากคอซินแส
ช่อเอื้องถลาออกจากร่างพริ้ว มองที่ซินแสเฟยและพริ้วอย่างอาฆาต ก่อนร่างจะสลายไป พริ้วสลบล้มลงอยู่กลางยันต์หยินหยาง “อาพริ้ว! แย่แล้ว วิญญาณตนนั้นเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว” ซินแสเฟยรีบพรมน้ำมนต์ใส่หน้าพริ้ว มีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอาฆาตของช่อเอื้องเป็นระยะ ซินแสเฟยเงยหน้ามองฟ้ามืด เห็นหมอกดำม้วนเป็นลำพุ่งกลับไปทางหนึ่ง
ที่ตำหนักพ่อปู่ พ่อปู่มองหมอกดำพุ่งกลับเข้ามาแล้วพุ่งลงอ่างทองแดง พ่อปู่หัวเราะสะใจ
ช่อเอื้องร่างกายแหลกเละเป็นวิ่นๆ มีรอยเลือดสีดำกระจายทั่วไป ใบหน้าขาวซีด นัยน์ตาแดงก่ำ
“ไอ้อีหน้าไหนทำร้ายกู กูจะอาฆาตจองเวรไม่มีสิ้นสุด!” ช่อเอื้องแววตากราดเกรี้ยวเต็มไปด้วยความแค้น

ตอนที่ 14 วันอังคาร ที่ 18 มีนาคม 2557
ซินแสเฟยพาพริ้วกลับเข้ามาที่บ้าน พอพริ้วฟื้นก็รีบถามพ่อว่าเกิดอะไรขึ้น ซินแสเฟยบอกมีคนส่งพลังมืดมาทำลายพิธี ทำให้วิญญาณตนนั้นเข้าใจผิด พริ้ววตกใจมองซินแสเฟยอย่างเป็นห่วง “ป๊า ฉันทำให้ป๊าต้องเดือดร้อน นี่ป๊าเจ็บตัวตรงไหนหรือเปล่า ” ซินแสเฟยส่ายหน้า “อั๊วไม่เป็นอะไร ส่วนเรื่องวิญญาณตนนั้น ในเมื่อเราไม่ได้คิดร้ายกับเขา สักวันเขาจะรู้ ตอนนี้เราก็ได้แค่ป้องกันตัวเองไม่ให้วิญญาณนั่นเข้าถึงตัวได้” พริ้วถอนใจ “แต่ฉันถูกวิญญาณผู้หญิงคนนั้นสิงเข้าร่างนะป๊า ทำไมล่ะ ทำไมฉันถึงเชื่อมโยงกับวิญญาณตนนั้นได้” ซินแสเฟยครุ่นคิด “อั๊วก็ไม่แน่ใจ แต่คนกับผีจะสื่อถึงกันได้ก็อาจจะเป็นเพราะคนคนนั้นกับวิญญาณตนนั้นเกิดในชะตาราศีเดียวกัน” พริ้วหน้าตื่น “ป๊าจะบอกว่า ฉันกับวิญญาณผู้หญิงคนนั้นอาจจะมีชะตาเดียวกัน” ซินแสเฟยว่า “ใช่ ลื้อกับวิญญาณนั่น มีลัคนากุมเรือนเดียวกัน ดวงชะตาเป็นตัวตายตัวแทน” พริ้วนิ่งอึ้ง หน้าเจื่อน ซินแสเฟยลูบหัวลูกเป็นเชิงปลอบโยน ให้กำลังใจ
ด้านไทก็ตั้งใจจะบวชให้ช่อเอื้อง หลวงปู่มั่นสอนไทว่าการบวชต้องสละหลายอย่าง ไทได้ฟังก็ชักลังเล หลวงปู่มั่นเลยบอกให้ลองถือศีลดูก่อน
พ่อปู่เล่าให้แพรวฟัง แพรวสะใจมาก พลางถามเรื่องที่ไทจะบวช พ่อปู่บอกว่าคงไม่สำเร็จ เพราะดวงไทถึงฆาต แพรวตกใจ พ่อปู่บอกแพรวให้รีบไปพาตัวไทมาหาจะช่วยรั้งความตายให้
แพรวไปบอกไท ตอนแรกไทตกใจแต่ก็คิดว่าเขากำลังจะบวชให้ช่อเอื้อง น่าจะดีขึ้น จึงไม่ยอมกลับไปกับแพรว
ที่ห้องทำงาน ณรามองแบบแปลนโรงแรมใหม่ที่กำลังจะปรับปรุงจากโรงละคร พริ้วมองณรา ก่อนจะตัดสินใจเรียก ณราหันมาตอบแบบกวนๆ “ครับ คุณพริ้ว มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ” พริ้วเบ้ปาก เพราะรู้ตัวว่าโดนแกล้งกระเซ้า “ที่ฉันจะพูดนี่จริงจังนะคะ และเป็นสิ่งที่คุณควรทำด้วย” ณราพูดดัก “อย่าบอกนะว่าจะห้ามผมสร้างโรงแรมบนที่ดินโรงละครนี่อีกแล้ว โธ่ คุณพริ้ว ผมก็บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่านี่มันเป็นความฝัน”
พลิ้วค้อน “แล้วฉันห้ามหรือยังคะ ที่ฉันจะบอกคือ ในเมื่อคุณต้องการสร้างจริงๆ คุณก็สร้างไป แต่ฉันขออะไรอย่างหนึ่ง” “อะไรหรือครับ” พริ้วบอก “โรงละครเป็นที่ที่มีครูละครคุ้มครองลูกศิษย์ลูกหา ถ้าคุณจะทำอะไรที่นั่น ฉันว่าคุณควรทำพิธีบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง ขออนุญาตคุณครูคณะละครสักหน่อยนะคะ”
ณรานิ่งไป พริ้วพยักหน้าจริงจัง ณรามองหน้าพริ้วก่อนจะตัดสินใจพยักหน้าให้ “ตกลง เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย ผมจะจัดพิธีบวงสรวงไหว้เจ้าที่ที่โรงละครแห่งนั้น คุณบอกให้คุณเฟื่องจัดการได้เลย” พริ้วยิ้มทันทีที่ณรายอมทำตามที่ตนเองขอ
วันทำพิธีบวงสรวงไหว้เจ้าที่ กรณ์เชิญแพรวมาด้วย แพรวมาถึงก็ตีหน้าเศร้า เล่าว่าไปสืบเรื่องช่อเอื้องมาว่าตอนนี้เธอหลงสามีคนนี้มากและกำลังมีลูกคนที่สองด้วยกัน วิญญาณช่อเอื้องที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้ยินสิ่งที่แพรวพูดกับกรณ์ก็โกรธมากที่ตนเองถูกแพรวใส่ร้าย
เฟื่องลดาที่เป็นคนจัดเตรียมงาน เดินเข้ามาตามกรณ์ บอกว่าพิธีจะเริ่มแล้ว แพรวเชิดใส่จนเฟื่องลดาไม่ค่อยชอบใจนัก พอเดินใกล้จะถึงที่ทำพิธีแพรวก็แกล้งสะดุดจะล้ม กรณ์รับไว้ทัน เฟื่องลดาหันไปมองหมั่นไส้ ช่อเอื้องเห็นท่าทางเฟื่องลดาที่บ่นคนเดียวอย่างหมั่นไส้แพรว ช่อเอื้องตัดสินใจเข้าสิงร่างเฟื่องลดาทันที
เฟื่องลดาจู่ๆ ตาเบิกโพลง แล้วคอตกพับนิ่งลงไป ผู้คนที่อยู่รอบๆ ตกใจ กรณ์สงสัยถาม “คุณเฟื่องลดาครับ เป็นอะไรหรือเปล่า” เฟื่องลดาเงยหน้าขึ้นมา จ้องกรณ์ด้วยความรัก ก่อนจะแปรสายตาอาฆาตแค้นไปทางแพรว “มึงแย่งคนรักกู” แพรวฟังแล้วโมโหสวนกลับทันที “เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ คุณกรณ์
ไปรักกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่” เฟื่องลดาตวาด “คุณกรณ์กับฉัน รักกัน! อีคนทรยศ” แพรวเอ๊ะใจ เริ่มรู้ว่าเฟื่องลดาคงโดนผีช่อเอื้องสิงแน่นอน แพรวหน้าตื่น“เธอ!” เฟื่องลดาพุ่งตรงเข้าไปบีบคอแพรว พริ้วและณราหันไปเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปพยายามแยกตัวเฟื่องลดาออกจากแพรว “เฟื่องลดา หยุดนะ” ณราดึงเฟื่องลดาออกมาได้ แพรวเซไปทางกรณ์ “คุณแพรว เป็นอย่างไรบ้าง” ช่อเอื้องในร่างเฟื่องลดาเห็นกรณ์ประคองแพรวอยู่ ก็กรี๊ดลั่น สติแตก เหวี่ยงข้าวของเครื่องสักการะใส่แพรว “อีคนชั่ว อีผู้หญิงกาลี มึงแย่งคนรักกู คุณกรณ์ขา”
กรณ์มองเฟื่องลดางง “เฟื่องลดา คุณเป็นอะไร” พริ้วเข้ามาดึงเฟื่องลดาออก แต่ถูกพลังของช่อเอื้องทำให้ พริ้วกระเด็นหงายออกไป ณราวิ่งเข้าไปรับร่างของพริ้วไว้ “ไม่ใช่คุณเฟื่องลดาแน่” ณรางง “แล้วใครละ”
แพรวพยายามเบียดตัวเข้าหากรณ์ เพราะกลัวผีช่อเอื้องจะเผยว่าตัวเองเป็นใคร “คุณกรณ์ขา แพรวกลัว”
ช่อเอื้องเห็นก็ทนไม่ไหวพุ่งเข้าใส่แพรวอีกครั้ง “อีเพื่อนทรยศ มึงต้องตาย” แพรวรีบโผกอดกรณ์ “คุณกรณ์คะ!” เฟื้องลดาร้องกรี๊ด “เอามือสกปรกของมึงออกไปจากตัวคุณกรณ์ คุณกรณ์เป็นของกู กูไม่ให้มึงแย่งไปได้ อีเพื่อนหน้าด้าน” ช่อเอื้องกรีดร้องก่อนจะเหวี่ยงพลังที่มองไม่เห็นกระแทกทุกอย่าง จนกระจกหน้าต่างแตกทีละบาน คนงานก่อสร้างหน้าเหวอ รีบวิ่งหนี ทุกอย่างดูอลหม่านไปหมด
พ่อปู่ที่นั่งสมาธิอยู่ ลืมตาขึ้นแล้วรีบทำพิธีส่งอีกาไปช่วยแพรว พริ้วตะโกนบอกณกับกรณ์ให้รีบพาแพรวออกไปก่อน ช่อเอื้องในร่างเฟื่องลดาร้องบอกไม่ให้กรณ์อยู่ใกล้แพรวทันที ณราเข้าไปช่วยแยกเฟื่องลดาออกจากแพรว แล้วร้องบอกให้กรณ์รีบพาแพรวออกไป
พริ้วเข้ามาช่วยจับตัวเฟื่องลดา ทันใดนั้นหยกก็วาบร้อนขึ้น แดงจัด เกิดลำแสงเป็นเส้นทางสว่างวาบจากหยกไล่ไปตามแขนพริ้ว ผ่านมือพริ้วที่จับตัวเฟื่องลดา ช่อเอื้องในร่างเฟื่องลดาร้องกรี๊ดขึ้นเพราะโดนพลังจากหยก
เฟื่องลดาเป็นลมหมดสติลงไป วิญญาณของช่อเอื้องหลุดออกมาจากร่างของเฟื้องลดา ช่อเอื้องมองตามแค้นแพรวที่กรณ์ประคองวิ่งออกไป หมายจะฆ่าแพรวให้ตาย แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะถูกอีกาที่พ่อปู่ส่งมาช่วยแพรวกันเอาไว้
พริ้วเข้าไปดูแลเฟื่องลดาจนฟื้นแล้วถามว่ารู้ตัวหรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น เฟื่องลดาส่ายหน้าตอบมึนๆว่าเธอเดินตามกรณ์กับแพรวออกมาแล้วก็เกิดหน้ามืด มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ที่พริ้วกำลังถามตนเองอยู่นี่ล่ะ เฟื้องลดาหันมองรอบๆก็ตกใจที่เห็นข้าวของกระจัดกระจาย พริ้วกับณราบอกว่านี่เป็นฝีมือเธอ เฟื่องลดาหน้าเสียรีบปฏิเสธว่าเธอไม่ได้ทำ ณราหันไปบอกพนักงานให้พาเฟื่องลดาไปพักก่อน
กรณ์พาแพรวไปทำแผลที่โรงพยาบาล แพรวขอบคุณแล้วพูดขึ้นว่าคงเป็นอุบัติเหตุ แต่กรณ์รู้สึกแปลกใจ แพรวแอบมองกรณ์เครียด กลัวช่อเอื้องจะปรากฏตัวขึ้นมาในเร็ววันนี้
ณรายืนอยู่กลางโรงละครท่ามกลางสิ่งของที่เละเทะ คนงานก่อสร้างเริ่มเก็บกวาดเศษซาก พริ้วมองณราอย่างเห็นใจ “คุณณรา” พริ้วแตะตัวณราเบาๆ ณราหันมายิ้มขอบคุณ แต่หน้ายังเครียด บอกน้ำเสียงเข้ม “ผมโอเค คุณโอเคนะคุณพริ้ว ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณเฟื่อง” พริ้วคิดว่าน่าจะเป็นวิญญาณช่อเอื้อง ณราทำอะไรไม่ถูกยืนมองสภาพโรงละคร เกาหัว เครียด
แพรวหัวเสียแกมไม่พอใจ มาหาพ่อปู่ พ่อปู่รับปากว่าจะจัดการกับช่อเอื้องในคืนเดือนดับที่จะถึงนี้ แพรวพยักหน้าอย่างพอใจที่จะได้กำจัดช่อเอื้องให้ตายไม่ได้ผุดได้เกิดเสียที
ไทพยายามทำสมาธิ แต่กลับคิดถึงเรื่องราวที่เกิดกับช่อเอื้องจนสมาธิหลุด หลวงปู่มั่นสอนให้ทำจิตให้นิ่ง มีสมาธิกับปัจจุบันให้มากที่สุด ไทบอกเขาอยากบวชเร็วๆ หลวงปู่มั่นบอกอีกสามวันข้างหน้าเป็นวันแรม 15 ค่ำ ไทน่าจะได้บวช ไทสีหน้ามีความหวังทันที
แพรวมาหาไทที่บ้าน มาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นว่าผีช่อเอื้องตามไปอาละวาดตนเอง แพรวพยายามพูดให้ไทไปช่วยเธอกำจัดช่อเอื้องเดือนดับที่จะถึงนี้ตามคำบอกของพ่อปู่ แต่ไทกลับปฏิเสธและบอกความตั้งใจของตนเองว่าที่เขาจะบวชนี่ก็เพื่อต้องการจะช่วยให้วิญญาณของช่อเอื้องหลุดพ้นไม่ใช่ต้องการจะกำจัดช่อเอื้อง แพรวได้ฟังก็หัวเสียมาก ไม่พอใจสะบัดหน้าเดินกลับออกไปทันที
ณราบอกในที่ประชุมว่าหาสาเหตุที่เฟื่องลดาอาละวาดไม่ได้ ขอให้ปิดเรื่องที่เกิดขึ้นไว้ก่อน พริ้วพยายามจะบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ แต่ณราเข้ามาเบรกพริ้วไม่ให้พูด พริ้วหน้าตึงก่อนจะตัดสินใจพูดต่อไม่สนใจณรา “ฉันว่าครั้งนี้ก็เหมือนกัน มันต้องเป็นพลังลึกลับบางอย่าง ฉันคิดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ” ณราขัด “ไร้สาระน่าคุณพริ้ว ผมไม่เชื่อหรอก ยังไงผมก็จะสร้างโรงแรม” พริ้วเหลืออด อุตส่าห์อธิบาย ณราก็ไม่เชื่อ “พูดนั่นก็ไม่เชื่อ พูดนี่ก็ไม่เชื่อ งั้นคุณก็ไม่ต้องเชื่อฉันเลย ฉันน่ะเป็นห่วงคุณนะ ไม่รู้หรือไง” ณราสวนก่อนจะเอ๊ะใจ “ผมไม่เชื่อ หือ! เมื่อกี้คุณพูดว่าไงนะ” พริ้วตาโต เผลอตัวหลุดปาก รีบเบือนหน้าหนี เพราะแก้มเริ่มแดงเรื่อขึ้น “คุณเป็นห่วงผมเหรอ” พริ้วส่ายหน้าเขินๆ“เปล่า” ณราตื้อ “ก็เมื่อกี๊คุณพูดว่าคุณเป็นห่วงผม” พลิ้วพูดอะไรไม่ถูก “ฉัน.. ฉันไม่ได้พูด” ณราลุกเข้าไปหาพริ้วแล้วจับตัว จ้องหน้า สบตา “แต่คุณพูด ผมได้ยิน” พริ้วพึมพำ “ทีอย่างนี้ล่ะได้ยิน ทีฉันเตือนว่าไม่ให้สร้างโรงแรมบนที่ดินนั้น คุณได้แต่ทำหูทวนลม” ณราว่า “มันไม่เกี่ยวกันหรอกพริ้ว” พลิ้วพูดต่อ “เกิดเหตุขนาดนี้ คุณยังไม่เชื่อฉัน วันนี้ที่ไม่เป็นอะไร ถือว่ายังโชคดี แต่วันอื่นล่ะ ถ้ามันเกิดเรื่องขึ้นอีกล่ะ ฉันไม่อยากเสียใจ เข้าใจไหม” พริ้วบิดตัวออกจากณรา งอนออกไป ณรามองตามครุ่นคิด ก่อนจะอมยิ้ม รู้ว่าพริ้วเป็นห่วงเขา เขาเริ่มชัดเจนแล้วว่าพริ้วน่าจะมีใจให้เขา

ตอนที่ 15 วันพุธ ที่ 19 มีนาคม 2557
ในความมืด วิญญาณช่อเอื้องที่แก้มมีรู เลือดสีดำเหนียวข้นไหลหยดลงมา ควันออกจากรูที่แก้ม ช่อเอื้องน้ำตาไหลพราก แค่นเสียงสาปแช่งตะกุกตะกัก แต่เต็มไปด้วยความแค้น “หากกูไม่สมในรัก ด้วยเลือดทุกหยด! ด้วยกายทั้งกาย! ด้วยใจทั้งใจ! กูจะขอสาปขอแช่ง!” ควันพุ่งออกมาจากรูแผล เลือดสีดำข้นหยด เนื้อเริ่มละลาย ช่อเอื้องกรีดร้อง “กูจะล้างแค้น กูจะฆ่าพวกมึง”
กรุ๊งกริ๊ง มีเสียงดังขึ้น ช่อเอื้องได้ยิน เงยหน้าขึ้นมอง “นังลูกสาวซินแส มันก็อีกคน มันหลอกกูไปฆ่า มันก็ชั่วเหมือนอีแพรว กูจะฆ่ามึง” ช่อเอื้องตะกายตัวขึ้น รวมกำลังที่มีแล้วหายร่างออกไป
ช่อเอื้องพุ่งตรงไปจะทำร้ายพริ้ว แต่หยกที่พริ้วสวมอยู่ช่วยปกป้องไว้ พริ้วเองก็รู้สึกได้ พริ้วยิ้มออก กุมหยกขึ้นมามอง ก่อนจะนึกถึงตอนที่ณรานำหยกมาคืนให้เธอ พริ้วที่งอนเดินออกมาจากห้องของณรา กลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน พึมพำกับตัวเอง “อีตาเจ้านายบ้า คนอุตส่าห์เป็นห่วง ไม่เคยฟังกันมั่งเลย” เสียงณราดังขึ้น “ผมดีใจที่เราก็รู้สึกอย่างเดียวกัน” พริ้วอึ้ง เขินหน้าแดง ไม่กล้าหันมองณรา อยู่ๆสร้อยหยกป้องกัน
ก็ห้อยตกลงมาข้างหน้าพริ้ว “หยกป้องกัน! คุณดึงออกจากคอฉันตอนที่เราเจอพลังลึกลับที่ที่ดินร้างนี่”
ณราก้มหยิบสร้อย แล้วเดินมาจากทางด้านหลัง สวมสร้อยหยกให้พริ้วที่คอ “หยกป้องกันมีความหมายกับคุณมาก เพราะเป็นสิ่งที่ป๊าคุณให้มา” พลิ้วมองหยกยิ้ม “ฉันนึกว่ามันหายไปแล้ว ดีใจจัง หยกกลับมาอยู่กับฉันแล้ว” พริ้วกุมหยก ปลาบปลื้ม ณราแกล้งงอน “ผมอุตส่าห์ตากแดดลุยหญ้าเข้าไปหาหยกให้คุณในที่ดินนั่น จะขอบคุณสักคำไม่มี” พลิ้วพูดขึ้นเบาๆ “ขอบคุณค่ะ” ณราเอียงหน้าเข้าไปหา “คุณพูดว่าอะไรนะ ผมไม่ได้ยิน” “ขอบ คุณ ค่ะ” พริ้วเสียงดังขึ้น ณราอมยิ้ม “ก็ยังไม่ได้ยินอยู่ดี” ณราชี้ที่หูตนเอง “คุณต้องพูดตรงนี้ ข้างๆ หูผมเนี่ย” พริ้วเบี่ยงตัวหนีไป แอบยิ้ม “บ้า ไม่ได้ยินก็ช่างคุณ” พริ้วแอบพึมพำอย่างมีความสุข “คนเค้าอุตส่าห์กลับไปที่ดินโรงละคร เพื่อเอาของของเราคืนมาให้นะ” พริ้วพึมพำอย่างมีความสุข
พริ้วเดินมาที่หน้าห้องณรา อมยิ้ม เขิน พริ้วเปิดประตูเข้าไปในห้อง ณราเงยหน้าขึ้นมองงงๆ พริ้วเดินไปใกล้ แล้วกระซิบที่ข้างหูณรา “ขอบคุณนะคะ” พริ้วยิ้มให้ มือกุมหยกแล้วเดินออกไป ณรามองตามพริ้วงงๆ แต่มีความสุข
พลิ้วกลับไปเล่าให้ซินแสเฟยฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ซินแสเฟยบอกว่าต้องกลับไปที่ที่ดินโรงละครอีกครั้ง พริ้วรีบพยักหน้า สีหน้ามุ่งมั่น ไม่กลัว
ณราทานข้าวกับฤดี ณราดูเฉยๆ แต่ฤดีเริ่มมีสีหน้าไม่ปลื้ม ตัดสินใจพูดกับลูกตรงๆ ว่ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และไม่อยากให้ณราสร้างโรงแรมบนที่ดินโรงละครอีก แต่ณราบอกแม่ไม่เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างที่ทุกคนพูดกัน แถมยังบอกแม่ว่าไม่ต้องคิดมากเพราะคงไม่เป็นอย่างที่แม่กังวลแน่นอน ฤดีฟังลูกชายพูดแล้วร้อนใจ รู้สึกเป็นห่วงทันที
พริ้วและซินแสเฟยก้าวเข้ามาหยุดที่หน้าทางเข้าที่ดินของโรงละคร ก่อนจะเริ่มทำพิธีเรียกวิญญาณช่อเอื้อง ซินแสเฟยบอกกับช่อเอื้องว่าตนเองมาดี แต่ช่อเอื้องกลับคิดว่าพวกพริ้วหลอกจึงไม่ยอมออกมาพบ
ที่ลานน้ำพุเทวี พลิ้วถอดหยกจากคอของตนเองไปใส่ในมือของซินแสเฟย ก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าออกจากวงกลมเทียนที่ซินแสทำไว้ ซินแสเฟยรีบร้องห้าม
ลมเริ่มพัด ท้องฟ้าเบื้องบนมีเมฆก้อนดำเคลื่อนที่ไปมา ฟ้าเปิดเห็นดาวระยิบ ช่อเอื้องนิ่งงัน เงยหน้าขึ้น เห็นแววระยิบระยับบางอย่าง “ฉันมาดี ฉันยินดีช่วยคุณทุกอย่าง” ซินแสเฟยตกใจกับสิ่งที่พริ้วทำ ไม่นึกว่าลูกสาวจะกล้าหาญและมีใจเมตตาผู้อื่นขนาดนี้ พลิ้วพยักหน้าให้ซินแสเฟย ตัดสินใจมุ่งมั่นว่าจะช่วยช่อเอื้อง “ถ้าคุณไม่เชื่อว่าฉันจะช่วยคุณ ใช้ร่างฉันสิคะ ถ้าคุณอยู่ในร่างฉัน ฉันกับป๊าทำร้ายคุณไม่ได้ แต่คุณบอกสิ่งที่คุณต้องการได้ ผ่านร่างฉัน” พริ้วสีหน้ามั่นใจ ซินแสเฟยลังเลก่อนจะตัดสินใจสั่นกระดิ่งเรียกวิญญาณช่อเอื้องอีกครั้ง
ในความมืด ช่อเอื้องยืนนิ่งลังเล ก่อนจะตัดสินใจหันไปทางที่เหมือนจะเห็นแสงเรืองรองสาดลงมา ลมพัดใบไม้ปลิวมากองอยู่รอบๆ วงกลมยันต์ ซินแสเฟยกวาดตามอง นึกรู้ทันทีว่าวิญญาณช่อ
เอื้องมาแล้ว ซินแสหันไปบอกลูกสาว “เขามาแล้ว อาพริ้ว ลื้อเห็นเขาหรือยัง” พริ้วยืนนิ่ง ก้มหน้าอยู่ หันหลังให้ซินแสเฟย
ข้ามไหล่พริ้วไป เห็นซินแสเฟยมองมา พริ้วเงยหน้าขึ้นมา แววตาเป็นช่อเอื้อง ช่อเอื้องในร่างพริ้วค่อยๆ หันไปทางซินแสเฟย พริ้วถามเป็นเสียงช่อเอื้อง “พวกแกเป็นใคร” ซินแสเฟยว่า “ลื้อไม่ใช่อาพริ้ว” ซินแสเฟยมองหน้าพริ้ว แต่ได้ยินเสียงเป็นคนอื่น รู้ ตกใจ ขนลุกซู่ แต่พยายามเก็บอารมณ์ความหวาดหวั่น
“ไม่ว่าลื้อจะเป็นใครก็ช่าง ลื้อมีเวลาอยู่ในร่างอาพริ้วเพียงชั่วกัณฑ์สวดแผ่เมตตา ถ้าเกินกว่านั้น กายหยาบของอาพริ้วจะได้รับอันตราย ลื้อเองก็จะเป็นบาปเพราะเกิดกรรมจากการทรมานกายหยาบผู้อื่น” ร่างพริ้วมีร่างช่อเอื้องซ้อนอยู่บางๆ ปรากฏให้ซินแสเฟยเห็นชั่วแวบหนึ่ง ซินแสเฟยพยักหน้ารับรู้ “เกิดอะไรขึ้นกับลื้อ ลื้อถึงได้โกรธแค้นอาฆาตทำร้ายคนอื่น” ช่อเอื้องบอก “ไอ้พวกชั่วสามตัวมันฆ่าฉัน พวกมันสะกดวิญญาณฉันไว้ที่นี่ ฉันหลุดมาได้ มันก็ตามมารังควาน มันใช้อำนาจมืดคอยทำร้ายฉัน” ซินแสเฟยสงสัยถาม “แล้วใครล่ะ ที่เป็นคนทำร้ายลื้อ” ช่อเอื้องตวาด “อีเพื่อนทรยศ! กูจะฆ่ามัน โอ๊ย ร้อน” ร่างพริ้วเริ่มเหงื่อแตกพลั่ก ซินแสเฟยมองลูกอย่างเป็นห่วง “ใกล้หมดเวลาของลื้อในร่างอาพริ้วแล้ว ลื้ออย่าเพิ่มความอาฆาตอีกเลยนะ วิญญาณลื้อจะยิ่งติดกับอยู่ในบ่วงบาป” ช่อเอื้องร้องบอก “ช่วยฉันด้วย ฉันไม่อยากเป็นอย่างนี้ ฉันแค่อยากกลับไปหาคนที่ฉันรัก โอ๊ย ฉันไม่ไหวแล้ว” ซินแสเฟยหน้าตื่น รีบบอก “เร็วเข้า รีบบอกมา ลื้ออยากพบใคร แล้วร่างลื้ออยู่ที่ไหน” ช่อเอื้องพยายามจะบอก แต่วิญญาณก็เริ่มเหนื่อยหอบ ไม่มีแรงจะพูด “คนรักของฉัน เขาอยู่แถวนี้ คุณ กอ อ๊ากกก” พริ้วตัวสั่นพั่บๆ แล้วร่วงลงไปกองกับพื้น ซินแสเฟยรีบออกมาจากวงกลม วิ่งเข้าไปประคองพริ้ว พริ้วค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา มองหน้าพ่อตกใจ ความทรงจำว่างเปล่า ก่อนจะถามขึ้น “ป๊า ผู้หญิงคนนั้น เราช่วยเขาได้หรือเปล่า”
ลมพัดกรู ใบไม้แห้งปลิวมา พริ้วและซินแสเฟยหันไปมอง ช่อเอื้องยืนอยู่ห่างออกไป มองมาที่พริ้วและซินแสเฟย สีหน้าคลายความเกรี้ยวกราด รู้แล้วว่าพริ้วกับซินแสเฟยไม่ได้ประสงค์ร้ายกับตนเอง ช่อเอื้องอ้าปากพูดแต่ไม่มีเสียงออกมา พริ้วพยายามถาม “เธอพูดอะไร ฉันไม่ได้ยิน” ซินแสเฟยบอกพริ้ว“วิญญาณผู้หญิงคนนี้ติดวิบากกรรม ยากกว่าจะหาทางสว่าง” พริ้ววหันกลับไปมองวิญญาณช่อเอื้องแล้วพูดขึ้น “แต่ฉันจะช่วยเธอ ฉันจะหาทางช่วยเธอ” ช่อเอื้องน้ำตารื้น พยักหน้าขอบคุณพริ้วและซินแสเฟย แล้ววิญญาณช่อเอื้องก็ค่อยๆ จางหายไป
ไทนั่งพักจากการทำสมาธิ ก็พยายามจะบอกช่อเอื้องว่าตนเองสำนึกผิดและกำลังจะบวชอุทิศส่วนกุศลให้ แต่ช่อเอื้องไม่ยอมรับมองไทอย่างเครียดแค้น
ช่อเอื้องไปปรากฏตัวให้อนงค์แม่ของแพรวเห็น จนอนงค์แทบช็อก รีบเข้าห้องพระสวดมนต์ พอแพรวกลับมาบ้านอนงค์รีบเล่าเรื่องวิญญาณที่เห็นให้แพรวฟัง แพรวรู้ทันทีว่าเป็นช่อเอื้อง
พ่อปู่ที่รู้ว่าไทดวงถึงฆาต รีบนั่งสมาธิส่งกระแสจิตไปบอกแพรว แพรวรับรู้สิ่งที่พ่อปู่บอกก็เครียด แค้นช่อเอื้อง
ที่หน้าวัด ช่อเอื้องปรากฏร่าง ใบหน้าช่อเอื้องขาวซีด แต่ตาแดงก่ำเต็มไปด้วยแววตาคั่งแค้น มือกำแน่น “ไอ้ไท กูไม่เอาบุญจากมึง กูจะเอาชีวิตมึง!” ร่างช่อเอื้องเข้มขึ้น ดูมีพลัง ช่อเอื้องจะเดินเข้าไปในวัด แต่ต้องชะงักเพราะเข้าไปในวัดไม่ได้ ช่อเอื้องกรีดร้อง หลวงปู่มั่นเดินออกมาด้วยอาการที่สำรวมและสงบ มองไปที่ช่อเอื้อง “เลิกแล้วต่อกันเถอะนะหนู” ช่อเอื้องตวาด “มึงเป็นใคร ไม่ใช่เรื่องของมึง กูจะฆ่ามึง ไอ้ไท”
ช่อเอื้องพยายามจะเข้าไปในวัด แต่เจอพลังบุญสงบนิ่งที่แผ่ออกมาจากหลวงพ่อปู่เป็นวงเงาขาวจ้า ช่อเอื้องแสบตา รีบถอยออกมา “ถอยไป อย่าขวางกู” หลวงปู่บอก “ปล่อยวางความแค้นทิ้งไปเถอะหนู วิญญาณจะได้ปลดปล่อยจากโทสะทั้งปวง” ช่อเอื้องแววตาคั่งแค้น “อย่ามายุ่ง กูจะฆ่าไอ้ไท มันฆ่ากู มันพรากรักจากกู กูจะเอาชีวิตมันคืน” หลวงปู่ว่า “เขาสร้างบาปกับเรา ถ้าเราสร้างกับเขาอีกทอดก็เท่ากับต่อเวรต่อกรรมไม่รู้จบสิ้น พอเถอะนะหนู อย่าได้จองเวรกันเลย ปล่อยวางเสีย อย่าสร้างบาปให้ตัวเองอีก หนูจะได้ไปผุดไปเกิด” ช่อเอื้องโวยเสียงดัง “ไม่! กรรมของกูเพราะไอ้ไทมันก่อ มันฆ่ากู กูก็จะฆ่ามัน มันต้องชดใช้กรรมของมันด้วยความตาย” ช่อเอื้องจะพุ่งเข้าวัด หลวงปู่มั่นหลับตาลงแล้วสวดแผ่เมตตา เกิดเกราะสีขาวนวลสว่างตามประตูวัดวาบขึ้น ช่อเอื้องเข้าไม่ได้ แสบร้อน ร่างช่อเอื้องซีดจางลง พลังลดลง ช่อเอื้องกรีดร้องก่อนที่ร่างจะจางหายไป
เช้าวันใหม่ ที่ประตูอุโบสถ ไทในชุดขาวก้าวขาออกมา สีหน้าดูสงบ สำรวมมากขึ้น หลวงปู่มั่นอยู่ที่หน้าอุโบสถ มองไทอย่างเป็นห่วง “นั่งสมาธิทั้งคืนเลยหรือ อนุโมทนาด้วยนะ” ไทยกมือไหว้ “ขอบคุณครับปู่มั่น” หลวงปู่บอก “พรุ่งนี้จะบวช วันนี้อย่าเพิ่งไปไหน เจริญสติแผ่เมตตาอยู่ในวัดนี่แหละ” ไทว่า“แต่ผมอยากแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรโดยตรง” หลวงปู่มองหน้าไทก่อนจะพูดขึ้น “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผู้เฒ่าผู้แก่เขาเตือนกันไว้ คนจะบวชอาจมีมารผจญ พ่อหนุ่มก็อย่าเพิ่งไปไหนเลย” “แต่ผม..” ไทอึกอัก อยากจะออกไปขอขมาลาบวชกับช่อเอื้อง แต่ไม่อาจบอกความจริงกับหลวงปู่มั่นได้
หลวงปู่มั่นพอจะเดาออกจึงสำทับหนักแน่น “ถ้าผู้ที่พ่อหนุ่มอยากอุทิศส่วนบุญให้เขามีกุศลจิต เขาก็จะรับรู้ได้ ไม่ช้าก็เร็ว” ไทนิ่ง ดูไม่ออกว่าคิดอย่างไร
พริ้วกำลังจะออกจากบ้าน แต่ลังเลว่าจะถอดสร้อยหยกคุ้มกันดีหรือไม่ ซินแสเฟยห้ามไว้ พริ้วว่า“ถ้าเกิดวิญญาณผู้หญิงคนนั้นอยากติดต่อฉันอีกล่ะป๊า” ซินแสเฟยบอก “เขาจะหาทางเอง แต่ลื้อต้องใส่หยกป้องกันเอาไว้ เพราะมันจะคุ้มครองลื้อจากอำนาจมนตร์ดำ” “อำนาจมนตร์ดำ แต่คนที่ปล่อยไสยดำมันต้องการทำลายวิญญาณผู้หญิงคนนั้นนี่ป๊า” “ใช่ แล้วถ้าพวกมันรู้ว่าลื้อติดต่อวิญญาณผู้หญิงคนนั้นได้ มันก็อาจจะทำร้ายลื้อด้วย” พริ้วรับคำ ไม่ถอดสร้อยหยกคุ้มกัน พริ้วทำท่าจะออกจากบ้าน ซินแสเฟยถามว่าจะไปไหน พริ้วว่าไปทำงาน ซินแสเฟยบอก“เลิกทำได้แล้ว วิญญาณผู้หญิงคนนั้นถูกสะกดไว้ที่โรงละคร ถ้าไม่แก้ จะทำอะไรก็ไม่สำเร็จ อั๊วสังหรณ์ว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีที่นั่นอีก”พลิ้วหน้าเครียด “งั้นฉันต้องรีบเตือนคุณณรา แล้วเราจะได้หาทางช่วยวิญญาณผู้หญิงคนนั้นด้วย” พริ้วรีบร้อนออกไป ซินแสเฟยห้ามไม่ทัน ซินแสได้แต่ส่ายหัว หนักใจว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น

ตอนที่ 16 วันจันทร์ ที่ 24 มีนาคม 2557
ไทนั่งสวดมนต์อยู่ในวัด สักพักไทก็ลืมตาขึ้น รู้สึกว่าจิตใจตนเองไม่ค่อยสงบเท่าที่ควร ไทพึมพำ “ช่อเอื้อง ได้บุญจากฉันไหม ฉันขออุทิศส่วนกุศลให้เธอนะช่อ” เสียงระฆังของวัดดังขึ้น เสียงสวดมนต์ดังขึ้นแว่วๆ ไทกวาดตามองไปทั่วๆวัด บรรยากาศภายในวัดดูสงบร่มเย็น ไทนึกขึ้นได้ “จริงสินะ เธอคงเข้ามารับบุญจากฉันในวัดนี้ไม่ได้ ถ้าฉันอยู่ตรงนี้ ฉันอาจจะอุทิศกุศลไม่ถึงเธอ” ไทตัดสินใจมองระฆังวัด มองอุโบสถ แล้วลุกขึ้นยืน
หลวงปู่มั่นตีระฆังเสียงดังก้องไปทั่ววัด หลวงปู่เงยหน้าขึ้นมองไปเบื้องหน้า “ขอให้มีสติกันทุกผู้ทุกนามเทอญ” ในความมืด ช่อเอื้องเหมือนได้ยินเสียงระฆัง ช่อเอื้องตาลุกวาว ยิ้มย่องร้ายกาจ เคียดแค้น
ซินแสเฟยกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องพระ ในมือนับลูกประคำ “ชะตานี้แหละ ขอให้ลื้อคิดได้ ไม่อาฆาต ไม่จองเวร ลื้อทำให้วิญญาณตัวเองหมดบาปได้ นังหนูเอ๊ย ลื้อพลิกชะตาได้ อย่าทำบาปอีก” ซินแสเฟยสวดภาวนาต่อไป
ที่ห้องทำงานณรา ณรายิ้มขันเอ็นดูพริ้ว ไม่อยากเชื่อสิ่งที่พริ้วกำลังเล่าให้ตนเองฟัง “คุณจะบอกว่า เมื่อคืนคุณติดต่อวิญญาณผู้หญิงคนนั้นได้ แล้วคุณจะพาผมไปพบเธองั้นเหรอ” พลิ้วพยักหน้ามุ่งมั่น “ใช่ วิญญาณผู้หญิงคนนั้นถูกสะกดไว้ที่โรงละคร มีคนไม่ดีร่ายไสยดำไว้ เราต้องไปที่นั่นแล้วหาทางแก้ เพื่อช่วยเธอ” พริ้วเอื้อมมือไปดึงณราออกมาจากเก้าอี้ทำงาน “ไปค่ะ รีบไปเร็ว” ณราตกใจ “เอาจริงเหรอเนี่ย คุณพริ้ว” พลิ้วบอก “ค่ะ เร็วๆค่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ เราต้องรีบไปก่อนที่จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก” ณราส่ายหัวก่อนจะยอมให้พริ้วดึงตัวตามออกไป
ไทในชุดขาวก้าวเข้ามาในบริเวณโรงละครเก่า ทันใดนั้นมีลมพัดแรง หอบใบไม้แห้งปลิวเข้ามาเต็มห้อง ไทรู้สึกเสียวสันหลัง เหลียวมองรอบตัว “ช่อเอื้อง เธออยู่ที่นี่ใช่ไหม” ประตูโรงละครปิดทีละบานเสียงดัง ปัง ปัง ปัง ไทสะดุ้งตกใจ “ช่อ!” โคมไฟด้านบนเพดานก็เกิดอาการติดๆ ดับๆ เดี๋ยวเปิดเดี๋ยวปิด ไทหน้าตื่น“ฉัน ฉันมาดีนะช่อ” พรึ่บ! ไฟทุกดวงดับสนิทลง ไทสะดุ้งรีบเอามือปิดหน้ากลัวๆ
ไฟบนเวทีอยู่ก็ส่องสว่างขึ้น ด้านบนเวทีปรากฏร่างของช่อเอื้องในชุดเล่นละครหมอบฟุบอยู่ ช่อเอื้องเงยหน้าขึ้น ใบหน้าขาวซีด ตาแดงก่ำ จ้องมาที่ไท ช่อเอื้องพูดตามบทละครที่เคยแสดง “หากกูไม่สมในรัก! ด้วยเลือดทุกหยด! ด้วยกายทั้งกาย! ด้วยใจทั้งใจ!”
ด้านหน้าเวที ไทยืนตะลึงด้วยความหวาดหวั่น พยายามจะขยับถอยหนี “ช่อเอื้อง ฉันขออุทิศส่วนกุศลให้เธอ”
ช่อเอื้องด้านบนเวทีสะบัดผ้าคล้องแขน ผ้ายาวออกมาเรื่อยๆ “กูไม่ฟัง กูไม่รับ มึงพรากรักจากกู!”
สีหน้าช่อเอื้องกระอักเลือดออกมา ดวงตาแดงฉาน คั่งแค้น ชี้หน้าไท
พริ้วและณรามาถึงที่ที่โรงละคร ตกใจที่เห็นประตูของโรงละครปิดหมด ณราพยายามเปิดประตูแต่เปิดไม่ได้ มองหาช่างก็ไม่มี พริ้วรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง รีบยกมือไปกุมหยกคุ้มกัน พริ้วหน้าตื่น
“หยกคุ้มกันร้อนขึ้น ต้องเกิดเรื่องไม่ดีแน่” ณรารีบบอก “ถอยออกมาพริ้ว อย่าเข้าไปใกล้” นายช่างและลูกน้องรีบวิ่งมาเห็นประตูโรงละครปิดอยู่ก็ตกใจ ณราหันไปเห็นก็รีบถาม “นายช่าง ใครอยู่ข้างใน แล้วปิดประตูทำไม” ช่างตอบสีหน้างงๆ “เอ่อ ยังไม่มีใครเข้าไปเลยนะครับ พวกเรากำลังทำงานตกแต่งที่ด้านนอกโรงละครกันอยู่”
เสียงดนตรีประกอบละครดังขึ้นมาจากด้านในโรงละคร พริ้วและณราผงะ นายช่างและลูกน้องรีบถอยออกห่างจากโรงละคร “โรงละครร้างมีเสียงเพลงในนั้นได้ยังไง” พริ้วพูดขึ้น “เกิดอะไรขึ้นแน่ๆ คุณ อย่าทำอะไรนะ อย่า คุณ” พริ้วพูดขึ้นเหมือนกำลังสื่อสารกับอะไรบางอย่าง พลิ้ววิ่งเข้าไปทุบที่ประตูโรงละคร โครมๆ ณรามองอย่างไม่เข้าใจ คนงานมองตามสีหน้าเหวอ เริ่มหวาดกลัว
ด้านในโรงละคร ไทขยับเท้าจะเคลื่อนถอยหลังเพื่อออกห่างจากช่อเอื้อง “ฉันรู้ ฉันผิดไปแล้ว ช่อเอื้อง” ผ้าของช่อเอื้องเลื้อยยาวมาพันเข้าที่ขาของไท ตรึงขาไทเอาไว้แน่นจนไทขยับเขยื้อนไม่ได้ ช่อเอื้องค่อยๆเคลื่อนตัว คลานตะปบมือและจิกกรงเล็บลงจากบนเวที ค่อยๆคืบคลานเข้าไปใกล้ไท “มึงจำไม่ได้เหรอ หากกูไม่สมในรัก ด้วยเลือดทุกหยด! ด้วยกายทั้งกาย! ด้วยใจทั้งใจ! กูจะขอสาปแช่ง!” ไทไปไหนไม่ได้ ถูกผ้าช่อเอื้องมัดไว้จนขยับเขยื้อนไม่ได้ ไทกำลังผวา ตัดสินใจยกมือขื้นไหว้ “กรรมใดที่ฉันได้กระทำต่อเธอในอดีต ขอให้เธออโหสิให้ฉันด้วย ช่อเอื้อง” ช่อเอื้องไม่ยอม ตวาดกลับ “ไม่! กูจะสาปแช่งมึง มึงพรากชีวิตกู” ไทลนลาน “ฉันจะบวชให้เธอ ฉันขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทั้งสิ้นทั้งปวงที่ฉันมี”
ช่อเอื้องกรีดร้อง อุดหูไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยินสิ่งที่ไทพูด ร่างของช่อเอื้องกระโดดเด้งลอยตัวสูงไปมา อาละวาด กระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะเสียงกรี๊ดของช่อเอื้อง เศษกระจกพุ่งปลิวไปมา เฉี่ยวหน้าไทเลือดซิบออกมา ไทพยายามพูด “ฉันรู้ฉันทำเธอเจ็บ” ช่อเอื้องสวน “ไม่ใช่แค่เจ็บ แต่กูแค้น กูตาย มึงทำกูตาย มึงฆ่ากู!” “ฉันสำนึกผิดแล้วช่อเอื้อง ขอให้เธอได้รับบุญกุศลที่ฉันบวชเพื่อสละทางโลกนี้ด้วยเทอญ” “ทางโลก ฮ่ะๆ งั้นก็สละโลก สละชีวิตมึงด้วย” ช่อเอื้องเข้ามาใกล้ ไทตกใจ พยายามจะแผ่เมตตา ช่อเอื้องสะบัดมือ กระจกแตกเพล้งๆๆ พุ่งเข้าไปเสียบไท
ณราและคนงานพยายามจะงัดประตูบานหนึ่งเข้าไป ทุกคนได้ยินเสียงกระจกแตกก็ตกใจ พริ้วทุบประตูโครมๆ “คุณ อย่าทำอะไรนะ อย่าสร้างบาปให้วิญญาณตัวเองอีก อย่านะ”
ไทโดนกระจกพุ่งเข้าใส่ เลือดอาบร่าง ทรุดตัวลง แต่ยังไม่ตาย ไทกระเถิบตัวหนีไม่ได้ เลือดท่วมร่างจนชุดนุ่งขาวห่มขาวที่ไทสวมอยู่นั้นแดงฉานไปด้วยเลือด ช่อเอื้องมองไทด้วยสายตาเครียดแค้น “ไอ้คนชั่ว มึงคิดจะบวชลบล้างความชั่วของมึงเหรอ ไอ้ฆาตกร” ไทบอกเสียงสั่น “ช่อเอื้อง อโหสิกรรมต่อกันเถอะ ฉันขออโหสิกรรมต่อเธอ ฉันขอให้เธอไปผุดไปเกิด” “ไม่” ช่อเอื้องตรงเข้าไปบีบคอไทเหมือนที่ไทเคยบีบคอช่อเอื้อง ไทตาเหลือกลาน เริ่มตาลอย พยายามจะแกะมือช่อเอื้องออก ภาพที่เขาเคยทำร้ายช่อเอื้องผุดวาบเข้ามาในหัวไท ไทสำนึกได้ ตาจ้องช่อเอื้องเป็นเชิงขอโทษ “ช่อเอื้อง” เสียงช่อเอื้องดังขึ้น “หากกูไม่สมในรัก ด้วยเลือดทุกหยด! ด้วยกายทั้งกาย! ด้วยใจทั้งใจ! กูจะฆ่ามึง มึงต้องชดใช้หนี้กรรมด้วยชีวิตมึง”
“ช่อ ฉันขอโทษ” ไทหมดแรง มือตกลงข้างตัว ตาเหลือกลอย
ช่อเอื้องบีบคอจนไทตายคามือ “มึงต้องตาย มึงต้องตาย!” ช่อเอื้องปล่อยมือ ร่างไทแน่นิ่ง ร่างช่อเอื้องวาบกลับไปอยู่บนเวที ช่อเอื้องน้ำตาไหลเป็นสายเลือดบนใบหน้าซีดขาว หัวเราะด้วยความบ้าคลั่ง
“หากกูไม่สมในรัก ด้วยเลือดทุกหยด! ด้วยกายทั้งกาย! ด้วยใจทั้งใจ! กูจะขอสาปแช่ง!” ไฟโรงละครที่ส่องอยู่ดับพรึ่บ!
ด้านในโรงละคร ประตูถูกพังเข้ามาได้ พริ้วและณราวิ่งเข้าไป คนงานยืนอึ้งๆ ไม่มีใครกล้าตามเข้ามาข้างใน พริ้วร้องตะโกน “คุณอยู่ไหนคะ คุณ อย่าทำอะไรลงไปนะ คุณ” ณราเข้าไปสะกิดถาม “คุณเรียกใคร” พลิ้วบอก “ก็วิญญาณผู้หญิงคนนั้นน่ะสิ” คนงานทุกคนหวาดผวา ผลุบหน้าหนีไป ไม่มีใครตามเข้าไปช่วยณรา พริ้วเดินไปตามที่นั่งของโรงละครเพื่อหาช่อเอื้อง แต่ไม่เจอ ณราเดินตามมา ผ่านความรกและเศษซากหักพังจนทำให้ต้องเดินห่างจากพริ้วไป ณราตะโกนเรียก “อย่าเดินไปไกลตัวผมสิพริ้ว” พลิ้วว่า “คุณกลัวหรือไงคะ” “ผมเป็นห่วงคุณต่างหาก มาอยู่ใกล้ๆ ผมนี่” พริ้วหันมาสบตา ขอบคุณ แต่ยังไม่เดินมาใกล้ณรา “ฉันต้องหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอ ฉันต้องยับยั้งเธอ ก่อนที่อาจจะทำบาปติดตัวอีก”
ที่เวที จู่ๆ ไฟก็สว่างพรึ่บขึ้นที่กลางเวที แต่บนเวทีว่างเปล่าไม่มีอะไร พริ้วกับณราหยุดยืนนิ่ง มองหน้ากัน พริ้วจับหยกป้องกัน หยกแค่อุ่นๆ ไม่ได้ร้อนจัด “หยกคุ้มครองอุ่นขึ้น คุณณราคะ ฉันว่าวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นอยู่แถวๆ นี้ เธออาจจะอยากให้เราช่วยอะไร” ณราสงสัย “ช่วยอะไร ถ้าไม่ออกมาคุยกันจะรู้เรื่องได้ยังไง ผมว่าไม่ดีแล้ว เราค่อยมาใหม่เถอะพริ้ว” ณราจะไปดึงตัวพริ้วกลับ แต่เสียงเพลงดังขึ้นก้องไปทั้งโรงละคร ณราอึ้ง “อะไรกันเนี่ย” “มีคนตายที่นี่!” จู่ๆ พริ้วก็ครางออกมา มือไม้เย็น จะหมุนตัวกลับ
พลันพริ้วสะดุดอะไรบางอย่าง ผงะออกมา ร่างกายซวนเซ พริ้วร้องกรี๊ด ณราโผเข้าประคองพริ้วไว้ได้ทันท่วงที ไฟสปอร์ตไลท์สว่างพรึ่บ ส่องมาที่ศพไทในชุดขาวที่มีเลือดอาบแดงฉาน ตาเหลือกถลน “เรามาไม่ทัน เรามาไม่ทัน” พริ้วตกใจ ประหวั่น เสียใจที่ยับยั้งเหตุไม่ทัน ระคนกัน จนเป็นลมอยู่ในอ้อมแขนณรา เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกของช่อเอื้องดังกึกก้องขึ้นทั่วโรงละคร ณราได้ยินก็ขนลุก แต่ไม่สนใจ รีบอุ้มพริ้วออกมา
ที่ตำหนักพ่อปู่ พ่อปู่ลืมตาโพลงขึ้น รู้เรื่องว่าไทตายแล้วจากการนั่งทางใน
ด้านหลวงปู่มั่นที่รู้เรื่องเช่นกันจากการนั่งทางในก็ถอนหายใจ ปลง “คนเราก็เท่านี้ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกฎของความไม่เที่ยง อนิจจังวัฏสังขารา เป็นธรรมดาของชีวิต” หลวงปู่มั่นมองทอดสายตายาวไกลไปหยุดที่ใบไม้ร่วงลงดิน
วันรุ่งขึ้น ณราไม่รู้จะให้ปากคำตำรวจยังไง เกรงว่าตำรวจะไม่เชื่อ ตำรวจให้บอกมาตามจริง
ณราพูดอึกอัก “คือคุณพริ้ว เลขาฯ ของผม เธอมีสัมผัสพิเศษ เมื่อเช้าเธอบอกว่ามีวิญญาณผู้หญิงที่เคยถูกฆ่าตายแล้วซ่อนศพไว้ด้านหลังโรงละครนี้ วิญญาณผู้หญิงคนนั้นต้องการความช่วยเหลือ เราสองคนก็เลยมาที่นี่” ตำรวจหันมองหน้ากัน ไม่อยากจะเชื่อ “พวกคุณจะมาหาวิญญาณผู้หญิง แต่พบศพผู้ชายคนนี้แทน” ณราพยายามพูด “คุณตำรวจถามคนงานดูก็ได้ เราทุกคนช่วยกันพังประตู พังตั้งนานก็ไม่สำเร็จ ระหว่างนั้นก็มีเสียงโครมครามดังมาจากข้างใน คนงานผมได้ยินเสียงเพลงโบราณ วิ่งกระเจิงไปตั้งหลายคน” ณราหันมองไปทางกลุ่มคนงานตัวเอง ตำรวจมองตาม ที่กลุ่มคนงานยังขวัญหนีดีฝ่อ บางคนหัวลุกหัวตั้ง ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวมาก ตำรวจว่า “เอาล่ะครับ ผมจะสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีกที ขอบคุณสำหรับความร่วมมือนะครับ เราอาจจะต้องขอกั้นพื้นที่โรงละครนี้ไว้ก่อน เพราะเป็นที่เกิดเหตุ” ตำรวจเดินแยกออกไป ณราถอนหายใจ ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
กรณ์เดินเข้ามา ณรารีบเดินไปหากรณ์ “ผมทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว ผมโทรไปที่บ้านคุณพริ้ว ซินแสเฟยเล่าให้ฟังหมดแล้ว” ณรารีบถาม “พริ้วฟื้นแล้วใช่ไหมครับ” กรณ์บอก “ยังครับ แต่ซินแสฝากบอกคุณว่าไม่ต้องเป็นห่วง” ณราหน้าเสีย “คุณพริ้วเจอเรื่องแบบนี้มาเยอะแล้ว ทำให้เธอไม่สบายก็หลายครั้ง ผมไม่อยากให้พริ้วเป็นแบบนี้อีก” กรณ์สงสัย “นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง จู่ๆ มีคนถูกฆาตกรรมในโรงละคร”
เสียงชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันด้วยความหวาดกลัวดังมาแว่วๆ “มีคนตายแล้วจะสร้างโรงแรม บรึ๋ยย ใครจะกล้ามาพัก” ณราหันไปมอง นึกหนักใจเรื่องข่าวลือ “เรื่องข่าว ผมคงต้องพึ่งฝีมือคุณ ผมไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ไปถึงสื่อต่างๆ” กรณ์พยักหน้า “ผมทราบครับ ยิ่งคนพูดกันมาก ยิ่งจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของโรงแรมที่จะสร้าง เรื่องนี้ผมจัดการเอง” ณราถอนใจ “เฮ้อ.. แปลกประหลาดมากเลย ถ้าคุณพริ้วไม่มีลางสังหรณ์อะไร ผมกับเธอคงไม่ได้มาที่นี่ และเราอาจจะไม่รู้ว่ามีผู้ชายถูกฆ่าตายอยู่ในนั้น”
เจ้าหน้าที่กู้ภัยหามเปลที่มีร่างไทมีผ้าคลุมร่างออกมา ผ่านณราและกรณ์ จังหวะนั้นลมพัด ผ้าคลุมร่างเผยอขึ้น กรณ์เห็นหน้าชัดเจนว่าคนที่ตายคือไท “ไท!” ณราแปลกใจ มองกรณ์ ถามว่ารู้จักเหรอ “ครับ รู้จักดีทีเดียว”
พริ้วฟื้นได้สติก็ตัดสินใจถอดหยกออก หวังจะติดต่อกับช่อเอื้อง

ตอนที่ 17 วันอังคาร ที่ 25 มีนาคม 2557
ที่วัด ณรา พริ้ว และกรณ์เดินเข้าไปไหว้ศพ แล้วไปไหว้ญาติของไท ก่อนพากันไปนั่งฟังพระสวด
แพรวเดินตามเข้ามาไหว้ศพ ญาติจุดธูปส่งให้ แพรวรับธูปมาแล้วมองไปที่รูปไท “ฉันเตือนแกแล้วนะไท แกก็ไม่เชื่อฉัน ต่อไปนี้แกก็ค่อยไปตามรักกับอีช่อในนรกแล้วกัน” แพรวอดไม่ได้มีรอยยิ้มมุมปากผุดขึ้น แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น เห็นกรณ์ ณรา และพริ้วมองมา แพรวแกล้งบีบน้ำตาทันที
แพรวลุกขึ้นเดินเข้าไปหากรณ์ โดยเบียดพริ้วออกไปแล้วบอกว่าอยากนั่งกับกรณ์ พริ้วหันไปมองเคืองๆ แต่ไม่อยากมีเรื่องเลยยอมลุกออกไปโดยดี กรณ์ไม่ค่อยพอใจที่แพรวแสดงกิริยาไล่พริ้วให้ลุกไป “ผมคิดว่าคุณจะไม่มา” แพรวตีหน้าเศร้า “แพรวจะไม่มาได้ยังไงล่ะคะ ไทเป็นเพื่อนรักของแพรว เราเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา แพรวต้องมาส่งเพื่อนสิคะ” พริ้วแทรกขึ้น “แต่ก็มาถึงก่อนสวดจบสุดท้าย” ณราปราม “คุณพริ้ว” แล้วกระซิบกันสองคน “ช่างเขาเถอะน่า” “ฉันยังทำใจไม่ได้ ฉันไม่อยากให้ไทเห็นว่าฉันอ่อนแอ” แพรวน้ำเสียงแข็งเมื่อพูดกับพริ้ว แล้วก็หวานขึ้นและมารยาขึ้นเมื่อพูดกับกรณ์ “แพรวแทบช็อกนะคะคุณกรณ์ ช่วงนี้แพรวคงต้องขอให้คุณกรณ์อยู่เป็นเพื่อนบ่อยๆ แพรวไม่ค่อยสบายใจน่ะค่ะ” พริ้วแทรกอีก “คุณแพรว ตั้งแต่มา เห็นพูดแต่เรื่องของตัวเอง ทำไมคุณไม่ถามสักคำว่าเพื่อนคุณเสียชีวิตยังไง” กรณ์มองแพรวอยู่ รอฟังคำตอบ แพรวช้อนสายตามองกรณ์ สะบัดแพขนตาให้น้ำตาไหลบ่าออกมาราวกับเขื่อนแตก
“แพรวยังทำใจไม่ได้ค่ะคุณกรณ์ แพรวไม่อยากให้เรื่องพวกนี้มาตอกย้ำว่าเพื่อนรักของแพรวได้จากแพรวไปแล้ว อย่างไม่มีวันกลับ” พริ้วส่งเสียงเบาๆ “โอ้โห สวยๆ” ณราต้องหันไปปราม “พริ้ว” กรณ์ถามขึ้น “ไทไม่เคยเล่าอะไรให้คุณฟังเลยเหรอแพรว” แพรวบอก “ไม่เคยเลยค่ะ ถึงเราจะสนิทกัน แต่ไทไม่เคยบอกว่ามีศัตรูที่ไหนเลย ไทเป็นคนดีมากนะคะ” พริ้วสงสัย “แต่คุณไทถูกฆ่าตายด้วยความแค้น คนทำร้ายต้องมีความ
แค้นส่วนตัว คุณไม่รู้จริงๆ หรือคะคุณแพรว ว่าเพื่อนคุณเคยมีเรื่องกับใคร” แพรวรีบปฏิเสธ “เรื่องอะไร ไม่มีหรอกค่ะ เราทุกคนรักกันยิ่งกว่าอะไร แพรว ไท ช่อเอื้อง เราไม่เคยทะเลาะกันเลย เราสนิทกันมาก มีอะไรก็ปรึกษากันตลอด” กรณ์มองหน้าแพรว ชั่งน้ำหนักความเชื่อถือ แต่สีหน้าพริ้วดูเหมือนไม่เชื่อเด็ดขาด “ถ้าสนิทกันขนาดนั้น คุณไทต้องเล่าอะไรให้คุณฟังบ้างสิ คุณไม่รู้เลยหรือว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงละคร” ณราเห็นท่าไม่ดี ขัดขึ้น “พอเถอะคุณพริ้ว คุณแพรวเสียเพื่อนไปแล้วทั้งคนยังทำใจไม่ได้ คุณจะซักเขาให้ได้อะไรขึ้นมา” พริ้วไม่ยอม “แต่ฉันอยากรู้” ณราตัดบท “ไว้ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะน่า” พริ้วจะอ้าปากเถียงอีก ณราเอามือตนเองไปจับมือพริ้วขอให้หยุด พริ้วจำใจยอมสงบลง เสียงพระสวดจบสุดท้ายดังขึ้น ทุกคนเลยต้องหยุดการสนทนา แพรวประนมมือไปอย่างนั้น ในใจนึกเคียดแค้นพริ้ว
ที่หน้าวัด มีเสียงพระสวดศพแว่วๆ ในความมืด ช่อเอื้องปรากฏร่าง สีหน้ายิ้มเยาะสะใจ
“จบสิ้นกันเสียที ไอ้ไท” ช่อเอื้องตวัดสายตามองไปที่ศาลาสวดศพ “มึงจะเป็นศพต่อไป นังเพื่อนทรยศ”
ช่อเอื้องยิ้มเย้ย เลือดเย็น แววตาแดงก่ำ น่าหวาดกลัว ส่วนแพรวเชิดหน้าฟังสวด ไม่รู้สำนึก
ที่มุมหนึ่ง ณรา พริ้ว กรณ์ และแพรวลาเจ้าภาพแล้วเดินออกมา ณราจะไปส่งพริ้ว แต่เธอบอกว่าจะกลับพร้อมกรณ์ “ผมผ่านทางนั้นพอดีครับ” กรณ์ตอบจริงใจ แต่พอเห็นสายตาณรา กรณ์ก็เข้าใจ อดยิ้มไม่ได้ “คุณพริ้วครับ ผมว่าคุณให้คุณณราไปส่งดีกว่า น่าจะดีที่สุด” พริ้วงง “อ้าว ทำไมล่ะคะคุณกรณ์”
ณราเข้าไปดึงมือพริ้วเดินออกไป “ไม่ต้องถามมากหรอกน่า มานี่ ผมจะไปส่งเอง” ก่อนจะไปณราหันกลับไป พยักหน้าให้กรณ์เป็นเชิงขอบคุณ กรณ์พยักหน้ารับ หันมาเจอแพรว เขาทำท่าจะเลี่ยงไป แพรวเข้าไปขวางยิ้มๆ “ที่คุณกรณ์ไม่ไปส่งคุณพริ้ว คุณกรณ์จะ ไปส่งแพรวใช่ไหมคะ ดีจังค่ะ เราไปหาที่นั่งเย็นๆ จิบอะไรเบาๆ คุยกันดีกว่า” กรณ์บอก “ผมว่าคืนนี้คงไม่เหมาะนะครับ เพื่อนสนิทคุณ เพิ่งเสียชีวิต ช่วงเวลาอย่างนี้ เราน่าจะนึกถึงคนตาย มากกว่ามาพูดคุยเรื่องอื่น ผมขอตัวนะครับ” กรณ์เดินหนีออกไป แพรวยืนเข่นเขี้ยวอยู่คนเดียว โกรธ และคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สายตาวาบ อย่างน่าหวั่นใจ
แพรวไปหาพ่อปู่ บังคับให้ทำเสน่ห์ให้กรณ์ หลงรักเธอให้ได้ พ่อปู่ว่า “มึงนี่มันเลือดชั่วตั้งแต่ชะตาเกิด จะทำชั่วอะไร ก็ง่ายดายยิ่งกว่าใครทั้งหมด คืนนี้เดือนคว่ำจันทร์ดับ ได้จังหวะเหมาะจะทำพิธีอาบราคะ มึงเตรียมตัว ได้เลย” แพรวยิ้มสาแก่ใจ คืนนี้เธอจะได้เล่ห์สวาทราคะ มาเสริมเสน่ห์ตน คิดว่ากรณ์จะต้องรักต้องหลงหัวปัก หัวปำ
หลังจากทำพิธีเสร็จ พ่อปู่ก็บอกให้แพรวเอาน้ำที่เธอแช่นั่นไปให้กรณ์ดื่ม
ขณะที่พริ้วก็ขอให้ณราพาเธอไปที่โรงละคร ณราจะไม่พาไป พริ้วก็จะหนีลง ณราจำต้องพาไป พริ้วขอเข้าไปคนเดียว ณราได้แต่ยืนรอที่รถอย่างกระวนกระวายใจด้วยความเป็นห่วง
พริ้วเข้าไปในโรงละครก็ร้องเรียกช่อเอื้องทั้งที่ยังไม่รู้จักชื่อ ได้แต่เรียกเธอ ถามว่าเป็นคนฆ่าไทใช่ไหม พริ้วพยายามพูดกล่อม “อย่าทำแบบนี้อีกนะคะ มันจะเป็นบาปติดตัว ไปตลอดชีวิต ทำไมเธอไม่ออกมาหาฉันล่ะ อยากให้ฉันช่วยอะไรก็บอก เธอจะได้ไม่ต้องทำร้ายใครอีก ออกมาเถอะ” ยังไม่มีวี่แววผีตัวไหนจะออกมา พริ้วถอนหายใจ เริ่มท้อ “ออกมาเถอะ ฉันยินดีจะช่วยเธอ จริงๆ นะ” เงียบสนิท พริ้วหมดหวัง ถอนใจ หมุนตัวกลับ
ผ่าง! ช่อเอื้องปรากฏร่างตรงหน้าพริ้วระยะประชิด สีหน้าขาวตาแดงก่ำ จ้องตรงมาที่พริ้ว ทำให้พริ้วตกใจ หงายหลังล้มลงไป ช่อเอื้องจ้องพริ้วเครียดๆ ไม่เชื่อง่ายๆ “อย่าแส่เรื่องคนอื่น ถ้าไม่อยากตาย”
พริ้วรีบบอก “ฉันแค่อยากจะช่วย ฉันไม่อยากให้เธอ สร้างบาปอีก” ช่อเอื้องว่า “หึ พูดไปอย่างงั้น คนใจคด คิดทรยศทุกราย” พลิ้วพยายามพูด “แต่ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น ฉันไม่ได้เห็นเธอเป็นศัตรูคู่อาฆาต ฉันเต็มใจจะช่วยเธอจริงๆ มีอะไรก็บอก มาเถอะ” ช่อเอื้องตวาด “กูไม่เชื่อ ไม่มีใครรักกูจริง ทุกคนแย่งของ ของกู มึงจะแย่งอะไรจากกู” “ฉันมาให้ ฉันมาดี ถ้าเธอไม่เชื่อล่ะก็” พริ้วลุกขึ้น เผชิญหน้าช่อเอื้องจ้องตา “ใช้ร่างฉันสิ เข้ามาอยู่ในร่างฉัน คนอื่นไม่เห็นเธอ มีแต่ฉันเห็นเธอคนเดียว ถ้าเธอไม่เชื่อใจ ลองสิงร่างฉันแล้วบอกสิ่งที่เธอต้องการ” ช่อเอื้องมองหน้าพริ้วลังเล ก่อนจะตัดสินใจ
ประตูโรงละครเปิดออก ณราเดินเข้ามาเห็น พริ้วยืนอยู่หน้าเวทีนิ่งๆ ไม่หันหน้ามา ณราร้องเรียก“คุณพริ้ว หายมาตั้งนาน เป็นอะไรหรือเปล่า ผมเป็นห่วงคุณรู้ไหม”
พริ้วยังไม่หันมาแต่พูดขึ้นลอยๆ “มันฆ่าฉัน พวกมันฆ่าฉัน” ณราเริ่มเอะใจ เดินเข้ามาใกล้ จับไหล่พริ้ว ให้หันกลับมา ณราผงะ พริ้วดวงตาแดงก่ำจ้องหน้าณรา เป็นสายตาของความเจ็บปวด รันทดใจ และเคียดแค้นปะปนกัน “คุณ คุณไม่ใช่พริ้ว” ช่อเอื้องในร่างพริ้วว่า “พาฉันไปหาคุณกรณ์ บอกคุณกรณ์ว่าฉันถูกฆ่า”
พริ้วตากลับ เหลือกขึ้น ตาแดงหายไป ตาขาว กลับมา กลายเป็นพริ้วตัวจริง ก่อนจะสำลักแล้วไอ ณราตกใจ“พริ้ว! คุณเป็นใคร อย่าทำอะไรพริ้ว อยากได้ อะไร บอกมาเถอะ” พริ้วตากลับ เหลือกลง ตาขาวหายไป ตาแดง กลับมาอีก กลายเป็นช่อเอื้องที่สิงร่างพริ้ว “บอกคุณกรณ์ว่าฉันถูกฆ่า ช่วยฉันด้วย ฉัน ถูกฆ่า” ณรางง“กรณ์? ทำไมถึงเกี่ยวกับคุณกรณ์” ช่อเอื้อง ในร่างพริ้วสำลักออกมาเป็นเลือด ณรารีบพูด “โอเค ผมรู้แล้ว แต่อย่าทำร้ายพริ้ว อย่า” พริ้วตากลับ เหลือกขึ้น ตาแดงหายไป ตาขาว กลับมา กลายเป็นพริ้ว พริ้วหมดสติ ทรุดลง ณราโอบประคองแนบอก “คุณพริ้ว!” ณราเหลียวซ้ายแลขวา มองหาวิญญาณที่สิงพริ้ว แต่ไม่เจอ ณราก้มมองพริ้วอย่างเป็นห่วง
ช่อเอื้องยังคงไปเข้าฝันกรณ์ทุกคืน หวังให้กรณ์เห็นเธอ แต่ก็ไม่ได้ผล
พริ้วตื่นขึ้นมาวันใหม่ ก็โดนซินแสเฟยซักถาม ก่อนซินแสเฟยจะสั่งว่าอย่าทำแบบนี้อีก เพราะบ่วงกรรมของใคร ก็ของมัน ห้ามเข้าไปยุ่ง พริ้วว่า“แต่เป็นเพราะชะตาพัดมาไม่ใช่เหรอป๊า ฉันถึงได้รับรู้วิญญาณผู้หญิงคนนั้น ฉันหวังดีนี่แหละ ถึงได้ต้องยุ่ง แสดงว่าฉันต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย” ซินแสเฟยส่ายหันในความรั้นของลูกสาว “บ๊ะ ทำไมลื้อมันยุ่งอย่างนี้ ก็ล่าย ก็ล่าย อั๊วจะ ตรวจดวงชะตาให้ลื้อเอง แต่บอกไว้ก่อน ถ้าชะตาลื้อ ไม่ได้พ้องกับวิญญาณผู้หญิงคนนี้หรือโรงละครนี่ ป๊า สั่งลื้อห้ามยุ่งกับเรื่องหลังความตายพวกนี้เด็ดขาด” พริ้วพยักหน้ารับคำ ซินแสเฟยลูบหัวพริ้วอย่าง รักใคร่ เป็นห่วง
พอพริ้วไปถึงโรงแรมเดอะวารี ก็โดนณราที่รออยู่ อย่างกระวนกระวายเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พริ้วขอสัญญาก่อนว่าเธอเล่าแล้วจะเชื่อ ณราจำต้องสัญญา พริ้วเล่าความจริงให้ฟัง ณราบอก “ผมเชื่อคุณ และถ้ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนร่วมงานของผมก็ต้องเชื่อ และหาทางช่วยด้วย ไปกัน” พริ้วงง“ไปไหนคะ” ณราว่า “ก็ ไปทำตามที่วิญญาณนั้นบอกให้ทำยังไงล่ะคุณกรณ์จะต้องรู้เรื่องนี้” ณราดึงมือพริ้วออกไป พริ้วมองณราด้วยความตื้นตัน พริ้วบีบมือณรากลับ ณราหันกลับมามองพริ้ว “ฉันขอบคุณที่คุณเชื่อฉัน” ณราพยักหน้ายิ้มๆ “รีบไปกัน ถ้าเราช่วยให้วิญญาณที่ติดอยู่ใน บ่วงทุกข์ได้หลุดพ้นก็เป็นเรื่องดีและควรทำ”

ตอนที่ 18 วันพุธ ที่ 26 มีนาคม 2557
แพรวไปหากรณ์ที่บ้าน แกล้งทำเป็นทรุดลงนั่งร้องไห้โฮ กรณ์ตกใจมากรีบเข้ามาดู ลูบผมแพรวด้วย ความห่วงใย ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แพรวว่าตนเองฝันถึงไท อยากชวนกรณ์ไปทำบุญให้ไท กรณ์ยินดีพาไป
ณราพาพริ้วมาที่บ้านกรณ์ ระหว่างทางพริ้วก็ซักณราว่าเธอพูดอะไรบ้างแล้วก็คิดว่าช่อเอื้องอาจ เป็นคนรักของกรณ์ ทำให้เธออยากรู้ เร่งให้ณราไปบ้านกรณ์ แต่พอไปถึงปรากฏว่ากรณ์ไม่อยู่ พลิ้วบอกให้
ณราโทรหากรณ์
กรณ์อยู่ที่วัดกับแพรว ได้ยินโทรศัพท์ก็เอาขึ้นมาดู แพรวขอให้ทำบุญก่อนค่อยคุยเรื่องงาน กรณ์จึงไม่รับสายณรา
ณราหันไปบอกพริ้วว่ากรณ์ไม่รับสาย เธอกังวลใจมาก ให้ณราโทรอีก แต่ณราคิดว่ากรณ์คงติดธุระถึงไม่รับสาย พริ้วบ่น “โธ่เอ้ย! ทำไมต้องมายุ่งตอนนี้ด้วยนะ” ณราบอก “ใจเย็นๆ สิครับ จะใจร้อนไปไหนเนี่ย” พริ้วว่า “ฉันไม่ได้รีบ แต่วิญญาณผู้หญิงคนนั้นเขาต้องรีบแน่ ฉันมั่นใจ” พริ้วจริงจังมาก ณราพริ้วมองแบบกังวล
ในศาลาการเปรียญ แพรวกับกรณ์ถวายสังฆทานเสร็จก็กรวดน้ำ ช่อเอื้องมองไปด้านบน เห็นแสงเงินแสงทอง วิบวับ แต่ไม่ตกมาถึงตน “คุณกรณ์ ช่อตายแล้ว ช่อถูกพวกมันฆ่าตาย แผ่บุญให้ช่อด้วย ช่อจะได้มีพลังกลับไปล้างแค้นมัน! คุณกรณ์ แผ่บุญให้ช่อ แผ่บุญให้ช่อด้วย”
แพรวกับกรณ์มานั่งดื่มกาแฟคุยกัน แพรวทำเป็นโล่งใจที่ได้ทำบุญให้ไท กรณ์เล่าให้แพรวฟังว่าเขาก็ฝันถึง ช่อเอื้องแปลกๆ “ในฝันช่อเอื้องมีเลือดเต็มตัว ผมกังวลจริงๆ กลัวว่าเธอจะเป็นอะไร” แพรวรีบพูดกลบเกลื่อน “อย่ากังวลไปเลยค่ะ อย่าลืมสิว่าช่อเขาไม่อยาก ให้คุณเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก ตัดใจเถอะค่ะ คิดเสีย ว่าคนเราพบเพื่อจาก ตายเพื่อพรากนะคะ” กรณ์แปลกใจ “คุณพูดเหมือนกับช่อเขาตายไปแล้วยังงั้น แหละ” แพรวสะดุ้งวาบ รีบปรับสีหน้าแล้วแก้ตัว “ตงตายอะไรกันคะ เขาก็ไปมีชีวิตของเขา อยางนี้เขาเรียกว่าจากเป็นค่ะ ไม่ใช่จากตาย” กรณ์อึ้งๆ เสียงโทรศัพท์เข้าดังขึ้นอีกครั้ง กรณ์หยิบขึ้นมาดูเห็นเป็นณรา เลยขอตัวเดินออกไปรับสาย “ครับคุณณรา ขอโทษด้วยที่เมื่อกี้ไม่ได้รับสาย นะครับ พอดีว่าผมไม่ค่อยสะดวก มีอะไรด่วนรึเปล่า ครับ” ณราคุยโทรศัพท์กับกรณ์ “เรื่องที่ผมจะบอกคุณ มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อหน่อยนะครับ แต่ขอให้ เชื่อใจว่าผมไม่ได้โกหก แล้วก็ไม่ได้ล้อเล่นด้วย” กรณ์เริ่มงง “มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
ณราว่า “ที่โรงละครมีวิญญาณน่ะครับ เธอเป็นผู้หญิง แล้วเธอก็อยากให้คุณรู้ว่าเธอเสียชีวิตแล้ว” กรณ์ถาม“แล้วเธอบอกรึเปล่าครับว่าเธอเป็นใคร” “ไม่ได้บอกครับ เธอบอกแค่นั้นจริงๆ” กรณ์ใจหายวาบ “ช่อเอื้อง”
ในร้านกาแฟ แพรวแอบเทน้ำกาลีใส่แก้วกรณ์ กรณ์กลับมาที่โต๊ะ หน้าตาตื่นบอกเรื่องที่ณราเล่าให้แพรวฟัง แพรวทำเป็นหัวเราะขำ “อะไรกันคะคุณกรณ์ นี่คุณเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอคะ” กรณ์ว่า “ผมโตมากับการไหว้ครูละครของคุณแม่ เรื่องเหนือธรรมชาติทำนองนี้ ผมไม่กล้าลบหลู่หรอกครับ แล้วที่สำคัญคุณ
ณราเขาเน้นว่าเขาไม่ได้โกหกหรือว่าล้อเล่นด้วย” “ใจเย็นๆ ค่ะ ดูสีหน้าคุณสิ หน้าซีดหมดเลย ดื่มกาแฟก่อนสิคะ” แพรวรีบยกแก้วกาแฟส่งให้ กรณ์รับไว้แต่ยัง ไม่ยอมดื่ม แพรวทำเป็นชวนคุยต่อ “แล้วคุณณราเขาไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกันคะ อย่าบอกนะว่าเขาเห็น” กรณ์บอก “คุณณราเขาบอกว่าวิญญาณผีผู้หญิงที่โรงละครเข้าสิง ร่างคุณพริ้ว สั่งให้เธอมาบอกกับผมว่าเธอตายแล้ว” แพรวแกล้งยิ้มรับ ทั้งๆ ที่ในใจเต้นแรง “ไปกันใหญ่ แล้ว เหลวไหลชะมัด หวังว่าคุณคงไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ นะคะ” กรณ์พูดต่อ “จำที่ผมเล่าเรื่องความฝันเมื่อคืนได้ไหมครับ เรื่องช่อเอื้อง ผมกลัวว่าวิญญาณนั่นจะเป็นเธอ” แพรวตีหน้าแกล้งทำเป็นไม่เชื่อ “อย่าเอามาเกี่ยวกันสิคะ ฝันก็ส่วนฝัน ว่าแต่ นี่ตกลงคุณเชื่อเรื่องผีสางจริงๆ หรอกคะ” “ผมก็ไม่แน่ใจ แค่รู้สึกไม่สบายใจ คงเหมือนที่ คุณไทมาเข้าฝันคุณแล้วคุณต้องออกมาทำบุญให้เขา มันก็คงเหมือนๆ กันไม่ใช่เหรอครับ” กรณ์วาง แก้วกาแฟลง แพรวสะอึก พูดไม่ออก แพรวมองแก้วกาแฟแค้นช่อ แล้วรีบปรับสีหน้า “เอ่อ มันต่างกันค่ะ ฉันกับไทเป็นเพื่อนกันมานาน มีจิตใจผูกพันกัน พอไทมาตาย ฉันก็เลยไม่สบายใจ ไม่ใช่ว่าฉันเห็นผีเขามาขอส่วนบุญ ซะที่ไหน” กรณ์นิ่งไป สีหน้าครุ่นคิดกับเรื่องที่ณราเพิ่งบอก กังวลว่าจะเป็นช่อเอื้อง
แพรวว่า “เอาอย่างนี้สิคะ ฉันจะลองติดต่อช่อดู ให้รู้ไปเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับช่อกันแน่ คุณจะได้สบายใจ ตกลงไหมคะ” กรณ์อึ้งๆ ยังไม่ตอบ แพรวเห็นกรณ์ไม่ตอบก็พยายามพูดอีก “แพรวยินดีจะช่วยคุณ ทุกอย่าง เราต้องรู้ความจริงเรื่องนี้ให้ได้ แพรวสัญญาค่ะว่าจะช่วยคุณให้ได้” แพรวยกแก้วกาแฟส่งให้ กรณ์รับไป แพรวยิ้มให้ “ดื่มสิคะ จะได้ สดชื่นขึ้น เรื่องช่อไว้เป็นธุระแพรวเองค่ะ” กรณ์กลุ้มใจ แต่ก็ดื่มกาแฟจนหมด เห็นหมอกดำกระจายออกมาจากร่างเต็มตัวกรณ์ น้ำกาลีกำลังออกฤทธิ์ แพรวลอบยิ้มร้าย
พ่อปู่ที่หลับตานั่งทางในอยู่เห็นภาพกรณ์ดื่มน้ำกาลี พ่อปู่หัวเราะออกมาทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
อนงค์กลัวผีช่อเอื้องอย่างมาก แถมแพรวก็ ไม่ค่อยอยู่กับเธอ จึงไปขอน้ำมนต์หลวงปู่ที่วัด ไปพรมบ้านและดื่ม เพื่อความสบายใจ
พริ้วรู้สึกไม่สบายใจ ลากแกมบังคับณราให้พาเธอ ไปที่โรงละคร ระหว่างอยู่ในรถ พริ้วจะถอดหยก
ณราต้องขู่ให้ใส่ตามเดิม ไม่งั้นไม่พาไป
ขณะที่กรณ์นั่งรถแพรวมา ตอนแรกคิดจะไป โรงละคร แต่กรณ์รู้สึกร้อนรุ่ม ขอให้แพรวไปส่งที่บ้าน เขารู้สึกแปลกๆ มากว่าตัวเองเป็นอะไรไป แพรวยิ้มรู้ว่ายาเริ่มออกฤทธิ์
ณราตามประกบพริ้วเข้ามายังลานน้ำพุเทวีที่รกร้าง พริ้วเดินเข้ามาเผชิญหน้ากับวิญญาณช่อเอื้อง พริ้วไม่เห็นช่อเอื้อง ได้แต่มองไปรอบๆ แล้วเรียก ช่อเอื้อง ณราถามว่าเรียกทำไม “ฉันอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับ คุณกรณ์” ณราไม่พอใจ “นายกรณ์อีกแล้ว หายใจเข้าหายใจออกเป็น กรณ์ นี่คุณอย่าบอกนะว่าคุณหึงหวงผี” พริ้วตวาด “จะบ้าเหรอ พูดอะไรบ้าๆ ปากพล่อยจริงๆ เลย คุณนี่” ณราตอบกวนๆ “ถ้าไม่จริงผมก็จะดีใจ” พริ้วค้อนณรา ก่อนหันไปมองหาช่อเอื้อง“คนบ้า คุณคะ ถ้าคุณอยู่แถวนี้ ช่วยออกมา ด้วยเถอะนะคะ ฉันมาเพื่อช่วยเหลือคุณ มีอะไรให้ฉัน ช่วยได้ก็เข้าสิงร่างฉันแล้วบอกเรื่องที่คุณอยากให้เรา ช่วยกับผู้ชายคนนี้” พริ้วชี้ไปที่ณรา ณราตกใจ “เฮ้ย พริ้ว คุณรู้ใช่ไหมว่าทำแบบนี้ มันจะไม่ดีกับตัวคุณเอง” พริ้วไม่ตอบอะไร ก้มหน้ามองหยกคุ้มกัน พอช่อเอื้องไม่ได้คิดจะทำร้ายพริ้ว ทำให้สามารถ เข้าสิงได้แม้มีหยก “หยกไม่เปลี่ยนสี ไม่ร้อน แสดงว่าเธอไม่ใช่ พลังด้านมืด เธอไม่ได้มาร้าย ไม่เชื่อก็ดูสิคะ” พริ้วโชว์ หยกที่คอให้ณราดู “จริงด้วย” พริ้วหันไปเรียกช่อเอื้องอีกที “คุณคะ คุณเองก็มาดี ฉันเองก็ปรารถนาดี เราต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้คิดร้าย ต่อกัน มีอะไรที่พวกเราจะช่วยได้ก็บอกมาเลยค่ะ ฉันพร้อมแล้ว” พริ้วหลับตาลง “พริ้ว แต่ว่า” ณราจับไหล่พริ้วให้หันมา ณราถึงกับผงะไปเพราะพริ้วที่หันมาน้ำตา อาบแก้ม สีหน้าเศร้าโศกมาก ณราผงะออก ปล่อยมือ จากพริ้ว ร่างของพริ้วสั่นนิดๆ ร้องไห้ไม่หยุด “คุณไม่ใช่พริ้ว” พริ้วว่า “ฉันชื่อช่อเอื้อง” ณราถาม “ช่อเอื้อง แล้วคุณเป็นใคร ต้องการให้พวกเราช่วยอะไร” “ฉันเป็นคนรักของคุณกรณ์” ณราถามต่อ “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณครับ ทำไมคุณถึงตาย แล้วทำไมคุณกรณ์เขาถึงไม่รู้เรื่องนี้” คำถามของณราสะกิดแผลแค้นของช่อเอื้อง พลังแห่งแรงแค้นส่งผลให้พริ้วกระอักเลือดออกมา ร่างของพริ้วทรุดลงไป ณรารีบเข้าไปช้อนรับไว้ วิญญาณช่อเอื้องออกจากร่างพริ้ว ช่อเอื้องพยายามพูด “ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้อยากทำร้ายเธอ ฉันขอโทษ” ณราเขย่าตัวพลิ้ว “พริ้ว คุณเป็นยังไงบ้าง พริ้ว ท่าจะไม่ดีแล้ว ทำใจดีๆ ไว้นะครับ” ณราช้อนร่างพริ้วอุ้มออกไป ช่อเอื้องทรุดลงไปร้องไห้อยู่ที่พื้น
ณราอุ้มพริ้วกลับมาที่รถ เปิดประตูแล้วจับร่างพริ้ววางลง ปิดประตูแล้วจะอ้อมไปฝั่งคนขับ ทันใดนั้น รถคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามา เสียงเบรกเอี๊ยดดดด แต่ไม่ทัน รถพุ่งชนร่างณราอย่างแรง
ที่รถปิคอัพ ลูกพี่หันไปตบหัวลูกน้องที่เป็นคนขับรถ และด้วยความกลัวก็พากันขับหนี ณราค่อยๆ หมดสติสลบไป อีกาดำของพ่อปู่บินมาเกาะแถวๆ นั้น
พ่อปู่แสยะยิ้มสาแก่ใจ “อยากสู่รู้ดีนัก มึงเลยต้องเจอดี”
วิญญาณช่อเอื้องมาปรากฏที่ร่างของณรา “คุณต้องไม่ตาย ฉันจะช่วยคุณเอง” วิญญาณช่อเอื้องลุกขึ้นไปที่ร่างพริ้ว “ฉันขอโทษ แต่ฉันจำเป็นต้องทำจริงๆ” วิญญาณช่อเอื้องเข้าสิงร่างพริ้ว พริ้วค่อยๆ ลืมตา มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นเข้ามา วิญญาณช่อในร่างพริ้วรีบวิ่งไปขวางไว้ “ช่วย ช่วยด้วย” พริ้วกระอักเลือดอีก ช่อเอื้องรีบออกจากร่าง ร่างพริ้วทรุดฮวบลง คนขับมอเตอร์ไซค์มองไปที่รถ เห็นร่างณราก็ตกใจมากขึ้น
กรณ์นอนไม่หลับ ในหัวมีแต่ภาพแพรวเข้ามาไม่หยุด เขาแปลกใจมาก พอดีมีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลโทรมาบอกข่าว กรณ์ตกใจมาก
หน้าห้องฉุกเฉิน ซินแสเฟยรีบร้อนเข้ามาถึง กรณ์รออยู่แล้ว รีบเข้ามาหา “คุณใช่ไหมที่โทรไปหาผม” กรณ์บอก “ครับ ผมเอง ผมกรณ์ครับ ผมขอโทษนะครับที่ต้องละลาบละล้วงค้นหาเบอร์คุณจากโทรศัพท์ของคุณพริ้ว” ซินแสเฟยว่า “ไม่เป็นไร แล้วอาพริ้วเป็นยังไงบ้าง” “คุณพริ้วเธอปลอดภัยครับ ตอนนี้อยู่ที่ห้องพักฟื้น ส่วนคุณณรา เจ้านายของเธอ ยังไม่ฟื้นเลยครับ” ซินแสเฟยหน้าเสีย “อ๊ายหยา อั๊วเตือนแล้วเตือนอีกว่าอย่าไปที่โรงละครนั่น อย่าไปๆๆ ก็ไม่มีใครเชื่อ” พยาบาลเข้ามาบอกว่าคนไข้ฟื้นแล้ว กรณ์บอกซินแสเฟยให้ไปดูพริ้ว เขาจะเฝ้าณราเอง ซินแสเฟยเดินออกไป กรณ์มองตามไป นึกติดใจในคำพูดของซินแสเฟย “ทำไมต้องห้ามไปที่โรงละครด้วยนะ”
ซินแสเฟยเปิดประตูเข้ามาเจอพริ้วนั่งเอนหลังอยู่บนเตียง เธอขอโทษพ่อ บอกว่าตั้งใจอยากช่วย เธอยังบอกว่าช่อเอื้องเป็นวิญญาณที่ดี ซินแสถามว่ารู้ได้ไง “ก็หยกคุ้มกันที่ป๊าให้หนูไง เวลาที่เขามาใกล้ หยกไม่ร้อน ไม่เปลี่ยนสี เป็นปกติดีทุกอย่าง หยกไม่ได้เตือนภัย ไม่ต้องคุ้มกันหนู หนูก็เลยรู้ว่าเขาเป็นวิญญาณที่ดี เป็นผีที่น่าสงสาร หนูรู้สึกได้ หนูอยากช่วยเขานะป๊า” ซินแสเฟยถาม “ยังไง ไอ้ที่ว่าช่วยน่ะ ลื้อจะช่วยเขายังไง” พริ้วบอก “หนูก็ให้เขาสิงร่างหนู ใช้ร่างหนูบอกว่าเขาต้องการให้เราช่วยอะไรยังไงล่ะป๊า”
“บอกกับเจ้านายลื้องั้นน่ะเหรอ” พลิ้วพยักหน้า “ใช่ เพราะหนูจะไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น แต่วิญญาณนั่นจะใช้ร่างหนู บอกทุกสิ่งกับคุณณรา แล้วเราจะช่วยกันช่วยเขาไงล่ะป๊า” ซินแสเฟยถอนใจ “แล้วลื้อรู้ไหมว่าตอนนี้คุณณราเจ้านายลื้อเขาเป็นยังไงบ้าง” พอพริ้วรู้ว่าณราเป็นอะไรก็รีบวิ่งไปดู กรณ์รับหน้าไว้ พริ้วรีบถามว่ากรณ์เป็นยังไงบ้าง แล้วก็ได้แต่โทษว่าเป็นเพราะตัวเธอเอง กรณ์ปลอบว่าเป็นอุบัติเหตุ ซินแสเฟยก็ตามเข้ามาปลอบว่าตรวจดวงชะตาให้แล้ว ณราไม่ตายแน่ พลิ้วค่อยโล่งใจ แต่ยังคงมองไปที่ร่างของณราด้วยสายตาเป็นห่วง

ตอนที่ 19 วันจันทร์ ที่ 31 มีนาคม 2557
หน้าห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล พริ้วและกรณ์นั่งอยู่ด้วยกัน กรณ์สังเกตเห็นพริ้วเป็นห่วงณรามาก จนทำอะไรไม่ได้ กรณ์ยื่นแก้วกาแฟส่งให้ “ดื่มกาแฟเถอะครับ ก่อนที่มันจะหายร้อน ตั้งแต่รู้เรื่องคุณยังไม่ได้ทานอะไรเลยนะครับ” กรณ์มองพลิ้วอย่างเป็น พริ้วบอก “ฉันดื่มไม่ลงจริงๆ ค่ะ” กรณ์พยายามพูดปลอบ “อย่ากังวลไปเลยครับ คุณพ่อคุณท่านก็ยืนยันแล้วว่าคุณณราจะต้องปลอดภัย” พริ้วว่า “ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น เพราะถ้าคุณณราปลอดภัย มันจะดีกับคุณด้วย” กรณ์มองพริ้วอย่างแปลกใจ “ดีกับผม? หมายความว่ายังไงครับ” พริ้วตัดสินใจพูดขึ้น “คุณกรณ์ คุณจำเรื่องที่คุณณราเคยบอกคุณเกี่ยวกับวิญญาณผู้หญิงที่โรงละครได้ไหมคะ” กรณ์พยักหน้า “ครับ จำได้” พริ้วพูดต่อ “ก่อนเกิดเรื่อง ฉันเป็นคนชวนคุณณรากลับไปที่นั่นอีกครั้ง เพื่อให้วิญญาณผู้หญิงคนนั้นเข้าสิงร่างฉันเพื่อบอกสิ่งที่เธอต้องการ…ว่าเธอเป็นใคร… ทำไมถึงอยู่ที่นั่น แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับคุณ” กรณ์งง “เกี่ยวข้องกับผม? คุณทำอย่างนั้นเพื่อผม ขอบคุณมากนะครับคุณพริ้ว” พริ้วว่า “ฉันทำเพื่อวิญญาณผู้หญิงคนนั้นมากกว่าค่ะ เธอดูเศร้าเหลือเกิน น้ำตาของเธอแทบจะเป็นสายเลือด ฉันอยากช่วยเธอจริงๆ” กรณ์ถาม “แล้วตอนนี้เธอคนนั้น?” “คนที่รู้คำตอบทุกอย่างที่วิญญาณผู้หญิงคนนั้นบอกคือคุณณรา ฉันถึงอยากให้คุณณราฟื้น คุณณราคนเดียวเท่านั้นที่จะบอกเราได้”
กรณ์นิ่งไป มองไปทางห้องฉุกเฉินหวังให้ณราฟื้น ระหว่างกำลังครุ่นคิดตามว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครถึงได้เกี่ยวข้องกับตน กรณ์ก็เริ่มเกิดอาการมึนตึงในหัว พลิ้วหันไปเห็นก็ถาม กรณ์ก็บอกไม่เป็นไรแค่มึนหัวนิดหน่อย บอกพริ้วให้ห่วงณราดีกว่า ช่อเอื้องเห็นก็จะเข้าสิงพริ้วเพื่อจะคุยกับกรณ์ แต่ไม่ทัน กรณ์ขอตัวกลับบ้านไปเสียก่อน ช่อเอื้องเลยไม่มีโอกาสได้คุยกับกรณ์
พ่อปู่รับรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น พอดีกับที่แพรวเข้ามาหาพ่อปู่ว่าทำไมยังไม่ได้ผล พ่อปู่รับรองว่าไม่คงอีกนานนี้หรอก แล้วบอกเรื่องที่ช่อเอื้องจะสิงร่างของพริ้วเพื่อคุยกับกรณ์ พ่อปู่บอกแพรวว่าคิดกำจัดพริ้ว แล้วจะจัดการกับช่อเอื้องอีกที
เวลาเดียวกันนี้ กรณ์ที่คิดถึงแต่แพรวก็ไปหาที่บ้าน แต่อนงค์บอกว่าไม่อยู่ ให้เข้ากรณ์เข้าไปคอยในบ้านก่อน วิญณาญของช่อเอื้องพยายามห้ามแต่ก็ห้ามไม่ได้ เพราะที่บ้านของแพรวมียันต์มารสะกัดไว้ เกิดควันดำแปลบปลาบปะทะกับร่างช่อเอื้อง ช่อเอื้องหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด “คุณกรณ์ออกมา ออกมา!”
ช่อเอื้องทำอะไรไม่ได้ โดนยันต์มนตร์มารสะกัดไว้ ช่อเอื้องต้องสลายร่างหายไป
พริ้วกลับไปที่ทำงาน เคลียร์เอกสารบนโต๊ะณรา พลางคิดถึงกรณ์ที่ดูไม่สนใจเรื่องของช่อเอื้องก็แปลกใจ พริ้วตัดสินใจ “วิญญาณผู้หญิงคนนั้นต้องการบอกอะไรกับคุณกรณ์ เธอต้องเกี่ยวข้องกับคุณกรณ์แน่ๆ ฉันจะช่วยเธอ ฉันจะทำให้คุณกรณ์รับรู้เรื่องของเธอ บางทีอาจจะเป็นทางเดียวที่จะปลดปล่อยวิญญาณเธอ ให้ไปสู่สุขคติได้” พริ้วมีสีหน้ามุ่งมั่น มองภาพโรงละครซึ่งมีความสัมพันธ์กับกรณ์และช่อเอื้องโดยที่พริ้วก็ยังไม่รู้ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร
กรณ์นั่งรอแพรวด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่ม เขาผุดลุก ผุดนั่ง มองหาแพรวตลอดเวลา สีหน้าดูหมองเล็กๆ อนงค์บอกว่าไม่รู้แพรวจะกลับเมื่อไร กรณ์บอกน้ำเสียงเคร่งเครียดว่ายังไงก็จะรอ อนงค์เลยชวนคุย ถามว่าสนิทกันมากไหม ถ้าสนิทให้ช่วยเตือนแพรวที่ตอนนี้ดูทำตัวลึกลับพิกล ซึ่งอนงค์สังหรณ์ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ดี กรณ์ว่าไม่เห็น แพรวทำอะไร อนงค์เล่าเรื่องไทให้ฟัง “ก่อนนายไทจะตาย มันกับยัยแพรวต้องไปทำอะไรไม่ดีมาแน่ เพราะถึงขนาดมีผีผู้หญิงตามมาที่บ้าน เหมือนจะเคยรู้จักกันอีกด้วย” กรณ์ถาม “ผีผู้หญิงที่ว่า ผมยาวๆ ใบหน้าสวยๆ หรือเปล่าครับ” อนงค์ตกใจ “อ๊าย ใช่เลยๆๆ โอย เสียวสันหลัง มันจะ โผล่มาอีกไหมเนี่ย” กรณ์เริ่มฉุกคิดถึงเรื่องที่ตนก็ฝันเห็นช่อเอื้อง “คุณน้าเล่าให้ฟังหน่อยครับว่าผีผู้หญิงคนนั้น เป็นยังไง เขามาทำไม เขาทำอะไรบ้าง” อนงค์เล่าให้กรณ์ด้วยสีหน้ากลัวๆ “เป็นผู้หญิงผมยาว แต่งชุดเหมือนนางรำ”
กรณ์พยายามจะตั้งใจฟังอนงค์ แต่แล้วเสียงอนงค์เริ่มเบาลง หูเขาเริ่มไม่ได้ยินเสียงอนงค์ กรณ์เริ่มแปลกใจกับตัวเอง อยู่ๆก็ได้ยินเสียงแพรวดังเข้ามา กรณ์หันขวับ แพรวเดินเข้ามายิ้มหวานด้านหน้ากรณ์ แต่แอบตวัดสายตาไม่พอใจใส่อนงค์ แพรวตรงเข้าไปเกาะแขนกรณ์อ้อน “คุณกรณ์ขา แพรวขอตัวสักครู่นะคะ แม่!”
แพรวใช้สายตาจิกเรียกแม่ อนงค์ยังไม่ลุก แพรวเลยเข้าไปดึงตัวอนงค์ให้ออกไป พลางส่งสายตาหวาน ให้กรณ์ เป็นทำนองให้รอก่อน
แพรวลากอนงค์ออกมา บีบแขนอนงค์ด้วยความโกรธที่เล่าเรื่องผีช่อเอื้องให้กรณ์ฟัง แพรวสั่งให้แม่ หุบปากไม่ต้องยุ่งเรื่องของเธออีก
กรณ์กระวนกระวายรอแพรว แพรวเดินเข้ามา กรณ์จ้องหน้า แพรวจ้องตาตอบ แอบยิ้มพอใจ “น้ำกายราคะนี่ได้ผลจริงๆ คุณต้องรักฉันหลงฉัน คุณกรณ์” แพรวแกล้งทำเป็นมองหน้ากรณ์ ราวกับจะถามว่า มีอะไร กรณ์เดินเข้ามางงๆกับความรู้สึกตัวเอง แต่ยิ่งได้ใกล้แพรวกรณ์ยิ่งลืมทุกอย่างไป อยากจะอยู่กับแพรวอย่างเดียว
กรณ์ตรงเข้าไปจูบแก้มแพรวแทนคำตอบ เขาถอนจมูกออกจากแก้มแพรว มองหน้าแพรวอย่างดูดดื่ม สายตาหลงใหล แพรวสบตา สาแก่ใจ ในที่สุดกรณ์ก็หลงเธอ เข้าให้แล้ว
กรณ์กอดแพรวแน่นเข้าไปอีก ซุกใบหน้าที่ซอกคอ จากนั้นสัมผัสทางกายของสองคนก็ค่อยๆไหลลื่น จนในที่สุดกรณ์และแพรวก็จูบกันดูดดื่ม
อีกมุมหนึ่ง อนงค์แอบมองมาจากห้องครัว ตกใจมาก เอามือทาบอก ถอยไปโดนประตู ได้ยินเสียง กุกกัก แพรวได้ยินเสียงก็ดันตัวกรณ์ออกให้ไปหาที่อื่น คุยกันดีกว่า
ที่ตำหนักพ่อปู่ ตุ๊กตาดินเหนียวสองตัว ใบหน้าชนกัน มือกอดกันไว้ ถูกผูกเข้าไว้ด้วยกันด้วยด้าย สีแดง พ่อปู่กำลังร่ายคาถาเวทมนตร์ พลางเพ่งมอง ตุ๊กตามัดสองตัว
ที่ห้องรับแขกบ้านกรณ์ แพรวนอนอยู่บนโซฟา กรณ์ถอนจูบขึ้นจากแก้มของแพรว แพรวลอบยิ้มสมใจ กรณ์นั่งงงตัวเอง มองหน้าแพรว แล้วพยายามตั้งสติ แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งใจได้
พริ้วกลับไปเฝ้าณราที่ย้ายไปอยู่ห้องพิเศษ พริ้วเศร้าที่ณรายังไม่ฟื้น พริ้วกระชับผ้าห่มให้ณรา แล้วซบลงที่อกณรา พลางกอดไว้ให้ตนเองอุ่นใจว่า ณรายังหายใจอยู่
ห้องนอนบ้านกรณ์ แพรวกับกรณ์นอนกอดกันอยู่ ร่างกายที่โผล่พ้นเหนือผ้าห่มเปลือยเปล่าทั้งคู่ กรณ์ลูบหลังเปลือยของแพรวอย่างอาลัยในรสสวาทที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ สลับกับความรู้สึกหนักใจบางอย่าง ขณะที่แพรวสมใจที่สุด กระชับกอดกรณ์แน่นกว่าเดิม กรณ์เริ่มได้สติบ้าง สีหน้าหนักใจ พยายามจะ ถอนมือถอนตัวออกจากแพรว “ผมไม่ควรทำแบบนี้กับคุณ” แพรวแสร้งถาม “ทำไมล่ะคะ” กรณ์ว่า “ผมขอโทษ มันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของ ผมเอง” แพรวตีหน้าเศร้า “แพรวเสียใจนะคะที่คุณกรณ์ขอโทษแพรว” “ผมรู้ว่าผมผิดไปแล้ว ผมขอโทษจริงๆ นะครับ” แพรวว่า “เปล่าเลยค่ะ แพรวไม่ได้ต้องการคำขอโทษ แพรวแค่รู้สึกว่าเราน่าจะผูกพันกันเร็วกว่านี้” กรณ์ตกใจ “คุณแพรว!” แพรวทำท่าเขิน “เพราะแพรวก็รู้ใจตัวเองมานานแล้ว แพรว รักคุณมานานแล้วนะคะ” แพรวจูบกรณ์เบาๆ เป็นเชิงปลอบประโลมและ ยั่วยวนอีกครั้งหนึ่ง
กรณ์ขืนตัว “เราไม่ควรทำอย่างนี้” แพรวจ้องหน้ากรณ์ “ทำไมล่ะคะ ในเมื่อเราต่างรู้ใจตัวเองแล้วว่า เราต้องการกันแค่ไหน” แพรวจูบกรณ์อีกครั้ง ดูดดื่ม เนิ่นนาน “ทำตามที่ใจบอกเถอะนะคะ” สีหน้ากรณ์ดูหนักใจ รู้สึกสับสนประหลาด แต่ก็ไม่อาจห้ามใจตัวเองได้ แพรวและกรณ์โน้มตัวเข้าหากันอีกครั้ง แพรวตั้งหน้าให้ราคะนำพาจังหวะชีวิต ในขณะที่กรณ์มึนงงกับความรู้สึกและสัมผัส ที่เกิดขึ้นอย่างมาก
ที่โรงพยาบาล หลังจากหมดเวลาเยี่ยม พยาบาลเข้ามาเตือนพริ้ว เธอจึงจำใจต้องกลับ พริ้วตัดสินใจจะไปหากรณ์ที่บ้าน
กรณ์กุมขมับ หนักใจและอึดอัดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามรวบรวมสติ เสียงออดดังขึ้นที่หน้าบ้าน กรณ์สงสัย มองไปแล้วลุกเดินไปทางหน้าบ้าน

ตอนที่ 20 วันอังคาร ที่ 1 เมษายน 2557
พริ้วเดินเข้ามาเห็นอีกาก็ตกใจ อีการ้องดัง พริ้วพยายามไล่ แต่อีกาไม่ยอมไป กรณ์เปิดประตูออกมา พริ้วบอกกรณ์ว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย พริ้วมองใบหน้าของกรณ์ รู้สึกผิดสังเกต ดูหมองคล้ำแบบคนโดนของก็ถามว่าไม่สบายหรือเปล่า กรณ์ตอบว่าเปล่า แล้วถามว่าพริ้วมีอะไร พริ้วบอก “คุณดูหน้าหมองๆ เหมือนคนอดนอน ไม่สิ เหมือนคนไม่มีหัวจิตหัวใจ” กรณ์นึกสังเกตตัวเอง รู้สึกผิดปกติไปบ้าง แต่มี ความพลุ่งพล่านทางใจบางอย่าง คือคิดถึงแพรวมากไป จึงไม่คิดว่าตัวเองผิดปกติอะไร “ไม่มีอะไรนะครับ ผมยังแฮปปี้ดีนี่ครับ เชิญคุณพริ้วนั่งก่อนดีกว่าครับ ผมจะไปหยิบเครื่องดื่ม มาให้” พริ้วพยักหน้าแล้วเดินตามกรณ์เข้าไปในบ้าน “ขอบคุณค่ะ” พริ้วนั่งลงที่โซฟาในห้องรับแขก แล้วมองตามหลังกรณ์ไป สีหน้ายังสงสัยในความแปลกไปของกรณ์
กรณ์เดินเอาน้ำมาให้ พริ้วมองกรณ์อีกครั้งก่อนจะยืนยันหนักแน่น จึงเข้าเรื่องที่รีบรุดมาหากรณ์ ถามว่าเขาไปที่โรงละคร อีกไหม กรณ์งง “ทำไมคุณถามผมเรื่องนี้” พริ้วว่า “คุณไม่อยากรู้หรือคะว่าวิญญาณผู้หญิงที่ ต้องการติดต่อกับคุณเป็นใคร” กรณ์บอก “เราคงต้องรอให้คุณณราฟื้นขึ้นมา” พลิ้วถอนใจ “ก็จริงค่ะ คุณณราเป็นคนที่วิญญาณผู้หญิง คนนั้นบอกเรื่องทุกอย่างของเธอ แต่เราก็มีวิธีอื่นที่จะ รู้เรื่องนี้นะคะ” กรณ์สนใจ “คุณพริ้วมีวิธีหรือครับ” “ถ้าคุณกรณ์ยังอยากติดต่อวิญญาณผู้หญิงคนนั้น ฉันก็พอจะมีทาง” กรณ์พยักหน้า สีหน้าเขาดูสว่างขึ้น เหมือนจะหลุดพ้นจากมนตร์ดำของไสยศาสตร์ราคะของแพรว
พริ้วบอก “ระหว่างรอคำตอบจากฉัน ฉันอยากให้คุณกรณ์ทำใจให้ว่างๆ พยายามมีสมาธิอยู่กับตัวไว้นะคะ ฉันเองจะขอร้องให้ป๊าช่วยทำพิธีเรียกวิญญาณผู้หญิงคนนั้นให้ ถ้ามีฤกษ์เหมาะ และป๊าตกลง ฉันจะโทรมาบอกคุณอีกครั้งนะคะ คืนนี้คุณทำตัวให้ว่างไว้นะคะคุณกรณ์” ที่รั้วหน้าบ้านกรณ์ อีกากระพือปีกบินจากไป
ด้านในตำหนัก ฝูงอีกาในตำหนักตีปีกพึ่บพั่บ พ่อปู่หยั่งรู้ว่าพริ้วไปพบกรณ์และคิดจะทำอะไร พ่อปู่หมายมาดเสียงกร้าว “อย่าหวังว่ามึงจะทำได้สำเร็จ กูจะขวางมึงทุกทิศทุกทาง”
พ่อปู่หยิบขวดน้ำอาบราคะขวดเล็กออกมา หยดลงในอ่าง พลันมีหมอกดำๆ ลอยขึ้นวนเหนืออ่าง
แพรวอยู่ที่หน้ากระจก ค่อยๆ เช็ดหน้าออก ดึงโรลม้วนผมออก สีหน้าแพรวมุ่งมั่น เต็มไปด้วยความอยากได้ปรารถนาในตัวกรณ์ โดยไม่สนใจคำเตือนของแม่ แถมต่อว่าแม่ที่หัวโบราณ
แพรวโทรหากรณ์อีก กรณ์นั่งนิ่งอยู่ในสมาธิ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กรณ์นึกถึงที่สัญญากับพริ้วไว้ ก็รีบรับสายแต่ปรากฏว่าไม่ใช่พริ้วแต่เป็นแพรวที่โทรมาหา กรณ์รู้สึกวูบวาบขึ้นแปลกๆ เหมือนโหยหาแพรวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แพรวนัดกรณ์ว่าคืนนี้จะมาพบ กรณ์พยายามตั้งสติจะปฏิเสธแพรวแต่หมอกดำกรุ่นลอยออกมาจากหัว สายตากรณ์พร่าเบลอตกอยู่ในภวังค์ของมนตร์ราคะ กรณ์ตอบตกลงแพรวทันที
สักครู่ มือถือก็ดังขึ้นอีก คราวนี้เป็นพริ้วที่โทรมา กรณ์บอกพริ้วว่า “คุณพริ้วครับ ผมไม่สนใจเรื่องวิญญาณผู้หญิงอะไรนั่นแล้ว คุณพริ้วจะเล่นสนุกเรื่องเพ้อเจ้อก็ทำไปคนเดียวเถอะครับ ตอนนี้ผมไม่ว่างแล้ว” กรณ์ตัดสายพริ้วอย่างไม่ใยดี
พริ้วที่ถูกตัดสายทิ้ง โมโหและงงมาก ซินแสเฟยเห็นอาการของลูกสาวก็เข้ามาถามว่าเป็นอะไร พริ้วมึนจับต้นชนปลายไม่ถูก
กรณ์แทบจะรอเวลาไม่ไหว คิดถึงแพรวจนแทบจะคลั่งตาย ช่อเอื้องปรากฏร่างขึ้น น้ำตานองหน้า มองกรณ์อย่างอาวรณ์ “คุณกรณ์ เกิดอะไรขึ้นกับคุณกรณ์ของช่อ” กรณ์ไม่รู้เรื่อง ไม่สัมผัสถึงวิญญาณช่อเอื้องเลย ในหัวมีแต่แพรว ช่อเอื้องตาวาววับ เริ่มเดาทางออกเมื่อเห็นอาการของกรณ์ แววตาช่อเอื้องคั่งแค้น โกรธ “คุณกรณ์เปลี่ยนไป ต้องเป็นฝีมือไอ้พวกชั่วช้าแน่ๆ” ช่อเอื้องตาวาววับด้วยความอาฆาต แล้วร่างหายวับไป กรณ์ยังเหม่อคิดถึงแพรว
ช่อเอื้องปรากฏร่างที่หน้าบ้านของแพรว สายตาอาฆาต ต้องการจะพุ่งเข้าไปจัดการแพรว ช่อเอื้องพุ่งเข้าไปในบ้านทันทีด้วยความโกรธ แต่โดนหมอกดำสกัดออกมา ช่อเอื้องแค้นที่เข้าไม่ได้
แพรวแต่งตัวกำลังจะเดินออกมาจากบ้าน อนงค์เข้ามาห้ามไว้ แต่แพรวก็ไม่สนใจใส่ใจคำเตือนของแม่
ช่อเอื้องเห็นแพรวพ้นออกมาจากบ้านก็จะเข้าทำร้าย แต่ก็ถูกหมอกดำกลายเป็นหอกเข้าทิ่มแทง
ช่อเอื้องกัดฟันพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง อยู่ๆแพรวรู้สึกประหลาด มองไปรอบๆตัว เห็นทุกอย่างเงียบงัน อีกาบินโฉบมาเหนือหัวแพรว ตีปีกพึ่บพั่บ แพรวยิ้ม ช่อเอื้องทะลุผ่านตัวของแพรวไป แพรวมองไม่เห็นและไม่ได้รับบาดเจ็บ ช่อเอื้องเจ็บใจที่ทำอะไรแพรวไม่ได้ พยายามคิดหาทางช่วยกรณ์
พริ้วกำลังคิดหาวิธีจะเก็บหลักฐานเรื่องช่อเอื้อง คิดไปคิดมา เปิดตู้ ค้นหาของอะไรบางอย่าง พริ้วเจอกล้องวิดีโอแล้วยิ้มออก นึกวิธีที่จะเก็บหลักฐานที่ช่อเอื้องจะบอกได้ด้วยการใช้กล้องวิดีโอ
พลิ้วแอบย่องออกจากบ้านไป ซินแสเฟยได้ยินก็นึกรู้ทันทีว่าพริ้วจะไปทำอะไร ได้แต่ถอนใจด้วยความเป็นห่วง
แพรวไปหากรณ์ที่บ้าน จ้องตากรณ์เหมือนจะสะกดความรู้สึกกรณ์ให้อยู่กับตน แล้วก็คิดถึงคำพูดของพ่อปู่ว่าจะใช้กรณ์เป็นตัวล่อในการกำจัดช่อเอื้อง โดยให้พากรณ์ไปพ่อปู่ที่ตำหนัก
แพรวถูกกรณ์รุกเร้าโรมรันพันตูอยู่บนเตียง แพรวแสร้งจริตมารยา ระดมจูบให้กรณ์ระทวย เชื่อฟัง ก่อนจะเป่าหูเบาๆ ว่ามีเรื่องอยากให้กรณ์ช่วย กรณ์เคลิ้มตามไปกับคำพูดของแพรว
ที่โรงละคร พริ้วกำลังถอดหยกคุ้มกันออกจากตัวแล้วหย่อนใส่กระเป๋า “ฉันรู้ว่าคุณคงไม่ทำร้ายฉัน ฉันไม่มีหยกป้องกันแล้ว เชิญมาใช้ร่างฉันได้เลย บอกสิ่งที่คุณต้องการบอก” พริ้วตั้งกล้องวิดีโออัดตัวเองและช่อเอื้อง พริ้วจุดธูปแล้วปักลงที่มุมหนึ่ง “คุณอยู่ที่นี่ใช่ไหม มาเถอะ คราวนี้ไม่มีใครมาขวางฉันกับคุณแล้ว คุณอยากบอกอะไรคุณกรณ์ก็บอกได้เลย” ควันธูปลอยละล่อง ก่อนที่จะกลายเป็นกลุ่มควันขนาดใหญ่ ร่างช่อเอื้องปรากฏขึ้น “ขอบคุณมากคุณพริ้ว” พริ้วมองไปที่ร่างช่อเอื้อง ยิ้มให้อย่างมีไมตรี “มาเถอะ ใช้ร่างฉันสิ” ช่อเอื้องกำลังจะเดินเข้ามาหาพริ้ว แต่แล้วช่อเอื้องก็ชะงัก เหลียวมองไปทางหนึ่ง “คุณกรณ์!” พริ้วงงที่ช่อเอื้องชะงักไป

ตอนที่ 21 วันพุธ ที่ 2 เมษายน 2557
กรณ์ยืนอยู่ที่หน้าตำหนักพ่อปู่ เขามองที่ตำหนักสงสัย ถามว่าที่ไหน แพรวยิ้มหวาน กอดแขนกรณ์
“บ้านญาติของแพรวเองค่ะ มาเถอะค่ะ เรามีเรื่องต้องคุยกัน รีบเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ” แพรวคล้องแขนกรณ์แล้วอ้อนจะพาเข้าข้างไปใน กรณ์มองไปรอบ ยังแปลกใจ
ด้านโรงละคร พริ้วงงที่ช่อเอื้องนิ่งอยู่ไม่มาเข้าสิง ช่อเอื้องลังเล ใจหนึ่งก็ห่วงกรณ์ คิดว่ากำลังเจอเรื่อง อีกใจก็อยากจะสิงพริ้ว แล้วช่อเอื้องสัมผัสได้ว่ากรณ์กำลังตกอยู่ในอันตราย ช่อเอื้องตัดสินใจหายตัวไปทันที พริ้วงงมาก
กรณ์และแพรวนั่งอยู่ตรงหน้าพ่อปู่ กรณ์มองพ่อปู่และข้าวของที่อยู่รายรอบพ่อปู่ที่ดูเกี่ยวข้องกับมนตร์ดำและเรื่องลึกลับ แพรวหันไปเห็นสายตาของกรณ์ก็รีบปะเหลาะว่าพ่อปู่เมตตาจะช่วยไม่ให้กรณ์เห็นภาพประหลาดในหัว
พ่อปู่ร่ายมนตร์ให้กรณ์ดื่มน้ำ พอกรณ์ดื่มเข้าไปก็หมดสติลงทันที แพรวเห็นกรณ์หมดสติไปก็โวยวาย แต่พ่อปู่ว่าให้หลับไป แล้วบอกแพรวให้รีบออกไปจัดการช่อเอื้องก่อน
ที่หน้าตำหนัก ช่อเอื้องต่อสู้กับโหงพรายตัวเรืองๆ สีเขียว ช่อเอื้องตวัดเล็บมือ โหงพรายถูกกรีดร่างขาดวิ่น โหงพรายเพิ่มพลังตัวเอง จนพองใหญ่ขึ้น ช่อเอื้องต้านฤทธิ์โหงพรายแทบไม่ไหว ร่างของช่อเอื้องเริ่มกระจุยกระจาย ราวกับถูกลมเป่าร่างให้กระจาย ช่อเอื้องเริ่มกระอักเลือด หันขวับไปจ้องหน้าพ่อปู่และแพรวที่กำลังเดินออกมา พ่อปู่ว่า “ยอมกูแล้วเหรอ ฮ่าๆ ที่กูเมตตามึง เพราะกูจะฆ่ามึงด้วยตัวกูเอง” ช่อเอื้องแทบไม่มีแรง ร่างขาดวิ่นด้วยฤทธิ์พิฆาตจากโหงพราย ช่อเอื้องกัดฟันสู้ “ปล่อยคุณกรณ์เดี๋ยวนี้ อีเพื่อนทรยศ”
แพรวยิ้มร้าย “ฉันรั้งเขาไว้ที่ไหนล่ะ คุณกรณ์เขาเต็มใจมาหาฉันเอง” แพรวลอยหน้าเยาะเย้ย
ช่อเอื้องพุ่งเข้าไปจะบีบคอแพรว พ่อปู่ตวัดมือ เกิดพลังมวลมหาศาลผลักช่อเอื้องกระเด็นหงายหลังไปกองกับพื้น “ไม่เจียมซะแล้วมึง” แพรวบอก “ยังซึ้งไม่พอใช่ไหม ฉันจะบอกให้นะ คุณกรณ์กับฉันเราลึกซึ้งดื่มด่ำกัน ผลัดกันกอด ผลัดกันจูบ ฮึๆ คุณกรณ์เขาแทบไม่เงยหน้าจากอกฉันเลยด้วยซ้ำ” ช่อเอื้องคลั่งร้องโวยวาย “กรี๊ดดด ชาติชั่ว อีเพื่อนทรยศ มึงแย่งคนรักกู” ช่อเอื้องรวบรวมกำลังพุ่งตัวเข้าไปทำร้ายแพรว “กูจะฆ่ามึง” แพรวร้องท้า “มาเลย มึงได้ตายแน่ พ่อปู่ จัดการอีช่อเลย”
พ่อปู่แบมือ ในมือมีลูกหินมนตราสีดำ พ่อปู่เป่ามนตร์พรวดใส่ลูกหิน แล้วปาทั้งกำใส่ร่างของช่อเอื้อง
ด้านช่อเอื้องก็รวบกำลั งถลาเข้ามา แต่เจอลูกหินสีดำพุ่งใส่ทั้งร่าง ลูกหินสีดำระเบิดตัวเป็นควันดำชอนไชร่างช่อเอื้องจนเนื้อตัวไหม้ ช่อเอื้องกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แพรวมองสะใจสุดๆ “สมน้ำหน้า เจ็บนักใช่ไหมมึง เจ็บเหมือน ตอนที่มึงรู้ว่าคุณกรณ์เป็นผัวฉันหรือเปล่า ฮ่ะๆๆ” “กูเกลียดมึง อีแพรว อีเพื่อนทรยศ” ช่อเอื้องกรีดร้อง ร่างกายเป็นรูพรุน มีควันพุ่งออกมาจากร่าง ที่ถูกลูกหินมนตร์ดำไหม้เป็นหย่อมๆ
พ่อปู่หันไปบอก “ถึงเวลาทำพิธีทำลายวิญญาณอีผีชั่วนี่แล้ว” แพรวหัวเราะ “อีช่อเอื้อง มึงต้องตาย ตายซ้อนตาย ไม่ได้ผุด ได้เกิดอีกต่อไป ฮ่ะๆๆ” แพรวมองเยาะช่อเอื้องที่บาดเจ็บสาหัส จนกองอยู่กับพื้น สู้อะไรไม่ได้
ที่โรงละคร พริ้วจุดธูปอีกดอก เรียกวิญญาณ พริ้วหลับตา พนมมือ ควันธูปลอยอ้อยอิ่ง ช่อเอื้องซึ่งหมอบกระแตอยู่กับพื้นรับรู้ว่าพริ้วกำลังเรียกตน “พริ้ว เรียกฉันให้ดังกว่านี้ พลัง ของเธอจะช่วยนำทางฉันกลับไป เรียกต่อไป ฉันขอรวมพลังก่อน” ช่อเอื้องตะกายตัวเองจะลุกขึ้น แพรวมองอย่างสะใจ พ่อปู่เห็นก็เขวี้ยงหินดำใส่ช่อเอื้องอีก ช่อเอื้อง บาดเจ็บ ร่างไหม้ หมดแรงทรุดลงไปอีก
อีกมุมหนึ่ง พ่อปู่เดินไปจุดเทียนสีดำสี่ทิศ หยด น้ำตาเทียนราดเป็นทางเทียนสีดำแล้วเริ่มสวดพึมพำ “ตายตกตมต่ำ ตัดกรรมซ้ำร่าง ตายตกตมต่ำ สังขารมารเฝ้า ตกตายต่ำตม หมักหมมวิญญาณ ตกตายต่ำตม ชั่วกัปชั่วกัลป์” ช่อเอื้องกรีดร้อง หมดพลัง
ที่โรงละครพริ้วยังคงพนมมือ ธูปไหม้ไปครึ่งแล้ว “คุณอยู่ไหน มาใช้ร่างฉันเป็นเครื่องนำไปสู่ หนทางของคุณเถิด” อยู่ๆก็เกิดเสียงดังขึ้น พริ้วลืมตามอง นึกว่าจะเป็นช่อเอื้อง เงาดำวูบวาบลอยพุ่งผ่านหน้าพริ้วไปมา พลิ้วรีบถาม “คุณใช่ไหม คุณคือผู้หญิงที่กำลังทุกข์ใช่ไหม เข้ามาสิงร่างฉันเร็วเข้า” เงาดำก่อตัวข้างหน้าพริ้ว พริ้วจ้องหน้า แล้วปักธูปลงตรงหน้าเงาดำ ด้วยเข้าใจว่าเป็นช่อเอื้อง “เชิญ” เงาดำกำลังจะพุ่งเข้าสู่ร่างพริ้ว พริ้วหลับตา เงาดำเข้าไปใกล้ร่าง แทบจะกลืนเข้าไป แสงแวบสาดเข้าหน้าพริ้ว พริ้วแสบตา ลืมตามองงงๆ “อะไรกันเนี่ย”

ตอนที่ 22 วันจันทร์ ที่ 7 เมษายน 2557
เสียงกระดิ่งระฆังดังก้องไปทั่ว เสียงซินแสเฟยเรียกพริ้วดังขึ้น “อาพริ้ว!” เงาดำชะงัก พลิ้วลืมตามองเห็นพ่อก็ประหลาดใจ “อาป๊า” ซินแสเฟยเข้ามา สั่นระฆังระรัว พลางโปรยลูกประคำขึ้นฟ้า พริ้วตกใจรีบร้องห้าม “ป๊า ทำร้ายวิญญาณผู้หญิงคนนั้น ทำไม” ซินแสเฟยบอก “พวกมันไม่ใช่วิญญาณผู้หญิงคนนั้น พวกมัน เป็นพรายดำ วิญญาณชั่วที่รับใช้ไอ้พวกคนพาล” ลูกประคำเจอมวลดำของพวกเงาดำที่จะสิงร่างพริ้ว ลูกประคำกลายเป็นประจุไฟฟ้า ช็อต แปลบปลาบใส่พวกเงาดำ เงาดำสลายหายไป พริ้วอึ้ง “แล้วป๊ารู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่” ซินแสเฟยว่า “ถ้าไม่รู้ อั๊วจะเป็นป๊าลื้อได้เรอะ ทีหลังอย่าทำแบบนี้ ลื้อเชิญวิญญาณมั่วซั่ว ผีห่าซาตานก็จะเข้าสิงลื้อ” พลิ้วโผเข้ากอดซินแสเฟย “ป๊า ฉันรักป๊าที่สุดเลย ป๊าช่วยฉันอีกแล้ว แต่คราวนี้ป๊าต้องช่วยวิญญาณผู้ หญิงคนนั้นด้วยนะ” ซินแสเฟยส่ายหัวกับความรั้นของลูกสาว “โอ๊ย อาพริ้ว ลื้อนี่หาเรื่องให้อั๊วไม่หยุดหย่อนเลยนะ” พริ้วอ้อน “นะป๊า เมื่อกี๊วิญญาณผู้หญิงคนนั้นปรากฏร่าง ให้ฉันเห็นแล้ว แต่จู่ๆ ก็หายตัวไป ฉันว่าต้องเกิดอะไรขึ้นกับเธอแน่ เรียกเธอกลับมาอีกทีนะ” ซินแสเฟยว่า “ไม่ กรรมใครกรรมมัน ลื้อไม่ควรหาเรื่อง เดือดร้อนใส่ตัวเอง” พลิ้วพยายามพูด “ป๊าเคยสอนให้ ฉันให้มีเมตตาช่วยเหลือ ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้หญิงคนนั้นกำลังมีทุกข์หนัก ขนาดตายไปแล้วยังไม่หมดทุกข์ ช่วยเขาเถอะนะป๊า” พริ้วจ้องตาซินแสเฟยอย่างอ้อนวอน ซินแสเฟยนิ่งไป
ที่ตำหนักพ่อปู่ ช่อเอื้องเจ็บปวด เนื้อตัวบิดเกลียวอย่างทรมาน “มึงพรากชีวิตกู มึงพรากรักกู กูจะไม่ยอมตาย ซ้ำซาก ร่างกูไม่เหลือ แต่แค้นกูยังแรง กูจะสาปแช่ง มึง” แพรวเยาะเย้ย “ใกล้จะตายยังไม่รู้ตัว ฮ่ะๆ”
พ่อปู่สาดน้ำตาเทียนสีดำใส่ช่อเอื้อง รอบๆตัวช่อเอื้องมีรอยน้ำตาเทียนหยดรอบเป็นวง ช่อเอื้อง
กรีดร้อง ไฟมารเริ่มลุกรอบตัวช่อเอื้อง พ่อปู่สาดคาถามนตร์จองจำวิญญาณ “ตายตกตมต่ำ ตัดกรรมซ้ำร่าง ตายตกตมต่ำ สังขารมารเฝ้า ตกตายต่ำตม หมักหมมวิญญาณ ตกตายต่ำตม ชั่วกัปชั่วกัลป์” ช่อเอื้องร่างทะลุเป็นรูพรุน กรีดร้องเสียงดัง
เวลาเดียวกัน ซินแสเฟยตัดสินใจช่วยช่อเอื้อง วางกระจกแปดเหลี่ยมลงกลางโรงละคร ก่อนจะหันไปบอกพริ้ว “ใส่หยกคุ้มกันซะอาพริ้ว วิญญาณของลื้อกับผู้หญิงคนนั้นเชื่อมถึงกัน ลื้อต้องแผ่เมตตาให้อี มี พลังชีวิตอีกครั้ง” พริ้วรีบคล้องหยกคุ้มกัน ซินแสเฟยเริ่มนับประคำ สวดมนต์ ปากขมุบขมิบ “ธรรมะคือคุณากร เป็นแสงทองนำทาง ขอเชิญวิญญาณสู่หนทางสว่างด้วยเทอญ” พริ้วนึกถึงช่อเอื้อง พยายามแผ่เมตตาให้
ช่อเอื้องใกล้จะถูกดูดวิญญาณลงหม้อสีดำ พ่อปู่ร่ายมนตร์มารหนักขึ้น เสียงเร่งเร้า “ตาย ฝัง ยัง แค้น แรง ชั่ว กลัว จำ จองจำมัน ไว้ด้วยมนตร์ดำ ขังมันไว้ด้วยทัณฑ์อาญา ให้ตาย ซ้อนตาย ให้ทรมานยิ่งกว่าทรมาน ให้วิญญาณ มันสะกดหมดฤทธิ์ชั่วกัปชั่วกัลป์”
พ่อปู่โบกมือ ไฟมารลุกโชน ร่างช่อเอื้องเกือบจะถูกดูดเป็นเส้นวิญญาณไปลงหม้อ แสงสว่างสีทอง พุ่งเข้ามาล้อมตัวช่อเอื้อง ไฟมารราโรยเบาไป พ่อปู่ตกใจ! “เฮ้ย นี่มันอะไรกัน” แสงทองห่อตัวอุ้มร่างช่อเอื้องที่ไร้สติขึ้นช้าๆ ก่อนจะม้วนตัวพาร่างช่อเอื้องลอยออกไปทันที
พ่อปู่เขวี้ยงหินดำใส่ หินดำเจอแสงทองกระเด็นกลับมาโดนพ่อปู่กับแพรวจนเจ็บเนื้อเจ็บตัว พ่อปู่
มองตามวิญญาณของช่อเอื้องไปเจ็บใจ ที่ถูกซินแสเฟยมาช่วยไว้ได้พริ้วและซินแสเฟยอยู่ที่โรงละคร ต่างคนต่างรอสีหน้ากังวล มีลมวูบผ่านเข้ามา โคมไฟระย้าในโรงละครสั่นไหว ประตูเปิดๆ ปิดๆ เสียงช่อเอื้องขาดๆหายเป็นห้วงๆ บ่งบอกถึงอาการบาดเจ็บสาหัส ร้องขอความช่วยเหลือ
พริ้วกับซินแสเฟยเหลียวมองหา พริ้วมองหาไม่เจอ เดินไปทั่วโรงละคร ซินแสเฟยเดินตามมาด้านหลัง พลิ้วเดินมาสักพักก็หันไปเห็นช่อเอื้องกองอยู่ที่พื้นสภาพหมดแรง เหมือนพยายามจะคลานมาหาแต่ไม่ไหว ช่อเอื้องเงยหน้าขึ้นมองไปที่สองพ่อลูก “พวกมัน คุณกรณ์” พริ้วรีบถาม “คุณกรณ์? คุณกรณ์ทำไมคะ” ช่อเอื้องกระอักเลือด ไม่มีแรงตอบหรือทำอะไรอีกต่อไป ซินแสเฟยหันไปบอกกับพริ้ว “พลังวิญญาณอีอ่อนแรงมาก ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้ แม้แต่จะสิงร่างลื้อก็ทำไม่ได้” พริ้วขอให้ป๊าช่วย ซินแสเฟยนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจพยักหน้า พริ้วรีบออกห่างออกจากวิญญาณของช่อเอื้องทันที ซินแสเฟยเปิดกลักน้ำหมึกสีทองออกมา แล้วจุ่มนิ้ววาดยันต์จีนแปดเหลี่ยมลงที่พื้น “กระจกแปดด้าน ส่องสว่างสร้างธรรม ลื้อเข้าไปอยู่ในนั้น จะปลอดภัยจากอันตรายที่ลื้อกำลังเจออยู่” พลิ้วถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “พลังอำนาจมืดก็ทำอะไรไม่ได้ใช่ไหมป๊า” ซินแสเฟยว่า “ใช่ ขออย่างเดียว อย่าออกมาจากวงยันต์นี้ ไม่งั้นอำนาจธรรมใดๆ ก็ช่วยลื้อไม่ได้ ถ้าลื้อไปต่อกรกับเรื่องชั่วๆ อีก” ช่อเอื้องพยักหน้ารับ รวบรวมแรงที่มีเหลือพยายามคลานเข้าไปอยู่ในยันต์ พอช่อเอื้องเข้าไปด้านใน ยันต์สีทองสว่างวาบเรืองขึ้นเหมือนมีแสงสีทองล้อมไว้เป็นเกราะป้องกัน
พ่อปู่โมโหมากที่ช่อเอื้องถูกอุ้มหายไปด้วยเกราะสีทอง อีการ้องเสียงดังจ้อกแจ้ก พ่อปู่อารมณ์ไม่ดีขว้างด้วยกะโหลกดำ อีกาบินเตลิดหนีไปทั้งฝูง “ไม่เคยมีใครท้าทายกูขนาดนี้ มึงเป็นใคร” พ่อปู่อาละวาด กวาดข้าวของทุกอย่างตรงหน้าระเนระนาดด้วยความโกรธแค้น เจ็บใจ
อีกมุมหนึ่ง แพรวลูบเนื้อลูบตัวกรณ์ กรณ์ค่อยๆลืมตาฟื้นขึ้นมามองหน้าแพรวงงๆ “เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี๊ผม??”
แพรวมารยา โผเข้ากอดกรณ์ด้วยความเป็นห่วงจริงๆ และต้องเล่นละครกลบเกลื่อนที่ไปทำชั่วมา “คุณฟื้นแล้ว” กรณ์ยิ่งงงไปกันใหญ่ “ผมเป็นอะไร” แพรวบอก “จู่ๆ คุณก็หมดสติไป แพรวเป็นห่วงคุณแทบแย่ นั่งเฝ้าตลอดไม่ได้คลาดสายตาเลย คุณไม่เป็นไรนะคะ” กรณ์พยายามนึก“คุณเฝ้าผมเหรอ ขอบคุณมากนะครับ” แพรวพยักหน้าแบบว่าไม่อยากเอาหน้านัก กรณ์งงกับตัวเอง รู้สึกสับสน เหมือนจะเชื่อแพรว แต่เหมือนมีอีกใจที่ไม่ค่อยเชื่อกับสิ่งที่แพรวบอก
พริ้วเดินเข้าบ้านมา ยังกังวลใจ จะถอดหยกคุ้มกันออก ซินแสเฟยหันไปเห็นก็ดุ “ลื้อจะถอดหยกคุ้มกันออกทำไม” พริ้วว่า “ก็เผื่อว่าถ้าผู้หญิงคนนั้นอยากติดต่อกับฉัน เขาจะได้มาทันที” ซินแสเฟยบอกน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ได้ ลื้อต้องใส่หยกไว้กับตัวตลอด แล้วต่อไปนี้ ห้ามลื้อไปยุ่งกับเรื่องแบบนี้อีกเด็ดขาด” พริ้วรีบพูดขึ้น “แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะป๊า วิญญาณเขาจะเป็นยังไง จะปล่อยไว้ในเกราะของป๊าแบบนั้นเหรอมันง่ายไปหรือเปล่า” “อาพริ้ว! อั๊วบอกให้เลิกยุ่งกับอี” ซินแสเฟยชักไม่พอใจ พริ้วเถียง “แต่ฉันไม่อยากให้เขาโดนทำร้ายอีก” “อีจะโดนทำร้ายยังไง อีก็ตายไปแล้ว ห่วงอีไปก็เท่านั้น” พริ้วไม่พอใจที่พ่อคิดแบบนี้ “ป๊าเห็นแก่ตัว” “อาพริ้ว!” ซินแสขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธและเสียใจ ยกมือเกือบจะตบหน้าพริ้วแต่ยั้งทัน เนื่องจากรักและห่วงพริ้วที่สุด ไม่อยากให้พริ้วต้องรับเคราะห์เหมือนช่อเอื้อง พริ้วมองพ่อตกใจ เสียใจ “ป๊า” ซินแสเฟยเองก็อึ้ง “เอ้อ..อั๊ว” “ตั้งแต่เด็ก ป๊าไม่เคยตีฉันเลย แต่วันนี้ป๊าจะตบฉัน” พริ้วเสียใจมาก ร้องไห้ฮั่กๆ วิ่งออกไปจากบ้านด้วยความน้อยใจ ซินแสเฟยมองตามลูกสาวอึ้ง เพราะเป็นห่วงจึงอยากจะเตือนให้พริ้วได้สติ
ช่อเอื้องซมซานอยู่ในเกราะยันต์จีนสีทอง ช่อเอื้องรับรู้ได้ว่าพริ้วกำลังเสียใจ “คุณพริ้ว อย่าหมดกำลังใจ ป๊าคุณรักคุณ” ช่อเอื้องร้องไห้สะอื้นเมื่อนึกถึงตัวเอง “คุณโชคดีที่มีคนที่รักอยู่ข้างๆ แต่ฉัน ฉัน ฉันถูกแย่งคนรักไป โฮ คุณกรณ์ขา” ช่อเอื้องคร่ำครวญแล้วกระอักเลือดออกมาอีก ยันต์สีทองสว่างเรือง พยายามเยียวยาช่อเอื้อง
ที่บ้านแพรว อนงค์นั่งเปิดหนังสือสวดมนต์เพื่อขอพรให้ลูก พอเห็นแพรวกลับเข้ามาก็ดีใจ แต่แพรวมองแม่อย่างรำคาญไม่ได้สำนึกในความห่วงใยของแม่เลยแม้แต่น้อย “คุณพระคุณเจ้า คุ้มครองลูกสาวอิฉัน ดลบันดาลใจนังแพรว อย่าให้มันหลงไปในทางชั่วเลย สาธุ” อนงค์ทรุดลง เหนื่อยใจ แต่ไม่ท้อ ยกมือขึ้นท่วมหัว ขอพรพระ แพรวเหวี่ยงกระเป๋าไปทาง ถอดรองเท้าสะบัดไปอีกทาง ระบายความเจ็บใจที่ช่อเอื้องรอดไปได้
โรงพยาบาล พริ้วนั่งจับมือณรา มองหน้าณรานึกน้อยใจป๊าไปพลาง น้ำตาเอ่อขึ้นมา “คุณณรา ฟื้นเสียทีสิ ฟื้นขึ้นมาจับมือฉันหน่อย คุณเป็นคนเดียวที่เข้าใจฉัน” พริ้วนึกน้อยใจป๊า “คุณเข้าใจใช่ไหมว่าทำไมฉันต้องช่วยวิญญาณผู้หญิงคนนั้น คุณคนเดียวที่เข้าใจ” พริ้วจับมือณราแนบหน้า เหมือนขอกำลังใจ พริ้วก้มหน้าลงสะอื้นกับท่อนแขนณรา
พ่อปู่นั่งสมาธิอยู่ท่ามกลางเศษซากข้าวของที่ตนเองอาละวาดจนเกลื่อนไปหมด พ่อปู่ลืมตาขึ้น สายตาเกรี้ยวกราด ต้องการจะเอาคืนซินแสเฟยให้ได้

ตอนที่ 23 วันอังคาร ที่ 8 เมษายน 2557
เช้าวันใหม่ ในบ้านซินแสเฟย ลมแรงพัดเข้ามาจากนอกบ้าน ปฏิทินจีนปลิวพรึ่บๆ ฮู้เคลื่อนเพราะแรงลม ลูกประคำไถลหล่นจากโต๊ะ อีกาดำบินมาเกาะที่รั้วหน้าบ้าน ส่งเสียงร้องลั่นแบบตวาด โกรธเกรี้ยว
ซินแสเฟยกำลังเตรียมใบชาอยู่ กาต้มน้ำที่ตั้งอยู่บนเตามีไอน้ำพวยพุ่งออกจากพวยกา น้ำเดือดจัด ซินแสเฟยหันไปจะยกกาลงจากเตา ทันใดนั้นกาน้ำก็ระเบิด น้ำร้อนกระจาย ซินแสเฟยเอี้ยวตัวหลบได้หวุดหวิด แต่ร่างกายบางส่วนโดนน้ำร้อนลวก ซินแสเฟยมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจมาก
พริ้วตกใจได้ยินเสียงดังจากครัว ตามด้วยเสียงร้องของซินแสเฟยดังขึ้น พริ้วรีบออกจากห้องไปดู
ซินแสเฟยยืนมองเศษกาน้ำร้อนที่แตกกระจายอยู่ที่พื้นครัว แล้วก้มมองดูร่างกายของตัวเองที่โดนน้ำร้อนลวกเล็กน้อย ซินแสเฟยนึกรู้ว่าเป็นมนตร์มารและคิดว่าต้องไม่ใช่เรื่องปกติแน่
พริ้วพรวดเข้ามาเห็นก็ตกใจ รีบร้องถาม “ป๊า เกิดอะไรขึ้น ป๊าเป็นอะไรหรือเปล่า”
ซินแสเฟยรีบกลบเกลื่อนสีหน้าแล้วบอกไปว่าเขาซุ่มซ่ามเอง พอดีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พริ้วหันรับสาย
“โรงพยาบาล เหรอคะ คุณณราฟื้นแล้ว!! ค่ะ ขอบคุณค่ะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” พริ้วรีบออกจากบ้านด้วยความดีใจที่ณราฟื้น ซินแสเฟยมองตามพริ้วไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อหันมามองน้ำเดือดบนพื้น ก็เห็นว่าน้ำกลายเป็นสีดำ สีหน้าซินแสเฟยหนักใจมาก
ที่โรงพยาบาล ณราเพิ่งฟื้นขึ้นมา ท่าทางยังโรยๆ พริ้วเปิดประตูเข้าไปโผกอด ณราไม่ทันตั้งตัว เจ็บจนร้องออกมา พริ้วต่อว่า “คนบ้า นอนหลับไปกี่วันรู้ตัวหรือเปล่า” พริ้วร้องไห้ด้วยความดีใจ ณราเจ็บตัวแต่อุ่นใจที่สุด “รู้ ทำไมผมจะไม่รู้” “จริงเหรอ” ณราบอกกวนๆ “รู้ว่าเจ็บ คุณกอดผมแน่นเลย” พริ้วปล่อยแขนออกทันที “ฉันขอโทษ คุณเจ็บมากไหม อย่าสลบไปอีกนะ” ณรายิ้ม “เป็นห่วงผมเหรอ” พริ้วเขิน ยิ้มทั้งน้ำตา ณราใช้นิ้วปาดน้ำตาให้พริ้ว“ก็ใช่น่ะสิ” ณราและพริ้วสบตากัน เข้าใจความรู้สึกของกันและกัน ต่างคนเปิดใจ “ผมดีใจที่เจ็บตัว” พริ้วค้อน “ซาดิสม์” “ก็อย่างน้อย ผมก็รู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับผม” พริ้วว่า “แต่ฉันไม่ชอบ” ณราอมยิ้ม แล้วพูดดักคอ “คุณไม่ชอบผมเหรอ ไม่มั้ง สายตาคุณไม่ได้บอกอย่างนั้นนี่” พลิ้วทำอะไรไม่ถูก เขิน “ก็ฉันไม่ชอบให้คุณเจ็บตัวแบบนี้ ใจฉันมันจะขาด” ณราตะลึง ก่อนจะจับมือพริ้วขึ้นมาจูบ “ได้ยินอย่างนี้ ให้เจ็บปางตายก็ยอม” พริ้วตี “บ้า ซาดิสม์” ณราร้อง “โอ๊ย ผมเจ็บนะ” “ก็ชอบความรุนแรงไม่ใช่เหรอ นี่แน่ะ” ณรารวบมือพริ้ว พริ้วนิ่งขึ้น ก่อนจะถามน้ำเสียงจริงจัง “คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นคะ วิญญาณผู้หญิงคนนั้นบอกอะไรคุณ” ณรานึกรวบรวมสติ กำลังจะตอบ “คืนนั้น??” พยาบาลเข็นรถอุปกรณ์เข้ามาตรวจ พริ้วเลยไม่ได้คุยกับณรา ต้องถอยออกมารอด้านนอกม่าน
ที่ตำหนักพ่อปู่ พ่อปู่ลืมตาขึ้น รับรู้ว่าณราฟื้นแล้ว ก็หลับตาลง พึมพำมนตร์บังคับบางอย่าง โหงพรายตัวเขียวพุ่งออกจากหม้อดำด้านหน้าพ่อปู่
พยาบาลกำลังเตรียมเข็มน้ำเกลือ เพื่อจะเจาะเข้าเส้นเลือดณรา จู่ๆ พยาบาลผงะไป ดวงตากลายเป็นสีเขียวเรือง พยาบาลมองหน้าณรา มือง้างเข็มน้ำเกลือขึ้นสูง
ณราหันไปเห็นก็ตกใจ ปรอทวัดไข้หลุดจากปาก ตกลงพื้น “เฮ้ย”
พริ้วเห็นปรอทตกลงพื้น และได้ยินเสียงณราก็ร้องแซว “นี่คุณ แค่โดนเสียบน้ำเกลือ ไม่ต้องป๊อดหรอกน่า”
ที่เตียงณรา พยาบาลที่โดนโหงพรายสิงตาสีเขียว จ้วงเข็มลงมา ณรารับมือ จับแขนพยาบาลไว้ แต่
ณราไม่มีแรงมากนัก ใกล้จะต้านไม่ไหว “คุณพริ้ว มัน เป็น”
ที่ด้านนอกม่าน พริ้วหัวเราะกิ๊ก เพราะเสียงณราสั่นมาก เสียงพยาบาลพูดขึ้น “มึงตาย!” พริ้วได้ยินก็ตกใจ รีบเปิดม่านทันที
ณราเอามือยันไม่ให้พยาบาลแทงเข็มลงมาได้ แต่ณราหมดแรง พยาบาลปักเข็มจึ้กลงมา เข็มแทงลงหมอน ณราโดนพริ้วดึงออกมาได้ฉิวเฉียด “คุณณรา ลุกไหวไหมคะ” ณราพยายามลุก พริ้วกระชากร่างพยาบาลออกจากณรา หยกเปล่งแสงวาบขึ้น ร่ายกายของพยาบาลส่วนที่โดนพริ้วจับมีแสงวาบแดงจ้า พริ้วประคองณราหนีออกจากห้องไป
พยาบาลหมดสติลงไปกองกับพื้น โหงพรายสีเขียวพุ่งออกจากร่างพยาบาลออกหน้าต่างไป
พริ้วประคองณราวิ่งหนีออกมา หยกที่คอพริ้วเป็นสีแดงวาบขึ้น และหยกเริ่มร้อนขึ้น ณราหันไปเห็น“หยกคุ้มกันของคุณเปลี่ยนสี แสดงว่า” พลิ้วพยักหน้ารับ “เมื่อกี๊ พยาบาลคนนั้นโดนพลังมืดเข้าสิง” ณราถอนใจโล่งอก “โชคดีนะ ที่คุณช่วยผมไว้ได้ทัน” พริ้วบอก “อย่ามัวดีใจเลยค่ะ พวกคนชั่วส่งมนตร์มารมาเพื่อทำร้ายคุณ” พริ้วเป็นกังวล น้ำตาปริ่มกลัวว่าณราจะได้รับอันตราย “คุณต้องเจอเรื่องร้ายๆ เพราะฉัน”
ณราบอก “อย่าโทษตัวเองเลยคุณพริ้ว เราหาทางแก้ไขดีกว่า” พริ้วจ้องหน้าณราคิดหนัก “คุณรู้ความจริงเรื่องวิญญาณผู้หญิงคนนั้น พวกอำนาจมืดเลยจะต้องจัดการคุณ ฉันต้องหาที่ที่ปลอดภัยให้คุณหลบสักพัก” ณราสงสัยว่าพริ้วจะพาไปที่ไหน
บ้านกรณ์ อีกาดำบินมาเกาะที่รั้ว แพรวเดินเข้ามา มองจากในบ้านออกไปที่อีกา ทำนองกำราบให้เงียบเสียงหน่อย กรณ์เดินเข้ามาจากด้านหลังแพรว แล้วขอเธอแต่งงาน แพรวตกใจ ดีใจระคนโล่งอก ยิ้มออกกว้างที่สุด วันที่ฝันเป็นจริงมาถึงเสียที แพรวทรุดตัวลงกอดกรณ์แน่น “ค่ะคุณกรณ์ แพรวรอวันนี้มานานแล้ว เราแต่งงานกันนะคะ” แพรวซบหน้ากับอกกรณ์ ดีใจที่สุด และสะใจที่สุดที่ได้ครอบครองกรณ์
ในเกราะยันต์สีทอง ช่อเอื้องกรีดร้องโหยหวนปานจะขาดใจ “ไม่จริง ไม่จริ๊งงงง คุณกรณ์เป็นของฉัน” ช่อเอื้องมองร่างตนเองที่เริ่มเห็นสภาพที่ดีขึ้น ยันต์สีทองสว่างเรือง เห็นเป็นเส้นขอบชัดเจน ช่อเอื้องเป็นห่วงกรณ์มาก ปาดน้ำตา ตัดสินใจก้าวออกจากยันต์แปดเหลี่ยมสีทอง
พ่อปู่ยิ้มร่า สายตาสะใจ บิดเนื้อบิดตัวเหมือนจะได้ออกกำลัง พ่อปู่เตรียมอุปกรณ์ พึมพำคาถา
กรณ์ตระกองกอดแพรว แพรวซบอกกรณ์ ออเซาะ พลางถามว่าเขาลืมช่อเอื้องได้แล้วใช่ไหม กรณ์อึ้งไปนิดหนึ่ง สับสนตัวเอง แล้วบอกว่าอย่าพูดถึง ร่างช่อเอื้องค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น ร้องไห้
แพรวมองออกไปข้างนอก เห็นอีกาตีปีก ร้องเซ็งแซ่ ดูผิดปกติ แพรวนึกรู้ว่าช่อเอื้องต้องอยู่แถวนี้ แพรวกวาดตามองไปตรงที่โล่งๆ ในบ้าน รู้ว่าช่อเอื้องอยู่ใกล้ๆ
ช่อเอื้องจะเข้าไปดึงตัวกรณ์ออกมาจากแพรว ทันใดนั้น หมอกดำกั้นขวางกรณ์ไว้ แล้วพุ่งเป็นหอกดาบจัดการช่อเอื้อง ช่อเอื้องกระเด็นไปโดนโต๊ะ ของบนโต๊ะหล่น แต่กรณ์กับแพรวไม่เห็น แพรวรู้ว่าเป็นช่อเอื้องทันที กรณ์พูดขึ้น “เอ๊ะ แปลก จู่ๆ แจกันดอกไม้แห้งตกลงมาจากโต๊ะได้ยังไง” แพรวยิ้ม “อาจจะเป็นสัญญาณมั้งคะ ว่าให้คุณกรณ์เปลี่ยนแปลงอะไร โละของเก่าๆ เหี่ยวแห้ง ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า” แพรวกอดกรณ์ ช่อเอื้องโกรธแค้นสุดพลัง มีแรงจนทำให้แพรวเห็นร่างช่อเอื้องปรากฏแว่บๆ ช่อเอื้องทรุดอยู่ที่พื้น เจ็บตัวเจ็บใจ “คุณกรณ์ขา อย่าฟังมัน อย่าฟังอีผู้หญิงแพศยาคนนั้น มันทำร้ายคุณ มันหลอกคุณ” ช่อเอื้องรวมกำลัง ลุกขึ้นเข้าหาแพรว แพรวเริ่มเห็นร่างช่อเอื้องสลับกับที่ร่างหายไป หมอกดำสกัดช่อเอื้องกระเด็นออกไปอีก ช่อเอื้องยิ่งเจ็บปวดยิ่งกัดฟันด้วยความแค้น “อีเพื่อนทรยศ มึงแย่งของรักกู มึงแย่งคนรักกู” แพรวหันไปพูดกับช่อเอื้อง “คุณกรณ์เขาลืมมึงแล้ว มึงตายไปแล้ว คนตายเป็นได้แค่อดีต อดีตที่ต้องถูกลืม” ช่อเอื้องกรีดร้อง เจ็บใจที่ทำอะไรแพรวไม่ได้ “กูเกลียดมึง กูจะฆ่ามึง”
แพรวกอดกรณ์แน่นเข้า สายตาเยาะเย้ยมาทางช่อเอื้อง “คุณกรณ์ขา แพรวจะมั่นใจได้ยังไงว่าเราจะแต่งงานกันจริงๆ คุณยืนยันกับแพรวได้ไหมคะ ว่าแพรวไม่ได้ฝันไป” มีหมอกดำล้อมรอบหัวกรณ์ กรณ์พูดด้วยฤทธิ์ของมนตร์ราคะที่สะกดเขาอยู่ “ผมจะแต่งงานกับคุณ” ช่อเอื้องน้ำตาร่วง มองกรณ์ด้วยความผิดหวัง เสียใจ แทบจะทรุดลง แพรวยั่วกรณ์ให้พูดต่อไป “คุณกรณ์ทำให้แพรวสบายใจได้ไหมคะว่าคุณรักแพรวคนเดียว คุณลืมอดีตได้แล้วจริงๆ” สีหน้าหมองของกรณ์พูดด้วยฤทธิ์ไสยมืด “คุณแพรวครับ ผมไม่ได้รักช่อเอื้องอีกแล้ว ผมรักคุณคนเดียว คุณแพรว” กรณ์จูบแพรวนิ่งนาน
ช่อเอื้องร้องโหยหวน หมดแรง หัวใจสลาย โหงพรายเข้ามากลุ้มรุมล้อมรอบตัวช่อเอื้อง แพรวซบกับอกกรณ์มองร่างช่อเอื้องที่ถูกโหงพรายลากห่างออกไป
ร่างช่อเอื้องถูกโหงพรายโยนลงตรงหน้าพ่อปู่ พ่อปู่หัวเราะร่าสะใจ “ไอ้อสูรกายนรก” ช่อเอื้องพยายามจะสลายร่าง หายตัวหนีไป พ่อปู่ตวัดแส้หนังสีดำฟาดใส่ ช่อเอื้องร้องด้วยความเจ็บปวด “อ๊ากก”
แส้หนังที่ฟาดลงเกิดเส้นเชือกมีแสงสีแดงวาบรัดรอบตัวช่อเอื้อง แล้วกลายเป็นบ่วงสีดำรัดช่อเอื้องดิ้นไมหลุด พ่อปู่ตวัดแส้ พลันนกการ้องดังระงมขึ้น มีแสงเจิดจ้าแวบแปลบปลาบมาจับที่ร่างช่อเอื้อง เป็นครั้งคราว “อ่อ มีคนแผ่ส่วนบุญให้มึงสินะ” พ่อปู่นึกรู้ว่า เป็นพลังแห่งธรรมะจากซินแสเฟย พ่อปู่สั่งหมอกดำและโหงพราย เสกคาถาชั่ว หมอกดำและโหงพราย รวมตัวเป็นมวล แล้วพุ่งออกจากตำหนัก ผ่านกลุ่มอีกา อีกาบินเตลิด
ลมพัดแรงราวกับพายุที่บ้านซินแสเฟย ท้องฟ้ามืดครึ้ม กลุ่มเมฆดำก่อตัวเป็นก้อนหมุนวนเหนือบ้าน นกกาบินโฉบมา
ที่บ้าน ยันต์จีนสีเหลืองที่ติดไว้รอบบ้าน หลายแห่งหลายที่สะบัดตามลม หลายแผ่นหลุด ลอยไป หมอกดำลอยเข้ามาถึงหน้าบ้าน
ในบ้าน ซินแสเฟยกำลังเขียนยันต์บนกระดาษสีเหลืองอยู่ รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ โหงพรายตัวเขียวเรืองแสง พุ่งเข้าใส่ซินแสเฟยทันที ซินแสเฟยหงายหลังล้มลง โครม!
พลิ้วจะพาณรามาหลบที่บ้าน พอเข้าไปก็สังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติ ยันต์สีเหลืองหล่นเกลื่อนกระจาย หยกคุ้มครองที่คอพริ้วมีสีแดงวาบขึ้น พริ้วรีบเข้าไปด้านใน ณรารีบตามทันที

ตอนที่ 24 วันพุธ ที่ 9 เมษายน 2557
พริ้วและณราวิ่งเข้ามา เห็นซินแสเฟยกระอักเลือดอยู่ที่พื้น พริ้วรีบประคอง ซินแสเฟยบอกให้พริ้วรีบออกไป แต่พริ้วไม่ยอมไป โหงพรายก่อร่างขึ้น พริ้วร้อนวาบจากหยก หันไปมอง โหงพรายจะพุ่งตัวเข้าใส่ซินแสเฟย ซินแสเฟยที่รักลูกมากเลยผลักพริ้วออกไป ซินแสเฟยกระอักเลือดออกมา พลิ้วมองพ่อตกใจ “ป๊า ทำไมทำอย่างนี้” ซินแสเฟยบอก “ลื้อต่างหาก ไปยุ่งกับกรรมของคนอื่น” “ฉันจะไม่ยอมให้ป๊าเป็นอะไรไป” พริ้วจะถอดหยก ซินแสเฟยร้องห้าม โหงพรายตั้งตัวเข้ามาอีก “ไม่ได้ หยกคุ้มครองนี้อั๊วให้มันป้องกันภัย ให้ลื้อ” พริ้วตะโกนบอก “ป๊า ไอ้ตัวเขียวปื๋อพวกนี้มันจ้องทำลายป๊า ไม่ใช่ฉัน” โหงพรายพุ่งเข้าใส่ซินแสเฟยอีกครั้ง พริ้วรีบถอดสร้อยหยกออกแล้วคล้องให้ซินแสเฟยทันที โหงพรายเด้งผงะออกไป ข้าวของในบ้านล้มระเนระนาดตามแรง
โหงพราย หมอกดำก่อตัวขึ้น เริ่มจะลอยเป็นวง รอบๆ พริ้ว ณรา และซินแสเฟย “ตั้งรับแบบนี้ไม่ไหวแน่ เราต้องสู้กับมัน เอาไงดีครับซินแส” ณราถาม “ยันต์กำแพงมาศ! เกราะประตูทองป้องกัน ไสยมนตร์ดำ” ณราว่า “ยากไปหรือเปล่าครับซินแส” พริ้วบอก “ไม่ยากค่ะ คำย่อของยันต์กำแพงมาศคือ ธรรม”
“ธรรม! ใช่สิ ธรรมะชนะอธรรม” โหงพรายพุ่งเข้ามาอีก ซินแสเฟยซึ่งมีหยกป้องกัน สวมแล้วหยิบประคำมาสวด ปาดเลือดจากปาก กลั้นใจสวดมนต์ ซินแสเฟยยืนบังพริ้วและณรา “เร็วเข้า อั๊วไม่รู้ว่าอั๊วมีเวลาอีกเท่าไหร่” “ป๊า!” พริ้วตกใจ ซินแสเฟยไม่สนใจตัวเอง ผลักพริ้วไปที่กระดาษแดงเขียนยันต์ พริ้ววาดยันต์ด้วยหมึกทองลงกระดาษสีแดง เป็นคำว่า ‘ธรรม’ คำเดียว
พ่อปู่ตั้งน้ำมันในอ่างทองแดง น้ำมันเดือดปุดๆ ช่อเอื้องมองหน้าพ่อปู่ด้วยความอาฆาต สีหน้า เจ็บปวดเพราะบ่วงรัดวิญญาณบีบรัดขึ้นเรื่อยๆ
ที่บ้านพริ้ว หมอกดำแผ่เข้าใกล้พริ้ว ณรา ซินแสเฟยสวดมนต์สู้ พริ้วเขียนยันต์เสร็จ ณราดึงส่งให้ ซินแสเฟย ซินแสเฟยจับยันต์สวดมนต์ใส่ยันต์ “มนตร์ใดภัยพาล มละมลาญหายไป ธรรมะ คุ้มภัย ประนมไหว้สาธุการ” โหงพรายสีเขียวจะพุ่งใส่พริ้ว ณราดึงยันต์ที่ซินแสเฟยสวดเสร็จแล้วใส่โหงพราย โหงพรายเด้ง กระดอนออกไป เกิดลมวินาศ
ที่ตำหนักพ่อปู่ ช่อเอื้องกรีดร้อง พยายามจะ ดิ้นหนี พ่อปู่ฟาดแส้ใส่ช่อเอื้อง “มึงจะไม่มีวันได้ผุดได้เกิด วิญญาณมึงจะ ติดกับอยู่ในบ่วงนรกโลกันตร์ตลอดกาล” พ่อปู่ใช้กระบวยหัวกะโหลกตักน้ำมันร้อนๆ สาดใส่ ช่อเอื้องกรีดร้อง ทรมานมาก
ที่บ้านพริ้ว ซินแสเฟยหลับตาสวดมนต์ รับรู้ว่าช่อเอื้องทรมาน “เร่งมือเข้า อาพริ้ว อำนาจมืดมันแก่กล้า ขึ้นมาก” พริ้วเร่งมือ ณราหยิบยันต์แปะรอบบ้าน โหงพรายจะพุ่งเข้าใส่ณรา ณราเอายันต์เข้าสู้ โหงพรายเด้งออก
ในบ้านเริ่มมียันต์ติดทั่ว ตรงกลางบ้าน ซินแสเฟยนั่งสวดมนต์ นับลูกประคำ พลิ้วเขียนยันต์ส่งให้ ณราเดินแปะ เสียงสวดของซินแสเฟยดังก้อง สลับกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของโหงพราย
โหงพรายเหาะลอยไปมาภายในบ้าน หมอกดำลอยวน จะพุ่งเข้าใส่ซินแสเฟย ณราเอายันต์กันไว้ หมอกดำแตกเป็นสะเก็ดดำๆ แล้วรวมตัวตั้งเค้า เตรียมบุกใหม่
ที่ตำหนักพ่อปู่ ร่างช่อเอื้องเริ่มขาดวิ่น บางส่วนมีรอยไหม้ ควันขึ้น ช่อเอื้องกรีดร้อง “กูจะไม่ตาย กูจะอยู่ปกป้องคนรักของกู” พ่อปู่ฟาดแส้ใส่ช่อเอื้อง ร่างช่อเอื้องสะบั้น ไปมา “มึงต้องตาย ตายซ้ำตายซาก ตายไม่ได้ผุด ได้เกิด”
ที่บ้านพริ้ว ซินแสเฟยสวดมนต์นับประคำ อีกมือจิ้มไว้ที่ยันต์ที่กำลังสวด ด้านนอกบ้าน พริ้วและ ณราช่วยกันแปะยันต์ไว้รอบบ้าน โหงพราย เหาะมา พุ่งจะทำร้ายพริ้ว “คุณพริ้วระวัง” ณรากอดพริ้วไว้ แล้วชูยันต์ ใส่โหงพราย โหงพรายล่าถอยออกไป “บุญทำ กรรมสร้าง มวลมารพ่ายแพ้” ซินแสเฟยเดินออกมา โปรยยันต์ขึ้นกลางอากาศ ท่ามกลางหมอกดำและโหงพรายที่ลอยว่อนทั่วบ้าน โหงพรายโดนยันต์ที่โปรยขึ้นเต็มอากาศ สลายร่าง หมอกดำโดนยันต์ แตกตัวกระจัดกระจาย
ที่ตำหนัก พ่อปู่ชะงักมือที่กำลังฟาดแส้ใส่ ร่างช่อเอื้อง นึกรู้ว่าสมุนโหงพรายและหมอกดำโดนซินแสเฟยเล่นงาน ช่อเอื้องตาวาววับ กัดฟัน รวบรวมพลัง จะยื่นมือมาบีบคอพ่อปู่ พ่อปู่ตวัดมีดอาคม ตัดแขนช่อเอื้อง “ไม่มีใคร ช่วยมึงได้ แม้แต่ตัวมึงเอง” แขนช่อเอื้องหลุดออก ช่อเอื้องมองท่อนแขน ท่อนแขนสลายมาต่อกับร่างช่อเอื้องอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ช่อเอื้องบาดเจ็บทุรนทุราย
ที่บ้านพริ้ว พริ้ว ณรา และซินแสเฟยยืนอยู่ พวกโหงพรายและหมอกดำลอยอยู่กลางอากาศรอบบ้าน ซินแสเฟยโปรยยันต์ขึ้นกลางท้องฟ้า พลางเร่งสวด เกิดแสงสีทองสว่างวาบจากยันต์ทุกแผ่น บ้านทั้งหลัง กลายเป็นสีทอง ลูกหิน หมอกดำ และโหงพรายโดนยันต์สีทอง ทั้งหมดแตกตัวกระจัดกระจาย
กลายเป็นฝุ่นขี้เถ้า ตกลงมา ซินแสเฟยบอก “ปลอดภัยแล้ว” พริ้ววางมือ รีบเข้าไปประคองพ่อ “ป๊า เป็นไงมั่ง” ซินแสเฟยว่า “ไม่ต้องห่วงอั๊ว ลื้อเร่งเขียนยันต์ติดให้ทั่ว ตอนนี้บ้านเรามีเกราะประตูทองป้องกันไสยมนตร์ดำ พวกลื้อต้องอยู่แต่ในเขตบ้านนี้ถึงจะปลอดภัย” พริ้วรับปาก รีบกลับไปเขียนยันต์ ณราช่วยประคองซินแสเฟยไปนั่งก่อน แล้วค่อยกลับไปช่วยพริ้ว
ที่ตำหนัก บ่วงดำรัดร่างช่อเอื้องคลายตัวออก ช่อเอื้องหัวเราะเยาะ “มนตร์มารสู้ธรรมะไม่ได้หรอก”
พ่อปู่ตวัดแส้อีกครั้ง แส้อาคมกลายเป็นบ่วงดำรัดร่างช่อเอื้องจนเอวแทบหลุดจากกัน พ่อปู่นึกรู้ว่า หมอกดำและโหงพรายเอาไม่อยู่ พ่อปู่กระชาก ประคำสีดำ ได้ลูกประคำเม็ดใหญ่มา “ไอ้แก่!” พ่อปู่ขมุบขมิบว่าคาถา แล้วเขวี้ยง ประคำดำออกไป “เฝ้าพวกมันไว้ อย่าให้ออกมาช่วย อีผีช่อเอื้องได้”
ที่บ้านพริ้ว ประคำดำพุ่งมา แล้วแตกตัว ออกเป็นอีกาบินเกาะที่หน้าบ้าน พริ้ว ณรา และซินแสเฟย มองออกมาเครียด
ที่ตำหนักพ่อปู่ ร่างช่อเอื้องเจ็บปวดทั่วสรรพางค์ ร่างขาดวิ่น มีรอยไหม้ ควันขึ้น พ่อปู่ฟาดแส้ไฟใส่ช่อเอื้องไม่ยั้ง “กูจะฉีกวิญญาณมึงเป็นชิ้นๆ ตาย ตาย ตาย” ช่อเอื้องร้อง “คุณกรณ์ขา ต่อให้ตาย ร่างกายไม่อยู่ วิญญาณ แหลกสลาย ช่อจะรักคุณคนเดียว คุณกรณ์”
พ่อปู่วางแส้ ตักน้ำมันราดช่อเอื้อง ร่างวิญญาณของช่อเอื้องเริ่มเปื่อยเพราะน้ำมันร้อนจัด เริ่มละลาย “กรี๊ดด คุณกรณ์ ช่อรักคุณ” ช่อเอื้องแทบทนพิษร้อนของน้ำมันมารไม่ได้ กรีดร้อง ทุรนทุราย
พริ้วดูกระสับกระส่าย ทุรนทุราย ผุดลุกผุดนั่ง ณราถามว่าเป็นอะไรไป “ไม่รู้สิคะ ฉันร้อนใจยังไงบอกไม่ถูก” ซินแสเฟยว่า “ลื้อสื่อถึงวิญญาณผู้หญิงคนนั้นได้ แสดงว่าพวกมันกำลังทำพิธีไสยดำ” “วิญญาณผู้หญิงคนนั้นคือช่อเอื้อง เป็นคนรัก ของคุณกรณ์!” ณราบอก พริ้วตกใจ “อะไรนะคะ” “ผมจำได้แล้ว ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเธอชื่อช่อเอื้อง เป็นคนรักของคุณกรณ์ เธอถูกเพื่อนทรยศ หักหลัง ถึงได้ตายอย่างเจ็บปวดทรมาน” พริ้วหันไปหาซินแสเฟย “เราจะช่วยวิญญาณช่อเอื้องยังไงดีล่ะป๊า” ซินแสเฟยมองออกไปนอกบ้าน เห็นหมอกดำ โหงพราย และนกกาเกาะรอบบ้าน “มันส่งภูตดำมาเฝ้า เราออกไปจากเกราะทอง นี้ไม่ได้ แต่เราหาทางพาวิญญาณช่อเอื้องมาที่นี่ได้” พริ้วเริ่มมีความหวัง
ที่ตำหนักพ่อปู่ วิญญาณช่อเอื้องรับรู้ ยิ้ม วาบขึ้น พ่อปู่จุดเทียนสีดำ ยกขึ้นเสกคาถา
ที่บ้านพริ้ว ตรงกลางบ้านถูกจัดการเป็นที่โล่ง พริ้วและณราช่วยกันจุดเทียนตั้งเป็นแนวรูปแปดเหลี่ยม “เราต้องช่วยกันเขียนยันต์เปิดฟ้าเบิกสวรรค์ ให้แสงสว่างแห่งธรรมนำทางวิญญาณช่อเอื้องมา ในเขตยันต์กำแพงมาศเกราะประตูทองนี้ แล้วอีจะ ปลอดภัย” ซินแสเฟยสวดมนต์นับประคำ แล้วจุ่มประคำเหวี่ยงสะบัดให้น้ำมนต์กระจายในกรอบเทียน แปดเหลี่ยม
พ่อปู่รู้ว่าซินแสเฟยกำลังสวดมนต์ เพราะเสียงสวดมนต์ก้องมาถึงตำหนัก ช่อเอื้องยิ้มสะใจ “ช่วยด้วย ช่วยช่อด้วย” “กูไม่กลัวมึง” พ่อปู่สาดน้ำมันใส่ช่อเอื้องอีก แล้วพ่อปู่ร่ายคาถา
พ่อปู่เสกคาถาชั่ว เสียงสวดซินแสเฟยดังขึ้น ที่ตำหนักพ่อปู่ แสงระยิบระยับแวบวาบเข้ามา ซินแสเฟยสวดมนต์คุ้มครองป้องกันภัย “มนตร์ใดภัยพาล มละมลาญหายไป ธรรมะ คุ้มภัย ประนมไหว้สาธุการ”
ที่ตำหนักพ่อปู่ ได้ยินเสียงมนต์พิธีของซินแสเฟย พ่อปู่เริ่มปวดหู ซินแสเฟยสวดต่อไป พลางเคาะระฆัง พ่อปู่ได้ยินเสียงระฆังก็ปวดหู ทนไม่ได้ เลือดไหล ออกหู ช่อเอื้องมองเห็นพ่อปู่เริ่มเพลี่ยงพล้ำ “ขอให้ธรรมะคุ้มครองคนดี คนชั่วอย่างมึง ต้องวินาศ”
ซินแสเฟยสวดแผ่เมตตา แสงทองสว่างวาบขึ้นจากตัวหนังสือจีนในยันต์ แต่ละแผ่นค่อยๆ ส่องแสงสว่างขึ้นมา พ่อปู่เริ่มมีเลือดออกจมูก ออกปาก ตัวสั่น แต่ยังจ้องทำร้ายช่อเอื้อง “อีผีชั่ว กูจะฆ่ามึง ให้มึงตกนรกโลกันตร์ กูจะฉีกวิญญาณมึงสังเวยมนตร์ดำ” พ่อปู่ตักน้ำมันสาดใส่ช่อเอื้อง ช่อเอื้องกรีดร้อง พ่อปู่จุดไฟ เตรียมจ่อใส่ร่างวิญญาณช่อเอื้อง
พริ้วยกมือประนม อุทิศบุญให้ช่อเอื้อง ซินแสเฟยสวดมนต์ดังก้อง ณราต่อเทียนดวงที่ดับให้ติด เอาสายสิญจน์ล้อมเป็นวงรอบซินแสเฟย
พ่อปู่จะจุดไฟเผาช่อเอื้อง ไฟจ่อลงมา แสงสว่างวาบเข้ามา พ่อปู่แสบตา ยกมือป้อง ไฟและน้ำมัน หยดลงร่างพ่อปู่ พ่อปู่ร้องครวญคราง “มนตร์มารทำลายตัวมึงแล้ว ไอ้คนชั่ว” พ่อปู่ยังกัดฟัน จะทำร้ายช่อเอื้อง “กูจะฉีก วิญญาณมึง ไสยมืดของกูต้องอยู่ยง อ๊ากกก” แสงสว่างพุ่งเป็นลำสาดส่องร่างช่อเอื้อง ช่อเอื้องเริ่มมีแรง น้ำตาไหลซาบซึ้ง ร่างช่อเอื้องถูกแสงสว่างเข้าห่อหุ้มจนหายไป
แสงสว่างเจิดจ้าแยงตา พ่อปู่โมโห โถมร่างเข้าไปหมายจะจ้วงมีดอาคมแทงช่อเอื้อง พ่อปู่เข้าไป ในแสง พลันโดนแสงสว่างทิ่มแทง “อ๊ากกก ไสยมืดจะอยู่ยง ตราบใดที่พวกมึง ยังมีกิเลส มนตร์มารจะไม่สลาย ไม่ ไม่ อ๊ากกกก” พ่อปู่มีแสงออกจากจมูก ปาก ตา แล้วแสงทองก็ทะลุทั้งร่าง ร่างพ่อปู่ทรุดฮวบลงที่พื้น ตาเหลือก พลันนกกาบินมาจิกกินลูกตา แล้วพ่อปู่ก็ถูกอีกา รุมจิกทึ้งทั้งตัว

ตอนที่ 25 วันจันทร์ ที่ 14 เมษายน 2557
ที่บ้านกรณ์ กรณ์กำลังจะโน้มตัวลงจูบแพรว มีแสงสว่างวาบเข้ามา นัยน์ตากรณ์วาบสว่าง สีหน้ากระจ่างสดใสขึ้นมา กรณ์มองแพรวอย่างตกตะลึง มนตร์เสน่ห์ที่แพรวทำไว้ต่อกรณ์คลี่คลายออกหมด “นี่มันอะไรกัน” กรณ์ผละออกจากแพรวทันที กระถดตัวถอย ทั้งงงทั้งรู้สึกผิด ลำบากใจ “ผมทำอะไรลงไป” กรณ์มองหน้าแพรว เหมือนคนไม่เคยรู้จัก แพรวตะลึง นึกรู้ว่ามนตร์อาจจะเสื่อมลงแล้ว
พอเหตุการณ์สงบลง ซินแสเฟยก็หมดสติไป ณรารีบพาซินแสเฟยส่งโรงพยาบาล
ที่บ้านกรณ์ แพรวพยายามอธิบายต่อกรณ์ “ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะคุณกรณ์ เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องของคนที่รักกันไม่ใช่เหรอคะ แล้วที่สำคัญ อีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกันอยู่แล้ว” กรณ์งงหนัก “แต่งงาน?? นี่คุณพูดเรื่องอะไร” แพรวว้า “ก็เรื่องที่คุณขอแพรวแต่งงานน่ะสิคะ” “ผมขอคุณแต่งงาน??” กรณ์อึ้ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แพรวเห็นท่าไม่ดี รีบพูดขึ้น “คุณบอกว่าคุณจะรับผิดชอบแพรว แพรว ก็เลยตอบตกลง” กรณ์บอก“เดี๋ยวก่อนนะครับคุณแพรว ผมว่ามันต้อง มีอะไรผิดพลาดแน่ คือผมไม่ได้รังเกียจคุณนะครับ แต่เรื่องแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่ ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ขอเวลาผมสักหน่อยนะครับ ขอให้ผมหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าผมเป็นอะไรไป มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่” แพรวสีหน้าวิตกกังวล สุดๆ
ที่ตำหนักพ่อปู่ แพรวมาถึง บรรยากาศเงียบงัน นกกาหายไปหมด ทุกอย่างเงียบสนิท แพรวรีบเข้าไป ด้านใน
แพรวเดินเข้ามามองหาพ่อปู่ ที่หน้าแท่นบูชา ไสยเวท แพรวเดินเข้ามาแล้วก็ต้องตกใจ ผงะกับ ภาพที่เห็น ร่างของพ่อปู่นอนตายอยู่หน้าแท่นบูชา “พ่อปู่!!! นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ไปได้!!”
แพรวรีบกลับไปบอกแม่ อนงค์ตกใจมาก
ที่โรงพยาบาล หมอบอกพริ้วว่าซินแสเฟยปลอดภัยแล้ว ให้คนไข้พักผ่อนเยอะๆ หมอเดินออกไปจากห้อง พริ้วรีบเข้าไปจับมือซินแสเฟย ณรารีบเข้ามาดึงตัวพลิ้วออกอย่างเบามือ เพื่อปล่อยให้ซินแสเฟยพักผ่อน พอดีกับที่กรณ์โทรศัพท์เข้ามาหา ทั้งสองเลยออกไปพบกรณ์
กรณ์ ณรา และพริ้วนั่งคุยกัน พริ้วสีหน้าตกอกตกใจเมื่อรู้ว่ากรณ์ขอแพรวแต่งงาน เธอคิดว่าแพรวอาจโกหก ณราค่อยๆ พูด “ผมว่าค่อยๆ คิดดีกว่านะครับ คุณควรจะหาหมอ ปรึกษาเรื่องความจำที่มันหายไป บางทีมันอาจจะเกิดจากความเครียดก็ได้ สีหน้าคุณก่อนหน้านี้แตกต่างจากตอนนี้มาก” กรณ์สงสัย “ยังไงครับ??” พริ้วบอก “เห็นด้วยค่ะ ก่อนหน้านี้คุณดูหมองๆ หม่นๆ บอกไม่ถูกอ่ะค่ะ ใจก็ลอยๆ ตาก็ลอยๆ เหมือนคุณ ไม่เป็นตัวของตัวเอง” ณราว่า “งั้นรีบไปหาหมอเถอะครับ”
พริ้วกลับพาทั้งสองไปที่วัดให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้ หลวงพ่อดูแล้วรู้ว่าว่าโดนคุณไสยมา หลวงพ่อบอก “ไสยที่ครอบงำโยมอยู่ได้สิ้นฤทธิ์ ลงแล้ว” พริ้วรีบถาม “คุณกรณ์ปลอดภัยแล้วใช่ไหมคะ” หลวงพ่อว่า“ปลอดภัยจากไสย แต่ใช่ว่าจะปลอดภัยจากสิ่งอื่น มันเป็นเรื่องของบ่วงกรรม โยมต้องระวังตัว ให้ดี จงมีสติ รักษาศีลภาวนา หมั่นทำบุญ ให้บุญ คุ้มครอง” กรณ์เครียดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ระหว่างเดินกลับมาที่รถ พริ้วนิ่วหน้าด้วยความสงสัย “ฉันว่าคนที่ทำคุณไสยใส่คุณต้องเป็นคนที่อยู่ ใกล้ตัวคุณที่สุด และต้องการคุณมากที่สุด” ณราปราม “อย่าเดาสุ่มสี่สุ่มห้าน่าพริ้ว” พริ้วเถียง “ไม่ได้เดา ฉันพูดด้วยเหตุผล คุณกรณ์คะช่วงหลังๆ มาเนี่ยคุณหมกมุ่นอยู่กับใครหรือเรื่องอะไร มากที่สุดคะ” กรณ์อึ้งไป ในหัวคิดถึงเรื่องที่แพรวพูดเรื่องขอแต่งงาน ณราเห็นกรณ์อึ้งๆ ก็ปรามพริ้ว “อย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณกรณ์เลยน่า” พริ้วสวนกลับ “แต่ว่าฉันอยากช่วยนี่” “แต่นี่มันเรื่องส่วนตัวเกินไป” “เอ๊ะ คุณนี่ ถ้าไม่ยุ่งแล้วจะรู้เหรอ” กรณ์ตัดบท “อย่าทะเลาะกันเลยครับ มีอยู่คนหนึ่งที่ผมใกล้ชิดมาก” พริ้วว่า “คุณแพรวใช่ไหมคะ”
กรณ์พยักหน้ารับในที่สุด “จากสิ่งที่เธอพูด มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น” “นั่นไง คุณแพรวจริงๆ ด้วย อย่างที่ฉันสงสัย ไม่มีผิด” พริ้วหันไปบอกณรา “เป็นไงล่ะ ความสอดรู้ สอดเห็นของฉันก็มีประโยชน์นะ” ณราจำต้องยอมรับ ไม่เถียงพริ้วแต่หันไปถามกรณ์ “แล้ววันนี้คุณแพรวเธอไปไหนล่ะครับ”
แพรวร้อนรนนั่งไม่ติดอยู่ในห้อง “คุณกรณ์ ยังไงคุณก็ต้องแต่งงานกับฉัน ฉันไม่มีวันยอมให้ใครมาแย่งคุณไปอีกเป็นอันขาด” ทันใดนั้น วิญญาณช่อเอื้องก็ปรากฏขึ้น “นังช่อ ก..ก..แกเข้ามาได้ยังไง” ช่อเอื้องว่า “สิ้นไอ้แก่นั่น ก็ไม่มีสิ่งไหนคุ้มครองคนชั่ว อย่างแกได้แล้วแพรวผงะถอยหลัง ” “แก แกจะทำอะไรฉัน” ในขณะที่ช่อเอื้องก้าวเข้ามาหา แพรวร้องโวยวาย “อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา” ช่อเอื้องยิ้มเยาะ “แกกลัวฉันเหรอ” “อีผีชั่ว ออกไปนะ ไปให้พ้น” “ใช่สิ แกต้องกลัวฉันแน่ แกกลัวว่าฉันจะฆ่าแก ให้ตายเหมือนไอ้ไท”
แพรวรีบบอก “แต่ฉันไม่ได้ฆ่าแกนะ ฉันไม่ได้เป็นคนลงมือ” ช่อเอื้องตวาด “แต่แกก็ร่วมมือกับมัน ทั้งเพื่อนชั่ว ทั้งไอ้หมอผีนั่น แกใช้พวกมันฆ่าฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฆ่าทั้งตัว ฆ่าทั้งวิญญาณ!” แพรวสุดทน “ก็มันสมควรแล้ว ผีอย่างแกตายแล้วไม่ยอม ตาย!” “แต่เราเป็นเพื่อนกันนะ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่ เหรอ” “ฉันไม่เคยเป็นเพื่อนกับแก ฉันเกลียดแกตั้งแต่ แรกเห็น เกลียดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด สมควรแล้วที่แก ถูกไอ้ไทมันฆ่า สมควรแล้วที่แกต้องตาย!!” “งั้นก็สมควรแล้วที่แกต้องชดใช้!!” ช่อเอื้องว่าแล้วก็พุ่งเข้าใส่แพรวในสภาพ
น่าสยดสยอง แพรวตกใจกับภาพที่เห็น “ดูเอาไว้ ดูไว้ ว่าแกทำอะไรไว้กับฉัน นังเพื่อนสารเลว!!” ช่อเอื้องกลายสภาพให้น่ากลัวมากขึ้นไปอีก “กรี๊ดดดดด!!!!!!” แพรวกรีดร้องดังลั่นด้วย ความตกใจถึงขีดสุด
อนงค์กลับจากจ่ายตลาด ได้ยินเสียงลูกร้อง ก็รีบวิ่งเข้าบ้านไป
อนงค์เปิดประตูเข้ามา เห็นแพรวกรี๊ดอยู่ที่พื้น ตามลำพัง “แพรว เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรไปลูก” อนงค์รีบเข้าไปจับตัวแพรวไว้ “แพรว นี่แม่เอง แพรว” แพรวท่าทางหวาดกลัวสุดขีด กรีดร้องไม่หยุด ช่อเอื้องแสยะยิ้มสะใจ
กรณ์โทรศัพท์ติดต่อแพรว แต่ไม่รับสาย พริ้วแนะนำให้ไปที่บ้านถามให้รู้เรื่อง กรณ์คิดๆ ลองโทรอีกที เสียงอนงค์ดังขึ้น “ฮัลโหลๆ ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!!” กรณ์ตกใจ

ตอนที่ 26 วันอังคาร ที่ 15 เมษายน 2557
ณรารีบจอดรถ กรณ์วิ่งเข้าไปในบ้าน พริ้วกับ ณรารีบตามไป กรณ์เข้าไปจับตัวแพรวไว้ เห็นว่าตกอยู่ในสภาพกลัวลนลาน กรีดร้องไม่หยุด วิญญาณช่อเอื้อง พยายามจะบอกกับกรณ์ “มันฆ่าช่อ มันช่วยกันฆ่าช่อ มันพรากช่อ จากคุณ” แพรวพูด ตาลอยๆ “ไม่ ฉันไม่ได้ฆ่า ฉันไม่ได้ฆ่าแก” กรณ์มองแพรวเป็นห่วง “คุณแพรว คุณพูดเรื่องอะไรครับ คุณแพรว ตั้งสติไว้นะครับ” แพรวยังคงเพ้อพูดตาลอยๆ “มันมาแล้ว มันมาฆ่าฉันแล้ว” กรณ์หันมองรอบก่อนจะบอกแพรว “ไม่มีอะไรนี่ครับ ไม่มีใครจะทำร้ายคุณทั้งนั้น ไม่ต้องกลัวนะครับคุณแพรว” แพรวมองเห็นช่อเอื้องในสภาพสยดสยอง จากด้านหลังกรณ์ “ผี ผี ผี!!” กรณ์ถาม “ผีที่ไหนครับ” แพรวว่า “ผีอีช่อ!” กรณ์สะดุ้งวาบ
ณรากับพริ้วตามเข้ามา แพรวจับแขนกรณ์ไว้ “ฉันไม่ได้ฆ่ามัน ไอ้ไท ไทเป็นคนฆ่ามัน ไทเป็นคนทำ” กรณ์งงกับสิ่งที่แพรวพูด “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ครับ” แพรวว่า “คุณต้องเชื่อฉันนะ ฉันไม่ได้ฆ่ามัน ฉันไม่ได้ ฆ่านังช่อ คุณต้องไม่โกรธฉันนะ คุณต้องรักฉัน แต่งงานกับฉัน คุณต้องแต่งงานกับฉัน กรี๊ดดดด!!” ณราบอกกับกรณ์ “ผมว่าท่าทางไม่ดีแล้ว ล่ะครับ สติกระเจิงแบบนี้ รีบพาส่งโรงพยาบาลดีกว่า นะครับ” กรณ์เห็นด้วย “นั่นสิ ไปครับคุณแพรว ไปกับผมนะครับ” แพรวตาลอยถาม “ไป? ไปไหน คุณจะพาฉันไปแต่งงานใช่ไหม” กรณ์อึ้ง พริ้วพยักหน้าให้กรณ์รับๆ ไปก่อน “ครับ ไปกับผมนะครับ” กรณ์ประคองแพรวออกไป วิญญาณช่อเอื้องหัวเราะสาสมแก่ใจ “มึงไม่มีวันได้แต่งงานกับคุณกรณ์ มึงต้อง ชดใช้ให้กับกู!!”
ทุกคนรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน หมอเดินออกมา อนงค์รีบเข้าไปหา หมอบอกว่าแพรวมีอาการทางประสาท ต้องส่งไปสถานบำบัดทางจิต อนงค์ถึงกับเข่าอ่อน
กรณ์เข้ามาด้านในโรงละคร ติดใจสงสัยอะไรบางอย่าง วิญญาณช่อเอื้องเข้ามาสวมกอด จากด้านหลัง “คุณกลับมาหาช่อแล้ว ช่อดีใจเหลือเกิน คุณกลับมารักช่อแล้ว”
กรณ์เดินไปรอบๆ มองไปรอบๆ ตัดสินใจ ร้องเรียกออกไป “ช่อเอื้อง ถ้าคุณอยู่ที่นี่ ช่วยออกมาด้วยเถอะ ไม่ว่าคุณจะเป็นหรือตาย ก็ขอให้ออกมาให้ผมรู้ ความจริงด้วยเถอะ” ช่อเอื้องบอก “ช่ออยู่นี่แล้วค่ะ ช่ออยู่กับคุณแล้ว” “ช่อเอื้อง ผมรักคุณมาตลอด คิดถึงคุณมา ตลอด ได้โปรดให้ผมรู้ความจริงด้วยเถอะที่รัก” “คุณกรณ์” วิญญาณช่อเอื้องร่ำไห้ด้วย ความเศร้า “ช่อก็รักคุณ รักคุณมาตลอด ไม่เคย หยุดรักคุณเลย” “ช่อ ผมรักคุณ รักคุณเหลือเกิน ขออย่าให้มัน จริงอย่างที่คุณแพรวพูดเลย ขออย่าให้เป็นอย่างนั้น เลย” ทั้งคนทั้งวิญญาณร้องไห้ไปด้วยกัน
ซินแสเฟยอาการหายดีกลับมาพักที่บ้านแล้ว พริ้วกำลังรินน้ำชาร้อนๆ ส่งให้ ซินแสเฟยมองณราแล้วถอนหายใจ “ถ้าวิญญาณผู้หญิงคนนั้นพูดกับคุณอย่างที่คุณเล่า อั๊วจะดูดวงให้ว่าคุณควรที่จะไปบอกคุณกรณ์ ตามที่วิญญาณต้องการรึเปล่า” พริ้วสงสัย “ทำไมยังต้องดูดวงอีกล่ะป๊า บอกไปเลยก็ได้ นี่นา”
ซินแสเฟยว่า “ไม่ได้ มันเป็นเรื่องของบ่วงกรรม บ่วงกรรมเขาทำกันมา มันถึงได้เกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ ถ้าเราจะเข้าไปยุ่ง เราก็ต้องดูให้ดีว่ามันจะไปเปลี่ยนบ่วงกรรมพวกเขารึเปล่า ถ้าเข้าไปยุ่งแล้วทำให้บ่วงกรรมเบี่ยงเบนพวกลื้อก็จะติดร่วมอยู่ในบ่วงกรรมไปด้วยในฐานะผู้เปลี่ยนกรรม!!” พริ้วหน้าตื่น “ขนาดนั้นเลยเหรอป๊า ฉันขนลุกไปหมด แล้วอ่ะ” ซินแสเฟยหันไปทางณรา “บอกวันเดือนปีเกิดของคุณมา อั๊วจะตรวจดู ชะตาให้” ณราพยักหน้า “ครับ” พริ้วมองทั้งคู่แล้วแอบถอนใจ ร้อนใจ เรื่องช่อเอื้อง
ซินแสเฟยตรวจดูดวงชะตาให้ณราอยู่ แล้วมีสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะบอกว่าจะทำพิธีเชิญวิญญาณช่อเอื้องให้เจอกับกรณ์ให้คุยกันเอง
พระจันทร์เต็มดวง ทุกคนมาถึงโรงละคร “ฤกษ์งามยามเหมาะ เราจะหาที่ทำพิธี” ซินแสเฟยว่า “เอ่อ ถ้าไม่บังอาจเกินไป ผมขอเป็นคนเลือกที่ได้ไหมครับ” กรณ์ว่า ซินแสเฟยพยักหน้า “ได้สิ คุณรู้จักที่นี่ดีกว่าพวกเราทุกคนอยู่แล้ว เลือกเลย” กรณ์เดินนำทุกคนไป “งั้นเชิญทางนี้เลยครับ”
กรณ์นำทุกคนมาหยุดอยู่ที่หน้าศาลาจุดนัดพบ “ที่นี่แหละครับ ที่ที่ผมเคยนัดเจอกับเธอ เมื่อปีก่อน แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ไม่ได้พบกัน” ซินแสเฟยว่า “งั้นก็ตรงนี้แหละ ทำพิธีเชิญวิญญาณกัน ตรงนี้เลย” ซินแสเฟยก้าวไปข้างหน้า คนอื่นๆ ถอยออกมา ซินแสเฟยใช้ไม้เท้าวาดยันต์ลงบนพื้น “ข้าแต่เทพผู้สถิตย์ทั่วทุกสารทิศ ลูกจะขอท่าน ให้ช่วยเปิดทางให้วิญญาณนางหนึ่งซึ่งรอคอยมานาน แสนนาน ขอฟ้าจงเปิดทางให้นางด้วยเถิด” ซินแสเฟยกระแทกไม้เท้าลงบนพื้น เกิดแสงสว่างวาบขึ้นสี่ทิศ คนอื่นๆ ตกใจผสมตื่นตาตื่นใจ
ซินแสเฟยหันมาบอก “เทพท่านอนุญาตเปิดทางให้แล้ว เชิญคุณ ทางนี้” กรณ์เดินไปหาซินแสเฟย “มีอะไรก็พูดกันให้รู้เรื่องไป จะได้ไม่มีสิ่งใดติดค้างคาใจกันในชาติภพนี้” ซินแสเฟยก้าวออกมารวมตัวกับพริ้วและ ณรา พริ้วหันไปถามพ่อ “ป๊าแน่ใจนะว่าเธอจะมา” ซินแสเฟยบอก “เธอรอมานานแค่ไหนแล้ว ทำไมจะไม่มา” พริ้วถามอีก “แล้วแน่ใจนะว่าไม่ต้องใช้ร่างฉันอะป๊ะ” ซินแสเฟยส่ายหัวอย่างเอ็นดู “อั๊วเปิดเนตรให้คุณกรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้อง ใช้ร่างลื้อเป็นสื่อ”
ที่ยันต์สี่ทิศหน้าศาลา กรณ์กวาดตามอง ไปรอบๆ “ช่อครับ ผมมาแล้ว ออกมาหาผมด้วยเถิด ผมอยากพบคุณเหลือเกิน ได้โปรดเถอะช่อ” ทันใดนั้น ทุกอย่างเริ่มกลับมามีชีวิตชีวา ต้นไม้ ผลิดอกออกใบ น้ำรินไหล สวยงามเหมือนในอดีต กรณ์ยิ้มออกมา ก่อนจะหันกลับมาแล้วเจอช่อเอื้อง อยู่ตรงหน้า “ช่อ!”
“คุณกรณ์!” ทั้งคู่โผเข้ากอดกันด้วยความรัก และคิดถึงอย่างสุดซึ้ง “คุณกรณ์ของช่อ คุณกรณ์กลับมาหาช่อแล้ว” กรณ์จ้องหน้าช่อเอื้อง “ผมขอโทษ ผมขอโทษ” ช่อเอื้องบอก “คุณไม่ต้องขอโทษช่อ คุณไม่ผิด คนผิด ได้รับกรรมของพวกเขาแล้ว” กรณ์ถาม “มันเกิดอะไรขึ้นช่อ บอกกับผมสิว่ามันเกิด อะไรขึ้นกับคุณ” ช่อเอื้องมองหน้ากรณ์นิ่งแล้วเล่าให้ฟังว่า เธอถูกไทฆ่าตาย แล้วไทกับแพรวก็เอาเธอไปฝัง พ่อปู่สะกดวิญญาณเธอไว้ กรณ์ร้องไห้โฮด้วยความสงสารช่อเอื้อง “ช่อ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องเกิดเรื่องนี้กับคุณด้วย ทำไม”
ช่อเอื้องเช็ดน้ำตาให้กรณ์ “คนดีของช่อ อย่าร้องไห้ ถึงชาตินี้ความตายจะแยกเราจากกัน แต่แยกได้ก็แค่กายเท่านั้น ต่อให้ต้องตายอีกกี่ครั้ง ก็ไม่อาจพรากหัวใจของช่อที่รักคุณได้ ช่อจะรักคุณ ตลอดไป รักของช่อจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” กรณ์บอกช่อเอื้องทั้งน้ำตา “ผมก็รักคุณ รักคุณเหลือเกิน เพราะผมแท้ๆ ผมเป็นต้นเหตุให้คุณต้องตาย” ช่อเอื้องว่า “อย่าพูดอย่างนั้น มันเป็นเวรกรรมของช่อเอง ชะตาฟ้าลิขิตมาให้เป็นแบบนี้ จะฝืนชะตาฟ้าไม่มี ใครทำได้” เสียงกุกกักดังมาจากทางหนึ่ง ทุกคนหันไปมอง เงาวูบรีบหลบเข้ามุม
“ใครน่ะ” ณราเดินไปดู พริ้วเตือน “ระวังนะคะคุณณรา” “ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนเข้ามาทำลายพิธี ได้เป็นอันขาด” ณราว่าแล้วก็รีบก้าวสวบๆ ไปที่มุมนั้นทันที

ตอนที่ 27 (อวสาน) วันพุธ ที่ 16 เมษายน 2557
อนงค์โผล่ออกมาจากมุม แล้วร้องบอก “อย่าๆ อย่าทำอะไรฉัน ฉันมาดี ไม่ได้มาร้าย” ณราถาม “แล้วคุณมาที่นี่ทำไม” อนงค์บอก “ฉันมาเพื่อขอโทษ มาเพื่อขอขมาต่อ ดวงวิญญาณของหนูช่อเอื้อง”
ณราอึ้ง “อะไรนะ มาขอขมางั้นเหรอ” ซินแสเฟยร้องบอก “ให้เธอเข้ามา”
อนงค์รีบเดินเข้าไปหาซินแสเฟย ซินแสเฟยถาม “ลื้อจะมาขอขมา ทำไม” อนงค์ว่า “ลูกสาวฉันเป็นบ้าเสียสติไปแล้ว ฉันอยากให้วิญญาณหนูช่อเอื้องให้อภัยต่อแพรว อย่างโกรธ อย่าอาฆาตแค้น ยกโทษให้กับแพรวด้วยเถอะจ้ะ ยกโทษให้ด้วย” วิญญาณช่อเอื้องมองมาที่ซินแสเฟย “การโกรธแค้น จองเวรจะตามติดไปทุกชาติ ทุกภพ จะตัดขาดได้ก็ต่อเมื่ออโหสิให้กัน” ซินแสเฟยว่า
ช่อเอื้องนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ ซินแสเฟยบอกอนงค์ “เขาอภัยให้แล้ว อโหสิให้แล้ว เขาไม่ จองเวรแล้ว” อนงค์ยิ้มรับ “ขอบคุณจ้ะ ขอบพระคุณจ้ะ ขอบพระคุณ จริงๆ” ซินแสเฟยว่า “งั้นเชิญคุณกลับไปก่อนเถอะครับ พวกเรา ยังไม่เสร็จธุระ” อนงค์พยักหน้าก่อนจะรีบร้อนออกไป “จ้ะๆ ฉันไปแล้วจ้ะ” กรณ์มองหน้ากับช่อเอื้อง สายตาจริงจังมาก “ผมสัญญานะช่อ ชาตินี้ผมจะไม่รักใครอีกแล้ว ผมจะรักคุณคนเดียว จะไม่มีวันลืมคุณ ไม่มีวันเลิก รักคุณ” ช่อเอื้องว่า “อย่าสัญญาแบบนี้สิคะ ช่ออยากให้คุณมี ความสุข ไม่อยากให้คุณต้องจมอยู่กับอดีต จมอยู่ กับความตายของช่อ” “แต่ว่าผม” ช่อเอื้องขัด“ถ้าคุณรักช่อ คุณต้องมีความสุขให้ช่อเห็น ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข อย่าทำให้ช่อต้องห่วง ไม่อย่างนั้น ช่อจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด ได้แค่คอย เวียนวนห่วงคุณอยู่ร่ำไป” “ช่อ” “สัญญากับช่อสิคะว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่าง มีความสุข สัญญาสิคะ” กรณ์พยักหน้า “ผมสัญญา ผมสัญญา” ช่อเอื้องยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ก่อนที่
ร่างจะค่อยๆ เลือนหายไป กลายเป็นแสงระยิบระยับ ลอยขึ้นฟ้าไป ซินแสเฟยบอก “เธอไปดีแล้ว ไปสู่สุขคติแล้ว”
กรณ์เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “ผมจะรักษาสัญญา ผมจะไม่มีวันผิดสัญญากับคุณ”
ทุกคนซาบซึ้งไปกับกรณ์และช่อเอื้อง พริ้วกับณราจับมือกันโดยไม่รู้ตัว กรณ์น้ำตาไหลพร้อมกับรอยยิ้ม “ไปสู่สุขคตินะ คนดี แล้วเราจะได้พบกันอีก ผมสัญญา เราจะได้พบกันอีก”
ซินแสเฟยพูดขึ้น “เสร็จพิธีแล้ว สบายใจกันได้แล้วนะ ต่อไปนี้ จะมีแต่เรื่องดีๆ หมดกันทีเรื่องร้ายๆ”
กรณ์ว่า “ยังมีอีกเรื่องที่ผมอยากทำครับ” พริ้วสงสัย “อะไรเหรอคะ??” กรณ์บอกสีหน้าจริงจัง “ผมอยากทำเพื่อช่อเป็น ครั้งสุดท้าย”
ที่หน้าบ้านพริ้ว พริ้วเตรียมของรอตักบาตรอยู่ที่หน้าบ้าน ชะเง้อมอง รถณราแล่นเข้ามาจอด ณรา รีบลงจากรถมา พริ้วต่อว่า “คุณมาสาย” ณราบอก “ผมขอโทษ ผมไม่เคยตื่นมาตักบาตรเป็น สิบๆ ปีแล้ว ขอโทษจริงๆ” “พระมาแล้ว เร็วเข้า” ณรารีบเข้าไปช่วยพริ้วถือของ ที่ขบวนพระ เดินมาบิณฑบาต ณรากับพริ้วตักบาตรร่วมกัน จนถึงพระรูปสุดท้าย ปรากฏว่าเป็นกรณ์ ณรากับพริ้ว ใส่บาตรแล้วยกมือไหว้ “อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฒาปะ จายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พลัง” กรณ์ยิ้มนิดๆ ก่อนเดินจากไปอย่างสำรวม พริ้วกับกรณ์มองตามไป “ท่านจะบวชนานไหม” “เห็นว่าจะบวชสักพักเพื่ออุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้กับวิญญาณของช่อเอื้อง เพราะถึงเธอจะไปสู่สุขคติแล้ว แต่ก่อนนั้นความแค้นก็ทำให้เธอ ก่อบาปไว้มากเช่นกัน สิ่งเดียวที่จะช่วยเธอได้ดีที่สุด ก็คืออานิสงส์ผลบุญ” “ฉันยินดีกับเธอด้วยจัง สิ่งที่พระทำนับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่คนเราจะทำให้แก่กันได้ ดีที่สุดจริงๆ” ณรายิ้ม “การได้ทำบุญร่วมกับคนที่เรารักก็มีความสุข เหมือนกันน่ะแหละ” พริ้วงง “คุณพูดอะไร” “ก็พูดถึงสิ่งที่ผมเพิ่งทำลงไปพร้อมๆ กับคุณน่ะสิ”
“คุณพูดว่ากับคนที่เรารัก นี่คุณรักฉันเหรอ?” ณราพยักหน้า ยิ้ม “ครับ” พริ้วเขิน พูดอะไรไม่ถูก “พูดอะไรให้มันยาวๆ กว่านี้สิคุณ” ณราจับมือพริ้ว “ผมรักคุณและจะขอมาทำบุญตักบาตรกับคุณ แบบนี้ทุกวัน ถ้าคุณไม่รังเกียจความรักของผมก็ขอ ให้คุณพยักหน้าสามที” พริ้วอมยิ้ม พยายามตีหน้าขึงขัง ณรารอลุ้นคำตอบ ในที่สุดพริ้วก็พยักหน้าครบสามครั้ง ณรา ยิ้มกว้าง บรรยากาศชื่นมื่น
1 ปีผ่านไป ที่โรงแรม กรณ์กับณราจับมือกัน “ขอบคุณมากนะครับคุณณรา ที่ขายโรงละครคืนให้ผม” ณราบอก “ผมรู้ว่าโรงละครมีความหมายกับคุณมาก และดีใจด้วยนะครับที่คุณตัดสินใจจะสานต่อ เจตนารมณ์ของคุณแม่คุณ ขอให้ประสบความสำเร็จนะครับ” กรณ์ยิ้มอย่างมีความสุข
ที่บ้านกรณ์ รูปครูอาภาอยู่ในกรอบรูปสวยงาม ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างกัน สร้อยพระพิฆเนศอยู่ในพานแก้ว สวยงาม กรณ์หยิบสร้อยขึ้นมา “แม่ครับ ผมทำตามสัญญาแล้ว อะไรก็ตาม ที่แม่ให้ผม ผมจะรักษาไว้ให้ดีที่สุด แม่ไม่ได้ให้แค่ พระพิฆเนศองค์นี้ แต่แม่ยังมอบความรักที่มีต่อศิลปะ มาให้ผมด้วย ผมจะสืบสานงานละครต่อจากแม่เองครับ” กรณ์ใส่สร้อยพระพิฆเนศ มองรูปอาภา
ที่โรงละคร กรณ์ที่ใส่สร้อยพระพิฆเนศนั่งอยู่หน้านักแสดงคนอื่นๆ กรณ์จุดธูปเทียนไหว้พระ ก่อนจะหันไปบอกนักแสดง “ก่อนการแสดงทุกครั้ง ผมอยากให้นักแสดง ทุกคนมีความมั่นใจ และให้อภัยกันหากเกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างแสดง ที่สำคัญ ผมอยากให้ทุกคนระลึกถึงพระคุณครูที่ประสิทธิ์ ประสาทวิชาศิลปะเหล่านี้ให้พวกเรา” กรณ์หันมายกมือประนม เตรียมนำนักแสดงไหว้ครู ในใจของกรณ์นึกถึงอาภา
“แม่ครับ ไม่รู้แม่จะได้ยินหรือเปล่า แต่ละครโรงนี้ การแสดงนี้ ผมบูชาแม่ในฐานะแม่และครู ของผมด้วยครับ” กรณ์นำเหล่านักแสดงจุดธูป ไหว้ครู

จบบริบูรณ์...














กำลังโหลดความคิดเห็น