xs
xsm
sm
md
lg

สาปสาง ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สาปสาง ตอนที่ 7

เลขากำลังเตรียมแฟ้มอยู่อย่างวุ่นวาย แฟ้มหนึ่งแฟ้มตกลงพื้น

เลขาตกใจ “ว้าย!!”
เลขารีบก้มลงเก็บแต่พอจะลุกขึ้นก็เกิดปวดท้องขึ้นมาทันที “โอ๊ย!!”
เลขากุมท้องไว้แน่นด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย.....”
พนักงานหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาพอดี
“ว้าย! คุณพี่เป็นอะไรไปคะ” พนักงานถาม
“ปวด ....ปวดท้อง”
“ปวดท้องคลอดเหรอคะ แต่ไหนคุณพี่ว่าจะคลอดเดือนหน้าไม่ใช่เหรอคะ”
“ไม่รู้แล้ว รีบพาฉันไปโรงพยาบาลที”
“ได้ค่ะๆ”
พนักงานหญิงรีบช่วยประคองเลขาขึ้นมา
เลขาร้องโอดโอย “โอ๊ยย ....”
“ทำใจดีๆ ไว้ค่ะ อย่าเพิ่งคลอดตอนนี้นะคะ กลั้นใจไว้ค่ะคุณพี่”
พนักงานหญิงประคองเลขาออกไป

ยันต์จีนที่ติดอยู่ที่บ้านของพริ้วสะบัดตามแรงลม เสียงโทรศัพท์บ้านดัง ซินแสเฟยรับโทรศัพท์
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ โทรจากโรงแรมเดอะ วารี นะคะ ไม่ทราบว่าที่นี่ใช่บ้านของคุณ พะพริ้ว ไหมคะ”
“ใช่ครับ บ้านพะพริ้ว ลูกสาวผมเองครับ จะติดต่อเรื่องงานใช่ไหมครับ”
เฟยถามด้วยรอยยิ้มอย่างคนที่รู้คำตอบแล้ว

ณราขับมาส่งพริ้ว ทั้งสองเถียงกันเรื่องที่เกิดขึ้นไปด้วย
“ถ้าคุณไม่เชื่อเราก็ไม่ต้องมาพูดกัน”
“จะให้ผมเชื่อได้ยังไง ในเมื่อตัวคุณเอง ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจอกับอะไร”
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่ามันเป็นพลังชนิดหนึ่ง”
“ผมว่าคุณเป็นลมมากกว่า คุณคงไม่ได้ทานข้าว หรือว่าอดนอนร่างกายก็เลยอ่อนแอ”
“ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ แล้วคุณจะจ้างฉันมาทำไม”
“มันเป็นความต้องการของคุณแม่ผม”

ณราเลี้ยวรถเข้ามาถึงหน้ารั้วบ้านของพริ้ว
“จอดตรงนี้แหละค่ะ”
ณราเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านพริ้ว
“งั้นก็บอกคุณแม่คุณด้วยนะว่าที่ผืนนั้นมันไม่เหมาะจะสร้างโรงแรมหรืออะไรทั้งนั้น ถ้าไม่อยากเดือดร้อน ก็เลิกยุ่งกับที่ผืนนั้นซะ”
พริ้วก้าวลงจากรถ
“ส่วนคุณถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่ต้องโทรมาอีก เสียเวลา!”
พริ้วเดินหนีเข้าบ้าน ณรามองตามไป

“ซินแสอะไรวะ ทั้งวีนทั้งเหวี่ยง”

พริ้วกลับเข้ามาในบ้าน เฟยรีบพูดขึ้น

“อาพริ้ว ลื้อได้งานแล้วนะ”
“ฮะ จริงเหรอพ่อ”
“จริงๆ เขาเพิ่งโทรมาเมื่อกี้นี่เอง พรุ่งนี้เขาให้ไปสัมภาษณ์ แต่ไม่ต้องกลัว อาป๊าดูดวงให้ลื้อแล้ว งานนี้ลื้อได้แน่ ๆ”
พริ้วยิ้มอย่างดีใจด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง

ณรากำลังขับรถอยู่ สักพักเลขาก็โทรเข้ามา
“ว่าไงครับ”
“เกิดเรื่องแล้วค่ะ” เลขาบอก
“มีอะไรเหรอครับ”
“ตอนนี้ดิฉันอยู่โรงพยาบาล ต้องคลอดก่อนกำหนดน่ะค่ะ แต่เรื่องงาน บอสไม่ต้องห่วงนะคะ ดิฉันเรียกคนที่ยื่นใบสมัครไว้มาให้สัมภาษณ์พรุ่งนี้”
“อย่าเพิ่งห่วงเรื่องงานเลยครับ ห่วงตัวคุณกับลูกก่อนดีกว่า”
“แต่ว่า.....”
“ไม่ต้องแต่ ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ทำใจให้สบาย ขอให้คลอดอย่างปลอดภัยน่ะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะบอส ยังไงก็อย่าลืมเรื่องสัมภาษณ์นะคะ บอสจะได้มีคนมาช่วยงานตอนดิฉันลาคลอด”
“ครับ เรื่องนั้นเดี๋ยวผมจัดการเอง”
“แค่นี้ก่อนนะคะบอส ต้องเข้าห้องคลอดแล้วล่ะค่ะ”
“ขอให้แข็งแรงปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกนะครับ”
“ขอบคุณค่ะบอส”
ณราวางสายไปแล้วพึมพำกับตัวเอง
“เลขาคนใหม่งั้นเหรอ”

พริ้วตื่นเต้นกับการไปสัมภาษณ์งาน เธอลองเอาชุดมาทาบกับตัวชุดแล้วชุดเล่า
“อันนี้ก็แก่ไปนะ” พริ้วทาบอีกชุด “อันนี้ก็เว่อ” เธอลองทาบอีกชุด “อันนี้เชยไปนะ”
พริ้วไปค้นในตู้เสื้อผ้าอีกรอบ
“จะใส่ชุดไหนไปดีนะ โอ๊ย ทำไมเสื้อผ้าฉันมันเป็นอย่างนี้ล่ะ เนี่ย ไม่แก่ ก็เก่า ฮึ่ย”
เฟยเดินผ่านมาก็มองผ่านประตูที่เปิดแง้มไว้พอเห็นว่าพริ้วกำลังวุ่นวายกับการเลือกเสื้อผ้าเขาก็ยิ้ม ก่อนจะผลักประตูเข้าไป
“ลื้อไม่ต้องเลือกมากหรอกอาพริ้ว ใส่ชุดไหนเขาก็รับลื้อเข้าทำงานทั้งนั้นแหละ เชื่ออั๊วะ”
“ทำไมป๊าถึงมั่นใจนักล่ะว่าเขาจะรับฉัน”
“อั๊วะดูดวงชะตาของลื้อ คนที่ลื้อจะเจอพรุ่งนี้ ดวงเป็นมิตรกับลื้อ”
“ฮะ จริงเหรอป๊า”
“อั๊วะจะโกหกไปทำไม แล้วไม่ใช่แค่เป็นมิตรน่ะ ดวงคนนั้นเขาเป็นได้ถึงคู่ลื้อเชียวนะ”
“ป๊าอย่าบอกนะว่าฉันจะเจอเนื้อคู่”
“ลื้อไม่ให้บอก อั๊วก็จะไม่บอก ปล่อยให้ลื้อไปเจอเองก็แล้วกัน”
เฟยหัวเราะชอบใจแล้วเดินออกไป
พริ้วใจเต้นแรง “เนื้อคู่งั้นเหรอ...ฮึ่ย ไม่จริงหรอก ป๊าอำกันแน่ๆ เลย คงอยากให้เราแต่งตัวสวยๆ แน่”

พริ้วหันไปกลับไปทาบชุดลงบนตัวแล้วมองตัวเองในกระจก
 
อ่านต่อหน้า 2

สาปสาง ตอนที่ 7 (ต่อ)

แพรวนั่งดื่มไวน์อยู่ที่เคาเตอร์บาร์
 
เธอเหลือบตามองเวลาที่นาฬิกาข้อมือบ่อยๆ โต๊ะหนึ่งห่างออกไปมีผู้ชายหน้าตาดีท่าทางเจ้าชู้ เหลือบมองมาที่แพรวบ่อยๆ แพรวหันไปมองทางเข้าจนเจอเข้ากับสายตาของชายหนุ่มคนนั้น ชายหนุ่มยกแก้วขึ้นชวนดื่มแต่แพรวหันกลับอย่างไม่สนใจ
“ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีกนะ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินมาหาแพรว พร้อมแก้วเหล้าในมือ
“รอใครอยู่เหรอครับ”
แพรวหันไปมองก็เห็นชายหนุ่มมาหยุดอยู่ข้างๆ แล้ว
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่มีเวลาทำความรู้จักคนแปลกหน้า”
“ผมแค่จะชวนดื่มน่ะครับ หวังว่าคุณคงไม่รังเกียจ”
“รังเกียจค่ะ” แพรวบอก
ชายหนุ่มอึ้งไปเพราะรู้สึกเสียหน้า
“อารมณ์เสียอยู่เหรอครับ”
“นี่ คุณจะทำอะไรก็ไปทำสิ อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันบอกแล้วไงว่ารังเกียจ! พูดไม่รู้เรื่องเหรอ”
เสียงไทดังขึ้น “มีอะไรกันน่ะ”
ไทที่มาถึงพอดีเดินเข้ามาข้างแพรว
“เกิดอะไรขึ้น”
ชายหนุ่มมองไทแล้วยิ้ม
“อ๋อ ที่แท้ก็รอแฟน ขอโทษครับที่ผมรบกวน”
ชายหนุ่มคนนั้นเดินออกไป
“น่ารำคาญ” แพรวบ่น
“เฮ่ย อารมณ์เสียอะไรนักหนา”
“จะไม่ให้อารมณ์เสียได้ยังไง วันๆ มีแต่เรื่อง”
“มีอะไรก็ว่ามาสิ”
แพรวฟาดอารมณ์ใส่ไท
“นายก็เหมือนกัน หายหัวไปเลยนะ คิดจะออกเรือไปจนตายรึไง”
“ฉันต้องสืบทอดงานของที่บ้าน ว่าเรื่องของเธอมาดีกว่า มีอะไรถึงต้องเรียกให้ฉันขึ้นมากรุงเทพฯ”
“มีสิ สำคัญมากด้วย”
“ก็ว่ามาสิ”
“คุณกรณ์เขากำลังจะกลับมาเมืองไทย”
“แล้วไง? เธอเรียกฉันมาเพื่อบอกเรื่องอดีตรักของเธองั้นเหรอ”
“มันไม่เกี่ยวกับคามร๊งความรักอะไรทั้งนั้น” แพรวเน้น “แต่มันเกี่ยวกับความลับของเรา”
“โรงละครก็ปิดร้างไปแล้ว ไอ้หมอนั่นมันก็ประกาศขายที่ตรงนั้นไปแล้ว เธอจะกลัวอะไร”
“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องคุณกรณ์หรอก มีเรื่องอื่นที่น่าห่วงกว่านั้น”
“อะไรอีกล่ะ”
“ฉันได้ข่าวว่ามีคนสนใจจะซื้อที่ดินผืนนั้น แล้วเขาก็มาดูที่แล้วด้วย”
“ใคร?”
“เห็นว่าเป็นพวกนักธุรกิจ จะซื้อไปทำโรงแรม”
ไทอึ้ง เธอคิดแล้วก็เครียด “ถ้ามีการก่อสร้างรื้อถอน มันก็อาจจะเจอศพช่อได้”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันถึงต้องเรียกนายกลับมาไง เราต้องช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงกับนังช่อดี”
“เราจะไปทำอะไรได้”
“เราทำไม่ได้ แต่มีคนอื่นที่ทำได้”
“ใคร?”

แพรวยิ้มร้าย

แพรวจอดรถที่หน้ารั้วตำหนัก เธอจะลงจากรถแต่ไทรั้งตัวไว้

“มันจะดีเหรอแพรว”
“ทำไม แกมีปัญหาอะไร อย่าบอกนะว่ายังอาลัยอาวรณ์นังช่อมันอยู่อีก”
“ที่เราทำกับช่อไว้มันก็หนักหนาสาหัสมากแล้ว ฉันแค่ไม่อยากทำให้ทุกอย่างมันเลวร้ายลงไปอีก”
“แต่ฉันจำเป็นต้องทำ”
แพรวลงจากรถไป
“ถ้าแกปอดแหกนักก็กลับไป ถูกจับติดคุกเมื่อไหร่ อย่ามาร้องให้ช่วยแล้วกัน”
แพรวพูดแล้วก็เดินเข้าไปด้านใน ไทในรถนั่งหน้าเครียดครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจลงจากรถตามแพรวเข้าไป

แพรวกับไทเดินเข้ามาภายใน แพรวจะเคาะประตูเรียก แต่ยังไม่ทันเคาะ ประตูก็เปิดผ่าง! แพรวกับไทผงะด้วยความตกใจ แพรวก้าวเข้าไปข้างใน ไทเดินตามไป

พ่อปู่กำลังทำพิธีอยู่หน้าแท่นบูชาที่มีหัวกะโหลกตั้งอยู่เหนือสุด ควันธูปและเทียนดำลอยคลุ้งไปทั่ว พ่อปู่ภาวนาคาถาแล้วเป่าพรวดใส่หัวกะโหลก มีควันดำลอยออกมาจากปากของพ่อปู่ปกคลุมแท่นบูชาจนทั่ว ไทมองแล้วชักไม่แน่ใจ
“ท่าจะไม่เหมาะ กลับก่อนดีไหม”
ไทดึงแขนแพรวให้ออกไปแต่เสียงพ่อปู่ดังขึ้น
“มึงปอดแหกก็กลับไปคนเดียว อย่าเอาอีชั่วกลับไปด้วย”
พ่อปู่หันกลับมา แพรวรีบเข้าไปนั่งลงกราบพ่อปู่ ไทจำเป็นต้องตามไป
“อีสารเลว มึงมันมีเรื่องร้อนถึงได้พุ่งมาหากู” พ่อปู่ว่า
แพรวสะดุ้ง “พ่อปู่รู้เหรอจ้ะ”
“มึงไม่ต้องมาถาม ถ้ากูไม่รู้ กูจะเตรียมทำพิธีไว้ให้มึงทำไม อีหน้าโง่!”
“พิธี...”
“มึงกลัวมีคนมาเห็นศพมันไม่ใช่เหรอ ถ้ามึงกลัวนัก มึงก็ไปขุดมันขึ้นมา เอาซากมันมาให้กู กูจะเอามันไปปล่อยป่าช้าผีตายโหง”
ไทกับแพรวทวนคำ “ขุดศพ...”
“จะให้เราไปขุดศพช่องั้นเหรอครับ” ไทถาม
พ่อปู่ชี้หน้าไท “มึงมันดวงแข็งแต่ใจขลาดนัก ถ้ามึงไม่กล้าลงมือ” พ่อปู่ชี้หน้าแพรว “มึงต้องเป็นคนทำ”
“ถ้ามึงไม่ทำ ความลับพวกมึงจะฟ้องตัวมึงเอง!”
“ทำจ้ะทำ ยังไงฉันก็จะทำ”
ไทเป็นห่วง “แพรว...”

แพรวหันมาด่าไท “หุบปากไปเถอะน่า!” แพรวหันไปหาพ่อปู่ “แล้วต้องทำยังไงบ้างล่ะจ้ะพ่อปู่”
 
อ่านต่อหน้า 3

สาปสาง ตอนที่ 7 (ต่อ)

พริ้วแต่งตัวสวยเตรียมจะออกจากบ้าน

“ไปก่อนนะป๊า”
“เดี๋ยวก่อนอาพริ้ว”
“มีอะไรอีกล่ะป๊า เดี๋ยวฉันไปสายนะ”
“อั๊วต้องเตือนลื้อเรื่องหนึ่ง”
“หือ ฉันไม่พลาดหรอกน่า ป๊าไม่ต้องห่วง”
“ไม่ใช่เรื่องงาน”
“อ้าว แล้วเรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่มันเกิดขึ้นกับผู้ชายที่ลื้อจะไปเจอวันนี้ อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเป็นอันขาด”
“ทำไมล่ะป๊า”
“ทำตามที่อั๊วะสั่ง ถ้าลื้อไม่อยากเดือดร้อน”
พริ้วงงๆ ปนตกใจ

ณราขับรถเข้ามาเกือบชนเข้ากับพริ้วที่เดินมาพอดี
พริ้วตกใจ “ว้าย !!”
พริ้วเสียหลักล้มลงไป ณรารีบจอดรถเข้าไปดู
“คุณ!! เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ” ณรายังไม่เห็นหน้าพริ้ว
พริ้วพูดโดยยังไม่หันกลับมา “ยังจะมาถามอีก ขับรถประสาอะไร ไม่เห็นคนรึไง”
พริ้วหันกลับมาเห็นณรา
พริ้วกับณราพูดพร้อมกัน “คุณ!”
“นายนี่เอง คิดว่าใคร ตาบอดรึไงถึงมองไม่เห็นฉัน”
“คุณต่างหากที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ”
“นี่ คุณด่าฉันเหรอ”
“ผมแค่พูดความจริง”
“ทำผิดแล้วแทนที่จะขอโทษ ยังมีหน้ามาหาว่าฉันผิดอีก คุณนี่มันทุเรศที่สุดเลย”
“คุณก็ปากจัดยังกับแม่ค้า”
พริ้วโมโห “ไอ้ ไอ้ ไอ้บ้า!”
พริ้วจะเข้าไปเอากระเป๋าสะพายฟาด
ณรารีบพูดดัก “หยุดนะ ไม่งั้นผมจะเรียกรปภ ให้มาโยนคุณออกไปจริงๆนะ”
“คิดว่าฉันกลัวงั้นเหรอนี่แน่ะ”
พริ้วฟาดกระเป๋าใส่ณราเต็มแรง
“โอ๊ย!! เจ็บนะคุณ หยุดนะ!”
“คอยดูนะ ฉันทำงานที่นี่เมื่อไหร่ ฉันจะไม่ให้นายเหยียบเข้ามาอีกเลย ไอ้บ้า!”
พริ้วพูดแล้วก็วิ่งหนีไป ณราลูบหน้าที่โดนกระเป๋าฟาด
“ร้ายชะมัด ฉันต่างหากล่ะที่จะห้ามไม่ให้เธอเข้า ย้ายบ้าเอ้ย”

ณราเดินผ่านมุมของเลขาที่ไม่มีคนนั่งอยู่จึงเดินเลยเข้าไปที่ห้องทำงาน

ณรานั่งพักแล้วถอนใจให้หายเหนื่อยพลางนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น

เหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา พริ้วตรงเข้ามาฟาดกระเป๋าใส่ณรา
“นี่แน่ะ! พริ้วฟาดกระเป๋าใส่ณราแรงๆ”
“โอ๊ยย!!”
“คอยดูนะ ฉันทำงานที่นี่เมื่อไหร่ ฉันจะไม่ให้นายเหยียบเข้ามาอีกเลย ไอ้บ้า!”

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นณราก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ยายบ้าเอ๊ย ทำไมฉันต้องนึกถึงเธอด้วยนะ....”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
พนักงานคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา
“คนที่จะมาสัมภาษณ์มาถึงแล้วค่ะ จะให้เข้ามาเลยไหมคะ”
ณราพยักหน้ารับ พนักงานเดินออกไป สวนกับพริ้วที่เดินเข้ามา
ณราเงยหน้าขึ้นเห็นพริ้วก็ตกใจกันทั้งสองฝ่าย
“นายทุเรศ!! / ยายบ้า!!”
“นี่มันหมายความว่ายังไง”
ณรายิ้ม “ก็หมายความว่าเธออยากเป็นเลขาฉันยังไงล่ะ”
“ฉันเปล่านะ”
“อย่ามาปฏิเสธ ในเมื่อเธอเป็นคนเขียนสมัครเข้ามาเองไม่ใช่เหรอ”
“แต่ว่า ....”
“ถ้าอยากเป็นเลขาฉันก็เชิญนั่ง ฉันมีหน้าที่ต้องสัมภาษณ์เธอ”
พริ้วคิดว่าจะเอายังไงดี
“หรือว่าเธอเปลี่ยนใจ ไม่อยากทำงานนี่แล้วก็เชิญ ประตูอยู่ทางโน้น”
พริ้วจำใจต้องนั่งลง
“บอกไว้ก่อนนะ ถ้าฉันรู้ว่าต้องมีเจ้านายเป็นคุณ ฉันคงไม่สมัครหรอก”
“แล้วนึกยังไงถึงอยากเป็นเลขา เป็นซินแสไม่ดีเหรอ”
“!...เอ่อ คือ...”
“หรือว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ใช่ซินแส”
“พูดอะไรบ้าๆ นี่ฉันไม่ได้หลอกคุณนะ อย่ามาหาเรื่อง”
“ผมก็ยังไม่พูดสักคำว่าคุณหลอกผม อย่าร้อนตัวสิ”
พริ้วอึ้ง เธออยากจะลุกหนีไปแต่ก็รู้ว่าจำเป็นต้องมีงานทำเลยต้องอดทนโดยไม่มองหน้าณรา
“จะสัมภาษณ์อะไรก็เชิญ”
“คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
“หมายความว่ายังไง จะไม่รับฉันงั้นเหรอ รู้ไหมว่าคุณสมบัติฉันพร้อมแค่ไหน ฉันจบปริญญาตรีด้านบริหารจัดการโดยตรง พูดได้ทั้งจีน ทั้งอังฤกษ รู้ระบบจัดการของโรงแรมทั้งหมดเพราะเคยฝึกงานกับโรงแรมเจ็ดดาวมาแล้วตั้งหกเดือน ฉันพร้อมขนาดนี้ คุณยังจะบอกว่าไม่จำเป็นอีกเหรอ”
“ก็เพราะคุณพร้อมซะขนาดนั้นน่ะสิ ผมถึงไม่จำเป็นต้องสัมภาษณ์”
“นี่คุณ....” พริ้วนึกไม่ถึง
“คุณพร้อมจะเริ่มงานเมื่อไหร่ ผมอยากจะรู้นักว่าคุณเก่งแต่ปากรึเปล่า”
“นี่...หมายความว่า คุณรับฉันงั้นเหรอ”

“แน่นอน ต่อไปนี้ คุณต้องเป็นเลขาผม เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม และผมก็จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ”
 
อ่านต่อหน้า 4

สาปสาง ตอนที่ 7 (ต่อ)

พริ้วอึ้ง ณราพูดต่อ “และผมอยากให้คุณเริ่มงานวันนี้”

“วันนี้?”
“หรือคุณมีปัญหา”
“ไม่มีๆ ได้ อยากให้ฉันเริ่มวันนี้ ฉันก็จะเริ่มให้ดู จะได้รู้ว่าฉันน่ะไม่ได้เก่งแต่ปากแน่นอน!”

แพรวกำลังซ้อมละครอยู่บนเวที ในมือของเธอถือบทละครในขณะที่ตาคอยเหลือบมองตลอด
“หากไร้ซึ่งเจ้า ชีวิตข้าคงหาไม่ แล้วเหตุใด เจ้าจึงยังจะทิ้งข้า”
ผู้กำกับสั่ง “พอๆๆ”
ผู้กำกับพูดต่อ “ไม่มีอารมณ์! ไม่มีอะไรเลย!! แม้แต่บทยังจำไม่ได้ คอยแต่อ่านบทแบบนี้ จะเข้าถึงตัวละครได้ยังไง พอ! ไม่ต้องซ้อมแล้ว เลิกๆๆ”
แพรวหน้าบึ้งเพราะโกรธแต่ก็ไม่กล้าเถียงอะไร

แพรวหน้าบึ้งกระฟัดกระเฟียดเข้ามาอย่างไม่พอใจ เธอขว้างบทลงพื้นเต็มแรง
“ไอ้ทุเรศ!! คิดว่าตัวเองแน่มาจากไหนกัน”
เสียงโทรศัพท์แพรวที่วางไว้บนเคาท์เตอร์หน้ากระจกดังขึ้น แพรวเดินไปรับก็เห็นชื่อว่าเป็นไทโทรเข้ามา
“ว่าไง?”

แพรวออกมาเจอไทที่ยืนรออยู่
“มีอะไร ด่วนมากนักรึไง ถึงต้องมาที่นี่”
“แพรว... เรื่องช่อน่ะ....เราไม่สบายใจเลยที่พ่อปู่จะทำแบบนั้นกับช่อ เราว่า....”
แพรวรีบแทรกขึ้นทันที
“หุบปากของแกไปเลยนะ มันตายเป็นผีไปแล้ว แกจะมาคร่ำครวญเป็นห่วงเป็นใยมันทำไม ฮะ! จะทำไปทำไม”
“เราไม่อยากทำผิดมากไปกว่านี้อีกแล้ว”
“ถ้าแกไม่ทำแล้ววันข้างหน้า ถ้าเกิดมีใครมาเจอศพมันเข้า แกจะทำยังไง อย่าลืมนะว่าแกเป็นคนฆ่ามัน!! แกเป็นฆาตรกร”
ไทตกใจ
แพรวพูดต่อ “ถ้าแกรักมันนักก็ไม่ต้องไป”
“แล้วเธอล่ะ”
“คืนนี้ ฉันจะไปคนเดียว เพราะฉันเกลียดมัน! ต่อให้มันตายเป็นผีไปแล้ว ฉันก็เกลียดมัน! ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้มันทุกข์ทนมาน!! ให้สมกับที่มันกล้าคิดจะกลับมาฆ่าฉัน”

แพรวพูดจบก็หันหลังให้แล้วกลับเข้าไปข้างใน ไทถอนใจเฮือกด้วยความเครียด

พริ้วเคาะประตูเพราะเอาเอกสารเข้ามาให้ณราเซ็นต์ แต่ณราไม่อยู่ในห้อง

“อ้าว...หายไปตอนไหนเนี่ย”
พริ้ววางเอกสารลงบนโต๊ะก่อนมองไปเห็นรูปโรงละคร
“อยากรู้จริงๆ ว่าเมื่อคืนคืออะไร”
ณราเดินเข้ามา
“ทำอะไรน่ะ”
พริ้วสะดุ้งวาบ
พริ้วตกใจหันกลับมา “ฉันเปล่านะ”
“ยังจะมาเถียง เห็นอยู่กับตาว่าเธอวุ่นวายกับโต๊ะทำงานฉันอยู่”
“ฉันไม่ได้วุ่นวายนะ ฉันก็แค่เอาเอกสารมาให้คุณเซ็นต์เท่านั้นแหละ”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้วุ่นวาย”
“ก็ไหนคุณบอกว่าต่อไปนี้ชีวิตคุณเป็ณส่วนหนึ่งของฉัน ถ้าฉันจะวุ่นวายขึ้นมาบ้าง คุณจะทำไมจะไล่ฉันออกงั้นเหรอ?”
“คุณนี่ปากเก่งจริงๆ นะ เถียงคำไม่ตกฟาก อย่าลืมสิว่าตอนนี้คุณเป็นเลขาของผม และผมก็เป็นเจ้านายของคุณ เถียงเจ้านายแบบนี้ มันจะดีเหรอครับ”
พริ้วอึ้งไป “ก็...ก็คุณหาเรื่องฉันก่อนทำไมล่ะ”
พริ้วรีบเอาเอกสารมาส่งให้
“เซ็นต์ด้วยค่ะ.....บอส”
ณราอมยิ้มพร้อมกับเซ็นต์เอกสารให้ พริ้วรับเอกสารคืนแล้วจะเดินออกไป
ณราเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อนสิคุณ”
“คุณต้องการอะไรคะ”
“ผมปวดคอ นวดให้หน่อยสิ”
“จะให้ฉันนวดคอให้คุณเนี่ยนะ?”
“เลขาคนเก่าเขาก็ทำให้ผม มันเป็นหนึ่งในงานในหน้าที่ของคุณ หรือว่าคุณจะไม่ทำตามคำสั่งผม”
พริ้วทำอึกอักๆ พร้อมทั้งหน้าบึ้งแต่ก็จำต้องเข้าไปนวดคอให้ณราด้วยอาการโกรธผสมเขิน
“ตั้งใจหน่อยสิคุณ” ณราบอก
พริ้วหน้าบึ้งเพราะทั้งโกรธทั้งเขิน ส่วนณราแอบอมยิ้มสะใจที่ได้แกล้วพริ้ว

ไทมาไหว้พระประธานที่วัด
“ขออำนาจคุณพระช่วยคุ้มครองดวงวิญญาณของช่อเอื้องด้วยเถิด อย่าให้ต้องทุกข์ อย่าให้ทรมาน ขอให้อโหสิต่อกันและไปสู่ภพภูมิใหม่ด้วยเถิด”
ไทกราบพระสามทีแล้เงยหน้าขึ้น เขาหันกลับมาเจอพลวงพ่อยืนมองอยู่
หลวงพ่อเอ่ยถาม “มีเรื่องทุกข์ใจอะไรเหรอโยม”

ไทมานั่งคุยกับหลวงพ่อ
“กรรมมันลบล้างกันไม่ได้หรอกโยม กรรมใดที่ก่อไว้แล้ว หากเป็นกรรมดีก็จะส่งอนิสงฆ์ผลบุญให้ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า แต่หากเป็นกรรมชั่วก็จะเหมือนตราบาปที่ติดตัวไปทุกชาติทุกภพ หากเป็นกรรมที่ก่อไว้ผู้ใด แล้วเขาโกรธ เขาอาฆาต ก็จะเกิดการจองเวรจองกรรมกันทุกภพทุกชาติไปจนกว่าจะอโหสิกรรมต่อกันได้”
ไทถอนหายใจหนักๆ
หลวงพ่อพูดต่อ “หากมีสิ่งใดที่โยมเคยทำไว้แล้วก่อให้เกิดทุกข์ล่ะก็ อาตมาขอให้โยมทำบุญให้มากๆ ผลบุญไม่ช่วยลบล้างผลกรรมก็จริงแต่ก็ช่วยให้ห่างจากกัน เหมือนที่เขาว่าทำบุญหนีกรรมนั่นแหละโยม”
ไทแววตาเริ่มมีความหวัง

ณรานั่งดูภาพโรงละครจากไอแพด สักพักเสียงเคาะประตูก็ดัง พริ้วเปิดประตูเข้ามา
“มีอะไรด่วนเหรอคะ”
“ส่งช่อดอกไม้แล้วก็ของขวัญสำหรับเด็กแรกเกิดไปให้เลขาเก่าผมด้วย”
“ได้ค่ะ” พริ้วหมุนตัวจะออกจากห้อง
“เดี๋ยวก่อนครับ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
พริ้วเตรียมจด “ค่ะ”
“ผมอยากให้คุณไปกับผม”
“!...ไปไหนคะ”
“ไม่ต้องตกใจหรอกครับ ผมไม่ชวนคุยไปที่ลับๆ หรอก แค่จะชวนคุณไปดูที่ที่โรงละครอีกครั้ง เพราะครั้งก่อนคุณเป็นลมไปซะก่อน เลยไม่ทันได้ดู”
“ฉันว่าที่ตรงนั้นมันแปลกๆ นะคะ….ฉันสัมผัสได้ แต่พูดไปแล้วคุณจะเชื่อฉันเหรอ”
“ผมถึงอยากให้คุณกลับไปดูให้อีกครั้งไงครับ จะได้รู้กันไปเลยว่าไอ้ที่ว่าแปลกๆ น่ะ มันคืออะไร”
“ฉันว่าพลังพวกนี้ น่าจะเป็นดวงวิญญาณที่อยู่ในที่นั้น ถ้าคุณซื้อที่ผืนนั้นไว้แล้วทำบุญให้พวกเขา มันอาจจะเป็นการสร้างกุศลครั้งใหญ่ก็ได้นะคะ”
“ผมทำธุรกิจหวังกำไรไม่ได้ทำการกุศล” ณราบอก
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ เลิกงานแล้ว คุณต้องไปกับผม”

ณ ตำหนักพ่อปู่ พ่อปู่กำลังร่ายมนต์พร้อมกับการลากไม้เท้าไปกับพื้นดิน สักพักอีกาดำก็บินมาเกาะ พ่อปู่ร่ายมนต์เสร็จก็แทงไม้เท้าลงบนพื้นดิน
“ที่นี่จะเป็นที่ฝังซากของมึง อีผีชั่ว!”

อีกาดำบินมาเกาะที่พื้นใกล้ไม้เท้า
 
อ่านต่อตอนที่ 8
"สาปสาง" ตอนที่ 1-27 (อวสาน)
"สาปสาง" ตอนที่ 1-27 (อวสาน)
ตอนที่ 1 วันจันทร์ ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 “ดาราลัย” โรงละครเก่าแก่ของครูอาภากำลังประสบปัญหาตามกระแสของสังคมยุคใหม่ ทำให้เกิดการเสพละครในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งต่างไปจากการแสดงของอาภา แม้เธอจะพยายามฝืนสู้แต่ก็ไม่อาจต้านทานกระแสสังคมได้ และในอีกไม่ช้าดาราลัยคงต้องปิดตัวลง นอกจากนั้นแล้วปัญหาใหญ่อีกอย่างของดาราลัยก็คือ การถูกรุกรานด้วยเหล่าคนที่ต้องการที่ดินผืนนี้ ดาราลัยไม่ได้เผชิญแต่ปัญหาภายนอก ช่อเอื้อง ไท และแพรว คือสามตัวละครเอกของคณะละคร แม้ภายนอกจะดูเหมือนเป็นกลุ่มเพื่อนที่รักกัน แต่ลึกๆ แล้วซ่อนไว้ด้วยความชิงชังและริษยา เพราะความรักที่ไม่สมหวัง
กำลังโหลดความคิดเห็น