ลูกทาส ตอนที่ 12
พลอยกับเข้มเดินหัวเราะร่วนด้วยความเมามาถึงริมคลอง ทันใดนั้นเอง พลอยก็สะดุ้งเฮือก แล้วทรุดลงกับพื้น ที่ด้านหลังมีกรรไกรขาเดียวปักอยู่ เข้มตกใจสุดขีด
"ไอ้พลอย!"
ขาดคำ เค้งก็กระโดดถีบเข้มจนกระเด็นไป ก่อนจะตามไปเล่นงานเข้ม เฉียวหูยิ้มกริ่ม ชักกรรไกรขาเดียวออกมาแล้วเดินเข้าหาพลอย กะซ้ำให้แน่ใจว่าตายแน่
เฉียวหูจิกหัวพลอยขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเอง พลอยก็พลิกตัวเตะใส่เฉียวหูจนกระเด็นออกไป พลอยกัดฟันลุกขึ้นสู้ ถึงพลอยจะเมาฝิ่นและบาดเจ็บอยู่ แต่ก็เป็นนักมวยเก่า สามารถสู้กับเฉียวหูได้อย่างสูสี
ในขณะที่เข้มเป็นฝ่ายแย่ เพราะฝีมือห่างจากเค้งเยอะ สู้กันได้ไม่นานก็โดนเค้งเล่นงานจน
กระอักเลือด
พลอยไล่ตะลุยใส่เฉียวหู ทั้งเตะ ต่อย เข่า แต่เฉียวหูก็ตั้งรับเอาไว้ได้ จนแผลที่หลังของพลอย
ออกอาการ
เฉียวหูเลยฉวยโอกาสพลิกตัวเตะพลอยกระเด็นออกไป แล้วตามเข้าไปแทงกรรไกรขาเดียวเข้าเต็มท้องพลอย จนสะดุ้งเฮือก ตาเหลือกค้าง ก่อนจะค่อยๆทรุดลงไป เข้มตกใจสุดขีด
"ไอ้พลอย"
เค้งฟาดฝ่ามือเข้าเต็มอก จนเข้มกระอักเลือด ก่อนที่เค้งจะม้วนตัวเตะเข้มจนกระเด็นตกคลองไป
ทันใดนั้น ก็มีเสียงร้องโวยวายดังขึ้น
"มีคนฆ่ากันตายทางนี้ เร็วเข้าขอรับ"
เฉียวหู และเค้งตกใจรีบวิ่งหนีไป พอพวกเฉียวหูหนีไป แก้วก็โผล่ออกมา เขารีบเข้าไปดูคนที่นอนอยู่ทันที พอพลิกหน้ามาดูชัดๆ ก็ตกใจนึกไม่ถึง
"ไอ้พลอย"
แก้ว เดาว่าคนที่โดนเตะตกคลองต้องเป็นเข้มแน่ๆ
เวลาเช้าในตลาด มาโนชกำลังคุยกับเฉียวหู และเค้ง ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เขาหยิบถุงเงินยื่นให้เฉียวหู และยิ้มพอใจ
"เอ็งทำได้ดีมาก ข้าให้เป็นรางวัล"
"ไม่ต้อง อั๊วทำตามสัญญา เมื่อคุณมาโนชช่วยอั๊ว อั๊วก็ทำงานให้เป็นการตอบแทน"
"รับไปเถอะ ข้าอยากให้ เพราะเอ็งทำงานได้ถูกใจข้ามาก จัดการมันใกล้โรงฝิ่น ทุกคนเลยคิดว่ามันผิดใจกับพวกโรงฝิ่น ไม่มีใครคิดถึงข้าเลย"
เฉียวหูยอมรับถุงใส่เงินมา
"เมื่อใดหลวงจะเลิกเข้มงวดกับอั้งยี่เสียที อั๊วจะได้กลับไปทำงานเหมือนเดิม"
"ก็ใครใช้ให้พวกเอ็งอหังการนักเล่า ตอนนี้ ไม่ว่าจะซิวลี่กือ ตั้งกงสี หรือพวกไหน ก็ต้องอยู่เงียบๆด้วยกันทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้น ก็ต้องถูกกวาดล้างจนสิ้น"
เค้งไม่พอใจ
"แต่หลวงกวนพวกเราเหลือเกิน แม้แต่บ้านช่องก็ยังไม่ได้กลับ เช่นนี้ต่อให้ไม่ถูกกวาดล้าง ก็ต้องอดตายอยู่ดี"
มาโนชคิดอยู่ครู่นึง ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างมีแผนการ
เวลาต่อมา มาโนชพาเค้ง และเฉียวหูมาที่เรือนทาส
"พวกเอ็งหลบอยู่ที่นี่ไปก่อน ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงเด็ดขาด ว่าตั่วกอของซิวลี่กือจะอยู่ที่เรือนทาสบ้านพระยาไชยากร"
"ขอบคุณคุณมาโนชมาก หากมีอะไรให้อั๊วรับใช้ ก็สั่งมาได้เลย"
มาโนชยิ้มพอใจ ชี้ไปทางโรงครัว
"ไม่เป็นไร โรงครัวอยู่ทางด้านนั้น พวกเอ็งหิวก็ไปหาข้าวกินเอาเองแล้วกัน"
มาโนชเดินเลี่ยงไป
เค้งมองตามมาโนชไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันมาพูดกับเฉียวหู
"ตั่วกอยอมมาอยู่กับมันทำไม ต้องมาซ่อนในเรือนทาสอีก เสือต้องอยู่ในป่า ไม่ใช่รังหมา"
"มังกร ยามเล็กก็ต้องซ่อนในเกลียวคลื่น ยามใหญ่ถึงจะแผลงอำนาจบนท้องฟ้า ตอนนี้นครบาลกวดขันหนัก ตั้งแต่ถูกจับคราวก่อน พี่น้องเราก็กระจัดกระจายกัน ไปหมด เราจำเป็นต้องมีที่คุ้มภัย รอรวบรวมพี่น้องได้เมื่อใด ก็ไม่จำเป็นต้องรับใช้คนอย่างไอ้มาโนชแล้ว แต่ตอนนี้ เราต้องอดทน
อาเค้ง"
เค้งหงุดหงิด แต่เชื่อฟังเฉียวหูมาตลอดเลยไม่อยากเถียง
ทันใดนั้น ลูกชายนิ่มก็มุดออกมาจากใต้ท้องเรือนทาส พร้อมกับถือดาบก้านกล้วยมาทางด้านหลังเฉียวหู
"ยอมให้จับซะดีๆ"
เฉียวหูตกใจ พอหันกลับไป เห็นว่าเป็นเด็กก็หงุดหงิด
" ไอ้เด็กบ้า ตกใจหมด"
ลูกชายนิ่มเอาดาบก้านกล้วยตีเฉียวหูแบบเด็กๆ
"ไม่ยอมแพ้เหรอ นี่แน่ๆ"
"มากไปแล้วไอ้ตี๋"
เฉียวหูดึงดาบก้านกล้วยมาโยนทิ้ง แล้วจับลูกชายนิ่มมาตีไม่ยั้ง เด็กร้องลั่น อบเชยก็มาเห็นเข้าพอดีก็ตวาดเสียงดัง
"หยุดนะ ทำอะไรหลานฉัน"
เฉียวหู และเค้งหันไปมองตาม เห็นอบเชยกำลังโกรธจัด
นิ่มประคองสามีที่ป่วยหนักไข้ขึ้นสูงออกมาจากข้างใน แม้จะป่วยหนักแต่ก็โกรธสุดๆที่มีคนมาตีลูกชาย พอออกมาก็เห็นเฉียวหู เค้ง คุกเข่าอยู่บนพื้น โดยมีมาโนช น้ำทิพย์ อบเชย อยู่ใกล้ๆ
" ไอ้สถุลสองคนนี่รึ ที่บังอาจมาตีลูกกู มึงเป็นใคร กล้าดียังไงมาตีลูกกู"
"ไอ้สองคนนี่เป็นคนงานใหม่ขอรับ กระผมเพิ่งรับเอาไว้ เพราะมีพวกทาสที่ได้เป็นไทออกไปหลายคน กระผมจึงรับมาช่วยงานเพิ่ม"
"ไล่มันออกไป อย่าให้มาเป็นเสนียดเรือนของอา หาไม่แล้ว อาจะฆ่ามันทิ้งทั้งคู่"
เค้งจ้องหน้าไชยากรเขม็ง โกรธที่ถูกด่า เฉียวหูต้องรีบดึงเค้งไว้ไม่ให้มีเรื่อง
"คงไม่ได้ดอกขอรับคุณอา เพราะที่เรือนเราจำเป็นต้องใช้คน"
น้ำทิพย์ นิ่ม อบเชย และไชยากรพากันตกใจ ไม่คิดว่ามาโนชจะกล้า ในขณะที่เฉียวหู
เค้ง ยิ้มสะใจ
"แต่คนงานตีลูกเจ้าของเรือน แล้วอย่างนี้ยังไล่ออกไม่ได้อีกรึ" นิ่มว่า
"พวกมันเพิ่งมาอยู่วันนี้ จะไปรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นใคร ลงโทษคนไม่รู้ จะไม่เกินเลยไปหน่อยรึ"
"แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรตีเด็กนะคะคุณมาโนช เด็กตัวเท่าเมี่ยงจะไปรู้อะไร มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้"
"แม่นิ่มให้ท้ายกันอย่างนี้ เดี๋ยวน้องฉันก็เสียคนจนได้ดอก เด็กผิดก็ต้องตี จะกระไรนัก"
น้ำทิพย์ฟังแล้วชักโมโห
"ตกลง พี่มาโนชจะเข้าข้างคนของตัวเองใช่หรือไม่คะ คงลืมไปแล้วกระมัง ว่าสิทธิ์ขาดในเรือนนี้เป็นของแม่นิ่ม ไม่ใช่ของพี่มาโนชแล้ว"
มาโนชยิ้มขำๆ
"บนเรือนก็ใช่ แต่เหตุมันเกิดนอกเรือน ฉะนั้นแม่นิ่ม ไม่มีอำนาจมาลงโทษคนของพี่ แลคุณอาก็เคยให้อำนาจพี่ควบคุมบ่าวไพร่ได้ทุกคน ข้อนี้น้องก็คงไม่ลืมกระมัง"
ไชยากรแค้น ขบกรามแน่น
"ถ้าเช่นนั้น นับแต่นี้อาขอให้อำนาจแม่นิ่มควบคุมบ่าวไพร่ได้ทุกคน ไม่ว่าในเรือนหรือนอกเรือน พ่อมาโนชคงได้ยินชัดแล้วกระมัง"
มาโนชหน้าตาย
"ชัดขอรับ แต่กระผมคงกระทำตามไม่ได้"
ไชยากรโกรธจนหน้าร้อน ตัวเกร็งไปหมด
"ด้วยแม่นิ่มเป็นหญิง แลต้องดูแลคุณอาที่เจ็บไข้ แล้วจะควบคุมบ่าวไพร่ให้เรียบร้อยได้อย่างไร"
"นี่พ่อมาโนชกล้าขัดคำสั่งอาเชียวรึ อาเป็นเจ้าของเรือน ทุกคนต้องทำตามที่อาสั่ง"
"แต่กระผมจำเป็นต้องขัดคำสั่ง คุณอายังเจ็บไข้อยู่อาจจะยังไม่เข้าใจ เอาไว้คุณอาหายป่วยก่อน แล้วค่อยคุยกันเถิดขอรับ"
ไชยากรชี้หน้ามาโนชด้วยความโกรธสุดขีด แต่ด่าไม่ออก เลือดลมก็ตีขึ้นจนเป็นลมไป น้ำทิพย์ตกใจมาก รีบเข้าไปดูอาการพ่อ
"คุณพ่อ คุณพ่อคะ"
น้ำทิพย์ นิ่ม อบเชย รีบช่วยกันประคองไชยากรกลับเข้าข้างในไป มาโนชยิ้มสะใจ ก่อนจะเดินลงจากเรือนไป
เฉียวหู และเค้งลุกขึ้น มองตามไชยากรไปแล้วยิ้มขำๆ
"มิน่าเล่า ไอ้มาโนชถึงให้เรามาอยู่ในบ้าน" เค้งว่า
เฉียวหูยิ้มร้ายๆ ท่าทางงานนี้จะมีอะไรมากกว่าที่คิดไว้ซะแล้ว
ผ่านเวลาครู่หนึ่ง ไชยากรนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ทั้งไข้ขึ้นสูงแล้วยังเครียดเรื่องมาโนชอีก
น้ำทิพย์กำลังคุยกับนิ่ม และอบเชย
อบเชยแค้นใจมากบอก
"ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาเลย จีนสองคนนี่ ต้องเป็นคุณมาโนชหามา เพื่อใช้เป็นกำลังแย่งอำนาจในเรือนนี้แน่ๆ"
นิ่มกลุ้มใจมาก
"ท่านเจ้าคุณก็ป่วยหนักเสียด้วย ตอนนี้คงไม่มีใครกำราบคุณมาโนชได้แล้ว...เอาอย่างไรดีคะคุณน้ำทิพย์"
"อย่าเพิ่งตกใจ อย่างไรพี่มาโนชก็คงไม่กล้าทำอะไรรุนแรง เพราะเกรงจะผิดอาญาบ้านเมืองเช่นกัน ตอนนี้ให้บ่าวไพร่ที่เป็นหญิงทุกคน มานอนบนเรือนให้หมด แลตอนกลางคืนก็ให้พวกผู้ชายจัด
เวรยามรอบเรือนใหญ่ไว้ ส่วนเรื่องพี่มาโนช..."
น้ำทิพย์ใช้ความคิดหนัก ว่าจะเอายังไงดี
แก้วเดินคุยกับน้ำทิพย์เข้ามาที่บ้านเช่า นมอ้อนตามหลังมา
"จีนสองคนนั้น ถ้ากระผมเดาไม่ผิด น่าจะเป็นพวกอั้งยี่ที่คุณมาโนชส่งไปทำร้ายกระผม แลน่าจะเป็นคนเดียวกับที่ฆ่าไอ้พลอยเป็นแน่"
น้ำทิพย์หน้าเสีย
"ร้ายกาจขนาดนั้นเลยรึ ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านแท้ๆ เลยพี่มาโนช"
อ้อนเป็นห่วงบอก
"เราแจ้งนครบาลดีหรือไม่เจ้าคะคุณน้ำทิพย์ ขืนปล่อยช้าไว้ จะยิ่งอันตรายนะเจ้าคะ"
น้ำทิพย์เครียดหนัก
"เราเพียงแต่คาดเดา ไม่มีทั้งพยานแลหลักฐาน ทำอะไรไม่ได้ดอกจ้ะนม"
แก้วยิ้มบางๆ
"ก็ไม่แน่ดอกขอรับ คุณน้ำทิพย์ลองขึ้นไปบนเรือนของกระผมก่อน กระผมมีบางอย่างจะให้ดู ไม่แน่ว่าอาจจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้"
แก้วกำลังจะนำน้ำทิพย์ขึ้นไป บุญเจิมก็เดินออกมาจากข้างในก่อน
บุญเจิมเห็นน้ำทิพย์ก็ก้มลงกราบ น้ำทิพย์รับไหว้
"ไม่ต้องกราบฉันดอกจ้ะ บุญเจิมไม่ใช่ทาสเรือนฉันอีกแล้ว ตอนนี้เราเท่ากันแล้วนะ"
"นังเจิมเป็นแค่หญิงขี้คุก ไม่ควรยกขึ้นมาเสมอด้วยคุณน้ำทิพย์ให้คุณมัวหมองดอกเจ้าค่ะ"
บุญเจิมคลานเข่าเลี่ยงไป เพื่อให้แก้วนำน้ำทิพย์ขึ้นบนเรือน
อ้อนชำเลืองมองบุญเจิม สลับกับชำเลืองมองแก้วตลอดเวลา สีหน้าเคร่งเครียด ไม่ชอบที่บุญเจิม
อยู่เรือนเดียวกับแก้วเลย
แก้วเปิดประตูห้องนอนออก พอน้ำทิพย์มองเข้าไปข้างในก็ต้องตกใจ นึกไม่ถึง
"เจ้าเข้ม"
เข้มนอนหลับสนิท ถูกทำร้ายจนเจ็บหนัก เนื้อตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผล ผ่านการรักษาแล้ว
"วันที่ไอ้พลอยถูกฆ่า กระผมจะกลับเรือนเลยผ่านมาทางนั้นพอดี แต่ตอนนั้นไอ้พลอยตายไปแล้ว ส่วนไอ้เข้มถูกทำร้ายจนตกคลอง กระผมเลยช่วยมันขึ้นมาแล้วพามารักษา หากไอ้เข้มฟื้นเมื่อใด
กระผมจะซักถามมันอีกที ถ้ามันจำหน้าคนที่ทำร้ายมันได้ แลเป็นคนเดียวกับคนของคุณมาโนช เราก็มีพยานที่จะเอาผิดแล้วขอรับ"
น้ำทิพย์พยักหน้าช้าๆ ยิ้มดีใจ
"สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองแท้ๆ ถ้าพี่มาโนชไม่มีคนคอยช่วย ก็คงไม่กล้าทำเรื่องเลวร้ายอีก แลคราวนี้พี่มาโนชลามปามถึงคุณพ่อด้วย คงไม่มีใครปกป้องอีกแน่"
แก้วยิ้มรับ
"ใช่แล้วขอรับ ถึงเวลาที่คุณมาโนชจะได้รับบทเรียนเสียที"
ในเวลาต่อมา บุญเจิมกำลังทำอาหารอยู่ในครัว อ้อนเดินเข้ามายืนจ้อง
"คุณนมมีอะไรหรือเจ้าคะ"
อ้อนหน้าบึ้งตึงถาม
"เอ็งพ้นโทษมานานแล้วรึนังเจิม"
"ไม่กี่วันนี้เองเจ้าค่ะ"
"ก็แสดงว่าเอ็งเพิ่งมาอยู่กับพ่อแก้ว แล้วพ่อแก้วให้เอ็งอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรรึ"
บุญเจิมหน้าเจื่อนไปทันที
"พี่แก้วไม่ได้บอกดอกเจ้าค่ะ เราโตมาด้วยกัน พี่แก้วเห็นฉันไม่มีที่ไปแล้ว ก็เลยให้มาอยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง"
"เท่านั้นก็ดีแล้ว เอ็งก็รู้ ว่าตอนนี้พ่อแก้วเป็นข้าราชการ ไม่ใช่ทาสในเรือนเบี้ยลูกนางกิ่งเหมือนแต่ก่อน แลนับวัน ก็จะจำเริญก้าวหน้าขึ้นไป หากมีใครรู้เข้า ว่ามีผู้หญิงยิงเรือมาอยู่ด้วย โดยไม่รู้แน่ว่าอยู่ใน
ฐานะอะไร คนที่จะถูกนินทาเสียหาย ก็มีแต่พ่อแก้วเท่านั้น"
อ้อนพูดจบ ก็เดินเลี่ยงไป บุญเจิมหน้าเสีย เจออ้อนพูดดักคออย่างนี้ก็หนักใจ ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
เวลาเย็น บริเวณบ้านไชยากร น้ำทิพย์กำลังคุยอ้อนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"นมไปพูดอย่างนั้น บุญเจิมจะไม่เสียใจแย่รึ"
"นมรู้เจ้าค่ะว่าทำไม่ถูก แต่อย่างไรก็ต้องกันไว้ดีกว่าแก้ นังเจิมมันรักพ่อแก้วมานานแล้ว ขนาดเป็นทาส มันยังหวงพ่อแก้วจนทรยศคุณน้ำทิพย์ได้ แล้วตอนนี้พ่อแก้วกำลังรุ่งเรือง มีรึ ที่มันจะไม่สนใจ"
"แต่ก่อนที่คอกจะตาย บุญเจิมอยู่กินกับคอกแล้ว จะกลับมาหาแก้วอีกได้อย่างไรกันจ๊ะนม"
อ้อนถอนใจ
"คุณน้ำทิพย์ช่างซื่อนัก ไม่เคยได้ยินหรือเจ้าคะ ว่าน้ำตาลใกล้มด มันยากที่จะอดใจ พ่อแก้วก็ยังหนุ่มแน่น ส่วนนังเจิม แม้ว่ามันจะขี้คุก แต่ก็ติดคุกเพราะช่วยพ่อแก้ว ต้องถือว่ามีน้ำใจผูกพันกัน"
น้ำทิพย์คิดตามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไป
"แลมันก็สะสวยใช่เล่น หากบำรุงเสียหน่อย อาจจะสวยกว่าตอนเป็นทาสเสียอีก แล้วจะปล่อยให้อยู่ใต้ชายคาเดียวกันทุกวันได้อย่างไรเจ้าคะ"
น้ำทิพย์หน้าเสีย ฟังอ้อนพูดอย่างงี้แล้วก็ชักไม่สบายใจ "แต่..."
อ้อนตัดบท
"กว่าคุณน้ำทิพย์กับพ่อแก้วจะรักกันได้ลำบากหนักหนา แล้วจะปล่อยให้พังพินาศลงง่ายๆอย่างนั้นหรือคะ เชื่อ นมเถอะค่ะ นมจัดการเรื่องนี้เอง นมจะหาทางไม่ให้นังเจิมมันอยู่เรือนเดียวกับพ่อแก้วเด็ดขาด"
น้ำทิพย์สีหน้าอึดอัด กระอักกระอ่วน รู้สึกไม่ดีที่นมอ้อนทำแบบนี้ แต่ก็อดหวั่นใจว่าแก้วกับบุญเจิมจะมีความสัมพันธ์กันไม่ได้
แก้วกำลังทำงาน อ่านสำนวนคดีความอยู่ที่ชานเรือน ในขณะที่บุญเจิมกำลังจัดสำรับกับข้าวเย็นอยู่
"พี่แก้ว สำรับเย็นเสร็จแล้วจ้ะ"
แก้วอ่านสำนวนไปพูดไป
"เอ็งกินก่อนเถอะ ข้าขอตรวจสำนวนตรงนี้ให้เสร็จก่อน"
บุญเจิมไม่ยอมทาน เอาแต่นั่งมองแก้วนิ่ง แล้วยิ้มบางๆ แก้วเหลือบไปเห็นพอดี
"มีอะไรรึ"
"พี่จำได้หรือไม่ ว่าตอนที่พี่ขวนขวายร่ำเรียน ถึงขนาดยอมเสี่ยงหวายว่ายน้ำไปหาท่านเจ้าคุณ ฉันเคยเยาะพี่ ว่าเกิดเป็นทาสจะเรียนหนังสือไปทำไม อย่างไรก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี สุดท้าย พี่ก็ได้ใช้วิชาความรู้ที่พี่ร่ำเรียนมา จนได้เป็นเจ้าคนนายคนจนได้"
" ข้าเพียงแต่เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย ยังเรียกว่าเจ้าคนนายคนไม่ได้ดอก แลที่ข้าขวนขวายเล่าเรียน เพราะวิชาความรู้ เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ข้าพ้นจากความโง่แลพ้นจากการถูกกดขี่ ส่วนเรื่องรับราชการ
เป็นเรื่องเกินความคิดข้านัก ไม่ได้หวังมาตั้งแต่ต้นดอก"
" แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้พี่ก็ได้เป็นข้าราชการแล้ว"
บุญเจิมหน้าเศร้าลงเมื่อนึกถึงตัวเองที่ตกต่ำ ผ่านผู้ชายมาแล้วสองคน
"แต่ฉันกลับ..."
บุญเจิมหยุดพูด เพราะพูดไม่ออก แก้วเห็นบุญเจิมอ้ำๆอึ้งๆก็แปลกใจ
"มีอะไรรึนังเจิม"
" ฉันเป็นคนผ่านคุกผ่านตะราง เกรงเหลือเกินว่าพี่จะถูกครหาไปด้วย ถ้าอย่างไร..."
แก้วตัดบท
"เอ็งเป็นน้องข้า ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ข้าจะไม่มีวันทิ้งเอ็งเป็นอันขาด อย่าได้เอาคำพูดคนอื่นมาใส่ใจเลย"
"จ้ะพี่แก้ว"
แก้วทำงานต่อ ในขณะที่บุญเจิมนั่งมองแก้วด้วยสายตาเศร้าสร้อย คิดถึงคำพูดนมอ้อนแล้วก็ยิ่งไม่สบายใจ
พระยานิติธรรมธาดาในชุดออกงานแบบสากล เดินลงบันไดมา ดูหล่อเหลา สง่างามมาก ตุ๊กตา เจ้าคุณพ่อ และคุณหญิงลออ อดชื่นชมไม่ได้ โดยเฉพาะตุ๊กตาที่ถึงกับตะลึงในความหล่อเหลา
" งามราวกับอุศเรนก็ไม่ปานหลานฉัน ... จริงหรือไม่แม่ตุ๊กตา" ลออว่า
" จริงเจ้าค่ะ"
" ใครมาได้ยินเข้า เค้าจะขำเอาได้นะขอรับคุณน้า ที่บ้านนี้เยินยอกันเอง"
เจ้าคุณเดชารณภพบอก
"เยินยออะไรกัน เจ้าคุณใส่ชุดแบบฝรั่งแล้วมีสง่าราศีนัก ถ้าคุณดาราเห็นเข้าแล้วไม่ใจอ่อน ก็เกินไปหน่อยแล้วล่ะ"
พระยาเดชารณภพหัวเราะชอบใจ แต่ตุ๊กตาหน้าเสียทันที เจ้าคุณสังเกตเห็นสีหน้าของตุ๊กตา เลยรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
"กระผมคงต้องไปก่อนนะขอรับ ประเดี๋ยวจะสาย"
พระยานิติธรรมเดินเลี่ยงไป เจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงลออมองตามด้วยความชื่นใจ ตุ๊กตาหน้าเศร้านับวันเจ้าคุณจะห่างเธอออกไปทุกที
เวลาหัวค่ำ ภายในห้องจัดงานบ้านเจ้าพระยารังสี เป็นงานไม่ใหญ่มากนัก แต่มีแขกสำคัญมามากมายทั้งไทย และฝรั่ง โดยมีนักดนตรีบรรเลงดนตรีในงานตามแบบสากล เจ้าคุณคุยอยู่กับเจ้าพระยารังสี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ในขณะที่คุณดาราในชุดราตรียาวแบบฝรั่งคุยกับแขกเหรื่อที่เป็นฝรั่ง สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ขณะนั้นเอง เพลงก็เปลี่ยนไปเป็นจังหวะลีลาศ แขกฝรั่งหลายคนหันไปโค้งคู่ของตน แล้วออกมาลีลาศที่กลางฟลอร์
"ท่านเจ้าพระยาเป็นเจ้าภาพ จะไม่ออกไปเต้นรำสักเพลงหรือขอรับ"
"อย่าเลย ฉันแก่แล้ว ท่านเจ้าคุณไปแทนฉันทีเถิด หากไม่มีชาวสยามออกไปเลย พวกฝรั่งจะดูถูกเอาได้"
"ขอรับ"
เจ้าคุณมองหาคู่ลีลาศ เจ้าคุณเดินไปหาคุณดาราและโค้งชวนมาลีลาศด้วยกัน คุณดารายิ้มรับ ก่อนจะยื่นมือไปจับมือพระยานิติธรรมแล้วเดินออกมาด้วยกันที่กลางฟลอร์
ทั้งคู่ลีลาศกันอย่างสวยงาม ทั้งรูปร่างหน้าตา สวยสง่าสมกันอย่างยิ่ง ระหว่างเต้นรำทั้งคู่ก็แอบมองกันบ้าง ยิ้มให้กัน เริ่มรู้สึกพอใจในตัวของอีกฝ่าย
เวลากลางคืน ตุ๊กตากำลังบีบนวดขาให้คุณหญิงลออที่นอนอยู่ที่ชานเรือน ในขณะที่พระยาเดชารณภพกำลังชะเง้อคอรอลูกชายว่าเมื่อไหร่จะกลับ อยากรู้ความคืบหน้า
"เจ้าคุณไปตั้งนานแล้วนะ ทำไมไม่กลับเสียทีก็ไม่รู้"
คุณหญิงลออยิ้มพอใจ
"ยิ่งนานก็ยิ่งดี จะเร่งไปทำไมล่ะคะท่านเจ้าคุณ"
"ก็ฉันอยากรู้ว่า เจ้าคุณลูกชายกับคุณดาราเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าคืบหน้า ฉันจะได้เตรียมสินสอดทองหมั้นไว้เสียแต่เนิ่นๆ"
เจ้าคุณเดชารณภพขำๆ อย่างชอบใจ ตุ๊กตาหน้าเสียขึ้นมาทันที
"ทำเป็นหนุ่มๆ ใจร้อนไปได้ ... แม่ตุ๊กตาไปหยิบกล่องยาไล่ยุงมาให้ฉันที ยุงชักชุมแล้ว"
"เจ้าค่ะคุณหญิง"
ตุ๊กตาลุกขึ้น แล้วเดินไปหยิบกล่องตรงหลังตู้มาใบหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับมาให้ คุณหญิงเปิดกล่องออก กลิ่นยาไล่ยุงซึ่งฉุนมาก ก็กระจายออกมา
ทันใดนั้น ตุ๊กตาก็คลื่นไส้จะอ้วกขึ้นมาทันที เลยรีบเอามือปิดปากแล้ววิ่งหนีไปอ้วก คุณหญิงงง
"อะไรกันแม่คนนี้"
"เหม็นกลิ่นยาไล่ยุงของคุณหญิงกระมัง ขนาดฉันอยู่ตรงนี้ยังได้กลิ่นเลย"
"ฉันจุดมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เพิ่งจะมาเหม็นอะไรตอนนี้ล่ะคะ"
คุณหญิงถอนใจส่ายหน้า พระยาเดชารณภพยิ้มขำ อยากได้ลูกสะใภ้เต็มแก่
พระยานิติธรรมยืนอยู่คนเดียว มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนดูสวยงาม คุณดารากลับจากส่งแขก เดินกลับเข้ามาข้างใน เจอเจ้าคุณยืนอยู่คนเดียว ก็เข้าไปหา
" นึกว่าท่านเจ้าคุณจะอยู่กับพวกเจ้าคุณพ่อเสียอีก ตอนนี้พวกเจ้าคุณพ่อกำลังคุยเรื่องการเมืองออกรสเลยเชียว"
"เรื่องงานบ้านงานเมือง ฉันพอรู้อยู่บ้างแต่ไม่ลุ่มลึกนักคงคุยกับใครไม่สนุกดอก แลคนเป็นตุลาการ ชำนาญแต่กฎบัตรกฎหมายก็พอแล้ว อย่าเอาเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องเลย มันไม่งาม"
คุณดารากระเซ้า
"ก็เลยเลือกมองพระจันทร์แทน"
เจ้าคุณหัวเราะเล็กน้อย
"แล้วเธอล่ะ ไม่ไปร่วมวงคุยกับท่านเจ้าพระยารึ ถึงเธอจะเป็นผู้หญิง แต่ท่านเจ้าพระยาก็คงไม่ว่า อันใดดอก"
"ฉันไม่เอาดอกค่ะ ฉันอยู่ของฉันอย่างนี้ดีกว่า ฉันชอบที่จะทำให้ตัวเองมีความสุข เรื่องอะไรที่จะทำให้ฉันทุกข์ ฉันขอไม่เกี่ยวข้องดีกว่า"
"เธอเป็นคนแปลกมาก กล้าคิดกล้าพูดเหมือนผู้หญิงฝรั่ง แต่ก็ไม่แข็งกร้าวจนเกินงาม ฉันไม่เคยเจอใคร เหมือนเธอเลย"
คุณดารายิ้มเขิน โดนชมต่อหน้าก็อดอายไม่ได้ ในขณะที่พระยานิติธรรม อยู่ใกล้คุณดาราแล้วก็รู้สึกเป็นกันเอง คุยถูกคอ สบายใจ
ยามดึก เจ้าคุณเดินกลับขึ้นเรือนมา ด้วยสีหน้าผ่อนคลายมีความสุข ขณะนั้นเอง ทั้งพ่อและคุณหญิงลออก็รีบเข้ามาหาพระยานิติธรรมธาดาด้วยท่าทางร้อนใจ
"เจ้าคุณ มาเสียที นี่ถ้ายังไม่กลับ พ่อคงนอนไม่หลับแน่"
"มีอะไรหรือขอรับคุณพ่อ คุณน้าลออ"
" ก็แม่ตุ๊กตา บ่าวของเจ้าคุณน่ะสิ เห็นกิริยามารยาทเรียบร้อย ทำเรื่องงามหน้าเสียแล้ว"
เจ้าคุณแปลกใจ
"ตุ๊กตาทำเรื่องอะไรหรือขอรับ"
"คืออย่างนี้เจ้าคุณ น้าเห็นว่าแม่ตุ๊กตามีท่าทางพิกล ตอนแรกนึกว่าเจ็บไข้ได้ป่วย แต่พอไต่ถามดูไปเรื่อยๆก็ชักเอะใจ ที่แท้ แม่ตุ๊กตากำลังตั้งท้อง"
เจ้าคุณตกใจสุดขีด ไม่คิดมาก่อนว่าตุ๊กตาจะท้องตอนนี้
ตุ๊กตานอนร้องไห้สะอึกสะอื้น รู้ว่าลูกเกิดมาตอนนี้มีแต่จะทำให้เจ้าคุณลำบาก ทำให้กลุ้มใจสุดๆ ไม่รู้จะหาทางออกยังไง ขณะนั้นเอง พระยานิติธรรมธาดาก็เปิดประตูเข้าห้องมา
"ท่านเจ้าคุณ"
ตุ๊กตารีบเช็ดน้ำตา แล้วลุกขึ้น
"ฉันรู้เรื่องหมดแล้ว"
"ตุ๊กตาขอโทษเจ้าค่ะ ตุ๊กตาไม่คิด..."
ตุ๊กตาพูดไม่ทันจบ เจ้าคุณก็ดึงตุ๊กตาเข้ามากอดทันที
"อย่าขอโทษ ตุ๊กตาไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันดีใจนะ ที่ได้มีลูกกับตุ๊กตา มีลูกกับผู้หญิงที่ฉันรัก ฉันสัญญา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งตุ๊กตากับลูกเด็ดขาด"
ตุ๊กตาอึ้งไปครู่ ก่อนจะกอดเจ้าคุณแน่น พร้อมกับปล่อยโฮออกมาด้วยความซึ้งใจ แม้จะมีปัญหารออยู่ตรงหน้ามากมาย แต่แค่เจ้าคุณยังรักเธอกับลูก เธอก็พร้อมเผชิญทุกอย่าง
เขากอดและลูบผมเธออย่างทะนุถนอม แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ครุ่นคิดว่าจะหาทางออกยังไง
อ่านต่อหน้า 2
ลูกทาส ตอนที่ 12 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา พระยานิติธรรมธาดาเดินไปเดินมาอยู่ในห้องทำงาน สีหน้ากลัดกลุ้มสุดๆ ขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้น
"เชิญ"
แก้วเปิดประตูเข้ามา พร้อมกับเอกสารเกี่ยวกับคดีความ
"ท่านเจ้าคุณวิจิตรมาตราส่งสำนวนคดี แลจดหมายมาปรึกษาเรื่องกฎหมายผัวเมียขอรับ"
"วางไว้ก่อน เดี๋ยวฉันอ่านเอง"
แก้วเอาเอกสารวางไว้บนโต๊ะทำงาน แล้วบ่นๆ
"คดีความเดิมๆอีกแล้วขอรับ ผัวมีหลายเมีย ลูกคนละเมียแย่งสมบัติกัน ถ้าผู้ชายไม่เจ้าชู้หลายใจเสียอย่างก็คงไม่มีปัญหา"
เจ้าคุณโดนแทงใจดำอย่างจัง ตัดบทเสียงดุ
"เจ้าแก้ว"
แก้วชะงักไปเล็กน้อย งงกับน้ำเสียง
"ขอรับ"
เจ้าคุณเครียดหนัก
"ที่ผ่านมา ฉันดีกับแกหรือไม่"
"ยิ่งกว่าดีอีกขอรับ ท่านเจ้าคุณมีบุญคุณท่วมหัวกระผม ตายแล้วเกิดใหม่ อีกสิบชาติก็ชดใช้คืนไม่หมดขอรับ"
เจ้าคุณสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อายก็อายแต่ต้องตัดใจพูด ด้วยความสนิทกับแก้วถือว่าเสียหายน้อยสุด "อีกไม่นาน ฉันอาจจะต้องหมั้นหมายกับคุณดารา บุตรีท่านเจ้าพระยารังสี"
แก้วดีใจมาก
"จริงหรือขอรับ น่ายินดีเหลือเกิน เป็นถึงบุตรีท่านเจ้าพระยา ช่างสมกับท่านเจ้าคุณ กระผมดีใจด้วยขอรับ"
"แต่ฉันมีเรื่องอยากให้แกช่วย"
"เรื่องอะไรขอรับ ท่านเจ้าคุณสั่งมาเลยขอรับ"
"ตอนนี้ ตุ๊กตากำลังท้อง"
แก้วตกใจมาก
"ท้อง แม่ตุ๊กตานี่หรือขอรับ ท้องกับใครกันขอรับ แล้วแม่ตุ๊กตาท้อง มันเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเจ้าคุณจะหมั้นหมายด้วยล่ะขอรับ"
แก้วคิดไปคิดมา ฉุกคิดขึ้น ก็ตกใจสุดขีด
"หรือว่า พ่อเด็ก..."
แก้วรีบยั้งคำพูด ไม่กล้าพูดต่อ ในขณะที่พระยานิติธรรมธาดาเริ่มกระอักกระอ่วน ไม่กล้าสบตาแก้ว อายที่ตนได้บ่าวเป็นเมีย แถมตุ๊กตายังเป็นคนที่แก้วเอามาฝากไว้อีก
แก้วถือห่อผ้าของตุ๊กตา พร้อมกับเปิดประตูเรือนแพ นำน้ำทิพย์ และตุ๊กตาเข้ามา ภายในเรือนแพมีฝุ่น หยากไย่ขึ้นพอสมควร เพราะนับแต่คุณกัลยาเสียไป ก็ไม่มีคนมาอยู่มาหลายเดือนแล้ว
"โชคดีที่ยังไม่ได้รื้อถวายวัด ทำความสะอาดเสียหน่อย ก็คงอยู่ได้เหมือนเดิม"
"ฉันจะให้บ่าวที่เรือน มาอยู่เป็นเพื่อนตุ๊กตาสองคนนะ ขาดเหลืออะไรก็ให้คนไปบอก"
" เป็นพระคุณเจ้าค่ะคุณน้ำทิพย์ ตุ๊กตาไม่ต้องการอะไรมากดอกเจ้าค่ะ มีที่ซุกหัวนอนก็เพียงพอแล้ว ขอแค่ตุ๊กตากับลูกไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับท่านเจ้าคุณ ก็พอแล้วเจ้าค่ะ"
ตุ๊กตาเดินซึมๆ เข้าข้างในไป เพื่อหาผ้าหรือไม้กวาดมาทำความสะอาดเรือนแพ แก้ว และน้ำทิพย์ หันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะมองตามตุ๊กตาไปด้วยความสงสารจับใจ
ผ่านเวลาเล็กน้อย แก้วกำลังเดินคุยกับน้ำทิพย์ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"นี่ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ไม่ได้ยินกับหู ฉันไม่มีวันเชื่อเป็นอันขาด ว่าท่านเจ้าคุณนิติธรรมจะทำได้ ถ้าเป็นแก้ว ฉันยังไม่แปลกใจเท่า"
"อ้าว เหตุใดมาลงที่กระผมได้ล่ะขอรับ"
น้ำทิพย์ทิ้งค้อน เจ็บใจแทนเพศเดียวกัน
"ผู้ชาย ไว้ใจไม่ได้ซักคน"
แก้วจ๋อยๆไป น้ำทิพย์หน้าขรึมลง
"แล้วตกลง ท่านเจ้าคุณจะเลี้ยงตุ๊กตาเป็นเมียน้อยหลบๆ ซ่อนๆอยู่อย่างนี้น่ะหรือแก้ว"
"ก็คงต้องเป็นเช่นนั้นขอรับ คุณดาราเป็นถึงบุตรีท่านเจ้าพระยารังสี แลผู้หลักผู้ใหญ่ยังเห็นชอบ หากผิดใจกัน เพราะเรื่องตุ๊กตา ไม่ใช่แต่ท่านเจ้าคุณเท่านั้นที่จะเสียหาย ผู้ใหญ่ก็จะพาลมองหน้ากันไม่ติด
ไปด้วย"
น้ำทิพย์ได้แต่ถอนใจ
"ท่านเจ้าคุณเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคุณพ่อมานาน นึกไม่ถึงเลย ว่าวันนึงจะเดินซ้ำรอยกันได้ มีเมียแล้วก็ไม่เอาเข้าบ้าน ให้เมียเลี้ยงลูกอยู่ที่เรือนอื่น คิดเหมือนกันไม่มีผิด"
น้ำทิพย์สีหน้าไม่ชอบใจ ไม่เห็นด้วยอย่างแรง
ขณะนั้น บ้านเมืองพัฒนาไป ที่ทำงานของพระยานิติธรรมธาดา ได้เปลี่ยนไป เป็นกระทรวงยุติธรรม บ่ายวันหนึ่ง เจ้าคุณกำลังหงุดหงิดที่โดนพูดแทงใจดำ
"เหมือนกันที่ไหน เจ้าคุณไชยากรหลอกแม่นิ่มมาแต่งงานด้วย แต่ฉันพูดความจริงทุกอย่าง แลตุ๊กตาก็เป็นฝ่ายสมัครใจเอง คุณน้ำทิพย์ตำหนิฉันเกินไปแล้ว"
เจ้าคุณกำลังคุยอยู่กับแก้วในห้องทำงาน แก้วหน้าจ๋อยไป
"เอ่อ คุณน้ำทิพย์เพียงแต่เปรียบเทียบ ว่าผู้ชายคิดอะไรทำอะไรเหมือนกันเท่านั้น ไม่ได้ตำหนิท่านเจ้าคุณดอกขอรับ"
"แกต้องเห็นใจฉันบ้างนะเจ้าแก้ว ใช่ว่าฉันจะไม่รักตุ๊กตากับลูก แต่คนเรามิได้มีแต่ความรักอย่างเดียว ถึงฉันจะรักตุ๊กตามากแค่ไหน แต่ตุ๊กตาก็ออกงานออกการ แลเป็นคู่คิดให้ฉันไม่ได้ มิหนำซ้ำ ตุ๊กตายัง
เป็นแค่บ่าวในบ้าน จะให้ฉันยกย่องเป็นคุณหญิงได้อย่างไร"
"เอ่อ เรื่องนี้เกินปัญญากระผมนัก อย่าให้กระผมพูดอะไรเลยขอรับ" แก้วกระอักกระอ่วน
"พูดเช่นนี้ ก็เท่ากับแกยอมรับว่า แกเห็นด้วยกับคุณน้ำทิพย์ แกนะแกเจ้าแก้ว เห็นผู้หญิงดีกว่าฉัน"
"มิได้ขอรับ กระผมเพียงแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรจริงๆ ขอรับ"
"เจ้าคารีสีคารมอย่างแก มีรึจะไม่รู้ว่าพูดอย่างไร เจ้าแก้ว ยศถาบรรดาศักดิ์ มิใช่ขื่อคาที่เปลื้องได้ง่ายๆดอกนะ แกเองที่พากเพียรรับราชการทุกวันนี้ นอกจากอยากจะสนองคุณชาติแล้ว ก็ไม่ใช่เพราะอยากจะทัดเทียมคุณน้ำทิพย์ดอกรึ คนเรา แม้จะปลดโซ่ตรวนทาสได้ แต่ก็ไม่มีวันปลดโซ่ตรวนเกียรติยศได้ดอก"
แก้วนิ่งอึ้ง คิดตามที่พระยานิติธรรมบอก ก็ยอมรับว่าพระยานิติธรรมพูดถูกทุกอย่าง
บุญเจิมถือสำรับกับข้าวเข้ามาในห้องนอน เพื่อให้เข้มที่นอนพักรักษาตัวทาน
บุญเจิมวางสำรับไว้ เพราะเห็นเข้มนอนหลับสนิท เลยจะลุกออกจากห้อง แต่ทันใดนั้น เข้มก็คว้าข้อมือบุญเจิมไว้
เข้มยิ้มกรุ้มกริ่ม
"จะรีบไปไหนเล่านังเจิม ไม่ได้เจอกันนานปี ให้ข้ากอดเอ็งให้หายคิดถึงหน่อยเถิด"
เข้มจะดึงบุญเจิมเข้ามากอดจูบ บุญเจิมขยะแขยง ดิ้นขัดขืน
"อย่านะไอ้เข้ม ปล่อยข้านะ"
บุญเจิมผลักเข้มสุดแรงด้วยความรังเกียจ แล้วรีบผละออกมา เข้มโมโหมาก
"อย่าดีดดิ้นไปนักเลยวะนังเจิม เอ็งเป็นเมียข้า ทำไมข้าจะกอดเอ็งไม่ได้ อ๋อ หรือว่าไอ้แก้วมันยังไม่รู้ ว่าข้ากับเอ็ง..."
บุญเจิมตวาดสวน
"หุบปากนะไอ้เข้ม ข้าไม่ใช่เมียเอ็ง เรื่องคราวนั้น ข้าถือว่าทำทานให้หมามันกิน แต่นี้ไป ถ้าเอ็งแตะเนื้อต้องตัว ข้าอีก ข้าจะฆ่าเอ็ง เหมือนที่ข้าฆ่าพี่มี"
บุญเจิมสีหน้าดุดัน เอาจริง สะบัดหน้าเดินออกจากห้องไป เข้มเจ็บใจ ด่าตามหลัง
"นังแพศยา เอ็งเป็นเมียข้าแล้ว ยังคิดจะเล่นชู้กับไอ้แก้วอีกรึ อย่าหวังเลยโว้ย ว่าข้าจะยอมเสียเอ็งให้ไอ้แก้วง่ายๆ"
เข้มกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเจ็บใจ ที่บุญเจิมไม่ยอมตามใจตน
แก้วเดินกลับมาบ้านเช่าตอนหัวค่ำ พอเข้ามาก็เห็นบุญเจิมนั่งรออยู่ที่หน้าบ้านคนเดียว โดยไม่มีตะเกียงหรือเทียนจุดให้แสงสว่างเลย
"อ้าว นังเจิม ทำไมไม่อยู่บนเรือนเล่า"
บุญเจิมหน้าเสีย เธอไม่อยากอยู่กับเข้ม แต่ไม่กล้าบอกแก้ว
"มันร้อนน่ะจ้ะ ฉันเลยมารอพี่ที่นี่ เอ่อ แล้วพี่จะให้ไอ้เข้ม มันอยู่ที่เรือนอีกนานหรือไม่จ๊ะ"
"ทำไมรึ"
"เปล่าดอกจ้ะ ฉันก็แค่ถามดู เห็นว่าอาการมันดีขึ้นมากแล้ว น่าจะไปเสียที"
"ข้าตั้งใจจะให้ไอ้เข้มมันเป็นพยานเอาผิดคุณมาโนชกับพวกอั้งยี่ หากสำเร็จ คุณน้ำทิพย์แลทุกคนที่เรือนก็จะปลอดภัย ช่วงนี้ ถ้าไอ้เข้มมันก่อความรำคาญอะไรให้เอ็ง ก็ทนเอาหน่อยเถิดนะ นังเจิม นึกว่าเห็น
เห็นแก่ข้า"
บุญเจิมหน้าจ๋อย เสียงอ่อย
"จ้ะ พี่แก้ว"
แก้วเดินเลี่ยงขึ้นเรือนไป บุญเจิมได้แต่มองตาม กลัวว่าเข้มจะบอกแก้วเรื่องที่ตนได้เสียกับเข้ม ยิ่งเข้มอยู่นาน เธอก็ยิ่งไม่สบายใจ
แก้วกำลังคุยกับเข้มด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยความกลัวมาโนช เข้มเลยบอกว่า
"ข้าจำหน้าไอ้อั้งยี่สองคนนั่นไม่ได้ดอก เวลานั้นมันมืด แลข้ายังต้องเอาชีวิตรอดอีก ส่วนเรื่องคุณมาโนช ข้ายอมรับ ว่าคุณมาโนชใช้ข้ากับไอ้พลอยไปฆ่าเอ็ง แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่กล้าเป็นพยานเอาผิดดอก ข้ากลัวคุณมาโนชจะส่งคนมาฆ่าปิดปากข้า"
"แล้วที่ไอ้พลอยตาย ส่วนเอ็งโดนไล่ฆ่า มันเป็นเพราะเอ็งสองคนคิดเป็นพยานเอาผิดคุณมาโนชงั้นรึ"
เข้มอึกๆอักๆเถียงไม่ออก แก้วตบบ่าเข้ม
"ยอมรับเถิดไอ้เข้ม ถ้าเอ็งไม่ตาย อย่างไรคุณมาโนชก็ต้องส่งคนมาปิดปากเอ็งอีก ทางเดียวที่เอ็งจะรอด ก็คือให้คุณมาโนชรับโทษเท่านั้น"
" เอ็งก็พูดได้ ก็เอ็งไม่ได้ถูกไล่ฆ่าอย่างข้านี่ ตอนนี้คุณมาโนชเข้าใจว่าข้าตายแล้ว ถ้าข้าไม่โผล่ไปให้เห็นก็ปลอดภัยไม่ใช่รึ แล้วจะไปกวนน้ำให้ขุ่นอีกทำไม"
แก้วพยายามระงับอารมณ์ เกลียดความเห็นแก่ตัวของเข้ม
"แล้วไอ้พลอยเล่า เพื่อนรักของเอ็งตายต่อหน้า เอ็งจะปล่อยให้ตายเปล่าอย่างนั้นรึ"
เข้มอึดอัด รู้สึกผิดเรื่องพลอย
"เอ็งอย่าเพิ่งบีบข้านักเลยวะไอ้แก้ว ขอเวลาข้าคิดบ้างเถอะ เรื่องเป็นเรื่องตาย จะไม่ให้ข้าคิดบ้างเลยรึ"
แก้วได้แต่ถอนใจส่ายหน้า คนอย่างพลอย ทั้งขี้ขลาดทั้งเห็นแก่ตัวจนน่าสมเพช
ยามสาย วันรุ่งขึ้น เค้งกับเฉียวหู กำลังมีเรื่องชกต่อยกับพวกทาสชายอยู่หน้าเรือนพระยาไชยากร โดยมีมาโนชคอยสั่งการ ในขณะที่นิ่ม อบเชยยืนหวาดกลัว โดยมีพวกทาสหญิงคอยล้อมเอาไว้ ไม่ให้มาโนชทำร้าย
อบเชยตะโกนลั่น
"เร้ว มีใครอยู่บ้าง มาช่วยกันเร็ว คุณมาโนชจะฆ่าฉันกับคุณนายนิ่มแล้ว ช่วยด้วย"
มาโนชตะคอก
"นังขี้ฉ้อโป้ปด ข้าจะเอากุญแจห้องเก็บสมบัติเท่านั้น ใครจะฆ่าพวกเอ็ง"
พวกทาสชายกลุ่มหนึ่ง ถือมีดถือดาบกรูกันมาช่วยนิ่ม และอบเชย พวกทาสมีมากกว่า พอมาถึงก็จ้วงฟันใส่เค้ง และเฉียวหูทันที เค้งมีฝีมือร้ายกาจ ก้มหลบไปได้ ก็ใช้วิชากังฟูเตะใส่พวกทาส พอทาสคนฟันเข้ามา ก็จับแขนล็อก แล้วแย่งดาบมา
"ตั่วกอ"
เค้งโยนดาบให้ เฉียวหูรับดาบมา แล้วตะโกนลั่นพร้อมกับใช้เพลงดาบจีน ตะลุยเข้าใส่พวกทาสจนกระเจิดกระเจิง ในขณะที่เค้ง ใช้วิชากังฟู ทั้งถีบ เตะ ต่อย สารพัดกระบวนท่า เล่นงานพวกทาสกระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศละทาง
พวกทาสมีมากกว่าแถมมีอาวุธ แต่ฝีมือห่างจากเค้ง เฉียวหูมาก ยิ่งสู้ก็ยิ่งแย่ เป็นฝ่ายพลาดท่า
แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงปืนดังขึ้น ทุกคนหยุดสู้ทันที ไชยากรในสภาพป่วยหนัก เป็นคนยิงปืนขึ้นฟ้าที่หน้าระเบียงบ้าน
"ท่านเจ้าคุณ"
นิ่มเป็นห่วง รีบขึ้นเรือนไปประคองสามี
"ท่านเจ้าคุณยังเจ็บไข้อยู่ ออกมาทำไมกันคะ"
"แล้วแม่นิ่มจะให้ฉันทนเห็นคนอื่นมาหยาบหยามฉันได้รึ ออกไปจากเรือนกูให้หมด หาไม่ กูจะยิง
ให้เป็นผีเฝ้าเรือนเดี๋ยวนี้"
"ฟังกระผมก่อนเถิดขอรับคุณอา ใช่ว่ากระผมจะลบหลู่คุณอา แต่แม่นิ่มเป็นหญิง ดูแลสมบัติมากมายเช่นนี้ กระผมก็เกรงจะตกหล่นเสียหายไป รอจนคุณอาหายป่วยเมื่อใด กระผมก็จะคืนให้ขอรับ"
ไชยากรไม่ฟัง ตะคอกเสียงดัง
"ออกไปจากเรือน ไม่ได้ยินรึ"
"คุณอาเจ็บป่วยถึงเพียงนี้ อย่าฝืนอีกเลยขอรับ"
มาโนชจะเดินเข้าไปหา แต่ทันใดนั้น ไชยากรก็ยิงสวนขู่ออกมา มาโนชก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด
"ไปโว้ย"
โมโนชรีบเดินนำหนีไปทันที โดยมีเฉียวหู และเค้งตามไปติดๆ
พอมาโนชไป ไชยากรก็หมดแรง ทรุดร่วงลง พร้อมกับเอามือกุมหัวใจไว้ ด้วยสีหน้าเจ็บปวด
"ท่านเจ้าคุณ เร็ว รีบพาท่านเจ้าคุณเข้าข้างในเร็ว"
นิ่มตกใจสุดๆ อบเชยกับพวกทาสรีบกรูกันเข้ามาช่วยทันที ไชยากรไข้ขึ้นสูง อ่อนแรง เจ็บปวดที่บริเวณหัวใจสุดๆ จนใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
มาโนชเดินลิ่วมาด้วยความโมโห โดยมีเฉียวหู และเค้งตามหลังมา
"พวกมันสู้เราไม่ได้อยู่แล้ว คุณมาโนชจะปล่อยไปเช่นนี้รึ"
มาโนชโมโหมาก
"ใครว่าข้าจะปล่อย สมบัติพัสถานพวกนั้น มันเป็นของข้ากึ่งหนึ่งอยู่แล้ว แต่เพราะนังลูกสาวร้านขายธูปมันดันมีลูกขึ้นมาดอกวะ ข้าถึงถูกกันออก แต่ไม่มีวันเสียหรอก ของๆข้า ข้าไม่มีวันยอมเสียให้ใครเด็ดขาด"
มาโนชเดินลิ่วไปด้วยความโกรธ เค้งมองตาม แล้วหันมาพูดกับเฉียวหู
"ไอ้มาโนชมันใช้พวกเราเป็นมือเป็นตีนชิงสมบัติให้มัน แต่มันให้เราแค่ที่ซุกหัวนอนกับเศษอาหารเท่านั้น ดูถูกซิวลี่กือเกินไปแล้วนะตั่วกอ"
เฉียวหูยิ้มเจ้าเล่ห์
"ช่างมัน อั๊วเห็นทางที่จะได้อีกมากจากงานคราวนี้ ไม่เสียเปล่าที่รับใช้มันแน่"
"ทางใดกันตั่วกอ"
"ก็ทรัพย์สมบัติของพระยาไชยากรยังไง ลื้อลองคิดดู ว่าไอ้มาโนชมันอยากได้สมบัติจนคนรู้ไปทั่ว หากเราสวมรอยปล้นแลฆ่าทิ้งเสียทั้งเรือน ใครจะสงสัยมาถึงพวกเรา มีแต่ไอ้มาโนชรับไปคนเดียวเท่านั้น"
เฉียวหูยิ้มเหี้ยม เริ่มวางแผนปล้นไว้ในหัวทันที
น้ำทิพย์เป็นห่วงพ่อ รีบเข้ามาหาไชยากรที่นอนอาการหนักอยู่บนเตียง เธอรีบเข้าไปจับมือพ่อไว้
"คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้างคะ ลูกไม่คิดเลย ว่าพี่มาโนชจะฉวยโอกาสตอนที่ลูกเข้าวัง กระทำการ
หักหาญถึงขนาดนี้"
ไชยากรเหนื่อยหอบ ไข้ขึ้นสูง
"น้ำทิพย์ ถ้าพ่อเป็นอะไรไป ลูกจงปิดเรื่องไว้ อย่าเพิ่งจัดงานศพให้พ่อ แต่ให้รีบพาน้องกับแม่นิ่ม แลทรัพย์สมบัติทั้งหมดเข้าวัง อย่าให้พ่อมาโนชเอาไปได้เด็ดขาด"
น้ำทิพย์ตกใจมาก
"คุณพ่อ ทำไมพูดเป็นลางอย่างนี้ล่ะคะ คุณพ่อจะต้องหาย คุณพ่อต้องอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกนะคะ"
"พ่อป่วยคราวนี้หนักนัก ไม่เคยเจ็บป่วยหนักถึงเพียงนี้เลย พ่อกลัว ว่าหากไม่สั่งเสียไว้ พ่อมาโนชจะทำร้ายลูก ในวันที่ไม่มีพ่อแล้ว"
น้ำทิพย์ร้องไห้ ใจคอไม่ดี
"คุณพ่อ"
ไชยากรน้ำตาคลอ สงสารลูกสุดๆ
"พ่อผิดเอง ถ้าพ่อยังอยู่ในตำแหน่ง มีรึพ่อมาโนชจะกล้าเหิมเกริมถึงเพียงนี้ แต่เพราะพ่อไม่เชื่อลูก
ขัดพระบรมราชโองการจนถูกปลด ทำให้พ่อมาโนชดูถูกดูแคลน มิเพียงผัดผ่อนไม่ยอมแต่งงานกับลูก แต่ยังใช้กำลังรังแกเอาอีก ทั้งหมดเป็นเพราะพ่อเอง ที่ทำให้ลูกต้องลำบาก"
น้ำทิพย์ร้องไห้กอดพ่อแน่น
"ไม่จริงค่ะคุณพ่อ ไม่ใช่ความผิดของคุณพ่อเลย คุณพ่อเป็นพ่อที่ประเสริฐที่สุดแล้ว อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะคะ"
ไชยากรน้ำตาซึมออกมาเอื้อมมือไปลูบหัวลูกด้วยมือที่สั่นเทา สงสารและเป็นห่วงลูกสุดๆ ถ้าเป็นอะไรไปตอนนี้ คงตายตาไม่หลับแน่
นิ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยมีอบเชยยืนหน้าเครียดใช้ความคิดอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ
" อย่าหาว่าฉันปากเสียเลยนะพี่นิ่ม วันนี้คุณมาโนชก็แค่ลองกำลังเท่านั้น แต่ถ้าสิ้นบุญท่านเจ้าคุณเมื่อใด คงไม่มีใครขวางได้แน่"
นิ่มสะอึกสะอื้น
"ถ้าเช่นนั้นเราแจ้งนครบาลดีหรือไม่ ถึงคุณมาโนชจะเป็นตำรวจ แต่ตำรวจที่รักความเป็นธรรมก็มีอยู่มาก คงไม่เป็นพวกคุณมาโนชไปหมดทุกคนดอก"
"ข้อนั้นฉันรู้ แต่คุณมาโนชเป็นคนตลบตะแลง ถ้าเราแจ้งไป ก็อาจหาเรื่องใส่ไคล้กลบเกลื่อนได้อีก ดีไม่ดี เห็นจวนตัว อาจลอบทำร้ายพี่หรือท่านเจ้าคุณขึ้นมาอีกก็ได้ คุณน้ำทิพย์เอง ก็คงช่วยอะไรได้ไม่มาก"
"แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะอบเชย ตอนนี้ พี่ห่วงทั้งลูกทั้งอาการป่วยท่านเจ้าคุณ จนแทบจะไม่เป็นอันกินอันนอนอยู่แล้ว ถ้าต้องคอยระวังคุณมาโนชอีก พี่คงต้องพลาดท่าเข้าซักวันแน่"
อบเชยคิดหนัก ก่อนจะนึกได้
"เวลานี้ก็บ่ายคล้อย ใกล้จะหมดเวลาราชการแล้วนี่พี่นิ่ม"
อบเชยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา นิ่มงง ไม่เข้าใจว่าอบเชยพูดเรื่องอะไร
เวลาเย็น ในร้านธูป น้อมสะบัดหน้าแง่งอน โดยมีแก้วตามง้อแบบกระอักกระอ่วนใจไปด้วย
"อย่ามาทำพูดดีไปเลยพ่อแก้ว ฉันรึ ตั้งตาคอยว่าเมื่อไหร่พ่อแก้วจะกลับมา ที่ไหนได้ กลับมาตั้งนานจนเป็น ข้าราชการไปแล้ว ก็ยังไม่มาหาฉัน นี่คงเกรงว่าร้านธูปของฉันจะทำให้เสื่อมราศีข้าราชการ
กระมัง" น้อมทิ้งค้อนอีกขวับ
แก้วหน้าเหยเก ปั้นยิ้ม
"พุทโธ่ คุณนายขอรับ ถ้ากระผมคิดเช่นนั้นก็อกตัญญูเต็มทีแล้ว ครั้งที่ไอ้แก้ว ต้องซมซานหนีตาย ก็ได้โรงงานธูปของคุณนายคุ้มกะลาหัว แล้วกระผมจะรังเกียจเดียดฉันท์ได้อย่างไรเล่าขอรับ"
น้อมจับมือแก้วไว้ พูดออดอ้อน
"แล้วทำไมถึงเพิ่งมาเล่า รู้หรือไม่ ว่าทำให้คนเขาคิดถึงจนไม่เป็นอันกินไม่เป็นอันนอนแล้ว"
แก้วหน้าซีดเผือด ค่อยๆดึงมือออก
"ตอนแรกที่กระผมกลับมาถึงพระนคร กระผมต้องอ่านตำรับตำราทบทวนเพื่อไปสอบเข้ารับราชการ พอได้เป็นข้าราชการ ก็มีงานต้องทำมากนัก เพิ่งจะว่างจนได้มากราบคุณนายนี่ล่ะ ขอรับ"
น้อมหยิกแก้มแก้วนิดนึง แล้วอมยิ้มชอบใจ
"ช่างเจรจานัก ฉันถึงโกรธพ่อแก้วไม่ลงซักที"
แก้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามตั้งสติ
แก้วเลียบๆเคียงๆ
"ที่กระผมมาคราวนี้ นอกจากจะมากราบคุณนายแล้วยังมีเรื่องคุณนายนิ่มมาแจ้งด้วยขอรับ"
น้อมหน้าหงิกทันที
"ฉันไม่อยากฟัง ลูกไม่รักดี พอถูกผัวเหยียดหยามก็กลับมาหาแม่ แต่พอผัวป่วยเข้าหน่อยก็รีบกลับไปเฝ้าปรนนิบัติ คิดแล้วมันช้ำใจนัก"
น้อมหน้างอนปนน้อยใจ
"กระผมทราบว่าคุณนายถือโทษโกรธเคืองคุณนายนิ่มอยู่ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กนัก เพราะตอนนี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้วขอรับ"
น้อมสนใจทันที
"เรื่องอะไรรึ"
"ท่านเจ้าคุณป่วยหนักมาก คุณมาโนชเลยฉวยโอกาสข่มเหงคนในเรือน ไม่เว้นแม้แต่หลานชายของคุณนาย ยังถูกคนของคุณมาโนชตีจนร้องไห้"
น้อมตกใจและสนใจฟังมาก เป็นห่วงหลาน แก้วแกล้งใส่ไข่ ปั้นหน้าสงสารสุดๆ
"ฟังว่าตอนถูกตี ร้องหายายให้ช่วยตลอดเวลา น่าเวทนาเหลือเกินขอรับ"
ฟังแค่นั้น น้อมก็ของขึ้นทันที โมโหสุดๆ
"นี่มันกล้าตีหลานฉันเชียวรึ ต่อให้ใหญ่โตกว่านี้สักร้อยเท่า ก็เห็นทีจะอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันไม่ได้แล้ว"
น้อมกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ยิ่งรักหลานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งโกรธสุดๆ มากเท่านั้น แก้ว แอบยิ้มเจ้าเล่ห์ แผนดึงน้อมมาช่วยสำเร็จอย่างงดงาม
เวลาเย็น เฉียวหู และเค้ง กำลังสู้กับนักเลงที่น้อมจ้างมาอย่างดุเดือด พวกนักเลงฝีมือเหนือกว่าพวกทาส แถมยังมีจำนวนมากกว่า เค้ง และเฉียวหูเลยเสียเปรียบ
เค้งยังพอยันเอาไว้ได้ ใช้วิชากังฟูเข้าต่อสู้ อย่างคู่คี่สูสี แม้พวกนักเลงจะมีมาก แต่ก็ทำอะไรเค้งไม่ได้ง่ายๆ
แต่เฉียวหูฝีมือด้อยกว่า พอเจอรุมเข้าไปก็ชักแย่ โดนพวกนักเลงเตะต่อยเข้าไปหลายที ต้องเอาตัวรอดอย่างทุลักทุเล
เค้งเห็นเฉียวหูแย่ เป็นห่วง
"ตั่วกอ"
เค้งกระโดดพลิกตัวเตะ ตะลุยรุกไล่ยกใหญ่ จนพวกนักเลงถอยไม่เป็นกระบวน หัวหน้านักเลงที่ดูอยู่ ชักไม่สบายใจ
นักเลง 1 ตะโกนสั่งลูกน้อง
"ใช้โล่กำราบมัน"
พวกนักเลงหยิบเอาโล่ออกมา แล้วโยนให้พวกตนรับไว้ ก่อนจะดาหน้าเข้าสู้ เค้งกระโดดเตะต่อย ก็โดนพวกนักเลงใช้โล่รับเอาไว้ได้หมด นักเลงบางคนใช้โล่กำบังตัว แล้วพุ่งเข้ากระแทกเค้งจนกระเด็นไป
เค้งตั้งหลักใหม่ ก็เห็นพวกนักเลงตั้งกลุ่มกันพร้อมกับใช้โล่กำบังตัวไว้ จนเหมือนกำแพง พร้อมกับเคลื่อนที่เข้าหาตน
เค้งกระโดดถีบ ก็โดนโล่รับเอาไว้ ไม่สะเทือนแม้แต่น้อย ก่อนที่แนวโล่จะแยกออก นักเลงที่ซ่อนตัวอยู่หลังแนวโล่ ใช้ท่อนไม้กระแทกเข้าใส่เค้งอย่างจัง จนจุกลุกไม่ขึ้น
นักเลงหลบเข้าไปอยู่หลังแนวโล่จนไม่เห็นตัวอีก เค้งขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่นอนจุกอยู่กับพื้น
ขณะเดียวกัน เฉียวหูก็โดนเตะต่อยจนลุกไม่ขึ้น นอนหมดฤทธิ์ไปอีกคน
น้อม นิ่ม และอบเชย เดินออกจากข้างใน
น้อมหัวเราะเยาะ สีหน้าเย้ยหยัน
"เป็นอย่างไรบ้างเล่า ฝีมือนักเลงวัดนามบัญญัติ คงจะรู้ฤทธิ์คุณนายน้อมแล้วกระมัง"
เฉียวหู และเค้ง มองน้อมด้วยความเจ็บใจ
นักเลง 1บอก
"ไอ้สองคนนี้ร้ายกาจนัก ถ้าไม่ได้ตระเตรียมมาอย่างดี คงเอาชนะพวกมันไม่ได้แน่"
"เอาเถอะ ฉันจะให้ค่าจ้างเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่า จัดคนมาคอยระวังป้องกันลูกหลานฉันไว้ให้ดีก็แล้วกัน"
นักเลง 1ยิ้มดีใจ
"ได้ขอรับคุณนาย"
น้อมเดินเชิ่ดกลับเข้าข้างในไป
"นับแต่นี้ ถ้าใครจะขึ้นมาบนเรือนใหญ่ ต้องมาบอกฉันก่อน อย่าให้ขึ้นมาได้โดยง่ายอีก" นิ่มสั่งการ
นักเลง 1บอก
"ขอรับ"
อบเชยหันไปยิ้มเยาะบ้าง
"เสียดายนัก ที่คุณมาโนชยังไม่กลับจากราชการ มิเช่นนั้น คงได้เห็นว่าลูกน้องที่ตัวเองหามาเป็นเช่นไร ยังไง ก็ฝากไปบอกคุณมาโนชด้วย ว่าพวกฉันมิใช่จะรังแกกันได้ตามใจชอบ"
นิ่ม และอบเชยเดินกลับเข้าข้างในไป เฉียวหู และเค้งมองตามด้วยสายตาอาฆาต แต่เจอพวกนักเลงที่มีฝีมือและเตรียมพร้อมมาดีกว่า เลยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
ไชยากรนอนหายใจรวยริน สายตามองตามน้อมที่เดินสำรวจตนไปรอบๆ นิ่มมองตามแม่ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
"แม่จ๊ะ แม่จะเดินมองท่านเจ้าคุณทำไมกันจ๊ะ ฉันเห็นแม่มองอยู่นานแล้วนะ"
น้อมยิ้มเยาะสะใจ
"แม่ก็ต้องมองให้เป็นบุญตาหน่อยสิแม่นิ่ม พระยาไชยากรผู้หยิ่งยโส ถือเนื้อถือตัวเป็นที่สุด แต่ตอนนี้ กระทั่งลุกขึ้นนั่งยังทำไม่ได้ ภาพเช่นนี้ หาดูยากนัก"
ไชยากรโกรธจนหอบ เถียงไม่ไหว นิ่มสงสารสามีสุดๆ
"แม่ ฉันขอเถอะจ้ะ ท่านเจ้าคุณเจ็บหนักถึงเพียงนี้แล้ว อย่าซ้ำเติมกันอีกเลย"
"แม่จะซ้ำ แม่นิ่มจะทำไมรึ"
นิ่มจ๋อยไป
"เรื่องวันนี้ ถ้าแม่ไม่ช่วย มีรึที่แม่นิ่มจะแก้ไขได้ แลแม่นิ่มยังมีความผิดติดตัวที่ไม่เชื่อฟังแม่ ฉะนั้นอย่าขอร้องเสียให้ยากเลย ... ไปเล่นกับหลานดีกว่า"
น้อมทิ้งค้อนแล้วเดินออกจากห้องไป
นิ่มส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ ก่อนจะเข้ามากุมมือพระยาไชยากรไว้
"อย่าถือแม่เลยนะคะท่านเจ้าคุณ ถึงแม่จะปากร้าย แต่อย่างไรก็ไม่คิดร้ายกับเราดอกค่ะ"
ไชยากรหอบหนัก
"ไร้ยศศักดิ์ แล้วยังเจ็บป่วยให้คนดูถูกดูแคลนเอาอีก ฉันไม่ควรอยู่เลย ไม่ควรอยู่เลยจริงๆ"
นิ่มสงสารสามีสุดๆ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่กุมมือสามีไว้เพื่อให้กำลังใจ
แก้วกับน้ำทิพย์เดินคุยกันมาระหว่างที่แก้วกลับบ้าน แก้วยิ้มขำๆ
"ป่านนี้ คุณนายน้อมคงกำราบคนของคุณมาโนชได้แล้ว หวังว่าคราวนี้ คุณมาโนชคงหยุดก่อเรื่องไปได้บ้างนะขอรับ"
"เจ้าเล่ห์เพทุบายพอกัน ทั้งแม่อบเชยทั้งแก้ว อยู่ดีๆก็ไปดึงแม่น้อมเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉันไม่น่าไปบอกแก้ว
ตามที่แม่อบเชยขอเลย"
"ถึงคุณนายน้อมรู้ทีหลัง ก็ต้องเข้ามาเกี่ยวอยู่ดีขอรับ รู้ตอนนี้ จะได้ช่วยปกป้องทุกคนอย่างไรล่ะขอรับ แล้วกระผมก็จะได้มีเวลาเกลี้ยกล่อมไอ้เข้มด้วย ถ้าไอ้เข้มยอมเป็นพยาน ก็คงไม่มีใครต้องเดือดร้อนอีก"
น้ำทิพย์ถอนใจ
"เรื่องพี่มาโนชคงพอเบาใจไปได้บ้าง คราวนี้ ก็เหลือแต่เรื่องคุณพ่อ"
"อาการท่านเจ้าคุณ ไม่ดีขึ้นเลยหรือขอรับ"
น้ำทิพย์พูดไปน้ำตาก็รื้นขึ้นมา
"อาการทางกาย คงพอรักษาได้ แต่อาการทางใจ..."
แก้วมีสีหน้าเคร่งเครียด เห็นน้ำทิพย์เป็นแบบนี้แล้วก็ไม่สบายใจเลย
อ่านต่อหน้า 3
ลูกทาส ตอนที่ 12 (ต่อ)
ภายในห้องครัวบ้านเช่า บุญเจิมกำลังต้มแกงทำอาหารเย็นอยู่ ทันใดนั้น เข้มก็เข้ามารวบตัวจากทางด้านหลัง แล้วกอดจูบปล้ำบุญเจิมทันที เธอตกใจ ดิ้นสุดฤทธิ์
" ไอ้เข้ม ปล่อยข้านะ บอกให้ปล่อย"
"เอ็งเป็นเมียข้าแล้ว ข้าไม่ยอมปล่อยให้เอ็งเป็นของคนอื่นดอก "
บุญเจิมดิ้นเต็มที่ แต่เข้มแข็งแรงกว่า บุญเจิมสู้แรงไม่ไหว แต่ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นหม้อแกงที่กำลังต้มอยู่ บุญเจิมเอื้อมไปหยิบหม้อแกงสาดใส่เข้มทันที เข้มโดนแกงร้อนๆ ก็ปวดแสบปวดร้อน เธอรีบฉวยโอกาส ไปหยิบอีโต้มาถือไว้ทันที
"ถ้าเอ็งกล้า ก็เข้ามา หากข้าไม่ฆ่าเอ็ง อย่ามาเรียกข้าว่าอีเจิม"
เข้มทั้งเจ็บปวดทั้งแค้น
"นังสารเลว ข้ารู้ว่าเอ็งอยากเป็นเมียไอ้แก้ว ยิ่งตอนนี้มันเป็นข้าราชการ เอ็งยิ่งอยากเป็นเมียมันจนตัวสั่น"
บุญเจิมจ้องเข้มเขม็ง สีหน้าเกลียดชัง เข้มถ่มน้ำลายยิ้มเยาะ
"ถุย ถึงไอ้แก้วได้เอ็งไป มันก็ได้แต่ของเหลือเดนของข้าเท่านั้นล่ะโว้ย"
" ไอ้เข้ม ไอ้ชิงหมาเกิด มึงขืนใจกู แล้วยังใส่ร้ายกูอีกรึ กูไม่ได้คิดกับพี่แก้วเช่นนั้นแล้ว ถ้ามึงยังปากพล่อย วันนี้ไม่มึงก็กูต้องตายกันไปข้าง"
"เอ็งน่ะรึ ไม่คิดอยากเป็นเมียไอ้แก้ว เพียงจะช่วยไอ้แก้วให้หนีรอด เอ็งถึงกับยอมทอดกายให้ข้าเชยชม แล้วตอนนี้ไอ้แก้วพ้นจากทาส แลยังได้เข้ารับราชการ เอ็งจะไม่อยากเป็นเมียมันได้อย่างไร หลับนอนกับมันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วมากกว่า"
บุญเจิมโมโหสุดขีด กรี๊ดลั่น แล้วเอามีดอีโต้ฟันใส่เข้มทันที
เข้มกลัวมาก รีบก้มหลบไปได้หวุดหวิด บุญเจิมก็ตามไล่ฟันอีก จนเข้มเลยต้องรีบหนีออกจากครัว
แต่ทันทีที่เปิดประตูห้องครัว ก็ต้องผงะด้วยความตกใจ เมื่อเห็นแก้วยืนจ้องหน้าถมึงทึงอยู่ โดยมีน้ำทิพย์ยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
บุญเจิมตกใจไม่แพ้กันที่เห็นแก้ว มีดในมือหลุดลงบนพื้น คนที่เธอไม่อยากให้รู้ความลับเรื่องนี้
มากที่สุด ก็ต้องมารู้จนได้
ผ่านเวลาเล็กน้อย บุญเจิมร้องไห้สะอึกสะอื้น ต่อหน้าแก้ว และน้ำทิพย์ที่นั่งหน้าเครียดอยู่
"ทำไมเอ็งถึงไม่บอกข้า ว่าเอ็งช่วยข้าออกมาได้เพราะแผนการนี้" แก้วถอนใจหนักๆ
บุญเจิมร้องไห้
"บอกแล้วจะมีอะไรดีขึ้นรึ ให้พี่เวทนาที่ฉันมัน โง่เง่าต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อช่วยพี่ หรือ ให้พี่ซาบซึ้งในบุญคุณของฉัน ฉันไม่ต้องการดอก คนอย่างอีเจิม เมื่อชั่วแล้ว ก็ขอชั่วแต่คนเดียว ไม่ขอดึงใครเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย"
แก้วน้ำตาคลอ
"ถ้าเอ็งได้ชั่ว ข้าก็ชั่วกว่า เพราะข้าเป็นต้นเหตุให้เอ็งต้องแปดเปื้อน แลหากข้ารู้ก่อน ข้าก็ขอตายในเรือนขังทาส ดีกว่าเอาศักดิ์ศรีของเอ็งแลกอิสรภาพเช่นนี้"
น้ำทิพย์น้ำตาคลอ เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"เมื่อเข้มอาการดีขึ้นแล้ว ก็ไล่ไปเสียเถิด อย่าให้อยู่อีกเลย"
"แต่พี่แก้วจะให้ไอ้เข้มเป็นพยานเอาผิดคุณมาโนชไม่ใช่หรือเจ้าคะ หากไล่ไป ก็เท่ากับช่วยคุณมาโนชกำเริบเสิบสานขึ้นไปอีก แลคุณน้ำทิพย์กับทุกคนที่เรือน ก็จะไม่ปลอดภัยนะเจ้าคะ"
"แต่ถ้าเข้มอยู่ที่นี่ คนที่ไม่ปลอดภัยก็คือบุญเจิม บุญเจิมต้องทนทุกข์มามากแล้ว จะให้ฉันเห็นแก่ตัวไปมากกว่านี้ได้อย่างไร"
"คุณน้ำทิพย์พูดถูกแล้ว ชีวิตคนอื่นสำคัญ แต่ชีวิตน้องสาวข้าก็สำคัญเช่นกัน ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเอ็งได้อีกแล้วนังเจิม"
บุญเจิมปล่อยโฮ ร้องไห้สะอึกสะอื้น แม้จะเสียใจ แต่ก็อดซาบซึ้งใจไม่ได้ อย่างน้อยการเสียสละของตนก็ไม่เปล่าประโยชน์ แก้วขยับตัวไปใกล้ๆ ลูบหลังบุญเจิมเบาๆ ไม่กล้าใกล้ชิดอะไรมากกว่านี้
น้ำทิพย์มองบุญเจิมด้วยสีหน้านิ่งเรียบอย่างใช้ความคิด ดูเหมือนกังวลและไม่สบายใจอยู่มาก
น้ำทิพย์กำลังคุยกับนมอ้อนด้วยสีหน้าเศร้าหมองในห้องนอนตอนกลางคืน
"มิน่าเล่า วันนั้นพ่อแก้วถึงหนีออกไปจากเรือนขังทาสได้" อ้อนหน้าเครียด ถอนใจส่ายหน้า
" บุญเจิมเสียสละเพื่อแก้วมากมายเหลือเกิน ทั้งพลั้งมือฆ่าพี่ชายตัวเอง ทั้งต้องเสียความสาว เทียบกับฉันที่แค่โดนคุณพ่อตบตีแล้ว ช่างเทียบกันไม่ติดเลย"
"คุณน้ำทิพย์พูดอย่างนี้ คงไม่ใช่จะใจอ่อนดอกนะเจ้าคะ ถึงนังเจิมมันจะดีอย่างไร เราก็ตอบแทนมันทางอื่นได้ แต่ถ้าขืนให้มันอยู่กับพ่อแก้วต่อไป เกิดพ่อแก้วสงสารมันขึ้นมา จะไม่ยุ่งวุ่นวายกันไปใหญ่หรือเจ้าคะ"
น้ำทิพย์หน้าเสีย แม้จะกังวลเรื่องนี้ แต่ก็ต้องตัดใจ
"ถ้าจะเป็นอย่างที่นมคิด ฉันก็ถือว่าเป็นกรรมแต่หนหลัง แต่ถ้าจะให้ฉันกีดกันบุญเจิมออกไป ฉันจะไม่ทำเป็นอันขาด นมเลิกพูดเรื่องนี้เถอะจ้ะ"
"แต่คุณน้ำทิพย์เจ้าคะ"
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
"มีอะไรรึ"
ทาส 1บอกอย่างร้อนใจ
"ท่านเจ้าคุณอาการทรุดลงอีกแล้วเจ้าค่ะ คุณน้ำทิพย์รีบไปดูเถอะเจ้าค่ะ"
น้ำทิพย์หน้าเสีย รีบเปิดประตูแล้วตามทาสหญิงที่มารายงานไปทันทีด้วยความห่วงพ่อ
พวกทาสหญิงกำลังวิ่งวุ่น ต้มยาหม้อ หาน้ำ ฯลฯ ส่งเสียงเอะอะโวยวายกันเต็มไปหมด เพราะอาการไชยากรหนักมากแล้ว จนโกลาหลกันไปทั้งเรือน มาโนชยืนดูอยู่
" ถึงกันคนของกูได้ แต่ก็หนีความตายไปไม่พ้นดอกโว้ย ตายเมื่อใด ก็เป็นทีของกูบ้างล่ะ"
มาโนชแสยะยิ้มสะใจ
บุญเจิมเดินตามพูดกับแก้วออกมาจากบ้านเช่า แก้วมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา ในตอน
เช้าวันใหม่
" อย่าไปคิดเลยพี่แก้ว เราออกมาจากเรือนท่านเจ้าคุณแล้ว ท่านเจ้าคุณจะเป็นจะตาย ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราอีก"
แก้วไม่สบายใจ
"เอ็งพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ถึงอย่างไรท่านเจ้าคุณก็เคยให้ที่อยู่ที่กินกับพวกเรา ตอนนี้ท่านเจ็บหนัก เราก็ควรจะไปเยี่ยมบ้างไม่ใช่รึ"
"ให้ที่อยู่ที่กิน ลองเราไม่ทำงานรับใช้ ก็ได้กินหวายกับโซ่ตรวนแทนเท่านั้น จะมีข้าวให้เรากินรึ ฉันว่า เพราะท่านเจ้าคุณเป็นพ่อคุณน้ำทิพย์มากกว่า พี่ถึงได้ไม่สบายใจ"
แก้วหน้าเจื่อน เถียงไม่ออก
"พี่จะไป ฉันก็ไม่ว่าดอก แต่ฉันขอให้พี่นึกถึงตอนท่านเจ้าคุณจะฆ่าพี่ แลขังแม่พี่ไว้จนตายบ้าง ถ้าป้ากิ่งไม่ถูกขัง ก็คงได้พาไปหาหมอไม่ต้องตายดอก"
แก้วหน้าขรึมลง คิดถึงสิ่งที่บุญเจิมพูด รู้สึกเครียดและลังเลที่จะไป
ไชยานอนป่วยหนัก ไข้ขึ้นสูง อ่อนแรงจนได้แต่หายใจรวยริน ขณะนั้นเอง ประตูห้องนอนก็เปิดออก
"แม่นิ่มรึ ฉันไม่อยากกินยา ไม่ว่ายาหม้อหรือยาฝรั่ง ฉันก็ไม่กิน"
"เจ็บป่วยแล้วไม่กินยารักษา จะหายได้อย่างไรกันขอรับ"
ไชยากรตกใจ รีบหันไปมองก็เห็นแก้วยืนอยู่ แล้วพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่ป่วยหนัก
"ไอ้แก้ว มึงจะมาหยามกูรึ ไป ไสหัวออกไปจากเรือนกู"
แก้วยิ้มขำๆ
"ไล่กระผมไป กระผมก็จะไป แต่กระผมก็จะกลับมาอีก"
แก้วยื่นหน้าไปใกล้ๆไชยากร แล้วบอก
"กลับมาแต่งงานกับคุณน้ำทิพย์อย่างไรล่ะขอรับ"
ไชยากรโมโหสุดๆ บีบคอแก้วทันที
"มึง"
ไชยากรออกแรงบีบคอแก้วเต็มที่ แต่ได้ไม่นาน ก็หมดแรงต้องคลายมือออก แล้วนั่งหอบ
แก้วส่ายหน้าบอก
"ท่านเจ้าคุณป่วยหนักจริงๆ ขนาดจะบีบคอไอ้แก้วยังไม่มีแรงเลย"
" มึงอย่าหวังเลย ว่าเลือดของกูจะเปลี่ยนสี เพราะมีเลือดทาสชั่วอย่างมึงมาแปดเปื้อน ต่อให้กูตาย กูก็ไม่มีวันยอมให้มึงได้แต่งงานกับลูกกู"
แก้วกวนหน้าตาย
"คนตายแล้ว ขัดขวางใครไม่ได้ดอกขอรับ ถ้าท่านเจ้าคุณไม่อยากให้วงศ์ตระกูลของท่านเจ้าคุณต้องเสื่อมเกียรติ ก็มีทางเดียว คือท่านเจ้าคุณต้องไม่ตาย"
ไชยากรแค้นสุดๆ
"มึงเยาะกูรึ"
แก้วยิ้มกวนๆ
"กระผมพูดความจริง หากท่านเจ้าคุณยังไม่หายป่วย ก็ไม่มีทางขวางกระผมได้ ถ้าท่านเจ้าคุณอยากเอาชนะกระผม ก็ต้องแข็งใจสู้โรคภัยมากกว่านี้ ยิ่งมัวแต่ท้อแท้ ตรอมใจเพราะเสียยศศักดิ์ ก็ยิ่งหมดหวังชนะกระผมได้เป็นแน่ จริงหรือไม่ล่ะขอรับ"
แก้วยิ้มยืดๆ แบบผู้ชนะเดินเลี่ยงออกไปที่ประตูห้อง
ไชยากรคับแค้น ระเบิดเสียงออกมา
"ไอ้แก้ว"
แก้วหันมายิ้มเยาะหยันให้อีกก่อนออกไปจากห้อง ไชยากรหมดเรี่ยวแรงแต่ก็มองตามด้วยความเจ็บใจ เกลียดชังสุดๆ แต่แววตาเหมือนมีพลังฮึดขับเคลื่อนอย่างแรงกล้าขึ้นมา
แก้วเดินคุยกับน้ำทิพย์ออกมาจากข้างในเรือน
"พูดแรงถึงขั้นนี้ คุณพ่อคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่" น้ำทิพย์ว่า
"จำเป็นขอรับ ใช่ว่ากระผมจะฉวยโอกาสซ้ำเติมท่านเจ้าคุณ แต่เพราะท่านเจ้าคุณไม่มีกำลังใจต่อสู้ ทำให้โรคภัยเบียดเบียนไม่ยอมหาย พูดให้โกรธเสีย อาจจะเป็นแรงให้ ท่านเจ้าคุณลุกขึ้นสู้ก็ได้ขอรับ"
"ก็อาจจริงอย่างที่แก้วว่า แต่ฉันก็สงสารคุณพ่อเหลือเกิน"
ขณะนั้นเอง นมอ้อนก็พาเด็กผู้ชายวัย 4 ขวบเข้ามาหา
"พามาแล้วเจ้าค่ะคุณน้ำทิพย์" อ้อนบอก
น้ำทิพย์ยิ้มรับ
"แก้วดูสิจ๊ะ ว่าจำได้หรือไม่"
แก้วมองเด็กด้วยความแปลกใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้
"เจ้ากริชใช่หรือไม่"
แก้วดีใจเข้าไปกอดลูกอ่อนกับใบ หอมแก้มด้วยความรักและคิดถึง แก้วดีใจสุดๆ
"พ่อเอง พ่อแก้วของเอ็งอย่างไรล่ะ พ่อจากเอ็งไปนานหลายปี เอ็งโตขึ้นจนเกือบจำไม่ได้"
น้ำทิพย์ยิ้มบางๆ
"หลังจากที่แก้วไม่อยู่ ป้ากิ่งก็ดูแลกริชอยู่พักหนึ่ง แต่พอป้ากิ่งเสีย ฉันก็ให้พวกบ่าวไพร่ผลัดกันดูแล
ตอนนี้แก้วมีหลักแหล่ง แลมีฐานะดีขึ้นแล้ว จะรับกลับไปอยู่ด้วยหรือไม่ล่ะ"
แก้วดีใจสุดๆ หันไปพูดกับลูกอ่อน
"รับสิขอรับ ไปอยู่กับพ่อนะกริช"
ลูกของอ่อนยิ้มดีใจสวมกอดแก้ว อ้อนไม่สบายใจ พูดเบาๆกับน้ำทิพย์
"เรียกเจ้าแก้วว่าพ่อ แล้วจะเรียกนังเจิมอย่างไรล่ะนี่"
น้ำทิพย์ยิ้มเจื่อนไปทันที
เด็กกริชโผเข้ากอดบุญเจิมแน่น
"แม่เจิมจ๋า"
บุญเจิมกอดลูกของอ่อนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ดีใจ โดยมีแก้วหัวเราะชอบใจอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่น้ำทิพย์นั่งหน้าเครียดๆอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
"เจ้ากริชมันคงจำฉันได้แน่เลยพี่แก้ว ถึงได้เรียกฉันว่าแม่ โถ ตอนป้อนกล้วยป้อนน้ำให้ก็ยังเล็กนัก
ยังอุตส่าห์จำได้อีก"
แก้วยิ้มแย้ม
"ใช่เสียที่ไหนเล่า เจ้ากริชมันฟังข้าพูดถึงเอ็งต่างหาก เด็กมันไม่มีทั้งพ่อแลแม่ พอเจอเอ็ง ก็เลยทึกทักเป็นแม่เสียเลย เจ้ากริช ต่อไปต้องเรียกว่าอา อย่าเรียกว่าแม่เจิมนะ" แก้วพูดพลางลูบหัวอ่อน
"มาห้ามได้อย่างไรพี่แก้ว เรียกแม่น่ะดีแล้ว"
เจิมหันไปพูดกับลูกอ่อน แล้วกอดเด็กชายเอาไว้แน่น
"ต่อไปนี้ เอ็งมาเป็นลูกข้านะ"
แก้ว และบุญเจิมยิ้มแย้มแจ่มใส ลูบหน้าลูบหลังด้วยความเอ็นดูกริชลูกชายของอ่อนกับใบ น้ำทิพย์เห็นทั้งสามคน เหมือนพ่อแม่ลูกกันจริงๆ ก็อดสะเทือนใจไม่ได้ ก่อนจะค่อยๆเดินเลี่ยงกลับไปอย่างซึมๆ
ตอนเย็น ตำรวจกำลังควบคุมตัวกลุ่มคนร้ายที่จับได้เข้าข้างในไป มาโนชจดรายละเอียดคนร้ายแต่ละคน โดยมีเค้ง และเฉียวหูอยู่ใกล้ๆ
“แล้วไอ้แก้วไปเหยียบถึงเรือนเช่นนี้ คุณอาข้าไม่อกแตกตายรึ”
“นอกจากจะไม่ตายแล้ว อั๊วยังได้ยินพวกในครัวมันบอก ว่าท่านเจ้าคุณสั่งให้เพิ่มข้าวปลาอาหาร เพื่อจะได้มีแรงหายไข้เร็วๆเสียด้วยซ้ำ” เฉียวหูบอก
มาโนชหงุดหงิด ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ
“พิกลนัก มันจะมาไม้ไหนกันแน่ คุณอาก็ตายยากตายเย็นเสียเหลือเกิน เมื่อคืนนึกว่าจะไม่รอดเสียแล้ว ก็ดันรอดมาได้อีก”
เค้งแค้นมาก
“รอให้ตายเองคงอีกนาน ให้อั๊วรวบรวมพี่น้องไปคิดบัญชีกับไอ้พวกนักเลงวัดนามบัญญัติดีกว่า ใครชนะก็ได้สมบัติไป”
“หุบปากไปเลย ถ้าแค่มีเรื่องวิวาทยังพอว่า แต่หากถึงตาย ก็ไม่มีใครได้สมบัติไปทั้งนั้นล่ะโว้ย”
“แล้วจะให้พวกอั๊วทำยังไง”
“เมื่อใช้กำลังไม่ได้ ก็ต้องอดทน เวลานี้ข้าก็ไม่ได้คิดแต่งงานกับน้องน้ำทิพย์แล้ว”
มาโนชเหลือบไปมองพระดำรงเจ้านายของตน เดินคุยมากับลูกสาว พลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“สู้หาที่หมายใหม่ ที่จะเกื้อหนุนยศถาบรรดาศักดิ์ของข้าดีกว่า สมใจเมื่อใด ค่อยเอาน้องน้ำทิพย์มาเป็นเมียน้อยให้หายแค้น”
มาโนชสีหน้าเจ็บใจอยากกลั่นแกล้ง
ผ่านเวลาหลายเดือน (กลางวัน) / โถงบ้านเจ้าพระยารังสี / พระยานิติธรรม พระยาเดชาฯ คุณหญิงลออ เจ้าพระยารังสีฯ
คุณดารา แขกผู้ใหญ่
เจ้าคุณนิติธรรมธาดาเปิดหีบใส่ทอง เพชรพลอยมากมาย เพื่อนำมาเป็นของหมั้นคุณดารา ต่อหน้าเจ้าพระยารังสี โดยมีแขกผู้ใหญ่เป็นประธานในพิธีหมั้น
พระยาเดชารณภพ คุณหญิงลออ ยิ้มแย้มดีอกดีใจ แม้จะเป็นงานเล็กๆ แต่แขกที่มางานล้วนเป็นคนใหญ่คนโตทั้งสิ้น
วันเดียวกันนั้น ที่เรือนแพ ตุ๊กตาท้องแก่ เจ็บท้องจะคลอดลูก โดยมีน้ำทิพย์คอยดูแล ด้วยความร้อนรน
“โอ๊ย ปวดเหลือเกินคุณน้ำทิพย์เจ้าขา โอ๊ย...”
น้ำทิพย์ร้อนรนสุดๆ
“อดทนก่อนนะตุ๊กตา อย่าเพิ่งคลอด แก้วกำลังไปตามนมอ้อนให้อยู่”
แก้วเปิดประตูดึงตัวนมอ้อนเข้ามา ด้วยความร้อนรนสุดๆพอกัน
“เร็วๆสิคุณนม ชักช้าอยู่นั่นแหละ”
“ โอ๊ย จะหกล้มหกคะมำอยู่แล้ว จะเร่งไปถึงไหน”
อ้อนโวยวาย ก่อนเข้าไปดูอาการตุ๊กตา แต่เหลือบมาเห็นแก้ว ก็ตวาดแว๊ด
“อ้าว ออกไปสิ คนเค้าจะคลอดลูก จะอยู่ทำไม”
แก้วเพิ่งรู้สึกตัว
“ขอโทษจ้ะ”
แก้วรีบออกไปแล้วปิดประตู ตุ๊กตาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
บริเวณโถงบ้านเจ้าพระยารังสี แขกผู้ใหญ่ยิ้มแย้มบอก
“ช่างสมกันเหลือเกิน น้อยคู่นักจะสมกันเช่นนี้ ...เห็นด้วยหรือไม่ล่ะท่านเจ้าคุณ”
เจ้าพระยารังสีบอก
“เห็นด้วยเป็นที่สุดกระหม่อม”
พระยานิติธรรม คุณดาราหันมายิ้มให้กัน สีหน้าแจ่มใสมีความสุข
ที่เรือนแพ ตุ๊กตาร้องด้วยความเจ็บปวด โดยมีอ้อน น้ำทิพย์คอยช่วย
“หายใจเข้าลึกๆ แล้วเบ่ง … อื๊อ”
ตุ๊กตาทำตาม แล้วเบ่งเต็มที่ โดยมีอ้อน น้ำทิพย์คอยช่วยลุ้นเบ่ง
พระยานิติธรรมธาดาสวมแหวนหมั้น คุณดาราไหว้ขอบคุณตามธรรมเนียม เจ้าคุณรับไหว้
“ฝากน้องด้วยนะท่านเจ้าคุณ” เจ้าพระยารังสีบอก
“ขอรับ”
เจ้าคุณเดชารณภพยิ้มแย้มบอก
“มาเป็นลูกสาวพ่ออีกคนนะ”
ลออยิ้มแย้ม
“น้ากับท่านเจ้าคุณจะดูแลหนูอย่างดี หนูไม่ต้องห่วงนะ”
ดาราไหว้พระยาเดชากับคุณหญิงลออ
“ขอบพระคุณค่ะ”
พระยานิติธรรมยิ้มรับอย่างมีความสุข
ตุ๊กตาพยายามเบ่งลูก ก่อนจะร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดถึงที่สุด น้ำทิพย์ดีใจสุดๆ
“คลอดแล้ว คลอดแล้วจ้ะนม ผู้ชาย เป็นผู้ชายด้วยจ้ะ แม่ตุ๊กตา”
นมอ้อนดีใจมาก ตุ๊กตายิ้มดีใจจนน้ำตาไหล
เรือนแพตอนหัวค่ำวันเดียวกัน พระยานิติธรรมธาดากำลังอุ้มลูกอย่างทะนุถนอม สีหน้ายิ้มแย้มดีใจมีความสุขสุดๆ ตุ๊กตานอนพักอยู่ใกล้ๆ
“ขอบใจมากนะตุ๊กตา ที่ให้ลูกชายกับฉัน”
ตุ๊กตายิ้มรับบางๆอย่างอ่อนแรง
“ท่านเจ้าคุณตั้งชื่อให้ลูกหน่อยสิคะ”
“เอาไปให้พระท่านตั้งเถิด จะได้เป็นสิริมงคลกับลูก เออ ฉันดูที่ดินปลูกเรือนเอาไว้แล้ว ตุ๊กตาทนอยู่ที่นี่อีกสักพักนะ เรือนเสร็จเมื่อไหร่ ค่อยพาลูกไปอยู่ที่นั่น”
ตุ๊กตาหน้าเสีย
“ท่านเจ้าคุณจะไม่ให้ตุ๊กตากับลูกไปอยู่ด้วยหรือคะ ตุ๊กตาอยากให้ลูกได้เห็นหน้าพ่อทุกวัน”
“อย่าเลย ฉันเพิ่งหมั้นหมายกับคุณดารา เกรงว่าจะมีปัญหา เอาไว้ให้ฉันค่อยๆบอกกับคุณดาราดีกว่า แต่ถึงคุณดาราจะอนุญาต ฉันก็อยากให้อยู่กันคนละเรือนมากกว่านะ ฉันเห็นมาหลายคนแล้ว เมียหลวงเมียน้อยอยู่ด้วยกัน มีแต่เรื่องร้อนใจไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนเรื่องลูก ฉันจะมาหาบ่อยๆ ตุ๊กตาไม่ต้องกลัวดอก”
ตุ๊กตายอมรับด้วยความจำใจ
“เจ้าค่ะ”
พระยานิติธรรมหันไปหยอกล้อ ยิ้มแย้มให้ลูก โดยไม่รู้เลยว่าตุ๊กตาทุกข์ขนาดไหน
บรรยากาศถนนหนทางตอนเช้า ที่มีผู้คนเดินทักทาย ยิ้มแย้มแจ่มใส แก้วกำลังจะไปทำงาน เดินคุยมากับน้ำทิพย์
“ฉันไม่ชอบเลย ที่ท่านเจ้าคุณทำแบบนี้กับตุ๊กตา ก็รู้ดอกนะ ว่าเมียคนแรกไม่จำเป็นต้องเป็นเมียแต่ง แลผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่หลายคนก็ทำเช่นนี้ แต่มันก็คือการเอาเปรียบตุ๊กตาดีๆนี่เอง”
"ที่คุณน้ำทิพย์พูดมา ก็ถูกทุกประการ แต่ในเมื่อท่านเจ้าคุณก็ดูแลตุ๊กตากับลูกเหมือนเดิม แลตุ๊กตาก็เต็มใจให้เป็นเช่นนี้ เราเป็นคนนอก ก็คงพูดอะไรได้ไม่มากดอกขอรับ"
"เต็มใจหรือจำใจกันแน่จ๊ะแก้ว ฉันเป็นผู้หญิงเหมือนกัน รู้ดีว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากกินน้ำใต้ศอกดอกนะ ยิ่งมาก่อนด้วยแล้วมันก็ยิ่งยากทำใจ แต่ที่ต้องยอม ก็เพราะความรัก ผิดกับผู้ชายที่เห็นแก่ศักดิ์ศรีแลความคู่ควรมาก่อน"
แก้วอึกๆอักๆ เถียงไม่ออก นี่ก็คนรักโน่นก็ผู้มีพระคุณ ทำใจลำบาก
น้ำทิพย์เห็นสีหน้าแก้วก็เข้าใจ ได้แต่ถอนใจ
"แก้วเป็นคนกลาง คงวางตัวลำบาก เช่นนั้น เราเปลี่ยนเรื่องมาพูดเรื่องคุณพ่อเถอะ"
น้ำทิพย์ยิ้มบางๆแทนคำขอบใจ
"แผนยั่วยุของแก้วได้ผลดีมาก ตอนนี้คุณพ่อแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว"
แก้วยิ้มดีใจ
"ดีแล้วขอรับ บ้านเมืองช่วงนี้วิกฤตินัก มีภัยอยู่รอบด้าน ถ้าท่านเจ้าคุณหวังจะกลับเข้ารับราชการอีก ก็ถือเป็นโอกาสอันดี เพราะวิชาความรู้ของท่านเจ้าคุณ คงช่วยราชการได้อีกมาก"
"คุณพ่อยื่นคำร้องไปแล้วล่ะจ้ะ แต่ยังไม่มีคำตอบเลย บางที ข้าราชการเก่าอย่างคุณพ่อ อาจจะไม่จำเป็น สำหรับการก้าวไปข้างหน้าของสยามแล้วก็ได้"
น้ำทิพย์สีหน้าเห็นใจและพยายามทำใจอยู่ในที
แก้วมาตรวจงานในคุก กำลังคุยกับผู้คุม ต่อหน้านักโทษที่ถูกขังอยู่ในกรง
"เราทำเช่นนี้กันมานานแล้วขอรับ ใครที่ต้องอาญา ก็นำมาขังไว้รวมกัน"
แก้วไม่เห็นด้วย
"ต่อไปจะทำเช่นเดิมไม่ได้แล้วล่ะ เพราะนักโทษที่ต้องอาญามีความผิดต่างกัน บางคน กระทำผิดเพียงเล็กน้อย หากนำไปขังรวมกับผู้มีโทษอุจฉกรรจ์ อาจถูกรังแก หรือถูกสั่งสอนไปในทางที่เลวกว่าเดิมก็ได้"
"ถ้าเช่นนั้นก็ต้องแยกขัง แล้วจะไม่วุ่นวายแย่หรือขอรับ"
"วุ่นวายก็ต้องทำ บ้านเมืองจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อไม่ให้ต่างชาติดูถูกดูแคลนว่า สยามป่าเถื่อน แล้วฉวยเป็นข้ออ้างรุกรานเหมือนเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้น ภายภาคหน้า กระบวนการตัดสินคดีแลกระบวนการลงโทษก็ต้องก็ต้องเปลี่ยนด้วยเช่นกัน"
"ขอรับ กระผมจะจัดการตามนั้นขอรับ"
ข้าราชการคนหนึ่ง ยืนดูการทำงานของแก้วด้วยความพอใจ
แก้วคุยกับข้าราชการคนนั้น โดยมีข้าราชการคนอื่น เดินผ่านไปมาในกระทรวงยุติธรรม แก้วดีใจ นึกไม่ถึง
"เลื่อนกระผมเป็นเสมียนหรือขอรับ"
ข้าราชการ 1บอก
"ถูกแล้ว ฉันเห็นว่าพ่อแก้วตั้งใจทำงาน แลมีความคิดอ่าน ควรที่จะได้ตำแหน่งสูงขึ้น จึงเสนอชื่อพ่อแก้วไป"
แก้วชักกังวล
"แต่กระผมเพิ่งรับราชการได้ไม่นาน แลอายุก็ยังไม่มาก คนที่อาวุโสกว่ากระผม ทั้งยังรับราชการมานานกว่า น่าจะได้ตำแหน่งนี้นะขอรับ"
"เวลานี้จะยึดอาวุโสไม่ได้ดอก ด้วยบ้านเมืองต้องเร่งเปลี่ยนแปลง คนรุ่นเก่าแม้จะแก่วิชา แต่ก็ยึดขนบธรรมเนียมเก่าๆมากไป ตอนนี้ คนรุ่นหนุ่มที่มีความคิดก้าวหน้าจึงจำเป็นกว่า"
"แต่กระผมเกรงว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับนะขอรับ"
"ข้อนั้นฉันจะช่วยพ่อแก้วเอง อย่ากังวลเลย อีกประการ พ่อแก้วได้เป็นเสมียน ก็จะได้ศึกษากฎบัตรกฎหมายจนช่ำชองด้วย หากตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้นเมื่อใด ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวพ่อแก้วเอง"
แก้วตื่นเต้นสุดๆ
"โรงเรียนกฎหมายหรือขอรับ"
"ถูกแล้ว ทุกวันนี้ผู้เป็นตุลาการแลมีความรู้ในกฎหมายตามแบบตะวันตกมีน้อยนัก ในอีกไม่กี่ปี ต้องมีการตั้งโรงเรียนกฎหมายเพื่อให้มีตุลาการเพิ่มขึ้นเป็นแน่ ถึงเวลานั้น พ่อแก้วก็เข้าเรียนในโรงเรียน แลหากสอบได้ ก็จะได้ก้าวหน้าในราชการต่อไปอย่างไรเล่า"
แก้วดีใจมาก มีความหวังที่จะได้เรียนหนังสือสูงขึ้น และก้าวหน้าในชีวิตแล้ว
เวลาเย็น น้อมกำลังเดินคุยกับอบเชยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
" ข้าล่ะมองพ่อแก้วไม่ผิดเลยจริงจิ๊ง รับราชการได้ไม่เท่าใด ก็ได้เป็นเสมียนแล้ว สักวัน ต้องได้เป็นขุนแน่ๆ" น้อมพูดพลางหัวเราะร่วน
อบเชยหมั่นไส้
"เกินไปแล้วป้า เรื่องเสมียนก็แค่ข่าวลือเท่านั้น จริงหรือไม่ก็ไม่รู้ ป้ายังจะให้เป็นถึงขุนอีก จากทาสได้เป็นท่านขุน ฉันไม่เคยได้ยินได้ฟัง"
น้อมรำคาญ หยิกอบเชยจนร้องลั่น
"ขัดข้าได้ทุกเรื่องตั้งแต่เล็กจนโต ข่าวคราวข้าเคยพลาดรึ เอ็งคอยดูก็แล้วกัน ว่าพ่อแก้วจะได้เป็นเสมียนจริงหรือไม่"
น้อมทิ้งค้อน ขณะนั้นเอง น้อมก็เหลือบไปเห็นบุญเจิมกำลังซื้อของอยู่ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
"นั่นนังบุญเจิมที่อยู่กับพ่อแก้วนี่"
อบเชยมองตาม
"เออ แม่บุญเจิมนี่ก็สะสวยไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะป้า เห็นอย่างนี้แล้วก็เสียดาย ไม่น่าติดคุกติดตะรางเลย"
ขณะนั้นเอง ก็มีหญิงนางหนึ่งเดินมาทักบุญเจิม
"คุณนายเจ้าขา แหม บังเอิญจริงเชียว ว่าจะไปหาที่เรือนอยู่พอดี"
บุญเจิมงงๆ
"มีอะไรหรือจ๊ะ"
"ผัวฉันทำงานที่เดียวกับผัวคุณนาย แลได้ยินมาว่าผัวคุณนายได้เลื่อนเป็นเสมียนแล้ว ฉันก็เลยจะไปแสดงความยินดีด้วยน่ะจ้ะ"
บุญเจิมหน้าเสีย
"พี่แก้วไม่ใช่ผัวฉันดอกจ้ะ"
หญิง 1หัวเราะร่วน
"ถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ต้องปิดบังดอก เด็กมันก็เรียกพ่อเรียกแม่อยู่ทุกวัน เขารู้กันทั่วแล้วล่ะเจ้าค่ะ"
บุญเจิมอึกอัก เถียงไม่ออก ไม่รู้จะอธิบายยังไง ในขณะที่ อบเชยและ น้อม ต่างตกใจที่เห็นคนอื่นเรียกบุญเจิมว่าคุณนาย แล้วยังคิดว่าบุญเจิมเป็นเมียแก้วอีก น้อมเจ็บใจปนหึงหวงจนเห็นได้ชัด
ในเวลาต่อมา น้ำทิพย์หน้าเสีย ไม่สบายใจอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ แต่ยังปากแข็ง
" แค่เรื่องเข้าใจผิด อย่าใส่ใจเลย"
น้อมเอาเรื่องมาฟ้องน้ำทิพย์ เพราะหวังว่าน้ำทิพย์จะเต้นแล้วไปเล่นงานบุญเจิมให้ โดยมีนิ่ม และอ้อนอยู่ด้วย น้อมโวยลั่นไม่ได้อย่างใจ
"ไม่ให้ใส่ใจได้อย่างไร นังบุญเจิมมันยกตัวเองขึ้นมาเป็นคุณนายแล้ว ต่อไป มันไม่คว้าพ่อแก้วไปดอกรึ หรือคว้าไปแล้วก็ไม่รู้" น้อมพูดด้วยความหึงหวง และค้อนประหลับประเหลือก
นิ่มปรามแม่เพราะอายน้ำทิพย์ น้อมตวาดแว๊ด
"จะเรียกทำไมแม่นิ่ม แม่พูดเรื่องจริง น้ำตาลใกล้มด ใครมันจะอดได้ พ่อแก้วนะพ่อแก้ว กำลังจะก้าวหน้าในราชการอยู่แล้ว ถ้าไปได้นังหญิงขี้คุกมาเป็นเมีย มิต้องหยุดอยู่แค่เสมียนดอกรึ ... ไหนว่าคุณน้ำทิพย์เป็นคนรักของพ่อแก้ว แล้วทำไมไม่รู้จักห้ามปราม"
น้ำทิพย์อึกอักไม่รู้จะอธิบายยังไง
"พอได้แล้วแม่ พูดอะไรไม่เกรงใจคุณน้ำทิพย์เธอบ้างเลย ไปช่วยฉันดูกับข้าวในครัวดีกว่า"
นิ่มจูงมือน้อมให้ไปกับตน น้อมโวยวาย
"ปล่อยแม่นะแม่นิ่ม แม่ยังพูดไม่รู้เรื่องเลย"
น้อมโวยยังไงนิ่มก็ไม่สนใจ จูงมือน้อมไปกับตนจนได้ น้ำทิพย์ถอนใจ ก่อนจะหันไปเห็นอ้อนมองมา
" ฉันรู้ว่านมจะพูดอะไร แต่ฉันขอยืนยันคำเดิมนะจ๊ะ ว่าบุญเจิมเสียสละมามากแล้ว หากแก้วจะเปลี่ยนใจ ฉันก็จะไม่ว่า"
อ้อนหน้าบึ้งตึง
"คุณน้ำทิพย์ไม่ว่า แต่นมก็ไม่ยอมเห็นคุณน้ำทิพย์เสียใจดอกเจ้าค่ะ"
"นมห้ามไปว่ากล่าวอะไรบุญเจิมเชียวนะ"
อ้อนอ่อนใจ
"คุณน้ำทิพย์เจ้าคะ"
น้ำทิพย์ตัดบท
"ถือว่าฉันขอนะจ๊ะนม ปล่อยทุกอย่างให้เป็นการตัดสินใจของแก้วเถอะ"
อ้อนหงุดหงิดทนไม่ไหว ได้แต่ส่ายหน้าเดินเลี่ยงไป น้ำทิพย์มองตามนมอ้อนด้วยสีหน้าเศร้า
อ่านต่อหน้า 4
ลูกทาส ตอนที่ 12 (ต่อ)
ไชยากรกำลังชะเง้อมองไปที่บันไดเรือนอย่างใจจดใจจ่อในตอนหัวค่ำ ก่อนจะหันมาพูดกับนิ่ม ที่กำลังอบควันเทียนขนมอยู่
"คนอย่างไอ้แก้ว ได้กับนังบุญเจิมก็เหมาะสมแล้ว แม่นิ่มจะทุกข์ใจอะไร ถ้ามันอาจเอื้อมมาถึงลูกน้ำทิพย์ของฉัน แล้วแม่นิ่มค่อยเดือดร้อนจะดีกว่า"
นิ่มส่ายหน้า
"ท่านเจ้าคุณก็เป็นอย่างนี้เสียเรื่อยเลย ท่านเจ้าคุณมองหาใครหรือเจ้าคะ"
ไชยากรยังคงชะเง้อมองไปที่บันได ก่อนหันหน้ามาจะตอบ ทาสหญิงคนหนึ่งรีบเดินขึ้นเรือนมายื่นจดหมายให้
"ท่านเจ้าคุณเจ้าขา จดหมายจากกรมราชเลขานุการฯเจ้าค่ะ คนของกรมเพิ่งเอามาให้เดี๋ยวนี้เองเจ้าค่ะ"
ไชยากรดีใจมาก รีบรับจดหมายมา
"นึกว่าวันนี้จะไม่มาเสียแล้ว"
ไชยากรเปิดจดหมายออกอ่านทันที
"จากกรมราชเลขาฯ ถ้าอย่างนั้น ก็เรื่องที่ท่านเจ้าคุณขอกลับเข้ารับราชการน่ะสิเจ้าคะว่าอย่างไรเจ้าคะ ได้กลับเข้ารับราชการหรือไม่"นิ่มน้ำเสียงตื่นเต้น รีบเข้าไปหาไชยากร
เมื่ออ่านจดหมายจนจบ ไชยากรหน้าซึมลงก่อนจะยื่นจดหมายให้นิ่มรับไป แล้วเดินกลับเข้าข้างในไปอย่างเซื่องซึม นิ่มเห็นท่าทางสามีก็เดาได้ ไม่ต้องอ่านจดหมาย
ขณะนั้นเอง มาโนชก็เดินออกมาจากข้างใน
"ได้ยินแว่วๆ ว่ากรมราชเลขานุการส่งจดหมายตอบกลับมารึ"
"ค่ะ"
มาโนชยิ้มขำๆ
"ไม่ได้ยินเสียงคุณอาดีอกดีใจ ก็แสดงว่าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ากลับรับราชการล่ะสิ"
นิ่มไม่พอใจ
"คุณมาโนชมีธุระอะไรหรือไม่คะ"
"ฉันจะกราบเรียนคุณอา ว่าจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่น"
นิ่มอึ้ง นึกไม่ถึง
"แลฉันต้องการถอนหมั้นจากน้องน้ำทิพย์ด้วย ถือว่าเป็นธุระสำคัญหรือไม่ล่ะ"
นิ่มตกใจมากนึกไม่ถึง ว่าวันนึงจะมีเรื่องแบบนี้
เค้ง และเฉียวหูกำลังเก็บข้าวของ เพื่อเตรียมย้ายออก เค้งท่าทางเซ็งๆ พูดไปเก็บของไป
"ไอ้มาโนชมันตาขาวนัก คุมเชิงกันมาได้ตั้งหลายเดือน พอจะเลิก ก็เลิกง่ายๆเสียอย่างนั้น"
เฉียวหูยิ้มเจ้าเล่ห์
"ลื้อยังซื่อนักอาเค้ง ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนอย่างไอ้มาโนชดอก"
เค้งสนใจ
“เล่ห์เหลี่ยมอย่างไรรึตั่วกอ”
“อยู่กับไอ้มาโนชมาตั้งหลายเดือน ลื้ออ่านมันไม่ออกรึ ไอ้มาโนช ต้องการอยู่สองอย่าง คือสมบัติแลลูกสาวของพระยาไชยากร หากยังไม่ได้ มันไม่ยอมแพ้ดอก”
“งั้นที่มันจะออกจากเรือน ก็เป็นแผนอย่างนั้นรึ”
เฉียวหูพยักหน้ารับ
“เวลานี้ไอ้มาโนชมีผู้หญิงที่มันจะใช้เป็นบันไดได้แล้ว ย่อมต้องถอนหมั้น แลยังทำให้พระยาไชยากรตายใจด้วย”
เค้งพยักหน้าช้าๆ
“เมื่อตายใจ ก็จะสั่งถอนพวกนักเลงวัดนามบัญญัติกลับไป จากนั้น ไอ้มาโนชก็จะฉวยโอกาสเอาลูกสาวพระยาไชยากรทำเมียน้อย แลยึดทรัพย์สมบัติมา”
“ ผู้หญิงให้มันไป แต่สมบัติ ต้องเป็นของพวกเรา ใครรู้เห็น ก็ฆ่าปิดปากมันเสียให้หมด”
บุญเจิมกำลังจะเดินกลับขึ้นบนเรือนตอนสายๆ เห็นแก้วกำลังสอนกริช ลูกชายของอ่อนเขียนหนังสืออยู่ กริชใช้กระดานชนวน ในการอ่านเขียนหนังสือ แก้วเขียนตัวอักษรเป็นตัวอย่าง กริชเขียนตาม บุญเจิมมองแก้วสอนหนังสือลูก ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบมีความสุข ชีวิตตอนนี้ทั้งสุขสบาย ทั้งสมบูรณ์พร้อมราวกับชีวิตครอบครัวจริงๆ จนตนอยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป
“ แม่เจิม”
บุญเจิมยิ้มรับแล้วเดินขึ้นเรือนมา
“อาหารถวายเพล ฉันทำเสร็จแล้วนะพี่แก้ว”
แก้วยิ้มแย้ม
“ขอบใจเอ็งมากนะนังเจิม ถ้าอย่างงั้นข้าไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน จะได้ไม่ผิดนัดกับคุณน้ำทิพย์”
บุญเจิมหน้าเจื่อนลงไปทันทีที่ได้ยินชื่อน้ำทิพย์
แก้วหันไปลูบหัวลูกกริช
“พ่อไปถวายเพลที่วัด เอ็งอยู่บ้าน อย่าซนนะ เจ้ากริช”
“ขอรับพ่อแก้ว”
แก้วเดินเลี่ยงเข้าข้างในไป บุญเจิมมองตามด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ถึงจะบอกกับตัวเองว่าเรื่องของเธอกับแก้วจบลงไปนานแล้ว แต่พอมีความหวังขึ้นมา ก็ยังอดคิดไม่ได้
บุญเจิมกำลังเช็ดทำความสะอาด พระพุทธรูปองค์เล็กๆที่มีอัฐิของคอกบรรจุอยู่ พอเช็ดเสร็จ บุญเจิมก็ก้มลงกราบพระ มองและบอก
“ไม่มีใครรักแลดีกับข้าเหมือนเอ็งดอกไอ้คอก ข้าควรจะตอบแทนความรักของเอ็ง แลเลิกคิดเพ้อฝันเสียที”
พระพุทธรูปองค์เล็กๆ นั้น ราวกับจะรับรู้คำพูดของบุญเจิม
บุญเจิมเดินออกมาจากโบสถ์ เห็นแก้วเดินคุยกับน้ำทิพย์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
เธอจึงเดินเลี่ยงไปอีกทาง ไม่อยากเจอและเห็นภาพนั้น แต่ไปได้นิดเดียว ก็ต้องชะงัก เมื่อเจออ้อนยืนขวางหน้าอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง เธอผงะ ตกใจเล็กน้อย
“คุณนม”
“อันที่จริง คุณน้ำทิพย์สั่งแล้วสั่งอีก ไม่ให้ข้ายุ่งเรื่องนี้ แต่ข้าอดสงสารคุณน้ำทิพย์ไม่ได้จริงๆ” อ้อนพูดหน้าเครียด
“ทำไมหรือจ๊ะ”
“บอกข้ามาตามตรงนะนังเจิม เอ็งคิดอย่างไรกับพ่อแก้ว”
บุญเจิมหน้าเสีย ไม่คิดว่าจะโดนถามตรงๆแบบนี้
“ทำไมคุณนมถามแบบนี้ล่ะจ๊ะ”
“เอ็งก็รู้ ว่าคุณน้ำทิพย์กับพ่อแก้วรักกัน แลฝ่าฟันอุปสรรคด้วยกันมามาก แต่เวลานี้ คุณน้ำทิพย์เธอต้องทุกข์ใจ เพราะเอ็งอยู่ที่เรือนกับพ่อแก้ว หากเอ็งคิดจะแย่งพ่อแก้วไปจากคุณน้ำทิพย์ ก็ขอให้รู้ไว้เถิดว่าเอ็งกำลังทำบาป”
บุญเจิมน้ำตาคลอ เสียใจ เพราะถึงแม้ตนยังรักแก้วอยู่ แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำแบบนั้นเลย
“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลยจ้ะคุณนม”
“ถ้าอย่างนั้น เอ็งก็ไปจากพ่อแก้วเสียเถิด เพราะตอนนี้ ทุกคนต่างคิดว่าเอ็งเป็นเมียพ่อแก้ว เอ็งก็รู้ไม่ใช่รึ พ่อแก้วเป็นข้าราชการ จะให้มีเมียที่เคยผ่านคุกตะรางมาได้อย่างไร ถ้าเอ็งยังอยู่กับพ่อแก้ว ไม่เพียงแต่ทำลายความรักของพ่อแก้วกับคุณน้ำทิพย์เท่านั้น แม้แต่หน้าที่ราชการของพ่อแก้ว ก็ต้องถูกเอ็งทำลายลงด้วย”
ทุกคำพูดของนมอ้อน จี้เข้าไปถึงจิตใจของบุญเจิมจนต้องร้องไห้ออกมา
ทันใดนั้น เสียงน้ำทิพย์ดังขัดขึ้น
“พอเถอะจ้ะนม หยุดได้แล้ว”
บุญเจิม และนมอ้อน หันไปมองตาม เห็นแก้ว และน้ำทิพย์ ยืนฟังทุกอย่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
น้ำทิพย์เดินเข้ามาในศาลาท่าน้ำ โดยมีแก้วตามหลังมา ต่างคนต่างเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้น แก้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตัดใจพูดก่อน
“กระผมไม่รู้เลย ว่าคนภายนอกจะคิดว่ากระผมกับนังเจิมเป็น เอ่อ... เป็นผัวเมียกัน ข้อนี้เป็นความสัตย์จริงนะขอรับ”
“ฉันรู้จ้ะ แลฉันต้องขอโทษแก้วแทนนมอ้อนด้วย นมอ้อนทำไปเพราะรักฉัน แลระแวงบุญเจิม เพราะบุญเจิมเคยหึงหวงแก้ว จนนำเรื่องที่เรือนขังทาสไปบอกคุณพ่อ จนแก้วเกือบต้องตายมาแล้ว นมอ้อนจึงเกรงว่าบุญเจิมอาจจะทำอีก”
“กระผมเข้าใจดีขอรับ แลไม่ได้ตำหนิคุณนมเลย แต่อยากจะขอให้คุณนม ให้โอกาสนังเจิมมันบ้างเท่านั้นเองขอรับ นังเจิมมันสำนึกผิดแล้ว แลมันก็ได้ชดใช้ในความขาดสติของมันไปแล้ว ชดใช้แพงมากเสียด้วยสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง”
น้ำทิพย์หน้าเศร้าลง ข้อนี้เป็นจุดที่เธอเองก็สงสารบุญเจิม จนพูดอะไรไม่ออก
แก้วจับมือน้ำทิพย์ไว้ มองตาน้ำทิพย์นิ่ง
“ที่นี่อยู่ในเขตวัด ไอ้แก้วไม่กล้าปดดอกขอรับ ผู้หญิงคนเดียวที่กระผมรัก คือคุณน้ำทิพย์เท่านั้น แต่ถ้าจะให้กระผมทิ้งนังเจิม ก็เลวเกินคน เพราะนังเจิมมันไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนแล้วนอกจากกระผม คุณน้ำทิพย์เข้าใจกระผมด้วยนะขอรับ”
น้ำทิพย์ยิ้มบางๆ)
“ฉันเองก็ไม่เคยต้องการให้แก้วทำแบบนั้นดอกจ้ะ เพราะถ้าแก้วทอดทิ้งบุญเจิมเพราะฉัน ฉันก็คงไม่เชื่อว่าแก้วรักฉันจริง หากแต่มันเป็นความเห็นแก่ตัวมากกว่า”
แก้วยิ้มบางๆ สุขใจที่น้ำทิพย์เข้าใจเขาเสมอมา
บรรยากาศแถวท่าเรือ มีผู้คนผ่านไปมาขนของขึ้นเรือ และลงเรือเต็มไปหมด บุญเจิมถือห่อผ้า เดินร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ บุญเจิมตั้งใจจะลงเรือหนีไป แต่พอมองไปรอบๆ ก็ไม่รู้จักใคร ไม่รู้จะไปที่ไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว แต่จะไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะจะสร้างปัญหาให้แก้วกับน้ำทิพย์มากกว่าเดิม
มีกลุ่มผู้ชายประมาณกรรมกรท่าเรือเดินผ่านมา แล้วมองบุญเจิมด้วยสายตาเจ้าชู้ เธอยิ่งกลัว รีบเดินหนีไป
ทันใดนั้น ก็มีคนโผล่ออกมาจากตรอกใกล้ๆ แล้วใช้มีดปลายแหลมจี้บุญเจิมไว้ เธอตกใจมากตั้งท่าจะแหกปากร้อง
“ เงียบ ไม่อยากตาย มีเบี้ยอัฐเท่าไหร่ ส่งมาให้หมด”
บุญเจิมเพ่งมองคนที่จี้เธอชัดๆ ปรากฏว่าเป็นเข้มนั่นเอง เข้มอยู่ในสภาพทรุดโทรมสุดๆ จนจำแทบไม่ได้เพราะติดฝิ่นหนัก เข้มนึกไม่ถึงว่าจะเป็นบุญเจิม
“นังเจิม”
“ไอ้เข้ม ทำไมเอ็งเป็นเช่นนี้ไปได้”
เข้มกำลังอยากฝิ่นสุดๆ
“อย่าถามมากน่ะ เจอเอ็งก็ดีแล้ว ขอยืมเบี้ยเป็นค่าฝิ่นหน่อย ข้าอยากฝิ่นจนจะลงแดงตายอยู่แล้ว”
บุญเจิมกลัว รีบกระชับห่อผ้าแน่น
“ไม่ ข้าไม่ให้”
เข้มโมโห ตรงเข้ายื้อแย่งห่อผ้าจากบุญเจิมทันที เธอกรีดร้อง สู้สุดฤทธิ์
“อย่านะ เงินข้า ข้าไม่ให้ ช่วยด้วยๆ”
เข้มโมโหเลยตบบุญเจิมจนล้มคว่ำ แล้วเงื้อมีดจะแทง
ทันใดนั้นเอง แก้วก็เข้ามาจับข้อมือเข้มไว้ ไม่ให้เข้มแทง ก่อนจะบิดข้อมือเข้มจนมีดหลุด
แล้วเตะเข้มจนล้มคว่ำ เธอรีบเข้ามาหาแก้วทันที
“ระวังนะพี่แก้ว ไอ้เข้มมันลงแดง ตอนนี้มันไม่ใช่คนแล้ว”
แก้วนึกไม่ถึง จำเข้มไม่ได้
“ไอ้เข้ม เอ็งรึนี่”
เข้มกลัวแก้ว รีบวิ่งหนีไปทันที แก้วมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองหน้าดุ น้ำเสียงไม่พอใจใส่บุญเจิม
“เอ็งคิดจะไปไหนนังเจิม”
บุญเจิมหน้าเจื่อน ก่อนจะหลบสายตาแก้ว ตนตั้งใจจะหนี แต่แก้วก็ตามมาเจอ แถมช่วยเธอไว้อีก
ผ่านเวลาซักพัก บริเวณริมคลอง บุญเจิมกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยมีแก้วยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
“ข้าคุยกับคุณน้ำทิพย์แล้ว ต่อไปนมอ้อนคงไม่พูดกับเอ็งเช่นนั้นอีก เอ็งอย่าไปไหนอีกเลย”
บุญเจิมสะอึกสะอื้น
“แต่คุณนมพูดถูกทุกอย่าง ฉันอยู่กับพี่ คุณน้ำทิพย์เธอก็ไม่สบายใจ แลยังทำให้พี่เสื่อมเสียเพราะหญิงขี้คุกอย่างฉันอีก”
“ข้าเคยบอกเอ็งแล้วไม่ใช่รึ ว่าเอ็งจะเป็นเช่นไร ข้าก็จะไม่มีวันทอดทิ้งเอ็งเป็นอันขาด แลเอ็งติดคุกก็เพราะช่วยข้า ถ้าข้ารังเกียจเอ็งเพราะข้อนี้ ข้าก็ชั่วช้าสารเลวนัก”
“แล้วคุณน้ำทิพย์เล่า พี่ไม่คิดถึงใจเธอบ้างรึ”
“คิดสิ แต่ข้าเชื่อว่าคุณน้ำทิพย์เธอคงยินดีมากกว่า ที่ข้าไม่ทอดทิ้งเอ็ง”
บุญเจิมสะอึกสะอื้น
“พี่คงคิดว่าพี่ติดค้างฉันใช่หรือไม่ พี่ถึงต้องคอยดูแลฉัน”
บุญเจิมร้องไห้พูดไปพร้อมส่ายหน้าไป
“ไม่จริงดอกพี่แก้ว ฉันช่วยพี่ เพื่อไถ่โทษที่ฉันทำร้ายพี่กับคุณน้ำทิพย์ต่างหาก พี่ไม่เคยติดค้างอะไรฉันเลย”
แก้วจับไหล่ทั้งสองข้างของบุญเจิมมาเผชิญหน้า
“เอ็งเข้าใจผิด ข้าดูแลเอ็งเพราะเอ็งเป็นน้องข้าต่างหาก เรื่องนี้ ข้าจะไม่พูดกับเอ็งอีก แต่ขอให้เอ็งจำไว้ ว่าถ้าเอ็งหนีไปเพราะอยากช่วยข้า ข้าจะลาออกจากราชการทันที” แก้วพูดสีหน้าจริงจัง
บุญเจิมตกใจมาก
“อย่านะพี่แก้ว พี่ลาออกไม่ได้นะ”
“ถ้าน้องสาวคนเดียวข้ายังดูแลไม่ได้ แล้วข้าจะรับราชการไปช่วยเหลือใครได้ ถ้าเอ็งไม่อยากให้ข้าลาออก ก็อย่าหนีไปอีกนะ นังเจิม”
บุญเจิมร้องไห้ ซึ้งใจที่แก้วดีกับตนสุดๆ แม้ว่าตนจะสร้างปัญหาให้ก็ตาม ได้แต่จำใจพยักหน้ารับไป
แก้วดึงบุญเจิมเข้ามาสวมกอดเอาไว้ ยิ้มอย่างสุขใจ ที่สามารถพูดให้เธอเข้าใจได้
เข้มถูกพวกโรงฝิ่นโยนออกมาจากโรงฝิ่นตอนหัวค่ำ
“ ถ้าไม่มีเบี้ย ก็อย่าเสนอหน้ามาอีก ฝิ่นเป็นของซื้อของขาย ไม่ให้ใครเปล่าๆดอกโว้ย”
เข้มลงแดงอยากฝิ่นสุดๆ รีบเข้าไปกอดขาชายโรงฝิ่นไว้
“ให้ฉันสูบฝิ่นเถอะ ฉันกราบก็ได้ แล้วฉันจะหาเงินมาใช้ให้ แต่ให้ฉันสูบก่อนเถอะ”
ชาวบ้านถีบเข้มออกไปอย่างไม่แยแส
“คนติดฝิ่นอย่างเอ็งน่ะรึ จะเอาเงินมาใช้ข้าทีหลัง ถ้าข้าเชื่อ ก็โง่เง่าเต็มทนแล้ว”
พวกชาวบ้านโรงฝิ่น พากันเดินกลับเข้าโรงฝิ่นไป เข้มตัวสั่น ลงแดงสุดๆ แต่ก็ไม่มีแรงจะทำอะไร
แก้วเดินมาหยุดตรงหน้าเข้ม เข้มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง เข้มตกใจปนแปลกใจ
“ไอ้แก้ว”
“ข้านึกแล้วไม่ผิด ถ้ามาที่นี่ ต้องได้เจอเอ็ง”
“เอ็งอย่าทำอะไรข้าเลย ข้ากลัวแล้ว”
แก้วหยิบถุงใส่เงินออกมา แล้วยื่นให้ เข้มนึกไม่ถึงว่าจู่ๆแก้วจะให้เงินแก่เขา
ผ่านเวลาซักพัก เข้มกำลังคุยกับแก้วด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หลังจากได้สูบฝิ่นมา
“ขอบใจเอ็งมากไอ้แก้ว ที่ให้เงินข้าไปซื้อฝิ่น หาไม่ ข้าคงลงแดงถึงตายเป็นแน่”
“ที่จริง ข้าไม่ควรให้เงินเอ็งดอก คนติดฝิ่น ติดการพนัน ถึงมีเงินมากเท่าใดก็ไม่พอ”
“เอ็งคงอยากให้ข้าเป็นพยานเอาผิดคุณมาโนชใช่หรือไม่”
“ถึงเอ็งเป็นพยานตอนนี้ ก็ช้าไปแล้ว เพราะคุณมาโนชกำลังจะย้ายออกจากเรือน แลถอนหมั้นกับคุณน้ำทิพย์ พวกอั้งยี่ที่ คุณมาโนชเลี้ยงไว้ก็คงไปด้วย ถ้าตามตัวพวกมันไม่ได้ ก็ไม่มีหลักฐานพอเอาผิด
คุณมาโนชดอก”
“แล้วเอ็งต้องการให้ข้าทำอะไร”
“เอ็งก็รู้นิสัยคุณมาโนชดี ข้าไม่เชื่อเป็นอันขาด ว่าคนอย่างคุณมาโนชจะยอมถอย ข้าจึงอยากให้เอ็งตามสืบเรื่องนี้ให้ข้า เพราะเอ็งอยู่ในโรงฝิ่น ย่อมหาข่าวสารจากพวกอั้งยี่หรือพวกนักเลงที่มาสูบฝิ่นได้
ไม่ยาก แลถ้าเอ็งได้ข่าวมา ข้าก็จะให้เบี้ยเอ็งเป็นการตอบแทน ตกลงหรือไม่”
เข้มยิ้มดีใจ จ้องหน้าแก้ว
“ถ้าไม่ต้องเผชิญหน้ากับคุณมาโนช ข้าทำได้ทั้งนั้นแหละ ข้าจะบอกเอ็ง เรื่องอั้งยี่ที่คุณมาโนชเลี้ยงไว้ก็แล้วกัน ถือว่าแทนบุญคุณที่เอ็งให้เบี้ยข้า”
แก้วสนใจทันที
“เอ็งรู้รึ”
เข้มกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ไอ้สองคนนั่น เป็นอั้งยี่กลุ่มซิวลี่กือ คนหนึ่งชื่อเฉียวหู อีกคนชื่อเค้ง ไอ้คนชื่อเค้งมีฝีมือร้ายกาจ แต่ไอ้เฉียวหูเป็นหัวหน้า มีตำแหน่งเป็นตั่วกอของซิวลี่กือ”
แก้วรับฟังอย่างตั้งใจ
“ตั้งแต่พวกซิวลี่กือถูกกวาดล้างก็แตกกระสานซ่านเซ็นกันไป แต่หลายเดือนมานี่ พวกมันเริ่มรวมตัวกันใหม่ น่าจะทำอะไรซักอย่าง แต่ยังไม่มีใครรู้”
แก้วพยักหน้าช้าๆ แล้วยิ้มรับพอใจ เพียงแค่ครั้งแรก ก็ได้ข่าวที่ต้องการจากเข้มแล้ว
เช้าวันต่อมา ไชยากรคืนของหมั้น จำพวกเครื่องประดับเพชรพลอย ทองคำ ให้มาโนช โดยมีน้ำทิพย์
กับนิ่มอยู่ใกล้ๆ
“กระผมต้องขอโทษคุณอาแทนเจ้าคุณพ่อด้วยนะขอรับ ที่เจ้าคุณพ่อไม่ได้เดินทางมาจัดการเรื่องถอนหมั้นของกระผมด้วยตนเอง”
ไชยากรยิ้มประชด
“อาเข้าใจ อามันหมดอำนาจวาสนาแล้ว ท่านเจ้าคุณนคราฯ คงลำบากใจที่จะนับญาติด้วย ไม่เช่นนั้นพ่อมาโนชจะถอนหมั้นลูกสาวอารึ”
มาโนชยิ้มเยาะ
“ถามน้องน้ำทิพย์ดูดีกว่าขอรับ ว่านับแต่เป็นคู่หมั้นกันมา ใจน้องน้ำทิพย์คิดอย่างไร ไม่อย่างนั้นกระผมไม่ถอนหมั้นดอกขอรับ”
น้ำทิพย์หน้าตึง ไม่พอใจ
“จากกันด้วยดีเถอะค่ะพี่มาโนช”
มาโนชยิ้มหยันๆ หันมาพูดกับไชยากร
“แต่อย่างไร ก็ต้องขอบพระคุณคุณอา ที่เลี้ยงดูอุ้มชูกระผมมาหลายปีดีดัก กระผมลาล่ะขอรับ”
พระยาไชยากรรับไหว้ มาโนชลุกขึ้น เดินลงจากเรือนไปพร้อมของหมั้น
“ ดีใจด้วยนะคะคุณน้ำทิพย์ หมดเคราะห์หมดโศกเสียที” นิ่มว่า
น้ำทิพย์ยิ้มแย้มดีใจ พระยาไชยากรมองลูกกับภรรยาแล้วก็หงุดหงิด ถึงมาโนชเลวร้ายยังไง แต่ถ้าถอนหมั้นก็เท่ากับเปิดโอกาสให้แก้ว ซึ่งตนยอมรับไม่ได้
มาโนชเดินลงจากเรือน เค้งกับเฉียวหูรออยู่ด้านล่าง
“พวกเอ็งพร้อมแล้วหรือไม่”
“รอแต่คำสั่งของคุณมาโนชเท่านั้น”
มาโนชยิ้มร้ายๆ
“ดี ตอนนี้คุณพระดำรงกำลังรุ่งเรืองในนครบาล อีกไม่นาน เจ้าคุณพ่อข้าจะขึ้นมาเพื่อขอหมั้นลูกสาวคุณพระให้ข้า แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ข้าต้องได้น้องน้ำทิพย์มาเป็นเมียน้อยให้หายแค้นเสียก่อน”
มาโนชเดินเลี่ยงไป
เค้งมองตามมาโนช แล้วยิ้มดูถูก
“หมกมุ่นอยู่กับผู้หญิง ไม่คู่ควรให้เรารับใช้เลย”
“ ก็ดีแล้วไม่ใช่รึ มันได้ผู้หญิง เราได้สมบัติ มีเงินทองเมื่อใด ซิวลี่กือก็จะกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง”
แก้วกำลังคุยกับพระยานิติธรรมธาดาอยู่ที่สวนหน้ากระทรวง
“ ตุ๊กตากับลูกเป็นอย่างไรบ้าง”
“สบายดีขอรับ คุณหนูลูกชายของท่านเจ้าคุณ อ้วนท้วนแข็งแรงดี ส่วนตุ๊กตา ท่านเจ้าคุณไม่อยากให้อยู่ไฟตามอย่างโบราณ กระผมเลยจัดหมอฝรั่งไปดูแลแล้วขอรับ”
เจ้าคุณตบบ่าแก้วก่อนถอนใจ
“ขอบใจแกมากเจ้าแก้ว ฉันเป็นพ่อแท้ๆ แต่กลับได้ดูแลลูกน้อยกว่าแกเสียอีก ช่างไม่ได้ความเลย”
“นับแต่บ้านเมืองเกิดวิกฤติขึ้น ท่านเจ้าคุณก็แทบไม่ได้พักเลย พอเริ่มว่าง ก็มีงานหมั้นเข้ามาอีก แล้วจะโทษท่านเจ้าคุณได้อย่างไรล่ะขอรับ เอ่อ แต่กระผมขอเรียนถามเรื่องหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”
“เรื่องอะไรรึ”
“ท่านเจ้าคุณได้บอกเรื่องตุ๊กตากับลูก ให้คนอื่นรู้แล้วหรือไม่ขอรับ”
พระยานิติธรรมธาดาหน้าเครียดขึ้นมาทันที เพราะจนถึงบัดนี้ เขายังไม่ได้บอกใครเลย แก้วรอฟังคำตอบ
เวลาหัวค่ำ คุณหญิงลออช็อก ตกใจสุดๆ ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“คุณพระช่วย ท่านเจ้าคุณเป็นพ่อของลูกแม่ตุ๊กตา”
พระยานิติธรรมธาดากำลังสารภาพเรื่องทั้งหมด ให้พ่อกับคุณหญิงลออฟัง
“ เรื่องมันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ทำไมท่านเจ้าคุณถึงมาบอกพ่อเอาตอนนี้ล่ะ”
“ ใช่ว่ากระผมอยากจะปกปิดดอกขอรับ ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะสารภาพเลย แต่คุณพ่อกับท่านเจ้าพระยาตั้งความหวังเรื่องกระผมกับคุณดาราไว้มาก กระผมเกรงว่าจะทำให้ผู้ใหญ่ผิดใจกัน
จึงคิดจะหาโอกาสดีๆ แล้วค่อยพูดขอรับ แต่จากนั้นบ้านเมืองก็มีวิกฤติ กระผมเลยไม่เคยมีโอกาสเลย”
“แต่ตอนนี้ท่านเจ้าคุณหมั้นหมายกับคุณดาราแล้ว เราไปบอกตอนนี้ ท่านเจ้าพระยาจะไม่คิดว่าหลอกลวงท่านรึ”
“ข้อนั้นไม่ต้องกังวลดอก ผู้มียศศักดิ์ในบ้านเมือง มีสักกี่คนที่ไม่มีเมียบ่าวก่อนเมียแต่ง ท่านเจ้าพระยาเอง ก่อนแต่งงานกับท่านผู้หญิง ก็มีลูกอยู่แล้วสองคนด้วยซ้ำ” เจ้าคุณพ่อว่า
คุณหญิงลออนึกไม่ถึง
“จริงหรือคะ”
“จริงสิคุณหญิง ฉันถึงไม่กลัวอย่างไรเล่า แต่ที่ฉันห่วงคือคุณดารามากกว่า”
เจ้าคุณนิติธรรมถอนใจออกมา และค่อนข้างเห็นด้วยกับพ่อ
“คุณดาราคิดแลทำตัวเหมือนหญิงฝรั่ง ไม่รู้เลย ว่าคุณดาราจะโกรธเคืองมากขนาดไหน”
เจ้าคุณกังวลเรื่องนี้เหมือนกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น คุณดารามีสีหน้าเคร่งขรึมเดินนำพระยานิติธรรมออกมาที่สนาม
“ฉันยอมรับผิดทุกอย่างที่ไม่ได้บอกเธอก่อน หากเธอต้องการให้ฉันรับผิดชอบประการใด ฉันก็ยินดีทุกอย่าง”
ดารานิ่งอยู่ครู่นึง ก่อนจะยิ้มบางๆ
“ก็อย่างที่เจ้าคุณพ่อของท่านเจ้าคุณบอกนั่นล่ะค่ะ ในสยามไม่ถือสาเรื่องนี้ แลท่านเจ้าคุณเองก็อายุ
ไม่น้อยแล้ว หากไม่มีใครเลย กลับน่าแปลกใจยิ่งกว่า”
เจ้าคุณคิดไม่ถึง
“นี่เธอไม่โกรธรึ”
“ไม่ค่ะ ฉันเข้าใจดีว่าธรรมเนียมสยามเป็นเช่นไร แม้ว่าฉันจะไม่เห็นด้วยก็ตาม”
นิติธรรมยิ้มแย้มดีใจ
“ขอบใจเธอมาก แต่เธอไม่ต้องกลัว ว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายเหมือนเรือนอื่นดอกนะ เพราะฉันจะให้ตุ๊กตากับลูก อยู่คนละเรือนกับเธอ ไม่มาเกี่ยวข้องกันเป็นอันขาด”
“ดีค่ะ แต่ฉันมีเรื่องอยากจะขอท่านเจ้าคุณอีกข้อ”
“อะไรรึ”
“ฉันอยากเจอแม่ตุ๊กตา”
พระยานิติธรรมธาดาอึ้งไป ดาราหน้านิ่ง จ้องหน้า อย่างมั่นใจในตัวเอง
“วันนี้”
ตุ๊กตาก้มลงกราบแทบเท้าคุณดารา แล้วนั่งพับเพียบด้วยความเจียมตัว เจ้าคุณยืนมองอย่างใจคอไม่ดี แต่ก็พอใจที่ตุ๊กตาเจียมตัว ดารามองสำรวจ
“หน้าตาสะสวยหมดจด กิริยามารยาทก็ดี ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นบ่าวเลยนะคะ”
“เดิมทีตุ๊กตาไม่ใช่บ่าวในเรือนดอก แต่มาอยู่กับฉันด้วยเหตุจำเป็น”
ตุ๊กตาก้มหน้าหลบ ไม่กล้าสบสายตา คุณดาราใช้ความคิดหนัก เพราะตุ๊กตาสวยจนทำให้คุณดาราเริ่มหนักใจ
ขณะนั้นเอง เจ้าคุณเดชารณภพกับคุณหญิงลออก็อุ้มลูกของพระยานิติธรรมกับตุ๊กตาออกมา ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ ไอ้หลานคนนี้ ท่าทางจะเฉลียวฉลาดไม่เบา เพิ่งเกิดได้ไม่เท่าไหร่ แต่มันเหมือนจะฟังปู่กับย่ารู้เรื่อง ดูสิ ยิ้มตลอดเลย”
“ หลงหลานจริงท่านเจ้าคุณ เด็กเล็กๆก็อย่างนี้ทั้งนั้นล่ะค่ะ”
“ว่าแต่ฉัน คุณหญิงเองวางหลานมันบ้างแล้วรึ เห็นอุ้มไม่ยอมวางเลย”
คุณหญิงลออทิ้งค้อน แต่สีหน้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส หยอกล้อหลานเล่นตลอดเวลา
“ผู้ชายหรือผู้หญิงคะ” คุณดาราถาม
“ผู้ชาย เค้าหน้าถอดท่านเจ้าคุณมาไม่มีผิดเลย”
“แม่ตุ๊กตา ได้เวลาให้นมลูกแล้ว หล่อนเพิ่งมีลูกคนแรก คงเลี้ยงไม่ค่อยเป็น ฉันจะสอนก็แล้วกัน”
ตุ๊กตายิ้มรับ ยกมือไหว้
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
ตุ๊กตาเดินตามคุณหญิงลออเข้าไปข้างใน คุณดารามองตามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เด็กเป็นผู้ชาย แถมหน้าเหมือนพ่อ ปู่ย่าก็ดูจะหลงหลานเอามากๆ ทำให้เห็นเค้าลงของความยุ่งยากรออยู่ตรงหน้าทันที
ภายในเรือ พระยานิติธรรมธาดาตกใจมาก
“ว่าอย่างไรนะ จะให้ฉันทิ้งตุ๊กตากับลูกอย่างนั้นรึ”
เจ้าคุณกำลังคุยกับคุณดาราบนเรือ โดยมีทาสชายคนหนึ่งกำลังพายให้
“ไม่ได้ให้ทิ้งค่ะ แต่ฉันต้องการให้ท่านเจ้าคุณให้เงินจำนวนหนึ่งซึ่งมากพอที่แม่ตุ๊กตาจะเลี้ยงดูแลลูกต่อไปได้ แต่ท่านเจ้าคุณต้องไม่ข้องเกี่ยวกับแม่ตุ๊กตาแลลูกอีกต่อไป”
“ ทำไมต้องทำเช่นนั้นด้วย ก็ในเมื่อฉันให้อยู่กันคนละเรือนแล้ว เธอจะกลัวอะไรอีก”
“ไม่ได้กลัวค่ะ แต่ป้องกันไว้ก่อน ท่านเจ้าคุณก็ทราบไม่ใช่หรือคะ ว่าบางเรือน ถึงกับบังคับให้ลูกชายที่เกิดจากเมียบ่าวต้องบวชไม่สึกกันเลยทีเดียว เพื่อจะได้ไม่ต้องเข่นฆ่ากันภายหลัง”
“ตุ๊กตาเป็นคนเจียมตัว เธอก็เห็นแล้วไม่ใช่รึ แลตุ๊กตาก็จะสอนลูกให้เจียมตัวเช่นกัน แถมลูกที่เกิดจากฉันกับเธอเท่านั้นที่จะมีสิทธิในการสืบทอดตระกูลต่อไป ไม่ใช่ลูกของตุ๊กตาเลย ถึงขั้นนี้แล้วจะต้องกลัว
การเข่นฆ่าชิงสมบัติไปอีกทำไม”
“ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ไว้ใจค่ะ ระแวงไว้ก่อนย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือคะ”
“ เธอบังคับให้ฉันตัดขาดลูก จะไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยรึ”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านเจ้าคุณก็ต้องเลือกค่ะ เพราะฉันจะไม่ยอมอยู่กับความหวาดระแวงเป็นอันขาด แลฉันจะไม่ยอมให้ลูกของฉันต้องนับพี่นับน้องกับลูกบ่าวด้วย ท่านเจ้าคุณเป็นคนชาญฉลาด น่าจะรู้นะคะ ว่าควรจะเลือกทางไหน”
พระยานิติธรรมธาดาสีหน้าเครียดหนัก เพราะหมั้นกับคุณดาราแล้ว ถ้าถอนหมั้นต้องเป็นปัญหาใหญ่โตแน่นอน
อ่านต่อตอนที่ 13