xs
xsm
sm
md
lg

ลูกทาส ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลูกทาส ตอนที่ 11

บุญเจิมเดินหาบถังน้ำมาที่แปลงผัก เพื่อจะรดน้ำผักตอนเช้ามืด ขณะกำลังจะรดน้ำผัก ก็ได้ยินเสียงคอกดังขึ้น

“นังเจิม”
บุญเจิมตกใจ หันไปมองตามเสียง เห็นคอกยืนยิ้มให้ตนอยู่
“ไอ้คอก เอ็งเข้ามาได้อย่างไร เข้ามาถึงข้างในนี้ ประเดี๋ยวก็โดนโทษดอก”
คอกยิ้มบางๆ
“ข้าอยากมาหาเอ็งนังเจิม อยากบอกเอ็งว่าข้ารักแลห่วงเอ็งเหลือเกิน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะคอยดูแลเอ็งตลอดไป”
บุญเจิมยิ้มเขิน
“เอ็งบ้าแล้วหรือไอ้คอก เสี่ยงคุกเสี่ยงตารางเข้ามาบอกข้าเพียงเรื่องนี้น่ะรึ รีบหลบไปเร็วๆเลย”
ขณะนั้นเอง นักโทษหญิงคนหนึ่ง ก็เดินเข้ามาหาบุญเจิม
“นังเจิม”
บุญเจิมตกใจจนหน้าซีด
“เอ็งมายืนพูดอะไรอยู่คนเดียว ทำไมไม่รีบรดน้ำผักวะ”
บุญเจิมแปลกใจ หันกลับไปมอง ก็ไม่เห็นคอกแล้ว
“พูดแล้วยังหันรีหันขวางอีก เร็วๆเข้าสิวะ”
“จ้ะๆ”
บุญเจิมหันไปรดน้ำผักต่อ แต่ก็ยังหันไปมองหาคอก แต่ก็ไม่เจอ แปลกใจว่าคอกหลบไปเร็วเหลือเกิน แล้วก็แอบอมยิ้มขำๆ โดยไม่ได้เฉลียวใจอะไรเลย

เวลาสาย มุมหนึ่งในสวนบ้านไชยากร มาโนชกำลังตะคอกใส่พลอย และเข้ม ด้วยความโกรธสุดๆ
“ไอ้พวกโง่เง่า มึงรู้หรือไม่ ว่าไอ้แก้วมันบอกนครบาลว่าคนที่ฆ่าไอ้คอก คือมึงไอ้พลอย เพราะไอ้คอกบอกมันก่อนตายว่า จำรอยสักที่ข้อมือมึงได้ จะบรรลัยวายวอดกันหมด ก็เพราะความโง่ของมึงสองคนนี่ล่ะ”
พลอยยกมือไหว้
“อภัยให้ด้วยเถอะขอรับคุณมาโนช พวกกระผมทำเต็มที่แล้ว แต่ไม่คิดจริงๆ ว่าไอ้คอกมันจะยอมตายแทนไอ้แก้วได้ ขอโอกาสให้พวกกระผมแก้ตัวด้วยเถิดขอรับ”
“มึงยังคิดจะแก้ตัวอีกรึ ตอนนี้รีบไสหัวไปให้ไกลๆจะดีกว่า ขืนรอให้นครบาลจับได้ คอพวกเอ็งได้หลุดจากบ่าแน่”
เข้มกลัวมาก
“ช่วยพวกกระผมด้วยเถอะขอรับคุณมาโนช พวกกระผมยังไม่อยากตาย”
มาโนชเจ็บใจมาก แต่ก็ต้องยอมช่วย หยิบถุงใส่เงินออกมาโยนให้
“พวกมึงเอาไป แล้วอย่าโผล่มาให้กูเห็นหน้าอีก”
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงน้ำทิพย์ดังขึ้น
“จะง่ายเกินไปกระมังคะพี่มาโนช”
ทุกคนตกใจ หันไปมอง เห็นน้ำทิพย์ยืนจ้องเขม็งอยู่
“น้องน้ำทิพย์”
“นึกแล้วไม่มีผิด คนที่ทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ได้ คงไม่มีใครอื่นอีก จะเกลียดจะชังกันอย่างไร ก็รอให้พระสึกก่อนไม่ได้หรือคะ คิดจะเข่นฆ่ากันทั้งผ้าเหลือง หรือกลัวว่าตายไป จะไม่ตกนรกใต้ฐานเทวทัตต์รึ”
มาโนชกลัวน้ำทิพย์เอาเรื่อง
“ใจเย็นๆก่อนน้องน้ำทิพย์ พี่...”
“ฉันไม่เย็นอีกต่อไปแล้ว ที่แล้วมา ฉันยอมอ่อนข้อมาตลอด แต่คราวนี้ เชิญไปแก้ตัวกับนครบาลเอาเองเถิด”
น้ำทิพย์หันหลังจะเดินหนี มาโนชรีบพูดตามหลัง
“ถ้าพี่ถูกจับ ก็อย่าคิดว่าพ่อของน้องจะพ้นผิดไปด้วยเลย”
“คุณพ่อมาเกี่ยวอะไรด้วย ตัวเองทำเรื่องชั่วช้าสารเลว ยังคิดจะป้ายสีคุณพ่ออีกรึ”
มาโนชยิ้มแบบคนถือไพ่เหนือกว่า
“พี่คนเดียว มีรึจะกล้าทำเรื่องอุกอาจเช่นนี้ ก่อนจะไปแจ้งนครบาลให้มาจับพี่ ลองไปถามคุณอาก่อน ว่าใครกันที่บอกว่า หากไอ้แก้วตายจะยอมยกน้องให้พี่ โดยไม่ต้องรอให้พี่เป็นขุนเป็นหลวงก่อน”
พลอย และเข้มเห็นทั้งคู่เถียงกัน เลยรีบหยิบถุงเงินแล้วรีบหนีไปทันที
น้ำทิพย์หน้าเสีย เจอมาโนชพูดแบบนี้ ก็ชักหวั่นใจว่าพ่อจะเกี่ยวด้วยจริงๆ
“พี่จะรออยู่ที่นี่ ไม่หนีไปไหนดอก อยู่ที่น้องจะกล้าไปถามคุณอาหรือไม่”
“ฉันไปแน่ แต่หากคุณพ่อไม่เกี่ยวข้อง พี่มาโนชก็เตรียมรับโทษเถอะ”

น้ำทิพย์รีบเดินเลี่ยงไป มาโนชรู้ดีว่าเรื่องมาไม่ถึงตนแน่

ภายในห้องนอน ไชยากรขบกรามจนขึ้นสันนูน น้ำตาคลอเบ้าค่อยๆเเปิดลิ้นชักออก เอื้อมมือไปหยิบปืนที่วางอยู่ข้างใน

น้ำทิพย์เดินลิ่วมาจะขึ้นเรือน กะจะถามพ่อให้รู้เรื่อง ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงปืนดังลั่นขึ้น เธอตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที
น้ำทิพย์รีบมาที่ห้องนอนพ่อ พอมาถึง ก็เห็นอ้อนกับพวกทาสหญิง กำลังช่วยกันเคาะประตูอยู่หน้าห้องไชยากร
“ท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณเจ้าคะ”
น้ำทิพย์ตั้งสติ
“นม เสียงปืนดังมาจากห้องคุณพ่อใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณลงกลอน นมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเปิดเลยเจ้าค่ะ”
น้ำทิพย์ห่วงพ่อสุดๆ เคาะประตูเรียก
“คุณพ่อคะ คุณพ่อ”
เธอหันไปสั่งพวกทาส
“ไปตามบ่าวไพร่ชายมาพังประตูเร็ว”
ทาส 1บอก
“เจ้าค่ะ”
ทาส 1 กำลังจะไป แต่ทันใดนั้น ประตูก็ค่อยๆเปิดออกมา เชยากรเดินออกมาจากข้างใน แบบคนหมดอาลัยตายอยาก น้ำทิพย์ดีใจที่เห็นพ่อ
“คุณพ่อ”
ไชยากรช้ำใจน้ำตาคลอ
“อย่าเรียกพ่อว่าพ่ออีกเลย คนขี้ขลาด ที่ไม่มีความกล้า แม้แต่จะฆ่าตัวตาย ไม่คู่ควรเป็นพ่อใครทั้งนั้น”
ไชยากรเดินซังกะตายออกไป น้ำทิพย์สงสารพ่อจับใจจนไม่กล้าจะพูดอะไรอีก

ผ่านเวลาซักครู่ ภายในห้องนอนน้ำทิพย์ อ้อนตกใจ
“ท่านเจ้าคุณน่ะหรือเจ้าคะ บงการให้ฆ่าพระแก้ว”
น้ำทิพย์ศร้าใจสุดๆ
“ฉันก็ยังไม่ได้ถามจากปากคุณพ่อดอก แต่ฉันกลัวเหลือเกินว่าที่พี่มาโนชพูดจะเป็นความจริง”
น้ำทิพย์แอบมาปรึกษากับอ้อน
“ก็ไม่แน่นะเจ้าคะ ท่านเจ้าคุณชังพระแก้วนัก ทั้งๆที่ท่านเป็นคนถือยศถืออย่าง แต่ก็ยังยอมยกคุณน้ำทิพย์ให้คุณมาโนชได้ โดยที่คุณมาโนชไม่มีบรรดาศักดิ์อะไรเลย แล้วถ้าจะฆ่าพระทั้งผ้าเหลือง จะแปลก
อะไรล่ะเจ้าคะ”
น้ำทิพย์ร้องไห้
“ฉันก็ไม่กล้าถามคุณพ่อ ยิ่งเห็นท่านเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ยิ่งพูดไม่ออก แลถ้าหากเป็นจริง ฉันก็คงต้องปล่อยคนผิดลอยนวลไปอีกแล้ว ฉันมันช่างบาปหนาเหลือเกินนม”
อ้อนสงสารจับใจ กอดน้ำทิพย์ที่ร้องไห้ระบายความอัดอั้นตันใจออกมา
“โถ ทูนหัวของนม คุณน้ำทิพย์ไม่ได้บาปหนาดอกเจ้าค่ะ แต่ที่คุณน้ำทิพย์จำใจทำก็เพราะกตัญญูต่อคุณพ่อต่างหากล่ะคะ”

เวลาต่อเนื่องมา แก้วกำลังก้มลงกราบพระสงฆ์ที่ยืนอยู่หน้าโบสถ์ โดยมีพระยานิติธรรมธาดายืนอยู่ใกล้ๆ
“สึกออกไปแล้ว ก็ขอให้ใช้ธรรมะที่เรียนรู้ไป นำทางชีวิตไปสู่ความสุขความเจริญก็แล้วกันนะโยม” พระบอก
“ขอบพระคุณขอรับ” แก้วรับคำ
พระเดินเลี่ยงไป แก้วลุกขึ้นคุยกับเจ้าคุณ
“นครบาลแจ้งมา ว่าไอ้พลอยกับไอ้เข้มหนีไปแล้ว เป็นไปตามที่แกคิดไว้ แล้วแกจะทำอย่างไรต่อไป”
แก้วหน้าขรึมลง
“ถึงไอ้พลอยไอ้เข้มหนีไปแล้ว แต่คุณมาโนชก็ยังไม่พ้นข้อสงสัยอยู่ดี ระหว่างนี้ คงไม่กล้าทำอะไรกระผมดอกขอรับ แต่กระผมก็ไม่อยากประมาท หมดงานศพไอ้คอกกระผมก็จะหลบไปอยู่ที่อื่นสักพัก จะได้ปลอดภัยแลจะได้มีเวลาคิดไตร่ตรองเรื่องที่ผ่านมาด้วยขอรับ”
“น่าเสียดายอยู่ได้ไม่ครบ3 พรรษาอย่างที่แก้วตั้งใจไว้”
“นั่นสิขอรับ”
เจ้าคุณใช้ความคิด
“ถ้าอย่างนั้น แก้วพร้อมเมื่อไหร่ก็ไปอยู่กับตาของฉันที่นนทบุรีก็แล้วกัน ตาฉันมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ส่วนใหญ่ก็กินนอนกันอยู่ที่เรือน แกไปอยู่ที่นั่น จะได้ไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปทำร้าย”
แก้วยกมือไหว้
“ขอบพระคุณขอรับ ตอนนี้ กระผมต้องไปหานังเจิมก่อน คิดแล้ว ก็หนักใจนัก ไม่รู้จะเอ่ยปากบอก มันเรื่องไอ้คอกอย่างไรเลย”

แก้วใช้ผ้าโพกหัวหลังสึก มาบอกข่าวคอกต่อบุญเจิม ด้วยหน้าตาที่เศร้าสร้อย เธอช็อก มือเกาะลูกกรง แต่แข้งขาอ่อนทรุดลงนั่งกับพื้น
“ไม่จริง พี่โกหกฉัน”
“ข้าจะปดเอ็งทำไม ไอ้คอกมันก็เหมือนน้องชายข้าแท้ๆ แลมันตายก็เพราะช่วยข้า ใจข้าเจ็บปวดไม่ต่างจาก เอ็งดอก เลือกได้ ข้าก็อยากจะตายแทนมันเสียด้วยซ้ำ”
บุญเจิมโวยลั่น
“ไม่จริง เมื่อก่อนรุ่งสางฉันยังเจอมันอยู่เลย แล้วไอ้คอกจะตายได้ยังไง พี่โกหก”
แก้วแปลกใจ
“ก่อนรุ่งสาง เป็นไปไม่ได้ดอกนังเจิม เอ็งติดคุกอยู่ ใครจะให้ไอ้คอกเข้าไปเยี่ยมเวลานั้น หากเป็นจริง ก็คงเป็นเพราะไอ้คอกมันห่วงเอ็งมาก วิญญาณมันจึงมาหาเอ็งเสียมากกว่า”
บุญเจิมคิดตามที่แก้วพูด แล้วน้ำตาคลอเบ้า เอื้อมมือออกนอกกรงไปคว้าข้อมือแก้วไว้
“ไม่จริง ไอ้คอกต้องไม่ตาย พี่บอกมาสิ ว่าพี่แกล้งหลอกฉันเล่นเพื่อลองใจว่าฉันรักไอ้คอกจริงหรือไม่ ไอ้คอกยังไม่ตาย มันยังไม่ตายใช่หรือไม่พี่”
บุญเจิมน้ำตาไหลซึมออกมา แก้วสงสารบุญเจิมจับใจ
“ข้าก็อยากให้เป็นอย่างที่เอ็งพูด นังเจิม”
บุญเจิมร้องไห้โฮออกมาราวกับจะขาดใจ คอกเป็นคนเดียวที่รักเธอจริง เป็นคนเดียวที่รักเธอโดยไม่หวังอะไรตอบแทน
 
คอกตายไป เธอก็ไม่เหลือใครที่จะรักเธอได้มากขนาดนี้อีกแล้ว

น้ำทิพย์กำลังอ่านจดหมายของแก้วอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ

“กระผมไม่รู้เลย ว่าความอาฆาตมาดร้ายของท่านเจ้าคุณกับคุณมาโนช จะมีอีกมากมายเพียงใด จึงจำเป็นต้องหลบเลี่ยงไปสักพักก่อน แต่เวลานี้ กระผมเป็นห่วงคุณน้ำทิพย์นัก ด้วยทราบมาว่าท่านเจ้าคุณถูกปลดจากราชการแล้ว แลด้วยพื้นเพนิสัยของคุณมาโนช คงกำเริบขึ้นมาเป็นแน่ เพลาคนเดียวที่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ก็เห็นจะมีแต่คุณนายนิ่มเท่านั้น”
น้ำทิพย์แปลกใจ เงยหน้าจากจดหมาย พึมพำ
“แม่นิ่มน่ะรึ”
น้ำทิพย์รีบอ่านต่อ ด้วยความสงสัยว่านิ่มจะช่วยอะไรได้

เวลาต่อมา น้อมกำลังโวยวายลั่นที่ร้านธูป
“ตบหัวแล้วลูบหลังกันเช่นนี้ จะไม่เอาแต่ได้เกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ ลองให้อีชั้นกับลูกดูถูกเหยียดหยามพวกคุณดูบ้างเป็นไร ดูซิว่าพวกคุณจะอภัยให้หรือไม่”
น้อมกำลังเล่นงานน้ำทิพย์ โดยมีนิ่ม และอบเชยอยู่ใกล้ๆ เธอนิ่งอยู่ครู่นึง ก่อนจะลุกขึ้น แล้วก้มลงกราบที่ตักของน้อม เล่นเอาทุกคนตะลึง ไม่คิดว่าน้ำทิพย์จะลดตัวลงถึงขนาดนี้
“ฉันรู้ค่ะ ว่าคุณพ่อทำกับคุณนายแลแม่นิ่มไว้หนักนัก ฉันไม่กล้าที่จะขอให้คุณนายให้อภัยดอกค่ะ เพียงแค่อยากขอให้แม่นิ่มไปช่วยฉันดูแลเรือน แลควบคุมบ่าวไพร่เท่านั้น ซึ่งก็คงต้องแล้วแต่ความเมตตาของคุณนายกับแม่นิ่มเท่านั้นล่ะค่ะ”
น้อมอึกๆอักๆ เจอน้ำทิพย์อ่อนเข้าหา เล่นเอาไปไม่เป็น อบเชยเข้าไปพยุงน้ำทิพย์ลุกขึ้น
“ลุกขึ้นเถอะค่ะ อย่าทำอย่างนี้เลย อย่างไรเสีย คุณก็เป็นลูกชาติลูกตระกูล ไม่ควรจะคุกเข่าต่อหน้าพวกฉันดอก”
เธอลุกขึ้นยืนแล้วบอก
“คำว่าชาติตระกูล จะมีเกียรติได้ ก็ต่อเมื่อทำผิดแล้วยอมรับผิดนะคะ ฉันเองก็ทำได้แค่ขอขมาแทนคุณพ่อเท่านั้น ยังไม่สมกับสิ่งที่คุณนายแลแม่นิ่มได้รับดอกค่ะ”
น้อมหน้าเครียด
“แต่ถึงอย่างไร ฉันสองคนแม่ลูกก็เจ็บแล้วจำ แลยามที่ท่านเจ้าคุณมีอำนาจวาสนา ก็หาเคยเห็นหัวพวกฉันไม่ แต่วันนี้หมดสิ้นวาสนาแล้ว จะมาตามกลับไป พูดตรงๆนะเจ้าคะ ใครไปก็โง่แล้ว... จริงหรือไม่แม่นิ่ม”
นิ่มอึกๆอักๆ ว้าวุ่นใจสุดๆ ไม่รู้จะทำยังไง ทุกคนหันไปมองนิ่มเป็นตาเดียว ต่างลุ้นว่าเธอจะตัดสินใจยังไง

บ่ายต่อมา มาโนชกำลังเล่นงานอ้อนอยู่ พวกทาสหญิงคนอื่นๆก็กลัว ไม่มีใครกล้ากับมาโนช
“ฉันเป็นหลาน ทำไมจะถือกุญแจห้องเก็บสมบัติไม่ได้ นมอ้อนอย่าโยกโย้ รีบเอากุญแจมาให้ฉันเสียดีกว่า”
อ้อนโมโห
“ทรัพย์สมบัติพวกนี้เป็นของท่านเจ้าคุณ คนที่จะถือกุญแจได้ ก็มีแต่ท่านเจ้าคุณหรือคุณน้ำทิพย์เท่านั้น คุณมาโนชจะมาขอกุญแจที่อีชั้นไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ”
“โกหก แก่แล้วยังขี้ปดอีกรึ ฉันรู้นะ ว่าน้องน้ำทิพย์ไว้ใจนมอ้อนมาก เลยให้เก็บกุญแจสำคัญไว้หลายดอก เอากุญแจห้องเก็บสมบัติมาให้ฉัน ตอนนี้คุณอาไม่ค่อยสบาย ฉันจะเป็นคนดูแลแทนเอง” มาโนชพูดพลางแบมือออกเพื่อขอกุญแจ
“ไม่มีเจ้าค่ะ ไม่ได้อยู่ที่อีชั้น”
มาโนชโมโห เลยเข้าไปค้นตัวนมอ้อน จนเธอร้องลั่นและพยายามปัดป้อง แต่มาโนชก็ดึงพวงกุญแจที่
นมอ้อนเก็บไว้ในชายพกที่เอวออกมาจนได้ อ้อนตกใจมาก
“เอาคืนมานะเจ้าคะ”
นมอ้อนจะเข้าไปแย่ง แต่โดนมาโนชผลักออกมา
“เป็นคนนอกแท้ๆ จุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง ฉันเป็นหลานแลเป็นคู่หมั้นคุณน้ำทิพย์ ทำไมจะเก็บกุญแจไว้ไม่ได้”
ขาดคำ อบเชยก็เข้ามาทางด้านหลัง และแย่งกุญแจจากมือมาโนชไปทันที มาโนชตกใจ เห็นอบเชยยืนถือกุญแจ ลอยหน้าลอยตายั่วโมโห อยู่ข้างๆ น้ำทิพย์ และนิ่มซึ่งอุ้มลูกชายวัย2-3ขวบมาด้วย
มาโนชหน้าเสียที่เห็นน้ำทิพย์ รีบปั้นยิ้ม
“น้องกลับมาแล้วรึ พี่กำลังอยากปรึกษาน้องอยู่พอดี นมอ้อนแก่แล้วขี้หลงขี้ลืม พี่เลยกะว่า...”
น้ำทิพย์พูดสวนขึ้น
“ฉันได้ยินหมดแล้วล่ะค่ะ แลเห็นด้วย ที่ว่านมอ้อนอายุมากแล้ว นับแต่นี้ ฉันจึงอยากปลงธุระในเรือนนี้ทั้งหมดให้แก่แม่นิ่ม ภรรยาอีกคนของคุณพ่อ หวังว่าพี่มาโนชคงไม่ขัดข้องนะคะ” น้ำทิพย์พูดพลางยิ้มบาง
มาโนชตกใจ ก่อนจะโวยลั่น
“เป็นแค่เมียน้อย จะให้ดูแลทรัพย์สมบัติได้อย่างไร”
อบเชยยิ้มเยาะ
“ถึงจะเป็นเมียน้อย แต่ก็เป็นเมีย แลยังเป็นแม่ของลูกชายคนเดียวของท่านเจ้าคุณไชยากรด้วย นับกันแล้ว ยังใกล้ชิดกว่าคุณมาโนชมากนัก แล้วเหตุใด จะดูแลทรัพย์สินไม่ได้ล่ะคะ”
น้ำทิพย์ยื่นพวงกุญแจให้ นิ่มรับกุญแจมา ก่อนจะหันไปพูดกับนมอ้อน
“นมอ้อนใช่หรือไม่จ๊ะ ฉันขอวานให้ไปตามบ่าวไพร่ทุกคนในเรือนมาที ฉันจะได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามเอาไว้”
“ได้เจ้าค่ะ” อ้อนดีใจมาก รีบเดินเลี่ยงไป
“มีทั้งลูกสาว ทั้งภรรยาคอยดูแลเรือนอย่างนี้ คงไม่ต้องรบกวนพี่มาโนชแล้วล่ะค่ะ”

มาโนชขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะเดินหนีไป ทุกคนมองตามแล้วยิ้มๆ พอใจที่จัดการมาโนชได้

มาโนชเดินลงเรือนมาด้วยความเคียดแค้น

“หาพวกมารุมกู นึกว่ากูจะกลัวรึ”
ทาสชายที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ รีบหลบหน้าหลบตา ไม่มีใครอยากยุ่งกับมาโนชซักคน เขาชักเครียด นับจากพลอยกับเข้มก็หนีไปแล้ว จะหาคนมาใช้งานอะไรลำบากขึ้นทุกที

ไชยากรกำลังนอนหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ท้อแท้ไปหมดทุกอย่าง ขณะนั้นเอง ก็มีเด็กชายวัย 2-3 ขวบ เดินเตาะแตะเข้าไปหาและจับแขนไชยากร เขามองเด็กและพาลหงุดหงิด
“ออกไปได้แล้วไปไอ้หนู ลูกเต้าเหล่าใครกัน พ่อแม่เอ็งไม่ได้สอนรึ ว่าข้าเป็นใคร”
ไชยากรนอนหันหลังไปทางอื่น เด็กชายนั้นก็ปีนขึ้นมาหาไชยากร
“เอ๊ะ ไอ้เด็กนี่...”
พูดเท่านั้น เมื่อไชยากรพิจารณาเด็กดีๆก็ชะงัก เอะใจ และอึ้งไปครู่นึง ก่อนรีบดึงลูกเข้ามากอด
“ลูกพ่อ ไอ้หนูแดงลูกพ่อ มาได้อย่างไรกันลูก”
ขณะนั้นเอง นิ่มก็เดินเข้ามาในห้อง
“ยังดีนะคะ ที่ยังจำลูกตัวเองได้”
ไชยากรยังเคืองๆ
“ก็ถ้าแม่นิ่ม ไม่พรากลูกจากฉันไปเป็นปีๆ ฉันก็จำได้ตั้งแต่แรกเห็นแล้ว แล้วนี่กลับมาทำไมล่ะ ฉันถูกปลดจากราชการ ไม่ได้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ”
นิ่มเดินเข้ามาหา
“เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้กลับมายังไงล่ะคะ ถ้าฉันทิ้งท่านเจ้าคุณยามทุกข์ยาก เมื่อลูกโตขึ้น ฉันก็ไม่รู้จะ ตอบลูกอย่างไร ว่าเหตุใด ฉันถึงได้ใจดำกับพ่อของเค้านัก”
ไชยากรน้ำตาคลอ ซึ้งใจ แต่ก็ยังปากแข็ง
“แม่นิ่มไม่ต้องกลัวคนครหาดอก เพราะฉันเป็นฝ่ายทำร้ายแม่นิ่มก่อน แม่นิ่มควรจะสาแก่ใจในวิบากกรรมของฉันไม่ใช่รึ”
“ค่ะ ฉันสาแก่ใจ เพราะฉันรักท่านเจ้าคุณมาก แต่ท่านเจ้าคุณกลับดูถูกเหยียดหยามฉัน แต่ความแค้น ความสะใจ ก็ยังมีน้อยกว่าความรักอยู่ดี ฉันถึงต้องกลับมาหาท่านเจ้าคุณอย่างไรล่ะคะ”
นิ่มน้ำตารื้นขึ้นมาท่วมตา ไชยากรน้ำตาคลอ ตื้นตันใจ
“แม่นิ่ม”
นิ่มน้ำตาคลอ ตรงเข้ากอดซบหน้ากับขาสามีเอาไว้ ไชยากรพูดทั้งน้ำตา ลูบหัวนิ่ม ซาบซึ้งใ
“ขอบใจมากแม่นิ่ม ขอบใจมาก”
น้ำทิพย์ยืนมองอยู่หน้าประตู เห็นพ่อกับนิ่มคืนดีกันได้ ในเวลาทุกข์ยาก ก็ยิ้มอย่างสุขใจ

บรรยากาศโรงสีตอนเย็น พวกคนงานกำลังเข้าแถวรับเงินหลังจากเลิกงาน ทันใดนั้น พวกเฉียวหู โดยการนำของเค้ง ก็บุกถล่มเข้าทำร้ายคนงานทันที พวกคนงานตกใจที่โดนทำร้าย ต่างวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง วุ่นวายไปหมด
อั้งยี่อีกแก๊งที่คุมโรงสีนี้อยู่ ก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยพวกคนงาน เลยเกิดการตะลุมบอนกันขึ้น แต่พวกแก๊งของเฉียวหูเก่งกาจกว่า สู้กันไปได้ซักพัก พวกเฉียวหูก็สามารถเอาชนะลงได้
เฉียวหูเดินเข้ามาในโรงสี คว้าคอเสื้อคนงานคนหนึ่งขึ้นมา
“กลับไปบอกเถ้าแก่ของลื้อ ว่าถ้าไม่อยากให้โรงสีของมันต้องโดนแบบนี้อีก ก็ให้ย้ายเข้ามาอยู่ในความคุ้มครองของซิวลี่กือ”
เฉียวหูผลักคนงานล้มลงไป แล้วยิ้มร้ายๆที่ขยายเขตปกครองออกไปได้

ในเวลาต่อมา มาโนชกำลังระเบิดอารมณ์ใส่เฉียวหู โดยไม่สนใจชาวบ้านคนอื่นที่มากินเหล้า
“เอ็งบ้าไปแล้วรึไอ้เฉียวหู อยู่ดีๆไปเปิดศึกกับพวกไอ้หยุนหุยมันทำไม”
“อั๊วขาดทุนเรื่องค้าทาสไปโขอยู่ ก็เลยต้องขยายเขตเพิ่ม เพื่อเรียกค่าคุ้มครอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณมาโนช อย่ายุ่งเกี่ยวเลยดีกว่า”
“เอ็งจะไม่ให้ข้ายุ่งเกี่ยวได้อย่างไร ในเมื่อพวกเอ็งมีเรื่องวิวาทกัน ก็เป็นหน้าที่ข้าที่ต้องเข้าไปจับ หรือพวกเอ็งอยากนอนคุกกันนักก็ว่ามา”
“อั๊วเสียเบี้ยอัฐให้คุณมาโนชทุกเดือน ก็เพื่อเหตุนี้ ไม่ใช่ให้คุณมาโนชมาห้ามไม่ให้อั๊ววิวาทไม่ใช่รึ”
“ไอ้เฉียวหู มึง...”
เฉียวหูตัดบท ลุกขึ้นยืน
“อั๊วมีงานต้องทำ ถึงเวลา คุณมาโนชมารับเงินไปก็แล้วกัน”
เฉียวหูเดินออกไป อย่างไม่แยแสมาโนชแม้แต่น้อย มาโนชมองตามด้วยความเคียดแค้น
“สักวัน กูจะให้มึงคลานมาขอร้องกูให้จงได้”

ผ่านเวลาถึงเช้าวันหนึ่ง อ้นกำลังขนของลงเรือ เตรียมจะไปส่งแก้วที่นนทบุรี แก้วช่วยอ้นขนของ ขณะนั้นเอง คุณกัลยาเดินตามออกมาถึงท่าเทียบเรือ
“คุณแดง ออกมาทำไมกันขอรับ อากาศยังเย็นอยู่ ประเดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกนะขอรับ”
คุณกัลยาไอโขลก
“แก้วจะไปนนทบุรีแล้วรึ”
“ขอรับ”
“นี่คงเป็นครั้งสุดท้าย ที่ฉันจะได้เห็นแก้วแล้วสินะ”
แก้วหน้าเสีย
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยขอรับ คุณแดงเองก็แข็งแรงกว่าที่กระผมเจอครั้งสุดท้ายมากนัก สงสัยว่ายาตัวใหม่คงใช้ได้ผล ถ้ารักษาต่อไปต้องหายเป็นแน่ขอรับ”
“อย่าปลอบใจฉันเลย แค่ฉันได้อยู่จนแก้วกลับมาที่นี่อีกครั้งฉันก็ดีใจมากแล้ว จะว่าไป ชีวิตฉันกับแก้วก็แปลกดี ได้เจอกัน แล้วก็พลัดพราก พอแก้วกลับมาให้เห็นหน้าได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องพลัดพรากกันอีกแล้ว”
แก้วพูดอะไรไม่ออก อึดอัด เธออ่านความรู้สึกแก้วออก
“ฉันชวนแก้วคุยนานแล้ว แก้วไปเถอะ”
“รักษาตัวให้ดีนะขอรับ หากกระผมยังมีวาสนา ต้องกลับมาหาคุณแดงอีกแน่ขอรับ”
แก้วเดินไปลงเรือกับอ้น พระยานิติธรรมธาดาเดินตามออกมาหา และจับมือน้องสาวไว้
“พี่ตามหาน้องเสียทั่ว กลับเข้าข้างในเถอะน้องแดง”
เธอพยักหน้ารับอย่างเศร้าๆ แก้วคุกเข่าอยู่กลางเรือยกมือไหว้เจ้าคุณ สีหน้าแววตาซาบซึ้งในความเมตตา เจ้าคุณยิ้มยินดีพร้อมพร้อมพยักหน้าให้ก่อนประคองน้องสาวเดินกลับเข้าไปที่เรือน

แก้วถอนใจออกมานั่งเรือปกติ แล้วหันไปมองข้ามฟากไปที่เรือนของไชยากร คิดถึงน้ำทิพย์สุดๆ แต่เขาก็จำเป็นต้องจากไปโดยไม่ได้ล่ำลา สีหน้าแววตาละห้อยซึมเศร้า
 
อ่านต่อหน้า 2

ลูกทาส ตอนที่ 11 (ต่อ)

ตอนหัวค่ำ แก้ว และอ้น นั่งพับเพียบอยู่หน้าเรือน ต่อหน้าหมื่นลพที่ยืนถมึงทึงอ่านจดหมายของหลานชาย - พระยานิติธรรมธาดาอยู่ มีบ่าวไพร่ยืนถือตะเกียง ส่องให้หมื่นลพอ่านจดหมายอยู่

หมื่นลพมองแก้วเขม็ง
“นี่รึไอ้แก้ว”
อ้นรีบตอบแทน
“ขอรับ”
หมื่นลพหันไปสั่งบ่าวไพร่)
“ไปจัดที่หลับที่นอนให้มันด้วย”
บ่าว 1บอก
“ได้ขอรับพ่อครู”
แก้วยกมือไหว้
“ขอบพระ...”
แก้วพูดไม่ทันจบ หมื่นลพก็เดินหน้าหงิกขึ้นเรือนไป ไม่ยอมรับไหว้หรือพูดอะไรทั้งนั้น เขางงเป็นไก่ตาแตก
“หมื่นท่านโกรธเคืองอะไรฉันรึพี่อ้น”
อ้นหน้าเสีย
“หมื่นท่านคงเคืองเอ็ง เพราะท่านรู้ว่าคุณแดงชอบพอเอ็ง แต่เอ็งไม่ชอบคุณแดง หมื่นท่านเลยไม่พอใจเพราะเหมือนหยามท่านกระมัง”
แก้วตกใจมาก
“อ้าว แล้วท่านหมื่นรู้ได้อย่างไรล่ะพี่”
อ้นยิ้มแหยๆ พูดพลางจับบ่าแก้ว
“ข้าเผลอหลุดปากเองแหละ ขอโทษนะไอ้แก้ว”
อ้นรีบเดินหนีไปทันที แก้วได้แต่ยืนเซ็งสุดๆ เพิ่งมาอาศัยบ้านหมื่นลพ ก็เจอเขม่นซะแล้ว

ลานกว้างหน้าบ้านหมื่นลพ บรรดาลูกศิษย์ลูกหา ซ้อมมวยกันอย่างขยันขันแข็ง บางคนก็เตะต้นกล้วย บางคนก็วิ่ง กระโดดกบ แก้วเดินมานั่งที่แคร่มองดูการซ้อมมวย ลอย ศิษย์เอกของหมื่นลพ กำลังนอนให้ลูกศิษย์คนอื่นนวดอยู่ มองไปทางแก้ว
“ศิษย์ใหม่ของพ่อครูรึ มาฝากตัวตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ศิษย์ 1บอก
“เห็นว่าชื่อไอ้แก้ว เพิ่งมาเมื่อคืนน่ะพี่ลอย ทาสของท่านเจ้าคุณหลานชายพ่อครู เป็นคนพามาน่ะพี่”
ลอยคิดทบทวน แล้วนึกขึ้นได้ รีบลุกขึ้น มองแก้วด้วยความไม่พอใจ
“ไอ้แก้ว ไอ้นี่เอง ที่หยามพ่อครู เห็นที ต้องสั่งสอนมันเสียบ้าง”
ลอยเดินเข้ามาหาแก้ว โดยพวกลูกศิษย์เดินตามมาดูความสนุกกันเป็นแถว ลอยตะคอกใส่แก้ว
“ลุก แคร่นี้เป็นของพวกข้า เอ็งมาใหม่ ห้ามนั่ง”
แก้วลุกขึ้น เดินไปหลบที่ใต้ต้นไม้ อ้นเดินผ่านมาพอดี เหลือบเห็นลอยกำลังหาเรื่องแก้วอยู่
ลอยเดินเข้าไปหาแก้วอีก
“ต้นไม้นี่ก็เป็นของพวกข้า เอ็งไปที่อื่น”
แก้วถอนใจเซ็งๆ
“พี่ชายจะหาเรื่องฉันรึ”
ลอยยิ้มร้ายๆ กวนใส่
“ใช่ แล้วมีอะไรหรือไม่ล่ะ”
ทั้งคู่มองเขม่นกัน อ้นตกใจ รู้ว่ามีเรื่องแน่ เลยรีบวิ่งกลับไปหาหมื่นลพทันที

หมื่นลพออกแนวนักเลงๆหน่อย เป็นพ่อของคุณหญิงลออ มีศักดิ์เป็นตาของเจ้าคุณนิติธรรม ที่บ้านหมื่นลพไม่เคร่งเรื่องบ่าวไพร่ผู้ชายขึ้นเรือน เหมือนพระยาไชยากร ขณะนั้นหมื่นลพกำลังคุยกับบ่าวไพร่ด้วยความหงุดหงิด
“ไอ้ขุนประมวลการกิจ มันเรื่องมากแต่หนุ่มยันแก่ ส่งคนไปให้มันเท่าใด ก็ไม่ถูกใจมันเสียที จะให้ข้าทำอย่างไรวะ”
บ่าว 1บอก
“แต่มันเป็นหน้าที่ท่านหมื่นนะขอรับ ถ้าไม่หาคนส่งไป ท่านขุนก็จะเอาผิดหมื่นท่านได้นะขอรับ”
หมื่นลพเซ็งสุดๆ
“คนอ่านออกเขียนได้ ใช่จะหากันง่ายๆ ไม่ถูกอกถูกใจก็ด่าเปิง แล้วจะให้ข้าส่งใครไปอีกล่ะวะ”
ขณะนั้นเอง อ้นก็วิ่งขึ้นเรือนมา
“ท่านหมื่น ท่านหมื่นขอรับ ไอ้ลอย ไอ้ลอยมันหาเรื่องไอ้แก้ว ขอรับ ท่านหมื่นรีบไปห้ามทีเถิดขอรับ”
หมื่นลพยิ้มพอใจ
“ไอ้ลอย มันคงเจ็บแค้นแทนข้า ไอ้นี่ สมเป็นเศิษย์เอกข้าจริงๆ”
อ้นหน้าเหยเกที่หมื่นลพให้ท้ายลอย
“แต่ไอ้แก้ว เป็นคนที่ท่านเจ้าคุณฝากฝังมานะขอรับ หากถูกทำร้ายเลือดตกยางออก มันก็ไม่ดีนะขอรับ”
หมื่นลพหน้าเจื่อน เกรงใจหลานชายอยู่เหมือนกัน
“เออๆเอ็งไม่ต้องเอาหลานข้ามาขู่ข้าดอกวะ”

หมื่นลพเดินนำลงเรือนไป อ้นรีบตามไปทันที

บริเวณลานหลังบ้าน แก้วกับลอยกำลังชกมวยไทยกันอยู่ โดยมีลูกศิษย์หมื่นลพเชียร์กันดังสนั่น

แก้วมีฝีมือพอตัว ทั้งเตะทั้งต่อยคล่องแคล่วว่องไว แต่ลอยเป็นศิษย์เอกหมื่นลพ และเป็นนักมวยมีฝีมือ สู้กันได้ซักพัก แก้วก็เริ่มสู้ไม่ได้ โดนตีเข่า เขย่าศอกเข้าไปหลายขนาน
หมื่นลพเดินมาพร้อมกับอ้น เห็นลอยใช้เชิงมวยเล่นงาน แม้แก้วพยายามตอบโต้ก็สู้ลอยไม่ได้
“รีบห้ามสิขอรับท่านหมื่น”
หมื่นลพยิ้มกริ่ม
“เอ็งจะร้อนใจไปหากระไร ไอ้ลอยมันไม่ฆ่าตายดอกวะ ให้ข้าดูเชิงมวยมันก่อน”
หมื่นลพดูต่อ เห็นลอยคุมความได้เปรียบไว้หมด ยิ่งสู้ก็ยิ่งเหนือชั้น ลอยเลยชกเรียกเสียงเชียร์หยามแก้วเล่นมากกว่าจะเอาชนะ
แก้วโดนศอกจนร่วง เลือดกำเดาไหล ลุกไม่ขึ้น ลอยหันไปชูมือกับบรรดาลูกศิษย์ เรียกเสียงเฮลั่น
“ไม่ไหวแล้วนะขอรับ รีบห้ามเถอะขอรับ” อ้นว่า
“ใจร้อนจริงโว้ย ไอ้ลอย.”
หมื่นลพพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้น แก้วก็ลุกพรวดขึ้น แล้วต่อยสุดแรงเกิด ลอยมัวแต่ประมาทไม่ทันระวัง โดนหมัดแก้วเข้าไปเต็มๆ จนสลบคาหมัดร่วงลงกับพื้น
หมื่นลพ และอ้นต่างอึ้ง พูดไม่ออก ในขณะที่เสียงเฮๆก็เงียบสนิทลงทันที ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นแบบนี้ไปได้

แก้วหน้าตาฟกช้ำ ลอยมีรอยช้ำที่โดนชกเล็กน้อย นั่งพับเพียบอยู่บนพื้นเรือน รอฟังหมื่นลพตัดสิน มีอ้นนั่งฟังการตัดสินอยู่อย่างใจคอไม่ดี
“กระผมเผลอไปนิดเดียว ยังถือว่าแพ้ไม่ได้ดอกขอรับพ่อครู อย่างไรเสีย ให้กระผมได้แก้มืออีกสักครั้งเถอะขอรับ” ลอยว่า
อ้นอ่อนใจ)
“ยังจะชกต่อยกันอีกรึไอ้ลอย แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว จะเอาเป็นเอาตายกันเลยหรือยังไง”
แก้วไม่อยากมีเรื่อง
“จริงขอรับ มวยของกระผมก็แค่ครูพักลักจำ ไหนเลยจะสู้กับศิษย์มีครูอย่าพี่ลอยได้ เมื่อครู่ ก็เพียงแต่มี โชคเท่านั้นเองขอรับ”
ลอยโมโห ชี้หน้าแก้ว
“เอ็งพูดอย่างนี้ มันดูถูกกันนี่หว่า ถ้าเอ็งเป็นชายจริง.”
หมื่นลพปราม
“ไอ้ลอย”
ลอยฮึดฮัด แต่ก็ไม่กล้าอาละวาดต่อ
หมื่นลพหันไปพูดกับกับแก้ว
“คารมเอ็งก็ไม่เบาเหมือนกันนะไอ้แก้ว เอ็งบอกว่า เอ็งสู้ศิษย์มีครูอย่างไอ้ลอยไม่ได้ ก็หมายความว่า หากเอ็งมีครู เอ็งต้องชนะเป็นแน่ใช่หรือไม่”
แก้วตกใจ
“กระผมไม่ได้หมายความเช่นนั้นขอรับ กระผมเพียงแต่...”
หมื่นลพตัดบท
“เอ็งไม่ต้องพูดแล้ว เพื่อความเป็นธรรม ข้าจะสอนมวยให้เอ็งเอง สอนให้อย่างไม่ปิดบัง แล้วค่อยมาเปรียบฝีมือกับไอ้ลอย ดูซิ ว่าถ้ามีครูคนเดียวกันแล้ว เอ็งจะสู้ไอ้ลอยได้หรือไม่”
ลอยกระหยิ่มยิ้มย่อง อยากแก้มือเต็มแก่ ในขณะที่แก้วอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ตั้งแต่มาถึงก็โดนหาเรื่องไม่เลิก อ้นอ่อนใจ)
“ท่านหมื่นก็พลอยเป็นไปด้วย ไอ้แก้วมันเป็นแต่คัดลอกสำนวนคดีความให้ท่านเจ้าคุณ แล้วจะไปสู้นักมวย เอกอย่างไอ้ลอยได้ ยังไงกัน”
หมื่นลพฉุกคิดขึ้น
“นี่เอ็งเป็นหนังสือรึไอ้แก้ว”
“ขอรับ”
หมื่นลพยิ้มเจ้าเล่ห์ หาทางออกเรื่องขุนประมวลได้แล้ว แก้วมองรอยยิ้มของหมื่นลพแล้วชักหวั่นใจ

ภายในเรือนแพพระยานิติธรรมตอนหัวค่ำ ตุ๊กตาเช็ดตัวให้คุณกัลยาที่กำลังคุยกับพี่ชายไปด้วย
“ขุนประมวลการกิจ เป็นใครกันหรือคะ”
“เท่าที่ฟังจากเจ้าอ้น เห็นว่าเป็นคู่ปรับเก่าของคุณตาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ท่านขุนผู้นี้เป็นคนดุนัก แลเจ้าระเบียบจน ขึ้นชื่อ ใครทำงานด้วยไม่ถูกใจก็ดุด่ารุนแรง จนหาคนทำราชการด้วยยากเต็มที”
เธอไอโขลก ชักห่วงแก้ว
“แล้วคุณตาก็ส่งแก้วไปทำงานด้วยน่ะหรือคะ อย่างนี้ก็เท่ากับกลั่นแกล้งแก้วน่ะสิ”
“อย่าเพิ่งคิดเช่นนั้นเลย เพราะธรรมดาแล้ว คนปากร้าย เจ้าระเบียบ มักจะสอนคนได้ดีกว่าคนใจดีขี้สงสาร มากนัก ไม่แน่ว่าที่เจ้าแก้วไม่ได้บวชเรียนต่อ อาจจะเป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนวิชาความรู้จากท่านขุนประมวลแทนก็เป็นได้”
“แล้วถ้าแก้วทนดุด่าไม่ได้ล่ะคะ จะทำยังไงดี”
“พี่แก้วเคยเป็นทาสมาก่อน แลต้องโทษหนีคดีไปเป็นคนฝนจันทร์ก็เคย เพียงถูกดุด่าแค่นี้ ทำไมจะทนไม่ได้ล่ะเจ้าคะ” ตุ๊กตาว่า
“นั่นสิ น้องห่วงเจ้าแก้วมันเกินไปแล้ว”
เจ้าคุณลูบหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู แล้วบอก
“ตอนนี้ น้องพักผ่อนรักษาตัวก่อนเถอะ อย่าเพิ่งกังวลถึงเจ้าแก้วเลย”
“ค่ะคุณพี่”

คุณกัลยานอนพักลง ตุ๊กตาก็คลี่ผ้าห่มแพร ห่มให้ โดยมีพระยานิติธรรมมองดูน้องสาวด้วยความรักห่วงใย

พระยานิติธรรมธาดา และตุ๊กตา เดินออกมาจากห้องนอนคุณกัลยา พอปิดประตูห้องนอน พระยานิติธรรมก็โอบเอวของตุ๊กตาไว้ เธอรีบเบี่ยงตัวออก อย่างเขินอาย

“อย่าค่ะท่านเจ้าคุณ เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้า”
เจ้าคุณยิ้มกรุ้มกริ่ม
“น้องแดงหลับแล้ว เจ้าอ้นก็เช่นกัน ส่วนเจ้าคุณพ่อกับน้าลออไปงาน คืนนี้คงไม่กลับดอก แล้วจะมีใคร
มาเห็น จริงหรือไม่”
พูดแล้วเจ้าคุณก็จะหอมแก้ม อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบ
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ดีดอกค่ะ ยังหัวค่ำอยู่เลย”
“ก็ฉันคิดถึงตุ๊กตานี่ ตั้งแต่คุณพ่อกับน้าลออมาพักที่นี่ เราก็ยังไม่เคยได้อยู่ด้วยกันตามลำพังเลยนะ หรือตุ๊กตาไม่คิดถึงฉันบ้าง”
พระนิติธรรมพยายามจะหอมแก้ม ตุ๊กตาก็เบี่ยงหลบด้วยความเขินอาย
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงพระยาเดชาฯดังขึ้น
“เจ้าคุณๆ”
พระยานิติธรรม และตุ๊กตา รีบผละออกจากกันทันที เจ้าคุณเดชารณภพกับคุณหญิงลออ เดินเข้ามาหาพระยานิติธรรมด้วยความดีใจ
“อยู่นี่เองเจ้าคุณ พ่อกลัวเจ้าคุณจะหลับไปเสียก่อน โชคดีจริงๆ”
เจ้าคุณรีบปั้นยิ้มกลบเกลื่อน
“เห็นคุณพ่อบอกว่ามีงาน คืนนี้คงไม่กลับไม่ใช่หรือขอรับ หรือว่าเกิดอะไรขึ้น”
ลออยิ้มแย้มบอก
“ไม่มีอะไรดอกจ้ะ แต่พ่อของท่านเจ้าคุณทนไม่ไหว อยากจะรีบมาบอกข่าวดีกับท่านเจ้าคุณเร็วๆ”
“ข่าวดีอะไรหรือขอรับ”
“วันนี้พ่อไปงาน เจอกับท่านเจ้าพระยารังสี ท่านเปรยเรื่องคุณดารา บุตรสาวคนเล็กของท่าน พ่อเห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงอยากจะนัดดูตัวเจ้าคุณกับคุณดาราเสียเลย เจ้าคุณเห็นเป็นอย่างไรเล่า”
พระยานิติธรรม และตุ๊กตา ต่างหน้าเสียขึ้นมาทันที
“กระผมยังมีงานอีกมาก ไม่อยากคิดเรื่องแต่งงานตอนนี้ดอกขอรับ” เจ้าคุณพูดอึกๆอักๆ
ตุ๊กตาก้มหน้านิ่งอย่างเจียมตัวและเตรียมใจ
“พูดอะไรอย่างนั้นท่านเจ้าคุณ หาดูทั่วทั้งพระนคร จะมีใครได้เป็นพระยาแต่ยังหนุ่มเหมือนท่านเจ้าคุณบ้าง แล้วจะไม่มีเหย้าเรือนให้สมหน้าสมตาได้อย่างไร หวงความโสดล่ะสิท่า” เจ้าคุณเดชารณภพยิ้มขำ
เจ้าคุณเหล่มองตุ๊กตาที่เบือนหน้าหนี สีหน้าซีดเผือด ร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า ในที่สุดสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็มาถึงแล้ว

ข้าราชการ 3-4 คนวิ่งหนีตายออกมาจากตึกที่ทำงานในตอนเช้าวันใหม่พร้อมกับข้าวของปาไล่หลังมาปนกับเสียงกร่นด่าของขุนประมวล
“คนหรือวัวควายกันแน่โว้ย พูดแล้วพูดอีกก็ยังผิดซ้ำๆซากๆ... ไปให้พ้น โง่เง่าอย่างนี้ไสหัวไปให้หมดเลย”
ขุนประมวลเดินออกมาพร้อมกับไม้ตะพด มองกราดด้วยสายตาดุดัน ข้าราชการคนไหนที่สบตาก็รีบหนีไปทันทีด้วยความหวาดกลัว
ขณะนั้นเอง ขุนประมวลก็เหลือบไปเห็นแก้วยืนเจี๋ยมเจี้ยมอยู่
“มาหาใคร”
แก้วยกมือไหว้
“ท่านขุนประมวลการกิจใช่หรือไม่ขอรับ กระผมชื่อแก้ว ท่านหมื่นลพส่งให้มาช่วยงานท่านขุนขอรับ”
“มาแล้วรึ จะทำงานกับฉันก็ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ ว่าฉันไม่ชอบคนที่ไม่ใส่ใจในงาน งานอื่นผิดได้ แต่งานราชการผิดไม่ได้ เพราะหากผิดพลาด จะมีผลเสียต่อคนอีกมาก เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจขอรับ”
“ตามมา”
ขุนประมวลเดินกระแทกไม้ตะพด แล้วกลับเข้าข้างในไป แก้วถอนใจหนักๆออกมา งานนี้ไม่ง่ายซะแล้ว

ฝ่ายลอยกำลังซ้อมมวยอย่างดุดัน เข้มแข็ง คู่ซ้อมของลอยมีสองคนช่วยกันรุม แต่ก็สู้ลอยไม่ได้ ฝีมือลอยเหนือกว่าเยอะ หมื่นลพกำลังดูลอยซ้อมมวยอย่างพอใจ
ลูกศิษย์ 1เอาน้ำชาให้ หมื่นลพรับไปจิบ
“พี่ลอยตั้งใจเช่นนี้ ไม่มีแพ้แน่ขอรับพ่อครู”
“อย่าประมาท เพราะข้าลั่นคำไว้แล้ว ว่าจะสอนเชิงมวยให้ไอ้แก้วโดยไม่ปิดบัง หากมันเรียนรู้ได้จริง อาจชนะก็เป็นได้”
ลูกศิษย์ 1ยิ้มเจ้าเล่ห์
“พ่อครูส่งไอ้แก้วไปรับใช้ขุนประมวลเช่นนี้ แค่มันไม่ถูกด่าจนเสียสติก็บุญหนักหนาแล้ว ยังมีกะใจเรียนมวยได้ด้วยหรือขอรับ”
หมื่นลพหัวเราะชอบใจ ภูมิใจในแผนตัวเองมาก

ขณะนั้นเอง ลอยก็ใช้แม่ไม้มวยไทย กระโดดลอยตัวจระเข้ฟาดหางใส่คู่ซ้อมทั้งสองคนกระเด็นกระดอนไปอย่างสวยงาม

ขุนประมวลกำลังสอนงานแก้ว ด้วยท่าทีดุดัน เสียงดัง

“ฉันสอนใครสอนครั้งเดียว ไม่ชอบจ้ำจี้จ้ำไช ถ้าไม่ตั้งใจก็ต้องมีดุด่ากัน ทนไม่ได้ ก็ลาออกไปเสียตั้งแต่เนิ่นๆ”
พูดแล้วก็หยิบเอกสารกองใหญ่ มาวางไว้บนโต๊ะทำงานแก้ว
“เอาไปอ่านให้หมด วันนี้เอาแค่นี้ก็พอ”
“ขอรับ”
แก้วยิ้มรับ หยิบเอกสารต่างๆมาดูว่ามีอะไรบ้าง ขุนประมวลเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตน กำลังจะนั่ง
“ท่านขุนขอรับ กระผมเคยอ่านหมดแล้วขอรับ”
ขุนประมวลชะงัก ไม่ทันนั่งก็หันมาจ้องหน้าแก้ว
“อย่าปากพล่อยนะ ที่ฉันให้เราไปเป็นกฎบัตรกฎหมายทั้งนั้น เคยอ่านที่ไหน”
“กระผมเคยรับใช้ท่านพระยานิติธรรมธาดามาก่อน ท่านเป็นตุลาการ กฎบัตรกฎหมายพวกนี้ กระผมจึงเคยอ่านมาหมดแล้วขอรับ”
แก้วหยิบเอกสารออกมาฉบับหนึ่งแล้วบอก
“ อย่างฉบับนี้ เป็นประวัติกฎหมายตราสามดวงสมัยอโยธยาเป็นราชธานี แม้ว่าตอนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ธรรมเนียมหลายอย่าง ก็สืบเนื่องมาจากกฎหมายฉบับนี้ขอรับ”
ขุนประมวลอึ้งไป ไม่คิดว่าแก้วจะมีความรอบรู้มากขนาดนี้

แล้ววิถีชีวิตของแก้วก็ดำเนินไป ทั้งการชกมวยที่เรือนหมื่นลพและทำงานกับขุนประมวล
เขาทั้งซ้อมมวย เตะต้นกล้วย วิ่ง หาบน้ำเทใส่ตุ่ม ลุกนั่ง ฯลฯ, เขาทำงาน โดยมีขุนประมวลคอยตรวจทาน และพยักหน้าพอใจที่แก้วทำงานเรียบร้อย เขียนไม่ผิดแม้แต่ตัวอักษรเดียว
แก้วกำลังซ้อมมวยกับลูกศิษย์หมื่นลพ โดยมีหมื่นลพคอยสอน แก้วทำได้ดีฝีมือพัฒนา หมื่นลพมองด้วยความพอใจ แต่พอแก้วหันมามอง หมื่นลพก็ปั้นหน้าดุ แล้วเดินหนีไปทางอื่น
แก้วกำลังถามขุนประมวลเรื่องงาน ขุนประมวลอธิบาย แก้วก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
แก้วพัฒนาฝีมือหมัดมวยไปมาก ลอยมาแอบดูการฝึกอยู่มุมสนาม ด้วยสีหน้าหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน

ผ่านเวลา 1 เดือน ไชยากรกำลังป้อนขนม ด้วยความเห่อลูกชายมาก ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา น้ำทิพย์ นิ่ม และอ้อน นั่งร้อยมาลัยอยู่ใกล้ๆ
“ตั้งแต่แม่นิ่มกับน้องมาอยู่ที่เรือน คุณพ่อแจ่มใสขึ้นมากเลยนะจ๊ะ ไม่เคยเห็นคุณพ่อเป็นแบบนี้มานานแล้ว”
อ้อนยิ้มขำๆ
“คนแก่มีลูกเล็กๆก็อย่างนี้ล่ะเจ้าค่ะ ทั้งรักทั้งหลงเลยเชียว”
“ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันได้ก็ดีนะคะ ท่านเจ้าคุณได้ลืมเลือนเรื่องที่โดนปลดออกจากราชการไปได้” นิ่มบอก
น้ำทิพย์หน้าขรึมลง รู้ว่าพ่ออาจจะลืมไปเป็นพักๆ แต่ไม่มีทางตัดใจในลาภยศสรรเสริญได้เด็ดขาด
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงมาโนชโวยวายดังลั่นขึ้น
“มันเรื่องอะไรของเอ็ง แค่คนอาศัย ไม่รู้จักเจียมกะลาหัว กล้ามาด่าเจ้าของเรือน”
ทุกคนได้ยินเสียงมาโนชด่าทอ ก็หน้าเครียด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

หน้าห้องนอน มาโนชกำลังทะเลาะกับอบเชย โดยอบเชยกำลังปกป้องทาสหญิงคนหนึ่งไม่ให้มาโนชบังคับขืนใจ
อบเชยพูดลอยหน้าลอยตายั่วโมโห
“ฉันเพิ่งรู้นะเจ้าคะ ว่าหลานที่เอามาเลี้ยง ก็ถือเป็นเจ้าของเรือนเหมือนกัน”
มาโนชโมโหมาก เงื้อมือจะตบ “อี...”
ทันใดนั้น น้ำทิพย์ก็รีบเข้ามาห้าม
น้ำทิพย์เสียงดุเอาจริง รีบเข้าไปยืนอยู่กับอบเชยเพื่อปกป้อง
“อย่านะคะพี่มาโนช อย่าทำอะไรแม่อบเชยเป็นอันขาด”
ไชยากร และนิ่มเดินตามหลังมา
“เอะอะอะไรกันพ่อมาโนช ได้ยินไปทั่วคุ้งน้ำ ไม่อับอายเค้าบ้างรึ”
มาโนชรีบฟ้อง
“ก็นังนี่น่ะสิขอรับ ขัดขวาง...”
อบเชยพูดสวนขึ้น
“ฉันผ่านมาเห็นคุณมาโนชกำลังบังคับให้แม่สร้อยไปบำเรอในห้อง แม่สร้อยไม่เต็มใจฉันจึงช่วยไว้ นี่คือเหตุที่คุณมาโนชโกรธเคือง ถึงกับจะลงมือลงไม้ต่อฉันเจ้าค่ะ”
น้ำทิพย์หน้าบึ้งตึง ไม่พอใจ
“เรื่องนี้อีกแล้วรึ บ่าวไพร่คนไหนเต็มใจบำเรอก็แล้วไป แต่คนไหนที่ไม่เต็มใจ เมื่อไหร่พี่มาโนชจะเลิกบังคับเสียที”
“พวกมันเป็นทาส มีหน้าที่ต้องทำตามที่เราสั่งอยู่แล้ว พี่เมตตามัน ถือเป็นวาสนาเสียด้วยซ้ำ แต่ไหนแต่ไรมา พี่ก็ทำเช่นนี้ คุณอาก็ไม่เคยว่าอะไร แล้วนังคนนี้เป็นใคร ถึงได้มาสาระแนเรื่องของพี่ หรือว่าอยากจะบำเรอพี่เสียเอง” มาโนชพูดพลางชี้หน้าอบเชย
อบเชยเหลืออด จะอ้าปากด่า
นิ่มกำราบไว้ทัน
“อบเชย”
อบเชยสงบปากแต่สีหน้าแววตายังเจ็บใจมาก
มาโนชหันไปพูดกับไชยากร
“กระผมพูดถูกไหมขอรับคุณอา”
ไชยากรอึกๆอักๆ เหล่มองนิ่ม ยังไงตอนนี้นิ่มกับลูกก็สำคัญที่สุด เลยไม่อยากมีปัญหากับนิ่มอีก
“อาให้แม่นิ่มเป็นแม่เรือนแล้ว เรื่องนี้ก็สุดแล้วแต่แม่นิ่มตัดสินเถิด อย่าให้อายุ่งเกี่ยวด้วยเลย”
ไชยากรเดินเลี่ยงเอาตัวรอดไปก่อน มาโนชอึ้งไปที่อาทิ้งเขาไปดื้อๆ
“ถ้าอย่างงั้นเอาเช่นนี้เถอะค่ะคุณมาโนช เรื่องผิดใจคราวนี้ถือว่าเลิกแล้วกันไป แต่ต่อไป ห้ามมิให้บังคับขืนใจพวกทาสอีก ดีหรือไม่ล่ะคะ”

มาโนชขบกรามแน่นด้วยความแค้น เดินกระแทกเท้าเลี่ยงไป ไม่ยอมพูดซักคำ น้ำทิพย์ยิ้มบางๆ ถูกใจที่มาโนชโดนว่าแบบนี้
 
อ่านต่อหน้า 3

ลูกทาส ตอนที่ 11 (ต่อ)

มาโนชเดินลิ่วๆเข้ามาในสวนด้วยความแค้นและโกรธจัด ทันใดนั้น พลอย และเข้มที่ซ่อนตัวอยู่ ก็โผล่เข้ามาหา

“ไอ้พลอย ไอ้เข้ม ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึ ว่าอย่ากลับมาเหยียบที่นี่อีก แล้วพวกเอ็งมาทำไม”
พลอย และเข้ม รีบคุกเข่าไหว้มาโนชทันที
“ขอประทานโทษด้วยเถอะขอรับคุณมาโนช พวกกระผมจำเป็นจริงๆ เพราะเบี้ยอัฐที่คุณมาโนชให้ไว้ก็หมดแล้ว หากคุณมาโนชไม่เมตตาอีก พวกกระผมคงอดตายเป็นแน่ขอรับ”
มาโนชโมโหมาก
“กูให้ไปไม่ใช่น้อย แค่เดือนเดียวจะหมดได้อย่างไรวะ พวกมึงเอาไปสูบฝิ่นล่ะสิ กูไม่ให้โว้ย พวกมึงจะไปตายที่ไหนก็ไป”
พลอยเจ็บใจ
“ถ้าอย่างนั้น พวกกระผมขอไปตายที่นครบาลก็แล้วกันนะขอรับ แต่ก่อนตาย พวกกระผมจะพูดอะไรออกไปบ้าง คุณมาโนชคงไม่ตำหนินะขอรับ”
มาโนชแค้นสุดๆ
“ไอ้พลอย มึงกล้าขู่กูรึ”
พลอยลุกขึ้นยืน
“ไปกันเถอะวะไอ้เข้ม คุณมาโนชไล่เราไปตายแล้ว จะอยู่ต่อทำไม”
มาโนชแค้นสุดๆ หยิบถุงเงินออกมาโยนลงบนพื้น เข้มดีใจมาก รีบเก็บถุงเงินขึ้นมา
“ขอบพระคุณมากขอรับคุณมาโนช”
พลอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับเข้ม
มาโนชมองตามด้วยความเจ็บแค้นสุดๆ แต่ตนตกเป็นเบี้ยล่างแล้ว เลยทำอะไรไม่ถนัด

บรรยากาศริมคลอง มีหิ่งห้อยส่องแสงระยิบระยับราวกับดาวบนท้องฟ้า ตุ๊กตายกถาดใส่รังนกร้อนๆมาให้คุณกัลยา พระยาเดชารณภพกับคุณหญิงลออนั่งคุยรับลมอยู่ที่ชานเรือนแพ
“ก็เร่งรัดให้ท่านเจ้าคุณไปดูตัวเสียทีสิคะ หน้าที่การงานก็ถือว่าสูงมากแล้ว ขาดแต่คู่ครองเท่านั้นเอง”
ตุ๊กตาหน้าเจื่อนไปทันที
“ฉันก็พูดอยู่แม่ลออ แต่ลูกชายเรามันผัดผ่อนทุกวันมาเป็นแรมเดือนจนฉันไม่กล้าจะสู้หน้าท่านเจ้าพระยารังสีแล้ว เออ แม่แดง แม่แดงช่วยพ่อพูดกับพี่เค้าหน่อยสิลูก”
เจ้าคุณหันไปมองลูกสาว ปรากฏว่า เธอนั่งหลับไปแล้ว
“พุทโธ่ แม่แดง นั่งหลับอะไรตรงนี้ล่ะลูก ไปนอนข้างในเถิด”
พระยาเดชรณภพจับตัวลูกสาว ทันใดนั้น มือของคุณกัลยาก็ตกห้อยลง ชามรังนกตกลงสู่พื้น
ศีรษะพับลงไม่ได้สติแล้ว
“คุณแดง … แม่แดง … แม่แดง”
ทุกคนร้อ งเรียก ตกใจสุดขีด

ผ่านเวลาซักครู่ พระยานิติธรรมหน้าตาเครียด รีบเดินตรงมาที่ห้องนอนน้องสาว พระยาเดชารณภพกับตุ๊กตายืนรออยู่ก่อนที่หน้าห้องแล้ว เจ้าคุณพ่อน้ำตาคลอ ในขณะที่ตุ๊กตาร้องไห้สะอึกสะอื้นตลอดเวลา
“ท่านเจ้าคุณคะ คุณแดง คุณแดง” ตุ๊กตาร้องไห้ เสียใจจนพูดต่อไม่ได้
“เข้าไปเถอะลูก น้องรอเจ้าคุณอยู่คนเดียว” เจ้าคุณพ่อบอก
พระยานิติธรรมเปิดประตูห้องเข้าไป เห็นน้องสาวนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง โดยมีคุณหญิงลออนั่งจับมือลูกสาว ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่
“พี่เค้ามาแล้ว แม่ออกไปก่อนนะลูก”
คุณหญิงลออเดินร้องไห้ออกจากห้องไป พร้อมกับปิดประตู
เจ้าคุณเดินเข้าไปนั่งข้างๆ แล้วกุมมือน้องสาวไว้
“ใกล้จะสิ้นสุดแล้วล่ะค่ะคุณพี่ ชีวิตมีเพียงนี้เอง น้องสาวของคุณพี่”
นิติธรรมสงสารน้องจับใจ
“อย่าพูดอย่างนี้เลยน้องแดง พี่...”
“ให้น้องพูดเถอะค่ะ ป่วยการที่จะปลอบใจ เพราะหาประโยชน์อันใดไม่แล้ว”
เจ้าคุณน้ำตาคลอ จับมือน้องมาแนบแก้ม แล้วพยักหน้าให้น้องพูด
“คุณพี่เป็นหลักของวงศ์ตระกูล นำมาแต่เกียรติยศแลความภาคภูมิใจ น้องจึงไม่ห่วงว่า คุณพ่อคุณแม่จะไม่มีคนดูแล ห่วงเดียวของน้อง ก็คือแก้ว”
สองพี่น้องต่างน้ำตาคลอ
“พี่รู้ พี่สัญญาว่าจะอุปถัมภ์ค้ำชูเจ้าแก้วมันต่อไป ไม่ทอดทิ้งมันเป็นอันขาด น้องอย่าได้กังวลเลย”
“เคราะห์ของแก้ว เห็นทีจะยังไม่หมด คุณพี่ต้องคอยเตือนให้แก้วระมัดระวังตัว อย่าประมาทเป็นอันขาด เพราะน้องคงสิ้นวาสนาที่จะอยู่ดูความเจริญของแก้ว แลไม่มีโอกาสที่จะแจ้งความอันใดต่อแก้วอีกแล้ว”
เจ้าคุณพยักหน้ารับ
“พี่รู้ พี่จะคอยเตือนแลระมัดระวังภัยให้เจ้าแก้วเอง”
“ขอบพระคุณมากค่ะคุณพี่ ชาตินี้น้องอาภัพนัก ความรักก็มีแต่ความทรมานใจมากกว่าความสุขใจ แต่ถึงเช่นนั้น ก็ยังเลิกรักไม่ได้ แลร่างกายก็มีแต่โรคภัยเบียดเบียน ไม่มีแม้แต่แรงที่จะต่อสู้ แต่น้องยังไม่ยอมแพ้ดอกค่ะ ชาตินี้แม้น้องจะแพ้แต่ชาติหน้าน้องขอเป็นผู้ชนะบ้าง”
ขาดคำ เปลือกตาของน้องสาวก็ค่อยๆปิดสนิทลง ก่อนจะขาดใจตายไป
“น้องแดง”

พระยานิติธรรมประคองคุณแดงขึ้นมากอดไว้ น้ำตาไหลซึมออกมาไม่หยุด ทั้งรักทั้งสงสารน้องสุดหัวใจ แต่ไม่ว่าตนจะมีอำนาจบารมีแค่ไหน ก็ไม่สามารถช่วยเหลือน้องไว้ได้

แก้ว และลอย กำลังไหว้ครู เตรียมชกมวย โดยมีหมื่นลพและลูกศิษย์ล้อมวงกันดูเต็มไปหมด
 
โดยมีลูกศิษย์คนหนึ่ง ถือกะลาเจาะรูเตรียมไว้ พอไหว้ครูเสร็จ เสียงปี่กลองก็เชิ่ด ลูกศิษย์เอากะลาวางลงในอ่างน้ำ เป็นสัญญาณการเริ่มชก แก้ว และลอยตั้งการ์ดย่างสามขุมเข้าหากันทันที
ลอยเปิดฉากบุกเข้าใส่ เตะต่อยเล่นงานแก้ว แก้วตั้งรับอย่างใจเย็น ก่อนจะเล่นงานคืนไปให้ลอยต้องตั้งรับบ้าง หมื่นลพดูการต่อสู้ของทั้งคู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รู้ว่าแก้วพัฒนากว่าเดิมมาก ไม่ใช่ลอยจะเอาชนะง่ายๆ แก้ว และลอย ต่อสู้ผลัดกันรุกรับอย่างดุเดือด ทั้งคู่ต่างใช้แม่ไม้มวยไทยเข้าห้ำหั่นกันโดยไม่มีใครยอมใคร ท่ามกลางเสียงเชียร์ดังกระหึ่มของลูกศิษย์หมื่นลพ
แก้วดูเชิงมวยของลอยจนเริ่มรู้ทาง ก่อนจะบุกตะลุยเตะต่อยใส่ลอยอย่างหนัก จนลอยเริ่มล่าถอยไม่เป็นกระบวน พยายามจะเข้าวงในตีเข่า แต่แก้วก็แก้ทางพลิกหลบแล้วฟันศอกสวนจนลอยเข้าไม่ติด
แก้วกระโดดเข่าลอยจนลอยต้องรีบตั้งการ์ดกัน ถึงจะกันได้แต่ก็โดนเข่าจนกระเด็นไป แก้วฉวยโอกาสรุกไล่ จนลอยปั่นป่วนไปหมด
หมื่นลพหน้าเครียดหนัก ที่เห็นศิษย์รักกำลังจะแพ้ แก้วเหลือบตาเห็นสีหน้าหมื่นลพ ก็เข้าใจความรู้สึก ไม่อยากเห็นศิษย์รักแพ้ แก้วจึงถอยออกมาไม่ยอมเอาชนะทั้งที่ทำได้ ปล่อยโอกาสให้ลอยตั้งหลักได้
ลอยงงๆ ก่อนจะคิดว่าแก้วดูถูก พูดพึมพำ โมโหหนัก บุกตะลุยเข้าใส่แก้วทันที
“มึงดูแคลนกู”
แก้วตั้งรับอย่างรัดกุม แม้ลอยจะบุกหนักก็ทำอะไรไม่ได้
ศิษย์ 1เห็นกะลาจมน้ำหมดแล้ว ก็พูดเสียงดัง
“หมดยกแรก”
ลอย และแก้วผละออกจากกัน ลอยมองแก้วด้วยสายตาอาฆาต ก่อนจะเดินกลับไปที่มุมของตน ในขณะที่แก้วเดินขรึมๆไปที่มุม ไม่แสดงท่าทีอะไร หมื่นลพมองตามแก้วไป ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

* กะลาเจาะรูคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการกะเวลาในการชกมวยคือจะเอากะลาวางลงในอ่างน้ำ พอน้ำไหลเข้ากะลาจนกะลาจม ก็ถือว่าหมดหนึ่งยก

บนเรือน ลอยโกรธจัด ฟ้องหมื่นลพยกใหญ่ โดยมีแก้วนั่งหน้าขรึมอยู่ใกล้ๆ
“ไอ้แก้วมันหยามกระผมเหลือเกินขอรับพ่อครู มันมีโอกาสรุกไล่เอาชนะกระผมได้หลายครั้ง มันก็จงใจละ โอกาสเสีย จนครบห้ายกไม่แพ้แลชนะกัน ทำเช่นนี้ ยิ่งกว่าถ่มน้ำลายรดหน้ากันเสียอีกขอรับ”
หมื่นลพพยักหน้ารับ
“ข้าเห็นหมดแล้ว … เอ็งคงเห็นลูกศิษย์หมื่นลพ ไม่อยู่ในสายตากระมังไอ้แก้ว”
แก้วกราบหมื่นลพ
“มิได้ขอรับ แต่กระผมสำนึกตัว ว่าหนีร้อนมาพึ่งเย็น ท่านหมื่นมีบุญคุณกับกระผมท่วมหัว แลยังเป็นตาของท่านเจ้าคุณ ผู้ที่กระผมเคารพรักมากที่สุดในชีวิต กระผมจึงเห็นว่าการเสมอกัน เหมาะควรที่สุดแล้วขอรับ”
“เอ็งไม่อยากหักหน้าข้า ว่าอย่างงั้นเถอะ แล้วเอ็งรู้หรือไม่ ว่าคนเป็นนักมวยนั้น ไม่มีอะไรหยาบหยามไปกว่าการแกล้งยอมแพ้กันอีกแล้ว เอ็งทำเช่นนี้ ยิ่งกว่าหักหน้าข้ามากนัก”
แก้วฟังหมื่นลพพูดแล้วรู้สึกผิด หันไปไหว้ขอโทษลอย
“ฉันขอโทษเถอะจ้ะ พี่ลอย ฉันไม่ได้คิดจะหยามพี่เลย ไอ้แก้วนี้เป็นเพียงลูกทาส หารู้ธรรมเนียมของนักมวยไม่ คิดแต่เพียงว่าไม่อยากผิดใจกันเท่านั้น … แลวิชามวยของ กระผม ท่านหมื่นก็เป็นผู้สอน ถึงกระผมจะชนะก็ไม่ถือว่า ท่านหมื่นเสียหน้าดอกขอรับ”
“เจ้าคารมนักนะเอ็ง มิน่าเล่า ไอ้ขุนประมวลมันถึงได้ถูกใจเอ็ง ... เอ็งว่าอย่างไรไอ้ลอย”
ลอยถอนใจหน้าเครียดๆ
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้สู้กันอีกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น แลไอ้แก้วมันก็ขอโทษขอโพยกระผมแล้ว ถือว่าแล้วกันไปเถอะขอรับ”
“เมื่อเอ็งไม่ติดใจแล้วก็ดี ถ้าเช่นนั้น...”
ขณะนั้นเอง คนรับใช้ก็เดินนำอ้นขึ้นมาบนเรือน อ้นรีบเข้าไปไหว้หมื่นลพ
“อ้าวไอ้อ้น มาหาข้า มีอะไรรึ”
“คุณหญิงให้กระผมมาหาท่านหมื่น เพื่อแจ้งข่าวคุณแดงขอรับ”
อ้นร้องไห้ออกมา อย่างกลั้นไม่ไหวแล้ว
“คุณแดงสิ้นใจแล้วเมื่อคืนขอรับ”
หมื่นลพตกใจจนหน้าซีดเผือด แม้จะรู้ว่าหลานสาวเป็นโรคร้ายอยู่ได้ไม่นาน แต่พอหลานตายก็
ยังอดเสียใจไม่ได้ แก้วอึ้งสนิทไป สีหน้าเศร้าสลด ในที่สุดคุณกัลยาก็จากไปตลอดกาลแล้ว

แก้วกำลังก้มลงกราบพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ในเรือนพักของตน พอกราบเสร็จ แก้วก็นั่งคุกเข่าพนมมือ
“หากวิญญาณของคุณแดง มีญาณรับรู้แล้วล่ะก็ ขอให้คุณแดงทราบเถิดขอรับ ว่าไอ้แก้วคนนี้ จะไม่มีวันลืมคุณไปจากใจ แลน้ำตาที่หมายจะถนอมไว้หลั่งให้กับการสูญเสียมารดาบังเกิดเกล้าเพียงคนเดียว” (
แก้วขบกรามแน่น แต่ก็ร้องไห้ออกมาจนได้...
“ก็ไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกแล้ว ขอให้ไปสู่สุคติเถิดขอรับ”

แก้วก้มลงกราบพระพุทธรูปทั้งน้ำตา เขาทำเพื่อเธอได้เท่านี้จริงๆ

ผ่านเวลาถึงเช้าวันหนึ่ง น้ำทิพย์กำลังอ่านจดหมายของแก้วอยู่ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุขอยู่ที่ท่าน้ำ

“ท่านหมื่นลพตาของท่านเจ้าคุณ เมตตากระผมขึ้นมาก ทำให้ช่วงนี้กระผมสุขสบายกว่าแต่ก่อน แต่ที่สำคัญ ผมมีโอกาสทำงานกับท่านขุนประมวลการกิจ ท่านขุนมีความรู้มาก เมตตา สั่งสอนกระผมหลายอย่าง แม้ว่ากระผมจะไม่ได้บวชเรียนครบสามพรรษาตามที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ได้วิชาความรู้จากท่านขุนมาชดเชย จนรู้สึก
ได้ว่า...”
ทันใดนั้น มาโนชก็เดินเข้ามาหาน้ำทิพย์
“งามหน้านัก ลูกสาวพระยาไชยากร นั่งอ่านจดหมายรักจากไอ้ลูกทาสแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทั้งที่คู่หมั้นยังอยู่ทั้งคน”
น้ำทิพย์หน้าเสีย รีบทิ้งจดหมายลงน้ำทันที ไม่ให้มาโนชรู้ว่าแก้วอยู่ที่ไหน
“ช้าไปเสียแล้ว คนของพี่สืบมาหมด ว่าไอ้แก้วหนีไปอยู่กับตาของไอ้พระยานิติธรรมที่เมืองนนทบุรี ติดอยู่ที่ว่ายังหาคนไปฆ่ามันไม่ได้เท่านั้นเอง”
“นี่ยังไม่เลิกตามจองล้างจองผลาญแก้วอีกรึ เอาเถอะค่ะ ฉันคงพูดกับบัวใต้ตมอย่างพี่มาโนชไม่รู้เรื่อง แต่ขอบอกไว้ก็แล้วกัน ว่าหากแก้วเป็นอะไรไป ก่อนที่ฉันจะตายตาม ฉันจะทำให้พี่มาโนชติดคุกชดใช้กรรมให้จงได้”
มาโนชยิ้มเยาะ
“ถ้าพี่ติดคุก คุณอาก็ต้องติดด้วย น้องกล้ารึ”
“เลวที่สุด คุณพ่อเลี้ยงพี่มาแต่เล็กเสมอลูกอีกคน แต่กลับมาใช้คุณพ่อข่มขู่ฉัน ฉันคิดถูกจริงๆที่ไม่ปลงใจด้วยคนชั่วอย่างพี่”
“ถึงพี่จะชั่ว แต่เราก็เป็นคู่หมั้นกัน น้องหนีพี่ไม่พ้นดอก แลอย่าได้หวังลมๆแล้งๆเลย ว่าไอ้แก้วจะขึ้นมาเสมอพี่ จนคุณอาเปลี่ยนใจยกน้องให้มัน ถึงอย่างไร น้องก็ต้องเป็นเมียพี่อยู่ดี”
น้ำทิพย์จ้องหน้ามาโนชเขม็ง
“พี่มาโนชอาจจะข่มขู่ฉันได้ แต่บังคับให้ฉันแต่งงานกับพี่ไม่ได้ดอก ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน พี่ก็ไม่มีวันเอาชนะฉันได้”
น้ำทิพย์เดินเลี่ยงไปด้วยความโมโห มาโนชมองตาม นับวันก็ยิ่งอยากเอาชนะน้ำทิพย์มากขึ้นทุกที จนเลยเรื่องความรักไปเป็นการเอาชนะกันเท่านั้น

บนเรือน ไชยากรพูดอย่างหงุดหงิด
“ก็แล้วจะให้อาทำอย่างไรล่ะ ถ้าบังคับใจกันแล้วเกิดแม่น้ำทิพย์ฆ่าตัวตายอีก พ่อมาโนชก็ไม่ได้แต่งอยู่ดี”
มาโนชสีหน้าเจ้าเล่ห์
“แล้วถ้าหาก ผมช่วยพูดกับเจ้าคุณพ่อให้ช่วยคุณอาให้ได้กลับเข้ารับราชการอีกล่ะขอรับ คุณอาพอจะมองเห็นวิธีใดขึ้นบ้างหรือไม่”
ไชยากรมองหน้ามาโนชแบบคิดไม่ถึง
“พ่อมาโนชจะช่วยอาจริงๆ รึ”
“คุณอาก็ทราบ ว่าหากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ร่วมเข้าชื่อกันถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ คุณอาก็มีโอกาสกลับเข้ารับราชการได้ เจ้าคุณพ่อของกระผมมีเพื่อนฝูงอยู่ไม่น้อย คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงดอก
ขอรับ ขอเพียงกระผมเอ่ยปากขอร้องเท่านั้น”
ไชยากรอยากกลับรับราชการสุดๆ
“พ่อมาโนชต้องการให้อาแลกเปลี่ยนเรื่องแต่งงานกับน้ำทิพย์ใช่หรือไม่”
“เจ้าคุณพ่อของกระผม จะขึ้นมาราชการพอดี เย็นนี้จะแวะมาเยี่ยมที่เรือน คงมีเวลาได้พูดคุยเรื่องนี้กันอีกที”
ไชยากรลังเลทันที ไม่มีอะไรที่ต้องการมากไปกว่าการเข้ารับราชการอีกแล้ว

มาโนชเดินอารมณ์ดีมีความหวังจะได้แต่งงานกับน้ำทิพย์มาถึงที่ทำงาน ขณะนั้นเอง ตำรวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหามาโนช
ตำรวจ 1 ตื่นตกใจ
“คุณมาโนช เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ”
มาโนชหงุดหงิด
“มีอะไร”
“ไอ้พวกอั้งยี่ยกพวกมาตีกันที่ถนนเจริญกรุงแล้วขอรับ คราวนี้ท่าจะเป็นศึกใหญ่เสียด้วย คุณหลวงพิทักษ์มีคำสั่งลงมา ให้คุณมาโนชพากำลังเข้าระงับเหตุ แลล้อมจับมาลงโทษให้ได้ขอรับ”
“แล้วไอ้อั้งยี่พวกไหนตีกับพวกไหนวะ”
“พวกซิวลี่กือตีกับพวกตั้งกงสีขอรับ”
มาโนชเจ็บใจที่เฉียวหูหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ตน พูดกับตัวเองเบาๆ
“ไอ้เฉียวหู”

เค้งกำลังพาพวกบุกตะลุยใส่อั้งยี่ฝ่ายตรงข้าม โดยมีเฉียวหูคอยตะโกนสั่งการ ทั้งสองฝ่ายโหดพอกัน มีจำนวนพอกันเลยสู้กันอย่างดุเดือด จนเปลี่ยนกลางถนนเป็นสมรภูมิไปทันที
เฉียวหูเตะใส่ศัตรูคนหนึ่ง ก่อนจะตะโกนสั่งการ
“บุกเข้าไป เด็ดหัวตั่วกอของมันมา เขตของตั้งกงสี ต้องกลายเป็นของซิวลี่กือ”
เค้งพาพวกรุกไล่ ฝ่ายตั้งกงสีก็ไม่ยอม ต่อสู้อย่างดุเดือดเลือดพล่าน
ทันใดนั้น ก็มีเสียงปืนดังขึ้น อั้งยี่คนหนึ่งถูกยิงจนล้มคว่ำไป พวกอั้งยี่ตกใจ ทันใดนั้น มาโนชก็นำตำรวจจำนวนมาก พร้อมปืนยาวและอาวุธอื่นครบมือ กระจายกำลังเข้าล้อมพวกอั้งยี่ไว้
มาโนชตะโกนสั่ง
“จับพวกมันให้หมดทุกคน ใครขัดขืน ยิงได้เลย”
สั่งเสร็จ มาโนชก็รีบไปหลบหลังลูกน้องทันที เพราะกลัวโดนลูกหลง พวกตำรวจมีจำนวนมากกว่า อาวุธเหนือกว่าเยอะ และยังมีระเบียบวินัยมากกว่า เลยได้เปรียบ อั้งยี่บุกเข้าทำร้ายตำรวจ ก็โดนยิงร่วงไปทีละคน พวกที่พยายามฝ่าวงล้อม ก็โดนตำรวจใช้ทั้งกระบอง ดาบไล่ฟันไล่ตีจนถอยร่นไป จนในที่สุด พวกตำรวจก็สามารถล้อมพวกอั้งยี่ทั้งสองแก๊งเอาไว้ได้

เฉียวหูมองมาที่มาโนชด้วยความแค้นใจ แต่ก็หมดทางหนีซะแล้ว ในขณะที่มาโนชยิ้มสะใจ ที่สามารถจัดการพวกอั้งยี่เอาไว้ได้สำเร็จ

เฉียวหู เค้ง และอั้งยี่อีกจำนวนหนึ่ง ถูกมัดมือให้คุกเข่าอยู่บนพื้น แต่ละคนมีรอยฟกช้ำดำเขียว

เพราะโดนตำรวจเล่นงานกันไปไม่น้อย มาโนชกำลังเดินตรวจพร้อมกับจดบัญชีอั้งยี่ที่ถูกจับได้ไว้ด้วย
มาโนชเดินมาหยุดที่เฉียวหู แล้วนั่งยองๆลงคุยกับเฉียวหูเบาๆ ยิ้มเยาะ)
“ในที่สุด เอ็งก็ต้องมาคุกเข่าต่อหน้าข้าจนได้ ไอ้เฉียวหู”
เฉียวหูเจ็บใจมาก แต่เสียเปรียบอยู่ เลยไม่กล้าโวยวาย พูดเบาๆ
“คุณมาโนชช่วยอั๊วได้หรือไม่ล่ะ ถ้าได้ จะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา”
“ยอมอ้อนวอนข้าแล้วรึ”
มาโนชคิดทบทวนอยู่ ครู่หนึ่งแล้วบอก
“ถ้าข้าไม่เอาเงิน แต่เอ็งต้องมาทำงานให้ข้า จะตกลงหรือไม่ล่ะ”
“ได้ งานอะไรอั๊วก็ยอมทำทั้งนั้น”
มาโนชยิ้มสะใจ ชี้ไปที่เฉียวหู บอกลูกน้อง
“ไอ้พวกนี้ไม่ใช่พวกอั้งยี่ดอก มันรู้จักกับฉัน คอยรับใช้ลากรถแลแบกหามของให้ มันผ่านไปตอนที่พวกอั้งยี่ตีกันพอดี เลยถูกจับมาด้วย ปล่อยมันไป”
“ขอรับคุณมาโนช”
ตำรวจเข้าไปแก้มัดให้พวกเฉียวหู มาโนชยิ้มสะใจ นอกจากจะเอาคืนเฉียวหูได้แล้ว ยังได้ลูกน้องใหม่มาใช้งานอีก

เวลาเย็น ไชยากรเดินขึ้นเรือนมาพร้อมกับพระยานคราเขตต์บุรีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เอาใจเจ้าคุณ พ่อมามาโนชเต็มที่
“คุณพี่อาบน้ำอาบท่าให้สบายเนื้อสบายตัวก่อน แล้วเราค่อยมารับสำรับเย็นกันนะขอรับ”
ไชยากรเดินคุยกับเจ้าคุณเข้าข้างในเรือนไป
นิ่ม และอบเชย ยืนแอบดูอยู่
“นี่รึ เจ้าคุณพ่อของคุณมาโนช ท่าทางไม่เบาเหมือนกันนะพี่นิ่ม มิน่าเล่า ถึงมีลูกอย่างคุณมาโนชได้” อบเชยว่า
นิ่มสงสัย
“หวังว่าท่านเจ้าคุณคงไม่ได้มาธุระเรื่องคุณน้ำทิพย์กับคุณมาโนชดอกนะ”
นิ่มและอบเชยสบตากัน กังวล เป็นห่วงน้ำทิพย์

ภายในห้องทำงาน น้ำทิพย์หน้าเครียดพูดกับพ่อ
“ลูกเคยเอ่ยปากไว้แล้ว ว่าหากจะบังคับให้ลูกแต่งงานกับพี่มาโนช ก็ให้เอาศพลูกไปเข้าพิธี ถ้าคุณพ่อต้องการเช่นนั้น ก็เอาศพลูกไปได้เลยค่ะ”
“อย่าขู่พ่อเลยแม่น้ำทิพย์ นึกว่าพ่ออยากทำอย่างนี้รึ แต่มันเป็นความหวังเดียว ที่พ่อจะได้กลับเข้ารับราชการอีก พ่อถึงต้องบากหน้ามาขอร้องลูกอย่างไรเล่า”
“คุณพ่อเชื่อได้อย่างไรคะ ว่าพี่มาโนชจะช่วยคุณพ่อได้จริงอย่างปากว่า”
“พ่อไม่ได้เชื่อพ่อมาโนช แต่พ่อเชื่อท่านเจ้าคุณนคราต่างหาก ท่านเจ้าคุณมีสมัครพรรคพวกมาก ถ้าจะช่วยกันจริงๆ มีรึจะทำไม่ได้”
“คุณพ่อเองก็มีสมัครพรรคพวกมากเหมือนกัน จะต้องพึ่งพาเค้าทำไมล่ะคะ”
ไชยากรอึ้งไปครู่นึง ก่อนจะขบกรามแน่น
“ไม่มีดอก นอกจากท่านพระครูแล้ว พ่อไม่มีเพื่อนฝูงอื่นอีก ที่คบหากัน ก็เป็นแต่หลอกใช้ ซึ่งกันและกันเท่านั้น ลูกไม่เห็นรึ ว่านับแต่พ่อถูกปลด ไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเยียนพ่อเลย”
น้ำทิพย์อึ้งไปครู่นึง ไม่คิดว่าแท้จริงแล้วพ่อจะโดดเดี่ยวขนาดนี้
“คุณพ่อ“
ไชยากรขบกรามแน่น น้ำตาคลอด้วยความแค้นใจ
“ทุกคนที่รู้ข่าวพ่อ ถ้าไม่สมน้ำหน้าสะใจ ก็รีบไปหาที่พึ่งพิงใหม่ทั้งสิ้น นับแต่ถูกปลด พ่อไม่เคยก้าวเท้าออกจากเขตบ้านอีกเลย เพราะพ่อรู้ว่า มีแต่คนจ้องจะเย้ยหยัน หรือไม่ก็คิดล้างแค้นพ่อทั้งนั้น พ่อถึงอยากกลับเข้ารับราชการอีก ช่วยพ่อเถอะนะแม่น้ำทิพย์ มี แต่ลูกเท่านั้นที่จะช่วยพ่อได้”
“คุณพ่อจะทำอะไรกันคะ”
ไชยากรน้ำตาคลอ
“พ่อจะกราบขอร้องลูกยังไงล่ะ พ่อไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากลูก ถ้าลูกไม่ช่วยพ่อ ก็ให้พ่อไปตายเสียดีกว่า พ่อทนอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
น้ำทิพย์อึ้งไป ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น เธอไม่อยากแต่งงานกับมาโนชเลย แต่ก็ทนเห็นพ่อกราบขอร้องตนไม่ได้เช่นกัน

เวลาหัวค่ำ ภายในห้องนอน อ้อนกำลังคุยกับน้ำทิพย์ที่นั่งซึมราวกับคนที่ไร้จิตใจ
“คุณน้ำทิพย์จะยอมแต่งงานจริงๆหรือเจ้าคะ”
น้ำทิพย์ท้อแท้ หมดสิ้นทุกอย่าง
“ฉันยังมีทางเลือกอีกหรือจ๊ะนม ในเมื่อคุณพ่อถึงกับจะคุกเข่าไหว้ฉัน ถ้าฉันยังไม่ยอมอีก ก็อกตัญญูเกินกว่าจะเป็นคนแล้ว”
“แต่การแต่งงานกับคุณมาโนช ไม่ต่างกับตกนรกทั้งเป็นเลยนะเจ้าคะ”
“ถ้าคุณพ่อบังคับให้ฉันแต่งงาน ฉันคงเลือกที่จะตายแต่ในเมื่อคุณพ่อขอร้องฉันให้ทำเพื่อท่าน ต่อให้ต้อง ตกนรกขุมที่ลึกที่สุด ฉันก็จะยอมเดินลงไปหามันเอง ดีกว่า ให้คนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างคุณพ่อ ต้องทำถึงขนาดนั้น”
อ้อนดึงน้ำทิพย์เข้ามากอดด้วยความสงสาคร
“โธ่ คุณน้ำทิพย์ของนม”
น้ำทิพย์กอดนมอ้อนร้องไห้สะอึกสะอื้น ถึงขั้นนี้ตนยอมหมดทุกอย่างแล้ว

ตอนกลางคืน ไชยากรเดินอารมณ์ดีเพื่อจะไปที่ห้องของมาโนช กะคุยเรื่องที่จะขอพระราชทานอภัยโทษกับมาโนช และพระยานคราเขตต์บุรี ขณะกำลังจะเคาะประตูห้อง ก็ได้ยินเสียงเจ้าคุณพ่อของมาโนช ดังแว่วออกมาจากในห้อง
“ทำไมพ่อมาโนชโง่อย่างนี้นะ เจ้าคุณไชยากรหมดวาสนาแล้ว จะไปคว้าลูกสาวเค้ามาทำไม”
ไชยากรชะงักทันที หน้าซีดเผือดที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้
ภายในห้อง สองพ่อลูกกำลังคุยกันอยู่
“คุณอาเพียงแต่โดนปลดจากราชการเท่านั้น มิได้โดนโทษอุกฉกรรจ์ หากเจ้าคุณพ่อยอมช่วยเหลือ ก็ถวายฎีกาขอ พระราชทานอภัยโทษให้คุณอากลับเข้ารับราชการอีกได้ไม่ใช่หรือขอรับ”
เจ้าคุณส่ายหน้าเซ็งๆ
“พ่อมาโนชคิดว่าง่ายนักรึ เรื่องเช่นนี้ไม่มีใครอยากเอามือไปซุกหีบดอกนะ แทนที่จะทำถึงขั้นนั้น สู้พ่อ มาโนชหาผู้หญิงที่คู่ควรไม่ดีกว่ารึ”
มาโนชหน้าเสีย
“แต่กระผมรักน้องน้ำทิพย์มานานแล้ว แลถึงคุณอาจะไม่ได้รับราชการ แต่ก็ยังมั่งมีมากนัก แต่งงานไป ก็ไม่ขาดทุนดอกขอรับ”
“หากมีอำนาจในมือ เงินทองจะหาซักเท่าใดก็ได้ พ่อเองแม้จะได้ชื่อว่าเป็นพระยาเท่ากับพระยาไชยากร แต่นับกันจริงๆก็ยังมีศักดินาเป็นรองมากนัก แต่ที่พ่อร่ำรวยกว่า ไม่ใช่เพราะมีอำนาจในหัวเมืองปักษ์ใต้
ดอกรึ แล้วพ่อมาโนชจะอาลัยทรัพย์สมบัติของพระยาไชยากรไปทำไม”
มาโนชลังเล เพราะเสียดายน้ำทิพย์และอยากเอาชนะ
“แต่กระผม...”
พระยานคราเขตต์บุรี ตบบ่าลูกชาย พูดตัดบท
“เชื่อพ่อเถิด จะมีเมียทั้งที ก็ต้องเลือกที่เกื้อหนุนเราได้ แต่ถ้าลูกเสียดายแม่น้ำทิพย์มากนัก ก็รับไว้เป็นเมียน้อยก็พอ”

ไชยากรแอบฟังทั้งคู่คุยกัน พอได้ยินว่าจะเอาลูกสาวที่เขารักยิ่งกว่าชีวิตไปเป็นเมียน้อย ก็แค้นใจสุดๆ กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ
 
อ่านต่อหน้า 4

ลูกทาส ตอนที่ 11 (ต่อ)

เวลาหัวค่ำต่อเนื่อง ไชยากรกำลังเดินซึม เข้าไปในศาลาท่าน้ำ เสียงพูดของพระยานครายังดังก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวตลอดเวลา เขาขบกรามแน่นจนขึ้นสันนูน น้ำตาคลอด้วยความแค้นใจสุดๆ ไม่เคยตกต่ำขนาดนี้มาก่อน

"ลูกถูกดูแคลนเพราะพ่อแท้ๆ พ่อขอโทษ"
ไชยากรน้ำตาซึมออกมา

อ้น ตุ๊กตา ช่วยกันขนข้าวของต่างๆในเรือนแพออกมากองที่หน้าเรือน เตรียมตัวจะย้ายไปอยู่ที่เรือนของพระยาเดชารณภพ
เจ้าคุณนิติธรรมเดินคุยกับพ่อและคุณหญิงลออ ออกมาจากข้างใน
"กระผมจะให้คนรื้อเรือนแพออกให้หมดแล้วเอาไปถวายวัด คุณพ่อกับคุณน้า เห็นควรว่าอย่างไรขอรับ"
"แล้วแต่เจ้าคุณเถอะ อย่างไรก็ไม่ได้อยู่แล้ว เก็บไว้ก็พาลคิดถึงแม่แดงเปล่าๆ วิญญาณแม่แดงก็จะไปไม่สงบเพราะห่วงเราด้วย"
"แต่น้าว่ารอดูซักพักแล้วค่อยรื้อดีกว่า เกิดพ่อของท่านเจ้าคุณเมาอาละวาดอีก ท่านเจ้าคุณจะได้มีที่มาหลบอย่างไรเล่า" ลออพูดพลางเหล่มองพระยาเดชารณภพ
"พิโธ่ แม่ลออ อยู่เฝ้าลูกมาเป็นแรมเดือน เห็นฉันแตะเหล้าซักหยดหรือไม่เล่า ฉันเลิกได้แล้วจริงๆ แม่ลออ เฝ้าระแวงฉันอย่างนี้ ฉันก็ทุกข์แม่ลออก็ทุกข์ หามีคุณกับผู้ใดเลย"
ลออทิ้งค้อน
"ดูเอาเถอะค่ะเจ้าคุณ ไปๆมาๆกลายเป็นน้าผิดเสียอีก จนปูนนี้แล้ว พ่อของเจ้าคุณยังคารมดีไม่มีตกเลย"
พระยานิติธรรม ตุ๊กตา อ้น ยิ้มขำๆ ที่ทั้งคู่ยังพ่อแง่แม่งอนใส่กันตลอด
เจ้าคุณพ่อรีบเปลี่ยนเรื่อง
"เจ้าคุณ เรื่องดูตัวกับบุตรสาวท่านเจ้าพระยารังสี เจ้าคุณผัดผ่อนพ่อมาหลายคราวแล้วนะ ถามจริงๆเถอะ เจ้าคุณมีคนที่ชอบพออยู่แล้วใช่หรือไม่"
เจ้าคุณหน้าเสียเหล่มองตุ๊กตาที่รีบเบือนหน้าหลบทันที เจ้าคุณอึกอัก โกหกไม่เก่งเลยไม่อยากพูดมาก
"เอ่อ ไม่มีขอรับ กระผมเพียงแต่ยุ่งเรื่องข้อราชการ จึงไม่มีเวลาเท่านั้นเอง"
"แต่คราวนี้เจ้าคุณต้องหาเวลาได้แล้ว เพราะขืนผัดผ่อนอีก พ่อกับท่านเจ้าคุณรังสีจะผิดใจกันได้"
ลออยิ้มแย้ม
"น้าแอบไปเห็นคุณดารามาแล้ว งามสมกับท่านเจ้าคุณเหลือเกิน เชื่อน้าเถอะ ไม่ผิดหวังดอก"
เจ้าคุณหน้าเจื่อน หมดทางบ่ายเบี่ยง เสียงอ่อย
"ขอรับ"
ตุ๊กตาหน้าซีดเผือดรีบเบือนหน้าหนี ไม่กล้ามองหน้าเจ้าคุณด้วยความสะเทือนใจ

เรือนพระยาเดชารณภพตอนบ่าย เจ้าคุณนิติธรรมเปิดประตูห้องเข้ามา เห็นตุ๊กตากำลังจัดห้องให้อยู่
เจ้าคุณยิ้มแย้ม ปิดประตูลงแล้วเข้าไปหา ตุ๊กตาเดินเลี่ยงไปอีกทาง ทำเอาเจ้าคุณหน้าเจื่อนไปทันที ก่อนปั้นยิ้มถาม
"ห้องหับเป็นอย่างไรบ้าง ถูกใจหรือไม่"
"ดีเจ้าค่ะ คุณหญิงท่านเมตตาตุ๊กตานัก จัดห้องให้อยู่เป็นสัดส่วน ไม่ต้องนอนรวมกับบ่าวไพร่คนอื่น"
"ดีแล้ว หากฉันว่างเมื่อใด..."
เจ้าคุณจะเข้ากอด เธฮรีบเบี่ยงตัวออกมา
"โกรธที่ฉันจะไปดูตัวรึ"
ตุ๊กตาน้อยใจสุดๆ
"ตุ๊กตาไม่กล้าโกรธเคืองท่านเจ้าคุณดอกค่ะ ตุ๊กตาสำนึกตัวดี ว่ามีชาติกำเนิดเป็นไพร่ต่ำสกุล ไม่คู่ควรกับท่านเจ้าคุณมาแต่แรกอยู่แล้ว"
เจ้าคุณถอนใจหน้าเครียด
"ฉันเองก็พยายามบ่ายเบี่ยงมาตลอด แต่คราวนี้มันหมดทางแล้วจริงๆ แลด้วยวัยกับหน้าที่การงาน
ของฉัน หากยังครองตัวเป็นโสดอยู่ก็ต้องถือว่าแปลกพิกล ฉันจึงไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรไปอ้างกับคุณพ่อ แต่ฉันสัญญาว่า ถึงอย่างไรก็จะไม่มีวันทอดทิ้งตุ๊กตาเป็นอันขาด อย่ากังวลเลย"
ตุ๊กตาน้ำตาคลอด้วยความน้อยใจ
"ค่ะ ตุ๊กตาทราบ ว่าวาสนาตัวเองคงเป็นได้แค่เมียบ่าวที่เก็บเอาไว้ก้นครัวเท่านั้น คนที่จะเป็นคุณหญิงออกหน้าออกตาร่วมกับท่านเจ้าคุณ ก็ควรเป็นคนที่มีศักดิ์เสมอกัน อันที่จริง ตุ๊กตาก็ทำใจไว้นานแล้ว เพียงแต่เมื่อวันนี้มาถึง ตุ๊กตาก็อดใจหายไม่ได้อยู่ดี"
ตุ๊กตาเดินเลี่ยงออกจากห้องไป เจ้าคุณได้แต่มองตาม สงสารแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะตุ๊กตาศักดิ์ห่างกับตนมากอย่างที่ว่าจริงๆ

หลังจากแก้วกับลอยปรับความเข้าใจกันได้ ก็สนิทกัน ตอนเย็น แก้วเพิ่งกลับจากทำงานกับขุนประมวล และเดินคุยมากับลอย
"แม่ชมพู่เค้ามีใจให้ข้าอยู่แล้วโว้ย แต่ค่าสินสอดมันมากนัก ไม่ให้ฉุดแล้วจะทำยังไงวะ" ลอยว่า
"หาทางอื่นเถอะพี่ลอย ฉันจะช่วยคิดก็แล้วกัน แต่พี่ลอยอย่าไปฉุดคร่าเลย มันผิดกฎหมายบ้านเมือง"
ลอยเซ็งๆ
"เอ็งก็มีแต่กฎบัตรกฎหมายเหลือเกิน มิน่า ขุนประมวลถึงได้ชอบใจเอ็ง เออๆ ไม่ฉุดก็ไม่ฉุด ข้าจะไปบอกแม่ชมพู่ให้รอไปก่อนก็แล้วกัน แต่เอ็งต้องช่วยข้าจริงๆนาโว้ย"
"เอาหัวเป็นประกันเลยพี่ รับรอง ว่าพี่ต้องได้แต่งงานกับแม่ชมพู่แน่"
ทั้งคู่เดินขึ้นเรือนหมื่นลพไป เฉียวหู และเค้ง ที่แอบดูอยู่ที่มุมหนึ่ง เค้งมองตามแก้วไป
"ใช่ไอ้คนในภาพแน่ จัดการมันเลยตั่วกอ"

"ยังก่อน คนอย่างไอ้มาโนชใช้เรามาฆ่ามัน แสดงว่าคงไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายนัก รอโอกาสเหมาะกว่านี้ก่อน แล้วค่อยลงมือ"

ตอนหัวค่ำ มาโนชแต่งตัวเตรียมออกไปอยู่เวรตอนกลางคืน เขากำลังคุยกับไชยากรที่เชื่องซึม ไม่ค่อยสนใจที่มาโนชพูดนัก นิ่มนั่งเจียนใบพลูอยู่ใกล้ๆ

"เจ้าคุณพ่อต้องการให้กระผมตั้งใจรับราชการ จึงอยากเลื่อนการแต่งงานกับน้องน้ำทิพย์ออกไปก่อน คุณอาเห็นควรว่าอย่างไรขอรับ"
"สุดแล้วแต่พ่อมาโนชเถอะ อาไม่มีความเห็นอะไรดอก"
"ถ้าอย่างนั้น กระผมขอตัวไปเข้าเวรก่อนนะขอรับ"
มาโนชไหว้ลา ก่อนจะลุกออกไป เมื่อเห็นว่า มาโนชไปแล้ว นิ่มรีบเข้ามาหาสามีด้วยความดีใจ
"น่าแปลกนะคะ แต่ก่อนเห็นคุณมาโนชเร่งรัดเช้าเย็น จะแต่งงานกับคุณน้ำทิพย์ให้ได้ แล้วทำไมจู่ๆถึงมาขอเลื่อนเองก็ไม่รู้"
" ฉันไปนอนก่อนนะแม่นิ่ม"
ไชยากรตัดบท รู้ว่า การเลื่อนงานแต่งงาน เพราะตนสิ้นวาสนาแล้วนั่นเอง จังหวะที่ไชยากรจะเดินเลี่ยงไป แต่เกิดเวียนหัวจนตัวเซ ต้องจับฝาบ้านไว้ไม่ให้ล้ม นิ่มตกใจ รีบเข้าไปประคอง
"ท่านเจ้าคุณ เป็นอะไรไปคะ"
ไชยากร หน้าตาแดงก่ำเพราะพิษไข้ ช้ำใจ ตรอมใจจนไม่สบาย

ไชยากรนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง โดยมีน้ำทิพย์คอยเช็ดตัวให้ ส่วนนิ่ม และอบเชยยืนดูด้วยความเป็นห่วงอยู่ใกล้ๆ
"ตามหมอดีหรือไม่คะคุณน้ำทิพย์"
"คุณพ่อตัวร้อนไข้ขึ้นสูง แต่ไม่มีอาการอย่างอื่น ลองเช็ดตัวแล้วให้ทานยาฝรั่งดูก่อนแล้วกันจ้ะ ถ้าไม่ดีขึ้น วันพรุ่งค่อยตามหมอ"
อบเชยแกล้งพูดลอยๆ
"ตรอมใจอย่างนี้ หมอจะรักษาได้รึ"
นิ่มปราม
"อบเชย"
"หรือไม่จริงล่ะพี่นิ่ม พวกบ่าวไพร่มันเอาไปลือกัน ว่าคุณมาโนชเปลี่ยนใจเลื่อนงานแต่งออกไปแล้ว ท่านเจ้าคุณหวังจะได้กลับเข้ารับราชการอีก เจอเหตุผิดคาดเช่นนี้เข้า แล้วจะไม่ตรอมใจได้อย่างไร"
น้ำทิพย์หน้าขรึมลง แม้จะดีใจที่ไม่ต้องแต่งงาน แต่ก็ห่วงพ่อ เพราะรู้ว่าพ่อคงผิดหวังมาก นิ่มหน้าบึ้งตึงบอก
"ปากมากจริงเชียวแม่อบเชย ไป ไปช่วยพี่เตรียมหยูกยาให้ท่านเจ้าคุณดีกว่า"
นิ่มดึงอบเชยที่ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนักออกไป น้ำทิพย์กุมมือพ่อด้วยความสงสาร เพราะรู้ว่า พ่อคงผิดหวังจริงๆอย่างที่อบเชยว่า
น้ำทิพย์ลุกขึ้น ยกอ่างน้ำออกไปจากห้องเพื่อเปลี่ยนน้ำ ไชยากรลืมตา น้ำตาคลอเบ้า แกล้งหลับเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ ชีวิตตกต่ำจนถูกมาโนชกับพ่อดูถูกอย่างเจ็บปวด

เจ้าพระยารังสีฯ เดินนำพระยานิติธรรม กับ เจ้าคุณเดชารณภพเข้ามาในห้องรับแขก ด้วยสีหน้า
ยิ้มแย้มแจ่มใส
"ได้ยินชื่อท่านเจ้าคุณนิติธรรมมานานแล้ว ตัวจริงยังหนุ่มแน่นกว่าที่รู้มาเสียอีก เห็นที จะเป็นพระยาที่หนุ่มแน่นที่สุดในสยามกระมัง"
เจ้าคุณนิติธรรมธาดายิ้มบางๆ
"กระผมเองก็เคยได้ยินชื่อท่านเจ้าพระยามานานแล้วเหมือนกันขอรับ เพิ่งจะมีบุญได้มากราบวันนี้เอง"
เจ้าพระยารังสีฯ หัวเราะชอบใจ พอใจที่เจ้าคุณอ่อนน้อมถ่อมตน ขณะนั้นเอง ทาสหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาคุกเข่า แล้วคลานเข่าเข้ามาหา
"อ้าว นังเยื้อน คุณดาราล่ะ ทำไมยังไม่ลงมา"
"คุณดาราให้มากราบเรียนพระเดชพระคุณ ว่าคุณดาราไม่ชอบจับคลุมถุงชน แลจะไม่ลงมาพบท่านเจ้าคุณนิติธรรมธาดา ให้ท่านเจ้าคุณกลับไปเถิดเจ้าค่ะ"
ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายหน้าเสียขึ้นมาทันที เจ้าคุณนิติธรรมชะงักไป แต่ก็แอบอมยิ้มชอบใจที่คุณดาราไม่มาดูตัว
เจ้าคุณเดชารณภพปั้นยิ้มแก้เก้อ
"เอ่อ ท่านเจ้าพระยาขอรับ กระผมเห็นว่าถ้าหากไม่สะดวก ก็เอาไว้วันหลังค่อยพบปะกันก็ได้ขอรับ"
เจ้าพระยารังสีฯ หน้าเสีย เกรงใจมาก
Wใจเย็นๆก่อนท่านเจ้าคุณเดชา เดี๋ยวฉันไปคุยกับแม่ดาราก่อน"
เจ้าพระยารังสีฯจะลุกขึ้น แต่ขณะนั้นเอง คุณดาราก็เดินออกมาจากข้างในพอดี เธอเป็นคนสวยมาก แต่งตัวแบบยุโรป ท่าทางมั่นใจในตัวเองสูง
"อ้าว แม่ดารา ไหนนังเยื้อนมันบอกว่าลูกจะไม่ลงมาอย่างไรล่ะ"
"ตอนแรกลูกก็คิดเช่นนั้นค่ะ แต่พอลองทบทวนดู"
เธอหันไปมองพระยานิติธรรม แล้วยิ้มมั่นใจ ก่อนพูดต่อ
"ลูกเห็นว่าบุตรีเจ้าพระยารังสี หามี ความจำเป็นที่ต้องหลบหน้าใครไม่"
จากนั้น เธอก็พูดภาษาอังกฤษถามพระยานิติธรรม แปลความได้ว่า
"ฉันพูดถูกหรือไม่คะ ท่านเจ้าคุณนิติธรรมธาดา"
เจ้าคุณยิ้มบางๆ ก่อนตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ เช่นกัน
"ใช่ ฉันเห็นด้วยกับเธอ การหลบหน้าเป็นวิธีของคนขลาดเท่านั้น"
"ถ้าอย่างนั้น ก็ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"
คุณดารายื่นมือออกให้จูบหลังมือตามธรรมเนียมตะวันตก พระยานิติธรรมนิ่งอยู่ครู่นึง รู้ว่า คุณดาราพูดอังกฤษเพราะต้องการลองภูมิ แต่แสดงการทักทายแบบตะวันตก เขาไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
"ฉันว่าการไหว้แบบธรรมเนียมของเรา ดูงดงามแลเหมาะควรกว่าธรรมเนียมของตะวันตกนะ"
คุณดารายิ้มขำๆ
"อะไรกันคะ คนเรียนเมืองนอกเมืองนามาแล้วอย่างท่านเจ้าคุณ ถือสาเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือคะ"
"เธออาจจะเห็นว่าฉันคร่ำครึ แต่ฉันถือว่าเป็นการให้เกียรติเธอ ชายหญิงเพิ่งพบหน้ากัน ก็แตะเนื้อต้องตัวกันแล้ว คนที่ จะถูกนินทา ก็ไม่แคล้วเป็นผู้หญิงดอก"
คุณดารานิ่งไป เถียงพระยานิติธรรมไม่ออก เจ้าคุณเดชารณภพยิ้มกริ่มพอใจลูกชาย ยิ่งเจ้าพระยารังสีฯยิ่งถูกใจสุดๆ

ผ่านเวลาสักครู่ พระยานิติธรรมเดินคุยมากับเจ้าคุณพ่อออกมาหน้าบ้าน
"พ่อล่ะโล่งอกเหลือเกินท่านเจ้าคุณ นึกว่างานดูตัวจะล่มเสียแล้ว"
เจ้าคุณนิติธรรมยิ้มขำ
"คุณดาราเธอเกิดแลโตที่เมืองฝรั่ง จึงมีความคิดไม่ต่างจากผู้หญิงฝรั่งนัก ข้อนี้อาจจะแปลกสำหรับคนสยามอยู่บ้าง แต่กระผมเคยชินเสียแล้ว จึงไม่ค่อยกระไรนักขอรับ"
"แล้วท่านเจ้าคุณ พอใจคุณดาราหรือไม่ล่ะ"
พระยานิติธรรมยิ้มๆ แล้วเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดรอ ไม่ยอมตอบคำถามพ่อ พระยาเดชรณภพถอนใจส่ายหน้าแอบหมั่นไส้ลูกชายก่อนจะตามไปขึ้นรถม้าไป

ที่หน้าต่างห้องนอนคุณดารา เธอมองรถม้าที่พระยานิติธรรมวิ่งออกไปแล้วยิ้มบาง ประทับใจในตัวพระยานิติธรรมไม่ใช่น้อย

เวลาบ่าย บริเวณหน้าที่ทำงานขุน แก้วกำลังยืนดูโลงศพที่เฉียวหูให้ชาวบ้านหามมาวางให้แก้วดู โดยมีลอยยืนมองด้วยความงุนงงอยู่ใกล้ๆ
 
ฝ่ายเฉียวหูแกล้งทำเหมือนพ่อค้า สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส รอบๆบริเวณที่ยืนมีน้ำเจิ่ง พื้นดินเปียก ประมาณว่าฝนเพิ่งตกไม่นาน
"นี่มันอะไรกันวะ ใครใช้ให้เอ็งหามโลงมาที่นี่"
เฉียวหูปั้นยิ้ม
"อั๊วไม่รู้จักดอก แต่อีจ้างอั๊วให้หามโลงมาให้คนชื่อแก้วดู ลื้อใช่อาแก้วหรือไม่ล่ะ"
"ฉันต่างหากที่ชื่อแก้ว คนที่จ้างเถ้าแก่มา เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง"
"ผู้ชาย อีแต่งตัวเหมือนพวกขุนนาง จ่ายเงินซื้อโลงแล้วก็ให้อั๊วหามมาให้ลื้อดู อียังฝากบอกด้วยนะ ว่าให้ลื้อลองนอนดูว่าชอบหรือไม่ แต่ถ้าลื้อไม่กล้า ก็ให้หาผ้าถุงมานุ่งแทนก็ได้"
ลอยโมโหมาก
"มันจะมากเกินไปแล้วโว้ย"
เฉียวหูแกล้งทำกลัว
"โอ๊ยๆ อั๊วไม่เกี่ยว อย่าทำอั๊ว อั๊วแค่พูดตามที่อีบอกเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นคนพูดเองนะ อย่าทำอั๊วเลย"
"ใจเย็นเถิดพี่ลอย เถ้าแก่คงไม่รู้เรื่องจริงๆ"
แก้วว่า แล้วชะงักไปเล็กน้อย เหมือนเห็นสิ่งผิดปกติ พื้นดินที่โลงวางอยู่ยุบลงไปเป็นรอยมากกว่าปกติ ถ้าเป็นโลงเปล่า ไม่น่าจะหนักขนาดนี้
"คนที่จ้างเถ้าแก่ เค้าให้ฉันลงไปนอนในโลงจริงรึ"
"จริง ลื้อจะให้อั๊วเปิดโลงดูหรือไม่ล่ะ"
แก้วยิ้มบางๆ
"ไม่ ฉันพอรู้แล้วว่าเป็นฝีมือใคร ...ไปกันเถอะพี่ลอย"
แก้ว และลอย หันหลังจะเดินกลับเข้าข้างใน เฉียวหูใช้มือเคาะโลงส่งสัญญาณ
ทันใดนั้น โลงก็เปิดออก เค้งลุกออกจากโลง แล้วใช้กรรไกรขาเดียวในมือ จ้วงแทงใส่แก้วทันที ท่ามกลางความตกใจของทุกคน แต่ก่อนที่กรรไกรจะปักลงบนตัวแก้ว แก้วก็พลิกตัวจับข้อมือของเค้งเอาไว้ได้ เพราะระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว
แก้วยิ้มเล็กน้อย
"ถ้าเป็นโลงเปล่า มันไม่หนักจนพื้นดินยุบเช่นนี้ดอก"
ขาดคำ แก้วก็เตะใส่เค้งจนกระเด็นไป เฉียวหูชักกรรไกรขาเดียวออกมา จะเข้าไปช่วย แต่ลอยตั้งสติได้ เลยตรงเข้าเตะต่อยสู้กับเฉียวหู ในขณะที่เค้งสู้กับแก้วอย่างดุเดือด
พวกข้าราชการและชาวบ้านเริ่มกรูกันออกมาดู เฉียวหูเห็นคนเยอะชักท่าไม่ดี แถมแก้วกับลอยยังเก่งเกินคาด เลยหยิบแป้งออกมาถุงหนึ่ง แล้วสะบัดใส่หน้าทั้งคู่ทันที
แก้ว และลอยกลัวแป้งเข้าตาแล้วถูกแทง เลยไม่กล้าเข้าไป รีบผงะถอยออกมา เค้งกับเฉียวหูเลยรีบหนีไปทันที

แก้วและลอย นั่งพับเพียบคุยกับหมื่นลพที่บนเรือนตอนหัวค่ำ
"ดีนะที่เอ็งมีไหวพริบ หาไม่คงถูกแทงตายไปแล้ว"
"แต่พวกมันก็อุกอาจนะขอรับ กลางวันแสกๆ ผู้คนก็ออกมาก แลยังเป็นที่ทำราชการอีก กระผมไม่เคยเห็นโจรกลุ่มใดร้ายกาจเท่านี้มาก่อนเลย" แก้วบอก
"พวกอั้งยี่จะไม่ร้ายกาจได้อย่างไร แต่ก่อน ข้าได้ยินว่าพวกมันรวมตัวกันก่อการ จนท่านสมเด็จเจ้าพระยาต้องยกทัพไปปราบด้วยซ้ำ"
แก้วสงสัย
"แล้วพี่ลอยรู้ได้อย่างไรว่าเป็นอั้งยี่"
"กรรไกรขาเดียวที่พวกมันใช้ เป็นอาวุธของพวกอั้งยี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่า เป็นกลุ่มใดเท่านั้นเอง ต่อไป เอ็งต้องระวังให้มากนะไอ้แก้ว ไอ้คนที่ผูกใจเจ็บเอ็ง คงไม่หยุดเท่านี้เป็นแน่"
"จริง แต่หากไอ้แก้วได้เป็นข้าราชการ พวกมันจะทำการใด ก็คงลำบากขึ้นอีกมาก" หมื่นลพว่า
แก้วแปลกใจ
"แล้วกระผมจะเป็นข้าราชการได้อย่างไรเล่าขอรับ ท่านหมื่น"
หมื่นลพยิ้มแย้ม หยิบจดหมายออกมา
"ท่านเจ้าคุณหลานชายข้า มีจดหมายมาบอก"
หมื่นลพยกมือไหว้ท่วมหัว แล้วพูดต่อ
"ว่าพระพุทธเจ้าหลวงท่าน ทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการ แลจะมีการสอบเข้ารับราชการเพิ่มขึ้นด้วย หากเอ็งสอบได้ เอ็งก็จะได้เป็นข้าราชการสมใจล่ะ ไอ้แก้ว"
แก้วดีใจมาก คิดไม่ถึงว่าความฝันของตนที่จะใช้วิชาความรู้ รับราชการทำประโยชน์ให้กับตัวเองและประเทศชาติจะเป็นจริงจนได้

ณ พระที่นั่งสมมุติเทวราช พระยานิติธรรมธาดาและขุนนางคนอื่นกำลังหมอบกราบอยู่กับพื้น ขุนนางคนหนึ่ง อ่านรายงานถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์
"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาการปกครองตามแบบประเทศตะวันตก และมีการทดลองใช้เป็นเวลาหลายปี จนได้ผลเป็นที่พอพระทัย ก่อนจะทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นเป็นครั้งแรก จำนวนสิบสองกระทรวง เมื่อวันที่ 1 เมษายนพุทธศักราช 2435 ซึ่งนับว่าเป็นการปฏิรูปการปกครองครั้งสำคัญของประเทศไทย"
พระยานิติธรรมธาดาและขุนนางคนอื่นๆ พากันก้มลงกราบถวายบังคม

ผ่านเวลาถึงเช้าวันหนึ่ง ภายในห้องทำงานเจ้าคุณ แก้วก้มลงกราบที่เท้าของพระยานิติธรรมธาดาที่ยืนอยู่ เจ้าคุณลูบหัวแก้วด้วยความชื่นชม
"ฉันไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ที่คอยสนับสนุนแก ในที่สุด แกก็พ้นจากการเป็นทาส มาเป็นข้าราชการจนได้"
แก้วซาบซึ้งใจสุดๆ
"ทั้งหมด ก็เป็นเพราะความเมตตาของท่านเจ้าคุณขอรับ หากท่านเจ้าคุณไม่คอยสั่งสอน อบรมให้ความรู้กระผม แลยังช่วยเหลือเกื้อกูลในยามที่กระผมตกระกำลำบาก ป่านนี้ไอ้แก้วคงตาย
ไปเสียนานแล้ว บุญคุณของท่านเจ้าคุณ ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกสักสิบชาติ ไอ้แก้วก็ใช้ไม่หมดขอรับ"
"หากแกอยากตอบแทนบุญคุณฉัน ก็ตั้งใจรับราชการให้ดีเถิด จำไว้ ว่าคนเป็นข้าราชการ จะถือเอาแต่ความสบายแลลุแก่อำนาจไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้น งานแผ่นดินก็จะวิปริตฟั่นเฟือนไป แลเราอยู่กระทรวงยุติธรรม ต้องมีหน้าที่ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้คนเพราะบ้านเมืองที่ไร้ความเป็นธรรม ย่อมไม่อาจดำรงความเป็นบ้านเมืองอยู่ได้"
"ขอรับ กระผมจะจดจำไว้ไม่มีวันลืมขอรับ"
แก้วก้มลงกราบที่เท้าอีกที
ขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้น
"ลุกขึ้นก่อนแก้ว...เข้ามา"
ข้าราชการคนหนึ่งเปิดประตูห้องเข้ามาบอกว่า
"คนที่ท่านเจ้าคุณให้ไปพามา มาถึงแล้วขอรับ"
"พาเข้ามาสิ"
ข้าราชการเดินกลับออกไป ก่อนจะพาบุญเจิมเข้ามาในห้อง แก้วนึกไม่ถึง

"นังเจิม"

ภายในโบสถ์ของวัดแห่งหนึ่ง บุญเจิมกำลังก้มลงกราบพระพุทธรูปด้วยน้ำตานองหน้า โดยมีแก้วนั่งอยู่ใกล้ๆ

"พอเผาศพไอ้คอกแล้ว ข้าก็เอาอัฐิเกือบทั้งหมดไปลอยน้ำ เหลือเก็บไว้ชิ้นเดียว เอามาใส่ในพระพุทธรูป เผื่อ มีคนมาทำบุญ ไอ้คอกจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลไปด้วย"
บุญเจิมร้องไห้ เสียใจสุดๆ
"ไอ้คอกมันดีกับฉันนัก มันทำทุกอย่างเพื่อความสุขของฉัน ไม่เคยทำเพื่อตัวเองเลย แต่ฉันกลับไม่อาจตอบแทนมันได้แม้แต่เพียงนิด ให้สมกับความดีของมัน"
"ไอ้คอก มันคงไม่หวังให้เอ็งตอบแทนมันดอก แค่เอ็งอยู่ดีมีสุข มันก็คงดีใจมากแล้ว"
แก้วนึกขึ้นได้ จึงเปลี่ยนเรื่อง
"เออ แต่อย่างไร เอ็งพ้นโทษมาช่วงนี้ ก็ถือว่าโชคดีนัก เพราะข้าได้เข้ารับราชการพอดี
ต่อไป ก็จะมีเงินเบี้ยหวัดใช้สอย เอ็งไม่ต้องกลับไปลำบากอีกแล้ว"
บุญเจิมสะอึกสะอื้น
"แต่ฉันขอไปเอางานตัดเย็บชุดทหารมาทำบ้างนะพี่ เพราะงานนี้ ทำให้ฉันมีความดีความชอบ จนได้ ลดหย่อนโทษไม่ต้องติดคุกเป็นสิบๆปี ฉันก็อยากจะทำต่อ เพื่อสนองคุณหลวงท่าน"
"ตามใจเอ็ง สิ่งใดที่เอ็งทำแล้วสบายใจ เอ็งก็ทำไปเถอะ แลนับแต่นี้ข้าจะคอยดูแลปกป้องเอ็งเอง ทั้งในฐานะที่เอ็งเป็นน้อง แลในฐานะที่ข้ารับปากไอ้คอกไว้"
บุญเจิมพยักหน้ารับทั้งน้ำตา
พระพุทธรูปองค์เล็กๆองค์เดิม ที่ใส่อัฐิของคอกไว้ พระพักตร์ของพระพุทธรูปที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ราวกับวิญญาณของคอกจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมด

แก้วเดินนำบุญเจิมเข้ามาในเรือนเล็กๆหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านเช่าของแก้ว เธอมองไปรอบๆแล้วถาม
"เรือนใครกันรึพี่แก้ว"
"ข้าเช่าเอาไว้อยู่น่ะ ท่านเจ้าคุณเป็นคนหาให้ อยู่ใกล้กระทรวง ไปทำราชการก็สะดวก เสียแต่ต้องผ่านโรงฝิ่นเท่านั้นเอง"
"พี่มีศักดินาสิบไร่ไม่ใช่รึ ทำไมไม่ปลูกเรือนบนที่ดินเล่า มาเช่าอยู่ทำไม"
"ที่ดินอันได้มาแต่ศักดินา ไม่ใช่ของเราดอก หากข้าตาย หรือออกจากราชการแล้ว ก็ต้องตกเป็นของคนอื่นแทน ข้าเลยเอาที่ดินให้เค้าเช่าทำสวน รอจนรวบรวมเงินทองได้เมื่อใด ข้าจะซื้อที่ดินปลูกเรือนเป็นของตัวเอง"
บุญเจิมพยักหน้าเข้าใจ แก้วกำลังจะเดินขึ้นเรือน ทันใดนั้น ก็มีคนเดินออกมาจากในเรือน แก้วเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ต้องตื่นเต้นดีใจสุดๆ เมื่อคนที่ออกมาคือน้ำทิพย์นั่นเอง
"คุณน้ำทิพย์"
"กลับมาแล้วรึ ฉันมารออยู่นานแล้ว"
แก้วมองน้ำทิพย์ด้วยความรักและคิดถึงเต็มเปี่ยม ซึ่งน้ำทิพย์ก็มองตอบด้วยสายตาไม่ต่างกัน มีแต่บุญเจิมที่หน้าเจื่อนลงไป

เวลาเย็น แก้วกำลังพายเรือให้น้ำทิพย์นั่งเล่นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข แก้วพายเรือ แต่สายตาไม่ยอมละจากใบหน้าน้ำทิพย์ จนเธอชักเขิน
"หน้าฉันมีอะไรติดอยู่รึ ถึงได้มองไม่ยอมหยุด"
แก้วยิ้มกรุ้มกริ่ม
"ไม่มีขอรับ แต่กระผมอยากมองให้หายคิดถึง แต่มองเท่าใดก็ไม่หายเสียที ถ้าไม่ติดว่า เมื่อครู่นังเจิมอยู่ด้วย กระผมคงเข้าไปกอดคุณน้ำทิพย์แล้ว"
น้ำทิพย์ทั้งตกใจและอาย
"จู่ๆจะเข้ามากอดกันตามใจชอบได้ยังไง ยิ่งต่อหน้าคนอื่นด้วยแล้ว ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน"
แก้วยิ้มขี้เล่น
"แต่ตอนนี้ไม่มีคนอื่น แลอยู่บนเรือ คุณน้ำทิพย์ก็ไม่ต้องอายใครใช่หรือไม่ขอรับ"
น้ำทิพย์ตกใจหน้าเสีย กลัวแก้วโผเข้ามากอดตนจริงๆ เขาหลุดหัวเราะออกมา น้ำทิพย์รู้ว่าแก้วแกล้ง เลยทิ้งค้อน ก่อนจะอดขำไม่ได้เหมือนกัน ทั้งคู่ขำๆ ก่อนจะมองหน้ากันนิ่งๆ
"ตอนนี้แก้วไม่ใช่ทาส แต่เป็นข้าราชการ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ต่อไปเราก็คงไปมาหาสู่กันได้อย่างเปิดเผย ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆอีกแล้ว เสียแต่ฉัน ยังอยู่ในฐานะคู่หมั้นของพี่มาโนช จะทำอะไรเกินเลยไป ก็มีแต่จะถูกครหาเท่านั้น"
แก้วยิ้มบางๆ จับมือน้ำทิพย์ไว้
"กระผมทราบดีขอรับ แลที่กระผมรับราชการ นอกจากอยากจะใช้วิชาความรู้ทำคุณแก่บ้านเมืองแล้ว
ก็ยังหมายในเกียรติยศที่จะนำมามอบแก่คุณน้ำทิพย์ ผู้เป็นมิ่งขวัญแลดวงใจของไอ้แก้วลูกทาสคนนี้"
น้ำทิพย์ยิ้มปลาบปลื้มจนน้ำตารื้น ซาบซึ้งใจมาก
"คุณน้ำทิพย์อดทนอีกสักหน่อยเถิดขอรับ กระผมสัญญา ว่าจะไม่ให้คุณน้อยหน้าผู้ใดเลย"
น้ำทิพย์มองแก้วด้วยสายตารักใคร่
"ฉันเชื่อจ้ะ เชื่อแลมั่นใจในตัวแก้วมาตลอด ไม่ว่านานเท่าใด ฉันก็จะรอ"
แก้วเอามือน้ำทิพย์มาแนบกับแก้มอย่างทะนุถนอม และมองน้ำทิพย์ด้วยสายตารักใคร่
เต็มเปี่ยมจนเธอเขินอาย

เวลาเย็น ในบริเวณมุมตึก มาโนชกำลังอารมณ์เสียใส่เฉียวหู และเค้ง
"นี่หรือวะซิวลี่กือ นึกว่าจะมีดี ที่แท้ก็ราคาคุยทั้งนั้น"
เค้งไม่พอใจจะเอาเรื่องมาโนช แต่เฉียวหูรีบจับบ่าเค้งไว้ ไม่ให้ทำร้าย
"อั๊วยอมรับผิด แต่คุณมาโนชก็ต้องเห็นใจอั๊วด้วย แค่พวกอั๊วเสี่ยงตายบุกเข้าไปถึงถิ่นพวกมัน อั๊วก็ว่าคุณมาโนช หาคนกล้าบ้าบิ่นทำอย่างพวกอั๊วไม่ได้แล้ว"
มาโนชเบะปากดูถูก
"เอาอย่างนี้ อั๊วรู้มาว่าตอนนี้มันเพิ่งเป็นข้าราชการ ถ้าจะให้อั๊วแก้ตัว อั๊วก็จะทำให้ ตกลงหรือไม่ล่ะ"
มาโนชลดเสียงลง
"ข้าราชการตายยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ แลที่นี่เป็นพระนคร พวกเอ็งคิดว่าจะหนีลอยนวลได้รึ"
เฉียวหูยิ้มเจ้าเล่ห์
"คุณมาโนชไม่ต้องการให้อั๊วแก้ตัวเองนะ ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่คุณมาโนชช่วยอั๊วไว้ ก็ถือว่า..."
มาโนชพูดสวนขึ้น
"เรื่องไอ้แก้วไม่จำเป็นต้องเร่งรีบแล้ว แต่ข้ามีงานใหม่ให้พวกเอ็งทำ"
เฉียวหูชักสีหน้าไม่พอใจ
"ว่ามา"

ช่วงหัวค่ำ บรรยากาศข้างในโรงฝิ่น มีผู้คนเข้าไปสูบฝิ่นมากมาย มีการกั้นห้องไว้แบบลวกๆ โดยใช้ผ้าม่านกั้นเอาไว้ เพื่อให้คนสูบเป็นส่วนตัวห้องใครห้องมัน โดยแต่ละห้องจะมีอุปกรณ์การสูบเตรียมไว้ให้
พลอย และเข้ม นอนตาลอยเพราะฤทธิ์ฝิ่น สีหน้าเคลิ้มมีความสุข
ผ่านเวลามา ข้างหน้าโรงฝิ่น พลอย และเข้มเดินหัวเราะเมายาออกมาจากโรงฝิ่น ทั้งคู่เดินกอดคอ หัวเราะร่วนไปด้วยกัน เฉียวหู และเค้งซุ่มดูอยู่
เค้งจับตาเขม็ง หน้าเหี้ยม ยิ้มมั่นใจ
"แค่ขี้ยาสองคน งานง่ายกว่าคราวก่อนมาก ตั่วกอ"
" รอปลอดคนก่อนนะอาเค้ง อั๊วรำคาญพวกนครบาล"

เฉียวหู และเค้งสะกดรอยตามพลอย กับเข้มไป
 
อ่านต่อตอนที่ 12
กำลังโหลดความคิดเห็น