คิวบิก ตอนที่ 9
ค่ำคืนนั้นหลินหลานเซ่อนั่งขรึมอยู่ในห้องทำงาน มองจ้องทีวีแต่ใจนึกถึงเหตการณ์ที่ฤทัยนาคพูดในร้านเป็ดย่าง
“เธอไม่ชอบที่นี่หรือ”
“ไม่ชอบหรอก ชั้นจะชอบได้ยังไงมันไม่ใช่บ้านชั้น นายรู้มั้ยชั้นคิดถึงบ้านทุกวัน คิดถึงพ่อคิดถึงพี่ คิดถึงทุกๆคนที่อยู่เมืองไทย ชั้นน่ะนั่งนับวันรอเวลาที่จะได้กลับบ้านเลยนะ”
หลินหลานเซ่อจมอยู่ในความคิด มองเหม่อไปไกล นึกถึงเรื่องราวชีวิตตัวเองแต่หนหลัง ตอนที่พ่อกับแม่ของเขาทะเลาะกันอย่างรุนแรง
เหตุการณ์ในเวลานั้น มากาเร็ตแม่หลินหลานเซ่อก้าวเข้ามาบอกหลินหย่งสือในท่าทีกราดเกรี้ยว
“ชั้นไม่อยากอยู่กับคุณอีกต่อไปแล้ว ชั้นเบื่อ ได้ยินมั้ย หย่งสือว่าชั้นเบื่อที่นี่”
หย่งสือคว้าแขน “ไม่นะ มากาเร็ต อย่าทิ้งผมไป ผมรักคุณนะ”
“ไม่ ที่นี่มันไม่ใช่บ้านของชั้น ชั้นจะไม่ทนอยู่ที่นี่อีกต่อไปปล่อยชั้น”
“ไม่ ผมจะไม่ยอมให้คุณทิ้งผมไป”
มากาเร็ตสะบัดตัว แล้วผลักไสหย่งสือออกไป
“เดี๋ยว มากาเร็ต...มากาเร็ต ฟังผมก่อน”
หลินหย่งสือทรุดลงนั่งกุมขมับ เด็กชายหลินหลานเซ่อยืนมองเหตุการณ์อย่างปวดร้าว
ใบหน้าหล่อคมของหลินหลานเซ่อเศร้าหมอง ปวดร้าวกับอดีตอันขมขื่น ภาพฤทัยนาคก่อนหน้านี้ผุดซ้อนขึ้นมาอีก
“ถ้าชั้นทำให้นายโกรธชั้นก็ขอโทษนะ ชั้นไม่ได้ตั้งใจ”
หลินหลานเซ่อผ่อนลมหายใจ ส่ายหน้าพลางบอกตัวเองอย่างหนักแน่น
“ชั้นจะไม่ยอมให้เธอไปจากชั้นฤทัยนาค”
หลายวันต่อมา หลินเพ่ยอิงกึ่งนั่งกึ่งนอนพักฟื้นอยู่บนเตียง แขนยังใส่เฝือก แต่ใบหน้าหายจากอาการบาดเจ็บจากฤทธิ์หมัดหลินหลานเซ่อแล้ว เพ่ยอิงนึกถึงเหตุการณ์ในวันประฝีมือกับหลานเซ่อในห้องประชุมบริษัท
เหตุการณ์ตอนนั้นมีนาประคองร้องเรียกชื่อเพ่ยอิงอย่างเป็นห่วง
“คุณเพ่ยอิงคุณเป็นยังไงบ้าง”
เพ่ยอิงในสภาพสะบักสะบอมมองเห็นมีนาร้องเรียก
“คุณได้ยินชั้นมั้ย คุณเจ็บตรงไหน เป็นอะไรมากรึเปล่าคะ”
เพ่ยอิงมองมีนา แววตาเลื่อลอย ใบหน้ามีนาลางเลือนเต็มทน แต่เสียงยังดังก้อง
“คุณเพ่ยอิง...คุณเพ่ยอิง...คุณเพ่ยอิง”
คิดเรื่องนี้แล้วเพ่ยอิงพึมพำกับตัวเอง
“มีนา”
ป้าเหมยเปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดอาหาร
“ทานข้าวได้แล้วค่ะ”
“ป้าเหมย คนของเรารู้รึยังว่ามีนาอยู่ที่ไหน” เพ่ยอิงถามขึ้น ไม่สนใจอาหาร
“ป้าไม่ทราบหรอกค่ะ เห็นอาจงมันบอกว่าคุณหลินหลานเซ่อเอาตัวไปเก็บไว้ที่เซฟเฮาส์”
“แล้วมันหาไม่เจอหรือว่าเซฟเฮาส์มันอยู่ที่ไหน”
“ถ้าเจอมันก็บอกแล้วสิคะ มาค่ะ ทานข้าวได้แล้ว”
เพ่ยอิงสะบัดเสียง “ผมไม่กิน”
“คุณเพ่ยอิงคะ ป้าว่าคุณเพ่ยอิงปล่อยเด็กคนนั้นไปเถอะค่ะ เค้าเป็นเด็กผู้หญิงนะคะ แถมเป็นเด็กดี อย่าไปตามทำร้ายเค้าอีกเลย”
เพ่ยอิงพาลตามเคย “ป้าเหมยไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า หยิบโทรศัพท์มาให้ผมหน่อยซิ”
ป้าเหมยถอนใจเดินไปหยิบโทรศัพท์ส่งให้
“จะโทรหาใครอีกคะ ไม่สบายก็พักเถอะค่ะ”
“ป้าเหมย ผมขอร้องล่ะ ป้าเหมยออกไปเถอะ เดี๋ยวผมกินข้าวเอง”
“ต้องทานให้หมดนะคะ”
“ผมโตแล้วนะป้าเหมย ผมเป็นมาเฟียนะ ไม่ใช่เด็ก”
“ค่ะ...ค่ะ รู้แล้วค่ะว่าโตแล้ว”
ป้าเหมยเดินออกไป เพ่ยอิงส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด กดโทรศัพท์หาหลินหลานเซ่อ
โทรศัพท์มือถือหลินหลานเซ่อที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานดัง มาเฟียหนุ่มมองเบอร์แล้วกดรับโทรศัพท์
“มีอะไรเพ่ยอิง”
เพ่ยอิงพูดโทรศัพท์
“ชั้นต้องการตัวมีนาคืน”
“ชั้นบอกนายแล้วไงว่ามีนาเป็นผู้หญิงของคิวบิก”
เพ่ยอิงข่มใจ พูดดีๆ “หลินหลานเซ่อชั้นขอร้องล่ะ คืนผู้หญิงคนนี้ให้ชั้น”
หลินหลานเซ่อฉงน “ขอร้องงั้นหรือ คนอย่างหลินเพ่ยอิงขอร้องเป็นด้วยหรือ”
“นายต้องการเงินเท่าไหร่ว่ามาเลย”
“ก็อย่างที่ชั้นบอกตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงของคิวบิก ไม่ใช่ผู้หญิงของชั้น คิวบิกเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในตัวเธอ”
เพ่ยอิงโกรธ “หลินหลานเซ่อ ชั้นรู้ว่านาย...”
หลินหลานเซ่อสวนออกไป พูดเตือนสติ “ชั้นว่านายควรจะสงบสติอารมณ์ เลิกทำตัวเป็นหมาบ้า ทบทวนตัวเองให้ดีว่านายต้องการมีนาเพื่ออะไร บางทีเรื่องมันอาจจะไม่ได้ยากอย่างที่นายคิดหรอก”
หลินหลานเซ่อกดปิดโทรศัพท์
“หลินหลานเซ่อ หลินหลานเซ่อ”
เพ่ยอิงปาโทรศัพท์ทิ้ง
จงซินอยู่ด้วย ถามขึ้นมา “เพ่ยอิงยังไม่ยอมแพ้อีกหรือครับ”
“ใช่ จะเอาตัวผู้หญิงคืนให้ได้ ถึงขั้นขอร้องชั้นแถมจะเอาเงินมาแลกเลยนะ”
จงซินไม่อยากเชื่อเช่นกัน “จริงหรือครับ คนอย่างหลินเพ่ยอิงนี่หรือครับขอร้องคุณ”
หลินหลานเซ่อหัวเราะในลำคอ “หึ สงสัยมีนาจะไม่ได้เป็นแค่ลูกหนี้ธรรมดาล่ะมั้ง”
จงซินเหลือบมองเจ้านายแล้วอมยิ้ม
“นายยิ้มอะไร”
จงซินเลี่ยงตอบ “อ๋อ ผมกำลังคิดเหมือนคุณหลินน่ะครับว่ามีนาคงจะไม่ได้เป็นแค่ลูกหนี้ธรรมดา”
หลินหลานเซ่อมองหน้าพี่เลี้ยงอย่างระแวง กลัวว่าจะหมายถึงตัวเองด้วย จงซินอมยิ้มอยู่อย่างนั้น
ฤทัยนาคแวะมาหามีนาที่เซฟเฮ้าส์ กำลังเดินสำรวจภายในห้องพัก ส่วนมีนานั่งเศร้าอยู่ในห้อง
“เธออยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง สบายใจขึ้นมั้ย”
“ก็ดี แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร”
“ชั้นอยากไปอยู่กับเธอมากกว่า”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ ขืนเธอไปอยู่กับชั้น หลินเพ่ยอิงมันจะได้มาเอาตัวเธอกลับไปน่ะสิ”
มีนาจ้องหน้าถาม “แล้วเธอได้ข่าวเค้าบ้างมั้ย”
“ข่าวใคร”
“ก็...หลินเพ่ยอิงไง ตั้งแต่วันที่เค้าถูกคุณหลินเล่นงาน เธอได้ข่าวมั้ยว่าเค้าเป็นยังไงบ้าง”
“ยังไม่ตายหรอก แต่คงอาการสาหัสน่ะ”
มีนาตกใจนิดๆ “สาหัสเลยหรือ”
“ใช่ เธอไม่ชอบเค้า แล้วถามถึงเค้าบ่อยๆ ทำไม”
มีนาบ่ายเบี่ยง “อ๋อ...เอ่อ...ชั้นก็แค่ถามดูน่ะ ไม่มีอะไร ถ้าเค้าอาการสาหัสเค้าก็คงเลิกตามหาชั้นแล้วล่ะเธอว่ามั้ย”
“คงไม่หรอก พ่อเธอเป็นหนี้มันตั้งเยอะ มันไม่ปล่อยเธอง่ายๆ เอาล่ะ ชั้นต้องไปทำงานแล้วนะ แล้วว่างๆ จะมาเยี่ยมใหม่”
“ขอบใจเธอมากนะ”
“อืมม์ ไม่ต้องขอบใจบ่อยๆ หรอก ชั้นมาหาเธอชั้นก็หายเหงาเหมือนกัน คุยกับเธอแล้วทำให้หายคิดถึงพี่สาว ชั้นไปนะดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”
“เธอก็เหมือนกันนะ”
ฤทัยนาคกอดมีนาแล้วเดินไปทางประตู ทั้งสองโบกมือให้กัน
“บ๊ายบาย”
“บ๊ายบาย”
ฤทัยนาคออกไป มีนาเดินมาส่งเห็นบอดี้การ์ดปิดประตูลง มีนาเดินกลับเข้ามามองเหม่อไปไกล
นึกถึงเพ่ยอิงตอนอยู่ในอ้อมแขนตน
มีนาชะงักส่ายหน้าถอนใจ
“เค้าร้ายกับเราจะตาย ไปนึกถึงเค้าบ่อยๆ ทำไม เฮ้อ”
มีนาถอนใจกระฟัดกระเฟียดกับตัวเองอย่างหงุดหงิด
ภายในห้องพักอพาร์ทเมนท์ สภาพเก่าและทรุดโทรมแห่งหนึ่ง อาหารกระป๋องถูกเปิดฝาออก ด้วยฝีมือฉินฝู มันตักอาหารเข้าปากเคี้ยวหยับๆ ตักข้าวในถ้วยเข้าปาก แล้วหยิบน้ำอัดลมกระป๋องยกดื่มจนหมด บี้กระป๋องปาลงถัง
ฉินฝูลุกเดินไปที่หน้าต่างมองลงไปหยิบกล้องส่องทางไกล มองลงไปด้านล่าง เห็นผู้คนบนถนน รถราวิ่งสวนไปมา มีตึกอยู่ฝั่งตรงข้าม
ฉินฝูรูดม่านปิด เสียงเคาะประตูดัง ฉินฝูชะงักคว้าปืน
“ใคร”
“อั๊วเอง” เป็นอาแปะไช้คนดูแลอพาร์ทเม้นต์นั่นเอง
“มีอะไร เจ็กไช้”
“อั๊วจะออกไปข้างนอก ลื้อจะฝากซื้อยามั้ย”
ฉินฝูเปิดประตู “ซื้อยาแก้ปวดกับยาแก้ไข้มาอย่างล่ะแผงนะ”
“ลื้ออยู่แต่ในห้องทั้งวันไม่เบื่อหรือ ออกไปซื้อของกับอั๊วมั้ย”
“ไม่ละ ชั้นขี้เกียจเดิน ขาไม่ค่อยดี”
“ตามใจ อั๊วจะไม่อยู่ซักชั่วโมงสองชั่วโมงนะ”
ฉินฝูพยักหน้ารับรู้ อาแปะเดินไปแล้ว ฉินฝูปิดประตูกดโทรศัพท์
“ร้านเฮียหม่ารึเปล่า...พรุ่งนี้เอาอาหารกระป๋องกับน้ำอัดลมมาให้ด้วยนะ ของหมดแล้ว...เออ เอาเหมือนเดิม”
ฉินฝูปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“ฮึ่ย เมื่อไหร่จะได้ออกไปจากที่นี่วะ” ฉินฝูเดินไปแหวกม่านหน้าต่างดูอีกทีอย่างระแวดระวัง “เอาวะ ทนอีกซักพัก ขืนออกไปจะไม่รอด”
ฉินฝูเดินมาเทน้ำชาดื่ม
ฤทัยทัยอยู่ในชุดคนงานก่อสร้างขนดินมา คิดถึงใบหน้าขรึมโครตๆ ของหลินหลานเซ่อใน อิริยาบถต่างๆ ทั้งตอนที่นั่งอยู่ในรถหน้าบูดบึ้ง นั่งหน้าตึงในร้านเป็ดย่าง สุดท้ายเมินหน้าหนีไม่พูดไม่จา
ฤทัยนาคถอนใจเหลือบมองไปทางหนึ่ง เห็นต้าห่ายกำลังทำงานอยู่ ต้าห่ายหันมองเห็นฤทัยนาคมองจ้องก็งง
“เธอมีอะไรจะถามชั้นรึเปล่า”
“ถ้าสมมุติว่านายทำอะไรให้ใครซักคนโกรธแต่นายไม่ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเค้าโกรธนายเรื่องอะไร นายจะทำยังไง”
“แล้วเธอรู้ได้ไงว่าเค้าโกรธ”
“ก็...ไม่รู้สิ ปกติชั้นคิดว่าตัวเองอ่านสีหน้าคนเก่งนะ รู้ว่าใครชอบหรือไม่ชอบอะไร โดยเฉพาะคนที่ชอบหรือไม่ชอบชั้น แต่สำหรับเค้า...” ฤทัยนาคมองเหม่อนึกถึงหน้าหลินหลานเซ่อขึ้นมาอีก “มันไม่ใช่...มันยังไงก็ไม่รู้ ชั้นดูไม่ออก อ่านสายตาเค้าไม่ทะลุ เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครมองชั้นด้วยสายตาแบบนั้น”
ต้าห่ายฉงน “แล้วมันเป็นสายตาแบบไหน”
“คือ..แบบว่า.. มันเหมือนเจ็บปวด ผิดหวัง น้อยใจ อดกลั้น อ้อ มีโกรธด้วย มันปนกันไปหมดจนชั้นดูไม่ออก ชั้นเลยสรุปว่าเค้าน่าจะโกรธ”
“แล้วไอ้สายตาที่ว่าเนี่ย มันมีความรังเกียจหรืออยากให้เธอไปอยู่ห่างๆ เค้ามั้ย”
ฤทัยนาคพยายามคิดตาม “ไม่มี”
“งั้นเธอก็ไปขอโทษเค้าซะ แค่นี้ก็จบ ว่าแต่ว่าเค้าเป็นใครเหรอ”
ต้าห่ายมองจ้องด้วยความอยากรู้ ฤทัยนาคหลบตา รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ เพื่อนที่โรงเรียนน่ะ นายไม่รู้จักหรอก แล้วนายเป็นไงพักนี้งานเยอะมั้ย”
“ก็โอเค” ต้าห่ายนึกบางอย่างออก “แต่พักนี้ชั้นไปส่งของเจอลูกค้าแปลกๆ ด้วย”
“แปลกยังไง” ฤทัยนาคสนใจ
“เค้าสั่งอาหารกระป๋องมากินทุกอาทิตย์ เวลาไปส่งก็ไม่เคยลงมารับของเอง ให้อาแปะคนเฝ้าอพาร์ทเมนต์รับของแทนทุกครั้ง นี่ไปส่งมาเดือนนึงแล้วยังไม่รู้เลยว่าชื่อแซ่อะไร”
ฤทัยนาคชะงักฟัง
“สงสัยจะเป็นโรคเรื้อนหรือไม่ก็เป็นโรคเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง”
“นายบอกว่าเดือนนึงงั้นหรือ”
“ใช่”
“เป็นผู้ชายรึเปล่า”
“ฟังจากเสียงโทรศัพท์ก็ใช่นะ ถ้าเค้าไม่ได้ให้คนอื่นพูดแทน”
“ชื่อแซ่ก็ไม่บอกงั้นหรือ”
ต้าห่ายมองฤทัยนาคอย่างแปลกใจ “อะไรของเธอ นี่เรากำลังพูดเรื่องเดียวกันอยู่รึเปล่า”
“เดี๋ยวชั้นมานะ”
“แล้วเธอจะไปไหน”
“ไปธุระ ฝากบอกหัวหน้าด้วยว่าจะหักเงินก็ได้ แต่อย่าไม่จ่ายนะ แล้วก็ขอบใจนายมาก ถ้าที่นายพูดมามันถูกล่ะก็ ชั้นจะทำงานแทนนายอาทิตย์นึง”
ฤทัยนาควิ่งจู๊ดออกไป ต้าห่ายมองตามอย่างเง็งๆ
“ขอบใจเราเรื่องอะไร นาคนี่พิลึก”
คิวบิก ตอนที่ 9 (ต่อ)
ฤทัยนาควิ่งขึ้นบันไดเลื่อนไปอย่างเร็ว แล้วเดินแกมวิ่งมาหยุดหน้าห้องหลินหลานเซ่อ เจอพนักงานหน้าใหม่มองจ้อง
“มาหาใครคะ”
“ชั้นมาพบคุณหลินหลานเซ่อค่ะ”
“นัดไว้รึเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ”
“คุณหลินไม่อยู่ค่ะ ถ้าไม่ได้นัดคงพบไม่ได้ค่ะ”
“งั้นชั้นนั่งรอแถวนี้ก็ได้ค่ะ”
“อย่ารอเลยค่ะ เพราะถ้าคุณไม่ได้นัดไว้ คุณหลินคงไม่ให้คุณพบกรุณากลับ...”
เลขาซุ่นลี่เดินออกมาเห็นพอดี รีบบอก
“เชิญเข้าไปรอข้างในเลยค่ะ คุณฤทัยนาค”
“แต่คุณหลินไม่อยู่ไม่ใช่หรือคะ”
“คุณหลินกำลังจะกลับมาแล้วค่ะ เชิญไปรอในห้องได้เลย”
“ขอบคุณค่ะ”
ฤทัยนาคเดินเข้าไป ซุ่นลี่หันมาเอ็ดพนักงานใหม่ชะตาขาด
“เธออยากโดนไล่ออกหรือไง”
“แต่พี่ซุ่นลี่บอกว่าอย่าให้ใครเข้าไปพบคุณหลินถ้าท่านไม่อนุญาตไม่ใช่หรือคะ”
“แต่เด็กคนนี้ยกเว้น จำไว้ ถ้าไม่อยากถูกไล่ออก”
“ค่ะ ค่ะ ชั้นจะจำไว้”
ฤทัยนาคนั่งรออยู่ในห้องสักระยะ มองซ้ายแลขวาไม่มีใครสักคน ฤทัยนาคมองเห็นกรอบรูปคว่ำอยู่ ลุกไปหยิบขึ้นมาดูเห็นเป็นรูปนันทกา ก็โมโห
“นี่เค้ายังไม่ลืมเรื่องพี่นันอีกหรือเนี่ย คนอะไรบ้ากามจริงๆ”
ฤทัยนาควางรูปตั้งขึ้น โดยไม่รู้ว่าหลินหลานเซ่อยืนอยู่ข้างหลัง
“ใครอนุญาตให้เธอหยิบมาดู”
ฤทัยนาคสะดุ้ง หันมาหา “เอ่อ...ขอโทษ ชั้นไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่เห็นมันคว่ำอยู่ ก็เลยหยิบขึ้นมาตั้งให้”
หลินหลานเซ่อหยิบรูปไปวางคว่ำบนชั้นหนังสือตามเดิม ฤทัยนาคมองตาม
“ชั้นไม่รู้ว่านายจะหวงรูปพี่นันขนาดนี้”
มาเฟียหนุ่มเซ็งโครตๆ “นี่ ชั้นถามจริง เธอรู้เรื่องหรือเธอแกล้งเซ่อ ทำซื่อบื้อไม่รู้เรื่อง”
“ชั้นไม่เข้าใจนายพูดอะไร”
“ตอนนี้ชั้นไม่ได้สนใจเรื่องพี่สาวเธอแล้ว”
“อ๋อ มิน่า นายก็เลยคว่ำรูปพี่นัน เออ ถ้างั้นนายก็ไม่อยากได้ตัวพี่สาวชั้นแล้วใช่มั้ย งั้นชั้นก็กลับเมืองไทยได้แล้วสิ”
“ไม่ใช่ เธอต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเธอจะใช้หนี้ชั้นหมด”
“โธ่เอ๊ย นึกแล้วว่าคนอย่างนายไม่น่าจะใจดี”
“ทำไม ชั้นเป็นคนยังไง เธอถึงได้เกลียดชั้นนัก”
ฤทัยนาคชะงัก “ชั้นไม่ได้เกลียดนายนะ”
“ไม่ได้เกลียดแต่ก็ไม่ได้รักใช่มั้ย”
ฤทัยนาคมองงง “รัก...”
หลินหลานเซ่อชะงักไปได้สติ “ชั้นหมายถึงว่าเธอไม่ได้ชอบหน้าชั้นใช่มั้ยล่ะ”
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก บางทีก็ชอบแต่บางทีก็...”
“ก็อะไร” หลานเซ่อซักทันที
“บางทีก็หมั่นไส้” หลินหลานเซ่อมองจ้องหน้า ฤทัยนาคกลัวเขาโกรธ “ก็..นายชอบเก๊กอ่ะ แล้วก็ฟอร์มเยอะด้วย”
“ชั้นน่ะหรือฟอร์มเยอะ”
“อ้าว นี่นายไม่รู้ตัวจริงๆ หรือ บางทีก็ยืนขรึม บางทีก็ทำดุดัน บางทีก็.. ทำเหมือนจะใจดี”
“นี่เธอแอบจับผิดชั้นหรือไง”
“เปล่า ก็นายถามชั้นก็ตอบตามจริง”
ฤทัยนาคบอกอย่างจริงใจ จ้องมองหน้าเขา หลินหลานเซ่อมองจ้องเอาๆ
“แล้วทำไมเสื้อผ้าเธอสกปรกอย่างนั้น”
“พอดีชั้นรีบออกมาจากงานน่ะ มีเรื่องสำคัญจะมาบอก”
“ส่งมือมาซิ”
ฤทัยนาคมองมือตัวเองอย่างงงๆ พบว่ามือตัวเองเลอะดิน
“เอ่อ มือชั้นสกปรกน่ะ ยังไม่ได้ล้างเลย”
“ชั้นบอกให้ส่งมือมา”
ฤทัยนาคจำใจส่งมือให้ หลินหลานเซ่อดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจับมือดูแล้วเช็ดใช้เบาๆ อย่างตั้งใจ ฤทัยนาคมองมือเขาที่เช็ดมือให้อย่างประทับใจ
“ทำไมมือเธอมันแข็งกระด้างจัง”
ฤทัยนาคดึงมือออกอย่างอับอาย
“ก็ชั้นทำงานหนักนี่ จับจอบจับเสียม ยกของส่งของทุกวัน จะให้มือนิ่มเหมือนผู้หญิงของนายได้ไง”
ฤทัยนาคประชด ทั้งโกรธทั้งอาย หลินหลานเซ่อชอบใจ อมยิ้มขำ
“เอาล่ะ ไหนว่ามาซิ มีเรื่องอะไร”
“ชั้นจะมาถามนายว่านายเจอตัวมือปืนที่ชื่อฉินฝูรึยัง”
“ถามทำไม”
“ชั้นได้เบาะแสมัน”
“จริงหรือ”
“ก็ยังไม่มั่นใจหรอกนะว่าใช่”
“คืออย่างนี้ ชั้นมีเพื่อนเป็นเด็กส่งของ”
ฤทัยนาคเริ่มเล่าเรื่องที่ต้าห่ายเล่า ให้หลานเซ่อฟัง
ในเวลานั้นต้าห่ายขี่จักรยานมาจอดหน้าอพาร์ทเมนท์แหล่งกบดานของฉินฝู แล้วกดออดเบอร์ห้อง 401
เสียงฉินฝูถามออกมาว่า “ใคร”
“ส่งอาหารกระป๋องครับ” ต้าห่ายบอกไป
“เอาไว้ข้างล่าง”
ต้าห่ายแสดงความมีน้ำใจ “ให้ผมเอาขึ้นไปส่งให้มั้ยครับ”
ฉินฝูบอกเสียงแข็ง “ไม่ต้อง”
“แต่ผมเอาขึ้นไปได้นะครับ”
“ไม่ต้อง เอาวางไว้นั่นแหละ”
“แต่ต้องเซ็นชื่อรับของนะครับ”
อาแปะเปิดประตูออกมา “มา อั๊วเซ็นรับให้เอง”
ต้าห่ายเลยส่งที่เซ็นชื่อรับของให้อาแปะ
“ผมยกขึ้นไปส่งที่ห้องให้ก็ได้นะแปะ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวมืดๆ เจ้าของอีก็ลงมาเอาเอง ขอบใจนะ”
อาแปะขนของกลับเข้าไป ต้าห่ายมองตามบ่นๆ
“สงสัยจะกลัวเสียค่าทิปขนของให้เรา”
ฤทัยนาคเล่าจบแล้วตั้งข้อสังเกตออกมา
“ทุกครั้งที่เพื่อนชั้นไปส่งของ เค้าไม่เคยลงมาเอาของด้วยตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“ชั้นไม่เห็นว่ามันมีอะไรน่าสงสัยเลย” หลานเซ่อว่า
“น่าสงสัยสิ ถ้าเค้าไม่มีอะไรต้องปิดบัง ทำไมถึงไม่ลงมาเอาของเอง ทำเหมือนกับว่ากลัวใครจะเห็นหน้า” เด็กสาวท้วง
“เค้าอาจจะเดินไม่ได้หรือไม่ก็ป่วยหนัก”
“แต่ถ้าเค้าป่วยหนัก ทำไมไม่ให้เพื่อนชั้นเอาของขึ้นไปส่งให้ที่ห้องล่ะ”
“ชั้นว่าเหตุผลของเธอไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไอ้ฉินฝู”
ฤทัยนาคเซ็ง “ถ้านายไม่เชื่อก็ตามใจ งั้นชั้นกลับก่อนล่ะ”
“เดี๋ยว”
“นายเปลี่ยนใจเชื่อชั้นแล้วใช่มั้ย”
“ชั้นขอสั่งห้ามให้เธอเลิกยุ่งเรื่องนี้ คนของชั้นกำลังออกตามหาตัวมันอยู่”
“ก็ช่างคนของนายสิ คนของนายอยากหาก็หาไป ส่วนชั้นจะต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้คนที่เพื่อนชั้นบอกใช่ไอ้ฉินฝูรึเปล่า”
หลินหลานเซ่อปราม “ฤทัยนาค”
“นายไม่ต้องกลัวหรอกน่า ชั้นไม่ทำให้นายเสียแผนหรอก แค่อยากรู้ว่าที่ชั้นคิดน่ะมันถูกรึเปล่า ถ้าใช่นะ ชั้นจะรีบมาบอก ชั้นไปละ”
“เดี๋ยว”
“อะไรอีก”
“ที่เธอบอกว่าชั้นเก๊กแล้วก็วางฟอร์ม ชั้นไม่ได้แกล้งทำนะ”
“อ๋อ ชั้นเข้าใจเป็นมาเฟียมันก็ต้องมีฟอร์ม”
ฤทัยนาคทำหน้าขรึมยกมือตะเบ๊ะล้อ แล้วเดินออก หลินหลานเซ่อมองตามอมยิ้มส่ายหน้าอย่างสุขใจ
“ยัยเด็กบ้าเอ๊ย”
วันต่อมาแดนนี่โดดเรียน เดินมากับฤทัยนาค สองคนอยู่ในชุดนักเรียน แดนนี่เดินเคี้ยวซาลาเปามาตามทาง
“เธอมั่นใจได้ไงว่ามันคือไอ้ฉินฝู”
“ชั้นสันนิษฐานเอาน่ะ”
“สันนิษฐาน หมายถึงเดาเนี่ยนะ” แดนนี่เซ็ง
“เออ นั่นละ แต่เรียกให้มันหรูหน่อย นายคิดดูนะแดน ข้อหนึ่ง ถ้านายเป็นคนที่กำลังถูกตามล่า นายจะออกมาเดินเพ่นพ่านตามถนนมั้ย”
“ไม่”
“ข้อสอง ถ้านายเลือกที่อยู่นายต้องเลือกที่ที่ไม่มีใครสนใจจะไปตามหาตัวนายเจอ ถูกต้องมั้ย”
“อืมม์ ถูก แล้วข้อสาม”
“ข้อสาม ต้าห่ายบอกว่าไอ้หมอนี่ทำตัวมีลับลมคมใน มันไม่ยอมออกมารับของเอง พูดง่ายๆ มันไม่ต้องการให้ใครเห็นหน้ามัน ข้อสี่ มันสั่งอาหารกระป๋องมากินเดือนนึงแล้ว นายว่าคนปกติใครจะกินอาหารกระป๋องได้ทุกวัน ข้อห้า หลินหลานเซ่อบอกว่าไอ้ฉินฝูมันยังอยู่ที่นี่ ยังไม่หนีออกนอกประเทศ”
“แล้วข้อหก”
“หมดแล้ว นายฟังข้อสันนิษฐานชั้นแล้ว นายคิดว่าไง”
“มันก็ห้าสิบห้าสิบนะ อาจจะใช่หรือไม่ใช่ไอ้ฉินฝูก็ได้ แต่ชั้นว่าเธออย่าไปยุ่งเรื่องนี้ดีกว่า เดี๋ยวจะเดือดร้อนเกิดซวยขึ้นมาเธอจะตายก่อนใช้หนี้หมดนะ”
“ไม่หรอกน่า ชั้นจะไม่เข้าไปยุ่งกับมันหรอก แล้วชั้นก็คิดวิธีที่จะทำให้เห็นหน้ามันได้แล้วด้วย”
“แล้วงานนี้ต้องให้ชั้นช่วยรึเปล่า”
“นั่นละ เป็นสิ่งที่ชั้นอยากได้ยินจากนาย”
ฤทัยนาคยิ้ม หยิกแก้มแดนนี่หมับ แดนนี่มองส่ายหน้าในความช่างหาเรื่องของเด็กสาวชาวไทย
ไม่นานหลังจากนั้น อาแปะไช้เปิดประตูเดินออก ขณะที่ฤทัยนาค ต้าห่าย และแดนนี่ซุ่มอยู่ฝั่งตรงข้ามอพาร์ตเมนต์
“ตอนนี้แปะไช้ไม่อยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของนายที่ต้องเอาของไปส่ง” ฤทัยนาคบอก
“แน่ใจนะว่าเธอเห็นหน้ามันอีกครั้งแล้วจะจำมันได้” แดนนี่ว่า
“ชั้นยืนจ้องกับมันหน้าลิฟต์นะ ชั้นไม่มีวันลืมหน้ามันหรอก จำไว้นะต้าห่าย นายทำยังไงก็ได้ขอให้คนที่สั่งของลงมารับของจากมือนาย ชั้นขอเห็นหน้ามันหน่อยเดียวว่าใช่ไอ้คนที่เราตามหารึเปล่า”
“ไม่ต้องห่วง ชั้นจะพยายามถ่วงเวลาให้นานที่สุด เธอจะได้เห็นหน้ามันชัดๆ หรือจะให้ชั้นเอามือถือแอบถ่ายรูปมันมั้ย” ต้าห่ายบอก
“อย่า ชั้นไม่อยากให้มันรู้ตัว”
“โอเค งั้นชั้นไปนะ”
ต้าห่ายขี่จักรยานออกไป
“ถ้าเกิดมันเป็นไอ้ฉินฝูที่เธอตามหาจริงๆ เราจะทำไง เรียกตำรวจจับมันเหรอ”
“ไม่ได้ ขืนเรียกตำรวจมันจะยิ่งยุ่ง ถ้าเป็นไอ้ฉินฝูจริงล่ะก็ ชั้นจะรีบไปบอกหลินหลานเซ่อให้มาจัดการกับมัน”
“ไม่รู้ว่าหลินหลานซ่อทำบุญด้วยอะไร ชาตินี้ถึงได้เกิดมาเจอคนอย่างเธอ” แดนนี่หมั่นไส้
“ทำไมเหรอ”
“ก็เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเธอ มันเป็นเรื่องของหลินหลานเซ่อชัดๆ”
“นายจะบอกว่าชั้นสาระแนงั้นหรือ”
“คิดเอาเองดิ เป็นคิวบิกไม่ใช่หรือ”
“นายนี่มันปากจัดนะ”
ฤทัยนาคมองค้อนก่อนจะหันกลับไปจับมองความเคลื่อนไหวหน้าอพาร์ตเมนต์
คิวบิก ตอนที่ 9 (ต่อ)
ต้าห่ายกดออดหน้าอพาร์ตเมนต์ ขณะที่ฤทัยนาคกับแดนนี่แอบอยู่ในรถ ทั้งสองมองไปที่ต้าห่ายไม่วางตา
ต้าห่ายยืนรอสักครู่ ได้ยินเสียงจากอินเตอร์คอมภายใน
“ใคร” มันเป็นเสียงของฉินฝู
“มาส่งของห้อง 401 ครับ”
ฉินฝูอยู่ในห้องพัก พูดผ่านอินเตอร์คอมในห้อง
“จากไหน”
“ร้านหลี่แซครับ”
“เอาวางไว้ข้างนอก”
“เดี๋ยวจะหายนะครับ”
“ไม่หายหรอก เอาไว้นั่นละ”
“แต่เฮียต้องเซ็นชื่อรับของด้วยนะครับ ถ้าไม่มีคนเซ็นรับผมทิ้งของไว้ไม่ได้”
ฉินฝูหงุดหงิด “ทำไมมันยุ่งอย่างนี้วะ”
“เฮียลงมาเซ็นเถอะครับ ไม่งั้นผมต้องเอาของกลับนะครับ”
“เออ เออ รอเดี๋ยว”
ต้าห่ายเหลียวไปมองฤทัยนาคที่รออยู่ในรถพร้อมกับส่งสัญญาณให้รู้ว่าฉินฝูกำลังจะลงมา
สองคนมองไปที่ต้าห่ายอย่างพอใจ
“ต้าห่ายนี่ก็ใช้ได้เหมือนกันนะ”
ฤทัยนาคไม่ตอบมองไปที่ประตูเขม็ง ชะเง้อมองท่าทีตื่นเต้น
ประตูอพาร์ตเมนต์แง้มเปิดออก ฤทัยนาคชะเง้อมอง
“นั่นไง ประตูเปิดแล้ว”
“ออกมาเลย ขอชั้นเห็นหน้าแกชัดๆ หน่อย”
ประตูเปิดอ้ากว้างออกอีก สองคนชะเง้อมองลุ้นสุดๆ
ผู้ชายคนที่ก้าวออกมา เห็นเป็นชายอ้วนออกมาเอาของ
“ใช่ ไอ้ฉินฝูรึเปล่า”
“ไม่ใช่ มันไม่ได้อ้วนอย่างนี้”
แดนนี่สมน้ำหน้า “นั่นไง ชั้นว่าแล้วการคาดเดาของเธอใช้ไม่ได้”
ฤทัยนาคถอนใจเหลือบสายตามองไปที่บนตึกแล้วชะงัก เห็นชายคนหนึ่งอยู่ที่ชั้นบน กำลังส่องกล้องทางไกลมาที่ต้าห่ายกับชายอ้วน
ฤทัยนาคมองอย่างสะดุดใจ
“แดน นายดูที่หน้าต่างห้องชั้นสี่สิ”
แดนนี่มองตาม เห็นใครคนหนึ่งกำลังส่องกล้องลงมาด้านล่าง
“แล้วนายดูท่อน้ำนั่นสิ มันถูกต่อยาวขึ้นไปถึงห้องนั้นแถมไปพังอยู่เหนือหน้าต่างห้องด้วย”
แดนนี่มองตาม เห็นท่อน้ำที่หลุดจากรางน้ำฝนพิงอยู่กับหน้าต่างห้อง
“แล้วไง”
“ไอ้คนที่อยู่ชั้นบนมันกำลังจับตาดูและแอบฟังต่าห้ายพูดผ่านท่อน้ำนั่น ชั้นว่ามันต้องเป็นไอ้ฉินฝูแน่”
แดนนี่เหลียวมองไปที่ต้าห่าย เห็นต้าห่ายกำลังส่งเอกสารให้ชายอ้วนเซ็น
“แล้วจะเอาไง ไอ้อ้วนนั่นกำลังเซ็นรับของแล้วนะ”
ฤทัยนาคมองไปที่ต้าห่ายกับชายอ้วนอย่างตกใจ
“ไม่ได้นะ ถ้าเค้าเซ็นชื่อเราต้องรออีกอาทิตย์หน้าถึงจะกลับมาส่งของได้อีกที”
“แล้วจะเอาไงล่ะ”
“เอาไงดี...เอาไงดี”
เด็กสาวมองซ้ายขวาครุ่นคิดหนัก
ด้านต้าห่ายชี้ให้ชายอ้วนดูที่เซ็นเอกสาร
“เฮียเซ็นตรงนี้เลยครับ”
ชายอ้วนทำท่าจะเซ็น
“อ้อ ไม่ใช่ครับ เฮียต้องเซ็นแผ่นนี้ เอ๊ะหรือว่าแผ่นนี้ต้าห่ายพลิกเปิดกระดาษไปมา”
ชายอ้วนบ่นเซ็ง “อะไรของเอ็งวะ เพิ่งมาทำงานใหม่หรือไง ชักช้าจริง”
“ขอโทษครับเฮีย วันนี้เอกสารมันสับสนนิดหน่อย”
มีเสียงมือถือดัง ต้าห่ายชะงักมองเห็นเบอร์ฤทัยนาค
“ซักครู่นะครับเฮีย” ต้าห่ายกดรับอย่างมีชั้นเชิง “ฮัลโหล ว่าไงเถ้าแก่”
ฤทัยนาคพูดโทรศัพท์อยู่ในรถแดนนี่
“อย่าให้เค้าเซ็นรับของ เอาของกลับมา”
“อะไรนะ”
ชายอ้วนมองต้าห่ายงงๆ
ฝ่ายฉินฝูส่องกล้องมองลงมาพยายามเงี่ยหูฟังจากข้างบน
ฤทัยนาคชะเง้อมองพลางพูดโทรศัพท์
“เค้าไม่ใช่คนที่ชั้นตามหา”
ต้าห่ายหันกลับมามองหน้าชายอ้วนที่ยืนรออย่างรำคาญ
“เอาของกลับมาบอกว่าพรุ่งนี้นายจะมาใหม่ ให้เจ้าของลงมาเอาของด้วยตัวเอง”
ชายอ้วนมองจ้อง
ขณะที่ฉินฝูส่องกล้องมองมาที่ต้าห่ายกับชายอ้วนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
“ได้ ได้ เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ” ต้าห่ายปิดโทรศัพท์ หันมาหาชายอ้วย
“ขอโทษด้วยครับเฮีย ที่ร้านโทร.มาบอกว่าผมหยิบของมาผิดน่ะครับ”
ชายอ้วนหงุดหงิดใส่ “อ้าว แล้วทำไง”
“ผมต้องเอาของกลับไปเปลี่ยนน่ะครับ แล้วพรุ่งนี้จะมาส่งให้ใหม่”
“อะไรวะ บริษัทลื้อนี่ทำงานเฮงซวยจัง”
“ต้องขอโทษจริงๆครับ แล้วพรุ่งนี้เฮียอยู่กี่โมง”
“ลื้อถามทำไม”
“พรุ่งนี้ทางร้านจะเอาของสมนาคุณพิเศษมาให้เฮีย เพื่อเป็นการขอโทษที่ร้านเราส่งของผิด”
ชายอ้วนสนใจ “ของสมนาคุณเหรอ”
“ใช่ครับ แต่เฮียต้องอยู่รับของด้วยตัวเองนะ เพราะถ้าเฮียไม่อยู่ให้คนอื่นรับของแทนไม่ได้”
ชายอ้วนสารภาพ “อั๊วไม่ใช่ลูกค้าหรอก”
“อ้าว แล้วเจ้าของล่ะครับ”
“เจ้าของเค้าอยู่ข้างบน เค้าไม่สบายเลยวานให้อั๊วลงมาเอาของให้เค้า”
“งั้นฝากเฮียบอกเค้าด้วยแล้วกันว่าพรุ่งนี้ต้องให้เค้าลงมาเซ็นชื่อรับของนะ ไม่งั้นไม่ได้ของสมนาคุณ ของแพงแล้วดีด้วยนะ”
“เออ เออ เดี๋ยวอั๊วจะบอกให้”
ต้าห่ายยกของขึ้นรถแล้วขี่ออก
แดนนี่กับฤทัยนาคมองมาที่อพาร์ตเมนต์เห็นชายอ้วนดึงประตูปิดลง
“หวังว่าพรุ่งนี้ไอ้เจ้าของตัวจริงจะลงมารับของเองนะ”
ฤทัยนาคถอนใจ “ก็หวังอย่างงั้น ขอแค่เห็นหน้ามันเพื่อยืนยันเท่านั้น”
ฤทัยนาคมองกลับไปที่ชั้นสี่ เห็นชายในห้องส่องกล้องมองมาที่รถแดนนี่
“แย่แล้วแดน”
“มีอะไร”
“ชั้นว่าไอ้คนที่อยู่บนห้องนั่นมันกำลังสงสัยเรา”
แดนนี่เหลือบมองขึ้นไป เห็นมีคนยืนส่องกล้อง
“ใช่จริงด้วย”
ฉินฝูส่องกล้องมองลงมา เห็นรถแดนนี่จอดซุ่มอยู่
“อย่าบอกนะว่ามันมาซุ่มดูเรา”
ฉินฝูขยับกล้องมองปรับ เห็นเด็กอายุประมาณ 10 ขวบ เดินมาที่รถพูดอะไรสองสามคำกับคนในรถแล้วขึ้นรถ รถขับออกไป ฉินฝูมองตามถอนใจ
“ที่แท้ก็มารับลูก”
เสียงเคาะประตูห้องดัง ฉินฝูชะงักมอง
“ใคร”
ชายอ้วนยืนอยู่ที่หน้าห้อง
“ชั้นเอง เปา”
ฉินฝูเดินไปเปิดประตู “ของล่ะ”
“เด็กมันบอกเอาของมาผิด พรุ่งนี้จะเอามาให้ใหม่”
“โธ่ ไอ้เฮงซวยเอ๊ย” ฉินฝูโมโห
“แต่พรุ่งนี้เฮียต้องลงไปเอาของเองนะ”
“ทำไม”
“เด็กส่งของมันบอกว่าพรุ่งนี้เค้าจะมีของแถมมาให้เฮีย แต่เฮียต้องเซ็นรับเอง”
“อะไรวะ เอ็งก็เซ็นได้”
“มันบอกไม่ได้ ต้องเจ้าของห้องเท่านั้น ก็ลงไปเซ็นหน่อยน่า มันบอกของแพงแล้วดีด้วยนะ ถ้าเฮียไม่เอาก็เอามาให้ชั้น”
“เออ” ฉินฝูปิดประตูอย่างหงุดหงิด “แล้ววันนี้จะกินอะไรวะเนี่ย”
รถแดนนี่ขับเลี้ยวมาจอดข้างทาง แดนนี่ให้เงินเด็กห้าสิบเหรียญ
“เอาไอ้หนู ขอบใจ”
“ขอบคุณครับ” เด็กลงไป สองคนมองหน้ากัน
“โชคดีนะที่ไอ้เด็กนี่มันยอมขึ้นรถมากับเรา”
“อย่าพูดมากเลย ไปเหอะ” แดนนี่ขับรถอออก
ขณะที่จงซินนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศที่ฉายหงส์กรุ๊ป หลินหลานเซ่อเดินเข้ามา เอ่ยถามขึ้น
“เออ จงซิน วันนี้ที่โรงเรียนชั้นไม่เห็นฤทัยนาคนะ”
จงซินชะงักมอง หลานเซ่อทำกลบเกลื่อน
“ชั้นหมายถึงปกติเวลาไปโรงเรียนเราต้องเจอเธอทุกวันไม่ใช่เหรอ”
“เดี๋ยวผมเช็คให้ครับ” จงซินหยิบโทรศัพท์โทร.ไปหาอาจารย์ที่โรงเรียน “ขอโทษนะครับอาจารย์ วันนี้ฤทัยนาคมาเรียนรึเปล่าครับ...ขอบคุณครับ” จงซินปิดโทรศัพท์ หันมาบอกเจ้านายที่รอฟังอยู่ “อาจารย์ประจำชั้นบอกว่าวันนี้เธอไม่ได้มาเรียนครับ”
“อ้าว แล้วไปไหน”
“สงสัยจะมีงานส่งของเยอะมั้งครับ วันก่อนผมเจอเธอ เห็นบอกว่าจะพยายามเก็บเงินใช้หนี้ให้ได้มากกว่าเดิม”
หลินหลานเซ่อหมั่นไส้ แค่นหัวเราะ “หึ เก็บเงินใช้หนี้งั้นหรือ อย่าหวังเลยว่าจะใช้หนี้ชั้นได้หมด”
จงซินมองแล้วอมยิ้มอย่างรู้ทัน
“คุณหลินพูดเหมือนไม่อยากได้เงินใช้หนี้นะครับ”
หลินหลานเซ่อชะงักรู้สึกตัว รีบทำพูดเสียงเข้มกลบเกลื่อน
“ชั้นหมายถึงว่าเด็กนั่นไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ได้หมดหรอก”
“แต่ผมว่าไม่แน่นะครับ เพราะเวลาเธอมุ่งมั่นทำอะไร มักจะสำเร็จ”
หลินหลานเซ่อผินหน้าหนีไปทางอื่นพลางถอนใจอย่างหงุดหงิด กับคำพูดของจงซิน
“อ้อ เรื่องนันทกาน่ะครับ เมื่อครู่นี้อาเหว่ยโทรมาว่า...”
หลินหลานเซ่อปัดๆ ไม่สนใจนัก “ช่างมันเถอะ ชั้นขี้เกียจฟัง ถ้ามันหาไม่เจอก็บอกให้มันเลิกหาได้
แล้ว”
จงซินมองจ้องขณะถาม “คุณหลินแน่ใจนะครับว่าไม่อยากได้ตัวนันทกาแล้ว”
“ก็มันหามาตั้งสองสามเดือนยังหาไม่เจอ”
หลินหลานเซ่อพูดปัด เดินเข้าไปห้องน้ำ จงซินมองตาม ยิ้มอย่างรู้ทัน
“คุณหลินนะคุณหลิน”
ด้านสามสหาย ต้าห่าย ฤทัยนาคและแดนนี่นั่งกินเบอร์เกอร์คุยกันเรื่องฉินฝู ต้าห่ายเปิดประเด็น
“ไอ้อ้วนมันบอกว่าคนสั่งอยู่ข้างบน เค้าวานให้มันลงมาเอาของแทน”
“ชั้นว่าต้องเป็นไอ้ฉินฝูแน่ๆ มันถึงไม่กล้าให้ใครเห็นหน้ามัน”
“เธออย่าเพิ่งมั่นใจเลย มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้” แดนนี่แย้ง
ต้าห่ายคาใจ “นี่ นาค ชั้นขอถามหน่อย มันเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่”
“ทั้งดีและร้ายผสมกัน” เด็กสาวนักสืบบอก
ต้าห่ายเง็ง “หมายความว่าไง”
“ก็บอกแล้วไง ถ้าเรื่องนี้ใช่อย่างที่ชั้นคิดชั้นจะทำงานแทนนายอาทิตย์นึง”
“เอา ก็ได้ แล้วแผนต่อไปเป็นยังไง” แดนนี่ถาม
“พรุ่งนี้เอาของไปใหม่ แต่ชั้นอยากให้นายหาพรรคพวกมาช่วยเราอีกซักสองสามคน เผื่อเป็นกำลังสำรอง”
“ได้ ไม่มีปัญหา เด็กส่งของเพื่อนชั้นมีเยอะแยะ” ต้าห่ายว่า
“ดี งั้นนายรีบไปติดต่อเพื่อนเลย”
“โอเค ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวชั้นโทร.หา”
“ขอบใจ”
ฤทัยนาคยกมือให้ ต้าห่ายตบมือแล้วเดินไปขี่จักรยานออกไป
“นี่ คิวบิก” แดนนี่หันมาจ้องหน้า
“อะไร”
แดนนี่หมั่นไส้ “แหม รับคำเลยนะ”
“อ้าว ก็ชั้นมันตัวจริง นายมันแค่ตัวปลอม”
“เธอคิดบ้างมั้ยว่าไอ้คนที่มันบงการฆ่าหลินหลานเซ่อ มันคงตามหาไอ้ฉินฝูเหมือนกันนะ” ลูกชายมาเฟียเอ่ยตั้งข้อสังเกตขึ้น
“ก็ใช่สิ ชั้นถึงรีบอยากเห็นหน้าไอ้คนนี้ก่อนไงล่ะ เพราะถ้าชักช้าไอ้ผู้บงการมันเจอตัวฉินฝูก่อน มันต้องฆ่าปิดปากไอ้ฉินฝูแน่”
“หวังว่าไอ้พวกนั้นคงไม่เจอตัวไอ้ฉินฝูก่อนเรานะ”
“อย่าพูดดิ เสียว ไป” ทั้งสองลุกเดินออกไปด้วยกัน
ภายในห้องทำงาน ออศฟิศซานกุ้ย คืนนั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ก่อนจะเห็นมือใครคนหนึ่งเข้ามารับที่แท้เป็นหลางหย่งเหวิน
“ฮัลโหล” หลางหย่งเหวินฟังปลายสาย “ว่าไงนะ...ได้ เดี๋ยวชั้นจะส่งคนไปดู”
หย่งเหวินปิดสาย แล้วกดโทร.หาลูกน้องอีกคน
อาเหม่งลูกน้องหย่งเหวินรับโทรศัพท์อยู่ที่โกดังแห่งหนึ่งกับลูกสมุน
“ฮัลโหล”
“อาเหม่ง”
“ครับ เจ้านาย”
“แกไปดูที่อพาร์ทเมนท์หลี่แซซิ มีคนเค้าบอกว่าไอ้ฉินฝูอยู่ที่นั่น”
“ได้ครับ”
“ถ้าเจอมันอย่าให้มันหนีไปได้ ฆ่าแล้วเอาศพไปถ่วงทะเล”
“รับรองครับ ผมจะไม่ให้เหลือซากเลย”
อาเหม่งปิดโทรศัพท์ หันไปบอกลูกสมุน
“ไปพวกเรา มีงานเข้าแล้ว”
ฟากหย่งเหวินปิดโทรศัพท์ ปรายตาไปเห็นรูปไป่หลิงจึงแสยะยิ้มให้
มองจากมุมสูงลงมา เห็นอาเหม่งในชุดดำเดินขึ้นบันไดอพาร์ตเม้นต์มา มีลูกน้องอีกสี่คนตามขึ้นมา บางคนใส่เสื้อกล้าม ใส่หมวก แต่งตัวหลากหลาย แต่ดูรู้ว่าเป็นคนชั่ว
ด้านฉินฝูนอนหิวไส้กิ่วอยู่ในห้องพัก
“หิวโว้ย” ฉินฝูลุกขึ้นเทน้ำจากกาน้ำชา ยกดื่มอย่างหงุดหงิด
ฝ่ายอาเหม่งเดินมาหยุดหน้าห้องหนึ่ง ลูกสมุนทั้งสี่เดินตามมา สมุน 1 พยักหน้าให้ว่าเป็นห้องนี้
อาเหม่งชักปืนออกมา สมุน 1 เคาะประตูห้องนั้น
ฉินฝูยืนส่องกล้องมองไปนอกหน้าต่าง ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉินฝูหันขวับมามอง
อาเหม่งพลิกตัวจ่อปืนหน้าประตู สมุนมือปืนมองจ้อง
ฉินฝูเดินมาที่ประตู เอื้อมมือเปิดกลอน
อาเหม่งขึ้นนกปืนเตรียมยิง ลูกสมุนเตรียมรอ
ฉินฝูปลดกลอนอีกตัว
อาเหม่ง และลูกน้องฟังเสียงปลดกลอน
ฉินฝูหมุนลูกบิดประตู
อาเหม่งเล็งปืนไปที่ประตูห้องที่ขยับแง้มเปิดออก
ฉินฝู เปิดประตูแง้มออก
อาซิ้มเปิดประตูออกมาช็อกๆ จะดันประตูปิด แต่อาเหม่งดันประตูเปิด ล็อกคออาซิ้มถามขู่
“ไอ้ฉินฝูอยู่ไหน”
“อี...อีอยู่ในห้องน้ำ” อาซิ้มบอก
สมุน 1 เข้าไปในห้อง เดินไปห้องน้ำเปิดประตูกระชากคอชายคนนึงออกมา
“อย่าทำอะไรอั๊วเลย” ชายคนนั้นร้องลั่น
“แกหรือฉินฝู” อาเหม่งตะคอก
“ใช่ อั๊วนี่ละ หม่าฉินฝู”
สมุน 1 มองหน้าอาเหม่ง บอกลูกพี่เซ็งๆ “ผิดตัวลูกพี่”
อีกฟากหนึ่ง อาเปา ชายอ้วนส่งถุงโจ๊กกับปาท่องโก๋ให้ฉินฝู
“เอา เฮีย ชั้นซื้อโจ๊กกับปาท่องโก๋มาฝาก”
“ขอบใจมาก กำลังหิวพอดี” ฉอนฝูส่งเงินให้ “เอา ไอ้เปา เอาเงินไป”
“ขอบคุณครับเฮีย ว่าแต่เฮียจะไม่บอกหรือว่าเฮียชื่อแซ่อะไร” ชายอ้วนถาม
“เอ็งอย่ารู้เลย” ฉินฝูดึงประตูปิดทันที
ภายในห้องทำงานออฟฟิศซานกุ้ย หย่งเหวินพูดโทรศัพท์อยู่ในนั้น เสียงขุ่นเขียว
“แน่ใจนะว่าไม่ใช่”
อาเหม่งโทร.มาจากอพาร์ตเมนต์ “แน่ใจครับ ไอ้นี่มันขายหมูอยู่ในตลาด”
หย่งเหวินกดปิดโทรศัพท์ ตาวาววับ คำรามในลำคอ
“ไอ้ฉินฝู นี่กูต้องพลิกแผ่นดินหามึงหรือไง”
อ่านต่อตอนที่ 10